วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปี2560 ไทย-อินเดียฉลองสัมพันธ์70ปี-บูมท่องเที่ยว-ททท.เอเชียกวาดรายได้1.2ล้านล้าน-

ไทย-อินเดียจัดยิ่งใหญ่ความสัมพันธ์70 ปี

มี.ค.นี้บูมวัฒนธรรม/การค้า/ลงทุน/ท่องเที่ยว

ช้อปคิงเพาเวอร์บินเอทิฮัดสู่ยุโรปลด50 %

ทอท.จับมือเมียนมาเปิดซิสเตอร์แอร์พอร์ต

ททท.เอเชียลุยโกยรายได้ปีระกา1.2ล้านล้าน





สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางได้มือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านได้ทาง  gurutourza.blogspot.com)



ช่วงแรกฟังเรื่องราวข่าวเศรษฐกิจ
นายอภิรัตน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเดลี ประเทศอินเดีย




นายอภิรัตน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเดลี ประเทศอินเดีย ให้สัมภาษณ์ถึงว่าในปี 2560 เตรียมจัดงานสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ครบรอบ 70 ปี โดยก่อนหน้านี้ก็มีความเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน และเมื่ออินเดียยุคใหม่ก็ยังคงเดินหน้าความสัมพันธ์ทั้งทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สืบสานมานานหลายพันปี จากการติดต่อซื้อขายกันมาแต่โบราณ

ประเทศไทยมีแผนจะร่วมฉลองความสัมพันธ์ทางการ โดยเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีนำคณะเดินทางมาเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ ก็ได้หารือกับ ฯพณฯ นเรนทรา โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ถึงภารกิจที่รัฐบาลสองประเทศในโอกาสดังกล่าว

กิจกรรมแรกที่ร่วมเฉลิมฉลอง โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ มาเยือนอินเดียเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ทรงเสด็จมาเปิดมาเปิดภาพฝีพระหัตถ์ที่ทรงถ่ายด้วยพระองค์เองเดินตามรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ พระองค์ทรงได้ถ่ายภาพขณะเสด็จอินเดียไว้มากมายหลายครั้ง เกือบทุกรัฐทุกเมือง ชาวอินเดียเห็นว่าทรงเป็นเพื่อนกับประเทศอินเดีย ทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานภาพให้จัดนิทรรศการ กิจกรรมภาพถ่ายจัดไปแล้ว เป็นการเริ่มต้นอันเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง

กิจกรรมปี 2560 กำลังเตรียมจัดงาน “ไทย เฟสติวัล-เทศกาลไทย” โดยสถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงเดลี ระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม นี้ ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองชั้นนำของนิวเดลี ห้างเดอะ แอเรียน พรมนาด กับห้างแอมเบี๊ยน โดยได้รับความกรุณาจากทางกระทรวงวัฒนธรรมของไทย ส่งคณะมาจัดการแสดงวัฒนธรรม พร้อมทั้งจะจัดงานเทิดพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และมีนิทรรศการจัดแสดงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย การออกร้านโดยเชิญร้านอาหารไทยบริเวณใกล้เคียงนิวเดลีมาบริการ จัดประกวดตอบคำถามเปิดให้ชาวอินเดียตอบความรู้เกี่ยวกับไทย และเชิญผู้ประกอบการไทยขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มาออกร้าน รวมถึงธุรกิจไทยในอินเดียมาออกร้านภายในงานด้วยเช่นกัน

ตามแผนงานทางสถานทูตไทยได้พิจารณาเรื่องการนำคณะแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยมาถึงอินเดียแล้ว เมื่อเสร็จงานก็จัดเวทีให้แสดงในโรงละครชั้นนำของกรุงเดลีต่ออีกรอบ ก่อนจะเดินทางไปยังจัดแสดงวัฒนธรรมไทยต่อในเมืองที่มีสถานกงสุลไทยอยู่ทั้ง 3 แห่ง มุมไบ (บอมเบ) เชนไน (มัตดาส) และกัลกัตตา ใช้เวลารวม 10 วัน เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมที่ความใกล้เคียงกัน เช่น เรื่องรามายณะ รามเกียรติ์ ซึ่งน่าจะเป็นการรำลึกถึงความเกี่ยวพันที่ลึกซึ้ง

กิจกรรมที่ 3 เป็นนโยบายของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ที่จะขยายความร่วมมือทางด้านวิชาการและการจัดการโบราณคดี ระหว่างไทย-อินเดีย ตามที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรมมอบหมายให้มาเจรจาความเป็นไปได้ที่จะแลกเปลี่ยน “ศิลปวัตถุ-โบราณวัตถุ” ที่เกี่ยวข้องกันทางด้านศาสนา กิจกรรมนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาจะสรุปผลอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ เพื่อจะนำมาจัดแสดงในไทย

อีกทั้งจะจัดกิจกรรม “ประชุมเชิงวิชาการ” ทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โบราณคดี “ไทย-อินเดีย” ในช่วงปลายปี 2560 และทางสถานฑูตไทย ณ กรุงเดลี เสนอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศในไทย ช่วงเวลาใกล้เวลาตามสากลของการสถาปนาความสัมพันธ์คือ วันที่ 1 สิงหาคม นี้ พยายามจะจัดกิจกรรมอีกโครงการขึ้น อาทิ การสัมมนาความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย เพื่อให้ตระหนักรู้ให้คนอินเดียและไทยได้รู้จักกันมากขึ้น กำลังพิจารณารูปแบบการจัดงาน และจะแลกเปลี่ยนกันในระดับสูงได้หรือไม่

เบื้องต้นปี 2559 ทางประธานาธิบดีอินเดียเดินทางมาเยือนประเทศไทยพร้อมทั้งเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เยือนไทย พอถึงกลางปีที่แล้วทางพลเอกประยุทธ์ เดินทางมาอินเดีย และเดือนพฤศจิกายน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ ทรงเสด็จเยือนอินเดีย นับเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างสองประเทศ

ดังนั้นจึงหวังที่จะแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระดับสูง ที่น่าจะไปได้เป็นอย่างดีต่อไป

กิจกรรมที่สถานทูตไทย ณ กรุงเดลี ตั้งใจจัดงานเฉลิมฉลองช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ อาจจะทำเรื่องผ้า เดือนวันแม่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนารถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างมากเรื่องผ้า จึงจะขอเจริญตามรอยตามเบื้องพระยุคลบาทจัดทำกิจกรรมผ้าขึ้นด้วย

นอกจากสิงหาคมปีนี้จะเป็นเดือนมงคล มีทั้ง เดือนเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนารถ เดือนแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย 70 ปี แล้วในกรอบกว้างกว่านั้นยังเป็นปีครบรอบ 25 ปีความสัมพันธ์ อาเซียน-อินเดีย ไทยกับ 9 ประเทศอาเซียน กำลังคุยกับอินเดียว่าจะทำอะไรได้บ้าง

ทางนายกรัฐมนตรีไทยได้เสนอ 1-4 สิงหาคม 2560 ประเทศไทยเสนอตัวจัดมหกรรมแสดงสินค้า “ไทย-อาเซียน-อินเดีย” ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยเชิญทางอินเดียจัดส่งสินค้าไปจำหน่าย ผนวกกับอาเซียนทุกประเทศก็จะส่งสินค้ามาขายในงานนี้ด้วย โดยมี “กระทรวงพาณิชย์” เป็นแม่งาน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการทำเรื่องเดียวได้ความสัมพันธ์ครบทุกทั้งไทยและอาเซียน

ส่วน “ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า”ของไทยกับอินเดีย ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยเดินทางไปเยือนอินเดีย โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มาพร้อมรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตกลงกันหลายเรื่อง ได้แก่ ข้อตกลงความร่วมมือ FTA กรมเศรษฐกิจได้เจรจาทางด้านส่งเสริมการลงทุน

ขณะที่เอกชนได้จัดตั้ง “สภาธุรกิจอินเดีย” เอกชนชั้นนำของไทยและอินเดียร่วมกันอยู่ โดยมี 3 สภาภาคเอกชนของไทยกับอินเดีย สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย และสภาทนายความ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมาก

ทางสถานทูตไทย ณ กรุงเดลี จึงขอเน้นอีกเรื่องที่จะเชิญ “นักลงทุนไทย” เข้ามาศึกษาลู่ทางการลงทุนในอินเดียเพราะนายกรัฐมนตรีโมดี้ของอินเดียเน้นนโยบายเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน และอินเดียเป็นแสงสว่างเดียวของโลกที่มีเศรษฐกิจเติบโตสวนทางกับกระแสโลก

ขณะนี้มหาอำนาจใหญ่อย่าง สหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และหลายประเทศ ต่างหลั่งไหลเข้ามาลงทุนและจับจองพื้นที่การลงทุนสาขาต่าง ๆ แต่ไทยมีมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะกล่าวแล้วทุนไทยช้าไปแล้วแต่ก็ยังไม่สายถ้าจะเข้ามาตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เพราะอินเดียมีอนาคตอีกมาก ตามผลวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดยืนยันว่า “อินเดีย” จะกลายเป็น “แกนหลักเศรษฐกิจโลก” ดังนั้นโอกาสทางภาคธุรกิจในอินเดียจึงมีมหาศาลจึงต้องการให้เอกชนไทยมองอินเดียให้ภาพที่กว้างมากขึ้นในระยะยาว

โดยควรจะเข้ามาศึกษาเพราะอินเดียมีศักยภาพหลากหลายมาก 5 อันดับแรกที่พร้อมเปิดประตูเข้ามาลงทุนได้คือ 1.อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ขณะนี้ชนชั้นกลางของอินเดียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คนรวยขึ้น ผนวกกับการขยายเมือง มีการก่อสร้างถนน ที่อยู่อาศัย เมืองขยายคนก็จะใช้จ่ายเงินสูงตามไปด้วย 2.การท่องเที่ยว ชื่อเสียงของไทยทางด้านฮอสพิตาลิตี้ แต่ต้องทำการบ้านมาดี ๆ เพราะมีความยุ่งยากอยู่มาก แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะคุ้มค่า

 ตัวอย่าง ญี่ปุ่นบุกเข้ามาลงทุนในเมือง Gurgaon เป็นเมืองส่วนขยายของกรุงเดลี ที่ญี่ปุ่นเข้ามาสร้างโรงแรมรองรับคนของตนเองที่เข้ามาลงทุนในอินเดียเต็มไปหมด ถ้าหากไม่ดีจริง ประเทศชั้นนำของโลกคงจะไม่มา ถึงแม้ “ปัญหาและความท้าทายจะมาก” แต่ “โอกาสมีมหาศาล”

ตามพยากรณ์ของหน่วยงานระดับโลกถึงแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตคือกลุ่มประเทศ “BRICS” ตัว I คือ อินเดีย ที่รวมอยู่กับ บราซิล รัสเซีย จีน และแอฟริกาใต้ ขณะนี้ประเทศคู่ค้าเก่าของไทยอย่าง ยุโรปถอยแล้ว อเมริกาทรงตัว อยู่ ตามปรากฎการณ์ที่เห็นขณะนี้เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังมืดมิดทว่า “อินเดีย” กลับกลายเป็น “แสงสว่างเดียว” สวนทิศทางโลกทะยานขึ้น หลายประเทศวิ่งเข้าสู่อินเดียแต่ไทยยังนิ่งอยู่

ประเมินจากจีดีพีปี 2560 เติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 % ซึ่งทางสถานทูตกับทีม ไทยแลนด์ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานการค้า สำนักงานบีโอไอ สถานกงศุลใหญ่ 3 เมือง สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หน่วยงานภาครัฐของไทยในอนเดียทุกฝ่ายยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือ เพราะทางเรารู้ว่าไม่ง่ายในการที่จะบุกเข้ามาลงทุนพัฒนาธุรกิจในอินเดีย เนื่องจากในอินเดียมีเขตการบริหารอยู่กว่า 29 รัฐ แต่ละรัฐเกือบจะเหมือนเป็น 1 ประเทศ แต่ละรัฐก็มีนโยบายการบริหารที่แตกต่างกัน มีการใช้กฎหมายที่ไม่เหมือนกัน

ดังนั้นถ้าจะบอกว่ามีทั้งความท้าทายและความยากที่นักธุรกิจไทยจะเข้ามาลงทุนในอินเดีย แต่ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเดล และหน่วยงานไทยในอินเดียก็ปวราณาตัวเองโดยยินดีจะให้ความช่วยเหลือในการให้คำปรึกษาอย่างเต็มที่

สำหรับการผลักดันให้ชาวอินเดียเดินทางมาท่องเที่ยวไทย ทางสถานฑูตไทยได้ใช้วิธีสร้างความตระหนักรู้ถึงเมืองไทย เพราะอินเดียมีประชากรกว่า 1,200 ล้านคน จึงมีที่ว่างเสมอที่ยังไม่รู้จักเมืองไทยมากขึ้น ควบคู๋กับพยายามส่งเสริม “อาหารไทย” ให้ขยายไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งอินเดียมีหลากหลายกลุ่มที่กินมังสะวิรัต และยังให้ความร่วมมือกับสำนักงาน ททท. สสปน.ในการขยายตลาดการท่องเที่ยวในอินเดีย ภายใน 1-2 เดือนนี้จะมีเอกอัครราชทูตมารับตำแหน่ง การทำงานจะสามารถเดินหน้าเต็มอัตราได้

สถานทูตไทย กรุงเดลี ประเทศอินเดีย ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะบูรณาการทำงานและการจัดทำโครงการเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ทำให้ชาวอินเดียเป็นเพื่อนทั้งทางด้านวัฒนธรรม ศิลปะ การค้า การลงทุน เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ที่แนบแน่นกับไทยในระยะยาวด้วยความสัมพันธ์ที่มั่นคง เป็นผู้บริโภครายใหญ่ใหญ่ของโลกที่พร้อมจะอุดหนุนประเทศไทยตลอดไป



จากนั้นมาฟังข่าวที่น่าสนใจ



ข่าวที่ 1 “ช้อปคิงเพาเวอร์บินเอทิฮัดลด50%

กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจดิวตี้ฟรีเมืองไทยมอบสิทธิผู้ถือบัตรสมาชิกช้อปปิ้ง ไปพร้อม ๆ กับรับสิทธิซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบินเป็นคู่กับสายการบินเอทิฮัด ระหว่างวันนี้-31 มีนาคม 2560 โดยมอบส่วนลดสูงสุด 50% ที่นั่งชั้นธุรกิจ บินสู่เมือง อัมสเตอร์ดัม แฟรงค์เฟิร์ต ปารีส โรม มิลานและแมนเชสเตอร์ เริ่มต้นที่คนละ 62,900 บาท ลอนดอน เริ่มต้นคนละ 75,900 บาท นิวยอร์ก (JFK) เริ่มต้นคนละ 94,000 บาท

สำรองที่นั่งภายใน 31 มีนาคม นี้ สามารถเก็บไว้เดินทางได้จนถึง 30 ธันวาคม 2560

สอบถามเส้นทางอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ Amber Air Travel โทร. 0 2168 7300 ทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ 8.30 - 17.00 น. ส่วนลดนี้ใช้ได้กับการเดินทางตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ยกเว้นการเดินทางขาไป วันที่ 7 - 10, 13 - 18 เมษายน 2560 และขากลับ 15 - 31 ธันวาคม 2560 ดูรายละเอียดเพิ่มที่ www.kingpower.com



ข่าวที่ 2 “ทอท.ลงนามซิสเตอร์แอร์พอร์ตเมียนมา”

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ “ทอท.” เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้บริหาร ทอท. เข้าพบและร่วมแลกเปลี่ยนการประชุมกับ Mr. Htun Myint Naing  Chairman Yangon Aerodrome Company Limited (YACL) ในหัวข้อ “AOT-YACL Executive Meeting 2017” ณ ท่าอากาศยานย่างกุ้ง เมียนมา

 พุ่งเป้าหมายในการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างท่าอากาศยานเพื่อดำเนินกิจกรรมสำคัญร่วมกันในปี 2560 ภายใต้รูปแบบ Sister Airport Agreement รวมทั้งจะแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ระหว่างสองหน่วยงาน เช่น Ground Public Transportation Study, Airline Route Development, Airside Operations and Management carbon Accreditation   



ข่าวที่ 3 “ททท.จ่อโกยรายได้เอเชียปีระกา1.2ล้านล้านบาท”

(อ่านสกู๊ป ททท.ฉบับเต็มได้ใน X-CITE ไทยโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 26 ก.พ.60)

เปิดศักราชปี 2560 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังเป็นเสาหลักเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย จาก “ภูมิภาคเอเชีย”  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.69 % จากนักท่องเที่ยว 27 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.68 % ใช้จ่ายเงินเฉลี่ยคนละประมาณ 45,000 บาทต่อทริป หลังจากเมื่อปี 2559 สามารถทำรายได้รวมกว่า 1.064 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา 24.75 ล้านคน ใช้จ่ายเงินเฉลี่ยคนละ 43,000 บาทต่อทริป

“นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์” รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย แปซิฟิก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อธิบายว่า ปี 2560 ได้วางกลยุทธ์ทำตลาดเชิงรุกเน้นเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวแถบเอเชียเดินทางเข้ามาในประเทศไทยให้ได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ จะคัดเลือกสินค้าท่องเที่ยวสไตล์หรูหราไปวางขาย ตอนนี้สินค้าที่กำลังได้รับความนิยม ได้แก่ การเดินทางมาเป็นฉลองการสละโสดก่อนแต่งงาน (Pre wedding) คู่แต่งงาน ฮันนีมูน ท่องเที่ยวเรือสำราญ ช้อปปิ้ง

ส่วนตลาดดาวรุ่งมาแรงคือ “อินเดีย” เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ททท. นำทีมผู้ประกอบการไทยกว่า 50 ราย เข้าร่วมซื้อขายการท่องเที่ยวระดับนานาชาติในงาน South Asia's Leading Travel Show 2017 : SATTE กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ตามเป้าหมายปี 2560 จะสร้างรายได้การท่องเที่ยวจากตลาดอินเดีย  61,000 ล้านบาท เพิ่มกว่า 10% จากจำนวนนักท่องเที่ยว 1.25 ล้านคน เติบโตประมาณ 6 % สูงกว่าปีที่ผ่านมาทำได้ 1.19 ล้านคน

ปี 2560 ททท.ได้นำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวปลุกกระแสความนิยมตลาดอินเดีย 6 หมวดหลัก ได้แก่ 1.สถานที่จัดแต่งงาน ฮันนีมูน ปาร์ตี้ 2.เส้นทางอาหารไทย 3.แหล่งช้อปปิ้ง 4.กิจกรรมรองรับตลาดเศรษฐีที่พร้อมจ่ายเงินทำเวลเนสและสปา 5.เทศกาลงานประเพณีที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ  6.การจัดงานมหกรรมการค้าท่องเที่ยวที่นานานประเทศจะเข้าไปร่วมได้ในแต่ละปีที่เมืองไทย เช่น Thailand Travel Mart : TTM ซึ่ง ททท.ในฐานะเจ้าภาพจัด ได้ใช้เวทีดังกล่าวนำเสนออาหารถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละจังหวัดแต่ละภาคมาบริการผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมงานดังกล่าว โดยเฉพาะอินเดียที่มาเที่ยวเมืองไทยชื่นชอบอาหารไทยด้วยเช่นกัน

ส่วนเทรนด์ของนักท่องเที่ยวอินเดียที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วขณะนี้มี 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มวัยรุ่นเพิ่งเข้าทำงานใช้เงินเดินทางเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก (First job First visit) ซึ่งมีกว่า 30% ของประชากรอินเดียทั้งหมด 1,300 ล้านคน นิยมเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว 2.กลุ่มคู่แต่งงานอินเดีย เลือกมาแต่งงานในเมืองไทยปีมีประมาณ 300-400 คู่ และใช้เงินจัดแต่งงานคู่ละเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อครั้ง สร้างรายได้ให้กับโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งปีนี้จะขยายสถานที่ ออกแบบธีมจัดปาร์ตี้ และอื่น ๆ

3.กลุ่มครอบครัว นิยมมาอาหารไทย ซึ่ง ททท.แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวทางอาหารโดยมีให้เลือกทั้งอาหารท้องถิ่น สตรีทฟู้ด อาหารระดับรอยัลในโรงแรมระดับ 5 ดาว โดยเฉพาะ อาหารล้านนา รสค่อนข้างจัดจ้าน หรืออีสานก็มีความแตกต่างของความเผ็ดร้อนของอาหาร ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น ๆ ที่เรียกว่า One food one Local dish 

นอกจากนี้ ททท.ยังได้วางกลยุทธ์โปรโมตอาหารไทย Food Toursim ในทุกตลาดที่เดินทางเข้าไปพักผ่อน  ขณะนี้ในกรุงเทพฯ ได้จัดทำ "ตุ๊กตุ๊กฟู้ดทัวร์" โดยกลุ่มรถตุ๊กตุ๊กรวมตัวกันจัดนำเที่ยวด้วยการทำโปรแกรมพานักท่องเที่ยวไปรับประทานอาหารตามร้านอร่อยบริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ และสามารถแวะกิน ดื่ม ชมแสงสียามราตรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งให้นักท่องเที่ยวชมการปรุงอาหารแต่ละชนิดเพื่อสร้างประสบการณ์และเรียนรู้อาหารไทยไปด้วย

                4.กลุ่มนักท่องเที่ยวสตรีอินเดีย ส่วนใหญ่ชื่นชอบโปรดักซ์ห้องพักโรงแรม สปา ช่วงเดือนสิงหาคม ททท.ได้จัดทำเป็น Lady Month ให้สิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยวผู้หญิงตั้งแต่ผ่านเข้าสนามบินนานาชาติมีช่องตรวจหนังสือเดินทาง Pink lane หรือการร่วมมือกับสายการบินให้น้ำหนักกระเป๋าสัมภาระเพิ่มมากกว่าปกติ และร้านค้าช้อปปิ้งมอบส่วนลดมากมายโดดเด่นกว่าเดือนอื่น ๆ

สำหรับภาพรวมของตลาดอินเดีย ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ขยายระยะเวลาไปอีก 6 เดือนค่าจัดทำวีซ่าให้เหลือเพียง 1,000 บาท กลยุทธ์ดังกล่าวสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวซึ่งประเมินจากจำนวนยอดการขอวีซ่าของชาวอินเดียมาไทยเติบโตถึง 200 %

                นางศรีสุดาอธิบายเพิ่มว่า “ตลาดนักท่องเที่ยวอาเซียน” ก็จะเป็นอีกภูมิภาคที่มาแรงทั้งจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย และกลุ่มอาเซียนใหม่ เวียดนาม สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา จะเร่งเพิ่มทั้งรายได้และจำนวนคน สถิติปีที่ผ่านมามีรายได้จากนักท่องเที่ยวอาเซียนเกือบ 3 แสนล้านบาท จำนวน 9.3 ล้านคน ปี 2560 ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มรายได้อีกไม่ต่ำกว่า 8 %



ข่าวที่ 4 “บางจากเท1,000ล้านเปิดปั๊มคลัสเตอร์ควบค้าปลีก”



นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 วางแผนใช้งบ 1,000 ล้านบาท ขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มอีก 100 แห่ง โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนเปิดให้บริการแบบคลัสเตอร์ เส้นทางกรุงเทพฯและปริมณฑล หัวเมืองหลัก

เช่น เส้นทางหลักสายตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา นครราชสีมา-ขอนแก่น ขอนแก่น-อุดรธานี สายตะวันออก ชลบุรี-ระยอง พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดจำหน่ายน้ำมันให้ได้เดือนละ 530 ล้านลิตร

ควบคู่กับการขยายธุรกิจร้านค้าปลีกแบรนด์สพาร์ในปั๊มอีก 55 สาขา รวมถึงร้านเครื่องดื่มอินทนิลอีก 120 สาขา โดยบางจากมีนโยบายนำสินค้าชุมชนเข้ามาจำหน่ายด้วย

นายชัยวัฒน์กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งใน และต่างประเทศปี 2560 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัท และสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบางจากและบริษัทย่อยมีแนวโน้มดีขึ้นจากปี 2559 คาดการณ์จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและ ค่าเสื่อม EBITDA ประมาณ 20%



ข่าวที่ 5 เทคนิคการก่อสร้างอาคารท่าเตียน”

“อาคารอนุรักษ์” รอบพื้นที่พระบรมมหาราชวัง เป็นตึกแถวทั้งบริเวณหน้าพระลาน ท่าช้าง และท่าเตียน เป็นอาคารสองชั้น หลังคาลาดชัน “ด้านหน้า” ติดถนนมีประตูบานเฟี้ยมไม้เปิดได้กว้างตลอดความกว้างของอาคาร ส่วน “ด้านหลัง” เป็นอาคารชั้นเดียวมีผนังเป็นรูปขั้นบันได ซึ่งปัจจุบันถูกรื้อทิ้งหรือต่อเติมดัดแปลงจนไม่เห็นเค้าโครงเดิมแล้ว

สำหรับด้านหลังนี้สันนิษฐานว่าจะเป็นที่ว่างใช้สำหรับ ซักล้างครัว อาบน้ำ หรือทำสุขา ซึ่งมีข้อบังคับไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ.2440 ตามพระราชกำหนดสุขภาพิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผังเมืองและควบคุมอาคารฉบับแรก

อาคารตึกแถวที่สร้างในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 นั้นมีลักษณะของสถาปัตยกรรม “นีโอคลาสสิก” ของยุโรปหลายประการ อาทิ

1.การตกแต่งตึกแถวใช้จั่วปูนปั้นแบบฝรั่ง  เสารูปนีโอคลาสสิก ราวระเบียงและการเซาะร่องผนังให้ดูคล้ายหิน

2.เสาหน้ามุขตกแต่งแบบคลาสสิก ทั้งแบบดอริก และไอโอนิก ซึ่งพบที่หน้าพระลานกับท่าช้าง ส่วนที่ “ท่าเตียน” เป็นเสาทรงเหลี่ยมบริเวณซุ้มชั้นบน ในขณะที่ชั้นบางเป็นเสากลม หัวเสาตกแต่งแบบดอริก

3.การเน้นคูหาห้องหัวมุมและคูหาตรงกลาง ด้วยการยื่นระเบียงมุข มีการทำหน้าจั่วตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น (เรียก ซุ้มสกัดตัดตอน) ที่เชิงหลังคาตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปถ้วยรางวัลหรือผอบนั่นเอง และที่หน้าพระลานกับท่าช้าง สร้างในลักษณะดังกล่าว

นอกจากนี้ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่เด่นชัด เช่น รูปแบบองค์ประกอบสถาปัตยกรรมแตกต่างไปจากอาคารทั่วไป หรือ รูปแบบหน้าต่างทำกรอบซับซ้อนมีซุ้มโค้งใหญ่ การเลือกใช้กระเบื้องหลังคาเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนหรือเรียกกันว่า “กระเบื้องว่าว” การยกผนังหนาด้านข้างขึ้นเลยหลังคาทุก ๆ 2-3 คูหา และ การตกแต่งภายในให้มีความเรียบง่าย เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อการค้าขายและอยู่อาศัย

เป็นเรื่องราวความรู้ของอาคารอนุรักษ์รอบพื้นที่พระบรมมหาราชวัง ที่น่าสนใจ ที่จะนำมาแต่ละส่วนมาเล่าสู่กันฟังต่อเนื่องทุกสัปดาห์



ช่วงที่ 2 ออกไปท่องเที่ยว 70 เส้นทางตามรอยพระบาท อนุสาวรีย์พระนเรศวร ดอนเจดีย์ และธรรมชาติในกาญจนบุรี แล้วมาเรียนรุ้วิธีป้องกันตาล้า และข่าวการลงทุนโรงแรมทั่วไทย



@สักการะราชานุสาวรีย์พระนเรศวร-ทัวร์เมืองกาญจน์


ตลอดทุกวันนักท่องเที่ยวสามารถแวะไปเยือน “พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ต.ดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี หนึ่งใน 70 เส้นทางตามรอยพระบาท ซึ่งเปิดให้เข้าชมทุกวัน 08.00-17.00 น.เป็นหนึ่งใน 70เส้นทางตามรอยพระบาท ที่เน้น" สร้างสรรค์สำนึก ของชาวไทยให้ซาบซึ้ง ในเอกราชของชาติ "



 


สำหรับผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย คงจะมีภูมิความรู้เกี่ยวกับพระเกียรติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นอย่างดี ในท้องที่ดอนเจดีย์ จังหวัดกาญจนบุรีนั้นเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่นักวิชาการหลายฝ่าย เชื่อกันว่าเป็นสนามรบยุทธหัตถี ศึกครั้งสำคัญของชาติไทยในยุคโบราณ เนื่องจากมีการขุดค้นพบวัตถุโบราณหลายชิ้น อาทิ ศาสตราวุธ กระดูกช้างม้า พร้อมกับเครื่องประดับ อีกทั้งลูกปืนต่างๆ ทำให้พื้นที่ดอนเจดีย์แห่งนี้ได้รับเลือกให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เจดีย์ยุทธหัตถีของกาญจนบุรี มีลักษณะเหมือนเจดีย์วัดช้าง พระนครศรีอยุธยา เชื่อกันว่าสร้างในยุคเดียวกัน ทุกวันที่ 25 เมษายน ของทุกปี จะมีการจัดงานเทิดพระเกียรติฯ ที่นักท่องเที่ยวต้องห้ามพลาด

เมืองกาญจนบุรีนั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและประวัติศาสตร์ สำหรับลานกว้าง ใจกลางตำบลดอนเจดีย์แห่งนี้ กลายเป็นจุดนัดพบใหม่ของเหล่านักเดินทาง เพราะทุกคนต่างอยากมาชื่นชม พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขณะกำลังประทับบนหลังช้างศึก ตั้งอยู่ตรงใจกลางสวนสาธารณะกว้างใหญ่ด้านหน้าขององค์เจดีย์

ในบริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของเจดีย์เก่าแก่เรียกขาน กันว่าเจดีย์ยุทธหัตถี เป็นเจดีย์ศิลปะสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ท่ามกลางมวลหมู่ธรรมชาติ แม้ยอดจะหักพังไปบ้าง แต่ ยังคงรูปทรงเป็นเจดีย์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ นับเป็นสถานที่สักการะบูชาที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย

เส้นทางท่องเที่ยว จ.กาญจนบุรี


 วันแรก “ช่วงเช้า” ไปวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร วัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถึง 2 ครั้ง พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ชมเจดีย์ยุทธหัตถีและพิพิธภัณฑ์ “ช่วงกลางวัน” ไปชมเขื่อนแม่กลอง รับประทานอาหารชมวิวทิวทัศน์ “ช่วงบ่าย” แวะเยี่ยมชมวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) และวัดถาวร วราราม (วัดญวน) ต่อด้วยวัดรัชดาภิเษก


วันที่สอง  “ช่วงเช้า” ชมทัศนียภาพและสวนสวย ที่สวนเวลารำลึก บริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ “ช่วงกลางวัน”ชมทัศนียภาพที่เขื่อนวชิราลงกรณ์ แวะกราบ ขอพร พระพุทธรูป ภปร. ที่วัดทองผาภูมิ “ช่วงบ่าย”

แวะผ่อนคลายที่พุน้ำร้อนหินดาด และเที่ยวชม น้ำตกไทรโยคน้อย

รับประทานอาหารเย็นที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว

สถานที่เที่ยวห้ามพลาด  พิพิธภัณฑ์พระราชประวัติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดพบ จากพื้นที่โดยรอบอาคารนิทรรศการจัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์บอกเล่าความ เป็นมาของศึกรบต่างๆ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

กิจกรรมห้ามพลาด  จัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์บอกเล่าความ เป็นมาของศึกรบต่างๆ ของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เยี่ยมชมต้นข่อยขนาดใหญ่ ที่เชื่อว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคพระมหาอุปราชา พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

        สนใจท่องเที่ยวติดต่อเทศบาลตำบลดอนเจดีย์  โทร.034-652-166

การเดินทาง  จากกาญจนบุรีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 324 จากกาญจนบุรีไปประมาณ 14 กม. มีทางแยกขวาเข้าสู่พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช

@ 7 วิธีช่วยแก้อาการตาล้าได้

ถ้าคุณเกิดอาการตาล้าขึ้นมา เพราะต้องอ่านหนังสือหรือจ้องจอคอมพิวเตอร์ มือถือสมาร์ทโฟนนานๆ จนกระทั่งการมองเห็นของเกิดการพร่ามัว คำแนะนำต่อไปนี้ 7 วิธี

1.หยุดใช้สายตาเป็นระยะๆ หากต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือต้องอ่านหนังสือวันละ 6-8 ชั่วโมง หาเวลาพักสายตาทุก 2-3 ชั่วโมง ครั้งละ 15 นาที หรือหันไปอ่านจากสิ่งที่พิมพ์ออกมาจากคอมพิวเตอร์แทนที่จะอ่านจากจอโดยตรง

2.ใส่ใจในเรื่องแสง เวลาอ่านหนังสือให้มีแสงพอเห็นได้ชัด แต่อย่าให้มีแจ้งจ้า และอย่าให้แสงไฟที่ก่อให้เกิดแสงสะท้อนเข้าตา

3.ใช้แว่นตา สามารถหาซื้อได้จากจักษุแพทย์หรือร้านแว่นตาโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถช่วยเรื่องตาคุณได้

4.เลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายถูกต้อง เลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายต่ำสุดที่คุณสามารถอ่านหนังสือได้ในระยะที่ต้องการ หากเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสูงเกินไปคุณจะเห็นตัวหนังสือระยะใกล้ได้ชัด แต่จะเห็นตัวหนังสสือพร่ามัวเมื่ออยู่ไกลออกไป

5.ปรับให้จอมืดลง อย่าให้แสงจากจอคอมพิวเตอร์จ้ามากนัก ควรปรับลดความจ้าและปรับความเข้มของจอลงให้พอดีที่จะอ่านได้ชัด

6.ทำงานในที่ร่มบัง ใช้แผ่นกรองแสงปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ครอบคลุมแผ่นจอทั้งหมด จากนั้นก็ปรับความเข้าลงให้ระดับต่ำสุด

7.ใช้น้ำชาช่วย ชงชาแล้วปล่อยให้เย็นลงเล็กน้อย เอาผ้าขนหนูจุ่มลงในน้ำชาให้เปียกชุ่ม นอนหงาย วางผ้าขนหนูที่เปียกน้ำชาลงบนเปลือกตา (หลับตา) ไว้สัก 10-15 นาที จะทำให้ตาหายล้า แต่ต้องระวังอย่าเทหรือทำให้น้ำชาเข้าไปในลูกตา



ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ข่าวแรก “เคปแคนทารีขยายอาณาจักรโรงแรมพัทยา”

นายวิวัฒน์ ตั้งจิตกอบบุญ ผู้อำนวยการกลุ่มคอปอเรต เคป แอนด์ แคนทารี โฮเท็ลส์  เปิดเผยถึงแผนการลงทุนของกลุ่ม เคป แอนด์ แคนทารี  ว่าปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ตที่อยู่ในความดูแลรวม 22 แห่ง 3 แบรนด์ ได้แก่ เคป โฮเต็ล แคนทารี คอลเลคชั่น และ คามิโอ คอลเลคชั่น ตามแผนการลงทุนปี 2560 จะเดินหน้าพัฒนาในพัทยา 2 แห่ง



แห่งแรกบริเวณนาเกลือจะสร้างเป็นลักษณะพูลวิลล่า จะเปิดให้บริการปลายปีนี้หรือต้นปี 2561 แห่งที่  2 อยู่ในพื้นที่พัทยาสาย 1 จะพัฒนาโรงแรมในพื้นที่ 15 ไร่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งนำร่องโรงแรม 3 แห่ง 3 แบรนด์ ไว้ในพื้นที่เดียวกัน



สำหรับปี 2559 ได้เปิดโรงแรมใหม่มูลค่าการลงทุนรวมเกือบ 2,500 ล้านบาทมีทั้งเคป กูดู เกาะยาวน้อย พังงา ลงทุน 700-800 ล้านบาท  แคนทารี โฮเทล โคราช 1,000 ล้านบาท, คามิโอ โฮเทล อมตะ บางปะกง ฉะเชิงเทรา 700 ล้านบาท



โดยได้วางกลยุทธ์หาตลาดใหม่เข้ามาเสริม อาทิ จัดทำแพ็กเกจ Weekend Specials หรือห้องพักราคาสุดพิเศษช่วงสุดสัปดาห์ (ศุกร์-อาทิตย์) ราคาเริ่มต้นเพียง 1,600 บาท โรงแรมที่ภูเก็ต เขาหลัก  เกาะยาวน้อย เชียงใหม่ ระยอง และอยุธยา



และแพกเกจ “นักกอล์ฟ” จะมีแพ็กเกจสุดคุ้ม 2 สนาม คือ สนามกอล์ฟกบินทร์บุรีสปอร์ตคลับ และฮิลล์ไซด์คันทรีโฮม กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ต วันธรรมดา จันทร์-พฤหัสบดี ราคาคนละ 2,000 บาท และ วันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 2,800 บาท เป็นราคานี้รวมห้องพัก 1 คืนพร้อมอาหารเช้าและค่ากรีนฟรี 18 หลุม 2 รอบ  



ปิดท้ายด้วยแพ็กเกจจัดประชุม สัมมนา หรือ Meeting Packageทั้งสำหรับหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชน



ข่าวที่สอง “คาเฟ่-แคนทารีโหมทำโปรอาหาร”



คาเฟ่ แคนทารี สระบุรี ฉลองเปิดสาขาใหม่ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 มีนาคม 2560  ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว รับ ฟรี 1 แก้ว ลิ้มรสความอร่อยอีกหลากหลายเมนูทั้งอาหารคาว ขนมหวาน  ในบรรยากาศชิคๆ  สอบถามที่ call centre: 1627 หรือเwww.cafekantary.com



ส่วนโรงแรมแคนทารี, กบินทร์บุรี ตลอดเดือนมีนาคม 2560 เปิดห้องอาหารแคลิฟอร์เนีย สเต็ก ขายราคาเพียง 350++ บาท ด้วยเมนูแนะนำจากเชฟ “ปลาทูน่าย่างซอสมะเขือเทศ” เมนูสุดเริ่ดปลาทูน่าปรุงด้วยความหอมของงาขาว งาดำ และซอสมะเขือเทศรสจัด ทานคู่กับไวน์ขาวจะเพิ่มรสชาติ โทร. 037-282-699 หรือ www.kantarycollection.com



วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สมาคมสปาไทยงัดพรบ.คุมมาตรฐานธุรกิจ-ทอท.คิกออฟแผนแม่บทสนามบิน20ปี-ททท.จัดมวยไทยสู่โลก


ไทยงัดพรบ.ใหม่ปรับใหญ่ธุรกิจเวลเนสสปา
จัดระเบียบผุดมาตรฐานทะลุปีละ3หมื่นล้าน
ทอท.คิกออฟแผนแม่บทขยายสนามบิน20ปี
ททท.จัดเดือนท่องเที่ยวกีฬามวยไทย4ภาค



สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางได้มือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong และ gurutourza.blogspot.com)
นายกรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย


นายกรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปฏิรูปอุตสาหกรรมสุขภาพองค์รวมครั้งใหญ่ในประเทศไทยเป็น Global Trend ที่คนไทยต้องจับตา จะต้องพัฒนาบริการอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างหลากหลาย ตามหลักการดูแลสุขภาพจะมีเรื่องกินอาหาร ออกกำลังกาย ฟิตเนส ทุกวันนี้จะพูดถึงเรื่องสปา สุขภาพองค์กร หรือ Holistic เป็นบริการที่ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะดึงศักยภาพเหล่านี้ออกมาบริการนักท่องเที่ยวได้

ศักยภาพความพร้อมของผู้ประกอบการไทยมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เพราะหลายปีที่ผ่านมาเราได้จัด “มาตรฐาน” สำหรับการให้บริการ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่างทางด้านสุขภาพ ที่เอกชนได้เข้าไปมีส่วนร่วม “การปรับแก้กฎหมาย” เพื่อหาทางเปิดประตูให้ผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่ความเป็นเทรนด์สากล

กฎหมายดังกล่าวที่จะนำมาเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรมเวลเนสสปาดีขึ้น คือ “พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ สาระสำคัญคือ ระบบมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภค นิยมที่หมายถึง “นักท่องเที่ยว” ที่เข้ามาใช้บริการ การสร้างกฎหมายเพื่อรองรับและการปรับตัวเป็นการ“เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ”

ส่วนการทำประชาสัมพันธ์กฎหมายฉบับนี้มีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ 27 กันยายน 2559 แต่ในกฎหมายก็มีบทเฉพาะกาลยืดเวลาให้ผู้ประกอบการได้ “เตรียมตัว” มากขึ้น ไม่เฉพาะผู้ประกอบการแต่เป็นผู้ออกกฎหมายที่จะต้องเข้าใจด้วยเช่นกัน ภายในระยะ 180 วันนับจากวันที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 นี้เป็นต้นไป

นับจากเดือนมีนาคมปีนี้เป็นต้นไปจึงต้องติดตามจับตาดูกันว่า เมื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้แล้วจะสามารถสร้างมาตรฐานได้อย่างไรบ้าง

หลัก ๆ แล้วผู้ประกอบการจะเปลี่ยนแปลงไปในทางดีที่ขึ้นเมื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้ อย่างแรกคือ “ผู้ให้บริการ” คือ เทอราปิสต์ อาชีพของคนเหล่านี้จะต้องได้รับการเรียนรู้โดยอ้างอิงจาก “หลักสูตรกลาง” ซึ่งจะไปหาได้จากการจัด “ระเบียบสถานศึกษา” ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตบุคลากร โดยจะมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการ” ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ดูแล กำกับมาตรฐานของสถานศึกษานั้น ๆ เมื่อสถานศึกษามีมาตรฐานคนที่เข้าไปเรียนก็จะได้รับประโยชน์ เมื่อออกมาก็ทำงานด้านการนวดเพื่อสุขภาพให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ

          ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างอุตสาหกรรมบริการสุขภาพองค์รวมของประเทศ

          ขณะเดียวกัน “ผู้ให้บริการ” จะต้องเลือกจ้างคนมาทำงานอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้มีการ “ขึ้นทะเบียน” ผู้ประกอบการด้วย เพราะฉะนั้นจะทำให้รู้ “จำนวนผู้ให้บริการ” ผนวกกับ “การจ้างเทอราปิสต์” ก็จะรู้เลยว่าผ่านการอบรมตามหลักสูตรมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข

ข้อดีต่าง ๆ จากการบังคับใช้กฎหมายยังมีอีกหลายส่วน เช่น ใบอนุญาตผู้ประกอบการแต่ละแห่งต่อไปจะต้องแสดงให้โดยนำมาวางในที่ที่ผู้ใช้บริการสามารถมองเห็นด้วย เพื่อยืนยันความถูกต้อง

อันเป็นมาตรฐานของ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดระเบียบ นำกฎหมายมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นระบบกับอุตสาหกรรมบริการเวลเนสสปาของประเทศ

สำหรับ “มูลค่าตลาดเวลเนสสปา” ของประเทศไทย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงแค่สปา ซึ่งรวมถึงการศึกษา มีโรงเรียน สปาโปรดักซ์ สมุนไพร อุปกรณ์ เครื่องแบบ หน่วยบริการให้คำปรึกษา กลายเป็นกระแสสำคัญของโลก มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งต้องวางรากฐานบริการเริ่มต้นด้วยกฎหมายตามที่กล่าวมา

เม็ดเงินรายได้จากอุตสาหกรรมสปา ตามสถิติของโกลบอลสปาประเทศไทยมีรายได้หมุนเวียนประมาณปีละ 30,000 ล้านบาท จากทั่วโลกที่มีมากถึง 3.7 ล้านล้านบาท

เมื่อจัดระเบียบปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำให้ผู้ใช้บริการมีแรงจูงใจในการกลับมาใช้บริการซ้ำ ๆ ซึ่งจะทำให้ “มูลค่าเพิ่มของรายได้” เพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายควรจะต้องช่วยกันอย่างเต็มที่

ส่วนภารกิจของคุณกรด ในฐานะทายาทของผู้นำการบุกเบิกเวลเนสสปาเมืองไทยภายใต้แบรนด์ “ชีวาศรม” ที่ริเริ่มพัฒนารุ่นต่อรุ่นมากว่า 20 ปี จึงพร้อมจะนำร่องผลักดันให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางเวลเนสสปาอาเซียน” โดยการใช้องค์ความรู้และความเข้าใจ ด้วยกลยุทธ์การเผยแพร่ทั้งทางด้านการประกอบธุรกิจ การให้บริการสุขภาพองค์รวม ตามคอนเซ็ปต์ที่ต่างชาติหรืออินเตอร์เนชั่นแนลเรียกชีวาศรมว่าเป็น Destination Spa หรือประเทศจุดหมายปลายที่นักเดินทางทั่วโลกต้องการมาใช้บริการ การเรียนรู้บุคลากร องค์ประกอบหลักจะต้องเรียนรู้ในหลายส่วนที่เกิดขึ้น

ในวันนี้ “ชีวาศรม” ได้มอบหมายให้ผมเข้ามาทำงานเพื่อสังคมในตำแหน่ง “นายกสมาคมสปาไทย” ก็เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับทุกฝ่ายได้เข้าใจ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนด้วย เพราะการลงทุนเดสนิเนชั่นสปาต้องใช้เงินสูงมาก อันเป็นสิ่งที่ตอบโจทก์ผู้ให้บริการ เพราะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเวลเนสสปา ยอมที่จะ “จ่ายเงินสูงกว่า” นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ หลายเท่า เพราะเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพ เปลี่ยนแปลงร่างกายในการชะลอวัย รักษาความเป็นหนุ่มสาว

ทางชีวาศรมยินดีต้อนรับผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ เพราะเราเองก็มีโรงเรียนสอน “ชีวาศรม อคาเดมี” เปิดมา 10 กว่าปี ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการรับรองหลักสูตรทางด้าน สปา อาหาร อบรม บริหารจัดการเวลเนสสปา รีสอร์ต ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาศึกษา เรียนรู้ได้

ปี 2560 จึงเป็นอีกมิติของอุตสาหกรรม “เวลเนสสปา” เมืองไทย ที่จะมีโอกาสนำกฎหมาย “พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างกรอบมาตรฐานให้ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ พนักงานบริการ และผู้รับบริการ ได้รับประโยชน์จริง ๆ





ฟังข่าวช่วงแรก



ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์ปั้นแบรนด์ไทยขยายในดิวตี้ฟรี

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ตระหนักถึงผลิตภัณฑ์คนไทย จึงได้สร้างสรรค์สินค้าหรูหราของคนไทยขึ้นมาจำหน่าย 2 แบรนด์

แบรนด์แรก “วีอาร์เอช” เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก ที่นำแนวความคิดสนุกสนานมาเป็นลูกเล่นสดใหม่ผสานเข้ากับเรื่องราวของวัฒนธรรมสำคัญต่างๆในเอเชีย จนได้เป็นของฝากที่สร้างร้อยยิ้มและความประทับใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ทั้งยังได้เผยแพร่เรื่องราวของวัฒนธรรมและสถานที่สำคัญต่างๆ ผ่านลูกเล่นและการใช้งานของสินค้าราวกับผู้รับได้มาเที่ยวด้วยตนเอง

แบรนด์ที่ 2 แฟชั่นฝีมือดีไซน์เนอร์คนไทยอย่าง VS (Voyage of Style) เป็นงานออกแบบภายใต้แนวคิด “แรงบันดาลใจในการเดินทาง” (Inspired Traveling) สร้างสรรค์ผลงานทันสมัยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้ออกแบบมาเพื่อนักท่องเที่ยวที่รักและหลงใหลการเดินทางเป็นพิเศษ โดยใส่ใจเรื่องการออกแบบและการใช้วัสดุคุณภาพดีและบางเบา สามารถสวมใส่ได้ง่าย โดยผลิตภัณฑ์ถูกแบ่งออกเป็นสินค้าหลากหลายประเภท อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าพันคอ เครื่องประดับ ซึ่งเหมาะจะเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองทุกการใช้งาน



ข่าวที่ 2 “บอร์ดทอท.อนุมัติแผนแม่บท 20 ปีหน้า”


นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่ามติที่ประชุมบอร์ดเดือนกุมภาพันธ์ ได้อนุมัติแผนขยายการใช้งบประมาณลงทุนกว่า 2.2 แสนล้านบาท ในการพัฒนาท่าอากาศยานของ ทอท. ภายใต้แผนแม่บท 20 ปีหน้า ดังนี้

1.การปรับขั้นตอนการดำเนินงานในแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.ในปีงบประมาณ 2559 คณะกรรมการ ทอท.ได้เห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) โดยมีกรอบวงเงินลงทุนประมาณ 4 แสนล้านบาท และให้ ทอท. เสนอแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งให้กระทรวงคมนาคม (คค.) พิจารณาความเหมาะสมก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแนว

ทางการดำเนินการตามแผนแม่บทกำหนดแนวทางการพัฒนาท่าอากาศยานใน 20 ปีข้างหน้า คือในปี 2578

โดยมีการแบ่งการดำเนินการเป็นระยะ ประกอบด้วย กลุ่มงานพัฒนาด้าน Airside ด้านอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน และด้านระบบสาธารณูปโภค โดยมีขั้นตอนหลักคือ งานออกแบบ และงานก่อสร้าง ในการพัฒนา แต่ละระยะ ทอท.จะดำเนินการแยกงานจ้างออกแบบจากโครงการพัฒนาตามแผนแม่บทมาดำเนินการก่อน เมื่อออกแบบแล้วเสร็จ จึงเสนอรายละเอียดโครงการเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ทอท.  กระทรวงคมนาคม (คค.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับต่อไป

สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ทสภ. และโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 สศช.ได้อนุมัติงบประมาณลงทุน (เพิ่มเติม) ประจำปี 2559 สำหรับการดำเนินการจ้างผู้ออกแบบแล้ว

            หลังจากได้รับอนุมัติแผนแม่บทดังกล่าว ปรากฏว่ามีปัจจัยบางประการที่มีผลกระทบต่อแผนการดำเนินงาน ตามโครงการ ประกอบกับปริมาณการจราจรทางอากาศได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดการณ์ไว้ตามแผน ทอท. จึงเห็นควรปรับแผนและจัดลำดับการขออนุมัติโครงการพัฒนาท่าอากาศยานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้

                - ปีงบประมาณ 2560 เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่และเชียงใหม่ภายในเดือนสิงหาคม 2560

                - ปีงบประมาณ 2560 – 2561 เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองภายในเดือนพฤศจิกายน 2560

                - ปีงบประมาณ 2561 เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงรายและภูเก็ตภายในเดือนมิถุนายน 2561

            ทั้งนี้ การปรับแผนการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว ยังเป็นไปตามกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ทอท. และมีแผนงานการก่อสร้าง ดังนี้

                - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ระยะที่ 1 จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนตุลาคม 2562 - พฤษภาคม 2567

                - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ระยะที่ 1  จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนตุลาคม 2562 - มิถุนายน 2568

                - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3  จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนมีนาคม 2563 - มิถุนายน 2568

                - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงรายระยะที่ 1  จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2563 - เมษายน 2565                          

                 - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตระยะที่ 2  จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2563 - ตุลาคม 2565

            คณะกรรมการ ทอท.มีมติอนุมัติการปรับขั้นตอนและรายละเอียดการดำเนินงานในแผนแม่บทการพัฒนา  ท่าอากาศยานก่อนเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานต่อไป



        2.  การจัดหาผู้รับจ้างสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

            คณะกรรมการ ทอท.อนุมัติให้ ทอท.ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างงานจ้างสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)  โดยวิธีการประกวดแบบ วงเงินงบประมาณในการจัดหาเป็นเงินประมาณ 308,000,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม   

            โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ทสภ. ดำเนินการตามแผนแม่บทพัฒนา ทสภ.ระยะสั้น (ปี พ.ศ.2559-2564) ซึ่งมติที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2559 ได้เห็นชอบงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ ประจำปี 2559 (เพิ่มเติม) สำหรับงานจ้างสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ทสภ.วงเงิน 309.441 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่รวมสำรองราคาร้อยละ 10) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้อนุมัติงบประมาณจ้างออกแบบดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2559



 ข่าวที่ 3 “ททท.จัดเดือนมวยไทยโลกบูมท่องเที่ยวเชิงกีฬา”



นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ได้จัดกิจกรรม “Amazing Fight” เชิญชวนนักท่องเที่ยวที่สนใจมวยไทยเดินทางมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับมวยไทย พร้อมกับการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และศิลปโบราณอย่างลึกซึ้งในประเทศไทย 4 ภาค

เพราะขณะนี้มวยไทยเป็นศิลปะและศาสตร์การป้องกันตัวที่ทั่วโลกยอมรับทั้งจากเอเชีย หรือยุโรป อเมริกา อีกทั้งโครงการ Amazing Fightยังได้ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์โชว์การออกอาวุธแบบมวยไทยครบเครื่อง กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬามวยไทยให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

การจัด “Amazing Fight” มีไฮไลต์ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าร่วม 4 กิจกรรม ได้แก่ 1.ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาเรียนรู้ศาสตร์อย่างใกล้ชิด โดยสัมผัสและฝึกมวยกับ บัวขาว  บัญชาเมฆ จะทำหน้าที่ฝึกให้กัลผู้ที่สนใจ 2.เดินทางไปเรียนรู้มวยไทยโบราณใน 4 ภาค ได้แก่ 1.ภาคเหนือ มวยท่าเสา จ.อุตรดิตถ์ 2.ภาคอีสาน มวยโคราช จ.นครราชสีมา 3.ภาคกลาง มวยลพบุรี จ.ลพบุรี 4. ภาคใต้ มวยไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และได้ขึ้นสังเวียนชกมวยไทยจริง

3.ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพิธีไหว้ครูมวยไทยโลก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่นักมวยไทยต้องไม่พลาด 4.เที่ยวเมืองไทยฟรี สำหรับผู้สมัครที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมกิจกรรม 20 คน จะได้เที่ยวฟรี ส่วนผู้ชนะรอบสุดท้าย 4 คน จะได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นแพ็กเกจที่พักในไทย

ททท.ได้เปิดให้ผู้สนใจชาวต่างชาติทั้งชายและหญิง เข้ามาร่วมสนุกสมัครทางเว็บไซต์ www.tourismthailand.org/festivalexperience ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม  -  28 กุมภาพันธ์ 2560

โครงการจะแบ่งการแข่งขันเป็น 3 รอบ รอบที่ 1 คัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบ 20 คน จากผู้สมัครทั้งหมด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ชาย 10 คน ผู้หญิง 10 คน เดินทางมาเรียนมวยไทย โดยจะประกาศผลผู้ได้เข้ารอบวันที่ 10 มีนาคม 2560 จากนั้นก็จะนำเข้าร่วมงานไหว้ครูมวยไทยกับ บัวขาว บัญชาเมฆ และร่วมโชว์ในงานพิธีไหว้ครูมวยไทยโลก วันที่ 17 มีนาคม 2560 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา  

ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวและทำกิจกรรมในประเทศไทย ทางโครงการจะถ่ายทำคลิปอัพโหลดขึ้นเว็บ www.tourismthailand.org/festivalexperience และเปิดให้ผู้ชมร่วมโหวตคนที่ชื่นชอบ ร่วมลุ้นรับรางวัล ซึ่งผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงที่สุดจะได้รับรางวัล popular vote เป็นแพ็กเกจที่พัก โดยเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมโหวตให้ผู้แข่งขันที่ชื่นชอบได้ในวันที่ 15 – 24 มีนาคม 2560 เพื่อลุ้นรับรางวัล popular vote และรายชื่อผู้โชคดีภายในวันที่ 25 มีนาคม 2560

รางวัลของผู้เข้าแข่งขัน รางวัลชนะเลิศ แพ็กเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน จาก ศรีพันวา ภูเก็ต 4 รางวัล รางวัล popular vote แพ็กเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน จากอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ต 1 รางวัล สำหรับผู้เข้าร่วมโหวต แพ็กเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน จากพุทธรักษา หัวหิน รีสอร์ทอีก 20 รางวัล



ข่าวที่ 4 “ปี’60บางจากลุยลงทุน1.85หมื่นล้าน”

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 ตั้งเป้าเงินลงทุนไว้ 18,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 6 ส่วน ประกอบด้วย งบซ่อมบำรุง 5,000 ล้านบาท งบลงทุนในโครงการต่างๆ 5,000 ล้านบาท งบดำเนินงานธุรกิจไบโอฟูเอล 3,000 ล้านบาท งบดำเนินลงทุนด้านทรัพยากรอื่นๆ เช่น ลิเทียม 4,000 ล้านบาท งบการตลาด เช่น การขยายปั๊ม และธุรกิจนอน-ออยล์ 1,000 ล้านบาท และงบวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอีก 500 ล้านบาท

ธุรกิจโรงกลั่นจะขยายกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 111,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะปีนี้ไม่มีแผนหยุดซ้อมบำรุงโรงกลั่น คาดจะมีค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ผลิตได้ 101,390 บาร์เรลต่อวัน และมีค่าการกลั่นอยู่ระดับ 5.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี 45 วัน แต่ยังถือว่ามากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 96,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากมีระบบการจัดการที่ดี

รวมทั้งมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานร่วม (โค-เจนเนอเรชั่น) เพิ่มอีก 1 แห่งจากเดิมที่มีอยู่ 2 ที่ซื้อมาจาก บมจ. ปตท. เพื่อใช้ลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำที่เป็นเชื้อเพลิงในธุรกิจได้ประมาณ 20% จะดำเนินการได้ช่วงเมษายน 2560 ส่วนธุรกิจไบโอฟูเอล และธุรกิจไบโอดีเซลจะจำหน่ายเพิ่มขึ้น 20% หากภาครัฐยังคงสัดส่วนการผสมผลิตภัณฑ์ B100 ในน้ำมันดีเซลที่ 5% การทำธุรกิจไบโอฟูเอล จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ปรับโครงสร้างรองรับนโยบายอุตสาหกรรมชีวภาพตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล

ปี 2559 บมจ.บางจาก มีรายได้ 144,705 ล้านบาท เติบโต 3% จากปี 2558 มีกำไรสุทธิ 4,700 ล้านบาท เพิ่ม 15% มีส่วนแบ่งการตลาดการค้าน้ำมันอันดับ 2 เพิ่ม 0.1% จากปีก่อนเป็น 15.1% นับเป็นรายเดียวในประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการขยายธุรกิจนอน-ออยล์ โดยเฉพาะสพาร์ ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ชั้นนำจากเนเธอร์แลนด์ สามารถสร้างยอดขายด้านค้าปลีกเติบโตถึง 12.4%



ข่าวที่ 5 “พัฒนาเอกลักษ์ไทยท่าเตียนสู่ตลาดสากล”

เรื่องราวความเป็นมาโครงการ “พัฒนาพื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง” รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ของ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550 กระทั่งในปี 2560 ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้รายงานว่าแนวทาง “พัฒนาพื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง” เป็นโครงการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารอนุรักษ์บริเวณรอบพระบรมมหาราชวัง เป็นนโยบายของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มีมาจากการเห็นความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน และเป็นการสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เรื่องการอนุรักษ์พื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร

ที่ผ่านมาการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ “ชุมชนตึกแถวถนนหน้าพระลาน ท่าช้าง และท่าเตียน” ถือเป็นการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การทาสีอาคาร การปรับปรุงพื้นผิวถนน แต่ยังมิได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว

โดยเฉพาะการบูรณะซ่อมแซมอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะต้องทำเนื่องจากเป็นอาคารที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองมีหน้าที่ต้องทำนุบำรุงและรักษาให้มีสภาพเดิมอยู่เสมอ



          ตลอด 10 ปีที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ดำเนินการพัฒนานั้น ได้ทำอย่างเป็นระบบโดยทำให้อาคาเก่ามีความแตกต่างจากอาคารโดยทั่วไป คือ คุณค่าความสำคัญด้านสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการที่มักเรียกกันว่า “กระบวนการวางแผนการอนุรักษ์” เพื่อให้อาคารหน้าพระลาน ท่าช้าง ท่าเตียน ใช้หลักการอนุรักษ์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากที่สุด



ช่วงที่ 2 ตาม 70 เส้นทางตามรอยพระบาท ไปชม “ต้นกำเนิดผ้าไหมไทยแพรวา กาฬสินธุ์” พร้อมทั้งมีข้อแนะนำบัณฑิตจบใหม่กับไลฟ์สไตล์การอยู่อย่างมีความสุข และข่าวการบินที่น่าสนใจ



@เที่ยวศูนย์ฯผู้ไทยแหล่งผ้าไหมแพรวาบ้านโพน


ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรว“บ้านโพน ต.บ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ เปิดตลอดทั้งปี เข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.30-17.30 น.

สำหรับคนรักผ้าไหมต้องบันทึกลงในสมุดเดินทางส่วนตัวไว้เลยว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ มีศูนย์ผลิตผ้าไหมทอมืออันวิจิตรเลื่องชื่อตั้งอยู่ที่ตำบลโพน ในตัวอำเภอคำม่วง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามถิ่นกำเนิดผ้าไหมแพรวา หรือ แพรวาราชินีแห่งไหม โดยมีที่มาจากลวดลายพิเศษบรรจงของแพรวา ซึ่งมีความแตกต่างกันถึง 60 ลาย จากอดีตทอไหมเพียงหน้าแคบและยาว ทว่าปัจจุบันมีการทอไหมหน้ากว้างเพิ่มขึ้น และมีให้เลือกหลากหลายลวดลายและขนาดตามใจชอบ

ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน อยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยริเริ่มโครงการนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 2521 ประกอบไปด้วย บ้านเรือนไทยจำนวน 4 หลัง และศูนย์พิพิธภัณฑ์ผู้ไทยผ้าไหมแพรวา ช่วยสร้างรายได้ให้กับชาวผู้ไทย และส่งเสริม วัฒนธรรมการทอผ้าไหมที่มีมาอย่างยาวนานให้คงอยู่ หากได้เข้าไปสัมผัสจะพบว่าชาวบ้านโพนมีชีวิตเรียบง่ายดั้งเดิม สุขสงบ อัธยาศัยไมตรีดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชาวบ้านโพน ไม่แพ้ฝีมือถักทอไหม ที่ยอดเยี่ยมจนได้รับการยอมรับในวงกว้าง


อาจกล่าวได้ว่านอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้งานหัตถศิลป์ ที่สืบสานกันมาอย่างยาวนาน บ้านโพนยังเหมาะสำหรับการพักผ่อน นอนโฮมสเตย์สัมผัสวิถีชีวิตชาวผู้ไทยแบบ พอเพียง ฟังเสียงโปงลาง กินอาหารอีสานบ้านๆ ที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวย้อนยุค ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากหยุดเวลา หรือชะลอจังหวะชีวิตให้ช้าลง

" ศูนย์ส่งเสริมผ้าไหมทอมือ สร้างอาชีพทอผ้าไหมแพรวาของชาวโพน ให้คงอยู่คู่วัฒนธรรมไทย "

เส้นทางท่องเที่ยว จ.ขอนแก่น-กาฬสินธุ์- ร้อยเอ็ด

วันแรก : ขอนแก่น-กาฬสินธุ์ “ช่วงเช้า” เยี่ยมชมพระธาตุขามแก่น พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง “ช่วงกลางวัน” พิพิธภัณฑ์สิรินธร พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ สมบูรณ์ที่สุดในอาเซียน เยี่ยมชมพระบรมสารีริกธาตุและกราบพระพุทธนิมิตรเหล็กไหลที่วัดพุทธนิมิตร หรือวัดภูค่าว เยี่ยมชมพระบรมสารีริกธาตุที่วัดพุทธนิมิตร “ช่วงบ่าย” เยี่ยมชมพระบรมธาตุเจดีย์ฐิตสีลมหาเถรานุสรณ์ ณ วัดรังสีปาลิวัน ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน

วันที่สอง : กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด “ช่วงเช้า”เยี่ยมชมพระธาตุยาคู

เมืองไม้บาติก OTOP 5 ดาว ของร้อยเอ็ด “ช่วงบ่าย” เดินทางสู่วัดป่ากุง ชมความงดงามของเจดีย์หินทรายที่จำลองมาจากเจดีย์บรมพุทโธที่อินโดนีเซีย พร้อมเยี่ยมชมเจดีย์มหาวีราจริยา นุสรณ์ เจดีย์กลางน้ำที่ใช้ประกอบพิธีพระราชเพลิงสรีระสังขารของหลวงปู่ศรี มหาวีโร


สถานที่เที่ยวห้ามพลาด บ้านเรือนไทยศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน เลือกซื้อ ผ้าไหมแพรวา หลายขนาด หลากลวดลายหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOPยลถิ่นฐานวัฒนธรรมผู้ไทย วัดป่ารังสีปาลิวันมีพระบรมธาตุเจดีย์ฐิตสีลมหาเถรานุสรณ์วิจิตรงดงาม

กิจกรรมห้ามพลาด  พักผ่อนโฮมสเตย์ สัมผัสวิถีชีวิต ชาวผู้ไทยแบบพอเพียง เรียนรู้การทอผ้าไหมแพรวา ชมงานหัตถศิลป์ที่สืบสานกันมายาวนาน ของชาวผู้ไทยที่บ้านโพน

สนใจท่องเที่ยว ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทยฯ  โทร. 0-4385-6157  www.sdm.dmr.go.th

การเดินทาง  จากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 227 ระยะทาง ประมาณ 70 กม.




@6 ทักษะสำคัญที่บัณฑิตจบใหม่ควรรู้

มีเรื่องราวดี ๆ มาฝากสำหรับบัณฑิตจบใหม่ ในการปรับบุคลิกให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานยุคใหม่ ด้วย 6 ทักษะสำคัญ

1.ความสามารถหลากหลาย เพิ่มทักษะให้รอบด้านได้ ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ลองเปิดรับโอกาสที่เข้ามา สุดท้ายอาจจะได้พบว่าเราทำอะไรได้อีกมากมายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น การเริ่มต้นทำงานในบริษัทเล็กๆ ที่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้การทำงานทุกตำแหน่ง อย่ามองว่าเป็นงานหนักและเหนื่อย แต่ให้มองว่าเป็นโอกาสที่ดีจะได้เรียนรู้และฝึกตัวเองให้มีความสามารถรอบด้าน

2.การเข้าสังคม การทำงานร่วมกับคนจำนวนมาก โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้ง คิดเห็นไม่ตรงกันก็มีได้บ่อย หากเราเป็นคนปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ก็ช่วยให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ลองทำความเข้าใจถึงความต่างของผู้อื่น และรู้จักปล่อยวางกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ก็จะช่วยให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสบายใจ

        3.การปรับใช้ อย่ายึดติดกับการทำงานในรูปแบบเดิมๆ เปิดใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมรู้จักนำสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่มาปรับใช้พลิกแพลงให้เข้ากับการทำงาน โดยดึงสิ่งที่มีอยู่ทั้งทรัพยากรและความสามารถในตัวบุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โอกาสก้าวหน้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

4.การใช้เทคโนโลยี นับเป็นความโชคดีของเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องอัพเดทตัวเองให้ทันโลก และพยายามเพิ่มทักษะใหม่ๆ ด้านการใช้โปรแกรมต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างอาชีพเสริม หรือเพิ่มรายได้หากรู้จักนำมาใช้ให้ถูกวิธี

5.การคิดวิเคราะห์ ทุกวันนี้เรามีข้อมูลมหาศาลทั้งในโลกออนไลน์ หากรู้ทันข่าวสาร คิดวิเคราหะและมองสถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด จะเป็นประโยชน์ทั้งการทำงานและกับตัวเอง โดยแนะนำให้พยายามฝึกตั้งคำถาม ฝึกคิดอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล

6.ภาษา ยุคนี้ต้องบอกว่าใครภาษาดียิ่งได้เปรียบ โดยเฉพาะการมีภาษาที่ 3 เช่น ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และสามารถใข้ติดต่อสื่อสารได้ในระดับภาคธุรกิจจะยิ่งสร้างโอกาสในความก้าวหน้า



ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ข่าวแรก “

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเดินอากาศ พ.ศ....เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 พ.ศ.2515 ในส่วนกิจการการเดินอากาศและกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการบินพลเรือนขึ้นใหม่ทั้งฉบับ

และช่วงเดือน กรกฎาคม 2560 โครงการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยสากล (Universal Security Audit Programme - USAP)จะเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง

ส่วนรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.การเดินอากาศฉบับใหม่ ได้กำหนดให้ครอบคลุมถึงกิจการการบินพลเรือนทุกด้านที่รัฐต้องกำกับดูแลตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ กำหนดฐานอำนาจของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือน รวมถึงฐานอำนาจของผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และผู้ตรวจสอบด้านการบิน (Aviation Inspector)ในการกำกับดูแลกิจการการบินพลเรือน

และกำหนดบทบัญญัติให้เป็นไปตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (The International Civil Aviation Organization - ICAO)ใช้ในการตรวจสอบตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Programme - USOAP) และโครงการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยสากล (Universal Security Audit Programme - USAP) หลังจากนี้จะเสนอพ.ร.บ.ไปยังกฤษฎีกา และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป



ข่าวที่สอง “ททท.-เมืองไทยประกัน”ผนึกทำสไมลเจอร์นี่”

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยกระดับการส่งเสริมความรักของสถาบันครอบครัวไทยให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยจัดโครงการ "การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเมืองไทยประกันชีวิต ชวนคุณมาเปิดเส้นทาง Smile Journey ร่วมสัมผัสและเก็บความประทับใจไปกับ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด" เริ่มมีนาคม-ธันวาคม 2560

ประชาสัมพันธ์เส้นทางการท่องเที่ยว 12 เมืองต้องห้าม...พลาด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1.Smile Journey สำหรับกลุ่มครอบครัวและผู้สูงอายุ มอบแพ็กเกจท่องเที่ยวให้แก่ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการ DRTV เช่น โครงการเมืองไทยวัยเก๋าคุ้มทั่วไทย (เพื่อผู้สูงอายุ) ผ่านการจับสลากหาผู้โชคดี

2.Smile Journey สำหรับผู้รักสุขภาพ มอบที่พักสุดหรูให้แก่ผู้ชนะการแข่งขันจากโครงการ MTL Six Packs ซึ่งเป็น Application ที่ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกับเมืองไทยประกันชีวิต

3.Smile Journey สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว มอบตั๋วโดยสารเครื่องบินไป-กลับ ให้แก่ผู้ที่ติดตามเพจของเมืองไทยประกันชีวิตใน Facebook ที่ชนะการประกวดโพสต์ภาพตัวเองในแหล่งท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบและเขียนข้อความโดนใจ



ข่าวที่สาม “บินไทยงัด4แผนรับมือช่วงซ่อมรันเวย์สุวรรณภูมิ6เดือน”

นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เตรียม 4 แผนรองรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะปิดซ่อมทางวิ่ง (Runway) เป็นบางส่วน 1 ทางวิ่ง (01R/19L) ระหว่าง 3 มีนาคม- 5 พฤษภาคม 2560 ประมาณ 60 วัน

การบินไทยได้จัดเตรียมแผนรองรับโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติการบินเป็นหลัก 4 เรื่อง คือ 1.พิจารณาเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองในแต่ละเที่ยวบินให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรทางอากาศ 2.แผนรองรับกรณีต้องใช้สนามบินสำรอง

3.จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ 4.การดูแลผู้โดยสารด้วยการเตรียมเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่ต้องต่อเที่ยวบิน และแจ้งเตือนให้เผื่อเวลาในการต่อเที่ยวบิน รวมทั้งดูแลทุกเที่ยวบินให้ได้รับความสะดวกสบายสูงสุด



ฟังข่าวทั้งหมดย้อนหลังได้ทาง www.facebook.com/rauydauykhao , อ่านข้อมูลเพิ่มได้ที่ gurutourza.blogspot.com



 
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน
คอลัมนิสต์ท่องเที่ยว/การบิน
และเจ้าของรายการข่าวเสาร์-อาทิตย์ FM 97.0 MHz.


จับตา!!ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว3เดือนแรกไม่ถึง10ล้านคน

  นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 1 ม.ค.-31 มี.ค.2568 ได้แค่ 9.5 ล้านคน จับตา !! ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว 3 เดือนแรกไม่ถึง 10 ล้านคน เม.ย.นี้ร...