ทอท.ปฏิรูปใหญ่2โปรเจ็กต์บินปี’62ฉลอง40ปี
สุวรรณภูมิขึ้นฮับคาร์โก้โลก-ผุดดิจิตอลเซอร์วิส
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=845903042270422&id=100005522016696
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #airportthai
(ติดตามเจาะลึกได้ในรายการ รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์ ทาง FM97.0 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย)
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทได้ดำเนินการมาครบ 39 ปี โดยให้บริการเที่ยวบินทั้งสิ้น 10,503,326 เที่ยว มีผู้โดยสาร 1,573,696,970 คน ปัจจุบันมีสายการบินประจำกว่า 130 สายการบิน เชื่อมต่อจุดหมายปลายทางกว่า 200 จุดบิน
ส่วนผลการดำเนินงานรอบ 8 เดือนของปีงบประมาณ 2561 ระหว่างตุลาคม 2560 – พฤษภาคม 256 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยาน 6 แห่งของ ทอท. 95,536,222 คน เพิ่มขึ้น 9.88 % แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 55,021,195 คน เพิ่มขึ้น 14.03 % และผู้โดยสารภายในประเทศ 40,515,027 คน เพิ่มขึ้น 4.71 %
ขณะที่ผลประกอบการในรอบ 6 เดือน ระหว่าง 1 ตุลาคม 2560 – 31 มีนาคม 2561 (งบการเงิน
เฉพาะบริษัท) ทำกำไรได้ 13,435.35 ล้านบาท มาจากรายได้รวม 31,259.90 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายหรือให้บริการ 30,501.27 ล้านบาท กับรายได้อื่น ๆ 758.63 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย 14,495.72 ล้านบาท กับค่าภาษีเงินได้ 3,328.83 ล้านบาท
นายนิตินัยกล่าวว่าปี 2562 วางแผนก้าวขึ้นสู่ปีที่ 40 โดยจะทำ 2 โปรเจ็กต์ใหญ่ ได้แก่ โปรเจ็กต์ที่ 1 พัฒนาการลงทุนสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Cargo Hub) และได้เจรจาจนกระทั่งขณะนี้ยกระดับสู่มาตรฐานถึงขึ้นเป็น Cirtifly Airport Hub ได้ เป็นสนามบินที่สามารถตรวจสอบสินค้าเกษตรทุกรูปแบบของไทยและลูกค้าในกลุ่มประเทศใกล้เคียงมาผ่านออกทางสุวรรณภูมิเข้ายุโรปได้ทันที โดยไม่ต้องตรวจซ้ำ และจะนำไปใช้ได้กับสนามบินที่ ทอท.เป็น Sister Airport ทั่วโลกด้วยอีก 15 สนามบิน
พร้อมทั้งเตรียมเจรจากับกลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา-สปป.ลาว-เมียนมาร์-เวียดนาม ให้เข้ามาเป็นลูกค้าเพื่อใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านทางสุวรรณภูมิซึ่งมีความพร้อมเป็นคาร์โก้ฮับแบบครบวงจร
ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่รองรับการสร้างคาร์โก้ ฮับ กำลังเดินหน้า 3 เรื่อง คือ 1.เตรียมเปิดที่ดินแปลง 37 ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในใกล้สุวรรณภูมิขนาดกว่า 700 ไร่ กับที่ดินของ ทอท.อีกแปลงขนาด 700 ไร่ เพื่อให้เอกชนที่สนใจเสนอแผนการลงทุนสร้างคลังรองรับการพักสินค้าและจัดทำระบบอีคอมเมอร์ซอย่างเป็นระบบ 2.ระหว่างนี้ ทอท.กำลังเร่งจัดทำแผนแม่บทคาร์โก้ฮับสุวรรณภูมิควบคู่กันไปด้วย เป็นโครงการที่ใช้วิธีร่วมทุน โดย ทอท.จะแปลงทรัพย์สินเป็นทุน แล้วให้เอกชนที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านคาร์โก้เข้ามาลงเงิน อาจจะใช้เงินเพียงแค่ประมาณ 1,500 ล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งแผนแม่บทดังกล่าวจะสรุปได้หลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม AOT Sister Airport CEO Forum ระหว่างวันที่ 11-13 กรกฎาคม 2561 ณ โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอนด์ แบงคอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซนทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ 3.วิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศที่จะเกิดขึ้นอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อยกระดับสุวรรณภูมิเป็นฮับอย่างสมบูรณ์แล้ว จะช่วยเพิ่มสินค้าการเกษตรของไทยและเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นได้ปีละ 2 หลัก ต่อเนื่องทุกปี
โปรเจ็กต์ที่ 2 ทอท.จะต้องจัดทำ Digital transformation ตามนโยบายรัฐบาลเร่งให้ทุกรัฐวิสาหกิจนำดิจิตอลเข้ามาพัฒนาขีดความสามารถ ทอท.ก็ต้องก้าวสู่ AOT 4.0 ตอนนี้ทยอยทำดิจิตอลแพลทฟอร์ม เพื่อลดความแออัดของสนามบินด้วยบริการสมัยใหม่ด้วยการใช้ดิจิตอลทำแบบจำลอง “โลกเสมือนจริง” สร้าง application ขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์รวบรวม Big Data แล้วบริหารจัดการบริการตั้งแต่หน้าอาคารสนามบิน ลานจอดรถ เข้าสู่ตัวอาคาร เคาน์เตอร์เช็คอิน เคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง เลาจน์สายการบิน ร้านค้า ร้านอาหาร สายพานลำเลียงกระเป๋า CTX สิ่งอำนวยความสะดวกแต่ละประเภท ทั้งการผ่านเข้าและออกของผู้โดยสาร
เพราะขณะนี้สนามบินของ ทอท.ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ มีผู้โดยสารใช้บริการเกินขีดความสามารถในการรองรับแต่ละปีไปมากแล้ว คงจะไม่สามารถรอการขยายเฟส 2 หรือสนามบินแห่งที่ 2 แล้วเสร็จได้ ภายใน 1-2 ปีหน้า ต้องนำดิจิตอลแพลทฟอร์ม แอพลิเคชั่น มาจัดการ Big Data เพื่อลดความแออัดของผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าออกทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการบริหารให้เกิดความรื่นไหลในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนแทน
นอกจากการนำดิจิตอล แพลทฟอร์มเข้ามาใช้งานเต็มรูปแบบภายในปี 2562 แล้ว ยังต้องเตรียมช่องทางการนำที่ดินติดสนามบินสุวรรณภูมิมาเปิดประมูลพัฒนาเป็น “ตลาดหรือแหล่งแวะพัก” ให้ผู้โดยสารมีพื้นที่ชมตลาดหรือนั่งพักผ่อนนอกตัวอาคารสนามบิน โดยไม่ต้องรีบมารวมกันอยู่ในสนามบินก่อนเวลาขึ้นเครื่องล่วงหน้า 2-3 ชั่วโมง เหมือนปัจจุบัน แนวทางนี้จะเป็นช่องทางในการลดความแออัดในอาคารผู้โดยสารลงได้ ก่อนการเปิดใช้สุวรรณภูมิเฟส 2 และ 3 จะสำเร็จในอีก 5 ปีข้างหน้า
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561
วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ผ่ารายได้ท่องเที่ยว5เดือน1.22 ล้านล้าน เชียงราย/นครศรี/สตูล รุ่ง-เที่ยวตะกั่วป่าสวยแปลก
ผ่ารายได้ท่องเที่ยว5เดือนแรก1.22ล้านล้าน
10ชาติใช้เงินกระจุกเมืองหลัก-3 เมืองรอง
ลุ้นรัฐเก็บภาษีขยะพลาสติกก่อนล้นแหล่งเที่ยว
สมาชิกคิงเพาเวอร์ซื้อทัวร์บาหลี4วันแค่1.3หมื่น
ททท.นำ5ภาคเล่นใหญ่อาหารถิ่นที่แหลมแท่น
บางจากเปิดร้านSPAR-ปั๊มให้ดูฟรีรับบอลโลก
ทอท.เร่งประมูลระบบAPMดอนเมืองทันปี’62
เที่ยวตะกั่วป่าพังงาเมืองชิโนน่ารักริมอันดามัน
เลี่ยงลดความเครียดป้องกันสารพัดโรครุ้มเร้า
เอกนิตินั่งประธานบอร์ดนำปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
ชวนเที่ยวเมืองผีตาโขนด่านซ้าย 6-8 ก.ค.นี้
ปตท.เปิดแน่บัดเจ็ตโฮเต็ลในปั๊ม5ปี50โรงแรม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ติดตามฟังวิเคราะห์ การผ่าโครงสร้างรายได้ท่องเที่ยวของประเทศ 5 เดือนแรก จาก “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ผู้ดำเนินการนำเสนอเม็ดเงิน 1.22 ล้านล้านบาท ที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ประเทศที่กุมชะตาเศรษฐกิจไทย และคนในประเทศเที่ยวไทย กระจุกหรือกระจายไปยังเมืองหลัก 3 พื้นที่มากที่สุด ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ส่วนเมืองรองมีดาวรุ่งแจ้งเกิดแล้ว 3 จังหวัด คือ เชียงราย นครศรีธรรมราช สตูล ขณะเดียวกันจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดความท้าทายเรื่องใหญ่ที่จะต้องป้องกันโดยด่วนนั่นคือ “ปัญหาขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” ตอนนี้เจ้าภาพนำร่อง 2 กระทรวง คือ การท่องเที่ยวและกีฬา กับ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องลุกขึ้นมาจัดเตรียมมาตรการไล่ล่าขยะเจ้าปัญหาเริ่มจาก 5 มาตรการ และอาจจะนำไปสู่การจัดเก็บภาษีการใช้ขยะพลาสติกและอื่น ๆ รวมไปถึงเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน
ภายในเวลา 5 เดือน ปี 2561 การกระจาย “รายได้” ของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวลงสู่ “เมืองหลัก” 22 จังหวัด และ “เมืองรอง” 55 จังหวัด ท่ามกลางความตื่นตัวกับคลื่นปัญหาใหม่เรื่อง “ขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” จากจำนวนรายได้ที่หลั่งไหลเข้าประเทศรวม 1.224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.76 % มาจากตลาดต่างประเทศ ระหว่างมกราคม-พฤษภาคม รวม 8.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.11 % และตลาดในประเทศ ระหว่างมกราคม-เมษายน 3.57 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78 %
ที่น่าสนใจคือสถิติที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอเรื่อง “การกระจายตัวของรายได้” ตัวอย่างในการประเมินสถานการณ์เฉพาะพฤษภาคมปีนี้เพียงเดือนเดียว พบว่า ส่วนแบ่งของเม็ดเงินเกินกว่า 70 % มาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ประเทศเท่านั้น ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศกว่า 80 % ก็กระจายอยู่ในเมืองหลัก 3 จังหวัด โดยกรุงเทพฯ กวาดไปมากสุดเกินกว่าแสนล้านบาท ตามมาด้วยเชียงใหม่ ภูเก็ต
เริ่มจาก “ตลาดในประเทศ” ช่วง 4 เดือนแรก ระหว่างมกราคม - เมษายน 2561 ทำรายได้รวม 356,705 ล้านบาท เม็ดเงินกระจุกอยู่เมืองหลักมากถึง 275,350 ล้านบาท โดยอยู่ในกรุงเทพฯ เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดคือ 116,524 ล้านบาท ตามมาด้วย เชียงใหม่ 24,049 ล้านบาท และภูเก็ต 22,080 ล้านบาท ขณะที่ “เมืองรอง” 55 จังหวัด มีเม็ดเงินไหลเข้าไปเพียง 81,355 ล้านบาท มีดาวรุ่ง 3 จังหวัด ที่โกยรายเงินไปได้มากที่สุดเรียงตามลำดับ คือ เชียงราย 7,628 ล้านบาท นครศรีธรรมราช 5,562 ล้านบาท สตูล 4,904 ล้านบาท
ส่วนรายได้จาก “ตลาดต่างประเทศ” 867,460.77 ล้านบาท เฉพาะเดือนพฤษภาคม 2561 ทำได้ 136,710.26 ล้านบาท แต่เม็ดเงินกระจุกตัวอยู่ใน 3 หมวดหลัก ได้แก่ หมวดที่ 1 โรงแรมห้องพัก 39,068 ล้านบาท คิดเป็น 28.6 % หมวดที่ 2 ช้อปปิ้ง 34,007 ล้านบาท คิดเป็น 24.9 % หมวดที่ 3 อาหารและเครื่องดื่ม 28,007 ล้านบาท คิดเป็น 20.5 %
เฉพาะพฤษภาคม 2561 เพียงเดือนเดียว มีรายงานว่า “รายได้ตลาดต่างประเทศ” ทำไว้ 97,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.68 % นั้น 71.1 % ของรายได้ทั้งหมด (สูงกว่าปีที่ผ่านมาทำไว้ 70.1 %)มาจากนักท่องเที่ยว 10 ประเทศ คือ จีน 46,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.08 % รองลงมาคือ มาเลเซีย 7,950 ล้านบาท ลดลง 3.50 % อินเดีย 7,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.10 % สหรัฐอเมริกา 6,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.80 % เกาหลี 5,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.67 % รัสเซีย 5,190 ล้านบาท ลดลง 9.52 % สหราชอาณาจักร 5,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.57 % ออสเตรเลีย 4,830 ล้านบาท ลดลง 1.61 % ญี่ปุ่น 4,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.03 % ฮ่องกง 3,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.72 %
ขณะเดียวกันพฤษภาคมเดือนเดียวมีนักท่องเที่ยว 10 ประเทศแรก รวม 2.024 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.33 % มีสัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่มากสุดถึง 73.5 % ของทั้งหมด (สูงกว่าปีที่ผ่านมาทำไว้ 72.2 %) โดยมีจีนครองแชมป์เดินทางเข้ามาแล้ว 8.69 แสนคน เพิ่มขึ้น 14.05 % รองลงมาคือ มาเลเซีย 2.85 แสนคน ลดลง 7.33 % อินเดีย 1.56 แสนคน เพิ่มขึ้น 12.13 % สปป.ลาว 1.41 แสนคน เพิ่มขึ้น 8.36 % เกาหลี 1.23 แสนคน เพิ่มขึ้น 9.22 % ญี่ปุ่น 1.09 แสนคน เพิ่มขึ้น 0.73 % เวียดนาม 9.2 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 9.58 % สิงคโปร์ 8.5 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 2.98 % ฮ่องกง 8.3 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 25.6 % สหรัฐอเมริกา 8.1 หมื่นคน เพิ่ม 6.11 %
สำหรับข้อมูลสรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวตลอด 5 เดือนแรก ระหว่างมกราคม-พฤษภาคม 2561
สถานการณ์นักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย
“ตลาดต่างประเทศ” สามารถสร้าง “รายได้” มูลค่ารวมทั้งสิ้น 867,460.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.11 % แยกเป็น เดือนมกราคม 188,890.60 ล้านบาท เพิ่ม 11.59 % กุมภาพันธ์ 195,262.94 ล้านบาท เพิ่มสูงสุด 23.78 % มีนาคม 189,158.64 ล้านบาท เพิ่ม 22.28 % เมษายน 157,438.33 ล้านบาท เพิ่ม 12.52 % เฉพาะพฤษภาคมเดือนเดียวมีรายได้ 136,710.26 ล้านบาท เพิ่ม 9 % เป็นรายได้หลักมาจากกลุ่มตลาดท็อปเท็น 10ประเทศ มูลค่ารวมถึง 97,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.68 % จีนยังคงครองแชมป์ใช้จ่ายเงินมากสุด 46,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.38 % อินเดีย 7,460 ล้านบาท เพิ่ม 11.10 % อเมริกา 6,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.80 % เกาหลี 5,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.57 % ส่วนมาเลเซีย ถึงแม้จะใช้เงินมากติดอันดับ 2 มูลค่า 7,950 ล้านบาท ลดลง 3.50 %
ส่วนการกระจายรายได้ในเดือนพฤษภาคม 2561 จำนวน 136,710.26 ล้านบาท อยู่ใน 3 หมวดหลัก ได้แก่ หมวดที่ 1 โรงแรมห้องพัก 39,068 ล้านบาท คิดเป็น 28.6 % หมวดที่ 2 ช้อปปิ้ง 34,007 ล้านบาท คิดเป็น 24.9 % หมวดที่ 3 อาหารและเครื่องดื่ม 28,007 ล้านบาท คิดเป็น 20.5 %
ทางด้าน “จำนวน” นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทย 16,456,470 คน เพิ่มขึ้น 12.62% แยกเป็นเดือน มกราคม 3,566,528 คน เพิ่ม 10.87 % กุมภาพันธ์ 3,566,898 คน เพิ่มสูงสุด 19.33 % มีนาคม 3,497,260 คน เพิ่ม 16.27 % เมษายน 3,092,725 คน เพิ่ม 9.38 % เฉพาะพฤษภาคมเดือนเดียวมีจำนวน 2,755,05 คน เพิ่ม 6.35 % เติบโตมากสุดคือ เอเชียตะวันออก 2,048,830 คน เพิ่มขึ้น 8.44 % ในจำนวนนี้เป็นจีน 869,000 คน เพิ่มขึ้น 4.5 % ส่วนเอเชียใต้ 1.81 แสนคน เพิ่มขึ้น 9.72 % ตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ลดลงทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง โอเชียเนีย แอฟริกา
ขณะที่สถานการณ์คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ สถิติ 4 เดือนแรก ระหว่างมกราคม – เมษายน 2561
ในจังหวัดหลักและเมืองรองทั่วประเทศสร้าง “รายได้” มูลค่ารวม 356,705.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78 % ประกอบด้วย มกราคม 91,445.47 ล้านบาท เพิ่ม 8.10 % กุมภาพันธ์ 89,289.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.82 % มีนาคม 86,691.31 ล้านบาท เพิ่ม 9.77 % เมษายน 89,279.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.77 %
โดยมี “จำนวน” นักท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 48.56 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 5.49 % ประกอบด้วย เดือนมกราคม 11,875,530 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 3.11 % กุมภาพันธ์ 11,220,527 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 9.33 % มีนาคม 11,056,077 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 4.52 % เมษายน 14,413,990 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มเพียง 5.34 %
สถิติ 4 เดือนแรก รายได้ในเมืองท่องเที่ยวรอง ขยายตัว 9.29 % สูงกว่าแนวโน้มปกติ 3 % จากข้อมูลรายได้ย้อนหลังเปรียบเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวเพียง 6.30 % ส่วนจำนวนผู้ไปเยือนขยายตัว 5.16 % ใกล้เคียงกับเมืองท่องเที่ยวหลักเพิ่มเฉลี่ย 5.70% ตามรายละเอียดดังนี้
สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยว “เมืองหลัก” ระหว่างมกราคม-เมษายน 2561
จังหวัดท่องเที่ยวหลักสร้างมูลค่า “รายได้” รวม 275,350.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.22 % แยกเป็น เดือนมกราคม 69,795.85 ล้านบาท เพิ่ม 7.83 % กุมภาพันธ์ 69,685.31 ล้านบาท เพิ่มสูงสุด 17.27 % มีนาคม 66,859.02 ล้านบาท เพิ่ม 10.10 % เมษายน 69,010.07 ล้านบาท เพิ่ม 10.09 %
รายได้ดังกล่าวกระจายอยู่ใน 3 พื้นที่หลัก คือ กรุงเทพฯ 116,524 ล้านบาท เชียงใหม่ 24,049 ล้านบาท ภูเก็ต 22,080 ล้านบาท ขยายตัวสูงสุดในนครราชสีมา 16.91 % ชลบุรี 15.82 % พระนครศรีอยุธยา 14.50 %
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศตลอด 4 เดือนรวม 46.43 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 5.70 % แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 12,772,753 คน นครราชสีมา 3,403,314 คน ชลบุรี 2,774,000 คน และพื้นที่ขยายตัวสูงสุด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา 11.63 % ชลบุรี 10.29 % พังงา 8.59 %
สถานการณ์ “ท่องเที่ยวเมืองรอง” ระหว่างมกราคม - เมษายน 2561
สร้าง “รายได้” มูลค่ารวม 81,355.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.29 % ประกอบด้วย เดือนมกราคม 21,649.62 ล้านบาท เพิ่ม 8.95 % กุมภาพันธ์ 19,603.93 ล้านบาท เพิ่มสูงสุด 10.91 % มีนาคม 19,832.29 ล้านบาท เพิ่ม 8.69 % เมษายน 20,269.81 ล้านบาท เพิ่ม 8.71 %
โดยกระจายอยู่ใน 3 พื้นที่ คือ เชียงราย 7,628 ล้านบาท นครศรีธรรมราช 5,562 ล้านบาท สตูล 4,904 ล้านบาท และขยายตัวมากที่สุด 3 พื้นที่ คือ ราชบุรี 14.49 % บุรีรัมย์ 14.34 % จันทบุรี 14.05 %
มีจำนวนนักท่องเที่ยวเมืองรองตลอด 4 เดือน รวมทั้งสิ้น 28.74 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.16 % ประกอบด้วย เดือนมกราคม 7,609,301 คน-ครั้ง เพิ่ม 3.99 % กุมภาพันธ์ 7,001,384 คน-ครั้ง เพิ่ม 7.85 % มีนาคม 6,964,641 คน-ครั้ง เพิ่ม 4.14 % เมษายน 7,172,627 คน-ครั้ง เพิ่ม 4.85 %
นักท่องเที่ยวกระจายตัวอยู่ในเมืองดาวรุ่ง 3 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช 1,416,350 คน พิษณุโลก 1,257,283 คน เชียงราย 1,154,235 คน และขยายตัวสูงสุดใน 3 จังหวัด คือ ลพบุรี 9.09 % บุรีรัมย์ 8.39 % ชุมพร 8.12 %
ในทางกลับกันเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศเติบโตเร็ว ขณะนี้ประเทศไทยและโลกก็กำลังเผชิญปัญหาใหญ่เรื่อง “ปริมาณขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และวิถีความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมาย ที่มีมูลค่าความสูญเสีย อาจจะมากกว่าสิ่งเม็ดเงินที่ได้จากการท่องเที่ยวหรือไม่
ทำให้รัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องในไทยต้องความพยายามเร่งมืออย่างหนักทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะเร่งผลักดันนโยบาย “กระจายจำนวนและรายได้ท่องเที่ยว” ไปสู่ “เมืองรอง 55 จังหวัด” ควบคู่กับการหามาตรการทางลัดที่จะลดปัญหาขยะพลาสติกลงอย่างรวดเร็ว เรื่อยไปจนถึงปลุกกระแสการละและเลิกใช้ให้ได้ในอนาคตข้างหน้า
วันนี้จึงเป็นโจทก์เรื่อง “การจัดการขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” จึงเป็นความท้าทายคนไทยทั้งประเทศ หลังจากไทยถูกประกาศว่าเป็นประเทศที่ผลิตขยะพลาสติกติดอันดับ 6 ของโลก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวในเกาะทางทะเลอันดามันและอ่าวไทย เกาะพีพี เกาะสมุย อ่าวมาหยา และพื้นที่อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากจะไม่สามารถจัดการปัญหาขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่สั่งสมอย่างเรื่องระบบการบำบัดน้ำเสีย สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย
ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง ผู้ประกอบการภาคเอกชนท่องเที่ยว ต้องระดมแนวคิดเพื่อเสนอให้รัฐบาลประกาศแนวทางรับมือกับปัญหาดังกล่าวอย่างชัดเจน เรื่องแรกที่กำลังเร่งมือทำ คือ
1.นโยบายกระจายปริมาณนักท่องเที่ยวที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลัก หันไปเลือกเที่ยวเมืองรองเพิ่มขึ้น 55 จังหวัด เพื่อลดความแออัดและการใช้ทรัพยากรมากเกินไป อีกทั้งยังมีผลพลอยได้ในการกระจายเม็ดเงินสู่ท้องถิ่นอื่น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในชุมชนด้วยอีกทาง
2.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าประกาศใช้ 5 มาตรการ เลิกการใช้ขยะพลาสติก 1.ในอุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ 150 แห่ง 2.แหล่งท่องเที่ยวตามสวนสัตว์ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง 3.ลดการใช้พลาสติกในหน่วยงานต่าง ๆ โดยร่วมมือกับองค์กรอื่น เช่น ห้างสรรพสินค้า ใช้มาตรการจูงใจเพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม ตัวอย่างในตลาด อตก.ขณะนี้สามารถลดการใช้พลาสติกลงได้แล้ว 20 % 3.รณรงค์ให้ใช้นวัตกรรมใหม่ ภาชนะจากชานอ้อยหรือแกลบ เพื่อบรรจุอาหารและอื่น ๆ 4.กำจัดขยะให้ถูกวิธี 5.ควบคุมนำเข้าขยะผิดกฎหมายทุกประเภท
ส่วนมาตรการขั้นต่อไปที่หลายฝ่ายพยายามผลักดันให้ทางคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งล่าสุดได้ตั้งคณะอนุกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รับพิจารณาความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาขยะล้นประเทศอย่างเร่งด่วน คือ 1.ให้กระทรวงการคลังพิจารณาออกมาตรการจัดเก็บภาษีการใช้พลาสติก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยาว เช่นเดียวกับในยุโรปหลายประเทศ เช่น เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2561 นิวซีแลนด์ ประกาศเก็บภาษี Tourist Tax Infrastructure เพื่อนำเงินที่ได้ไปดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติตามแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ 2.ภาคเอกชนไทยเสนอให้รัฐนำมาตรการอินเซนทีฟทางภาษีมาสนับสนุนผู้ประกอบการที่ลดเลิกการใช้ขยะพลาสติก 3.เสนอปฏิรูปวิธีการจัดเก็บขยะของหน่วยงานกรุงเทพมหานคร และเทศบาลทั่วประเทศ ให้หันมาจัดเก็บแบบแยกชนิดของขยะอย่างจริงจัง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “สมาชิกคิงเพาเวอร์ซื้อทัวร์บาหลี4วันจ่ายแค่1.3หมื่น”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมมือกับ ROYAL BRUNEI AIRLINES มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกผู้ถือบัตรคิง เพาเวอร์ ซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวบาหลี พร้อมที่พักและบัตรโดยสาร 4 วัน 3 คืน เริ่มต้น 13,075 บาท / คน ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2561 และเดินทางได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561
แพกเกจนี้นักท่องเที่ยวหรือสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ จะต้องเดินทางพร้อมกันอย่างน้อย 2 คน โดยเข้าพักโรงแรมหรู Nusa Dua Beach Hotel & Spa – Bali พร้อมอาหารเช้า บัตรโดยสารชั้นประหยัด ไป-กลับ กรุงเทพฯ-บาหลี น้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม (ไม่รวมสัมภาระถือขึ้นเครื่อง)พร้อมบริการอาหาร เครื่องดื่มบนเครื่อง รถรับ-ส่งระหว่างสนามบิน-โรงแรม ส่วนเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่สายการบินกำหนด
สอบถามเพิ่มได้ที่โทร. 0 2638 3050 หรือ bkkres@rba.com.bn
ข่าวที่ 2 “ยกอาหารถิ่น5ภาคมาไว้แหลมแท่น29มิ.ย.-1ก.ค.”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า เชิญเที่ยว กิน ในงาน “เทศกาลอาหารถิ่น กินตามตำนาน” (Thai – Eat – Art – Gastronomy) ระหว่างวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน ถึง วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2561 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณลานอเนกประสงค์แหลมแท่น ชายหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยใช้อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละภาคกระตุ้นการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวลงสู่ชุมชนเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ตลอดการจัดงานจะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสัมผัสในโซน ต่าง ๆ ดังนี้
1. โซนชวนชิมอาหารถิ่น 5 ภูมิภาค โดยมีร้านแถวหน้าของเมืองไทย 50 ร้าน นำสุดยอดอาหารถิ่นและอาหารขึ้นชื่อของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศให้นักท่องเที่ยวลิ้มชิมรสกันอย่างจุใจ
2. โซนอาหารถิ่นและของกินเมืองชลบุรี รวบรวมร้านอาหารชื่อดังของชลบุรี มาให้ได้รับประทานกันภายในที่นี่ที่เดียวมากถึง 60 ร้าน
3. โซนนิทรรศการ “Thai – Eat – Art – Gastronomy” พร้อมทั้งสาธิตและพูดคุยให้ความรู้ความเป็นมาของวัตถุดิบของอาหารถิ่น รวมถึง 10 เส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน
4. โซนกิจกรรม D.I.Y. เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองทำอาหารถิ่นแบบง่ายๆ หมุนเวียนกันไปหลากหลายเมนูโดยมีเพียง 600 ชุด เท่านั้น
5. โซนเวทีการแสดงและกิจกรรม จะพบกับศิลปินที่มีชื่อเสียง และการแสดงต่างๆมากมาย เริ่มตั้งแต่ วันที่ 29 มิถุนายน ชมมินิคอนเสิร์ตศิลปิน ไอซ์ ศรัณยู และ ว่าน ธนกฤต วันที่ 30 มิถุนายน ชมมินิคอนเสิร์ตศิลปิน The Mousses และ Klear วันที่ 1 กรกฎาคม ชมมินิคอนเสิร์ตศิลปิน Season Five และ บอย พีซเมคเกอร์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย 1672
ข่าวที่ 3 “บางจากเปิดร้านSPAR-ปั๊มน้ำมันชมฟรีบอลโลก”
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ร่วมกันจัดกิจกรรมต้อนรับฤดูกาลถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โดยเปิดแฟนบอลชมและเชียร์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ร้าน SPAR fresh & easy food market 11 สาขา ตลอดการแข่งขัน มีรายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ในเว็บไซต์ www.sparthailand.com)
รวมทั้งที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก สาขา ถ.ศรีนครินทร์ จะเปิดปั๊มให้ชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดรองชนะเลิศและนัดชิงชนะเลิศ รอบ 21.00 น. และ 22.00 น.) นอกจากนั้นยังร่วมกับทีมสโมสรฟุตบอลชั้นนำเชิญโค้ชและนักฟุตบอลชื่อดังมาแนะนำเทคนิคและแผนการเล่นฟุตบอลแก่เยาวชนและชุมชนรอบโรงกลั่นบางจาก เพื่อเพิ่มความรู้และพัฒนาทักษะด้านกีฬาฟุตบอลอีกด้วย
ข่าวที่ 4 “ทอท.เร่งประมูลลงทุนระบบAPMดอนเมืองปี’62”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เร่งการดำเนินโครงการระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพื่อให้ทันเปิดใช้บริการ โดยกำลังเร่งจัดทำร่างรายละเอียดเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี2561 และสามารถเปิดประมูลได้ในต้นปี 2562 ด้วยรูปแบบ PPP ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนในวงเงินกว่า 5,000 ล้านบาท
ปี 2561 ผลการดำเนินงานของสนามบินดอนเมืองจะมีรายได้สูงกว่าปี 2560 จาก 2 ปัจจัยหลัก 1.รับรู้รายได้ 9 เดือนของกิจกรรมพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสนามบินของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ 2.ปริมาณผู้โดยสารต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่องหลังจากประเทศไทยได้รับการปลดธงแดงจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ส่งผลถึงตลอดปีนี้แนวโน้มการรับรู้รายได้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% ตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น จาก 6 เดือนแรกปีนี้มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 20% โดยเฉพาะช่วงฤดูเดินทางท่องเที่ยวมีผู้โดยสารวันละ 160,000 คน คาดตลอดปีงบประมาณ 2561 สนามบินดอนเมืองจะมีผู้โดยสารใช้บริการสูงสุดถึง 40 ล้านคน
@ตะกั่วป่า พังงา เมืองน่าเที่ยวริมอันดามัน
ลงใต้ไปสูดโอโซนเมืองเก่าชายฝั่งทะเลอันดามันกันที่ “ตะกั่วป่า” จังหวัดพังงา ย้อนวิถีชีวิตอดีตอันรุ่งเรื่องเมื่อครั้งเคยเป็นเมืองท่าการค้าขายทางทะเล พอคนจีนเข้ามาอาศัยจำนวนมากขึ้น ผนวกกับอาชีพทำเหมืองสมัยนั้นเฟื่องฟู รูปแบบการสร้างบ้านพักอาศัยก็แปรเปลี่ยนเป็นสถาปัตยกรรมชิโนโปตุกีสมากขึ้น บ้านหลังแรก ๆ ที่ยังสมบูรณ์แบบต้องแวะชม “บ้านขุนอินทรีย์” ของแท้ดั้งเดิม
เมื่อนักท่องเที่ยวเดินชมเมืองผ่าน “ตลาดเก่า” บริเวณสามแยกในเมืองตรงหัวมุม “ถนนอุดมธารา” ตัดกับ “ถนนศรีตะกั่วป่า” เป็นเสมือนภาพฉายย้อนไปยังอดีตที่มีชาวจีนมาจุดธูปไหว้ฟ้าดินเป็นกิจวัตรประจำวัน
การเดินเลียบตลาดไปผสมกลมกลืนของคนท้องถิ่นที่มักจะมานั่งจับกลุ่มกันเปิด “สภากาแฟ” ทุกเช้า ภาพเหล่านี้ถือเป็นวิถีชีวิตชาวตะกั่วป่าที่ยังพบเห็นได้ ฟังเรื่องเล่ายามเช้าของชาวพื้นเมืองพอหอมปากหอมคอเสร็จแล้ว เดินท่องเที่ยวไปตาม “ถนนศรีตะกั่วป่า” เรื่อยไปจนถึง “วัดเสนานุชรังสรรค์” มีตึกเก่าหลายแห่งที่สวยงาม รอบบริเวณมีร้านกาแฟให้นั่งชีล ๆ ด้วย ผู้ที่ชื่นชอบค้นหาวิถีชีวิตจากบ้านเรือนอาศัยหาชมได้ตลอด “ถนนอุดมธารา” จะเป็นบ้านชั้นเดียวหลังคาแบบจีนโบราณ บางจุดมีภาพเขียนบนแนวกำแพงดูคลาสสิกไปอีกแบบ
ความแปลกตาในการท่องเที่ยว “เมืองตะกั่วป่า พังงา” ที่เหนือกว่าทะเลคือ มีวัดกลางเมืองสำคัญ ๆ ให้ศึกษาเรียนรู้ อย่าง “วัดเสนานุชรังสรรค์” มีพระอุโบสถสีขาวแบบเดียวกับกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น “วัดพระธาตุคีรีเขต” นักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตากับพระอุโบสถสถาปัตยกรรมปูนปั้นซึ่งมีหน้าบรรณสวยงามไม่เหมือนวัดใดในเมืองไทย
เมืองเล็ก ๆ ที่น่ารักริมทะเลอันดามันยังเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณท้องถิ่นแสนงดงาม ลองแวะไปพักผ่อนได้ที่เมืองตะกั่วป่า แห่งนี้มีครบทั้งทะเลสวย วิถีชีวิตสดใส และวัดแสนงาม เป็นหลากหลายความสุขที่มีอยู่อย่างครบครัน
@เลี่ยงลดความเครียดต้นเหตุสารพัดโรค
ความเครียดอาจเป็นต้นเหตุของการบาดเจ็บได้โดยตรง เช่น เมื่อมีภาวะความเครียดเกิดขึ้น กล้ามเนื้อจะตึง เกร็ง ระบบประสาทจะตึงและความสามารถในการนำกระแสประสาทลดลง ทำให้ล้าได้ง่าย เมื่อกล้ามเนื้อมีความตึงมาก ย่อมส่งผลต่ออาการปวด เพราะกล้ามเนื้อทำงานคงค้างอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคนที่ถือของค้างไว้ตลอดเวลา กล้ามเนื้อย่อมทำงานมากกว่าคนที่ถือแล้ววาง และเมื่อต้องทำงานชนิดเดียวกันในความหนักเท่าๆ กัน คนที่เครียดต้องใช้พลังงานมากขึ้นกว่าคนที่ไม่เครียด การเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของคนที่เครียดจึงมากกว่า จึงต้องสังเกตตัวเองจากอาการดังนี้ แล้วต้องเลี่ยงให้ได้
1. หากได้หยุดงานแล้วไปเที่ยวโดยใช้พลังมาก ๆ ทำให้อาการหายไปหรือดีขึ้นขณะเที่ยว แต่พอกลับจากเที่ยว อาการกลับมาอีกแสดงว่าอาการที่เป็นอยู่มีผลจากความเครียดค่อนข้างมาก
2. หากทำงานในรูปแบบเดียวกัน แม้จะเปลี่ยนสถานที่ไป จัดโต๊ะเก้าอี้จากเดิม แล้วอาการเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็แสดงว่าอาการตอนแรกน่าจะมาจากความเครียด
3. หากจัดโต๊ะด้วยการวางดอกไม้ เลี้ยงปลา หรือเปิดวิทยุ ฟังเพลงเพื่อการผ่อนคลาย แล้วมีผลทำให้อาการดีขึ้น แสดงว่า อาการปวดนั้นมีผลมาจากความเครียด
4. หากทำงานในรูปแบบเดียวกัน สถานที่เดียวกัน แต่ทำให้กับแฟน หรือเพื่อน ด้วยความเต็มใจและไม่ต้องมีความรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่องานนั้น แล้วพบว่าไม่ทำให้เกิดอาการปวดแม้ว่างานนั้นจะหนักก็ตาม แสดงว่า อาการปวดที่เป็นอยู่นั้นมาจากความเครียด
5. หากนั่งโต๊ะทำงานที่ไม่ได้เปลี่ยน งานยังหนักเท่าเดิม แต่วันนั้นเป็นวันจะมีงานเลี้ยง หรือกิจกรรมที่ชอบรออยู่ แต่ความรู้สึกกลับไม่หนักเท่าวันก่อนๆ แสดงว่า อาการที่เป็นอยู่เป็นผลมาจากความเคียด
6. หากงานหนักคงเดิมตลอด แต่ปรับท่าทางการทำงาน หรือโต๊ะ เก้าอี้ แล้วส่งผลให้อาการดีขึ้น แสดงว่า อาการนั้นน่าจะมาจากปัญหาของ โต๊ะ เก้าอี้ หรือท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม หากสังเกตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วพบว่า มีความไม่แน่นอนของอาการ เป็นไปได้ว่า ปัญหาอาจมาจากทั้งความเครียด โต๊ะ เก้าอี้ ไม่เหมาะสม หรือท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้องก็ได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “สิงคโปร์ขายออนไลน์ไทยหนีเที่ยวอัดโปรเต็มเหนี่ยว”
การท่องเที่ยวสิงคโปร์ รายงานว่า ได้ร่วมมือ HITEVENT เปิดตัวงานแฟร์ท่องเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้งาน “ไทยหนีเที่ยว” พร้อมอัดโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย ระหว่างวันนี้ – 29 มิถุนายน 2561 ทางเว็บไซต์ www.thaineetiew.com/Singapore
เป็นการจัดงานแฟร์ท่องเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกในรูปแบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสนักท่องเที่ยวในไทยไปเต็มทุกความชอบที่ใช่ ด้วยโปรโมชั่นครอบคลุมตั้งแต่ส่วนลดสุดคุ้มจากสายการบินชั้นนำไปจนถึงแพ็กเกจสุดประหยัดจากสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อในสิงคโปร์อย่าง รีสอร์ทเวิลด์ เซ็นโตซ่า พร้อมรวบรวมข้อเสนอสุดร้อนแรงจากโรงแรมและทัวร์เอเจนท์มากมายมาให้ครบจบในที่เดียว
1.Sentosa Development Corporation เอาใจนักท่องเที่ยวสาย Explorer และ Action Seeker ลดถึง 50% ในกิจกรรมซิกเนเจอร์ อาทิ นั่งชมวิวเกาะสิงคโปร์จากที่สูงบน Singapore Cable Car (ไป-กลับ) ถ่ายรูปกับ Sentosa Merlion หรือ รับชมแสงสีสุดตื่นตาตื่นใจในการแสดงชุด Wings of Time นักท่องเที่ยวยังสามารถเลือกซื้อแพ็กเกจ Happy 2 Joyrides ซึ่งเป็นแพ็กเกจที่สามารถจับคู่ Singapore Cable Car พ่วงกับอีก 2 กิจกรรม (สถานที่ท่องเที่ยว ดินเนอร์ หรือทัวร์ที่ร่วมรายการ) และแพ็กเกจ Happy 4 Joyrides ที่จับคู่ Singapore Cable Car กับกิจกรรมอื่นๆ (สถานที่ท่องเที่ยว ดินเนอร์ หรือทัวร์ที่ร่วมรายการ) อีก 4 กิจกรรม ในราคาส่วนลดถึง 50% อีกด้วย
2.แพกเกจชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในสิงคโปร์ราคาลด 30% ทั้งแพ็กเกจ Fly & Splash จับคู่ Singapore Cable Car กับ Adventure Cove Waterpark แพ็กเกจ Fly & Play จับคู่ Singapore Cable Car กับ Universal Studios Singapore แพ็กเกจ Be a Star ให้นักท่องเที่ยวได้นั่ง Singapore Cable Car และท่องไปใน Madame Tussauds Singapore และแพ็กเกจ Triple Attractions ที่รวม Singapore Cable Car Universal Studios Singapore และ S.E.A Aquarium ไว้ด้วยกัน
3.ผู้ใช้จ่ายครบ 10,000 บาท* ในโซน Singapore จะได้รับของขวัญสุดพิเศษเป็นกระเป๋าเดินทางฟรีขนาด 16 x 16 นิ้ว มูลค่ากว่า 1,300 บาท และร่วมเฉลิมฉลองเทศกาล Great Singapore Sales รับฟรีบัตรกำนัลช้อปปิ้งร้าน Charles & Keith มูลค่า 20 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ประมาณ 480 บาท) เมื่อใช้จ่ายในงานครบ 5,000 บาท**
อัพเดทต่าง ๆ ได้ที่ Facebook VisitSingaporeTH และ Line@ VisitSingaporeTH
ข่าวที่สอง “ชวนเที่ยวเมืองผีตาโขนด่านซ้าย6-8ก.ค.นี้”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ชวนเที่ยวงานสืบสานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน วัดโพธิ์ศรี บ้านนาเวียงใหญ่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ระหว่างวันที่ 6 - 8 กรกฎาคม 2561 ไฮไลต์จะได้ชมการแสดงผีตาโขนยามค่ำคืน ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อสร้างตลาดและให้เกิดรายได้ให้กับชุมชน เพื่ออนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อัตลักษณ์ที่เป็นรากเหง้าของท้องถิ่น
สอบถามเพิ่มได้ ที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย โทร. 0-4289-1266 เทศบาลตำบลด่านซ้าย โทร. 0-4289-1231 และททท. สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812, 0-4281-1405 / Facebook : TAT Loei Office
ข่าวที่สาม “ปตท.ลุยเปิดธุรกิจบัดเจ็ตโฮเต็ลในปั๊ม5ปี50แห่ง”
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายในปี 2561 จะคัดเลือกผู้ร่วมทุนก่อสร้างโรงแรมในสถานีน้ำมันของ ปตท. ดำเนินการเอง โดยจะนำร่องเปิดบริการครั้งแรกภายในปี 2562 ประมาณ 3-5 แห่ง พร้อมทั้งวางแผนธุรกิจภายใน 5 ปี จะขยายโรงแรมในสถานีบริการน้ำมันครอบ 50 แห่ง ส่วนราคาค่าห้องพักเฉลี่ย 500 – 800 บาทต่อห้องต่อคืน
ซึ่งทาง ปตท.จะประเมินความคุ้มทุนเพื่อจะเดินหน้าขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นเจ้าของปั๊ม หรือผู้สนใจมีที่ดินติดปั๊มผู้ลงทุนเองก็ได้ เบื้องต้นจะต้องออกแบบให้อยู่ภายใต้มาตรฐานของ ปตท. และจะจับมือกับพันธมิตรมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการด้านโรงแรมเพื่อให้ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ปตท. ครั้งล่าสุดได้อนุมัติให้เดินหน้าแผนพัฒนาคัดเลือกพันธมิตรเพื่อการลงทุนห้องพักในปั๊ม ปตท.เน้นรูปแบบการจัดทำเป็นโรงแรมแบบประหยัดหรือ Budget Hotels
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
10ชาติใช้เงินกระจุกเมืองหลัก-3 เมืองรอง
ลุ้นรัฐเก็บภาษีขยะพลาสติกก่อนล้นแหล่งเที่ยว
สมาชิกคิงเพาเวอร์ซื้อทัวร์บาหลี4วันแค่1.3หมื่น
ททท.นำ5ภาคเล่นใหญ่อาหารถิ่นที่แหลมแท่น
บางจากเปิดร้านSPAR-ปั๊มให้ดูฟรีรับบอลโลก
ทอท.เร่งประมูลระบบAPMดอนเมืองทันปี’62
เที่ยวตะกั่วป่าพังงาเมืองชิโนน่ารักริมอันดามัน
เลี่ยงลดความเครียดป้องกันสารพัดโรครุ้มเร้า
เอกนิตินั่งประธานบอร์ดนำปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
ชวนเที่ยวเมืองผีตาโขนด่านซ้าย 6-8 ก.ค.นี้
ปตท.เปิดแน่บัดเจ็ตโฮเต็ลในปั๊ม5ปี50โรงแรม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ติดตามฟังวิเคราะห์ การผ่าโครงสร้างรายได้ท่องเที่ยวของประเทศ 5 เดือนแรก จาก “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ผู้ดำเนินการนำเสนอเม็ดเงิน 1.22 ล้านล้านบาท ที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ประเทศที่กุมชะตาเศรษฐกิจไทย และคนในประเทศเที่ยวไทย กระจุกหรือกระจายไปยังเมืองหลัก 3 พื้นที่มากที่สุด ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ส่วนเมืองรองมีดาวรุ่งแจ้งเกิดแล้ว 3 จังหวัด คือ เชียงราย นครศรีธรรมราช สตูล ขณะเดียวกันจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดความท้าทายเรื่องใหญ่ที่จะต้องป้องกันโดยด่วนนั่นคือ “ปัญหาขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” ตอนนี้เจ้าภาพนำร่อง 2 กระทรวง คือ การท่องเที่ยวและกีฬา กับ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องลุกขึ้นมาจัดเตรียมมาตรการไล่ล่าขยะเจ้าปัญหาเริ่มจาก 5 มาตรการ และอาจจะนำไปสู่การจัดเก็บภาษีการใช้ขยะพลาสติกและอื่น ๆ รวมไปถึงเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน
![]() |
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน คอลัมนิสต์ท่องเที่ยวและนักวิเคราะห์เศรษฐกิจท่องเที่ยว |
ภายในเวลา 5 เดือน ปี 2561 การกระจาย “รายได้” ของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวลงสู่ “เมืองหลัก” 22 จังหวัด และ “เมืองรอง” 55 จังหวัด ท่ามกลางความตื่นตัวกับคลื่นปัญหาใหม่เรื่อง “ขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” จากจำนวนรายได้ที่หลั่งไหลเข้าประเทศรวม 1.224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.76 % มาจากตลาดต่างประเทศ ระหว่างมกราคม-พฤษภาคม รวม 8.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.11 % และตลาดในประเทศ ระหว่างมกราคม-เมษายน 3.57 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78 %
ที่น่าสนใจคือสถิติที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอเรื่อง “การกระจายตัวของรายได้” ตัวอย่างในการประเมินสถานการณ์เฉพาะพฤษภาคมปีนี้เพียงเดือนเดียว พบว่า ส่วนแบ่งของเม็ดเงินเกินกว่า 70 % มาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ประเทศเท่านั้น ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศกว่า 80 % ก็กระจายอยู่ในเมืองหลัก 3 จังหวัด โดยกรุงเทพฯ กวาดไปมากสุดเกินกว่าแสนล้านบาท ตามมาด้วยเชียงใหม่ ภูเก็ต
เริ่มจาก “ตลาดในประเทศ” ช่วง 4 เดือนแรก ระหว่างมกราคม - เมษายน 2561 ทำรายได้รวม 356,705 ล้านบาท เม็ดเงินกระจุกอยู่เมืองหลักมากถึง 275,350 ล้านบาท โดยอยู่ในกรุงเทพฯ เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดคือ 116,524 ล้านบาท ตามมาด้วย เชียงใหม่ 24,049 ล้านบาท และภูเก็ต 22,080 ล้านบาท ขณะที่ “เมืองรอง” 55 จังหวัด มีเม็ดเงินไหลเข้าไปเพียง 81,355 ล้านบาท มีดาวรุ่ง 3 จังหวัด ที่โกยรายเงินไปได้มากที่สุดเรียงตามลำดับ คือ เชียงราย 7,628 ล้านบาท นครศรีธรรมราช 5,562 ล้านบาท สตูล 4,904 ล้านบาท
ส่วนรายได้จาก “ตลาดต่างประเทศ” 867,460.77 ล้านบาท เฉพาะเดือนพฤษภาคม 2561 ทำได้ 136,710.26 ล้านบาท แต่เม็ดเงินกระจุกตัวอยู่ใน 3 หมวดหลัก ได้แก่ หมวดที่ 1 โรงแรมห้องพัก 39,068 ล้านบาท คิดเป็น 28.6 % หมวดที่ 2 ช้อปปิ้ง 34,007 ล้านบาท คิดเป็น 24.9 % หมวดที่ 3 อาหารและเครื่องดื่ม 28,007 ล้านบาท คิดเป็น 20.5 %
เฉพาะพฤษภาคม 2561 เพียงเดือนเดียว มีรายงานว่า “รายได้ตลาดต่างประเทศ” ทำไว้ 97,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.68 % นั้น 71.1 % ของรายได้ทั้งหมด (สูงกว่าปีที่ผ่านมาทำไว้ 70.1 %)มาจากนักท่องเที่ยว 10 ประเทศ คือ จีน 46,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.08 % รองลงมาคือ มาเลเซีย 7,950 ล้านบาท ลดลง 3.50 % อินเดีย 7,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.10 % สหรัฐอเมริกา 6,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.80 % เกาหลี 5,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.67 % รัสเซีย 5,190 ล้านบาท ลดลง 9.52 % สหราชอาณาจักร 5,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.57 % ออสเตรเลีย 4,830 ล้านบาท ลดลง 1.61 % ญี่ปุ่น 4,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.03 % ฮ่องกง 3,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.72 %
ขณะเดียวกันพฤษภาคมเดือนเดียวมีนักท่องเที่ยว 10 ประเทศแรก รวม 2.024 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.33 % มีสัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่มากสุดถึง 73.5 % ของทั้งหมด (สูงกว่าปีที่ผ่านมาทำไว้ 72.2 %) โดยมีจีนครองแชมป์เดินทางเข้ามาแล้ว 8.69 แสนคน เพิ่มขึ้น 14.05 % รองลงมาคือ มาเลเซีย 2.85 แสนคน ลดลง 7.33 % อินเดีย 1.56 แสนคน เพิ่มขึ้น 12.13 % สปป.ลาว 1.41 แสนคน เพิ่มขึ้น 8.36 % เกาหลี 1.23 แสนคน เพิ่มขึ้น 9.22 % ญี่ปุ่น 1.09 แสนคน เพิ่มขึ้น 0.73 % เวียดนาม 9.2 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 9.58 % สิงคโปร์ 8.5 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 2.98 % ฮ่องกง 8.3 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 25.6 % สหรัฐอเมริกา 8.1 หมื่นคน เพิ่ม 6.11 %
สำหรับข้อมูลสรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวตลอด 5 เดือนแรก ระหว่างมกราคม-พฤษภาคม 2561
สถานการณ์นักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย
“ตลาดต่างประเทศ” สามารถสร้าง “รายได้” มูลค่ารวมทั้งสิ้น 867,460.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.11 % แยกเป็น เดือนมกราคม 188,890.60 ล้านบาท เพิ่ม 11.59 % กุมภาพันธ์ 195,262.94 ล้านบาท เพิ่มสูงสุด 23.78 % มีนาคม 189,158.64 ล้านบาท เพิ่ม 22.28 % เมษายน 157,438.33 ล้านบาท เพิ่ม 12.52 % เฉพาะพฤษภาคมเดือนเดียวมีรายได้ 136,710.26 ล้านบาท เพิ่ม 9 % เป็นรายได้หลักมาจากกลุ่มตลาดท็อปเท็น 10ประเทศ มูลค่ารวมถึง 97,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.68 % จีนยังคงครองแชมป์ใช้จ่ายเงินมากสุด 46,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.38 % อินเดีย 7,460 ล้านบาท เพิ่ม 11.10 % อเมริกา 6,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.80 % เกาหลี 5,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.57 % ส่วนมาเลเซีย ถึงแม้จะใช้เงินมากติดอันดับ 2 มูลค่า 7,950 ล้านบาท ลดลง 3.50 %
ส่วนการกระจายรายได้ในเดือนพฤษภาคม 2561 จำนวน 136,710.26 ล้านบาท อยู่ใน 3 หมวดหลัก ได้แก่ หมวดที่ 1 โรงแรมห้องพัก 39,068 ล้านบาท คิดเป็น 28.6 % หมวดที่ 2 ช้อปปิ้ง 34,007 ล้านบาท คิดเป็น 24.9 % หมวดที่ 3 อาหารและเครื่องดื่ม 28,007 ล้านบาท คิดเป็น 20.5 %
ทางด้าน “จำนวน” นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทย 16,456,470 คน เพิ่มขึ้น 12.62% แยกเป็นเดือน มกราคม 3,566,528 คน เพิ่ม 10.87 % กุมภาพันธ์ 3,566,898 คน เพิ่มสูงสุด 19.33 % มีนาคม 3,497,260 คน เพิ่ม 16.27 % เมษายน 3,092,725 คน เพิ่ม 9.38 % เฉพาะพฤษภาคมเดือนเดียวมีจำนวน 2,755,05 คน เพิ่ม 6.35 % เติบโตมากสุดคือ เอเชียตะวันออก 2,048,830 คน เพิ่มขึ้น 8.44 % ในจำนวนนี้เป็นจีน 869,000 คน เพิ่มขึ้น 4.5 % ส่วนเอเชียใต้ 1.81 แสนคน เพิ่มขึ้น 9.72 % ตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ลดลงทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง โอเชียเนีย แอฟริกา
ขณะที่สถานการณ์คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ สถิติ 4 เดือนแรก ระหว่างมกราคม – เมษายน 2561
ในจังหวัดหลักและเมืองรองทั่วประเทศสร้าง “รายได้” มูลค่ารวม 356,705.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78 % ประกอบด้วย มกราคม 91,445.47 ล้านบาท เพิ่ม 8.10 % กุมภาพันธ์ 89,289.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.82 % มีนาคม 86,691.31 ล้านบาท เพิ่ม 9.77 % เมษายน 89,279.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.77 %
โดยมี “จำนวน” นักท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 48.56 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 5.49 % ประกอบด้วย เดือนมกราคม 11,875,530 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 3.11 % กุมภาพันธ์ 11,220,527 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 9.33 % มีนาคม 11,056,077 ล้านคน-ครั้ง เพิ่ม 4.52 % เมษายน 14,413,990 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มเพียง 5.34 %
สถิติ 4 เดือนแรก รายได้ในเมืองท่องเที่ยวรอง ขยายตัว 9.29 % สูงกว่าแนวโน้มปกติ 3 % จากข้อมูลรายได้ย้อนหลังเปรียบเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวเพียง 6.30 % ส่วนจำนวนผู้ไปเยือนขยายตัว 5.16 % ใกล้เคียงกับเมืองท่องเที่ยวหลักเพิ่มเฉลี่ย 5.70% ตามรายละเอียดดังนี้
สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยว “เมืองหลัก” ระหว่างมกราคม-เมษายน 2561
จังหวัดท่องเที่ยวหลักสร้างมูลค่า “รายได้” รวม 275,350.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.22 % แยกเป็น เดือนมกราคม 69,795.85 ล้านบาท เพิ่ม 7.83 % กุมภาพันธ์ 69,685.31 ล้านบาท เพิ่มสูงสุด 17.27 % มีนาคม 66,859.02 ล้านบาท เพิ่ม 10.10 % เมษายน 69,010.07 ล้านบาท เพิ่ม 10.09 %
รายได้ดังกล่าวกระจายอยู่ใน 3 พื้นที่หลัก คือ กรุงเทพฯ 116,524 ล้านบาท เชียงใหม่ 24,049 ล้านบาท ภูเก็ต 22,080 ล้านบาท ขยายตัวสูงสุดในนครราชสีมา 16.91 % ชลบุรี 15.82 % พระนครศรีอยุธยา 14.50 %
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศตลอด 4 เดือนรวม 46.43 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 5.70 % แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 12,772,753 คน นครราชสีมา 3,403,314 คน ชลบุรี 2,774,000 คน และพื้นที่ขยายตัวสูงสุด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา 11.63 % ชลบุรี 10.29 % พังงา 8.59 %
สถานการณ์ “ท่องเที่ยวเมืองรอง” ระหว่างมกราคม - เมษายน 2561
สร้าง “รายได้” มูลค่ารวม 81,355.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.29 % ประกอบด้วย เดือนมกราคม 21,649.62 ล้านบาท เพิ่ม 8.95 % กุมภาพันธ์ 19,603.93 ล้านบาท เพิ่มสูงสุด 10.91 % มีนาคม 19,832.29 ล้านบาท เพิ่ม 8.69 % เมษายน 20,269.81 ล้านบาท เพิ่ม 8.71 %
โดยกระจายอยู่ใน 3 พื้นที่ คือ เชียงราย 7,628 ล้านบาท นครศรีธรรมราช 5,562 ล้านบาท สตูล 4,904 ล้านบาท และขยายตัวมากที่สุด 3 พื้นที่ คือ ราชบุรี 14.49 % บุรีรัมย์ 14.34 % จันทบุรี 14.05 %
มีจำนวนนักท่องเที่ยวเมืองรองตลอด 4 เดือน รวมทั้งสิ้น 28.74 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.16 % ประกอบด้วย เดือนมกราคม 7,609,301 คน-ครั้ง เพิ่ม 3.99 % กุมภาพันธ์ 7,001,384 คน-ครั้ง เพิ่ม 7.85 % มีนาคม 6,964,641 คน-ครั้ง เพิ่ม 4.14 % เมษายน 7,172,627 คน-ครั้ง เพิ่ม 4.85 %
นักท่องเที่ยวกระจายตัวอยู่ในเมืองดาวรุ่ง 3 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช 1,416,350 คน พิษณุโลก 1,257,283 คน เชียงราย 1,154,235 คน และขยายตัวสูงสุดใน 3 จังหวัด คือ ลพบุรี 9.09 % บุรีรัมย์ 8.39 % ชุมพร 8.12 %
ในทางกลับกันเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศเติบโตเร็ว ขณะนี้ประเทศไทยและโลกก็กำลังเผชิญปัญหาใหญ่เรื่อง “ปริมาณขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และวิถีความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมาย ที่มีมูลค่าความสูญเสีย อาจจะมากกว่าสิ่งเม็ดเงินที่ได้จากการท่องเที่ยวหรือไม่
ทำให้รัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องในไทยต้องความพยายามเร่งมืออย่างหนักทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะเร่งผลักดันนโยบาย “กระจายจำนวนและรายได้ท่องเที่ยว” ไปสู่ “เมืองรอง 55 จังหวัด” ควบคู่กับการหามาตรการทางลัดที่จะลดปัญหาขยะพลาสติกลงอย่างรวดเร็ว เรื่อยไปจนถึงปลุกกระแสการละและเลิกใช้ให้ได้ในอนาคตข้างหน้า
วันนี้จึงเป็นโจทก์เรื่อง “การจัดการขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว” จึงเป็นความท้าทายคนไทยทั้งประเทศ หลังจากไทยถูกประกาศว่าเป็นประเทศที่ผลิตขยะพลาสติกติดอันดับ 6 ของโลก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวในเกาะทางทะเลอันดามันและอ่าวไทย เกาะพีพี เกาะสมุย อ่าวมาหยา และพื้นที่อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากจะไม่สามารถจัดการปัญหาขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่สั่งสมอย่างเรื่องระบบการบำบัดน้ำเสีย สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย
ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง ผู้ประกอบการภาคเอกชนท่องเที่ยว ต้องระดมแนวคิดเพื่อเสนอให้รัฐบาลประกาศแนวทางรับมือกับปัญหาดังกล่าวอย่างชัดเจน เรื่องแรกที่กำลังเร่งมือทำ คือ
1.นโยบายกระจายปริมาณนักท่องเที่ยวที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลัก หันไปเลือกเที่ยวเมืองรองเพิ่มขึ้น 55 จังหวัด เพื่อลดความแออัดและการใช้ทรัพยากรมากเกินไป อีกทั้งยังมีผลพลอยได้ในการกระจายเม็ดเงินสู่ท้องถิ่นอื่น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในชุมชนด้วยอีกทาง
2.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าประกาศใช้ 5 มาตรการ เลิกการใช้ขยะพลาสติก 1.ในอุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ 150 แห่ง 2.แหล่งท่องเที่ยวตามสวนสัตว์ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง 3.ลดการใช้พลาสติกในหน่วยงานต่าง ๆ โดยร่วมมือกับองค์กรอื่น เช่น ห้างสรรพสินค้า ใช้มาตรการจูงใจเพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม ตัวอย่างในตลาด อตก.ขณะนี้สามารถลดการใช้พลาสติกลงได้แล้ว 20 % 3.รณรงค์ให้ใช้นวัตกรรมใหม่ ภาชนะจากชานอ้อยหรือแกลบ เพื่อบรรจุอาหารและอื่น ๆ 4.กำจัดขยะให้ถูกวิธี 5.ควบคุมนำเข้าขยะผิดกฎหมายทุกประเภท
ส่วนมาตรการขั้นต่อไปที่หลายฝ่ายพยายามผลักดันให้ทางคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีพลเอกประวิทย์ วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งล่าสุดได้ตั้งคณะอนุกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รับพิจารณาความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาขยะล้นประเทศอย่างเร่งด่วน คือ 1.ให้กระทรวงการคลังพิจารณาออกมาตรการจัดเก็บภาษีการใช้พลาสติก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยาว เช่นเดียวกับในยุโรปหลายประเทศ เช่น เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2561 นิวซีแลนด์ ประกาศเก็บภาษี Tourist Tax Infrastructure เพื่อนำเงินที่ได้ไปดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติตามแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ 2.ภาคเอกชนไทยเสนอให้รัฐนำมาตรการอินเซนทีฟทางภาษีมาสนับสนุนผู้ประกอบการที่ลดเลิกการใช้ขยะพลาสติก 3.เสนอปฏิรูปวิธีการจัดเก็บขยะของหน่วยงานกรุงเทพมหานคร และเทศบาลทั่วประเทศ ให้หันมาจัดเก็บแบบแยกชนิดของขยะอย่างจริงจัง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “สมาชิกคิงเพาเวอร์ซื้อทัวร์บาหลี4วันจ่ายแค่1.3หมื่น”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมมือกับ ROYAL BRUNEI AIRLINES มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกผู้ถือบัตรคิง เพาเวอร์ ซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวบาหลี พร้อมที่พักและบัตรโดยสาร 4 วัน 3 คืน เริ่มต้น 13,075 บาท / คน ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2561 และเดินทางได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561
แพกเกจนี้นักท่องเที่ยวหรือสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ จะต้องเดินทางพร้อมกันอย่างน้อย 2 คน โดยเข้าพักโรงแรมหรู Nusa Dua Beach Hotel & Spa – Bali พร้อมอาหารเช้า บัตรโดยสารชั้นประหยัด ไป-กลับ กรุงเทพฯ-บาหลี น้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม (ไม่รวมสัมภาระถือขึ้นเครื่อง)พร้อมบริการอาหาร เครื่องดื่มบนเครื่อง รถรับ-ส่งระหว่างสนามบิน-โรงแรม ส่วนเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่สายการบินกำหนด
สอบถามเพิ่มได้ที่โทร. 0 2638 3050 หรือ bkkres@rba.com.bn
ข่าวที่ 2 “ยกอาหารถิ่น5ภาคมาไว้แหลมแท่น29มิ.ย.-1ก.ค.”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า เชิญเที่ยว กิน ในงาน “เทศกาลอาหารถิ่น กินตามตำนาน” (Thai – Eat – Art – Gastronomy) ระหว่างวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน ถึง วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2561 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณลานอเนกประสงค์แหลมแท่น ชายหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยใช้อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละภาคกระตุ้นการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวลงสู่ชุมชนเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ตลอดการจัดงานจะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสัมผัสในโซน ต่าง ๆ ดังนี้
1. โซนชวนชิมอาหารถิ่น 5 ภูมิภาค โดยมีร้านแถวหน้าของเมืองไทย 50 ร้าน นำสุดยอดอาหารถิ่นและอาหารขึ้นชื่อของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศให้นักท่องเที่ยวลิ้มชิมรสกันอย่างจุใจ
2. โซนอาหารถิ่นและของกินเมืองชลบุรี รวบรวมร้านอาหารชื่อดังของชลบุรี มาให้ได้รับประทานกันภายในที่นี่ที่เดียวมากถึง 60 ร้าน
3. โซนนิทรรศการ “Thai – Eat – Art – Gastronomy” พร้อมทั้งสาธิตและพูดคุยให้ความรู้ความเป็นมาของวัตถุดิบของอาหารถิ่น รวมถึง 10 เส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน
4. โซนกิจกรรม D.I.Y. เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองทำอาหารถิ่นแบบง่ายๆ หมุนเวียนกันไปหลากหลายเมนูโดยมีเพียง 600 ชุด เท่านั้น
5. โซนเวทีการแสดงและกิจกรรม จะพบกับศิลปินที่มีชื่อเสียง และการแสดงต่างๆมากมาย เริ่มตั้งแต่ วันที่ 29 มิถุนายน ชมมินิคอนเสิร์ตศิลปิน ไอซ์ ศรัณยู และ ว่าน ธนกฤต วันที่ 30 มิถุนายน ชมมินิคอนเสิร์ตศิลปิน The Mousses และ Klear วันที่ 1 กรกฎาคม ชมมินิคอนเสิร์ตศิลปิน Season Five และ บอย พีซเมคเกอร์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย 1672
ข่าวที่ 3 “บางจากเปิดร้านSPAR-ปั๊มน้ำมันชมฟรีบอลโลก”
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ร่วมกันจัดกิจกรรมต้อนรับฤดูกาลถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โดยเปิดแฟนบอลชมและเชียร์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ร้าน SPAR fresh & easy food market 11 สาขา ตลอดการแข่งขัน มีรายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ในเว็บไซต์ www.sparthailand.com)
รวมทั้งที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก สาขา ถ.ศรีนครินทร์ จะเปิดปั๊มให้ชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดรองชนะเลิศและนัดชิงชนะเลิศ รอบ 21.00 น. และ 22.00 น.) นอกจากนั้นยังร่วมกับทีมสโมสรฟุตบอลชั้นนำเชิญโค้ชและนักฟุตบอลชื่อดังมาแนะนำเทคนิคและแผนการเล่นฟุตบอลแก่เยาวชนและชุมชนรอบโรงกลั่นบางจาก เพื่อเพิ่มความรู้และพัฒนาทักษะด้านกีฬาฟุตบอลอีกด้วย
ข่าวที่ 4 “ทอท.เร่งประมูลลงทุนระบบAPMดอนเมืองปี’62”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เร่งการดำเนินโครงการระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพื่อให้ทันเปิดใช้บริการ โดยกำลังเร่งจัดทำร่างรายละเอียดเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี2561 และสามารถเปิดประมูลได้ในต้นปี 2562 ด้วยรูปแบบ PPP ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนในวงเงินกว่า 5,000 ล้านบาท
ปี 2561 ผลการดำเนินงานของสนามบินดอนเมืองจะมีรายได้สูงกว่าปี 2560 จาก 2 ปัจจัยหลัก 1.รับรู้รายได้ 9 เดือนของกิจกรรมพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสนามบินของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ 2.ปริมาณผู้โดยสารต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่องหลังจากประเทศไทยได้รับการปลดธงแดงจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ส่งผลถึงตลอดปีนี้แนวโน้มการรับรู้รายได้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% ตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น จาก 6 เดือนแรกปีนี้มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 20% โดยเฉพาะช่วงฤดูเดินทางท่องเที่ยวมีผู้โดยสารวันละ 160,000 คน คาดตลอดปีงบประมาณ 2561 สนามบินดอนเมืองจะมีผู้โดยสารใช้บริการสูงสุดถึง 40 ล้านคน
@ตะกั่วป่า พังงา เมืองน่าเที่ยวริมอันดามัน
ลงใต้ไปสูดโอโซนเมืองเก่าชายฝั่งทะเลอันดามันกันที่ “ตะกั่วป่า” จังหวัดพังงา ย้อนวิถีชีวิตอดีตอันรุ่งเรื่องเมื่อครั้งเคยเป็นเมืองท่าการค้าขายทางทะเล พอคนจีนเข้ามาอาศัยจำนวนมากขึ้น ผนวกกับอาชีพทำเหมืองสมัยนั้นเฟื่องฟู รูปแบบการสร้างบ้านพักอาศัยก็แปรเปลี่ยนเป็นสถาปัตยกรรมชิโนโปตุกีสมากขึ้น บ้านหลังแรก ๆ ที่ยังสมบูรณ์แบบต้องแวะชม “บ้านขุนอินทรีย์” ของแท้ดั้งเดิม
เมื่อนักท่องเที่ยวเดินชมเมืองผ่าน “ตลาดเก่า” บริเวณสามแยกในเมืองตรงหัวมุม “ถนนอุดมธารา” ตัดกับ “ถนนศรีตะกั่วป่า” เป็นเสมือนภาพฉายย้อนไปยังอดีตที่มีชาวจีนมาจุดธูปไหว้ฟ้าดินเป็นกิจวัตรประจำวัน
การเดินเลียบตลาดไปผสมกลมกลืนของคนท้องถิ่นที่มักจะมานั่งจับกลุ่มกันเปิด “สภากาแฟ” ทุกเช้า ภาพเหล่านี้ถือเป็นวิถีชีวิตชาวตะกั่วป่าที่ยังพบเห็นได้ ฟังเรื่องเล่ายามเช้าของชาวพื้นเมืองพอหอมปากหอมคอเสร็จแล้ว เดินท่องเที่ยวไปตาม “ถนนศรีตะกั่วป่า” เรื่อยไปจนถึง “วัดเสนานุชรังสรรค์” มีตึกเก่าหลายแห่งที่สวยงาม รอบบริเวณมีร้านกาแฟให้นั่งชีล ๆ ด้วย ผู้ที่ชื่นชอบค้นหาวิถีชีวิตจากบ้านเรือนอาศัยหาชมได้ตลอด “ถนนอุดมธารา” จะเป็นบ้านชั้นเดียวหลังคาแบบจีนโบราณ บางจุดมีภาพเขียนบนแนวกำแพงดูคลาสสิกไปอีกแบบ
ความแปลกตาในการท่องเที่ยว “เมืองตะกั่วป่า พังงา” ที่เหนือกว่าทะเลคือ มีวัดกลางเมืองสำคัญ ๆ ให้ศึกษาเรียนรู้ อย่าง “วัดเสนานุชรังสรรค์” มีพระอุโบสถสีขาวแบบเดียวกับกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น “วัดพระธาตุคีรีเขต” นักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตากับพระอุโบสถสถาปัตยกรรมปูนปั้นซึ่งมีหน้าบรรณสวยงามไม่เหมือนวัดใดในเมืองไทย
เมืองเล็ก ๆ ที่น่ารักริมทะเลอันดามันยังเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณท้องถิ่นแสนงดงาม ลองแวะไปพักผ่อนได้ที่เมืองตะกั่วป่า แห่งนี้มีครบทั้งทะเลสวย วิถีชีวิตสดใส และวัดแสนงาม เป็นหลากหลายความสุขที่มีอยู่อย่างครบครัน
@เลี่ยงลดความเครียดต้นเหตุสารพัดโรค
ความเครียดอาจเป็นต้นเหตุของการบาดเจ็บได้โดยตรง เช่น เมื่อมีภาวะความเครียดเกิดขึ้น กล้ามเนื้อจะตึง เกร็ง ระบบประสาทจะตึงและความสามารถในการนำกระแสประสาทลดลง ทำให้ล้าได้ง่าย เมื่อกล้ามเนื้อมีความตึงมาก ย่อมส่งผลต่ออาการปวด เพราะกล้ามเนื้อทำงานคงค้างอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคนที่ถือของค้างไว้ตลอดเวลา กล้ามเนื้อย่อมทำงานมากกว่าคนที่ถือแล้ววาง และเมื่อต้องทำงานชนิดเดียวกันในความหนักเท่าๆ กัน คนที่เครียดต้องใช้พลังงานมากขึ้นกว่าคนที่ไม่เครียด การเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของคนที่เครียดจึงมากกว่า จึงต้องสังเกตตัวเองจากอาการดังนี้ แล้วต้องเลี่ยงให้ได้
1. หากได้หยุดงานแล้วไปเที่ยวโดยใช้พลังมาก ๆ ทำให้อาการหายไปหรือดีขึ้นขณะเที่ยว แต่พอกลับจากเที่ยว อาการกลับมาอีกแสดงว่าอาการที่เป็นอยู่มีผลจากความเครียดค่อนข้างมาก
2. หากทำงานในรูปแบบเดียวกัน แม้จะเปลี่ยนสถานที่ไป จัดโต๊ะเก้าอี้จากเดิม แล้วอาการเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็แสดงว่าอาการตอนแรกน่าจะมาจากความเครียด
3. หากจัดโต๊ะด้วยการวางดอกไม้ เลี้ยงปลา หรือเปิดวิทยุ ฟังเพลงเพื่อการผ่อนคลาย แล้วมีผลทำให้อาการดีขึ้น แสดงว่า อาการปวดนั้นมีผลมาจากความเครียด
4. หากทำงานในรูปแบบเดียวกัน สถานที่เดียวกัน แต่ทำให้กับแฟน หรือเพื่อน ด้วยความเต็มใจและไม่ต้องมีความรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่องานนั้น แล้วพบว่าไม่ทำให้เกิดอาการปวดแม้ว่างานนั้นจะหนักก็ตาม แสดงว่า อาการปวดที่เป็นอยู่นั้นมาจากความเครียด
5. หากนั่งโต๊ะทำงานที่ไม่ได้เปลี่ยน งานยังหนักเท่าเดิม แต่วันนั้นเป็นวันจะมีงานเลี้ยง หรือกิจกรรมที่ชอบรออยู่ แต่ความรู้สึกกลับไม่หนักเท่าวันก่อนๆ แสดงว่า อาการที่เป็นอยู่เป็นผลมาจากความเคียด
6. หากงานหนักคงเดิมตลอด แต่ปรับท่าทางการทำงาน หรือโต๊ะ เก้าอี้ แล้วส่งผลให้อาการดีขึ้น แสดงว่า อาการนั้นน่าจะมาจากปัญหาของ โต๊ะ เก้าอี้ หรือท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม หากสังเกตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วพบว่า มีความไม่แน่นอนของอาการ เป็นไปได้ว่า ปัญหาอาจมาจากทั้งความเครียด โต๊ะ เก้าอี้ ไม่เหมาะสม หรือท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้องก็ได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “สิงคโปร์ขายออนไลน์ไทยหนีเที่ยวอัดโปรเต็มเหนี่ยว”
การท่องเที่ยวสิงคโปร์ รายงานว่า ได้ร่วมมือ HITEVENT เปิดตัวงานแฟร์ท่องเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้งาน “ไทยหนีเที่ยว” พร้อมอัดโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย ระหว่างวันนี้ – 29 มิถุนายน 2561 ทางเว็บไซต์ www.thaineetiew.com/Singapore
เป็นการจัดงานแฟร์ท่องเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกในรูปแบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสนักท่องเที่ยวในไทยไปเต็มทุกความชอบที่ใช่ ด้วยโปรโมชั่นครอบคลุมตั้งแต่ส่วนลดสุดคุ้มจากสายการบินชั้นนำไปจนถึงแพ็กเกจสุดประหยัดจากสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อในสิงคโปร์อย่าง รีสอร์ทเวิลด์ เซ็นโตซ่า พร้อมรวบรวมข้อเสนอสุดร้อนแรงจากโรงแรมและทัวร์เอเจนท์มากมายมาให้ครบจบในที่เดียว
1.Sentosa Development Corporation เอาใจนักท่องเที่ยวสาย Explorer และ Action Seeker ลดถึง 50% ในกิจกรรมซิกเนเจอร์ อาทิ นั่งชมวิวเกาะสิงคโปร์จากที่สูงบน Singapore Cable Car (ไป-กลับ) ถ่ายรูปกับ Sentosa Merlion หรือ รับชมแสงสีสุดตื่นตาตื่นใจในการแสดงชุด Wings of Time นักท่องเที่ยวยังสามารถเลือกซื้อแพ็กเกจ Happy 2 Joyrides ซึ่งเป็นแพ็กเกจที่สามารถจับคู่ Singapore Cable Car พ่วงกับอีก 2 กิจกรรม (สถานที่ท่องเที่ยว ดินเนอร์ หรือทัวร์ที่ร่วมรายการ) และแพ็กเกจ Happy 4 Joyrides ที่จับคู่ Singapore Cable Car กับกิจกรรมอื่นๆ (สถานที่ท่องเที่ยว ดินเนอร์ หรือทัวร์ที่ร่วมรายการ) อีก 4 กิจกรรม ในราคาส่วนลดถึง 50% อีกด้วย
2.แพกเกจชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในสิงคโปร์ราคาลด 30% ทั้งแพ็กเกจ Fly & Splash จับคู่ Singapore Cable Car กับ Adventure Cove Waterpark แพ็กเกจ Fly & Play จับคู่ Singapore Cable Car กับ Universal Studios Singapore แพ็กเกจ Be a Star ให้นักท่องเที่ยวได้นั่ง Singapore Cable Car และท่องไปใน Madame Tussauds Singapore และแพ็กเกจ Triple Attractions ที่รวม Singapore Cable Car Universal Studios Singapore และ S.E.A Aquarium ไว้ด้วยกัน
3.ผู้ใช้จ่ายครบ 10,000 บาท* ในโซน Singapore จะได้รับของขวัญสุดพิเศษเป็นกระเป๋าเดินทางฟรีขนาด 16 x 16 นิ้ว มูลค่ากว่า 1,300 บาท และร่วมเฉลิมฉลองเทศกาล Great Singapore Sales รับฟรีบัตรกำนัลช้อปปิ้งร้าน Charles & Keith มูลค่า 20 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ประมาณ 480 บาท) เมื่อใช้จ่ายในงานครบ 5,000 บาท**
อัพเดทต่าง ๆ ได้ที่ Facebook VisitSingaporeTH และ Line@ VisitSingaporeTH
ข่าวที่สอง “ชวนเที่ยวเมืองผีตาโขนด่านซ้าย6-8ก.ค.นี้”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ชวนเที่ยวงานสืบสานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน วัดโพธิ์ศรี บ้านนาเวียงใหญ่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ระหว่างวันที่ 6 - 8 กรกฎาคม 2561 ไฮไลต์จะได้ชมการแสดงผีตาโขนยามค่ำคืน ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อสร้างตลาดและให้เกิดรายได้ให้กับชุมชน เพื่ออนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อัตลักษณ์ที่เป็นรากเหง้าของท้องถิ่น
สอบถามเพิ่มได้ ที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย โทร. 0-4289-1266 เทศบาลตำบลด่านซ้าย โทร. 0-4289-1231 และททท. สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812, 0-4281-1405 / Facebook : TAT Loei Office
ข่าวที่สาม “ปตท.ลุยเปิดธุรกิจบัดเจ็ตโฮเต็ลในปั๊ม5ปี50แห่ง”
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายในปี 2561 จะคัดเลือกผู้ร่วมทุนก่อสร้างโรงแรมในสถานีน้ำมันของ ปตท. ดำเนินการเอง โดยจะนำร่องเปิดบริการครั้งแรกภายในปี 2562 ประมาณ 3-5 แห่ง พร้อมทั้งวางแผนธุรกิจภายใน 5 ปี จะขยายโรงแรมในสถานีบริการน้ำมันครอบ 50 แห่ง ส่วนราคาค่าห้องพักเฉลี่ย 500 – 800 บาทต่อห้องต่อคืน
ซึ่งทาง ปตท.จะประเมินความคุ้มทุนเพื่อจะเดินหน้าขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นเจ้าของปั๊ม หรือผู้สนใจมีที่ดินติดปั๊มผู้ลงทุนเองก็ได้ เบื้องต้นจะต้องออกแบบให้อยู่ภายใต้มาตรฐานของ ปตท. และจะจับมือกับพันธมิตรมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการด้านโรงแรมเพื่อให้ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ปตท. ครั้งล่าสุดได้อนุมัติให้เดินหน้าแผนพัฒนาคัดเลือกพันธมิตรเพื่อการลงทุนห้องพักในปั๊ม ปตท.เน้นรูปแบบการจัดทำเป็นโรงแรมแบบประหยัดหรือ Budget Hotels
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ททท.ทุบสถิติเที่ยวลดขยโหมมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง-เที่ยวภูสอยดาวดูดอกหงอนนาคพันไร่
ททท.ทุบสถิติเที่ยวลดขยะ-มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง
ก.ค.-ส.ค.ปลุกทั่วไทยจัดทัวร์บุญ-พาแม่เที่ยว
คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าบูมช้อปไม่ต้องบิน
ททท.ปั้น15ชุมชนVillage totheWorldภาค2
บางจากเปิดบริษัทใหม่BCPRรุกลงทุนนอร์เวย์
ทอท.เท4.2หมื่นล้านลุยทำอาคาร2สุวรรณภูมิ
ไปปีนภูสอยดาวดูหงอนนาคหน้าฝนอุตรดิตถ์
มหัศจรรย์10วิธีกินช่วยป้องกันเจ็บป่วยชะงัด
TGตั้งเอกนิติประธานบอร์ดปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ
GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีท่องเที่ยว
รมว.วีระศักดิ์หนุนโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์
TCEBชูMIเปิดแนวรุกใหญ่ไมซ์ อีโค ซิสเต็ม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ฟัง “คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำ TTM+2018 เมืองไทยผงาดเป็นงานอินเตอร์ต้นแบบไร้พลาสติก ปลอดกระดาษ ลดขยะโลกสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปีหน้า 2562 ลุ้นจะนำงานไปจัดในอีสาน อีกทั้งยังประกาศลุยใช้ Music Marketing ภาค 2 ปั้นอัลบั้ม Open to the New Shades รายภาค เพื่อดันกระแสเที่ยวเมืองหลักเมืองรองโตเชิงสร้างสรรค์ ส่วนกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ชวนคนไทยไปทัวร์บุญเข้าพรรษาทั่วไทยและปลุกกระแสครอบครัวพาแม่เที่ยวเดือนสิงหาคมนี้
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เ
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2018 นอกจากจะประสบความสำเร็จในมุมใหม่ Million Shades of Romance ตอบโจทก์การพลิกจุดขายด้วยรูปแบบการจัดงานกลางแจ้งริมท่าเรือ โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ จุดพลุคอนเซ็ปต์การทำตลาดเชิงรุกกลุ่มลูกค้าหรูหรา กระแสการเจรจาธุรกิจของคู่ค้าผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยกับตัวแทนทั่วโลกจาก 48 ประเทศ เกิดการค้าอย่างเป็นรูปธรรมที่จะมีเม็ดเงินขึ้นจากเวทีนี้รวมแล้วถึง 2,000 ล้าน บาท
ไฮไลต์จากเวที TTM+ 2018 ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้ อีกเรื่องคือการจุดประกายเทรนด์โลก “ลดขยะพลาสติก” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ครั้งของการจัดงาน ที่ ททท.เป็นผู้นำใช้อีเวนต์งานท่องเที่ยวระดับอินเตอร์เข้ามาเป็นต้นแบบการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการรณรงค์ให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดช่วยกันจนลดการสร้างขยะจำนวนมหาศาลลงได้ ถึง 5 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ลดขวดน้ำพลาสติก ได้อย่างน้อย 7,200 ขวด หลอดดูดน้ำ 7,200 หลอด โดยได้แจกแจก tumbler ขวดเติมน้ำและตั้งจุดกดน้ำดื่ม ผลจากการเลิกแจกขวดน้ำพลาสติก 7,200 ขวด เท่ากับได้ลดจำนวนน้ำที่ใช้ในการผลิตขวด ได้มากถึง 18,000 ลิตร (น้ำขวด 1 ลิตร ใช้น้ำผลิต 5 ลิตร)
2. ลดกระดาษได้มากถึง 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กระดาษที่เคยใช้ผลิต directory จากเดิมในแต่ละปีที่ผ่านมาต้องผลิตแจกผู้เข้าร่วมงานมากถึง 2,000 เล่ม ก็ลดลงเหลือเพียง 500 เล่ม แล้วให้คนส่วนใหญ่หันไปดาวโหลดข้อมูลได้ทาง application ส่วนที่ 2 ใบประเมินผลเดิมเคยใช้กระดาษอย่างน้อย 2,400 แผ่น แต่ครั้งนี้ให้ตอบผ่าน application ซึ่งไปช่วยลดกระบวนการใช้น้ำเพื่อการผลิตลงได้ประมาณ 10,000 ลิตร
3. ลดสายคล้องคอ badge 1,200 เส้น โดยเปลี่ยนไปใช้ badge ชนิดแถบแม่เหล็กซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ได้ในครั้งต่อไป
4. ลดจาน ชาม ที่เป็นกระดาษ โฟม ช้อนส้อมที่เป็นพลาสติก อย่างน้อย 5,000 ชิ้น
5. ลดการแจกถุงผ้า 1,200 ใบ สามารถลดการใช้น้ำเพื่อผลิตถุงผ้า ได้ 1,200,000 ลิตร
ยังไม่รวมถึงลดการใช้พลังงานอื่น ๆ ในแต่ละขั้นตอนการผลิต เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากที่ได้นำมาตรการลดการแจกพลาสติก เลิกใช้กระดาษ และอื่น ๆ ลงจากการจัดงาน TTM+2018 สะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
อีกทั้งผู้บริหาร ททท.เองก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้วยเช่นกันในการทำงานและชีวิตประจำวันได้หันมาเป็นต้นแบบการใช้แก้วเติมน้ำดื่มเลิกใช้พลาสติกต่าง ๆ ลงอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและคนรอบข้างปฏิบัติตาม
นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2562 การกำหนดสถานที่จัด TTM Plus 2019 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาภายใน 2-3 เดือน จะตัดสินใจว่าควรจะเลือกสถานที่จัดงานปีต่อไปในพัทยาต่อเนื่อง หรือจะย้ายไปยังจังหวัดที่มีความพร้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่แนวนโยบายหลักจะยึดต้นแบบการจัดที่โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ นั่นคือ กำหนดธีมคอนเซ็ปต์อย่างชัดเจน และเพิ่มความเข้มข้นเรื่องลดเลิกผลิตขยะต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
สำหรับภารกิจการนำกลยุทธ์ Music Marketing มาปลุกกระแสการท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง ตามแนวคิดใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดท่องเที่ยว ซึ่งทำหลายรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันแคมเปญ “อะเมซิ่ง ไทยเท่” ก็นำดนตรีเข้ามาใช้ผลิตสปอตโดยเน้นนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเชิงลึก เช่น บ้านป่าปาก พัทลุง ปางอุ๋ง (แม่ฮ่องสอน) และอีกหลายแห่ง ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ทางอารมณ์การพักผ่อน
ผนวกกับการวางแผนจัดอีเวนต์ดนตรีเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวโดยศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย “โก้ แซกแมน” ได้แต่งเพลงเป็นอัลบั้ม Open to the New Shades รวม 13 เพลง ล่าสุดเป็นเพลงสะมิหลา ท่องเที่ยวปักษ์ใต้ โดยภาพรวมแล้วก็จะนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลาดต่างประเทศ ช่วงครึ่งปีหลังจะนำมาโปรโมตให้คนไทยในประเทศได้รับฟังภายในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะจัดเทศกาลดนตรีขึ้น สอดรับกับเมื่องาน Jass Festival ที่หัวหิน ได้รับความนิยมมาก เพราะมีเพลงเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละภาคอยู่ด้วย นับเป็นภาษาสากลที่ช่วยสื่อถึงการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้ “โก้ แซกแมน” นำไปจัดแสดงร่วมในเวทีคอนเสิร์ตเฟสติวัลสำคัญระดับนานาชาติทั่วโลก อาทิ แจ๊สเฟสติวัล เนเธอร์แลนด์ รายการใหญ่ระดับโลกนำเพลง Open to the New Shades นักท่องเที่ยวและแฟนเพลงนับพันคนชื่นชอบและชื่นชม เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงคนทั่วโลกมาท่องเที่ยวเมืองไทย และกำลังไปจัดแสดงที่ฝรั่งเศสเร็ว ๆ นี้ โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก เพราะได้รับการสนับสนุนจากการบินไทยและภาคีพันธมิตร แต่กระแสตอบรับที่กลับมาเกินกว่าที่ลงทุน เพราะชาวต่างชาติจะเก็บเป็นของที่ระลึกพร้อมกับอ่านถึงแรงบันดาลใจของศิลปินที่ผลิตผลงานเหล่านี้ออกสู่ตลาด และช่วงกันยายนนี้จะนำเสนอเพลงท่องเที่ยวเมืองรองสไตล์ร็อคเต็มรูปแบบ
นายธเนศวร์ย้ำว่า การชวนท่องเที่ยวช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ หัวใจสำคัญของทั้ง 2 เดือน จะมีการท่องเที่ยวไฮไลต์ท่องเที่ยวเชิงศาสนาทัวร์บุญ วันเข้าพรรษาและสิงหาพาแม่เที่ยว ระหว่าง 24-28 กรกฎาคม 2561 ทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดงานเที่ยวแห่เทียนพรรษา หลัก ๆ ก็มี อุบลราชธานี นครราชสีมา ชัยภูมิ ตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ ร้อยเอ็ด นครพนม ภาคกลางก็ที่สุพรรณบุรี หรือนครสวรรค์ตักบาตรเทียนโพมหามงคล เป็นต้น
สำหรับสิงหาคมเดือนแห่งวันแม่ กิจกรรมที่ ททท.จะสนับสนุนส่งเสริมมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรักในครอบครัวและแม่ พร้อมการตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ระหว่าง 1-13 สิงหาคม 2561 ทุ่งกระเจียวสื่อรักวันแม่ จ.สุพรรณบุรี เรื่อยไปจนถึง “งานเทศกาลชมสวนฤดูฝนเชียงใหม่” ชวนไปเชียงใหม่ เพื่อชม 2 งาน คือ งานสวนดอกไม้และดอกปทุมมาศหรือดอกบัวมากกว่า 20 สายพันธุ์ ที่สวนพฤกษศาสตร์ กับงานลานนาพฤกษศาสตร์ วันที่ 12 สิงหาคม 2561 บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ททท.ทุ่มเททำการตลาดเชิงรุกอย่างหนัก เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกระจายเข้าสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศให้ได้มากที่สุดในปี 2561
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าดึงไทยช้อปได้ไม่ต้องบิน”
“คิง เพาเวอร์” กระตุ้นจุดขายไลฟ์สไตล์ที่เป็นมากกว่าดิวตี้ฟรี เปิดแนวรุกสินค้า “ป้ายฟ้า” 6 หมวด ซื้อได้โดยไม่ต้องมีตั๋วบินต่างประเทศ แถมไฮไลต์อีเวนต์กับสตรีทฟู้ดแบบจัดเต็มตลอดปี’61
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้วางกลยุทธ์ธุรกิจให้เป็นไลฟ์สไตล์ซึ่งเป็นมากกว่าร้านค้าจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (duty Free) ที่สามารถตอบสนองโจทก์ความต้องการของนักท่องเที่ยวและคนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งสามารถเข้ามาเดินช้อปปิ้งสินค้าที่ไม่จำเป็นจะต้องมีตั๋วโดยสารเดินทางต่างประเทศก็ได้ เพราะทางร้านได้นำสินค้าป้ายฟ้าในประเภทต่าง ๆ มาวางจำหน่าย ไม่ต่ำกว่า 6 หมวด ประกอบด้วย 1.หมวดการท่องเที่ยว ผลิตภายใต้อินเฮาส์แบรนด์ VS, OS, Jouney 2.หมวดอาหารโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปของชุมชน 3.หมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ 4.หมวดนาฬิกาที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง คาสิโอ หรือแม้แต่แว่นตาแบรนด์เนมบางรายการของ Prada 5.หมวดกีฬา มีทั้งแฟชั่นเสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ และ 6.หมวดสปาและสุขภาพ
รวมทั้งยังมีโซนร้านอาหารสไตล์สตรีทฟู้ดให้เลือกรับประทาน ที่คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ แบรนด์ดังอย่างร้านผัดไทยทิพย์สมัย ร้านก๋วยจับสีลม ร้านกุ้งเผาอยุธยา ข้าวมันไก่เจ๊กเม้ง เรียกได้เป็นความอร่อยจบครบในที่เดียวกัน ขณะที่คิง เพาเวอร์ ในเมืองสาขาอื่น ๆ อาทิ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต ก็มีร้านอาหารคุณภาพดีรวมอยู่ด้วย
สำหรับคิง เพาเวอร์ รางน้ำ นั้น ปี 2561 ได้วางกลยุทธ์จัดให้มีอีเวนต์แต่ละเดือนเพื่อทำเป็นจุดหมายปลายทางของแหล่งพักผ่อนใจกลางกรุง เป็นอีเวนต์ขนาดแตกต่างกันไป ช่วงกันยายนปีนี้เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ต่อเนื่องในเดือนตุลาคมจะจัดฉลองเดือนเกิดของบริษัทโดยมีกิจกรรม Delight คืนกำไรให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วย
ข่าวที่ 2 “ททท.ดัน Village To The worldภาค2ปั้น15ชุมชน”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าได้จัดโครงการยกระดับท่องเที่ยวชุมชน Village To The world เพื่อต่อยอดขยายผลด้านการตลาดการท่องเที่ยวของชุมชนให้เป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีนี้ ททท. ได้คัดเลือก 15 ชุมชนในพื้นที่เมืองรองที่มีความพร้อมในการทำการตลาดท่องเที่ยวชุมชน
ภายในเดือนกรกฎาคม 2561 ททท.จะเปิดตัวโครงการเต็มรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้ด้วยการประชาสัมพันธ์กระตุ้นการท่องเที่ยวชุมชน ระหว่างนี้ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก 2 องค์กร คือ องค์กรแรก คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ทีมนักออกแบบผลิตภัณฑ์จาก สตูดิโอ ไดอะล็อก ลงพื้นที่เตรียมความพร้อมให้แต่ละชุมชนครอบคลุมทุกด้าน เช่น งานออกแบบสร้างสรรค์ ความประทับใจในชุมชน Impressive creation โดยได้จัดส่งทีมนักออกแบบอาหาร Food stylish ช่วยแนะนำการออกแบบสร้างสรรค์อาหาร การจัดเลี้ยงในชุมชน และส่งทีมอาจารย์จากภาควิชาการโรงแรมเข้าไปช่วยตกแต่งโฮมสเตย์ชุมชนให้น่ารัก น่าพัก น่านอนมากขึ้น
องค์กรที่ 2 ทีมจากสตูดิโอ ไดอะล็อก จะเข้ามาดูแลงานด้านการออกแบบดีไซน์แพ็คเกจจิ้งสินค้าชุมชน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าชุมชน สวยงาม น่าซื้อ น่าใช้มากขึ้น
สำหรับ 15 ชุมชน นำร่องที่จะขยายผลต่อไปในโครงการ ประกอบด้วย 1. ชุมชนบ้านผาหมี จ.เชียงราย 2. ชุมชนบ้านท่าขันทอง จ.เชียงราย 3. ชุมชนปางห้าโฮมสเตย์ จ.เชียงราย4. ชุมชนศิลาเพชร จ.น่าน 5. ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง จ.ลำปาง 6. ชุมชนพรหมโลก จ.นครศรีธรรมราช 7. ชุมชนบ้านสามช่องเหนือ จ.พังงา
8. ชุมชนการท่องเที่ยวปะทิว (บางสน) จ.ชุมพร 9. ชุมชนเกาะปูยู จ.สตูล 10. ชุมชนตะโหมด จ.พัทลุง11. ชุมชนบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา9 จ.ยะลา 12. ชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์ จ.ตรัง 13. ชุมชนแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี 14. ชุมชนบ้านแหลมกลัด จ.ตราด 15. ชุมชนคีรีวงกต จ.อุดรธานี
ข่าวที่ 3 “บางจากตั้งบ.BCPRรุกลงทุนปิโตรเลียมนอร์เวย์”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) บางจากฯ มีมติให้จัดตั้งบริษัท BCPR Thailand ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ในประเทศไทย ในชื่อ BCPR ขึ้นในสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมลงทุนกับ Seacrest Capital Group ในแหล่งปิโตรเลียม Draugen Field และ Gjøa Field จาก A/S Norske Shell (Shell) โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ OKEA AS (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของนอร์เวย์ ในการดำเนินการพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์
รวมถึง BCPR จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน OKEA สัดส่วนไม่เกิน 90 % ของทุนจดทะเบียนส่วนที่เพิ่มขึ้นใน OKEA มูลค่ารวมไม่เกิน 939 ล้านโครนนอร์เวย์ (NOK) หรือประมาณ 3,760 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า 15 % ตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน
ภายหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ BCPR จะถือหุ้น OKEA ประมาณ 45 % ของทุนจดทะเบียนรวมทั้งหมด และ OKEA จะนำเงินเพิ่มทุนไปชำระค่าซื้อสิทธิในแหล่งน้ำมันดิบ Draugen Field และ Gjøa Field ในนอร์เวย์ จาก Shell ตามสัญญาซื้อขายสิทธิในแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าว โดย OKEA มีกำลังการผลิตประมาณ 25,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้เป็นผู้ผลิตรายสำคัญรายหนึ่งของนอร์เวย์
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนร่วมกันในลักษณะของ Joint Partnership ในแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ (World Class Asset) ที่มีอายุการผลิตต่อเนื่องในระยะยาว โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้เป็นน้ำมันดิบเบา (light crude) ที่มีราคาดี เหมาะกับการผลิตและการกลั่นของบางจากฯ นับเป็นการต่อยอดธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการกระจายความเสี่ยงที่สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท บางจากฯ ซึ่งคาดว่าการทำธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 และจะเข้าทำสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น รวมทั้งสัญญาที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เท4.2หมื่นสร้างอาคาร2สุวรรณภูมิ”
นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) “ทอท.-AOT” เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เดือนมิถุนายน 2561 มีมติอนุมัติให้ ทอท.ให้ ทอท.ใช้เงิน 42,084.564 ล้านบาท ลงทุนโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อเนื่องในช่วงที่กำลังพัฒนาเฟส 2 (ปีงบประมาณ 2554 - 2560) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็นปีละ 60 ล้านคน เนื่องจากตามคาดการณ์ปี 2561 จะมีผู้โดยสารมากถึง 65 ล้านคน ปี 2562 เพิ่มเป็น 68 ล้านคน เกินขีดความสามารถการรองรับได้ในช่วงเฟส 2 แล้วเสร็จ
สอดคล้องกับ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จภาคขนส่งทางอากาศโดยให้ ท่าอากาศยานดอนมือง และสุวรรณภูมิ มีขีดความสามารถในปี 2562 รองรับผู้โดยสารให้ได้ปีละ 90 ล้านคน ปี 2564 เป็นปีละ 120 ล้านคน 2.เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของรัฐบาลมุ่งให้สนามบินรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีกปีละ 30 ล้านคน
สำหรับขั้นตอนลงทุน 1.ทอท.จะเสนอโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 พร้อมวงเงินลงทุนตามมติบอร์ดให้กระทรวงคมนาคม 2.นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3.เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว จึงน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2562 แล้วเสร็จตามแผนปี 2564
ช่วงที่ 2 เตรียมตัวฟิตร่างกายไปปีน “ภูสอยดาว” เมืองน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ กับฤดูชมดอกหงอนนาคหน้าฝนบนลานกว้างกว่า 1,000 ไร่ ดื่มด่ำกับธรรมชาติป่าที่มีครบทุกแบบ ส่วนการดูแลสุขภาพ ลองทำ “10 วิธีกินอาหารเพื่อช่วยป้องกันการเจ็บป่วยได้ชะงัด” เรื่อยไปจนถึงข่าวแห่งสัปดาห์ การบินไทยตั้งแล้ว “เอกนิติ นิติทัณฑ์” นั่งประธานบอร์ดคนใหม่ ผอ.สคร.คนรุ่นใหม่เจ้าของไอเดียปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ 6 เรื่องใหญ่ อีกประเด็นเป็นการเร่งเจรจากับนายสุเมธ ดำรงชัยกุล ว่าที่ DD คนใหม่ว่าจะต้องการเงินเดือนสักเท่าไร ส่วน GIT จับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวดันจุดขายโลเกชั่นถ่ายทำหนังต่างประเทศในไทยเพื่อโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวแถมได้เงินลงทุนและรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นปีละกว่า3,000 ล้านบาท ขณะที่ TCEB ออกตัวแรงโดยใช้ตลาด MI เปิดแนวรุก MICE Eco System
@ไปปีนภูสอยดาวชมทุ่งหงอนนาคน้ำปาดอุตรดิตถ์
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย เตรียมตัวให้พร้อมกับขึ้น “ภูสอยดาว” ในอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งกำลังเตรียมเปิดฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
ด้วยสภาพอากาศเย็นสบาย ๆ เฉลี่ย 27 องศาเซียลเซส บนยอดสูงสุดของภูสอยดาวความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ในเทือกเขากั้นพรมแดนไทย- สปป.ลาว อันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าสนเขา ดิบเขา ดิบชิ้น ดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ศูนย์รวมนักท่องเที่ยวจะอยู่บริเวณลานสนสามใบ ซึ่งสูงเพียง 1,633 เมตร โอบล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามกว้างใหญ่ในพื้นที่ราบบนเทือกเขากว่า 1,000 ไร่
ขอบอกว่านักท่องเที่ยวที่จะขึ้นภูสอยดาวเพื่อไปดื่มด่ำธรรมชาติทุ่ง “ดอกหงอนนาค” ซึ่งบานสะพรั่งรับหน้าฝนอันชุ่มฉ่ำแห่งเดียวในเมืองไทยนั้น ก่อนจะไปต้องเตรียมฟิตร่างกายให้พร้อม เพราะต้องใช้เวลาเดินเท้าราว 4-6 ชั่วโมง กว่าจะเข้าถึงทุ่งดอกไม้ใหญ่สุดของประเทศ จะมีทั้ง “ดอกหงอนนาค” สีม่วงอ่อน ออกช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของทุกปี “ดอกสร้อยสุวรรณา” สีเหลือง ดอกหญ้ารากหอมสีม่วงเข้ม สวยงามมาก หากไปท่องเที่ยว “หน้าหนาว”จะได้ชมดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านาทีอินทนนท์ ใบเมเบิ้ล สีแดงสวยละลานตา
การไปปีนภูสอยดาวมีกฎอยู่ว่า หากต้องการพักค้างแรมบริเวณลานสน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวก่อนล่วงหน้า จะมีบริการลูกหาบช่วยขนสัมภาระ และมีเวลาให้ขึ้นภูได้เป็นช่วงตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงบ่ายโมงเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และต้องเตรียมเต็นท์ที่จะพักแรมไปเอง ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนด้านล่างของภูสอยดาว จะมีบริการที่กางเต็นต์ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และห้องพัก ให้เข้าไปจองทางเว็บไซต์ www.dpe.go.th
สถานที่ท่องเที่ยวรอบบริเวณอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว นอจากการปีนเขาขึ้นไปสูดอากาศบนยอดสูงสุดบนภูแล้ว ในพื้นที่ท่องเที่ยวได้ปกติก็มี “น้ำตกภูสอยดาว” เป็นลำห้วยน้ำพายไหลลงสู่น้ำปาด ลดหลั่นกันลงมามีน้ำตลอดทั้งปี 5 ชั้น ชื่อแต่ละชั้นไพเราะเสนาะหู เช่น ภูสอยดา สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ สุภาภรณ์ “น้ำตกสายทิพย์” ขนาดเล็ก ๆ เตี้ย ๆ 7 ชั้น แต่ละชั้นสูงแค่ 5-10 เมตร มีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมก้อนหินริมน้ำ เหมาะจะถ่ายรูปสวย ๆ มาฝากเพื่อนฝูง
การเข้าอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจะต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตู คือ จักรยาน คันละ 10 บาท มอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท รถเก๋ง/ปิ๊กอัพ/รถตู้ คันละ 30 บาท รถบัสขนาด 24 ที่นั่งขึ้นไป คันละ 200 บาท ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไป ค่าบัตรเข้า คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ ต้องลองไปพิชิตภูสอยดาว ดาวเด่นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติเชิงผจญภัยในเมืองรองอุตรดิตถ์
ก่อนเดินทางควรสอบถามสภาพอากาศและการเปิดบริการได้ที่ สำนักงานอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว โทร.055-436-001-2
@มหัศจรรย์การกิน10วิธีช่วยป้องกันเจ็บป่วยได้
สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ การกินก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ควรระมัดระวัง เพราะปัจจุบัน ด้วยสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้อาหารที่รับประทานนั้น ไม่ปลอดภัย 100 % เสมอไป อาหารที่ถูกสุขอนามัยนั้นเราไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารแพงๆ หรือวิตามินมากิน เพียงแค่เราปฏิบัติตามกฎ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.กินอาหารหลายๆชนิดหมุนเวียนกันไปทุกวัน
2.กินอาหารให้เพียงพอ ไม่มากไม่น้อยไป
3.กินอาหารที่เป็นธรรมชาติดัดแปลงแต่น้อย
4.กินเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ ไม่กินระหว่างมื้อ
5.กินอาหารเช้าให้มาก และหนักที่สุด ส่วนมื้อเย็นกินน้อยๆและเบาๆ
6.กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด
7.ควรกินอย่างฉลาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ปลอมปนและเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย
8.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
9.ไม่บริโภคสิ่งเสพติด
10.เวลากินข้าวระวังอย่าให้ตึงเครียด อารมณ์เสีย หรือเหนื่อยมากเกินไป
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บินไทยตั้งเอกนิติประธานบอร์ด-เร่งคุยสุเมธดีดีคนใหม่”
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงาน ที่ประชุมบอร์ดการบินไทยเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 61 เห็นชอบให้แต่งตั้ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย แทนนายสมชัย สัจจพงษ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจผลักดันการบินไทยบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว มีความแข็งแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ในขั้นตอนการประกาศนั้น จะต้องรออนุกรรมการกลั่นกรอง ชุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะมีผลอย่างเป็นทางการ
สำหรับนายเอกนิติผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นเจ้าของแนวคิดปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีหรือที่เรียกว่า Disruptive Technology เพื่อเปลี่ยนโฉมองค์กร 6 เรื่องใหญ่ได้แก่ 1.ยกระดับคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ให้เป็นกรรมการภายใต้กฎหมาย 2.จัดทำภาพรวมยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 3.เสนอการจัดทำธรรมาภิบาลที่จะนำมาใช้กับรัฐวิสาหกิจ 4. การนำ Skill matrix มาใช้กับการตั้งกรรมการ 5. จัดทำการประเมินผลให้ตรงกับยุทธศาสตร์ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ 6.เสนอศึกษาการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
ขณะที่ การบินไทยอยู่ระหว่างการเจรจากับ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม ที่ผ่านการสรรหาเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) การบินไทย เรื่องผลตอบแทนรายได้ ให้ได้ข้อยุติก่อนนางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการดีดีการบินไทย จะเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2561
ข่าวที่สอง “GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว”
นายราเชนทร์ พจนสุนทร ประธานบริหารสถาบันวิจัยและ พัฒนาอัญมณีและเครื่องประ ดับแห่งชาติ (GIT) กล่าวว่า เตรียมวางแผนจับมือกับการท่หองเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายหมุนเวียนปีละ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการขายภายในประเทศ 5 แสนล้านบาท ส่งออกต่างประเทศ 5 แสนล้านบาท โดยกำลังผลักดันมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและขอใบรับรองสินค้า และผลักดันโครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (BWC) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคด้วย
ช่วงครึ่งปีหลังทาง GIT พร้อมเดินหน้าทำโครงการพัฒนาศักยภาพธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการประกอบกิจการและสร้างรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก โดยจะเข้าไปพัฒนาอัตลักษณ์เครื่องประดับท้องถิ่นเพิ่มเติมในจังหวัดต่าง ๆ เช่น แพร่ ตราด สุรินทร์ สตูล และเพชรบุรี ต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ช่วยพัฒนาเครื่องทองสุโขทัย เครื่องเงินล้านนาเชียงใหม่ เครื่องเงินชนเผ่าเมือง น่าน มุกอันดามันจากภูเก็ต พลอยสีจันทบุรีและตาก จนเป็นที่รู้จักของตลาดและนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่สาม “ไทยชูขายโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์บูมท่องเที่ยว3พันล้าน”
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรมการท่องเที่ยวส่งเสริมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และดึงดูดกองถ่ายทำจากต่างประเทศ มุ่งสร้างเม็ดเงินและส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีวิถีไทยนำเสนอสีสัน ความหลากหลายที่ผสมกลมกลืนของไทย กับโจทย์การแข่งขันการถ่ายทำภาพยนตร์ใน 8 คลัสเตอร์ท่องเที่ยว ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่มีโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ยอดนิยมอันดับ 1 ในเอเชีย ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำมากที่สุด สถิติปี 2560 เข้ามามากถึง 810 เรื่อง สร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2561 ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย ครั้งที่ 6 Thailand International Film Destination Festival 2018 : TIFDF 2018 เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์การถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยผ่านกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย พร้อมเผยแพร่ศักยภาพของไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และความพร้อมด้านการให้บริการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องวิถีไทย และเผยแพร่ภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศที่มีระดับ มีความสวยงาม มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งยังมีรายได้จากเงินที่เข้ามาลงทุน ทำให้เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
ข่าวที่สี่ “TCEBเร่งขยายตลาดMIงัดทำระบบไมซ์อีโค”
นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการสายงานธุรกิจ ทีเส็บ กล่าวว่า “ธุรกิจการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Meetings & Incentives) หรือ MI เป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ประมาณ 50 % ให้แก่อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย ระหว่างปี 2561-2562 ตั้งเป้าเน้นการสร้างระบบ MICE Eco System หรือระบบนิเวศน์ให้แก่ธุรกิจไมซ์ สร้างความเกื้อหนุนและส่งเสริมในทุกปัจจัยและกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ขับเคลื่อนตลาด MI ด้วยการบูรณาการงานอย่างสอดประสานและเอื้อประโยชน์กัน 3 แนวทาง ประกอบด้วย
1. ส่งเสริมไมซ์ โดยเฉพาะธุรกิจ MI ให้เกิดการจัดงานที่สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งด้านโทรคมนาคม ยานยนต์ สุขภาพและบริการ เพื่อขยายความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศผ่านการประชุม
2. ส่งเสริมการจัดประชุมในพื้นที่เมืองไมซ์ซิตี้และเมืองที่มีศักยภาพ อาทิ เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC, หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี สนับสนุนการสร้างทรัพยากรในพื้นที่ให้พร้อมรองรับการจัดงาน สร้างงานและรายได้ให้ประชาชน พัฒนาระบบนิเวศน์ไมซ์ในภูมิภาค ตามนโยบายรัฐบาล
3. สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไมซ์ไทย ให้พัฒนาศักยภาพของสินค้า บริการ รวมทั้งการตลาดและการขาย โดยทีเส็บทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเวทีไมซ์ส่งเสริมผู้ประกอบการ อาทิ การสร้างเวทีให้ความรู้ เวทีเจรจาธุรกิจกับลูกค้าต่างประเทศ สร้าง Demand และ Supply ที่เกื้อหนุนกันของธุรกิจ”
สอดคล้องกับสถานการณ์ครึ่งแรกปี 2561 สามารถนำกลุ่มจัดประชุม (Meetings : M) นำนักเดินทางเข้ามาได้ 150,849 คน เติบโต 11.81% และกลุ่มได้รับรางวัลการเดินทางฟรี (Incentives : I ) 176,005 คน เติบโตสูงสุดถึง 21.63 %
รวมทั้งใช้งาน TIME 2018 ที่จัดในไทย ระหว่าง 20-23 มิถุนายน 2561 ดึงตลาดระยะไกล 3 ทวีป จากยุโรป อเมริกาเหนือ โอเชเนีย เข้ามาสร้างความสำเร็จ โดยทำให้เกิดเม็ดเงินกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจประเทศราว 170 ล้านบาท
ก.ค.-ส.ค.ปลุกทั่วไทยจัดทัวร์บุญ-พาแม่เที่ยว
คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าบูมช้อปไม่ต้องบิน
ททท.ปั้น15ชุมชนVillage totheWorldภาค2
บางจากเปิดบริษัทใหม่BCPRรุกลงทุนนอร์เวย์
ทอท.เท4.2หมื่นล้านลุยทำอาคาร2สุวรรณภูมิ
ไปปีนภูสอยดาวดูหงอนนาคหน้าฝนอุตรดิตถ์
มหัศจรรย์10วิธีกินช่วยป้องกันเจ็บป่วยชะงัด
TGตั้งเอกนิติประธานบอร์ดปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ
GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีท่องเที่ยว
รมว.วีระศักดิ์หนุนโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์
TCEBชูMIเปิดแนวรุกใหญ่ไมซ์ อีโค ซิสเต็ม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ฟัง “คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำ TTM+2018 เมืองไทยผงาดเป็นงานอินเตอร์ต้นแบบไร้พลาสติก ปลอดกระดาษ ลดขยะโลกสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปีหน้า 2562 ลุ้นจะนำงานไปจัดในอีสาน อีกทั้งยังประกาศลุยใช้ Music Marketing ภาค 2 ปั้นอัลบั้ม Open to the New Shades รายภาค เพื่อดันกระแสเที่ยวเมืองหลักเมืองรองโตเชิงสร้างสรรค์ ส่วนกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ชวนคนไทยไปทัวร์บุญเข้าพรรษาทั่วไทยและปลุกกระแสครอบครัวพาแม่เที่ยวเดือนสิงหาคมนี้
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เ
![]() |
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) |
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2018 นอกจากจะประสบความสำเร็จในมุมใหม่ Million Shades of Romance ตอบโจทก์การพลิกจุดขายด้วยรูปแบบการจัดงานกลางแจ้งริมท่าเรือ โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ จุดพลุคอนเซ็ปต์การทำตลาดเชิงรุกกลุ่มลูกค้าหรูหรา กระแสการเจรจาธุรกิจของคู่ค้าผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยกับตัวแทนทั่วโลกจาก 48 ประเทศ เกิดการค้าอย่างเป็นรูปธรรมที่จะมีเม็ดเงินขึ้นจากเวทีนี้รวมแล้วถึง 2,000 ล้าน บาท
ไฮไลต์จากเวที TTM+ 2018 ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้ อีกเรื่องคือการจุดประกายเทรนด์โลก “ลดขยะพลาสติก” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ครั้งของการจัดงาน ที่ ททท.เป็นผู้นำใช้อีเวนต์งานท่องเที่ยวระดับอินเตอร์เข้ามาเป็นต้นแบบการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการรณรงค์ให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดช่วยกันจนลดการสร้างขยะจำนวนมหาศาลลงได้ ถึง 5 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ลดขวดน้ำพลาสติก ได้อย่างน้อย 7,200 ขวด หลอดดูดน้ำ 7,200 หลอด โดยได้แจกแจก tumbler ขวดเติมน้ำและตั้งจุดกดน้ำดื่ม ผลจากการเลิกแจกขวดน้ำพลาสติก 7,200 ขวด เท่ากับได้ลดจำนวนน้ำที่ใช้ในการผลิตขวด ได้มากถึง 18,000 ลิตร (น้ำขวด 1 ลิตร ใช้น้ำผลิต 5 ลิตร)
2. ลดกระดาษได้มากถึง 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กระดาษที่เคยใช้ผลิต directory จากเดิมในแต่ละปีที่ผ่านมาต้องผลิตแจกผู้เข้าร่วมงานมากถึง 2,000 เล่ม ก็ลดลงเหลือเพียง 500 เล่ม แล้วให้คนส่วนใหญ่หันไปดาวโหลดข้อมูลได้ทาง application ส่วนที่ 2 ใบประเมินผลเดิมเคยใช้กระดาษอย่างน้อย 2,400 แผ่น แต่ครั้งนี้ให้ตอบผ่าน application ซึ่งไปช่วยลดกระบวนการใช้น้ำเพื่อการผลิตลงได้ประมาณ 10,000 ลิตร
3. ลดสายคล้องคอ badge 1,200 เส้น โดยเปลี่ยนไปใช้ badge ชนิดแถบแม่เหล็กซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ได้ในครั้งต่อไป
4. ลดจาน ชาม ที่เป็นกระดาษ โฟม ช้อนส้อมที่เป็นพลาสติก อย่างน้อย 5,000 ชิ้น
5. ลดการแจกถุงผ้า 1,200 ใบ สามารถลดการใช้น้ำเพื่อผลิตถุงผ้า ได้ 1,200,000 ลิตร
ยังไม่รวมถึงลดการใช้พลังงานอื่น ๆ ในแต่ละขั้นตอนการผลิต เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากที่ได้นำมาตรการลดการแจกพลาสติก เลิกใช้กระดาษ และอื่น ๆ ลงจากการจัดงาน TTM+2018 สะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
อีกทั้งผู้บริหาร ททท.เองก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้วยเช่นกันในการทำงานและชีวิตประจำวันได้หันมาเป็นต้นแบบการใช้แก้วเติมน้ำดื่มเลิกใช้พลาสติกต่าง ๆ ลงอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและคนรอบข้างปฏิบัติตาม
นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2562 การกำหนดสถานที่จัด TTM Plus 2019 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาภายใน 2-3 เดือน จะตัดสินใจว่าควรจะเลือกสถานที่จัดงานปีต่อไปในพัทยาต่อเนื่อง หรือจะย้ายไปยังจังหวัดที่มีความพร้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่แนวนโยบายหลักจะยึดต้นแบบการจัดที่โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ นั่นคือ กำหนดธีมคอนเซ็ปต์อย่างชัดเจน และเพิ่มความเข้มข้นเรื่องลดเลิกผลิตขยะต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
สำหรับภารกิจการนำกลยุทธ์ Music Marketing มาปลุกกระแสการท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง ตามแนวคิดใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดท่องเที่ยว ซึ่งทำหลายรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันแคมเปญ “อะเมซิ่ง ไทยเท่” ก็นำดนตรีเข้ามาใช้ผลิตสปอตโดยเน้นนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเชิงลึก เช่น บ้านป่าปาก พัทลุง ปางอุ๋ง (แม่ฮ่องสอน) และอีกหลายแห่ง ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ทางอารมณ์การพักผ่อน
ผนวกกับการวางแผนจัดอีเวนต์ดนตรีเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวโดยศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย “โก้ แซกแมน” ได้แต่งเพลงเป็นอัลบั้ม Open to the New Shades รวม 13 เพลง ล่าสุดเป็นเพลงสะมิหลา ท่องเที่ยวปักษ์ใต้ โดยภาพรวมแล้วก็จะนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลาดต่างประเทศ ช่วงครึ่งปีหลังจะนำมาโปรโมตให้คนไทยในประเทศได้รับฟังภายในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะจัดเทศกาลดนตรีขึ้น สอดรับกับเมื่องาน Jass Festival ที่หัวหิน ได้รับความนิยมมาก เพราะมีเพลงเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละภาคอยู่ด้วย นับเป็นภาษาสากลที่ช่วยสื่อถึงการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้ “โก้ แซกแมน” นำไปจัดแสดงร่วมในเวทีคอนเสิร์ตเฟสติวัลสำคัญระดับนานาชาติทั่วโลก อาทิ แจ๊สเฟสติวัล เนเธอร์แลนด์ รายการใหญ่ระดับโลกนำเพลง Open to the New Shades นักท่องเที่ยวและแฟนเพลงนับพันคนชื่นชอบและชื่นชม เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงคนทั่วโลกมาท่องเที่ยวเมืองไทย และกำลังไปจัดแสดงที่ฝรั่งเศสเร็ว ๆ นี้ โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก เพราะได้รับการสนับสนุนจากการบินไทยและภาคีพันธมิตร แต่กระแสตอบรับที่กลับมาเกินกว่าที่ลงทุน เพราะชาวต่างชาติจะเก็บเป็นของที่ระลึกพร้อมกับอ่านถึงแรงบันดาลใจของศิลปินที่ผลิตผลงานเหล่านี้ออกสู่ตลาด และช่วงกันยายนนี้จะนำเสนอเพลงท่องเที่ยวเมืองรองสไตล์ร็อคเต็มรูปแบบ
นายธเนศวร์ย้ำว่า การชวนท่องเที่ยวช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ หัวใจสำคัญของทั้ง 2 เดือน จะมีการท่องเที่ยวไฮไลต์ท่องเที่ยวเชิงศาสนาทัวร์บุญ วันเข้าพรรษาและสิงหาพาแม่เที่ยว ระหว่าง 24-28 กรกฎาคม 2561 ทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดงานเที่ยวแห่เทียนพรรษา หลัก ๆ ก็มี อุบลราชธานี นครราชสีมา ชัยภูมิ ตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ ร้อยเอ็ด นครพนม ภาคกลางก็ที่สุพรรณบุรี หรือนครสวรรค์ตักบาตรเทียนโพมหามงคล เป็นต้น
สำหรับสิงหาคมเดือนแห่งวันแม่ กิจกรรมที่ ททท.จะสนับสนุนส่งเสริมมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรักในครอบครัวและแม่ พร้อมการตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ระหว่าง 1-13 สิงหาคม 2561 ทุ่งกระเจียวสื่อรักวันแม่ จ.สุพรรณบุรี เรื่อยไปจนถึง “งานเทศกาลชมสวนฤดูฝนเชียงใหม่” ชวนไปเชียงใหม่ เพื่อชม 2 งาน คือ งานสวนดอกไม้และดอกปทุมมาศหรือดอกบัวมากกว่า 20 สายพันธุ์ ที่สวนพฤกษศาสตร์ กับงานลานนาพฤกษศาสตร์ วันที่ 12 สิงหาคม 2561 บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ททท.ทุ่มเททำการตลาดเชิงรุกอย่างหนัก เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกระจายเข้าสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศให้ได้มากที่สุดในปี 2561
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าดึงไทยช้อปได้ไม่ต้องบิน”
“คิง เพาเวอร์” กระตุ้นจุดขายไลฟ์สไตล์ที่เป็นมากกว่าดิวตี้ฟรี เปิดแนวรุกสินค้า “ป้ายฟ้า” 6 หมวด ซื้อได้โดยไม่ต้องมีตั๋วบินต่างประเทศ แถมไฮไลต์อีเวนต์กับสตรีทฟู้ดแบบจัดเต็มตลอดปี’61
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้วางกลยุทธ์ธุรกิจให้เป็นไลฟ์สไตล์ซึ่งเป็นมากกว่าร้านค้าจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (duty Free) ที่สามารถตอบสนองโจทก์ความต้องการของนักท่องเที่ยวและคนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งสามารถเข้ามาเดินช้อปปิ้งสินค้าที่ไม่จำเป็นจะต้องมีตั๋วโดยสารเดินทางต่างประเทศก็ได้ เพราะทางร้านได้นำสินค้าป้ายฟ้าในประเภทต่าง ๆ มาวางจำหน่าย ไม่ต่ำกว่า 6 หมวด ประกอบด้วย 1.หมวดการท่องเที่ยว ผลิตภายใต้อินเฮาส์แบรนด์ VS, OS, Jouney 2.หมวดอาหารโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปของชุมชน 3.หมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ 4.หมวดนาฬิกาที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง คาสิโอ หรือแม้แต่แว่นตาแบรนด์เนมบางรายการของ Prada 5.หมวดกีฬา มีทั้งแฟชั่นเสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ และ 6.หมวดสปาและสุขภาพ
รวมทั้งยังมีโซนร้านอาหารสไตล์สตรีทฟู้ดให้เลือกรับประทาน ที่คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ แบรนด์ดังอย่างร้านผัดไทยทิพย์สมัย ร้านก๋วยจับสีลม ร้านกุ้งเผาอยุธยา ข้าวมันไก่เจ๊กเม้ง เรียกได้เป็นความอร่อยจบครบในที่เดียวกัน ขณะที่คิง เพาเวอร์ ในเมืองสาขาอื่น ๆ อาทิ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต ก็มีร้านอาหารคุณภาพดีรวมอยู่ด้วย
สำหรับคิง เพาเวอร์ รางน้ำ นั้น ปี 2561 ได้วางกลยุทธ์จัดให้มีอีเวนต์แต่ละเดือนเพื่อทำเป็นจุดหมายปลายทางของแหล่งพักผ่อนใจกลางกรุง เป็นอีเวนต์ขนาดแตกต่างกันไป ช่วงกันยายนปีนี้เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ต่อเนื่องในเดือนตุลาคมจะจัดฉลองเดือนเกิดของบริษัทโดยมีกิจกรรม Delight คืนกำไรให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วย
ข่าวที่ 2 “ททท.ดัน Village To The worldภาค2ปั้น15ชุมชน”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าได้จัดโครงการยกระดับท่องเที่ยวชุมชน Village To The world เพื่อต่อยอดขยายผลด้านการตลาดการท่องเที่ยวของชุมชนให้เป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีนี้ ททท. ได้คัดเลือก 15 ชุมชนในพื้นที่เมืองรองที่มีความพร้อมในการทำการตลาดท่องเที่ยวชุมชน
ภายในเดือนกรกฎาคม 2561 ททท.จะเปิดตัวโครงการเต็มรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้ด้วยการประชาสัมพันธ์กระตุ้นการท่องเที่ยวชุมชน ระหว่างนี้ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก 2 องค์กร คือ องค์กรแรก คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ทีมนักออกแบบผลิตภัณฑ์จาก สตูดิโอ ไดอะล็อก ลงพื้นที่เตรียมความพร้อมให้แต่ละชุมชนครอบคลุมทุกด้าน เช่น งานออกแบบสร้างสรรค์ ความประทับใจในชุมชน Impressive creation โดยได้จัดส่งทีมนักออกแบบอาหาร Food stylish ช่วยแนะนำการออกแบบสร้างสรรค์อาหาร การจัดเลี้ยงในชุมชน และส่งทีมอาจารย์จากภาควิชาการโรงแรมเข้าไปช่วยตกแต่งโฮมสเตย์ชุมชนให้น่ารัก น่าพัก น่านอนมากขึ้น
องค์กรที่ 2 ทีมจากสตูดิโอ ไดอะล็อก จะเข้ามาดูแลงานด้านการออกแบบดีไซน์แพ็คเกจจิ้งสินค้าชุมชน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าชุมชน สวยงาม น่าซื้อ น่าใช้มากขึ้น
สำหรับ 15 ชุมชน นำร่องที่จะขยายผลต่อไปในโครงการ ประกอบด้วย 1. ชุมชนบ้านผาหมี จ.เชียงราย 2. ชุมชนบ้านท่าขันทอง จ.เชียงราย 3. ชุมชนปางห้าโฮมสเตย์ จ.เชียงราย4. ชุมชนศิลาเพชร จ.น่าน 5. ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง จ.ลำปาง 6. ชุมชนพรหมโลก จ.นครศรีธรรมราช 7. ชุมชนบ้านสามช่องเหนือ จ.พังงา
8. ชุมชนการท่องเที่ยวปะทิว (บางสน) จ.ชุมพร 9. ชุมชนเกาะปูยู จ.สตูล 10. ชุมชนตะโหมด จ.พัทลุง11. ชุมชนบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา9 จ.ยะลา 12. ชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์ จ.ตรัง 13. ชุมชนแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี 14. ชุมชนบ้านแหลมกลัด จ.ตราด 15. ชุมชนคีรีวงกต จ.อุดรธานี
ข่าวที่ 3 “บางจากตั้งบ.BCPRรุกลงทุนปิโตรเลียมนอร์เวย์”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) บางจากฯ มีมติให้จัดตั้งบริษัท BCPR Thailand ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ในประเทศไทย ในชื่อ BCPR ขึ้นในสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมลงทุนกับ Seacrest Capital Group ในแหล่งปิโตรเลียม Draugen Field และ Gjøa Field จาก A/S Norske Shell (Shell) โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ OKEA AS (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของนอร์เวย์ ในการดำเนินการพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์
รวมถึง BCPR จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน OKEA สัดส่วนไม่เกิน 90 % ของทุนจดทะเบียนส่วนที่เพิ่มขึ้นใน OKEA มูลค่ารวมไม่เกิน 939 ล้านโครนนอร์เวย์ (NOK) หรือประมาณ 3,760 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า 15 % ตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน
ภายหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ BCPR จะถือหุ้น OKEA ประมาณ 45 % ของทุนจดทะเบียนรวมทั้งหมด และ OKEA จะนำเงินเพิ่มทุนไปชำระค่าซื้อสิทธิในแหล่งน้ำมันดิบ Draugen Field และ Gjøa Field ในนอร์เวย์ จาก Shell ตามสัญญาซื้อขายสิทธิในแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าว โดย OKEA มีกำลังการผลิตประมาณ 25,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้เป็นผู้ผลิตรายสำคัญรายหนึ่งของนอร์เวย์
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนร่วมกันในลักษณะของ Joint Partnership ในแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ (World Class Asset) ที่มีอายุการผลิตต่อเนื่องในระยะยาว โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้เป็นน้ำมันดิบเบา (light crude) ที่มีราคาดี เหมาะกับการผลิตและการกลั่นของบางจากฯ นับเป็นการต่อยอดธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการกระจายความเสี่ยงที่สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท บางจากฯ ซึ่งคาดว่าการทำธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 และจะเข้าทำสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น รวมทั้งสัญญาที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เท4.2หมื่นสร้างอาคาร2สุวรรณภูมิ”
นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) “ทอท.-AOT” เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เดือนมิถุนายน 2561 มีมติอนุมัติให้ ทอท.ให้ ทอท.ใช้เงิน 42,084.564 ล้านบาท ลงทุนโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อเนื่องในช่วงที่กำลังพัฒนาเฟส 2 (ปีงบประมาณ 2554 - 2560) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็นปีละ 60 ล้านคน เนื่องจากตามคาดการณ์ปี 2561 จะมีผู้โดยสารมากถึง 65 ล้านคน ปี 2562 เพิ่มเป็น 68 ล้านคน เกินขีดความสามารถการรองรับได้ในช่วงเฟส 2 แล้วเสร็จ
สอดคล้องกับ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จภาคขนส่งทางอากาศโดยให้ ท่าอากาศยานดอนมือง และสุวรรณภูมิ มีขีดความสามารถในปี 2562 รองรับผู้โดยสารให้ได้ปีละ 90 ล้านคน ปี 2564 เป็นปีละ 120 ล้านคน 2.เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของรัฐบาลมุ่งให้สนามบินรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีกปีละ 30 ล้านคน
สำหรับขั้นตอนลงทุน 1.ทอท.จะเสนอโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 พร้อมวงเงินลงทุนตามมติบอร์ดให้กระทรวงคมนาคม 2.นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3.เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว จึงน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2562 แล้วเสร็จตามแผนปี 2564
ช่วงที่ 2 เตรียมตัวฟิตร่างกายไปปีน “ภูสอยดาว” เมืองน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ กับฤดูชมดอกหงอนนาคหน้าฝนบนลานกว้างกว่า 1,000 ไร่ ดื่มด่ำกับธรรมชาติป่าที่มีครบทุกแบบ ส่วนการดูแลสุขภาพ ลองทำ “10 วิธีกินอาหารเพื่อช่วยป้องกันการเจ็บป่วยได้ชะงัด” เรื่อยไปจนถึงข่าวแห่งสัปดาห์ การบินไทยตั้งแล้ว “เอกนิติ นิติทัณฑ์” นั่งประธานบอร์ดคนใหม่ ผอ.สคร.คนรุ่นใหม่เจ้าของไอเดียปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ 6 เรื่องใหญ่ อีกประเด็นเป็นการเร่งเจรจากับนายสุเมธ ดำรงชัยกุล ว่าที่ DD คนใหม่ว่าจะต้องการเงินเดือนสักเท่าไร ส่วน GIT จับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวดันจุดขายโลเกชั่นถ่ายทำหนังต่างประเทศในไทยเพื่อโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวแถมได้เงินลงทุนและรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นปีละกว่า3,000 ล้านบาท ขณะที่ TCEB ออกตัวแรงโดยใช้ตลาด MI เปิดแนวรุก MICE Eco System
@ไปปีนภูสอยดาวชมทุ่งหงอนนาคน้ำปาดอุตรดิตถ์
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย เตรียมตัวให้พร้อมกับขึ้น “ภูสอยดาว” ในอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งกำลังเตรียมเปิดฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
ด้วยสภาพอากาศเย็นสบาย ๆ เฉลี่ย 27 องศาเซียลเซส บนยอดสูงสุดของภูสอยดาวความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ในเทือกเขากั้นพรมแดนไทย- สปป.ลาว อันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าสนเขา ดิบเขา ดิบชิ้น ดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ศูนย์รวมนักท่องเที่ยวจะอยู่บริเวณลานสนสามใบ ซึ่งสูงเพียง 1,633 เมตร โอบล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามกว้างใหญ่ในพื้นที่ราบบนเทือกเขากว่า 1,000 ไร่
ขอบอกว่านักท่องเที่ยวที่จะขึ้นภูสอยดาวเพื่อไปดื่มด่ำธรรมชาติทุ่ง “ดอกหงอนนาค” ซึ่งบานสะพรั่งรับหน้าฝนอันชุ่มฉ่ำแห่งเดียวในเมืองไทยนั้น ก่อนจะไปต้องเตรียมฟิตร่างกายให้พร้อม เพราะต้องใช้เวลาเดินเท้าราว 4-6 ชั่วโมง กว่าจะเข้าถึงทุ่งดอกไม้ใหญ่สุดของประเทศ จะมีทั้ง “ดอกหงอนนาค” สีม่วงอ่อน ออกช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของทุกปี “ดอกสร้อยสุวรรณา” สีเหลือง ดอกหญ้ารากหอมสีม่วงเข้ม สวยงามมาก หากไปท่องเที่ยว “หน้าหนาว”จะได้ชมดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านาทีอินทนนท์ ใบเมเบิ้ล สีแดงสวยละลานตา
การไปปีนภูสอยดาวมีกฎอยู่ว่า หากต้องการพักค้างแรมบริเวณลานสน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวก่อนล่วงหน้า จะมีบริการลูกหาบช่วยขนสัมภาระ และมีเวลาให้ขึ้นภูได้เป็นช่วงตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงบ่ายโมงเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และต้องเตรียมเต็นท์ที่จะพักแรมไปเอง ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนด้านล่างของภูสอยดาว จะมีบริการที่กางเต็นต์ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และห้องพัก ให้เข้าไปจองทางเว็บไซต์ www.dpe.go.th
สถานที่ท่องเที่ยวรอบบริเวณอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว นอจากการปีนเขาขึ้นไปสูดอากาศบนยอดสูงสุดบนภูแล้ว ในพื้นที่ท่องเที่ยวได้ปกติก็มี “น้ำตกภูสอยดาว” เป็นลำห้วยน้ำพายไหลลงสู่น้ำปาด ลดหลั่นกันลงมามีน้ำตลอดทั้งปี 5 ชั้น ชื่อแต่ละชั้นไพเราะเสนาะหู เช่น ภูสอยดา สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ สุภาภรณ์ “น้ำตกสายทิพย์” ขนาดเล็ก ๆ เตี้ย ๆ 7 ชั้น แต่ละชั้นสูงแค่ 5-10 เมตร มีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมก้อนหินริมน้ำ เหมาะจะถ่ายรูปสวย ๆ มาฝากเพื่อนฝูง
การเข้าอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจะต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตู คือ จักรยาน คันละ 10 บาท มอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท รถเก๋ง/ปิ๊กอัพ/รถตู้ คันละ 30 บาท รถบัสขนาด 24 ที่นั่งขึ้นไป คันละ 200 บาท ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไป ค่าบัตรเข้า คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ ต้องลองไปพิชิตภูสอยดาว ดาวเด่นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติเชิงผจญภัยในเมืองรองอุตรดิตถ์
ก่อนเดินทางควรสอบถามสภาพอากาศและการเปิดบริการได้ที่ สำนักงานอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว โทร.055-436-001-2
@มหัศจรรย์การกิน10วิธีช่วยป้องกันเจ็บป่วยได้
สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ การกินก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ควรระมัดระวัง เพราะปัจจุบัน ด้วยสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้อาหารที่รับประทานนั้น ไม่ปลอดภัย 100 % เสมอไป อาหารที่ถูกสุขอนามัยนั้นเราไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารแพงๆ หรือวิตามินมากิน เพียงแค่เราปฏิบัติตามกฎ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.กินอาหารหลายๆชนิดหมุนเวียนกันไปทุกวัน
2.กินอาหารให้เพียงพอ ไม่มากไม่น้อยไป
3.กินอาหารที่เป็นธรรมชาติดัดแปลงแต่น้อย
4.กินเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ ไม่กินระหว่างมื้อ
5.กินอาหารเช้าให้มาก และหนักที่สุด ส่วนมื้อเย็นกินน้อยๆและเบาๆ
6.กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด
7.ควรกินอย่างฉลาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ปลอมปนและเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย
8.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
9.ไม่บริโภคสิ่งเสพติด
10.เวลากินข้าวระวังอย่าให้ตึงเครียด อารมณ์เสีย หรือเหนื่อยมากเกินไป
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บินไทยตั้งเอกนิติประธานบอร์ด-เร่งคุยสุเมธดีดีคนใหม่”
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงาน ที่ประชุมบอร์ดการบินไทยเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 61 เห็นชอบให้แต่งตั้ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย แทนนายสมชัย สัจจพงษ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจผลักดันการบินไทยบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว มีความแข็งแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ในขั้นตอนการประกาศนั้น จะต้องรออนุกรรมการกลั่นกรอง ชุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะมีผลอย่างเป็นทางการ
สำหรับนายเอกนิติผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นเจ้าของแนวคิดปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีหรือที่เรียกว่า Disruptive Technology เพื่อเปลี่ยนโฉมองค์กร 6 เรื่องใหญ่ได้แก่ 1.ยกระดับคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ให้เป็นกรรมการภายใต้กฎหมาย 2.จัดทำภาพรวมยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 3.เสนอการจัดทำธรรมาภิบาลที่จะนำมาใช้กับรัฐวิสาหกิจ 4. การนำ Skill matrix มาใช้กับการตั้งกรรมการ 5. จัดทำการประเมินผลให้ตรงกับยุทธศาสตร์ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ 6.เสนอศึกษาการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
ขณะที่ การบินไทยอยู่ระหว่างการเจรจากับ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม ที่ผ่านการสรรหาเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) การบินไทย เรื่องผลตอบแทนรายได้ ให้ได้ข้อยุติก่อนนางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการดีดีการบินไทย จะเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2561
ข่าวที่สอง “GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว”
นายราเชนทร์ พจนสุนทร ประธานบริหารสถาบันวิจัยและ พัฒนาอัญมณีและเครื่องประ ดับแห่งชาติ (GIT) กล่าวว่า เตรียมวางแผนจับมือกับการท่หองเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายหมุนเวียนปีละ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการขายภายในประเทศ 5 แสนล้านบาท ส่งออกต่างประเทศ 5 แสนล้านบาท โดยกำลังผลักดันมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและขอใบรับรองสินค้า และผลักดันโครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (BWC) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคด้วย
ช่วงครึ่งปีหลังทาง GIT พร้อมเดินหน้าทำโครงการพัฒนาศักยภาพธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการประกอบกิจการและสร้างรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก โดยจะเข้าไปพัฒนาอัตลักษณ์เครื่องประดับท้องถิ่นเพิ่มเติมในจังหวัดต่าง ๆ เช่น แพร่ ตราด สุรินทร์ สตูล และเพชรบุรี ต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ช่วยพัฒนาเครื่องทองสุโขทัย เครื่องเงินล้านนาเชียงใหม่ เครื่องเงินชนเผ่าเมือง น่าน มุกอันดามันจากภูเก็ต พลอยสีจันทบุรีและตาก จนเป็นที่รู้จักของตลาดและนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่สาม “ไทยชูขายโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์บูมท่องเที่ยว3พันล้าน”
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรมการท่องเที่ยวส่งเสริมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และดึงดูดกองถ่ายทำจากต่างประเทศ มุ่งสร้างเม็ดเงินและส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีวิถีไทยนำเสนอสีสัน ความหลากหลายที่ผสมกลมกลืนของไทย กับโจทย์การแข่งขันการถ่ายทำภาพยนตร์ใน 8 คลัสเตอร์ท่องเที่ยว ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่มีโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ยอดนิยมอันดับ 1 ในเอเชีย ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำมากที่สุด สถิติปี 2560 เข้ามามากถึง 810 เรื่อง สร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2561 ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย ครั้งที่ 6 Thailand International Film Destination Festival 2018 : TIFDF 2018 เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์การถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยผ่านกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย พร้อมเผยแพร่ศักยภาพของไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และความพร้อมด้านการให้บริการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องวิถีไทย และเผยแพร่ภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศที่มีระดับ มีความสวยงาม มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งยังมีรายได้จากเงินที่เข้ามาลงทุน ทำให้เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
ข่าวที่สี่ “TCEBเร่งขยายตลาดMIงัดทำระบบไมซ์อีโค”
นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการสายงานธุรกิจ ทีเส็บ กล่าวว่า “ธุรกิจการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Meetings & Incentives) หรือ MI เป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ประมาณ 50 % ให้แก่อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย ระหว่างปี 2561-2562 ตั้งเป้าเน้นการสร้างระบบ MICE Eco System หรือระบบนิเวศน์ให้แก่ธุรกิจไมซ์ สร้างความเกื้อหนุนและส่งเสริมในทุกปัจจัยและกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ขับเคลื่อนตลาด MI ด้วยการบูรณาการงานอย่างสอดประสานและเอื้อประโยชน์กัน 3 แนวทาง ประกอบด้วย
1. ส่งเสริมไมซ์ โดยเฉพาะธุรกิจ MI ให้เกิดการจัดงานที่สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งด้านโทรคมนาคม ยานยนต์ สุขภาพและบริการ เพื่อขยายความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศผ่านการประชุม
2. ส่งเสริมการจัดประชุมในพื้นที่เมืองไมซ์ซิตี้และเมืองที่มีศักยภาพ อาทิ เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC, หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี สนับสนุนการสร้างทรัพยากรในพื้นที่ให้พร้อมรองรับการจัดงาน สร้างงานและรายได้ให้ประชาชน พัฒนาระบบนิเวศน์ไมซ์ในภูมิภาค ตามนโยบายรัฐบาล
3. สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไมซ์ไทย ให้พัฒนาศักยภาพของสินค้า บริการ รวมทั้งการตลาดและการขาย โดยทีเส็บทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเวทีไมซ์ส่งเสริมผู้ประกอบการ อาทิ การสร้างเวทีให้ความรู้ เวทีเจรจาธุรกิจกับลูกค้าต่างประเทศ สร้าง Demand และ Supply ที่เกื้อหนุนกันของธุรกิจ”
สอดคล้องกับสถานการณ์ครึ่งแรกปี 2561 สามารถนำกลุ่มจัดประชุม (Meetings : M) นำนักเดินทางเข้ามาได้ 150,849 คน เติบโต 11.81% และกลุ่มได้รับรางวัลการเดินทางฟรี (Incentives : I ) 176,005 คน เติบโตสูงสุดถึง 21.63 %
รวมทั้งใช้งาน TIME 2018 ที่จัดในไทย ระหว่าง 20-23 มิถุนายน 2561 ดึงตลาดระยะไกล 3 ทวีป จากยุโรป อเมริกาเหนือ โอเชเนีย เข้ามาสร้างความสำเร็จ โดยทำให้เกิดเม็ดเงินกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจประเทศราว 170 ล้านบาท
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ททท.ดัน3จังหวัดเหนือ"อุตรดิตถ์-สุโขทัย-กำแพงเพชรโกยหมื่นล้าน
ททท.ดัน3จังหวัดเหนือตอนล่างลุ้นรายได้หมื่นล้าน
สุโขทัย-อุตรดิตถ์-กำแพงเพชรบูมEat Localแรงสุด
คิงเพาเวอร์ให้สมาชิกพัก2โรงแรมภูเก็ตลดถึง40%
ททท.ใช้
บอลลีวูดดึงอินเดียเข้าไทยปีละ 2 ล้านคน
บางจากกวาด3รางวัลเอเชียตอกย้ำผู้นำพลังงาน
ทอท.แนะใช้บริการรถสาธารณะสุวรรณภูมิ5กลุ่ม
เที่ยวพิจิตรเมืองเล็กน่ารักด้วย5มุมใหม่ห้ามพลาด
เคล็บลับวิธีป้องกันการล้าทำได้ไม่ยาก10ข้อต้องรู้
ภาคเหนือตอนล่างชูขาย5มุมใหม่หลังครม.สัญจร
คมนาคมสั่งกรมทางหลวงยกเครื่องรับทัวร์เหนือ
ดุสิตปริ๊นเซสศรีนครินทร์รุกตลาดเวดดิ้ง-ฮันนีมูน
ดิโอกุระกรุงเทพฯชวนชิมเทศกาลอาหารสุดคุ้ม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ฟังจุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวภาคเหนือตอนล่างจาก “พัศลินทร์ เศวตรัตน์” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย เป็นต้นแบบ Local Hero เล่าเรื่องปฐมแห่งราชธานี “สุโขทัย” เมืองภูเขาไฟกินได้ “อุตรดิตถ์” และน้องใหม่ “กำแพงเพชร” ซึ่งมีรายได้รวม ๆ กันปีละเกือบ 7,000 ล้านบาท หากปั้นโปรดักซ์ดี ๆ ในอนาคตก็มีลุ้นแตะหลักหมื่นล้านบาท ด้วยจุดขายที่เพียบพร้อมทั้ง วิถีการกินถิ่นอาหาร ดินแดนผลไม้เลื่องชื่อ หลิน-หลง เมืองงามหน้างน อีกทั้งยังเตรียมแจ้งเกิด “ผ้ากำแพง” สร้างชื่อใหม่ให้กำแพงเพชร
พัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ดูแลการตลาดท่องเที่ยวภาคเหนือ 3 จังหวัด สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร เป็นเมืองหลักเมืองรองมาแรงได้ชื่อว่าเป็น “เมืองงามหน้าฝน” ของกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงวัย จึงได้ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดทำแพก “สูงวัยสายบุญ” เชื่อมโยงเมืองโดยรอบ แบ่งเป็น 2 เส้นทาง คือ 1.สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-อุตรดิตถ์ 2.สุโขทัย-กำแพงเพชร-ตาก ตั้งแต่ 8 คนขึ้นไป เฉลี่ยแพกเกจละ 5,559 บาท/คน แหล่งท่องเที่ยวหลัก ๆ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติสุโขทัย วัดต่างๆ พร้อมกิจกรรมเสริม D.I.Y สร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชน เช่น การพิมพ์พระ การวาดลวดลายต่าง ๆ พอไปถึงอุตรดิตถ์จะเป็นฤดูผลไม้เมืองภูเขา โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หลิน-หลง และอำเภอน้ำปาด ห้วยมุ่น จะมีสับปะรดห้วยมุ่น ซึ่งผลไม้ทั้ง 2 ชนิดได้ G.I.รับรองเรียบร้อยแล้ว
จุดขายเด่น ๆ แถบนี้ก็มี “อาหารถิ่น” เป็นเส้นทาง Eat Local บูรณาการร่วมกับทางจังหวัดเปิดเส้นทาง Eat ลับ แล นำร่องจัด “เทศกาลผลไม้และของดีจังหวัดอุตรดิตถ์” ระหว่างวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2561 นอกจากนั้น ททท.จะเสริมการโปรโมตกิจกรรมอาหารถิ่นต่อเนื่องระหว่าง 1-31 กรกฎาคม นี้
อาหารถิ่นของอุตรดิตถ์เมืองภูเขากินได้ ไฮไลต์ผลผลิตทุเรียนหลิน-หลง อุตรดิตถ์ มีเพียงพอที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยว ออก 2 รุ่น คือ รุ่นแรก เมษายน-มิถุนายน รุ่นสอง กรกฎาคม ช่วงดังกล่าวก็จะมีผลไม้อื่น ๆ เสริมทั้งลองกอง ลางสาด โดยทางจังหวัดรณรงค์ชาวสวนให้คัดคุณภาพทุเรียนกับผลไม้ที่มีคุณภาพตัดตอนแก่รสชาติดี สนนราคาหลินลับแลลูกขนาดเล็กเริ่มที่กิโลกรัมละ 200 บาท ขนาดกลาง 350 บาท แต่ถ้าเป็นหลินลับแลลูกขนาดกลางถึงใหญ่จะทำราคาได้ 400-800 บาท
ปีนี้ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมไปซื้อตรงได้เลย เช่น สวนป้าเรียน สามารถซื้อและรับประทานได้บริเวณสวน เน้นเข้าไปชมสวนแล้วซื้อเป็นตามน้ำหนักไม่ได้เปิดเป็นแบบบุฟเฟต์สวนผลไม้เหมือนภาคตะวันออก และยังมีตลาดหัวดงเป็นศูนย์ตลาดค้ากลางผลไม้อุตรดิตถ์ ขณะนี้การท่องเที่ยวกินผลไม้เมืองลับแลคึกคักมากช่วงหน้าฝนปีนี้ ซึ่งจะเปิดเป็นเส้นทางใหม่สไตล์ Eat Local ผสมผสานทั้งผลไม้ และอาหารถิ่นขึ้นชื่อ เช่น หมี่พันป้าหว่าง กระบองทอดเจ๊นี ข้าวพันผัก และเมนูอื่น ๆ ขณะนี้ทางจังหวัดได้เร่งพัฒนาเมนูอาหารถิ่นและผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น เช่น นำสับปะรด ทุเรียนมาแปรรูปเป็นเค้ก ไอศรีม เริ่มมีบางร้านทำแล้วเพิ่มความหลากหลายอย่างมาก
ที่กำลังนำร่องโปรโมตอีกแห่งเป็น “ชุมชนลาวเวียง บ้านนาท้องแคว” อำเภอตรอน โดดเด่นด้านอัตลักษณ์โดยมีตลาดวัฒนธรรมลาวเวียง เปิดทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์แรกของเดือน มีกิจกรรมน่ารักหาบกังหันไปวัด และโฮมสเตย์บริการ 20 หลัง เสิร์ฟอาหารเฉพาะเรียกว่าครัวบักเผ็ดคล้ายปลาเห็ดนำพริกหยวกทอดใส่ลงไป รสชาติกลมกล่อมอร่อยมาก ทาง ททท.จะประชาสัมพันธ์เป็นอาหารเฉพาะแห่งเดียวในเมืองไทย หารับประทานได้เมื่อเข้าพักโฮมสเตย์
ส่วนโรงแรมห้องพักในอุตรดิตถ์มีความหลากหลายจำนวนรวมกว่า 2,000 ห้อง ราคาย่อมเยา สไตล์เก๋ ๆ น่ารัก เริ่มต้น 500 บาท/ห้อง/คืน ฟรีอาหารเช้า 1 มื้อ
เส้นทางต่อเนื่องไปเขื่อนสิริกิติ์จะเป็นสถานที่เหมาะกับตลาดการจัดประชุมและพักผ่อนไปด้วยได้ ช่วงฤดูฝนจะเห็นปรากฎการณ์แม่น้ำ 2 สี ระหว่างแม่น้ำน่านกับแม่น้ำปาดไหลมาบรรจบกัน สวยงามแปลกตาดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกแห่ง
ผอ.พัศลินทร์ กล่าวว่า รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตดีต่อเนื่องทุกปี ทั้ง 3 จังหวัด มีรายได้จากการท่องเที่ยวละปีรวมเกือบ 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย จังหวัดสุโขทัยทำรายได้ปีละกว่า 3,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 % จังหวัดกำแพงเพชร รายได้รวม 1,500 ล้านบาท เติบโต 3.4 % จากจำนวนนักท่องเที่ยวปีละประมาณ 700,000 คน แบ่งเป็นคนไทย 90 % ต่างชาติ 10 % ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์รายได้ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท เติบโต 4.5 % จำนวนนักท่องเที่ยวปีละกว่า 1 ล้านคน ซึ่งแต่ละจังหวัดจะกระจายเข้าสู่ท้องถิ่นได้ค่อนข้างทั่วถึงพอสมควร
ส่วนการเตรียมวางแผนการตลาดท่องเที่ยวปี 2562 เบื้องต้นได้หารือร่วมกันกับทุกฝ่ายจะโปรโมตภาคเหนือด้วยเรื่องเล่า ซึ่งทำวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง เรียบร้อยแล้ว และวางกลยุทธ์ใช้ Local Hero มาเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด หลัก ๆ จะทำ 1.เรื่องเล่าผ่านผ้าไทยภาคเหนือ ซึ่งทางผู้บริหาร ททท.ให้คอนเซ็ปต์ ผ้าตีนจก ผ้าหมักโคลน ย่าม ของสุโขทัย มีซิ่นตีนจกไทย-ญวน เมืองลับแล ผ้าลายน้ำไหลบ้านโคก ของอุตรดิตถ์ แต่ละท้องถิ่นมีเรื่องเล่าดี ๆ แม้แต่กำแพงเพชรก็มีการทำผ้าขึ้นมาใหม่เรียกว่าลายกำแพงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ในอนาคตอันใกล้นี้จะเริ่มเผยแพร่ได้
แนวโน้มนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าสู่อุตรดิตถ์เป็นผู้สูงวัย เจน X จากนี้ไปจะมีเจน Y เข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะมีสินค้ารองรับได้ ความขึ้นชื่อของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ต้อนรับฤดูท่องเที่ยวภูสอยดาวตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป มีดอกหงอนนาคสวยงามแห่งเดียวในเมืองไทย ททท.เข้าไปทำกิจกรรม “การท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว” รณรงค์ให้เดินทางด้วยการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
พื้นที่การท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนล่างทั้ง 3 จังหวัด กำลังเป็นพลังใหม่ของประเทศ ที่จะสร้างเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งขึ้นอีกได้ โดยเฉพาะจุดขายอัตลักษณ์การใช้ฮีโร่ท้องถิ่นทำหน้าที่เดินเรื่องเล่าให้เกิดความน่าสนใจทั้ง อาหารเฉพาะในชุมชน เส้นทางวิถีผ้าวิถีวัฒนธรรม สวนผลไม้เมืองภูเขากินได้ และธรรมชาติที่แปลกแตกต่างในแต่ละฤดู อีกไม่นานทั้งสุโขทัย กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ จะสร้างเงินหลั่งไหลเข้าพื้นที่ได้รวมกันถึงปีละหมื่นล้านบาทได้อย่างแน่นอน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ลดสมาชิกพักหรู2โรงแรมภูเก็ต40%”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดให้สมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ ได้ท่องเที่ยวและเลือกพักโรงแรมชั้นนำในจังหวัดท่องเที่ยวระดับโลกอย่างภูเก็ต ได้ที่ AMATARA WELLNESS RESORT PHUKET เข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2561 จองห้องพักตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป บริการรถรับ-ส่ง (ไป-กลับ) ฟรีที่สนามบินภูเก็ต สมาชิกคิง เพาเวอร์รับทันทีส่วนลด 40% จาก Best Available Rate พร้อมอาหารเช้า 2 คน และรับสปาเครดิต 1,000 บาท / ห้อง / คืน
ซึ่งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มุ่งเน้นร่วมมือกับพันธมิตรเปิดประสบการณ์ให้สมาชิกได้เดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัมผัสกับประสบการณ์พักในรีสอร์ทระดับ 5 ดาว สไตล์ชิโนโปรตุกีส ตั้งอยู่ที่แหลมพันวา ห้องพักกว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมบริการนวด และกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่าง ๆ โทร. 076 318 888 หรือ E-mail: reservations.phuket@amataraphuket.com
ส่วน อนันตรา ลายัน ภูเก็ต รีสอร์ท สมาชิกบัตร คิง เพาเวอร์ จองและเข้าพักตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2562 สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ รับส่วนลด 15% ห้องพักพร้อมอาหารเช้าจากราคา Best Flexible Rate เมื่อเข้าพักตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป ค่าอาหารและสปา ลด 10% และขยายเวลาเช็คเอาท์ และอัพเกรดห้องพัก ขึ้นอยู่กับจำนวนห้องว่าง ณ วันที่เข้าพัก)
อนันตรา ลายัน ภูเก็ต รีสอร์ทตั้งอยู่บนชายหาดลายันส่วนตัวมีหาดทรายทอดยาวเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ในบริเวณอ่าวริมชายฝั่งตะวันตกหรูที่น่าตื่นตาตื่นใจ จองทาง www.anantara.com/en/partners/kingpower โดยมีขั้นตอนการจองดังนี้ กรุณาแสดงบัตรสมาชิกคิง เพาเวอร์ ก่อนเข้าใช้บริการ กรอกรหัสส่วนลด: KPTRAVEL ในขั้นตอนการชำระเงิน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.kingpower.com หรือโทร. 1631
ข่าวที่ 2 “ททท.ดึงงานบอลีวูดจัดในไทยหวังปี’63รายได้พุ่ง”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า ได้จับมือกับสมาพันธ์ภาพยนตร์อินเดียจัดงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม International Indian Film Academy (IIFA) ประจำปี 2561 ภายใต้ชื่องาน IIFA Weekend & Awards 2018 กลับมาจัดใหม่ในไทยอีกครั้งในรอบ 10 ปี ระหว่างวันที่ 21-22 มิถุนายน 2561 ที่โรงแรม Marriott Marquis Queens Park คาดจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงในวงการ Bollywood ได้แก่ ดารานักแสดง อาทิ Ranbir Kapoor, Shahid Kapoor, Anil Kapoor, VarunDhawan, PrinyakaChopa, RitikRoshan VipashaBasu ผู้กำกับการแสดง ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์อินเดียจากประเทศต่าง ๆ
งานนี้ไทยจะรับประโยชน์โดยตรงต่อเศรษฐกิจประเทศผ่านสื่อมวลชนที่เข้าร่วมจากทั่วโลกกว่า 350 คน ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ การถ่ายทอดพิธีประกาศรางวัลและกิจกรรมต่างๆ ตลอดงานมีผู้ชมกว่า 90 ประเทศ มากกว่า 800 ล้านคน จึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดตลาดอินเดียวเข้าไทยได้ตามเป้าหมายปี 2563 ปลุกนักท่องเที่ยวเข้าไทยปีละเกิน 2 ล้านคน เพราะตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาเศรษฐกิจอินเดียขยายตัวFfp,uGDP สูงถึง 7.1 % ผนวกกับ UNWTO คาดการณ์ปี 2563 จะมีคนอินเดียเดินทางออกนอกประเทศประมาณ 50 ล้านคน และทยอยเดินทางมาไทยตั้งแต่ปี 2560 มากถึง 1.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18.20 % สร้างรายได้ 62,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.11% นับจากปี 2561 เป็นต้นไป ททท. พุ่งเป้าเจาะกลุ่มกลุ่ม Luxury แต่งงาน/ฮันนีมูน กลุ่ม MICE และกลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง
ข่าวที่ 3 “บางจากกวาด3รางวัลผู้นำบริษัทพลังงานเอเชีย”
นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) “BCP” กล่าวว่า ล่าสุดเป็นผู้แทนบริษัท รับ 3 รางวัลในงาน 8th Asian Excellence Award 2018 จัดโดย Corporate Governance Asia ณ โรงแรม JW Marriott Hotel ฮ่องกง เมื่อเร็วๆ นี้
ประกอบด้วย 1.รางวัล Asia’s Best CEO (Investor Relations) ที่มอบให้แก่นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก 2.รางวัล Best Environmental Responsibility และ 3.รางวัล Best Investor Relations Company (Thailand)
ทั้งนี้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำพลังงานที่มีความมุ่งมั่นจะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เพื่อสังคมและทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์เชิงบวกในเวทีนานาชาติทั้งปัจจุบันและอนาคต
ข่าวที่ 4 “ทอท.แนะใช้รถสาธารณะสุวรรณภูมิ5ประเภท”
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” รายงานว่า ขณะนี้ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การให้บริการรถสาธารณะ 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. รถไฟฟ้า แอร์พอร์ต ลิงค์ ระหว่างสุวรรณภูมิ-พญาไท เริ่มตั้งแต่ 05.30 – 24.00 น.
2.รถตู้ร่วมโดยสารสาธารณะ จุดขึ้นลง บริเวณศูนย์ขนส่งสาธารณะ หรือ บัส เทอร์มินอล 5 สาย ได้แก่ 549 มีนบุรี เริ่ม 06.00-22.30 น.สาย 552 อ่อนนุช เริ่ม 04.00-23.00 น.สาย 559 รังสิต จันทร์-ศุกร์ เริ่ม 06.00-22.00 น.เสาร์-อาทิตย์ เริ่ม 06.30-23.00 น.สาย 555 ดอนเมือง เริ่ม 06.00-21.00 น. สาย 552A เริ่ม 05.00-22.40 น.
3.รถโดยสาร บขส. 3 เส้นทาง โดยมีจุดขึ้นลง บริเวณศูนย์ขนส่งสาธารณะ หรือ บัส เทอร์มินอล 3 เส้นทาง ได้แก่ สาย 389 พัทยา (จอมเทียน) เริ่ม 06.00-21.00 น. สาย 390 ตลาดโรงเกลือ เริ่ม 06.40-17.00 น. สาย 825 หนองคาย เริ่ม 21.00 น. จุดขึ้นลงบริเวณอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ประตู 8 มี 3 เส้นทาง ได้แก่ สาย 389 พัทยา (จอมเทียน) เริ่ม 06.00-21.00 น. สาย 789 หัวหิน เริ่ม 07.30-19.30 น.สาย 392 เกาะช้าง เริ่ม 07.50/11.00/14.00 น.
4.รถโดยสาร แอร์พอร์ต ชัตเติ้ล บส จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง ให้บริการบริเวณชานชาลาผู้โดยสารชั้น 2 ประตู 3 เริ่ม 05.00-24.00 น. ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองให้บริการจอดตรง ชั้น 2 และชั้น 4 ประตู 5
5.รถโดยสารสาธารณะ ขสมก. ให้บริการที่ศูนย์ขนส่งสาธารณะ บัส เทอร์มินอล 4 สาย ได้แก่ สาย 554 รังสิต (ถนนรามอินทรา) เริ่ม 05.00-22.40 น. สาย 555 รังสิต (ทางด่าวนพระราม9) เริ่ม 05.00-24.00 น.สาย 558 เซ็นทรัลพระราม 2 เริ่ม 05.00-20.40 น. ให้บริการบริเวณอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ประตู 7 สาย S1 ข้าวสาร (สนามหลวง) เริ่ม 06.00-20.00 น.
ช่วงที่ 2 ชวนไปเที่ยวเมืองท่องเที่ยวรองตำนานชาละวัน “พิจิตรเมืองเล็ก แต่น่ารัก” กับ 5 มุมใหม่ เที่ยวทางบุญเรื่อยไปจนถึงธรรมชาติ อาหาร วิถีถิ่น เลือกได้ตามใจชอบ ส่วนสุขภาพต้องบอกว่ามีเคล็ดลับมาบอกว่า “จะทำอย่างไรในเรื่องไม่ต้องล้ากับการทำงาน” ส่วนข่าวร้อนแรงในรอบสุปดาห์ หลัง ครม.สัญจร พิจิตร นครสวรรค์ ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวใหม่ 5 มุม ส่วนคมนาคมก็เร่งทางหลวงชนบทลุยยกเครื่องการเดินทางถนนรับทัวร์แนวใหม่ ส่วนโรงแรมมีแพกเกจเก๋ ๆ มาชวนไปร่วมงานที่ดุสิต ปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ และ ดิ โอกุระ กรุงเทพฯ
@พิจิตรเมืองเล็ก...แต่น่ารักใน5มุมใหม่น่าเที่ยว
ความเรียบง่าย การใช้ชีวิต Slow life อย่างช้า ๆ ในเมืองโอฆะบุรี “จังหวัดพิจิตร” ที่ผู้คนคุ้นเคยดีกับชื่อ “ชาละวัน” เมื่อครั้งอดีตมีเรียกหลายชื่ออย่าง เมืองสระหลวง เมืองชัยบวร เมืองปากยม บ่งบอกถึงภูมิศาสตร์ที่ตั้งบริเวณที่ราบลุ่มตอนใต้ของภาคเหนือแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ
การเดินทางไปท่องเที่ยวพิจิตร นับจากนี้เป็นต้นไป แนะนำให้ไปใน 5 มุมใหม่
มุมแรก พิจิตรเมืองงาม ธรรมชาติสวย (หลีกหนีความวุ่นวาย ผ่อนคลายที่พิจิตร) มีบึงสีไฟ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขนาดกว่า 5,000 ไร่ เป็นบึงแห่งการดูนกพันธุ์หายากกว่า 100 ชนิด ให้ชมการอพยพมาอาศัยอยู่ดูได้เต็มตา เช่น นกอ้ายงั่ว นกอัญชัญคิ้วข้าว นกกระสาแดง เป็ดแดง ทุกช่วงเดือนพฤศจิกายน -ธันวาคม ของทุกปี มีดอกบัวหลวงบานสะพรั่งนักท่องเที่ยวสามารถมาให้อาหารปลาได้ และเป็นสวรรค์การนั่งชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
รอบบริเวณจะมีแหล่งท่องเที่ยวอย่าง “บ่อจระเข้” มี 2 บ่อ คือ บ่อเก่าและใหม่ กับ “รูปปั้นชาละวัน” อยู่ด้านหน้าบึงสีไฟ ตัวอ้วนใหญ่สวยงาม ภายในออกแบบทำห้องประชุมขนาดรองรับได้ 25-30 ที่นั่ง “สวนสมเด็จพระศรีนรินทร์” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนีเนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 80 พรรษา เปิดเมื่อ 4 มีนาคม 2530 “สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” มีพันธุ์ไม้นานาชนิด และแหล่งศึกษาทางธรรมชาติ “สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ” อยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพิจิตร โดยมี อาคารเฉลิมพระเกียรติ สร้างเป็นรูป 9 แฉก จัดแสดงตู้พันธุ์ปลาพันธุ์แปลกหายากฝังในผนัง 12 ตู้ ตรงกลางตัวอาคารเป็นช่องเปิดไว้บริการนักท่องเที่ยวมาให้อาหารปลา “ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นเมืองพิจิตร” จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองพร้อมของที่ระลึก เช่น เครื่องสานผักตบชะวา ผ้าทองบ้าป่าแดง มะขามแก้วสี่รส เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่ 10.00- 17.00 น.
มุมที่ 2 พิจิตรเมืองโบราณ ตำนานชาละวัน (นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปิดทององค์พระปฏิมาตามล่าหาพญาชาละวัน) และเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวทางบุญหนุนนำวัฒนธรรมไทย-จีน รอบพื้นที่มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง “วัดท่าหลวง” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน สร้างเมื่อปี 2388 ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อเพชร ปางมารวิชัย เป็นพระคู่เมืองพิจิตร เมื่อครั้งพระพิจิตรนำทัพกรุงศรีอยุธยาผ่านไปปราบขบถจอมทองเมืองเชียงใหม่ หลังเสร็จศึกให้หาพระพุทธรูปมาฝากโดยอาราธนาพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชรลงแพบวนล่องมาทางแม่น้ำปิง มายังวัดนครชุมก่อนจะมาไว้วัดท่าหลวงปัจจุบันนี้ เปิดให้ชมได้ตั้งแต่ 9.00-16.00 น.
แล้วยังมี “วัดโพธิ์ประทับช้าง” เก่าแก่กว่า 200 ปี อยู่ทางตะวันออกฝั่งแม่น้ำพิจิตร สร้างสมัยสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ แห่งกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี 2478 ชาวอำเภอโพธิ์ประทับช้างได้สร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าเสือไว้เพื่อเป็นที่ระลึก “วัดนครชุม” อายุกว่า 800 ปี มีพระอุโบสถเก่าแก่มาก เคยเป็นวัดของประดิษฐานหลวงพ่อเพชร “วัดท้ายน้ำ” ประดิษฐานหลวงพ่อเงินองค์ใหญ่ ภายในได้จัดทำพิพิธภัณฑ์เรือนไทย และมีจิตรกรรมฝาผนัง เล่าประวัติของหลวงพ่อไว้ด้วย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาพิจิตร มักจะไปร่วมตักบาตรทุกเช้าวันเสาร์ตั้งแต่ ตี 5 ถึง 10 โมงเช้า บริเวณ “หน้ากำแพงแห่งความจงรักภักดี” ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร ถนนสายนี้ถือเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้การตักบาตรเบื้องหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดระยะทางยาวของกำแพง 500 เมตร ซึ่งมีภาพพระบรมทิสลักษณ์ประดิษฐานอยู่ถึง 84 ภาพ
อีกทั้งยังมีแหล่งวัฒนธรรมจีน ประกอบด้วย “ศาลเจ้าพ่อทับคล้อ” เทพศักดิ์ที่ชาวไทยเชื้อสายจีนนับถือ เป็นศูนย์กลางจัดงานวัฒนธรรมประเพณีและจัดการแสดงงิ้วทุกปี “ศาลเจ้าบางมูลนาก หรือศาลเจ้าพ่อแก้ว” มีซุ้มประตูวิจิตรอลังการเป็นมังกร และ ม้านิลมังกร ตามความเชื่อของชาวจีน และเมื่อลอดผ่านเข้าไปแล้วจะพบองค์เจ้าพ่อแก้วทำจากไม้แกะสลัก และเจ้าแม่กวนอิม พันกร สีขาว กับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ “ศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ” ภายในมีเจ้าแม่ทับทิม (ตุ๋ยบ่วยเต่งเหนี่ยง) เป็นองค์ประธาน ศาลเจ้าแห่งนี้ใช้เป็นแหล่งวิชาความรู้ สอนหนังสือไทยและจีนให้ลูกหลานในหมู่บ้าน เปิดทุกวัน 8.00-17.00 น.
ส่วนตำนานไกรทองกับชาละวัน เป็นบทละครนอกจากบทประพันธ์ของรัชกาลที่ 2 เล่าเรื่องเศรษฐีที่มีลูกสาวแสนสวย 2 คน ชื่อตะเภาแก้วกับตะเภาทอง ซึ่งถูกชาละวัน จระเข้ที่สามารถแปลงร่างเป็นคนมาจับไป จากนั้นเศรษฐีได้ประกาศหาคนจับจระเข้ซึ่งได้ “ไกรทอง” มาปราบสำเร็จ ดังนั้นชาวพิจิตรจึงนำรูปจระเข้มาทำเป็นสินค้าที่ระลึกขายนักท่องเที่ยว
มุมที่ 3 พิจิตรชุมชนเล็ก แต่น่ารัก (สัมผัสความเก่า เก๋าและเก๋) อยู่ใน “ย่านเก่าวังกรด” อดีตเป็นย่านการค้าเก่าแก่ ภายหลังเริ่มซบเซาร้านรวงเลิกกิจการไป ปัจจุบันยึงได้นำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าเรื่องราวอดีตเกี่ยวกับ วิถีชีวิต ที่ยังคงสมบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมบ้านเรือน ตลาด ศาลเจ้าพ่อวังกลม โรงหนังมิตรบันเทิง สถานีรถไฟวังกรด และภาพชาวบ้าน ผู้แก่ผู้เฒ่า ยิ้มแย้มแจ่มใส มีรำวงย้อนยุค ตลาดนัดชุมชน ขายอาหาร สินค้า ราคาประหยัด
ต่อด้วยชุมชน “บางมูลนาก” ตรงบ้านหนองเต่า ต.ภูมิ อ.บางมูลนาก มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ในอดีตมีคลองบุษบง มีตัวนากชุกชุม ที่ยังคงอัตลักษณ์วิถีชีวิตและจัดทำเป็นถนนคนเดิน “บางขี้นาก” ทุกวันเสาร์หน้าโรงเรียนอนุบาลมีของกินอร่อย ๆ ขึ้นชื่อในท้องถิ่นมาวางขาย “ชุมชนตะพานหิน” เป็นชุมทางสถานีรถไฟพิจิตรติดตลาดเก่าแก่ พอเดินข้ามทางรถไฟก็จะเห็นร้านค้าชุมชนหลากหลาย ทั้งร้านหนังสือ ร้านของชำ ตลาดสด ที่ยังคงมีผู้คนแวะเวียนมาตลอดทั้งวัน และสถานีรถไฟยังติด 1 ใน 10 ของสถานทีที่สวยงามที่สุดในเมืองไทย เป็นแหล่งถนนคนเดิน “ตึกโบราณ ตำนานรถไฟ” จัดทุกวันเสาร์ช่วง 16.00-21.00 น.ให้ไปช้อปชิม อาหารชุมชน ผลิตภัณฑ์พื้นเมือง
มุมที่ 4 พิจิตรเมืองเกษตรปลอดภัย ผลไม้หลากหลาย (เที่ยวชมสวนชิมผลไม้หลากหลายตามฤดูกาล) เริ่มจาก “ศูนย์เกษตรพอเพียงหนองจิกสี อ.บึงนาราง” เป็นฐานการปลูกพืชเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกเมล่อน พืชสมุนไพร ฐานเรียนรู้การเลี้ยงกบ ไก่พื้นเมือง โทร. 089-860-6102 “สวนเกษตรคุณลี” อ.เมือง เป็นแปลงสาธิตเกษตรผสมผสานมานานกว่า 10 ปี มีพืชสวนครัวพันธุ์แปลก ๆ ทั้งไทยและเทศ เช่น ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน มันเทศ ฝรั่งสายพันธุ์พิจิตร 1,2 ลำไยยักษ์ มะระยักษ์ “กลุ่มพัฒนาไมผลตำบลวังทับไทร” ปลูกมะม่วงไว้ในที่ดินกว่า 2,526 ไร่ กว่า 3,700 ต้น แหล่งส่งออกมะม่วงใหญ่สุดของเมืองไทย มีทั้งพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง ฟ้าลั่น เขียวเสวย โชคอนันต์ และ มะปรางหวาน มะยงชิด
มุมที่ 5 พิจิตรเมืองอาหารอร่อย (หลากหลายเมนูปลา อาหารถิ่นเลิศรส) มีร้านเด็ดดังมากมายให้เลือกแถมมีเมนูเส้นอร่อย ๆ เพียบพร้อม ร้านเด็ดดัง ได้แก่ “ร้านครัวต้นคูณ” ริมแม่น้ำพิจิตรเก่า เมนูแนะนำ คือ ไข่แดงพริกแกงหอม ส้มตำบัวกลางบึง ยำตำลึงกรอบ สามชั้นทอดเกลือ “ร้านขวัญข้าว” เปิดมากว่า 22 ปี เป็นร้านผสมไทย-จีน-เวียดนาม จานเด็ดคือ ปลาช่อนขวัญข้าว แหนมเนือง ยำดอกอัญชัน เนื้อปลากรายสับผัดพริกไทยดำ “ร้านไร่ปลายน้ำ” เมนูเรียกน้ำย่อย คือ แกงคั่วหอยขมปลาย่าง ยุ่งปลายน้ำ ลาบทอด ปลาทับเทียมทอดกระเทียม กบทอดบ้านไร่ ปลาช่อนลุยสวน “ร้าน YOU 2004” จัดจ้านด้วยเมนู ส้มตำ ปลาออกลูกเป็นกุ้ง ผัดเผ็ดปลาแม่น้ำ ยำตามใจกุ๊ก หมูแดดเดียวทอด “ร้านลานนา บาหลี สเต็กกำนันเต่า” ก็มี สเต็กแซลม่อน หมู ไก่ “ร้านอ้วน-ปลาแม่น้ำ” มีสารพัดเมนูปลา ต้มยำ ราดเต้าเจี้ยว ทอดมัน “ร้านลุงแว่น ปลาแม่น้ำ” ศุนย์รวมปลากดคัง ผัดฉ่าปลา และยังมีร้านเมนูปลาอร่อย ๆ อีกหลายอย่าง ป.สะบัดช่อ และ เลี้ยงหงส์กี่ เป็นต้น
เมื่อมาถึงพิจิตรแล้ว เมนูเส้นเด่น ๆ ก็มีต้อง “บะหมี่ลิ้นชัก ตะพานหิน” เปิดมานาน 30 ปี มียำแห้ง ราดหน้าเกี๊ยว เกาเหลาไก่ตุ๋น และบะหมี่ลิ้นชัก “สุกี้ อ.สากเหล็ก” นอกจากสุกี้แล้วยังมี ผัดพริกแกงหมูหอมกรุ่นด้วย “เจ๊แป๊ด ก๋วยเตี๋ยวไทยต้มยำโบราณ เส้นบะหมี่ไข่” ภูมิใจนำเสนอ บะหมี่ทำจากไข่จัดจ้ายด้วยเครื่องปรุง เปิด 7.00-15.00 น. และยังมี ร้านผัดไทยป้าวุ้น ร้านกินเส้นใจกลางเมืองพิจิตร
เที่ยวพิจิตร เมืองรองในภาคเหนือ 5 มุมใหม่ ลองไปดู แล้วจะรู้ว่าสุขอย่างแน่นอน
@วิธีทำงานอย่างไรไม่ให้เกิดอาการล้า
การล้า เป็นอาอาการอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยในเวลาทำงาน เกิดขึ้นได้ทั้งงานที่ต้องใช้แรงงานหนักเช่น งานยกของ งานดึงและดัน และงานเบาที่ต้องอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หรือต้องทำงานเบานั้นซ้ำซาก แต่การล้ามิใช่จะมีแต่โทษอย่างเดียว ยังเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย
วิธีป้องกันการล้าทำได้ไม่ยาก มี 10 ข้อ ดังนี้
1.ลดท่าทางการทำงานที่จะทำให้เกิดอาการล้า ท่าทางที่ต้องใช้กล้ามเนื้อทำงานมาก ต้องปรับปรุงสภาพการทำงานให้ใช้กล้ามเนื้อนั้นน้อยลง เช่น จำเป็นต้องก้มหยิบของที่อยู่ในลังก้นลึก ต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งของลังให้ก้มตัวน้อยลง เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหลังล้า
2.แบ่งงานให้เหมาะสม ถ้ามีงานที่ต้องใช้แรงงาน และสมองมาก ให้พยายามทำงานนั้นในตอนเช้า ให้ทำงานเบาในตอนบ่าย
3.แบ่งงานเป็นช่วงๆ และมีช่วงพักที่เหมาะสม ข้อแนะนำของงานที่ต้องใช้แรงงาน คือ ควรพักประมาณ 10 นาที เมื่อเริ่มอาการล้า สำหรับงานที่ต้องทรงท่าอยู่นาน เช่น งานที่ต้องนั่งหรือยืนตลอดเวลา ควรจะพักด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถและเคลื่อนไหวร่างกาย 10-15 นาที ทุก 2 ชั่วโมง
4.หลีกเลี่ยงการทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน พบว่าการทำงานที่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ได้ทำให้ผลผลิตจากการทำงานมากขึ้นโดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้แรงงาน ซ้ำยังทำให้มีโอกาสบาดเจ็บจากการทำงานได้มาก ในกรณีที่ต้องทำงานล่วงเวลาต้องมีช่วงพักให้ได้พักผ่อนและนอนหลับอย่างน้อย 11-12 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ไม่ควรทำงานเช้าและต่อด้วยการทำงานล่วงเวลาในตอนบ่าย
5.ตรวจสอบสภาพการทำงานว่าอากาศร้อนหรือ เย็น และมีเสียงดังเกินไปหรือไม่? แสงในที่ทำงานน้อย หรือจ้าเกินไปหรือไม่?
6.กินอาหารที่ให้พลังงานในผู้ที่ต้องใช้แรงงานมาก และดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้าต้องทำงานหนักกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำทุก 20 นาที อย่ารอให้มีอาการกระหายน้ำเพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยจากความร้อนและการขาดน้ำ
7.พักผ่อนด้วยการนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ในผู้ที่ต้องใช้แรงงาน ให้เข้านอนหัวค่ำ และควรพักผ่อนในวันหยุด ไม่ออกไปเที่ยวหาความสำราญ ดื่มสุรา จะทำให้ การล้าจากการทำงานคงค้างอยู่
8.ผู้ที่ต้องนั่งหรือยืนทำงานนานๆ ให้ออกกำลังกายด้วยการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ ให้เหนื่อยปานกลาง 15-20 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ เช่น การเดินขึ้นบันได เดินเร็วๆ ในที่ทำงาน สำหรับผู้ต้องใช้แรงงาน ให้ออกกำลังด้วยการยืดกล้ามเนื้อและข้อต่อที่ต้องใช้งานบ่อยๆ
9.ขจัดความเครียดด้วยการพักผ่อน นั่งสมาธิ เป็นต้น
10.พักสายตาโดยการมองไกล 1-2 นาที ทุกชั่วโมง ในการอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่าการป้องกันไม่ให้ล้าจากการทำงาน ปฏิบัติได้ไม่ยาก
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “เปิด 5 มุมใหม่เที่ยวภาคเหนือตอนล่าง”
ระหว่างที่ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประชุมสัญจรวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ที่จังหวัดพิจิตร ในช่วงบ่ายวันนี้ ได้พิจารณาการอนุมัติใช้งบประมาณพัฒนาเมืองเชิงบูรณาการเชื่อมโยงเต็มรูปแบบภาคเหนือตอนล่างประมาณ 20,000 ล้านบาท ในพื้นที่จังหวัดหลัก ๆ พิจิตร และนครสวรรค์ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน และไฮไลต์รถไฟทางคู่ กับการรองรับแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในภาคเหนือตอนล่าง
ขณะที่ “นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงพื้นที่สำรวจความพร้อมในพิจิตรตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน โดยเสนอแนะผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่ร่วมปรับปรุงพัฒนา 10 เรื่องหลัก เพื่อการขับเคลื่อนพิจิตรอย่างยั่งยืน และวันนี้ 11 มิถุนายน 2561 ก็ได้ติดตามนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่และเข้าร่วมประชุม ครม.รวมทั้งพบประพูดคุยกับประชาชนในท้องถิ่นแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิดก่อนจะเดินทางต่อเข้าสู่จังหวัดนครสวรรค์
“นางสมฤดี จิตรจง” ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ระหว่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร พร้อมด้วยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ได้นำเสนอแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อผลักดันจุดขายใหม่ของจังหวัดพิจิตร 5 คอนเซ็ปต์ใหม่ กระตุ้นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาสัมผัส “พิจิตรเมืองเล็กแต่น่ารัก”
1.พิจิตรเมืองงาม ธรรมชาติสวย (หลีกหนีความวุ่นวาย ผ่อนคลายที่พิจิตร) มีบึงสีไฟ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขนาดกว่า 5,000 ไร่ เป็นบึงแห่งการดูนกพันธุ์หายากกว่า 100 ชนิด ให้ชมการอพยพมาอาศัยอยู่ดูได้เต็มตา เช่น นกอ้ายงั่ว นกอัญชัญคิ้วข้าว นกกระสาแดง เป็ดแดง ทุกช่วงเดือนพฤศจิกายน -ธันวาคม ของทุกปี มีดอกบัวหลวงบานสะพรั่งนักท่องเที่ยวสามารถมาให้อาหารปลาได้ รอบบริเวณจะมีแหล่งท่องเที่ยว “สวนสมเด็จพระศรีนรินทร์” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนีเนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 80 พรรษา เปิดเมื่อ 4 มีนาคม 2530 “สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” มีพันธุ์ไม้นานาชนิด และแหล่งศึกษาทางธรรมชาติ “สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ” “ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นเมืองพิจิตร” จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองพร้อมของที่ระลึก เช่น เครื่องสานผักตบชะวา ผ้าทองบ้าป่าแดง มะขามแก้วสี่รส เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่ 10.00- 17.00 น.
2.พิจิตรเมืองโบราณ ตำนานชาละวัน (นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปิดทององค์พระปฏิมาตามล่าหาพญาชาละวัน) และเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวทางบุญหนุนนำวัฒนธรรมไทย-จีน 3.พิจิตรชุมชนเล็ก แต่น่ารัก (สัมผัสความเก่า เก๋าและเก๋) อยู่ใน “ย่านเก่าวังกรด” อดีตเป็นย่านการค้าเก่าแก่ ภายหลังเริ่มซบเซาร้านรวงเลิกกิจการไป ปัจจุบันจึงได้นำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าเรื่องราวอดีตเกี่ยวกับ วิถีชีวิต ที่ยังคงสมบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมบ้านเรือน ตลาด ศาลเจ้าพ่อวังกลม โรงหนังมิตรบันเทิง สถานีรถไฟวังกรด และภาพชาวบ้าน ผู้แก่ผู้เฒ่า ยิ้มแย้มแจ่มใส มีรำวงย้อนยุค ตลาดนัดชุมชน ขายอาหาร สินค้า ราคาประหยัด
4.พิจิตรเมืองเกษตรปลอดภัย ผลไม้หลากหลาย (เที่ยวชมสวนชิมผลไม้หลากหลายตามฤดูกาล) ทั้งศูนย์เกษตรพอเพียงหนองจิกสี อ.บึงนาราง สวนเกษตรคุณลี อ.เมือง กลุ่มพัฒนาไมผลตำบลวังทับไทร แหล่งเกษตรพอเพียงผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศด้วย 5.พิจิตรเมืองอาหารอร่อย (หลากหลายเมนูปลา อาหารถิ่นเลิศรส) มีร้านเด็ดดังมากมายให้เลือกแถมมีเมนูเส้นอร่อย ๆ เพียบพร้อม ร้านที่มีเมนูเด็ดปลาแม่น้ำหลายชนิด ได้แก่ ร้านครัวต้นคูณ ร้านขวัญข้าว ร้านไร่ปลายน้ำ ร้านลานนา บาหลี สเต็กกำนันเต่า ร้านอ้วน-ปลาแม่น้ำ ร้านลุงแว่น ปลาแม่น้ำ
ข่าวที่สอง “คมนาคมสั่งลุยโลจิสติกส์รับทัวร์เหนือตอนล่าง”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หลังเสร็จสิ้น ครม.สัญจรได้มอบนโยบายเร่งด่วนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 (นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี) เตรียมความพร้อม โดยให้นโยบายกรมทางหลวงชนบท เฝ้าระวังวางมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาการทรุดตัวของถนนช่วงหน้าฝน ได้แก่ ถนนเส้น225 1072 บังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวดแก้ปัญหารถบรรทุกอ้อย รถบรรทุกน้ำหนักเกิน จัดทำข้อมูลรายละเอียดโครงการก่อสร้างถนนเส้น ท่าวุ้ง - อุทัย หางน้ำสาคร - วัดหนองโพ โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ด้านตะวันตก โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 ให้บูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนกำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดความล่าช้าของโครงการ
รวมทั้งขอความร่วมมือจากภาคเอกชน หอการค้าจังหวัด ช่วยผลักดันโครงการให้สำเร็จตามแผนเร็วยิ่งขึ้น และกำชับการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ 2 ข้างทาง ผิวจราจร โดยเฉพาะการตัดต้นไม้ซึ่งมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน
ข่าวที่สาม “ดุสิตปริ๊นเซสศรีนครินทร์รุกตลาดเวดดิ้ง”
โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ รายงานว่า เตรียมจัดงาน Charming Love, Charming Princess The Wedding Fair ณ ระหว่าง 21-22 กรกฎาคม 2561 เวลา 10:00 น. ถึง 20:00 น. เพื่อรุกเจาะตลาดจัดแต่งงาน ภายในงานพบกับสินค้าและบริการด้านการแต่งงานครบวงจร อาทิ Deep Love Wedding Studio, SK The Wedding Planner พร้อมโปรโมชั่นแพ็กเกจสุดคุ้ม ทั้ง งานหมั้น แต่งงาน, Wedding venue showcase, Food & cake presentation การแสดงแฟชั่นโชว์ชุดแต่งงาน และจะแจกรางวัล และบัตรกำนัลต่างๆ ตลอดทั้งงาน โทร 0 2721 8400
ข่าวที่สี่ “ดิโอกุระจัดเต็มอาหารเทศกาลทานาบาตะ"
โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ชวนร่วมฉลองเทศกาล “ทานาบาตะ” เทศกาลขอพรจากดวงดาวของชาวญี่ปุ่น ให้บริการทั้งมื้อกลางวัน และมื้อค่ำ ระหว่าง 2 - 29 กรกฎาคม 2561 เสิร์ฟอาหารชุดมื้อกลางวัน ราคาชุดละ 1,300++ บาท เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อย ได้แก่ หอยแมลงภู่ กุ้ง ข้าวโพดอ่อนราดด้วยซอสน้ำส้มสายชูผสมไข่แดงตกแต่งด้วยพริกหยวกรูปดาว ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับซุปเป็ดใส่เห็ดฮิเมจิ วุ้นเส้นญี่ปุ่นและผักนานาชนิด และปลาดิบชั้นดี 3 ชนิด (ปลาทูน่า, ปลาหางเหลือง, หอยปีกนก) จากนั้นเชฟจะเสิร์ฟปลากระพงแดงย่างซอสข้าวโพดมายองเนส และเนื้อไก่บดย่างซอสเทริยากิ มาพร้อมกับปลาไหลตุ๋นกับมะเขือย่างและเผือก เทมปุระรวม ข้าวหน้าปลาหวานญี่ปุ่นและไข่ปลาแซลมอน ซุปมิโซะ และผักดอง ปิดท้ายมื้ออาหารแสนประทับในนี้ด้วยผลไม้ตามฤดูกาล และสาคูมะพร้าว
ส่วนอาหารชุดมื้อค่ำ จะให้บริการแบบ “ไคเซกิ” ตามแบบราชสำนักญี่ปุ่น ราคาชุดละ 4,500++ บาท ประกอบด้วย 9 รายการ อาทิ ฟองเต้าหู้สดกับดอกกระเจี๊ยบรูปดวงดาวราดซอสสูตรพิเศษ ซุปลูกชิ้นปลาไหลใส่สาหร่ายทะเล เห็ดและผัก ปลาดิบชั้นดี 4 ชนิด (ปลาทูน่า, กุ้งหวานญี่ปุ่น, ปลาหางเหลือง,หอยปีกนก) หอยเชลล์ย่างสุกแบบพอดี กับหน่อไม้ฝรั่งและเห็ดย่างเนยราดซอสครีมข้าวโพด อาหารจานหลักเป็นปลาอินทรีย์และเนื้อย่างกับซอสมิโซะแบบเผ็ด รับประทานคู่กับเห็ดหลวงญี่ปุ่น แครอทและบรอกโคลี เทมปุระปูหิมะ กุ้ง ปลาดาบ และผักต่าง ๆ ทอดกรอบ เส้นหมี่น้ำหน้าปลาเนื้ออ่อนญี่ปุ่น
โทร.จองหรือสอบถามเพิ่มที่ 02 687 9000 หรือ www.okurabangkok.com
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น. ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
สุโขทัย-อุตรดิตถ์-กำแพงเพชรบูมEat Localแรงสุด
คิงเพาเวอร์ให้สมาชิกพัก2โรงแรมภูเก็ตลดถึง40%
ททท.ใช้
บอลลีวูดดึงอินเดียเข้าไทยปีละ 2 ล้านคน
บางจากกวาด3รางวัลเอเชียตอกย้ำผู้นำพลังงาน
ทอท.แนะใช้บริการรถสาธารณะสุวรรณภูมิ5กลุ่ม
เที่ยวพิจิตรเมืองเล็กน่ารักด้วย5มุมใหม่ห้ามพลาด
เคล็บลับวิธีป้องกันการล้าทำได้ไม่ยาก10ข้อต้องรู้
ภาคเหนือตอนล่างชูขาย5มุมใหม่หลังครม.สัญจร
คมนาคมสั่งกรมทางหลวงยกเครื่องรับทัวร์เหนือ
ดุสิตปริ๊นเซสศรีนครินทร์รุกตลาดเวดดิ้ง-ฮันนีมูน
ดิโอกุระกรุงเทพฯชวนชิมเทศกาลอาหารสุดคุ้ม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ฟังจุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวภาคเหนือตอนล่างจาก “พัศลินทร์ เศวตรัตน์” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย เป็นต้นแบบ Local Hero เล่าเรื่องปฐมแห่งราชธานี “สุโขทัย” เมืองภูเขาไฟกินได้ “อุตรดิตถ์” และน้องใหม่ “กำแพงเพชร” ซึ่งมีรายได้รวม ๆ กันปีละเกือบ 7,000 ล้านบาท หากปั้นโปรดักซ์ดี ๆ ในอนาคตก็มีลุ้นแตะหลักหมื่นล้านบาท ด้วยจุดขายที่เพียบพร้อมทั้ง วิถีการกินถิ่นอาหาร ดินแดนผลไม้เลื่องชื่อ หลิน-หลง เมืองงามหน้างน อีกทั้งยังเตรียมแจ้งเกิด “ผ้ากำแพง” สร้างชื่อใหม่ให้กำแพงเพชร
![]() |
พัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย |
พัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ดูแลการตลาดท่องเที่ยวภาคเหนือ 3 จังหวัด สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร เป็นเมืองหลักเมืองรองมาแรงได้ชื่อว่าเป็น “เมืองงามหน้าฝน” ของกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงวัย จึงได้ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดทำแพก “สูงวัยสายบุญ” เชื่อมโยงเมืองโดยรอบ แบ่งเป็น 2 เส้นทาง คือ 1.สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-อุตรดิตถ์ 2.สุโขทัย-กำแพงเพชร-ตาก ตั้งแต่ 8 คนขึ้นไป เฉลี่ยแพกเกจละ 5,559 บาท/คน แหล่งท่องเที่ยวหลัก ๆ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติสุโขทัย วัดต่างๆ พร้อมกิจกรรมเสริม D.I.Y สร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างนักท่องเที่ยวกับชุมชน เช่น การพิมพ์พระ การวาดลวดลายต่าง ๆ พอไปถึงอุตรดิตถ์จะเป็นฤดูผลไม้เมืองภูเขา โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หลิน-หลง และอำเภอน้ำปาด ห้วยมุ่น จะมีสับปะรดห้วยมุ่น ซึ่งผลไม้ทั้ง 2 ชนิดได้ G.I.รับรองเรียบร้อยแล้ว
จุดขายเด่น ๆ แถบนี้ก็มี “อาหารถิ่น” เป็นเส้นทาง Eat Local บูรณาการร่วมกับทางจังหวัดเปิดเส้นทาง Eat ลับ แล นำร่องจัด “เทศกาลผลไม้และของดีจังหวัดอุตรดิตถ์” ระหว่างวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2561 นอกจากนั้น ททท.จะเสริมการโปรโมตกิจกรรมอาหารถิ่นต่อเนื่องระหว่าง 1-31 กรกฎาคม นี้
อาหารถิ่นของอุตรดิตถ์เมืองภูเขากินได้ ไฮไลต์ผลผลิตทุเรียนหลิน-หลง อุตรดิตถ์ มีเพียงพอที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยว ออก 2 รุ่น คือ รุ่นแรก เมษายน-มิถุนายน รุ่นสอง กรกฎาคม ช่วงดังกล่าวก็จะมีผลไม้อื่น ๆ เสริมทั้งลองกอง ลางสาด โดยทางจังหวัดรณรงค์ชาวสวนให้คัดคุณภาพทุเรียนกับผลไม้ที่มีคุณภาพตัดตอนแก่รสชาติดี สนนราคาหลินลับแลลูกขนาดเล็กเริ่มที่กิโลกรัมละ 200 บาท ขนาดกลาง 350 บาท แต่ถ้าเป็นหลินลับแลลูกขนาดกลางถึงใหญ่จะทำราคาได้ 400-800 บาท
ปีนี้ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมไปซื้อตรงได้เลย เช่น สวนป้าเรียน สามารถซื้อและรับประทานได้บริเวณสวน เน้นเข้าไปชมสวนแล้วซื้อเป็นตามน้ำหนักไม่ได้เปิดเป็นแบบบุฟเฟต์สวนผลไม้เหมือนภาคตะวันออก และยังมีตลาดหัวดงเป็นศูนย์ตลาดค้ากลางผลไม้อุตรดิตถ์ ขณะนี้การท่องเที่ยวกินผลไม้เมืองลับแลคึกคักมากช่วงหน้าฝนปีนี้ ซึ่งจะเปิดเป็นเส้นทางใหม่สไตล์ Eat Local ผสมผสานทั้งผลไม้ และอาหารถิ่นขึ้นชื่อ เช่น หมี่พันป้าหว่าง กระบองทอดเจ๊นี ข้าวพันผัก และเมนูอื่น ๆ ขณะนี้ทางจังหวัดได้เร่งพัฒนาเมนูอาหารถิ่นและผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น เช่น นำสับปะรด ทุเรียนมาแปรรูปเป็นเค้ก ไอศรีม เริ่มมีบางร้านทำแล้วเพิ่มความหลากหลายอย่างมาก
ที่กำลังนำร่องโปรโมตอีกแห่งเป็น “ชุมชนลาวเวียง บ้านนาท้องแคว” อำเภอตรอน โดดเด่นด้านอัตลักษณ์โดยมีตลาดวัฒนธรรมลาวเวียง เปิดทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์แรกของเดือน มีกิจกรรมน่ารักหาบกังหันไปวัด และโฮมสเตย์บริการ 20 หลัง เสิร์ฟอาหารเฉพาะเรียกว่าครัวบักเผ็ดคล้ายปลาเห็ดนำพริกหยวกทอดใส่ลงไป รสชาติกลมกล่อมอร่อยมาก ทาง ททท.จะประชาสัมพันธ์เป็นอาหารเฉพาะแห่งเดียวในเมืองไทย หารับประทานได้เมื่อเข้าพักโฮมสเตย์
ส่วนโรงแรมห้องพักในอุตรดิตถ์มีความหลากหลายจำนวนรวมกว่า 2,000 ห้อง ราคาย่อมเยา สไตล์เก๋ ๆ น่ารัก เริ่มต้น 500 บาท/ห้อง/คืน ฟรีอาหารเช้า 1 มื้อ
เส้นทางต่อเนื่องไปเขื่อนสิริกิติ์จะเป็นสถานที่เหมาะกับตลาดการจัดประชุมและพักผ่อนไปด้วยได้ ช่วงฤดูฝนจะเห็นปรากฎการณ์แม่น้ำ 2 สี ระหว่างแม่น้ำน่านกับแม่น้ำปาดไหลมาบรรจบกัน สวยงามแปลกตาดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกแห่ง
ผอ.พัศลินทร์ กล่าวว่า รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตดีต่อเนื่องทุกปี ทั้ง 3 จังหวัด มีรายได้จากการท่องเที่ยวละปีรวมเกือบ 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย จังหวัดสุโขทัยทำรายได้ปีละกว่า 3,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 % จังหวัดกำแพงเพชร รายได้รวม 1,500 ล้านบาท เติบโต 3.4 % จากจำนวนนักท่องเที่ยวปีละประมาณ 700,000 คน แบ่งเป็นคนไทย 90 % ต่างชาติ 10 % ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์รายได้ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท เติบโต 4.5 % จำนวนนักท่องเที่ยวปีละกว่า 1 ล้านคน ซึ่งแต่ละจังหวัดจะกระจายเข้าสู่ท้องถิ่นได้ค่อนข้างทั่วถึงพอสมควร
ส่วนการเตรียมวางแผนการตลาดท่องเที่ยวปี 2562 เบื้องต้นได้หารือร่วมกันกับทุกฝ่ายจะโปรโมตภาคเหนือด้วยเรื่องเล่า ซึ่งทำวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง เรียบร้อยแล้ว และวางกลยุทธ์ใช้ Local Hero มาเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด หลัก ๆ จะทำ 1.เรื่องเล่าผ่านผ้าไทยภาคเหนือ ซึ่งทางผู้บริหาร ททท.ให้คอนเซ็ปต์ ผ้าตีนจก ผ้าหมักโคลน ย่าม ของสุโขทัย มีซิ่นตีนจกไทย-ญวน เมืองลับแล ผ้าลายน้ำไหลบ้านโคก ของอุตรดิตถ์ แต่ละท้องถิ่นมีเรื่องเล่าดี ๆ แม้แต่กำแพงเพชรก็มีการทำผ้าขึ้นมาใหม่เรียกว่าลายกำแพงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ในอนาคตอันใกล้นี้จะเริ่มเผยแพร่ได้
แนวโน้มนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าสู่อุตรดิตถ์เป็นผู้สูงวัย เจน X จากนี้ไปจะมีเจน Y เข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะมีสินค้ารองรับได้ ความขึ้นชื่อของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ต้อนรับฤดูท่องเที่ยวภูสอยดาวตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป มีดอกหงอนนาคสวยงามแห่งเดียวในเมืองไทย ททท.เข้าไปทำกิจกรรม “การท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว” รณรงค์ให้เดินทางด้วยการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
พื้นที่การท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนล่างทั้ง 3 จังหวัด กำลังเป็นพลังใหม่ของประเทศ ที่จะสร้างเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งขึ้นอีกได้ โดยเฉพาะจุดขายอัตลักษณ์การใช้ฮีโร่ท้องถิ่นทำหน้าที่เดินเรื่องเล่าให้เกิดความน่าสนใจทั้ง อาหารเฉพาะในชุมชน เส้นทางวิถีผ้าวิถีวัฒนธรรม สวนผลไม้เมืองภูเขากินได้ และธรรมชาติที่แปลกแตกต่างในแต่ละฤดู อีกไม่นานทั้งสุโขทัย กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ จะสร้างเงินหลั่งไหลเข้าพื้นที่ได้รวมกันถึงปีละหมื่นล้านบาทได้อย่างแน่นอน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ลดสมาชิกพักหรู2โรงแรมภูเก็ต40%”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดให้สมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ ได้ท่องเที่ยวและเลือกพักโรงแรมชั้นนำในจังหวัดท่องเที่ยวระดับโลกอย่างภูเก็ต ได้ที่ AMATARA WELLNESS RESORT PHUKET เข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2561 จองห้องพักตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป บริการรถรับ-ส่ง (ไป-กลับ) ฟรีที่สนามบินภูเก็ต สมาชิกคิง เพาเวอร์รับทันทีส่วนลด 40% จาก Best Available Rate พร้อมอาหารเช้า 2 คน และรับสปาเครดิต 1,000 บาท / ห้อง / คืน
ซึ่งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มุ่งเน้นร่วมมือกับพันธมิตรเปิดประสบการณ์ให้สมาชิกได้เดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัมผัสกับประสบการณ์พักในรีสอร์ทระดับ 5 ดาว สไตล์ชิโนโปรตุกีส ตั้งอยู่ที่แหลมพันวา ห้องพักกว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมบริการนวด และกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่าง ๆ โทร. 076 318 888 หรือ E-mail: reservations.phuket@amataraphuket.com
ส่วน อนันตรา ลายัน ภูเก็ต รีสอร์ท สมาชิกบัตร คิง เพาเวอร์ จองและเข้าพักตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2562 สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ รับส่วนลด 15% ห้องพักพร้อมอาหารเช้าจากราคา Best Flexible Rate เมื่อเข้าพักตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป ค่าอาหารและสปา ลด 10% และขยายเวลาเช็คเอาท์ และอัพเกรดห้องพัก ขึ้นอยู่กับจำนวนห้องว่าง ณ วันที่เข้าพัก)
อนันตรา ลายัน ภูเก็ต รีสอร์ทตั้งอยู่บนชายหาดลายันส่วนตัวมีหาดทรายทอดยาวเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ในบริเวณอ่าวริมชายฝั่งตะวันตกหรูที่น่าตื่นตาตื่นใจ จองทาง www.anantara.com/en/partners/kingpower โดยมีขั้นตอนการจองดังนี้ กรุณาแสดงบัตรสมาชิกคิง เพาเวอร์ ก่อนเข้าใช้บริการ กรอกรหัสส่วนลด: KPTRAVEL ในขั้นตอนการชำระเงิน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.kingpower.com หรือโทร. 1631
ข่าวที่ 2 “ททท.ดึงงานบอลีวูดจัดในไทยหวังปี’63รายได้พุ่ง”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า ได้จับมือกับสมาพันธ์ภาพยนตร์อินเดียจัดงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม International Indian Film Academy (IIFA) ประจำปี 2561 ภายใต้ชื่องาน IIFA Weekend & Awards 2018 กลับมาจัดใหม่ในไทยอีกครั้งในรอบ 10 ปี ระหว่างวันที่ 21-22 มิถุนายน 2561 ที่โรงแรม Marriott Marquis Queens Park คาดจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงในวงการ Bollywood ได้แก่ ดารานักแสดง อาทิ Ranbir Kapoor, Shahid Kapoor, Anil Kapoor, VarunDhawan, PrinyakaChopa, RitikRoshan VipashaBasu ผู้กำกับการแสดง ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์อินเดียจากประเทศต่าง ๆ
งานนี้ไทยจะรับประโยชน์โดยตรงต่อเศรษฐกิจประเทศผ่านสื่อมวลชนที่เข้าร่วมจากทั่วโลกกว่า 350 คน ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ การถ่ายทอดพิธีประกาศรางวัลและกิจกรรมต่างๆ ตลอดงานมีผู้ชมกว่า 90 ประเทศ มากกว่า 800 ล้านคน จึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดตลาดอินเดียวเข้าไทยได้ตามเป้าหมายปี 2563 ปลุกนักท่องเที่ยวเข้าไทยปีละเกิน 2 ล้านคน เพราะตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาเศรษฐกิจอินเดียขยายตัวFfp,uGDP สูงถึง 7.1 % ผนวกกับ UNWTO คาดการณ์ปี 2563 จะมีคนอินเดียเดินทางออกนอกประเทศประมาณ 50 ล้านคน และทยอยเดินทางมาไทยตั้งแต่ปี 2560 มากถึง 1.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18.20 % สร้างรายได้ 62,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.11% นับจากปี 2561 เป็นต้นไป ททท. พุ่งเป้าเจาะกลุ่มกลุ่ม Luxury แต่งงาน/ฮันนีมูน กลุ่ม MICE และกลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง
ข่าวที่ 3 “บางจากกวาด3รางวัลผู้นำบริษัทพลังงานเอเชีย”
นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) “BCP” กล่าวว่า ล่าสุดเป็นผู้แทนบริษัท รับ 3 รางวัลในงาน 8th Asian Excellence Award 2018 จัดโดย Corporate Governance Asia ณ โรงแรม JW Marriott Hotel ฮ่องกง เมื่อเร็วๆ นี้
ประกอบด้วย 1.รางวัล Asia’s Best CEO (Investor Relations) ที่มอบให้แก่นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก 2.รางวัล Best Environmental Responsibility และ 3.รางวัล Best Investor Relations Company (Thailand)
ทั้งนี้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำพลังงานที่มีความมุ่งมั่นจะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เพื่อสังคมและทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์เชิงบวกในเวทีนานาชาติทั้งปัจจุบันและอนาคต
ข่าวที่ 4 “ทอท.แนะใช้รถสาธารณะสุวรรณภูมิ5ประเภท”
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” รายงานว่า ขณะนี้ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การให้บริการรถสาธารณะ 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. รถไฟฟ้า แอร์พอร์ต ลิงค์ ระหว่างสุวรรณภูมิ-พญาไท เริ่มตั้งแต่ 05.30 – 24.00 น.
2.รถตู้ร่วมโดยสารสาธารณะ จุดขึ้นลง บริเวณศูนย์ขนส่งสาธารณะ หรือ บัส เทอร์มินอล 5 สาย ได้แก่ 549 มีนบุรี เริ่ม 06.00-22.30 น.สาย 552 อ่อนนุช เริ่ม 04.00-23.00 น.สาย 559 รังสิต จันทร์-ศุกร์ เริ่ม 06.00-22.00 น.เสาร์-อาทิตย์ เริ่ม 06.30-23.00 น.สาย 555 ดอนเมือง เริ่ม 06.00-21.00 น. สาย 552A เริ่ม 05.00-22.40 น.
3.รถโดยสาร บขส. 3 เส้นทาง โดยมีจุดขึ้นลง บริเวณศูนย์ขนส่งสาธารณะ หรือ บัส เทอร์มินอล 3 เส้นทาง ได้แก่ สาย 389 พัทยา (จอมเทียน) เริ่ม 06.00-21.00 น. สาย 390 ตลาดโรงเกลือ เริ่ม 06.40-17.00 น. สาย 825 หนองคาย เริ่ม 21.00 น. จุดขึ้นลงบริเวณอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ประตู 8 มี 3 เส้นทาง ได้แก่ สาย 389 พัทยา (จอมเทียน) เริ่ม 06.00-21.00 น. สาย 789 หัวหิน เริ่ม 07.30-19.30 น.สาย 392 เกาะช้าง เริ่ม 07.50/11.00/14.00 น.
4.รถโดยสาร แอร์พอร์ต ชัตเติ้ล บส จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง ให้บริการบริเวณชานชาลาผู้โดยสารชั้น 2 ประตู 3 เริ่ม 05.00-24.00 น. ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองให้บริการจอดตรง ชั้น 2 และชั้น 4 ประตู 5
5.รถโดยสารสาธารณะ ขสมก. ให้บริการที่ศูนย์ขนส่งสาธารณะ บัส เทอร์มินอล 4 สาย ได้แก่ สาย 554 รังสิต (ถนนรามอินทรา) เริ่ม 05.00-22.40 น. สาย 555 รังสิต (ทางด่าวนพระราม9) เริ่ม 05.00-24.00 น.สาย 558 เซ็นทรัลพระราม 2 เริ่ม 05.00-20.40 น. ให้บริการบริเวณอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ประตู 7 สาย S1 ข้าวสาร (สนามหลวง) เริ่ม 06.00-20.00 น.
ช่วงที่ 2 ชวนไปเที่ยวเมืองท่องเที่ยวรองตำนานชาละวัน “พิจิตรเมืองเล็ก แต่น่ารัก” กับ 5 มุมใหม่ เที่ยวทางบุญเรื่อยไปจนถึงธรรมชาติ อาหาร วิถีถิ่น เลือกได้ตามใจชอบ ส่วนสุขภาพต้องบอกว่ามีเคล็ดลับมาบอกว่า “จะทำอย่างไรในเรื่องไม่ต้องล้ากับการทำงาน” ส่วนข่าวร้อนแรงในรอบสุปดาห์ หลัง ครม.สัญจร พิจิตร นครสวรรค์ ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวใหม่ 5 มุม ส่วนคมนาคมก็เร่งทางหลวงชนบทลุยยกเครื่องการเดินทางถนนรับทัวร์แนวใหม่ ส่วนโรงแรมมีแพกเกจเก๋ ๆ มาชวนไปร่วมงานที่ดุสิต ปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ และ ดิ โอกุระ กรุงเทพฯ
@พิจิตรเมืองเล็ก...แต่น่ารักใน5มุมใหม่น่าเที่ยว
ความเรียบง่าย การใช้ชีวิต Slow life อย่างช้า ๆ ในเมืองโอฆะบุรี “จังหวัดพิจิตร” ที่ผู้คนคุ้นเคยดีกับชื่อ “ชาละวัน” เมื่อครั้งอดีตมีเรียกหลายชื่ออย่าง เมืองสระหลวง เมืองชัยบวร เมืองปากยม บ่งบอกถึงภูมิศาสตร์ที่ตั้งบริเวณที่ราบลุ่มตอนใต้ของภาคเหนือแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ
การเดินทางไปท่องเที่ยวพิจิตร นับจากนี้เป็นต้นไป แนะนำให้ไปใน 5 มุมใหม่
มุมแรก พิจิตรเมืองงาม ธรรมชาติสวย (หลีกหนีความวุ่นวาย ผ่อนคลายที่พิจิตร) มีบึงสีไฟ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขนาดกว่า 5,000 ไร่ เป็นบึงแห่งการดูนกพันธุ์หายากกว่า 100 ชนิด ให้ชมการอพยพมาอาศัยอยู่ดูได้เต็มตา เช่น นกอ้ายงั่ว นกอัญชัญคิ้วข้าว นกกระสาแดง เป็ดแดง ทุกช่วงเดือนพฤศจิกายน -ธันวาคม ของทุกปี มีดอกบัวหลวงบานสะพรั่งนักท่องเที่ยวสามารถมาให้อาหารปลาได้ และเป็นสวรรค์การนั่งชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
รอบบริเวณจะมีแหล่งท่องเที่ยวอย่าง “บ่อจระเข้” มี 2 บ่อ คือ บ่อเก่าและใหม่ กับ “รูปปั้นชาละวัน” อยู่ด้านหน้าบึงสีไฟ ตัวอ้วนใหญ่สวยงาม ภายในออกแบบทำห้องประชุมขนาดรองรับได้ 25-30 ที่นั่ง “สวนสมเด็จพระศรีนรินทร์” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนีเนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 80 พรรษา เปิดเมื่อ 4 มีนาคม 2530 “สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” มีพันธุ์ไม้นานาชนิด และแหล่งศึกษาทางธรรมชาติ “สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ” อยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพิจิตร โดยมี อาคารเฉลิมพระเกียรติ สร้างเป็นรูป 9 แฉก จัดแสดงตู้พันธุ์ปลาพันธุ์แปลกหายากฝังในผนัง 12 ตู้ ตรงกลางตัวอาคารเป็นช่องเปิดไว้บริการนักท่องเที่ยวมาให้อาหารปลา “ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นเมืองพิจิตร” จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองพร้อมของที่ระลึก เช่น เครื่องสานผักตบชะวา ผ้าทองบ้าป่าแดง มะขามแก้วสี่รส เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่ 10.00- 17.00 น.
มุมที่ 2 พิจิตรเมืองโบราณ ตำนานชาละวัน (นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปิดทององค์พระปฏิมาตามล่าหาพญาชาละวัน) และเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวทางบุญหนุนนำวัฒนธรรมไทย-จีน รอบพื้นที่มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง “วัดท่าหลวง” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน สร้างเมื่อปี 2388 ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อเพชร ปางมารวิชัย เป็นพระคู่เมืองพิจิตร เมื่อครั้งพระพิจิตรนำทัพกรุงศรีอยุธยาผ่านไปปราบขบถจอมทองเมืองเชียงใหม่ หลังเสร็จศึกให้หาพระพุทธรูปมาฝากโดยอาราธนาพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชรลงแพบวนล่องมาทางแม่น้ำปิง มายังวัดนครชุมก่อนจะมาไว้วัดท่าหลวงปัจจุบันนี้ เปิดให้ชมได้ตั้งแต่ 9.00-16.00 น.
แล้วยังมี “วัดโพธิ์ประทับช้าง” เก่าแก่กว่า 200 ปี อยู่ทางตะวันออกฝั่งแม่น้ำพิจิตร สร้างสมัยสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ แห่งกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี 2478 ชาวอำเภอโพธิ์ประทับช้างได้สร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าเสือไว้เพื่อเป็นที่ระลึก “วัดนครชุม” อายุกว่า 800 ปี มีพระอุโบสถเก่าแก่มาก เคยเป็นวัดของประดิษฐานหลวงพ่อเพชร “วัดท้ายน้ำ” ประดิษฐานหลวงพ่อเงินองค์ใหญ่ ภายในได้จัดทำพิพิธภัณฑ์เรือนไทย และมีจิตรกรรมฝาผนัง เล่าประวัติของหลวงพ่อไว้ด้วย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาพิจิตร มักจะไปร่วมตักบาตรทุกเช้าวันเสาร์ตั้งแต่ ตี 5 ถึง 10 โมงเช้า บริเวณ “หน้ากำแพงแห่งความจงรักภักดี” ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร ถนนสายนี้ถือเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้การตักบาตรเบื้องหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดระยะทางยาวของกำแพง 500 เมตร ซึ่งมีภาพพระบรมทิสลักษณ์ประดิษฐานอยู่ถึง 84 ภาพ
อีกทั้งยังมีแหล่งวัฒนธรรมจีน ประกอบด้วย “ศาลเจ้าพ่อทับคล้อ” เทพศักดิ์ที่ชาวไทยเชื้อสายจีนนับถือ เป็นศูนย์กลางจัดงานวัฒนธรรมประเพณีและจัดการแสดงงิ้วทุกปี “ศาลเจ้าบางมูลนาก หรือศาลเจ้าพ่อแก้ว” มีซุ้มประตูวิจิตรอลังการเป็นมังกร และ ม้านิลมังกร ตามความเชื่อของชาวจีน และเมื่อลอดผ่านเข้าไปแล้วจะพบองค์เจ้าพ่อแก้วทำจากไม้แกะสลัก และเจ้าแม่กวนอิม พันกร สีขาว กับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ “ศาลเจ้าแม่ทับทิมท่าฬ่อ” ภายในมีเจ้าแม่ทับทิม (ตุ๋ยบ่วยเต่งเหนี่ยง) เป็นองค์ประธาน ศาลเจ้าแห่งนี้ใช้เป็นแหล่งวิชาความรู้ สอนหนังสือไทยและจีนให้ลูกหลานในหมู่บ้าน เปิดทุกวัน 8.00-17.00 น.
ส่วนตำนานไกรทองกับชาละวัน เป็นบทละครนอกจากบทประพันธ์ของรัชกาลที่ 2 เล่าเรื่องเศรษฐีที่มีลูกสาวแสนสวย 2 คน ชื่อตะเภาแก้วกับตะเภาทอง ซึ่งถูกชาละวัน จระเข้ที่สามารถแปลงร่างเป็นคนมาจับไป จากนั้นเศรษฐีได้ประกาศหาคนจับจระเข้ซึ่งได้ “ไกรทอง” มาปราบสำเร็จ ดังนั้นชาวพิจิตรจึงนำรูปจระเข้มาทำเป็นสินค้าที่ระลึกขายนักท่องเที่ยว
มุมที่ 3 พิจิตรชุมชนเล็ก แต่น่ารัก (สัมผัสความเก่า เก๋าและเก๋) อยู่ใน “ย่านเก่าวังกรด” อดีตเป็นย่านการค้าเก่าแก่ ภายหลังเริ่มซบเซาร้านรวงเลิกกิจการไป ปัจจุบันยึงได้นำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าเรื่องราวอดีตเกี่ยวกับ วิถีชีวิต ที่ยังคงสมบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมบ้านเรือน ตลาด ศาลเจ้าพ่อวังกลม โรงหนังมิตรบันเทิง สถานีรถไฟวังกรด และภาพชาวบ้าน ผู้แก่ผู้เฒ่า ยิ้มแย้มแจ่มใส มีรำวงย้อนยุค ตลาดนัดชุมชน ขายอาหาร สินค้า ราคาประหยัด
ต่อด้วยชุมชน “บางมูลนาก” ตรงบ้านหนองเต่า ต.ภูมิ อ.บางมูลนาก มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ในอดีตมีคลองบุษบง มีตัวนากชุกชุม ที่ยังคงอัตลักษณ์วิถีชีวิตและจัดทำเป็นถนนคนเดิน “บางขี้นาก” ทุกวันเสาร์หน้าโรงเรียนอนุบาลมีของกินอร่อย ๆ ขึ้นชื่อในท้องถิ่นมาวางขาย “ชุมชนตะพานหิน” เป็นชุมทางสถานีรถไฟพิจิตรติดตลาดเก่าแก่ พอเดินข้ามทางรถไฟก็จะเห็นร้านค้าชุมชนหลากหลาย ทั้งร้านหนังสือ ร้านของชำ ตลาดสด ที่ยังคงมีผู้คนแวะเวียนมาตลอดทั้งวัน และสถานีรถไฟยังติด 1 ใน 10 ของสถานทีที่สวยงามที่สุดในเมืองไทย เป็นแหล่งถนนคนเดิน “ตึกโบราณ ตำนานรถไฟ” จัดทุกวันเสาร์ช่วง 16.00-21.00 น.ให้ไปช้อปชิม อาหารชุมชน ผลิตภัณฑ์พื้นเมือง
มุมที่ 4 พิจิตรเมืองเกษตรปลอดภัย ผลไม้หลากหลาย (เที่ยวชมสวนชิมผลไม้หลากหลายตามฤดูกาล) เริ่มจาก “ศูนย์เกษตรพอเพียงหนองจิกสี อ.บึงนาราง” เป็นฐานการปลูกพืชเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกเมล่อน พืชสมุนไพร ฐานเรียนรู้การเลี้ยงกบ ไก่พื้นเมือง โทร. 089-860-6102 “สวนเกษตรคุณลี” อ.เมือง เป็นแปลงสาธิตเกษตรผสมผสานมานานกว่า 10 ปี มีพืชสวนครัวพันธุ์แปลก ๆ ทั้งไทยและเทศ เช่น ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน มันเทศ ฝรั่งสายพันธุ์พิจิตร 1,2 ลำไยยักษ์ มะระยักษ์ “กลุ่มพัฒนาไมผลตำบลวังทับไทร” ปลูกมะม่วงไว้ในที่ดินกว่า 2,526 ไร่ กว่า 3,700 ต้น แหล่งส่งออกมะม่วงใหญ่สุดของเมืองไทย มีทั้งพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง ฟ้าลั่น เขียวเสวย โชคอนันต์ และ มะปรางหวาน มะยงชิด
มุมที่ 5 พิจิตรเมืองอาหารอร่อย (หลากหลายเมนูปลา อาหารถิ่นเลิศรส) มีร้านเด็ดดังมากมายให้เลือกแถมมีเมนูเส้นอร่อย ๆ เพียบพร้อม ร้านเด็ดดัง ได้แก่ “ร้านครัวต้นคูณ” ริมแม่น้ำพิจิตรเก่า เมนูแนะนำ คือ ไข่แดงพริกแกงหอม ส้มตำบัวกลางบึง ยำตำลึงกรอบ สามชั้นทอดเกลือ “ร้านขวัญข้าว” เปิดมากว่า 22 ปี เป็นร้านผสมไทย-จีน-เวียดนาม จานเด็ดคือ ปลาช่อนขวัญข้าว แหนมเนือง ยำดอกอัญชัน เนื้อปลากรายสับผัดพริกไทยดำ “ร้านไร่ปลายน้ำ” เมนูเรียกน้ำย่อย คือ แกงคั่วหอยขมปลาย่าง ยุ่งปลายน้ำ ลาบทอด ปลาทับเทียมทอดกระเทียม กบทอดบ้านไร่ ปลาช่อนลุยสวน “ร้าน YOU 2004” จัดจ้านด้วยเมนู ส้มตำ ปลาออกลูกเป็นกุ้ง ผัดเผ็ดปลาแม่น้ำ ยำตามใจกุ๊ก หมูแดดเดียวทอด “ร้านลานนา บาหลี สเต็กกำนันเต่า” ก็มี สเต็กแซลม่อน หมู ไก่ “ร้านอ้วน-ปลาแม่น้ำ” มีสารพัดเมนูปลา ต้มยำ ราดเต้าเจี้ยว ทอดมัน “ร้านลุงแว่น ปลาแม่น้ำ” ศุนย์รวมปลากดคัง ผัดฉ่าปลา และยังมีร้านเมนูปลาอร่อย ๆ อีกหลายอย่าง ป.สะบัดช่อ และ เลี้ยงหงส์กี่ เป็นต้น
เมื่อมาถึงพิจิตรแล้ว เมนูเส้นเด่น ๆ ก็มีต้อง “บะหมี่ลิ้นชัก ตะพานหิน” เปิดมานาน 30 ปี มียำแห้ง ราดหน้าเกี๊ยว เกาเหลาไก่ตุ๋น และบะหมี่ลิ้นชัก “สุกี้ อ.สากเหล็ก” นอกจากสุกี้แล้วยังมี ผัดพริกแกงหมูหอมกรุ่นด้วย “เจ๊แป๊ด ก๋วยเตี๋ยวไทยต้มยำโบราณ เส้นบะหมี่ไข่” ภูมิใจนำเสนอ บะหมี่ทำจากไข่จัดจ้ายด้วยเครื่องปรุง เปิด 7.00-15.00 น. และยังมี ร้านผัดไทยป้าวุ้น ร้านกินเส้นใจกลางเมืองพิจิตร
เที่ยวพิจิตร เมืองรองในภาคเหนือ 5 มุมใหม่ ลองไปดู แล้วจะรู้ว่าสุขอย่างแน่นอน
@วิธีทำงานอย่างไรไม่ให้เกิดอาการล้า
การล้า เป็นอาอาการอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยในเวลาทำงาน เกิดขึ้นได้ทั้งงานที่ต้องใช้แรงงานหนักเช่น งานยกของ งานดึงและดัน และงานเบาที่ต้องอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หรือต้องทำงานเบานั้นซ้ำซาก แต่การล้ามิใช่จะมีแต่โทษอย่างเดียว ยังเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย
วิธีป้องกันการล้าทำได้ไม่ยาก มี 10 ข้อ ดังนี้
1.ลดท่าทางการทำงานที่จะทำให้เกิดอาการล้า ท่าทางที่ต้องใช้กล้ามเนื้อทำงานมาก ต้องปรับปรุงสภาพการทำงานให้ใช้กล้ามเนื้อนั้นน้อยลง เช่น จำเป็นต้องก้มหยิบของที่อยู่ในลังก้นลึก ต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งของลังให้ก้มตัวน้อยลง เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหลังล้า
2.แบ่งงานให้เหมาะสม ถ้ามีงานที่ต้องใช้แรงงาน และสมองมาก ให้พยายามทำงานนั้นในตอนเช้า ให้ทำงานเบาในตอนบ่าย
3.แบ่งงานเป็นช่วงๆ และมีช่วงพักที่เหมาะสม ข้อแนะนำของงานที่ต้องใช้แรงงาน คือ ควรพักประมาณ 10 นาที เมื่อเริ่มอาการล้า สำหรับงานที่ต้องทรงท่าอยู่นาน เช่น งานที่ต้องนั่งหรือยืนตลอดเวลา ควรจะพักด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถและเคลื่อนไหวร่างกาย 10-15 นาที ทุก 2 ชั่วโมง
4.หลีกเลี่ยงการทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน พบว่าการทำงานที่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ได้ทำให้ผลผลิตจากการทำงานมากขึ้นโดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้แรงงาน ซ้ำยังทำให้มีโอกาสบาดเจ็บจากการทำงานได้มาก ในกรณีที่ต้องทำงานล่วงเวลาต้องมีช่วงพักให้ได้พักผ่อนและนอนหลับอย่างน้อย 11-12 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ไม่ควรทำงานเช้าและต่อด้วยการทำงานล่วงเวลาในตอนบ่าย
5.ตรวจสอบสภาพการทำงานว่าอากาศร้อนหรือ เย็น และมีเสียงดังเกินไปหรือไม่? แสงในที่ทำงานน้อย หรือจ้าเกินไปหรือไม่?
6.กินอาหารที่ให้พลังงานในผู้ที่ต้องใช้แรงงานมาก และดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้าต้องทำงานหนักกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำทุก 20 นาที อย่ารอให้มีอาการกระหายน้ำเพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยจากความร้อนและการขาดน้ำ
7.พักผ่อนด้วยการนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ในผู้ที่ต้องใช้แรงงาน ให้เข้านอนหัวค่ำ และควรพักผ่อนในวันหยุด ไม่ออกไปเที่ยวหาความสำราญ ดื่มสุรา จะทำให้ การล้าจากการทำงานคงค้างอยู่
8.ผู้ที่ต้องนั่งหรือยืนทำงานนานๆ ให้ออกกำลังกายด้วยการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ ให้เหนื่อยปานกลาง 15-20 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ เช่น การเดินขึ้นบันได เดินเร็วๆ ในที่ทำงาน สำหรับผู้ต้องใช้แรงงาน ให้ออกกำลังด้วยการยืดกล้ามเนื้อและข้อต่อที่ต้องใช้งานบ่อยๆ
9.ขจัดความเครียดด้วยการพักผ่อน นั่งสมาธิ เป็นต้น
10.พักสายตาโดยการมองไกล 1-2 นาที ทุกชั่วโมง ในการอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่าการป้องกันไม่ให้ล้าจากการทำงาน ปฏิบัติได้ไม่ยาก
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “เปิด 5 มุมใหม่เที่ยวภาคเหนือตอนล่าง”
ระหว่างที่ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประชุมสัญจรวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ที่จังหวัดพิจิตร ในช่วงบ่ายวันนี้ ได้พิจารณาการอนุมัติใช้งบประมาณพัฒนาเมืองเชิงบูรณาการเชื่อมโยงเต็มรูปแบบภาคเหนือตอนล่างประมาณ 20,000 ล้านบาท ในพื้นที่จังหวัดหลัก ๆ พิจิตร และนครสวรรค์ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน และไฮไลต์รถไฟทางคู่ กับการรองรับแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในภาคเหนือตอนล่าง
ขณะที่ “นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงพื้นที่สำรวจความพร้อมในพิจิตรตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน โดยเสนอแนะผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่ร่วมปรับปรุงพัฒนา 10 เรื่องหลัก เพื่อการขับเคลื่อนพิจิตรอย่างยั่งยืน และวันนี้ 11 มิถุนายน 2561 ก็ได้ติดตามนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่และเข้าร่วมประชุม ครม.รวมทั้งพบประพูดคุยกับประชาชนในท้องถิ่นแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิดก่อนจะเดินทางต่อเข้าสู่จังหวัดนครสวรรค์
“นางสมฤดี จิตรจง” ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ระหว่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร พร้อมด้วยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ได้นำเสนอแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อผลักดันจุดขายใหม่ของจังหวัดพิจิตร 5 คอนเซ็ปต์ใหม่ กระตุ้นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาสัมผัส “พิจิตรเมืองเล็กแต่น่ารัก”
1.พิจิตรเมืองงาม ธรรมชาติสวย (หลีกหนีความวุ่นวาย ผ่อนคลายที่พิจิตร) มีบึงสีไฟ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขนาดกว่า 5,000 ไร่ เป็นบึงแห่งการดูนกพันธุ์หายากกว่า 100 ชนิด ให้ชมการอพยพมาอาศัยอยู่ดูได้เต็มตา เช่น นกอ้ายงั่ว นกอัญชัญคิ้วข้าว นกกระสาแดง เป็ดแดง ทุกช่วงเดือนพฤศจิกายน -ธันวาคม ของทุกปี มีดอกบัวหลวงบานสะพรั่งนักท่องเที่ยวสามารถมาให้อาหารปลาได้ รอบบริเวณจะมีแหล่งท่องเที่ยว “สวนสมเด็จพระศรีนรินทร์” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนีเนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 80 พรรษา เปิดเมื่อ 4 มีนาคม 2530 “สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” มีพันธุ์ไม้นานาชนิด และแหล่งศึกษาทางธรรมชาติ “สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ” “ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นเมืองพิจิตร” จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองพร้อมของที่ระลึก เช่น เครื่องสานผักตบชะวา ผ้าทองบ้าป่าแดง มะขามแก้วสี่รส เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่ 10.00- 17.00 น.
2.พิจิตรเมืองโบราณ ตำนานชาละวัน (นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปิดทององค์พระปฏิมาตามล่าหาพญาชาละวัน) และเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวทางบุญหนุนนำวัฒนธรรมไทย-จีน 3.พิจิตรชุมชนเล็ก แต่น่ารัก (สัมผัสความเก่า เก๋าและเก๋) อยู่ใน “ย่านเก่าวังกรด” อดีตเป็นย่านการค้าเก่าแก่ ภายหลังเริ่มซบเซาร้านรวงเลิกกิจการไป ปัจจุบันจึงได้นำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวบอกเล่าเรื่องราวอดีตเกี่ยวกับ วิถีชีวิต ที่ยังคงสมบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมบ้านเรือน ตลาด ศาลเจ้าพ่อวังกลม โรงหนังมิตรบันเทิง สถานีรถไฟวังกรด และภาพชาวบ้าน ผู้แก่ผู้เฒ่า ยิ้มแย้มแจ่มใส มีรำวงย้อนยุค ตลาดนัดชุมชน ขายอาหาร สินค้า ราคาประหยัด
4.พิจิตรเมืองเกษตรปลอดภัย ผลไม้หลากหลาย (เที่ยวชมสวนชิมผลไม้หลากหลายตามฤดูกาล) ทั้งศูนย์เกษตรพอเพียงหนองจิกสี อ.บึงนาราง สวนเกษตรคุณลี อ.เมือง กลุ่มพัฒนาไมผลตำบลวังทับไทร แหล่งเกษตรพอเพียงผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศด้วย 5.พิจิตรเมืองอาหารอร่อย (หลากหลายเมนูปลา อาหารถิ่นเลิศรส) มีร้านเด็ดดังมากมายให้เลือกแถมมีเมนูเส้นอร่อย ๆ เพียบพร้อม ร้านที่มีเมนูเด็ดปลาแม่น้ำหลายชนิด ได้แก่ ร้านครัวต้นคูณ ร้านขวัญข้าว ร้านไร่ปลายน้ำ ร้านลานนา บาหลี สเต็กกำนันเต่า ร้านอ้วน-ปลาแม่น้ำ ร้านลุงแว่น ปลาแม่น้ำ
ข่าวที่สอง “คมนาคมสั่งลุยโลจิสติกส์รับทัวร์เหนือตอนล่าง”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หลังเสร็จสิ้น ครม.สัญจรได้มอบนโยบายเร่งด่วนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 (นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี) เตรียมความพร้อม โดยให้นโยบายกรมทางหลวงชนบท เฝ้าระวังวางมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาการทรุดตัวของถนนช่วงหน้าฝน ได้แก่ ถนนเส้น225 1072 บังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวดแก้ปัญหารถบรรทุกอ้อย รถบรรทุกน้ำหนักเกิน จัดทำข้อมูลรายละเอียดโครงการก่อสร้างถนนเส้น ท่าวุ้ง - อุทัย หางน้ำสาคร - วัดหนองโพ โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ด้านตะวันตก โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 ให้บูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนกำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดความล่าช้าของโครงการ
รวมทั้งขอความร่วมมือจากภาคเอกชน หอการค้าจังหวัด ช่วยผลักดันโครงการให้สำเร็จตามแผนเร็วยิ่งขึ้น และกำชับการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ 2 ข้างทาง ผิวจราจร โดยเฉพาะการตัดต้นไม้ซึ่งมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน
ข่าวที่สาม “ดุสิตปริ๊นเซสศรีนครินทร์รุกตลาดเวดดิ้ง”
โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ รายงานว่า เตรียมจัดงาน Charming Love, Charming Princess The Wedding Fair ณ ระหว่าง 21-22 กรกฎาคม 2561 เวลา 10:00 น. ถึง 20:00 น. เพื่อรุกเจาะตลาดจัดแต่งงาน ภายในงานพบกับสินค้าและบริการด้านการแต่งงานครบวงจร อาทิ Deep Love Wedding Studio, SK The Wedding Planner พร้อมโปรโมชั่นแพ็กเกจสุดคุ้ม ทั้ง งานหมั้น แต่งงาน, Wedding venue showcase, Food & cake presentation การแสดงแฟชั่นโชว์ชุดแต่งงาน และจะแจกรางวัล และบัตรกำนัลต่างๆ ตลอดทั้งงาน โทร 0 2721 8400
ข่าวที่สี่ “ดิโอกุระจัดเต็มอาหารเทศกาลทานาบาตะ"
โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ชวนร่วมฉลองเทศกาล “ทานาบาตะ” เทศกาลขอพรจากดวงดาวของชาวญี่ปุ่น ให้บริการทั้งมื้อกลางวัน และมื้อค่ำ ระหว่าง 2 - 29 กรกฎาคม 2561 เสิร์ฟอาหารชุดมื้อกลางวัน ราคาชุดละ 1,300++ บาท เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อย ได้แก่ หอยแมลงภู่ กุ้ง ข้าวโพดอ่อนราดด้วยซอสน้ำส้มสายชูผสมไข่แดงตกแต่งด้วยพริกหยวกรูปดาว ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับซุปเป็ดใส่เห็ดฮิเมจิ วุ้นเส้นญี่ปุ่นและผักนานาชนิด และปลาดิบชั้นดี 3 ชนิด (ปลาทูน่า, ปลาหางเหลือง, หอยปีกนก) จากนั้นเชฟจะเสิร์ฟปลากระพงแดงย่างซอสข้าวโพดมายองเนส และเนื้อไก่บดย่างซอสเทริยากิ มาพร้อมกับปลาไหลตุ๋นกับมะเขือย่างและเผือก เทมปุระรวม ข้าวหน้าปลาหวานญี่ปุ่นและไข่ปลาแซลมอน ซุปมิโซะ และผักดอง ปิดท้ายมื้ออาหารแสนประทับในนี้ด้วยผลไม้ตามฤดูกาล และสาคูมะพร้าว
ส่วนอาหารชุดมื้อค่ำ จะให้บริการแบบ “ไคเซกิ” ตามแบบราชสำนักญี่ปุ่น ราคาชุดละ 4,500++ บาท ประกอบด้วย 9 รายการ อาทิ ฟองเต้าหู้สดกับดอกกระเจี๊ยบรูปดวงดาวราดซอสสูตรพิเศษ ซุปลูกชิ้นปลาไหลใส่สาหร่ายทะเล เห็ดและผัก ปลาดิบชั้นดี 4 ชนิด (ปลาทูน่า, กุ้งหวานญี่ปุ่น, ปลาหางเหลือง,หอยปีกนก) หอยเชลล์ย่างสุกแบบพอดี กับหน่อไม้ฝรั่งและเห็ดย่างเนยราดซอสครีมข้าวโพด อาหารจานหลักเป็นปลาอินทรีย์และเนื้อย่างกับซอสมิโซะแบบเผ็ด รับประทานคู่กับเห็ดหลวงญี่ปุ่น แครอทและบรอกโคลี เทมปุระปูหิมะ กุ้ง ปลาดาบ และผักต่าง ๆ ทอดกรอบ เส้นหมี่น้ำหน้าปลาเนื้ออ่อนญี่ปุ่น
โทร.จองหรือสอบถามเพิ่มที่ 02 687 9000 หรือ www.okurabangkok.com
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น. ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
![]() |
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน ผู้ดำเนินรายการ แลัคอลัมนิสต์ท่องเที่ยว |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
จับตา!!ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว3เดือนแรกไม่ถึง10ล้านคน
นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 1 ม.ค.-31 มี.ค.2568 ได้แค่ 9.5 ล้านคน จับตา !! ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว 3 เดือนแรกไม่ถึง 10 ล้านคน เม.ย.นี้ร...

-
“ คิง เพาเวอร์”จัดโปโลคัพการกุศลในลอนดอนปี’62 รำลึกเจ้าสัววิชัยระดม1ล้านปอนด์มอบ15องค์กรอังกฤษ เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน : บล็อกเ...
-
นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท.นำภาคเหนือ Q1/67 รับรายได้ฉ่ำๆ แตะ 6 หมื่นล้าน...
-
เปิดใจ “พศิน ลาทูรัส”ทายาท”นารายา”พลิกโมเดลแบรนด์ไทย ถอดบทเรียนโควิดปรับมุมคิดธุรกิจรุ่งปั้นสินค้าใหม่บุกทั่วโลก คิงเพาเวอร์ชวนช้อปออน...