10ปีผู้นำต่างขั้วหัวอกเดียวกัน“ประยุทธ์-ทักษิณ”
ฝันไทยขึ้นฮับ“ท่องเที่ยว-การบิน-สุขภาพ”เอเชีย
บทบาทของ “นายกรัฐมนตรีไทย”
ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในช่วงเวลาห่างกัน 10
ปี ซึ่งมีหลักการดำเนินนโยบายทางการเมืองต่างขั้วกัน ระหว่าง “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน กับ “ทักษิณ
ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2548
ทว่าปรากฎการณ์ที่เห็นเด่นชัดของสองผู้นำยุคอดีตและปัจจุบัน
“ใจตรงกัน” คือต่างก็ใช้สูตรสำเร็จการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเน้นการพึ่งพาจุดแข็งและจุดขายศักยภาพของประเทศ
ภายใต้นโยบายการผลักดันเรื่องเดียวกันในการทำให้ประเทศไทยเป็น “HUB” กับ “Cluster” ทางด้านการตลาด การค้า การลงทุน ของภูมิภาคเอเชีย ด้วย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยว (Tourism) การขนส่งทางอากาศ (Aviation) และ สุขภาพองค์รวม
(health & Wellness) ใช้เครื่องมือการลงทุนพัฒนาโครงข่าย
“ดิจิตอลหรือเทคโนโลยีขั้นสูง” เป็นสะพานเชื่อมสายหลักให้ทั้งสามกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของไทยผงาดขึ้นเป็นฮับเอเชีย
ทั้งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์และอดีตนายกฯ ทักษิณ
พุ่งเป้าทำแนวเดียวกันคือ “จัดระเบียบ” หมวดอุตสาหกรรมมัดรวมเป็นกลุ่มเรียก Cluster
ไปพร้อมๆ กับการรวมแหล่งสินค้าเป็น “ศูนย์กลาง” เรียก HUB พาประเทศไปสู่จุดหมายเดียวกันคือเป็นศูนย์กลางประชาคมอาเซียนและเอเชียเหมือน
ๆ กัน
เมื่อ 10 ปีก่อนรัฐบาล “ทักษิณ” ประกาศนโยบายเดินหน้าประเทศไทยเป็น HUB ครบวงจร โดยเท
หน้าตักขอใช้งบประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาท
ปูพรมสร้างโครงการขนาดใหญ่ หรือ Mega Project อาทิ“สร้างท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ”
เปิดประตูเศรษฐกิจบานใหญ่เชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยวกับตลาดโลก และเป็นยุคเปลี่ยนแปลงอุตสากรรมขนส่งทางอากาศครั้งใหญ่จากการให้กำเนิด
“สายการบินต้นทุนต่ำขายตั๋วโดยสารราคาประหยัด”
(low cost airlines) ควบคู่กับการเดินหน้าอภิมหาโปรเจ็กต์รื้อโครงสร้างโลจิสติกส์ภาคขนส่งจาก
“ทางถนน” มุ่งสู่ “ระบบราง” ทั้งในกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ รวมถึงการพัฒนาแหล่งน้ำภาคการเกษตร
เป้าหมายขณะนั้นหวังผลเชิงเศรษฐกิจในอนาคต 3-5 ปีนับจากวันเริ่มต้นโครงการ จากรายได้การท่องเที่ยวเพิ่มเฉลี่ยปีละ
8-10 % เพิ่มขีดความสามารถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิให้รองรับนักเดินทางในอนาคตได้ปีละ
60 ล้านคนขึ้นไป
และเพิ่มการขนส่งสินค้าทางอากาศกระจายการส่งออกสินค้าและนำเข้า ได้ปีละกว่า 3
ล้านตันขึ้นไป
ส่วนระบบรางเมื่อแล้วเสร็จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ทางการค้าของประเทศจากปีละประมาณ
20-23 % ลงเหลือไม่เกิน 12 %
เพื่อสร้างสมดุลราคาขายสินค้าในตลาดแก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ผ่านมาถึงปีนี้ พ.ศ.2558 รัฐบาล “พลเอกประยุทธ์”
ก็ยังคงประกาศใช้งบประมาณใกล้เคียง 3 ล้านล้านบาท ทุ่มเทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ทั้งระบบทั่วประเทศ โดยยืนหยัดเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันประเทศไทย
สร้างความเท่าเทียมลดเหลื่อล้ำระหว่างเมืองกับชนบท และให้น้ำหนักความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่าน
“ตลาดการบริโภค” จากระบบดั้งเดิมแยกส่วนซึ่งไทยมีเพียง 70 ล้านคน
ก้าวเข้าระบบใหม่ปรับสู่การรวมศูนย์เป็นตลาดเดียวกันทั้งอาเซียนที่มีกำลังซื้อมากถึง
600 ล้านคน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของพลเอกประยุทธ์
ได้สร้างความฮือฮาอีกเรื่อง โดยมีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการ “กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย”
วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย
10 กลุ่ม โดยยึด 3 กลุ่มไว้เป็นหลัก
ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวคุณภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมขนส่งและการบิน กลุ่มอุตสาหกรรม การแพทย์และสุขภาพ ส่วนที่เหลือเป็นอีก 7
กลุ่ม ได้แก่ อุตยานยนต์แห่งอนาคต กลุ่มอิเลคทรอนิกส์อัจฉริยะ กลุ่มเกษตรเชิงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ
กลุ่มอาหารแห่งอนาคต กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ กลุ่มอุตสาหกรรมชีวภาพและพลังงานเคมี อุตสาหกรรมดิจิตอล
มติ ครม.ครั้งนี้รับลูกต่อหลังเหตุการณ์
“พลเอกประยุทธ์” ขึ้นเวทีเป็นประธานปาฐกถาในงาน “อนาคตไทยก้าวไกลด้วยคลัสเตอร์”
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
เป็นเจ้าภาพจัดพร้อมกับระดมผู้ประกอบการไทยและตัวแทนนักลงทุนนานาชาติรวมกว่า 2,000 คน มานั่งฟังคำอธิบายจากปากผู้นำประเทศโดยตรงถึง
“ของขวัญส่งท้ายเก่าต้อนรับปีใหม่” จากรัฐบาลไทยถึงนักลงทุนทุกกลุ่มหากตัดสินใจยื่นขอรับการลงทุนภายในปี
2559 และสามารถทำรายได้ครั้งแรกภายในปี 2560 จะได้รับ “แพกเกจยกเว้นและลดหย่อนภาษี” เพิ่มอีกมโหฬาร
ภายใต้เงื่อนไขการลงทุน 3 แบบ ประกอบด้วย แบบที่ 1
การลงทุนใน “ซูเปอร์ คลัสเตอร์” หมวด
อุตสาหกรรมกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ทำเลที่ตั้งต้องอยู่ในบริเวณพื้นที่เขตชั้น 9 จังหวัด ได้แก่
นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
เชียงใหม่ ภูเก็ต จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
แล้วยังได้ท็อปอัพลดหย่อนภาษีเพิ่มอีก 50 % ต่อไปอีก 5
ปี รวมกับรับยกเว้นภาษีขาเข้าเครื่องจักร
อีกทั้งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาจะเพิ่มสิทธิประโยชน์เพิ่มให้กับกิจการเพื่ออนาคตที่มีความสำคัญสูง
อาจได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10-15 ปี และ ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติที่ทำงานในพื้นที่ที่กำหนด
ทั้งคนไทยและต่างชาติ
แบบที่ 2 การลงทุนใน
“คลัสเตอร์เป้าหมายอื่น ๆ” ในหมวดอุตสาหกรรมกิจการ เช่น เกษตรแปรรูป สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น
ซึ่งมีทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตชั้นนอกรอบบริเวณ 9 จังหวัดเดียวกับกลุ่มซูเปอร์ คลัสเตอร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีลดหลั่นลงไป
ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3-8 ปี และลดหย่อน 50
% เพิ่มเติมอีก 5 ปี
แบบที่ 3 การลงทุนใน “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” 10 จังหวัด 23 อำเภอ 90
ตำบล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส เฟสแรก 5 จังหวัด
ได้แก่ ตาก สระแก้ว ตราด มุกดาหาร สงขลา เฟสสอง อีก 5 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย เชียงราย กาญจนบุรี นครพนม
นราธิวาส โดยรัฐบาลได้ให้สิทธิประโยชน์การลงทุนยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปีและลดหย่อน 50 % อีก 5 ปี กับ 13 กลุ่มอุตสาหกรรม
หนึ่งในกลุ่มนี้มี “กิจการสนับสนุนการท่องเที่ยว” รวมอยู่ด้วย ประกอบด้วย 8 กิจการ คือ1.เรือเฟอร์รี่หรือเรือท่องเที่ยวหรือให้เช่าเรือท่องเที่ยว
2.บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว 3.สวนสนุก 4.ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมหรือศูนย์หัตถกรรม
5.สวนสัตว์เปิด 6.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ 7.ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ
8.ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ
การที่ “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์” เร่งอัดยาแรงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีโดยยอมงัด
“แพกเกจภาษีลดแลกแจกแถม” เพื่อ “กระตุ้นเม็ดเงินลงทุน”
เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด โดยยังคงยึด “การท่องเที่ยว-การบิน-สุขภาพ” เป็นอุตสาหกรรมเสาหลักค้ำยันเศรษฐกิจประเทศซึ่งปัจจุบันทำรายได้เติบโตตามกลไกธรรมชาติรวมปีละกว่า
2 ล้านล้านบาท การทุ่มทุนยอมเทหน้าตักออกมาแลกครั้งนี้
เนื่องจากรัฐบาลเองก็มีความหวังว่าในอนาคตอันใกล้ตั้งปี 2559 อาจจะทำเงินจากทั้ง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมได้มากกว่า 3 ล้านล้านบาท
ถึงแม้ช่วงเวลาการบริหารของทั้ง 2 รัฐบาลจะห่างกันถึง 10 ปี โดยต่างฝ่ายต่างมีวิธีบริหารและคำอธิบายประชาชนดูเสมือน
“ต่างขั้ว” แต่มี “หัวอกเดียวกัน” นั่นคือพยายามดันฝันสุดตัวที่ทุกรัฐบาลพากเพียรทำมานานแต่ยังไม่ผู้นำรัฐบาลคนไหนพาประเทศไปถึงเส้นชัยสักที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น