วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

ตะลึงความงาม!! ภูป่าเปาะฟูจิเมืองเลยมุมใหม่ปี62 เที่ยวเมืองไทยสวยทุกที่เท่ทุกเวลา

ตะลึง!! ความงาม... 
ภูป่าเปาะ "ฟูจิเมืองเลย" อ.หนองหิน 
สวยทุกมุม เท่ทุกเวลาเที่ยวได้ทุกวัน 

เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน
 #gurutourza #เที่ยวกับกู๋.
#ภูป่าเปาะ #ท่องเที่ยวเศรษฐกิจพอเพียง

ธรรมชาติจัดสรรค์ "ฟูจิเมืองเลย" งามสุดจะบรรยายในช่วงยามเย็นบนภูป่าเปาะ
แหล่งท่องเที่ยวในชุมชนผาหวาย ต.ปวนพุ อ.หนองหิน จ.เลย

ชาวบ้านผาหวาย อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ได้ค้นพบความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นขุมสมบัติอันล้ำค่าบน "ภูป่าเปาะ" ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เมื่อนักท่องเที่ยวนั่งรถอีแต็กของชาวบ้าน ที่คิดค่าบริการคนละ 60 บาท/เที่ยว ขึ้นมายังจุดชมวิว จุดที่ 2 ก็จะได้ดื่มด่ำความงดงามของ "ฟูจิเมืองเลย" ในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก

และยังมีจุดแวะชมวิวสูงสุดจุดที่ 4 ของภูป่าเปาะ ที่จะได้เห็นความงามรอบทิศทางถึง 8 ภู ด้วยกัน เช่น ภูกระดึง ภูหลวง ภูเรือ


นักท่องเที่ยวชาวไทยและนานาชาติหมุนเวียนกันมขึ้นมาดื่มด่ำพลังแสงอาทิตย์สีแห่งความสุขดูฟูจิเมืองเลย ภูป่าเปาะ

 ปัจจุบันนี้ชาวบ้านได้สร้างมาตรฐานเปิดบริการโฮมสเตย์แก่นักท่องเที่ยวรวม 24 หลัง คิดราคาคนละ 500 บาท พักค้างได้ 1 คืน



 กิจกรรมหลัก ๆ ที่นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินสมราคา 500 บาท ก็มี พักค้างโฮมสเตย์มาตรฐาน 1 คืน พร้อมอาหารเช้า 1 มื้อ พานั่งอีแต็กขึ้นไปชมธรรมชาติและพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูป่าเปาะ "ฟูจิเมืองเลย" เมื่อมองไปยังภูเขาฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรูปลักษณ์งดงามไม่แพ้ยอด เขาฟูจิ ในญี่ปุ่น

 จากนั้นก็จะพามารับประทานข้าวต้มร้อน ๆ มื้อเช้า ก่อนจะให้ไกด์ท้องถิ่นนำไปชมวัดถ้าโพธิ์ไทร เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อม ๆ กับดูกิจกรรมของชาวบ้านที่มีให้เลือกถึง 12 กลุ่มอาชีพ มาเที่ยวจังหวัดเลย ต้องห้ามพลาดขึ้นมาบนภูป่าเปาะ เพื่อชมความยิ่งใหญ่งดงามทางธรรมชาติจัดสรรค์ไว้ให้ตื่นตลึงกับ "ฟูจิเมืองเลย" ในชุมชนผาหวาย ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย



 ลองมาเที่ยวภูป่าเปาะ ฟูจิเมืองเลย แล้วจะรู้ว่า...ยังมีอีกหลากหลายมุมใหม่. ที่ชาวผาหวาย อ.หนองหิน จ.เลย. ทำได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก




วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

ททท.ซิดนีย์รุกชิงตลาดโอเชเนียครึ่งปีหลัง 62 -เปิดพลังดีคิงเพาเวอร์-เที่ยวสนุกในชัยนาทตลาดเจ้าพระยาแล

ททท.ซิดนีย์รุกชิงตลาดโอเชเนียครึ่งปีหลัง 62 
สุลัดดานำทีมฝ่า5ความท้าทายเศรษฐกิจ-คู่แข่ง 
เปิดพลังดีคิงเพาเวอร์สร้างสะพานเศรษฐกิจไทย 
ททท.ผนึกพาณิชย์5กรมเพิ่มรายได้เที่ยวชุมชน 
เชียงรายแต้แต้ชวน@lineรับสิทธิ์เที่ยวถึงก.ย.นี้ 
บางจากชูแคมเปญเติมปั๊บดับร้อนบัตรเครดิตซิตี้ 
มูลนิธิปิดทองนำชมชุมชนแนวพระราชดำริจ.เลย 
เที่ยวชัยนาทวัดดัง-ตลาดดี-หัตกรรมผักตบแจ๋ว 
ชวนกันเลือกกินอาหารป้องกันโรคไตกันไว้ดีกว่า 
บินไทยจ่อซื้อฝูงบิน1.5แสนล้าน-แบกหนี้หมื่นล้าน
 นกแอร์กัดกันขอผู้ถือหุ้นกู้ 3พันล้านฟื้นขาดทุน 
ไปวิ่ง"กิโลรัน"ครั้งแรกกับโดมที่เยาวราช26พ.ค. 
แอร์เอเชียตั๋วถูก990บาทบินกรุงเทพ-สีหนุวิลล์  

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ 28 เมษายน 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #เที่ยว #TATSYDNEY #ExperienceNewVarietyofAmazingThailand

 ช่วงที่ 1 ต่อสายตรงจากไทยไปโอเชเนียเพื่อเกาะติดภารกิจของ “สุลัดดา ศรุติลาวัณย์” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานซิดนีย์ ที่ต้องเทพลังหมดหน้าตักเพื่อฟันฝ่า 5 ความท้าทายทั้งทางด้าน “เศรษฐกิจ-การเมือง-คู่แข่ง” ในออสเตรเลีย ดึงคนมาใช้เงินกระจายตามแหล่งท่องเที่ยวในไทยปีละ 6.6 หมื่นล้านบาท ต้องใช้ฝีมือและงัดสินค้าใหม่ ๆ มาสร้างแรงจูงใจลูกค้าไหลเข้ามายังเมืองหลัก เมืองรอง ครึ่งปีหลังตลุยขาย ภาคใต้-ภูเก็ต/ กระบี่/พังงา/สุราษฎร์ธานี/นครศรีธรรมราช “ภาคตะวันออก” พัทยา/จันทบุรี/ตราด ภาคเหนือ-เชียงราย/เชียงใหม่  

นางสาวสุลัดดา ศรุติลาวัณย์
ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานซิดนีย์


นางสาวสุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานซิดนีย์ ดูแลพื้นที่ตลาด ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ตลาดโอเชเนียมีออสเตรเลียมีขนาดใหญ่สุด ช่วงปี 2561 เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย 8.22 แสนคน สร้างรายได้ 66,190 ล้านบาท เพิ่ม 0.6 % วันพักเฉลี่ย 13-14 วัน/ทริป (13.85วัน) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 5,671 บาท/วัน โดยนิยมซื้อทุกอย่างผ่านทางออนไลน์ จึงมีกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวเอง (F.I.T.) มากสุดถึง 90 % เพิ่มขึ้น 10.8 % ขณะที่นักท่องเที่ยวนิวซีแลนด์มาไทย 1.013 แสนคน สร้างรายได้เข้าไทย 7,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4 % นิยมท่องเที่ยวเอง วันพักเฉลี่ย 13-14 วัน/ทริป (14.15 วัน) ใช้จ่ายเฉลี่ย 5,208 บาท/คน/วัน เพิ่มขึ้น 3.14 % เป็นกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวเอง (F.I.T.) มากสุดถึง 88 % เพิ่มขึ้น 9.3 %






สรุปแล้วทั้งนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ประเทศ มีรูปแบบการเดินทางเข้ามาไทยคล้ายคลึงกัน เป็นกลุ่มเดินทางมาท่องเที่ยวซ้ำกว่า 60 % รู้จักแหล่งท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นอย่างดี ชื่นชอบสถานที่ อัธยาศัยไมตรีและวิถีชีวิตคนไทย ปี 2562 สถานการณ์จะชะลอตัวทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยตัวเลขจำนวนและรายได้ขณะนี้ยังทรงตัว ซึ่งจะต้องจับตาดูการเลือกตั้งครั้งใหม่ในออสเตรเลียช่วงเดือนพฤษภาคม 2562 ว่าสภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มจะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์ต้องรอดูเศรษฐกิจภาพรวมด้วย

 ตามแผน ททท.ซิดนีย์เตรียมเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดต้องผลักดันต่อไป ในการร่วมมือกับกลุ่มภาคีพันธมิตร เนื่องจากชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ชื่นชอบเที่ยวหาดทรายทะเล ดังนั้นการชูขายภูเก็ต สมุย และภาคตะวันออก ต้องเร่งเพิ่มน้ำหนักการขายต่อเนื่องอย่างเข้มข้น ส่วนเมืองรองก็ส่งเสริมต่อเนื่องโดยเฉพาะพื้นที่ “เชียงราย” ขายพ่วงกับเชียงใหม่ ซึ่งชาวออสเตรเลียรู้จักดีจากเหตุการณ์ที่มีนักดำน้ำชาวออสเตรเลียมาช่วยทีม 13 หมูป่าติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน และจังหวัดตราดเน้นความโดดเด่นมีหาดทรายชายทะเลเป็นเมืองรองสามารถนำเสนอขายได้ มีเกาะสวยงามกับ Local Experience และท่องเที่ยวชุมชนที่น่าสใจมากมาย



 ททท.ซิดนีย์จึงได้ดำเนินการการส่งเสริมตลาดทั้งเมืองหลักเมืองรองได้ใช้กลยุทธ์ 2 ส่วน คือ ส่วนแรก ประชาสัมพันธ์ เน้นโซเชียล มีเดีย พร้อมกับ KOL-Key Opinion Leader นำกลุ่มผู้นำทางความคิด อย่าง บล็อกเกอร์ต่าง ๆ ออนไลน์ และ influencer เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมสำรวจพื้นที่ใหม่แล้วนำข้อมาเสนอในตลาด เช่น เชียงราย ตราด และพื้นที่ใกล้เคียงกับภูเก็ต เช่น กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี ส่วนที่ 2 การเสนอขาย พุ่งเป้าร่วมทำกับ 3 หลายเครือข่ายหลัก มีทั้ง

1.กลุ่มบริษัทตัวแทนนำเที่ยวทั้งร้านค้าส่ง ค้าปลีก และการท่องเที่ยวออนไลน์-Online Travel Agents แถวหน้าของประเทศ 2.ผนวกความร่วมมือกับสายการบิน เช่น การบินไทย ทำแคมเปญ Stop Over โดยมีผู้โดยสารออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เดินทางมาต่อเครื่องที่ไทยไปยังประเทศอื่น ๆ ทางยุโรป อเมริกา หรือเอเชีย ททท.เห็นช่องทางจะให้กลุ่มนี้แวะพักค้างคืนในไทย 1 คืน เพื่อใช้จ่ายเงิน หรือการร่วมกับ สิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ขายตั๋วเครื่องบิน แพกเกจท่องเที่ยว ผ่านออนไลน์



 3.การทำตลาดสนใจเดินทางท่องเที่ยวเฉพาะ หรือ Niche Market แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

 3.1 เจาะตลาด Wedding & Honeymoon กลุ่มคู่รักนิยมมาจัดฉลองและแต่งงานบีช ปาร์ตี้ แหล่งยอดนิยมคือสมุย ภูเก็ต ก็พาผู้จัดการมาชมโรงแรมและสถานที่จริงเพื่อนำไปทำแพกเกจการขายต่อไป

3.2 Health and Wellness กลุ่มความงามและส่งเสริมสุขภาพ ทำโยคะ นั่งสมาธิ ททท.ซิดนีย์ จะเลือกเข้าร่วมงานที่มีตลาดเหล่านี้ เช่น Body Spirit เป็นรายการขายแพกเกจสุขภาพ มีโรงพยาบาล ทันตกรรม เข้าร่วมแล้วทำแพกเกจมารับบริการในเมืองไทย

 3.3 เข้าร่วมงานเพื่อเจาะกลุ่มตลาด Gastronomy Tourism ท่องเที่ยวเชิงอาหาร มาเป็นตัวดึงให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวเพราะรู้จักอาหารไทยขึ้นชื่ออีกทั้งกลุ่มตลาดนี้นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยได้ขายร่วมกับบริษัทตัวแทนท่องเที่ยว แพกเกจฟู้ดทัวร์ และ cooking class ซึ่งสามารถขายสถานที่ตั้งแต่พื้นที่ปลูกวัตถุดิบเรื่อยไปจนถึงขั้นตอนการผลิตอาหารก่อนรับประทาน

 3.4 Sport Tourism กลุ่มท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งรุกเข้าไปส่งเสริมเจาะคนปั่นจักรยาน วิ่งมาราธอน หรือช่วง 14-29 เมษายน 2562 ได้ส่งนักปั่นจากเมืองเพิร์ธปั่นแบบแอดเวนเจอร์ ปั่นจากภูเก็ตมาถึงนครศรีธรรมราช แล้วนำ VDO การปั่นตามเส้นทางทั้งหมด โดยร่วมกับการบินไทย มาเผยแพร่ต่อยอดเป็น Call to Action กระตุ้นคนมาร่วมกิจกรรมปั่นในเมืองไทยต่อไป



 ผอ.สุลัดดากล่าวว่าเมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 ได้ทำโครงการ Experience New Variety and Family Fun of Amazing Thailand 2019 นำทั้งเอเย่นต์และสื่อมวลชนออสเตรเลียเข้ามาสำรวจพื้นที่ท่องเที่ยวคุณภาพแหล่งใหม่ ๆ แบ่งเส้นทางออกเป็น กลุ่มแรก สื่อมวลชนพาไป กระบี่ พังงา กรุงเทพฯ นำชมเกาะบูดู นั่งเรือทำกิจกรรมในพังงา เขียนผ้าบาติก ชุมชนเกาะกลาง จ.กระบี่ เป็น Local Experience ที่สร้างความประทับใจได้เป็นอย่างมาก กลุ่มที่ 2 กลุ่มตัวแทนบริษัทนำเที่ยว ลงพื้นที่ไปยังภาคตะวันออก 4 จังหวัด ได้แก่ พัทยา ชลบุรี จัดการพบปะเจรจาธุรกิจแบบ Business to Business ส่วนจันทบุรีนำเสนอเส้นทาง Local Experience พาดูบ่อลพอยวิธีขุดพลอย ชมชุมชนริมน้ำจันทบูร เกาะหมาก จ.ตราด โชว์เรื่องการเป็นเกาะโลว์คาร์บอน ร่วมทำกิจกรรมอาหารออร์แกนิกทั้งหลายได้

 จากนั้นก็นำทั้ง 2 กลุ่มทั้งสื่อมวลชนและเอเย่นต์ท่องเที่ยวออสเตรเลียในโครงการ Experience New Variety and Family Fun of Amazing Thailand 2019 มารวมตัวในกรุงเทพฯ ก็ให้ดูสิ่งอำนวยความสะดวกระบบคมนาคมขนส่ง และโครงการใหม่รถนำเที่ยวสไตล์ Hop on Hop off พร้อมกับจัดประชาสัมพันธ์แนะนำเมืองรองจำลองเมืองรอง 5 ภูมิภาค ให้ผู้ประกอบการ 43 ราย เข้าร่วมชมในบรรยากาศการทำกิจกรรมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย เน้นเจาะกลุ่มตลาดครอบครัว โดยเชิญชวนผู้ขายมีทั้งกลุ่มโรงแรม รีสอร์ต บริษัทนำเที่ยว สวนสนุก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ศูนย์การค้า ในไทยเข้ามาร่วม 53 ราย

ส่วนการจำลองเมืองหลัก เมืองรอง มาไว้ในงานนั้น ททท.ได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยพร้อมเสนอขายเรื่องราวเกี่ยวกับ Local Experience ต่อเนื่องจากการลงพื้นที่เรียบร้อยแล้ว เช่น ภาคใต้ ทำกิจกรรมกระเป๋าจากกระจูด จ.พัทลุง ภาคเหนือ การชงชาออแกนิก จ.เชียงราย ภาคอีสาน การทำผ้ามัดย้อมภูอัคคนี จ.บุรีรัมย์ ภาคตะวันออก การสานงอบ จ.ตราด ภาคกลาง การทำหัวโขน จ.สมุทรสงคราม โดยเปิดให้ทุกคนได้ทดลองทำรวมถึงผู้ประกอบการที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวก็มารวมอยู่ในโครงการนี้ด้วย



 ผอ.สุลัดดาย้ำว่า ปี 2562 การทำตลาดท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลังมีความท้าทายในการรุกเจาะโอเชเนียซึ่งเป็นตลาดใช้จ่ายเงินสูงและมีวันพักระยะยาว แต่เนื่องจากเป็นตลาดระยะไกลใช้เวลาบินมากกว่า 8 ชั่วโมง จึงมีปัจจัยที่จะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกประเทศเพื่อเดินทางท่องเที่ยวนั้น ไทยเองต้องฝ่าความท้าทายให้ได้ใน 5 เรื่องหลัก ๆ ดังนี้ 

1.เศรษฐกิจภายในประเทศค่อนข้างชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากหลาย ๆ ส่วนคล้ายกับเศรษฐกิจทั่วโลก 

2.ความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งในออสเตรเลีย

 3.ค่าเงินออสเตรเลียอ่อนตัวลง แต่ไทยเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยเป็นอย่างดีโดยเฉพาะเรื่องฮอสพิทาลิตี้ ซึ่ง ททท.พร้อมจะใช้เป็นจุดแข็งกระตุ้นให้ตลาดเลือกมาไทยเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนกลุ่มเดินทางครั้งแรก first visit ต้องคัดสรรโปรดักซ์ใหม่เฉพาะกลุ่มอย่าง อาหาร บิวตี้แอนด์เวลเนส เพื่อช่วยดึงปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นได้

 4.ประเทศคู่แข่ง ทำการตลาดหนักพอสมควร มีกิจกรรมมากมายมาดึงความสนใจ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ชูการเตรียมเป็นเจ้าภาพ รักบี้ เวิลด์ คัพ 2020 ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของชาวออสเตรเลียก็น่าจะดึงคนไปได้มากพอสมควร


 5.การคมนาคมเข้าถึงประเทศไทย เรื่องจำนวนเที่ยวบินยังมีไม่มากและที่มีอยู่แล้วบินตรงยังน้อย ปัจจุบันมีเพียง 53 เที่ยว/สัปด์ ส่วนใหญ่จะต้องไปแวะพักประเทศอื่น 150 เที่ยว/สัปดาห์ จำนวนที่นั่งจองซื้อได้รวมทั้งหมด 18,337 ที่นั่ง/สัปดาห์ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องการบินตรงเข้าไทยมากกว่าจะต้องไปต่อเที่ยวบินหลายจุดบินอ้อมเข้าประเทศอื่นก่อนถึงไทย



ทั้งนี้ ททท.ซิดนีย์ ได้นำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวรุกเจาะตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ตลอดครึ่งหลังปี 2562 ประกอบด้วย 1.Amazing Thailand : Go Local ชูขายแหล่งท่องเที่ยวชุมชน อาทิ แม่กำปอง เชียงใหม่ เมืองเก่าภูเก็ต บ้านน้ำเชี่ยว กับบ้านสลักคอก จ.ตราด 2.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy) แนะนำอาหารถิ่นที่มีอัตลักษณ์เฉพาะทั่วประเทศทั้ง 5 ภูมิภาค 3.ตลาดสนใจเดินทางท่องเที่ยวเฉพาะ (Niche Markets) ทั้งสุขภาพความงาม หรูหรา แต่งงานและฮันนีมูน กีฬา และกลุ่มเพศสภาพ LGBT-เลสเบี้ยน-เกย์-สองเพศ-แปลงเพศ 

โดยจัดทำประชาสัมพันธ์ในกลุ่มสื่อหลัก สื่อโซเชียลแพลทฟอร์ม เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ยูทูบ อินสตาแกรม ปัจจุบันทำให้ ททท.ซิดนีย์ มีสมาชิกอยู่มากกว่า 98,399 สมาชิก ร่วมสนับสนุนโฆษณาทั้งอินและเอาท์ดอร์ จับมือกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่อการท่องเที่ยว และจัดทำกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ส่วนการนำเสนอขายก็พุ่งเป้าทำกับ กลุ่มเอเย่นต์ กลุ่มผู้ค้าส่งและค้าปลีกท่องเที่ยว จอยโปรโมชั่น ทำโรดโชว์ ผนึกเครือข่ายเอเย่นต์ขายท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agent :OTA)

 ฟังข่าวต้นชั่วโมง 

 ข่าวที่ 1 “เปิดพลังดี “คิง เพาเวอร์”ต้นตำรับดิวตี้ฟรี3ทศวรรษ 



เข้าสู่ฤดูเปิดการประมูลโครงการบริหารจัดการพื้นที่ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” ที่ได้ผนวกรวมพื้นที่ในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังปัจจุบันกับอาคารแซตเทิลไลท์หลังใหม่ รวม 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแรก การบริหารจัดการพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรสนามบินสุวรรณภูมิ (Airport duty free) ขนาด 12,021 ตารางเมตร และโครงการที่ 2 การบริหารจัดการพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์สนามบินสุวรรณภูมิ (Commercial Area) ขนาดกว่า 20,000 ตารางเมตร

การประมูลใหม่ในรอบกว่าทศวรรษครั้งนี้ สปอตไลท์ทุกดวงส่องมาที่ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” แชมป์เก่าในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาร้านค้าดิวตี้ฟรีทุกรูปแบบขึ้นในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ที่ไม่มี “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานกรรมการ เป็นแม่ทัพนำทีมเหมือนที่ผ่านมา ทว่าเปลี่ยนเป็น “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทายาทกับทีมบริหารที่เคยเคียงข้างคุณวิชัยหลอมรวมพลังประสบการณ์ทั้งหมดลงสู้ศึกใหญ่ครั้งนี้อย่างมืออาชีพ

 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวย้ำว่าตลอด 3 ทศวรรษการเป็นบุกเบิกร้านค้าดิวตี้ฟรีในไทยทั้งในสนามบิน (airport) และในเมือง (downtown) โดยยึดมั่นพัฒนาธุรกิจที่เป็นมากกว่าร้านค้าปลีกดิวตี้ฟรีด้วยการยกระดับให้เป็นจุดหมายปลายทางการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผู้คนทุกชาติทุกภาษา

 ทุกวันนี้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ภายใต้การนำของอัยยวัฒน์ ประกาศความมุ่งมั่นสานต่อการทำหน้าที่ “สร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีด้านเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ไทยกับทั่วโลก” ในฐานะนักธุรกิจคนไทยที่ค้าขายกับเครือข่ายพันธมิตรนานาประเทศ ซึ่งมีทั้งกลุ่มเจ้าของสินค้าแบรนด์เนม กลุ่มลูกค้านักเดินทาง นักธุรกิจ นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย และได้ทำให้เกิด “สะพานเชื่อมอัตลักษณ์สินค้าชุมชนไทยสู่ตลาดโลก” กระจายรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสในหลากหลายรูปแบบ ถึงมือชาวบ้านในท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยได้ทำอย่างนี้ต่อเนื่องสม่ำเสมอมาตลอด 3 ทศวรรษ

 และจะยังคงยึดแนวทางพัฒนาธุรกิจอย่างสร้างสรรค์เช่นนี้ต่อไป จากอดีตจนถึงปัจจุบันกลุ่ม บริษัทคิง เพาเวอร์ จึงกวาดรางวัลระดับโลกมาแล้วกว่า 100 รางวัลซึ่งแต่ละรางวัลการันตีว่าเป็นสถานประกอบการร้านค้าดิวตี้ฟรีไทยที่มีทั้งยอดขายหมุนเวียนติด 1 ใน 5 ของโลก และมีผลงานบริการยอดเยี่ยม เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน “พลังรายได้หมวดช้อปปิ้ง” ดึงเงินหลั่งไหลเข้าประเทศไทย ทำยอดขายหมุนเวียนจากธุรกิจในเครือทั้งหมดมูลค่ารวมปีละเกือบ 1 แสนล้านบาท จนกลายเป็นจุดสนใจให้เหล่าผู้ประกอบการกลุ่มอื่น ๆ พร้อมจะกระโดดเข้ามาชิงเค้กในธุรกิจดิวตี้ฟรีเพิ่มมากขึ้น

 ทว่ายอดขายหมุนเวียนปีละเกือบ 1 แสนล้านบาท นั้น กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้กระจายความมั่งคั่งไปยัง “กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน” ปัจจุบันดำเนินการภายใต้โครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ที่เรียกว่า Community Power โดยได้ทุ่มเงินลงทุนส่งทีมเข้าไปพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างจริงจัง ทั้งเลือกหมวดสินค้า เทคโนโลยีการผลิต การจัดทำแพกเกจจิ้ง การบริหารจัดการ การตลาดและช่องทางจัดจำหน่ายตามสาขาคิง เพาเวอร์ ทุกแห่ง ปัจจุบันมีสัดส่วนเกินกว่า 20 % จึงนับเป็นโครงการสร้างความเข้มแข็งด้านการผลิตสินค้าไทยระดับฐานรากของประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยลดความเหลื่อมล้ำที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม

 ล่าสุดทางผู้จัดงาน THE INTERNATIONAL CSR SUMMIT 2019 (ICS 2019) ณ กรุงไทเป ไต้หวัน แจ้งอย่างเป็นทางการมาแล้วว่าวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 จะใช้เวทีดังกล่าวมอบรางวัล The ASIA RESPONSIBLE ENTERPRISE AWARDS 2019 (AREA 2019) ให้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลีกที่บุกเบิกจัดทำโครงการคืนประโยชน์สู่สังคมภายใต้ชื่อ King Power Thai Power ได้อย่างมีคุณค่าต่อประเทศ 

ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพความมุ่งมั่นของ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” ดำเนินธุรกิจเข้าตาพันธมิตรนานาชาติอย่างไม่มีวันเสื่อมคลายมาตลอดจนถึงวันนี้

 อีกทั้งกลุ่มคิง เพาเวอร์ ยังได้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมโอกาส” เปิดให้เด็กไทยก้าวไปเติบโต เรียนฟรีและฝึกทักษะสร้างชื่อเสียงในวงการฟุตบอลระดับโลกโครงการ SPORT POWER กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ใช้เงินลงทุนให้ฟรีกว่า 300 ล้านบาท เพื่อให้นักเตะเยาวชนเข้าไปร่วมประสบการณ์ดี ๆ ในสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ประเทศอังกฤษ และสโมสร OH LEUVEN ประเทศเบลเยี่ยม ส่วนในการลงสนามประมูลสัมปทานทั้ง 2 โครงการ ภายในเดือนพฤษภาคม 2562 “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์”

โครงการประมูลงานบริหารจัดการพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรสนามบินสุวรรณภูมิ ได้เสนอชื่อ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ชิงกับขาใหญ่ในวงการธุรกิจค้าปลีกและการบินอีก 4 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด 2.บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) 4.บริษัท รอยัลออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

 สำหรับโครงการงานบริหารจัดการพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์ สนามบินสุวรรณภูมิ เสนอชื่อ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ชิงกับอีก 3 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด

 ข่าวที่ 2 “ททท.กอดคอพาณิชย์5กรมปั๊มรายได้ท่องเที่ยวครึ่งหลังปี62” 



 ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ นางสาว ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ร่วมเป็นสักขีพยานเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2562 ในการลงนามMOU โครงการ “ความร่วมมือในการพัฒนาและเชื่อมโยงการค้าและการท่องเที่ยวในรูปแบบ Trade & Tourism Alliance (TTA)” ระหว่าง ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับปลัดกระทรวงกระทรวงพาณิชย์ ตัวแทนของ 5 กรมที่รับผิดชอบด้านการค้าการส่งออกระหว่างประเทศ 

โครงการดังกล่าวเป็นการเดินหน้าประกาศความร่วมมือการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของ 2 องค์กร ระหว่าง ททท. กับ สำนักงานปลัดพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ 5 หน่วยงาน ได้แก่ 1.กรมการค้าภายใน 2.กรมการค้าต่างประเทศ 3.กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 4.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 5.กรมทรัพย์สินทางปัญญา 

ตามแผนงานจะเร่งผนึกทีมกันขับเคลื่อนเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย ให้ใช้จ่ายเงินเพิ่ม 2หมวดหลัก ได้แก่ 1.อาหาร 2.แฟชั่นผ้าไทยทุกชนิด ของใช้ ของที่ระลึก เครื่องประดับ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน ซึ่งพร้อมจะรุกขยายฐานเจาะขายในกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาไทยปีละกว่า 40 ล้านคน และกลุ่มตลาดในประเทศ คนไทยเดินทางเที่ยวไทยปีละเกิน 166 ล้านคน-ครั้ง

นอกจากจะบริโภคและจับจ่ายในระหว่างเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยแล้ว นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังสามารถซื้อกลับบ้านได้ ถือเป็นหนึ่งในช่องทางการส่งออกแนวใหม่ โดยไม่ต้องลงทุนยกทีมไปทำตลาดในต่างประเทศให้ยุ่งยาก แถมยังสามารถสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ที่ได้มีโอกาสร่วมประสบการณ์กับชุมชน โดยการเข้าไปชมหรือร่วมลงมือผลิตสินค้าชนิดต่าง ๆ ได้ด้วย ทั้ง สะดวก สนุก และสร้างความประทับใจให้เกิดภาพจำที่ดี ๆ เชิงบวกกับชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย

 ขณะเดียวกันทางกระทรวงพาณิชย์ จะปลุกกระแสเชิญชวนเครือข่ายร้านอาหารไทยในต่างแดนเข้ามาร่วมทำหน้าที่เป็นโชว์รูมความเป็นไทยที่น่าเดินทางมาสัมผัสอย่างยิ่งกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่สนใจจะมาเที่ยวเมืองไทย

 ฟังข่าวที่ 3 “ททท.ชูแอดLineเชียงรายแต้แต้ลุ้นรับสิทธิ์เพียบถึงก.ย.62” 


นายบุญส่ง คุ้มบุญ ผู้อำนวยการกองตลาดภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในเชียงรายต่อยอดจัดโครงการ “เชียงราย แต้ แต้” ทำกิจกรรมส่งเสริมการเชิงคุณภาพและสร้างภาพลักษณ์ให้เชียงราย ชวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมประสบการณ์ สุขทุกวัย สนุกทุกไลฟ์สไตล์ ความโดดเด่นของโครงการนี้คือได้เชิญ บอย-ตรัย ภูมิรัตน์ ศิลปินชื่อดังมาแต่งเพลง พร้อมนำครอบครัวร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านคลิปที่พร้อมโปรโมตร่วมกับ 5 Blogger ดัง อาทิ PunproHopper และ Sneakout ในบรรยากาศการเลี้ยงลูกระหว่างเดินทางแอ่วตึงบ้านสะท้านเจียงฮาย 3 สไตล์ R A I วางกลยุทธ์กระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวเข้าร่วมโครงการด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษ เพียงแค่แอดไลน์ @tatchiangrai และกดไลก์เฟสบุ๊ค tatchiangrai ก็รับไปเลยสิทธิประโยชน์เพียง ตั้งแต่วันนี้-กันยายน 2562

 สำหรับโครงการ “เชียงราย แต้ แต้” ททท.มุ่งการประชาสัมพันธ์ตอกย้ำจุดเด่นของเชียงรายที่มีครบทั้ง 3 ด้าน ตามแนวคิด Chiang R A I ประกอบด้วย R : Relax, A : Art, I : Inspiration เพิ่มความชัดเจนให้นักท่องเที่ยวจดจำได้ง่าย เป็นเส้นทาง Multi-Gen Destination สนับสนุนการให้บริการแบบเป็นมิตรต่อการเข้าพัก หรือเดินทางแบบครอบครัวหลายวัย เช่น ในที่พักได้จัดพื้นที่นั่งเล่นเด็ก ๆ ในร้านอาหารมีเก้าอี้เด็ก รถเช่ามีบริการ Car Seat ห้องน้ำมีแบบชักโครก ทางลาด ลิฟต์ รถเข็นให้ผู้สูงอายุ ขณะที่อาหารถิ่นก็มีให้เลือกหลายประเภท เช่น อาหารอ่อนรสไม่จัด หรือเมนูที่เด็ก ๆ กินได้ง่าย

 ข่าวที่ 4 “บางจากเปิดปั๊มทำแคมเปญเติมปั๊บดับร้อนกับซิตี้ถึง15พ.ค.นี้”



 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ได้ผนึกความร่วมมือกับทางบัตรเครดิต ซิตี้แบงก์ จัดแคมเปญ “เติมปั๊บดับร้อน กับบัตรเครดิตซิตี้” ระหว่างวันนี้ - 15 พ.ค. 62 หรือจนกว่าของจะหมด โดยมอบสิทธิพิเศษให้เฉพาะสมาชิกบัตรเครดิตซิตี้ เมื่อเติมน้ำมันบางจากครบ 800 บาท / เซลล์สลิป แล้วชำระด้วยบัตรเครดิตซิตี้ ทุกประเภท จะได้รับ “Festa C Daily Fiber กลิ่นส้ม หรือ กลิ่นสตรอเบอร์รี่ ขนาด 100 มล. จำนวน 1 ขวด” (จำกัด 1 ขวด/บัตร/วัน)

โดยเลือกเติมตามสถานีบริการน้ำมันบางจากที่เข้าร่วมรายการทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ทางธนาคารซิตี้แบงก์: ระบุเงื่อนไข 1. จำกัด 1 ขวด/บัตร/วัน หรือ จนกว่าของจะหมด 2. สำหรับการเติมน้ำมันที่ปั๊มบางจากในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ร่วมรายการ 3. ผู้ซื้อกรอกถังไม่สามารถร่วมรายการนี้ได้ 4. โปรโมชั่นนี้ไม่สามารถใช้ร่วมรายการส่งเสริมการขายอื่นได้

ข่าวที่ 5 “มูลนิธิปิดทองฯพาสำรวจชุมชนเข้มแข็งสืบสานแนวพระราชดำริจ.เลย 



มูลนิธิปิดทองหลังพระ รายงานว่า ระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2562 เตรียมนำสื่อมวลชนและคณะลงสำรวจดูงานโครงการ “ชุมชนเข้มแข็ง สืบสานแนวพระราชดำริ” ที่จังหวัดเลย 2 แห่ง แห่งแรก ชุมชนบ้านผาหวาย ต.ปวนพู อ.หนองหิน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูป่าเปาะ ที่มีนายบุญลือ พรมหาลา ผู้ใหญ่บ้าน กับ ดร.สัญชัย เกียรติทรงชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาราชภัฎเลย จะพาไปชมความเข้มแข็งของชาวบ้าน โดยจะให้ดูสาธิตการทำงานของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ของชมรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูป่าเปาะ (องค์กรสวัสดิการชุมชน) ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มของชาวชุมชนบ้านผาหวาย ที่รวมตัวกันจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้ฐานทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า และลดความขัดแย้งกับหน่วยงานภาครัฐ เปลี่ยนสถานะมาสู่ผู้ดูแลรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน ช่วยกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และต่อยอดสู่การพัฒนาด้านอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชุมชน ให้สามารถลืมตาอ้าปาก จากที่เคยมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ จปฐ.ในอดีต



 แห่งที่ 2 ไปยังอำเภอเอราวัณ ติดตาม ดร. นายแพทย์สมยศ ดีรัศมี ประธานมูลนิธิกาญจนบารมี เยี่ยมชมการดำเนินงานในพื้นที่ เกี่ยวกับการทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ (Mammogram) ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านการสาธารณสุข ที่แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระราชทานพระราชดำริให้ก่อตั้ง “โครงการกาญจนบารมี” ขึ้น ด้วยทรงห่วงใยและคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรไทยในด้านสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากจากการเจ็บป่วย ยากไร้และขาดโอกาส คือ และทรงเป็นประธาน จัดสร้างศูนย์บำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อลดความทุกข์ยากลำบากในการเดินทางมารับการรักษา

ต่อมา ยกสถานะขึ้นเป็นโรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี ให้บริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งทุกประเภทปีละมากกว่า 2,000 ราย รวมทั้งให้ความรู้ในการป้องกัน การดูแลรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายให้มีความสุข ถือเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งที่ครบวงจรและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ

 ปี 2540 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “มูลนิธิกาญจนบารมี” ขึ้น เป็นกองทุนสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาล และดูแลผู้ป่วยที่ยากไร้ขาดโอกาสให้ได้รับการดูแล ด้วยโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาสขึ้น เพื่อค้นหาผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล มีฐานะยากจนและขาดโอกาส ให้ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็ง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

พร้อมกับรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ผู้หญิงไทยป่วยและเสียชีวิตในอัตราสูง ปัจจุบันการดำเนินงานโครงการเข้าสู่ระยะที่ 5 มีการออกหน่วยคัดกรองมะเร็งเคลื่อนที่ ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ รวมแล้ว 763 ครั้ง (ณ สิ้นสุดวันที่ 30 มีนาคม 2562) มีการตรวจคัดกรองมะเร็งให้กับผู้หญิงกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ห่างไกลไปแล้วมากกว่า 200,000 คน พบผู้ป่วยมากกว่า 1,500ราย ที่ถูกส่งต่อไปรับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเหมาะสม


 ช่วงที่ 2 ได้เวลาเที่ยวเมืองรองใน “ชัยนาท” ไปชมวัดดัง “ทรงเสวย” ตลาดดีๆ ในอำเภอสรรพยา ที่ ศูนย์หัตถกรรมจักสานผักตบชวาบ้าน ตลาดน้ำพระยาแลนด์ ครบวงจร แหล่งพักผ่อนมุมเก๋ ๆ ริมเจ้าพระยา จากนั้นมาดูว่า “ควรเลือกกินอาหารป้องกันไตพัง” ไว้ก่อนจะดีกว่า และ ข่าวฮ็อต ๆ ต้องยกให้ “การบินไทยจ่อเท 1.5 แสนล้านบาท” ซื้อฝูงบินภายในปี 62 รวม 38 ลำ และประกาศกับผู้ถือหุ้นว่ากำลังแบกหนี้อ่วมปี’61 ไว้กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท “นกแอร์ฮึดกู้3,000 ล้านบาท” หวังฟื้นฟูธุรกิจขาลง “ไทยแอร์เอเชีย” อัดโปรเปิดจุดบินใหม่ กรุงเทพฯ-สีหนุวิลล์ เหลือแค่ 990 บาท เริ่มบิน 1 ก.ค.2562 “โดม-ปกรณ์ ลัม” ชวนนักวิ่งกินเที่ยวลงสนามครั้งแรก “KILORUN BANGKOK 2019” 26 พ.ค.นี้ ผ่าใจกลางเยาวราช 

 @เที่ยวชัยนาทไปชมวัดดัง-ตลาดดี-หัตถกรรมแจ๋ว 



 เริ่มเข้าสู่หน้าฝนลองมองหาสถานที่เที่ยวเมืองรอง ใกล้ ๆ อย่าง “ชัยนาท” ดูว่ามีอะไรเด็ดดีดังมาชวนออกไปพักผ่อนหย่อนใจได้บ้าง ในอำเภอวัดสิงห์ มีวัดดังแนะนำไปสักครั้งในชีวิต “วัดทรงเสวย” หรือชาวบ้านมักจะเรียกว่า “วัดหนองแค”

 ตามประวัติวัดนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จพระราชดำเนินตรวจสอบตามลำน้ำมะขามเฒ่า ซึ่งตอนนั้นคลองเต็มไปด้วยผักตบชวาชาวบ้านจึงได้ช่วยกันเก็บกวาดจนเกลี้ยง ระหว่างนั้นพระองค์ทรงได้ประทับแรมบริเวณบ้านหนองแคแห่งนี้แล้วทรงเสวยพระยาหารที่ชาวบ้านนำมาถวาย จึงทรงตรัสให้เรียกวัดเสวย เป็นต้นมาตั้งแต่ปี 2451 จนถึงปัจจุบัน 



ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งมีการจัดทำพื้นที่บริเวณ “สถานที่เสด็จประพาสต้นและประทับแรม” เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชม ถึงความร่มรื่น ร่มเย็น

 ส่วนที่อำเภอสรรพยา มีแหล่งท่องเที่ยวเก๋ ๆ แนะนำให้เที่ยว 2 แห่ง คือ แห่งแรก ชุมชน “หัตถรรกมจักสานผักตบชวาบ้านอ้อย” ซึ่งได้รับรางวัล OTOP 5 ดาว การันตีให้ไปอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณภาพเลิศ ส่งออกขายยังต่างประเทศด้วย มีทั้ง กระเป๋า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่าง ๆ ให้ซื้ออย่างเต็มที่ รวมทั้งยังเปิดเป็นสถานที่ศึกษาดูงานด้านการผลิตด้วย

เปิดทุกวัน โทร.สอบถามได้ที่ 056 499 496, 089 536 3839 



แห่งที่ 2 “ตลาดน้ำพระยาแลนด์” อยู่บริเวณริมเขื่อนเจ้าพระยา เป็นแหล่งจำหน่ายปลาแม่น้ำขนาดใหญ่สุดในชัยนาท มีทั้งปลาสด ปลาแห้งขึ้นชื่อ เช่น อย่าง ปลาเกลือ ปลาเค็ม ปลาเจ่า ปลาสับ ปลาร้า ปลาย่าง ปลาแดดเดียว แล้วยังได้ออกแบบที่ดินขนาด 7.5 ไร่ให้เป็นศูนย์บริการสินค้ามากมายแบบครบวงจร มีให้เลือกกว่า 92 ร้าน แบ่งเป็น โซนอาหาร ของฝากของที่ระลึก และโซนแฟชั่นเสื้อผ้า

 เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้า – 3 ทุ่ม แวะไปสัมผัสบรรยากาศได้ โทร.036 770 096-7

 @มาทำความรู้จักและดูแลรักษาไตกันไว้ดีกว่า

 ไตทำหน้าที่ในการกรองของเสียออกทางปัสสาวะ สร้างฮอร์โมนสำคัญต่อการสร้างกระดูก สร้างเม็ดเลือดแดงและควบคุมความดันโลหิต ถ้าอยากให้ไตสุขภาพดีต้องเลือกกิน อาหารที่ไม่ทำให้ไตทำงานหนัก โดยมีหลักการ คือ

1. การกินเนื้อสัตว์ โดยกะปริมาณ 1 ฝ่ามือต่อวัน ส่วนคนที่เริ่มมีผลเลือดบอกค่าการทำงานทองไตผิดปกติ ต้องควบคุมโปรตีน ให้เหลือ 0.6 0.8 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

2. งดสารปรุงแต่ง สีสังเคราะห์ สารแต่งกลิ่นเพราะสิ่งเหล่านี้ จะทำให้ไตทำงานหนักโดยไม่จำเป็น

 3. งดผงชูรสและอย่าติดเค็ม จำกัดปริมาณโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม ต่อวัน ผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต เป็นโซเดียมที่ไม่เค็ม กินไปปริมาณเท่าไหร่ก็จะไม่รู้ทำให้ไตทำงานหนัก เมื่อไตเริ่มทำงานผิดปกติ ให้คุมโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในอาหารไม่ให้เยอะเกินไป โพแทสเซียม มีมากในผักใบเขียวจัด เช่น ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี มันฝรั่ง มันเทศ มะขามหวาน ส่วนฟอสฟอรัส มีมากในกาแฟและน้ำอัดลมจึงควรระวัง 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มที่ www.nephrothai.org สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ฯ

 ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

 ข่าวแรก “บินไทยจ่อซื้อฝูงบิน1.5แสนล้านเพิ่มจุดบินอ่วมหนี้หมื่นล้าน”



 นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าได้เสนอแผนจัดหาฝูงบินใหม่ 38 ลำ วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท รอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติภายในเดือนเมษายน 2562 เบื้องต้นมี 3 รูปแบบ คือ 1.ซื้อ 2.เช่าซื้อ 3.ซื้อมาขายไปและเช่ากลับอีกครั้ง อนุมัติก็จะใช้เวลาพิจารณาสั่งซื้อและรับมอบเครื่องลำแรกในอีก 6 เดือนหน้า ล็อตแรกจะสั่งภายใน 2 ปี จำนวน 25 ลำ โดยได้วางแผนรับมือกับการเพิ่มเที่ยวความถี่และเส้นทางบินใหม่ช่วงตารางบินฤดูหนาว ตั้งแต่ 28 ตุลาคม 2562-29 มีนาคม 2563 เตรียมเช่าซื้อ Boeing 777-300ER 3 ลำ มาไว้ใช้ในช่วงรอฝูงบินใหม่ 2 ปีหน้า

 ขณะนี้เตรียมเปิดจุดบินใหม่ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เซนได เริ่ม พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 3 เที่ยว/สัปดาห์ กับยุโรป 2 เส้นทาง ไป-กลับ กรุงเทพฯ สู่เมือง มาดริด (สเปน) และแมนเชสเตอร์ (อังกฤษ) ขณะเดียวกันการบินไทยรายงานแผนเช่าฝูงบินบางส่วนไปบินเพิ่มความถี่ ไป-กลับ แบบประจำ จาก กรุงเทพฯ สู่เวียนนา(ออสเตรีย) กับ บรัสเซลส์ (เบลเยี่ยม) แต่ละจุดจะเพิ่มความถี่เป็น 7 จากเดิม 5 เที่ยว/สัปดาห์ ซูริค(สวิตเซอร์แลนด์ จะเปลี่ยนแบบเครื่องบินขนาดใหญ่ขึ้นรองรับต้องการผู้โดยสารเติบโตมาก และกรุงโซล (เกาหลีใต้) จะเพิ่มความถี่จะเพิ่มเป็น 7 จากเดิม 4 เที่ยว/สัปดาห์

ทั้งนี้ในการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2562 ประกาศผลการขาดทุนสุทธิ 11,569 ล้านบาท มีรายได้จากผลการดำเนินงาน 199,500 บาท เพิ่มขึ้น 3.9 % แต่ค่าใช้จ่ายรวมกับทะยานสูงถึง 208,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,468 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่ม 10.3 %

ข่าวที่สอง “นกแอร์ลุยกู้เงินสำรอง3พันล้านกู้วิกฤตขาดทุนอื้อ” 



นายประเวช องอาจสิทธิกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2562 มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการรับความช่วยเหลือทางการเงินกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ภายใต้วงเงินกู้ยืม3,000 ล้านบาท ตามวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อนำมาใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำรองการดำเนินงานทั่วไป ระหว่างการเดินหน้าจัดทำแผนฟื้นฟูธุรกิจ การกู้ยืมครั้งนี้นกแอร์โดยจะต้องเงื่อนไขการผ่อนปรนกว่าสถาบันการเงิน เป็นการลดภาระของผู้ถือหุ้น เพราะไม่ต้องทำการเพิ่มทุนอีกและถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของแหล่งเงินทุน

ส่วนการวางแผนบริหารจัดการธุรกิจนับจากนี้เป็นต้นไป นกแอร์จะต้องเลือกปฏิบัติการในเส้นทางบินให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำกำไรในแต่ละเส้นทางบิน รวมถึงการบริหารจัดการเครื่องบิน (Aircraft Utilization) เส้นทางบินระหว่างประเทศซึ่งเป็นตัวทำกำไรจากการขายตั๋วโดยสารให้ได้ดีกว่าตลาดภายในประเทศ

 ข่าวที่สาม“ปลุกเทรนด์วิ่ง“KILORUN BANGKOK 2019”



นำร่องเยาวราช26พ.ค.นี้” “โดม-ปกรณ์ ลัม” ชวนร่วมสนุกงานวิ่ง กิน เที่ยว “กิโลรัน กรุงเทพ 2019” (KILORUN BANGKOK 2019) ครั้งแรกบนเส้นทาง 2 วัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายจีน ผ่านถนนสายมังกร ย่านเยาวราช หรือ ไชน่า ทาวน์ ชื่อที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จัก สู่แลนด์มาร์ครอบเกาะรัตนโกสินทร์ ร่วมสัมผัสเสน่ห์ย่านเมืองเก่า แหล่งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไทย (The Iconic City) วันที่ 26 พฤษภาคมนี้ จากนั้นจะขยายความสนุกการวิ่งกิโลรันต่อที่ เชียงราย



โดยจะ เปิดให้จองซื้อบัตรเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่ 26 เมษายน 2562 งาน KILORUN BANGKOK 2019 เหมาะกับกลุ่มสายวิ่งยามเช้า KILORUN-KM (กิโลเมตร) มี 2 ระยะทาง ได้แก่ 1.L-RUN 10 กิโลเมตร และ 2.M-RUN 5.5 กิโลเมตร จะให้วิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสถานที่สำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของประเทศไทย (The Iconic City) อาทิ ถนนสายมังกร ย่านเยาวราช หรือ ไชน่า ทาวน์, วัดสุทัศนเทพวราราม, เสาชิงช้า, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, โลหะปราสาท, พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ และ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ฯ

 ชมเสน่ห์ย่านเมืองเก่าแลนด์มาร์ครอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตามด้วยสายกินยามค่ำ KILORUN-KG (กิโลกรัม) อิ่มอร่อยฟินเว่อร์กับอาหารจานเด็ดย่าน “เยาวราช” ตลอดระยะทาง 3 กิโลเมตร อาทิ บะหมี่เกี้ยวกุ้งหมูแดง(โอเดี้ยน), ชานมเย็นและซาลาเปาลาวาไข่เค็ม (หลงโถวคาเฟ่), ขนมปังเจ้าอร่อยเยาวราช, ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กรอบ (ครัวพรละมัย) และ ลอดช่องสิงคโปร์(ลอดช่องสิงคโปร์ เจ้าแรก แยกหมอมี)ฯ ที่สุดของสวรรค์ของนักชิมทั่วโลกและการันตี โดย Kilorun’s Choice ว่าหอเจี๊ยะทุกเมนู! จากร้านดังในตำนานทั้งร้านเก่าและร้านใหม่ที่เป็น SIGNATURE ต้นตำรับแท้ของเยาวราช

 ข่าวที่สี่ “ไทยแอร์อัดโปรเปิดบินสีหนุวิลล์ไม่ถึงพันบาทเริ่ม1ก.ค.62” 



 นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ปี 2562 พร้อมเปิดเส้นทางบินตรง ไป-กลับ “กรุงเทพ-สีหนุวิลล์” 4 เที่ยว/สัปดาห์ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป พร้อมจัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม 990 บาท/เที่ยว เส้นทางบินนี้ตั้งเป้าเจาะกลุ่มเจาะผู้โดยสารต่างชาติเดินทางเชื่อมต่อจากไทย ไปเมืองตากอากาศ ของกัมพูชา อีกทั้งสีหนุวิลล์ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่จะดึงดูดชาวไทยเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวได้ด้วยเช่น ในราคาที่ประหยัด

 ซึ่งแอร์เอเชียมองหาโอกาสการลงทุนเปิดจุดบินใหม่ ๆ อยู่ตลอดในอินเดีย และกลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม สำหรับ ไทยแอร์เอเชีย มีบริการบินตรงระหว่างไทย-กัมพูชา 3 จุด จากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ไปยังพนมเปญ เสียมราฐ และสีหนุวิลล์ และจากภูเก็ต ไปยัง เสียมราฐ และพนมเปญ

 ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

TCEBนำร่องทำบิ๊กอัลลไลแอนซ์กับFCAพลิกตลาดไมซ์ไทยนำอาเซียน-คิงเพาเวอน์ประกาศพร้อมลุยชิงสัมปทานดิวตี้ฟรีปี62

TCEBงัดบิ๊กอัลไลแอนซ์FCA2ปีพลิกไมซ์ไทยนำอาเซียน 
ตลาดMIทะลักไทยขนเงินจัดงานบูมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 
จับตา!ศึกประมูลดิวตี้ฟรี”คิงเพาเวอร์”ปักหลักพร้อมลุย 
ททท.รุกมาเลย์ตั้งเป้าปี63จ่อโกย5ล้านคน1.3แสนล้าน 
BCPGเครือบางจากลุยเปิดลมลิกอร์รับรู้รายได้เพิ่มปี62 
ทัวร์เมืองรองสระบุรี”เสาไห้-มวกเหล็ก”ตลุยกินของอร่อย 
เคล็ดไม่ลับกับการเลือกกิน5อย่างสร้างสุขภาพแจ๋วจริง 
เอกชนท่องเที่ยวชิงโร้ดโชว์จีนตุนรายได้ไม่รอรัฐแจกเงิน 
การบินไทยชวนแชร์โซเชียลทุกไฟลต์ลุ้นรับตั๋ว60เส้นทาง 
ททท.งัดโปรเจ็กต์Hackaดึงเด็กปั้นดิจิตอลเที่ยวยุคใหม่  

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #วันธรรมดาน่าเที่ยว ช่วงที่ 1 ฟังข่าวดีจากวงการไมซ์ภายใต้การนำของ “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” สร้างเซอร์ไพรส์รุกทำอัลไลแอนซ์ครั้งแรกกับกลุ่ม FCA หอการค้าอินเตอร์ 4 ประเทศ เยอรมัน ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา ชิมลาง 2 ปีแรก พลิกโฉมตลาดครั้งใหญ่ดึงคอปอร์เรตทั่วโลกแห่นำมางานมาจัดในไทย หลังรัฐบาลไทยหนุนเต็มเหนี่ยวปลดล็อกทีมไมซ์ต่างชาติไม่ต้องทำ Work Permit อีกต่อไป และในช่วงครึ่งปีหลังไทยรับเป็นเจ้าภาพ Meeting-Incentive อื้อซ่า แถมในประเทศยังขยายวงพันธมิตรเข้าไปจับมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เจ้าของเครือข่ายชุมชนสร้างสรรค์ CIV กว่า 200 แห่ง พร้อม ๆ การขยายแนวรุกร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ต่อใน 5 ภาค 


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ได้เปิดกลยุทธ์ใหม่ในการลงนามความร่วมมือ (MOU) ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์กับพันธมิตรหอการค้าต่างประเทศกลุ่ม Foreign Chamber Alliance : FCA ที่มีสำนักงานอยู่ในไทยรวมตัวกันด้วยความเหนียวแน่น 4 ประเทศ ได้แก่ เยอรมันออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา โดยเป็นเวลา 2 ปี ตกลงที่จะผนึกกันสร้างความสำเร็จ 3 เรื่อง คือ 1.WIN 2.PROMOTE 3.DEVELOP จุดเริ่มต้นที่กลุ่ม FCA รู้จัก TCEB เพราะการเปิดบริการโครงการ MICE LANE อำนวยความสะดวกให้กลุ่มสมาชิกของ FCA ผู้เข้ามาจัดการประชุมเข้าออกช่องทางพิเศษตามสนามบินนานาชาติในและการจัดคอนเว็นชั่นในไทย เมื่อเอ็มโอยูอัลไลแอนซ์ร่วมกันแล้วอย่างชัดเจนก็มีแผนทำการตลาดไปในทิศทางเดียวกัน ตามปกติสมาชิกของกลุ่มนี้จะจัดการประชุมและอินเซ็นทีฟเป็นประจำ และยังมีตลาดคอร์ปอเรตเป็นแม่เหล็กดึงงานมาจัดการประชุมในภูมิภาคอาเซียน

 ดังนั้น TCEB จะต้องหาช่องทางเพื่อให้กลุ่ม FCA ดึงกลุ่มเครือข่ายคอร์ปอเรตเข้ามาเพราะหอการค้าแต่ละประเทศจะมีสมาชิกบริษัทองค์กรระดับอินเตอร์ 500-600 บริษัท มีทั้งกลุ่มโรงแรม จะพุ่งเป้าเรื่องมาตรฐานสถานที่จัดงาน ซึ่งตามขั้นตอนการทำงานนับจากนี้เป็นต้นไป งานแรกจะต้องประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางให้สอดคล้องกับ 3 เรื่อง รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นกระบอกเสียงให้ชาวต่างประเทศในไทยที่ TCEB สามารถช่วยปรับปรุงได้ เพื่อดึงกลุ่มงานไมซ์เข้ามาไทยเพิ่มขึ้น เช่น มีบางกลุ่มการจัดงานต้องเลือกไปประเทศอาจจะเป็นเพราะกำแพงภาษีของไทยยังไม่ได้ปลดล็อก ขณะนี้กลุ่ม FCA ตื่นเต้นมากกับเรื่องที่รัฐบาลไทยปลดล็อกยกเว้นการจัดทำ Work Permit ให้แก่ผู้ที่เดินทางเข้ามาเพื่อปฏิบัติภารกิจด้านไมซ์ในประเทศไทย เป็นหนึ่งในเรื่องที่ TCEB ฟังแล้วเป็นกระบอกเสียงทำให้เรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ 



สำหรับความมือตลอด 2 ปีแรกนั้น จะเป็นโอกาสที่ดีของอุตสาหกรรมไมซ์ ถึงแม้ตลาดระยะไกล Longhaul จะยังไม่ได้ติดอันดับต้น ๆ เหมือนกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่นที่ครองอันดับ 1-2-3 แต่อเมริกา กับออสเตรเลีย ก็ติด 1 ใน 10 ผนวกกับตลาดเอ็กซิบิชั่นของเยอรมันสามารถสนับสนุนไทยได้ดีมากเพราะมี MESSE เป็นองค์กรใหญ่สุด โดยไทยได้หลายงานมาจัดในประเทศ เช่น งานอาหาร งานพลังงาน งาน VIV ASIA 2019 จัดไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2562 ส่วนอังกฤษทาง TCEB เตรียมจัดทำโร้ดโชว์เข้าไปยังลอนดอนเพื่อนำตลาดคอร์ปอเรตเข้ามายังไทย

ช่วงสัปดาห์แรกเดือนพฤษภาคม นี้ โดยจะมีตัวแทนการตลาดทำหน้าที่เชิญกลุ่มคอร์ปอเรตและเอเย่นซี่ DMC-Destination Management Companies ผู้รับผิดชอบการนำคอร์ปอเรชั่นจัดงานประชุม จะมีจำนวนบริษัทจะเข้าร่วม 20 ราย จากนั้นก็จะมีงาน IMEX 2019 ที่สหรัฐอเมริกา กลางปีนี้ และ BTM 2019 บาร์เซโลน่า ช่วงครึ่งปีหลังก็จะมีงานต่างประเทศเข้ามาจัดในไทย ก็มีงาน เอ็กซิบิชั่น ได้แก่ PROPAX ASIA งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมด้านการผลิต แปรรูปบรรจุภัณฑ์ 15 มิถุนายน นี้ โดยจะขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น



รวมทั้งได้ชิงงาน SITE การประชุมของสมาคม DMC ระดับโลกมาจัดในไทย และงาน 86th UFI GLOBAL Congress 2019 ระหว่าง 6-9 พฤศจิกายน 2562 กำลังเลือกสถานที่ เป็นงานเกี่ยวกับผู้นำกลุ่มผู้จัดงานแสดงสินค้าทั่วโลกกลุ่มหลัก ๆ จะมารวมตัวกันอยู่ในช่วงปลายปีนี้ที่เมืองไทย ถือได้ว่าปีนี้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพงานใหญ่ระดับโลกทั้ง Meeting และ Incentive ส่วนอินเซ็นทีฟใหญ่อีกรายการคือการประชุม ITA 2019 ของสมาชิกประกันจีนที่มีมาจากทั่วโลกกว่า 15 ประเทศ จะจัดช่วงเดือน 10-13 สิงหาคม 2562 นับเป็นคอนเว็นชั่นใหญ่เพราะอินเซ็นทีฟจีนตามปกติจะเป็นขายตรงที่นิยมพักโรงแรมระดับ 3-4 ดาว แต่รายการนี้เลือกพักโรงแรมระดับ 5 ดาว แล้วยังพ่วงการจัดประชุมย่อย รวมถึงมีโปรแกรมเดินทางไปเชียงใหม่ด้วย

ส่วนทางออสเตรเลียกำลังนำงาน Royal Australian of Collage of Surgion 2019 ระหว่าง 6-10 พฤษภาคม 2562 เป็นงานประชุมเกี่ยวกับเรื่องของวงการแพทย์จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จำนวนรวมกว่า 1,500 คน ผอ.จิรุตถ์กล่าวว่า นอกจากการเร่งทำตลาดไมซ์ในต่างประเทศทั่วโลกครอบคลุมทุกรูปแบบแล้ว ในการเดินหน้าตลาดไมซ์ในประเทศก็จะทำต่อเนื่องจากปี 2561 หลังจากนำร่องผนึกความร่วมมือกับทางกรมส่งเสริมสหกรณ์ เริ่มต้น 35 สหกรณ์ จากการติดตามผลมีผู้เข้าไปใช้บริการมากกว่า 100 กลุ่ม เฉพาะราชบุรีแห่งเดียวมีมากกว่า 30 กลุ่ม



ล่าสุดได้ประชุมร่วมกับอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ตั้งเป้าปี 2562 จะขยายให้ได้ 200 สหกรณ์ แต่ทาง TCEB ต้องการตรวจสถานที่ที่มีมาตรฐานเพราะต้องการเน้นคุณภาพ จึงตั้งเป้าริเริ่มเลือกโมเดลต้นแบบ 5 แห่ง ภาคเหนือ จะต้องเป็นสถานที่ที่สามารถจัดประชุม ไปพร้อมกับจัดการแสดง กิจกรรม เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะตามปกติพฤติกรรมของกลุ่มที่เข้าไปยังสหกรณ์จะเพียงแค่เยี่ยมชมดูงาน รับประทานอาหารกลางวัน และซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน แต่ทางเราต้องการเพิ่มรายได้จากกลุ่มนี้ขยายจัดกิจกรรม และเพิ่มมูลค่ารายได้ให้แก่ชุมชน ซึ่งเป็นหนึ่งในการจัดทำ AREA BASE อีกรูปแบบ และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการกระจายรายได้สู่ชุมชน

ขณะนี้ยังได้เข้าไปเจรจากับทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งมีโครงการพัฒนาชุมชนสร้างสรรค์ Creative Innovation Village : CIV ทาง TCEB จะเข้าไปร่วมทำกับเครือข่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับแผนงานการจัดทำโครงการคืนประโยชน์จากอุตสาหกรรมไมซ์สู่สังคม หรือ CSR นั้น TCEB มีฝ่ายรับผิดชอบการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์อย่างยั่งยืนอยู่แล้ว เมื่อปี 2561 เริ่มทำทางด้านลดความสูญเสียเรื่องอาหารในโรงแรม (food waste) ปี 2562 มีคอร์ส TSEM ระดับความเข้มข้นยังไม่ถึงกับเป็นเกณฑ์มาตรฐานแต่เป็นโค้ชทางด้านความยั่งยืนเพื่อสนับสนุนโรงแรมให้มีมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะเริ่มจาก 30 โรงแรม เลือกจากกลุ่มโรงแรมที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ TCEB มาแล้ว เช่น การใช้น้ำ ขวดแก้ว บริการในโรงแรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งตอนนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการเต็มแล้ว ตอนนี้ต้องพิจารณา 


ผอ.จิรุตถ์ย้ำว่า TCEB จะรักษาอันดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นำไมซ์อาเซียน และถึงแม้ศูนย์การประชุมแห่งชาติ (NCC) จะปิดเพื่อขยายการลงทุนใหม่ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า พร้อมเปิดบริการในอีก 2 ปีครึ่ง หรือประมาณปลายปี 2565 ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีในวงการไมซ์ไทย แต่ขณะนี้ก็มีสถานที่ใหม่ ๆ อย่าง รอยัล พารากอน ฮอลล์ เซ็นทารา แอท เซ็นทรัล เวิลด์ หรือไบเทค แล้วก็ยังมีสถานที่ประชุมมาตรฐานสากลในต่างจังหวัด เช่น Peace พัทยา NICE สวนนงนุช สงขลา และ KICE ขอนแก่น ซึ่งจะพยายามกระตุ้นทุกคอนเว็นชั่นผลักดันให้เกิดการกระจายนำงานระดับนานาชาติไปจัดตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศให้ได้มากที่สุดทุกปี

 ฟังข่าวต้นชั่วโมง 

 ข่าวที่ 1 “จับตาศึกชิงสัมปทานดิวตี้ฟรีคิงเพาเวอร์ย้ำจุดยืนพร้อมแข่ง” 



 สนามแข่งขันชิงงานประมูลที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดให้ภาคธุรกิจเอกชนที่สนใจมาซื้อซองเอกสารข้อกำหนดขอบเขตและรายละเอียดการประกวดราคา (Term Of Reference :TOR) “เข้าร่วมบริหารพื้นที่ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ซึ่งกำหนดการคัดเลือกหาผู้ชนะหรือทำคะแนนสูงสุดให้ได้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 เพื่อเข้าทำสัญญา 2 โครงการ กำลังอยู่ในกระแสความสนใจของหลายฝ่าย ประกอบด้วย

โครงการแรก การบริหารพื้นที่จำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Airport duty free) ขนาด 12,021 ตารางเมตร และโครงการที่ 2 การบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ (commercial Area) เป้าหมายการประมูลบริหารพื้นที่ร้านค้าดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิรอบนี้ ทอท.ได้กำหนดเกณฑ์การตัดสินโดยขีดเส้นใต้ชัดเจนว่าจะใช้กติกาอย่างเป็นรูปธรรมคือเลือก “ผู้ชนะเพียงรายเดียว” (Master Concessions) ซึ่งจะต้องเป็นผู้เสนอ “ผลประโยชน์ตอบแทนรัฐสูงสุด” ต่อเนื่องตลอดสัญญา 10 ปี ระหว่าง 28 กันยายน 2563-31 มีนาคม 2574 และต้องโชว์ศักยภาพความพร้อมจะพัฒนาธุรกิจอย่างมืออาชีพ ด้วยกลยุทธ์ “การนำเสนอแผนบริหารจัดการขายสินค้ากับแผนการตลาด” ซึ่งสามารถลงมือทำได้จริงโดยไม่สะดุดกลางคัน

ประการสำคัญอีกอย่างคือ ”จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังความแข็งแกร่ง” สูงพอจะขับเคลื่อนนำพาภาพลักษณ์ในอนาคตของประเทศไทยให้ก้าวไปยืนเทียบชั้นดิวตี้ฟรีในเวทีโลกได้อย่าง “สง่างาม”

 ระหว่างรอการเปิดขายซองประกวดราคาตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 เรื่อยมาจนถึงขณะนี้ถึงแม้จะปิดขายซองราคาไปแล้ว ก็ยังมี “ความเห็นต่าง” สู่สาธารณะโดยการนำประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง

ทว่าในทางกลับกันกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยมีปรากฎการณ์ที่ประเทศอื่น ๆ จะเปิดทางให้นักลงทุนไทยเข้าไปยึดพื้นที่สัมปทานดิวตี้ฟรีสนามบินนานาชาติของประเทศนั้น ๆ ได้ วันนี้คงมีแต่ประเทศไทยที่เปิดกว้างให้ดึงกลุ่มทุนประเทศอื่นเข้ามาแบ่งเค้กจากสนามบินไทยกันอย่างคึกคัก ในช่วง ”ยุคทองอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ของประเทศกำลังเบ่งบานมีปริมาณผู้โดยสารผ่านเข้าออกสนามบินสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ทั้งต่างชาติมาท่องเที่ยวไทย (inbound) และคนไทยเดินทางไปต่างประเทศ (outbound) ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดลูกค้าหลักของร้านค้าดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ

 คำถามแรก คือ ชัยชนะจากการประมูลครั้งนี้จะเป็นตัวชี้อนาคตประเทศไทยอีกมุมเกี่ยวกับเรื่อง “รายได้หมุนเวียน” วันข้างหน้าควรจะอยู่ในมือ “คนไทยด้วยกัน” หรือ “ควรแบ่งปันความมั่งคั่ง” ให้กับนานาประเทศ ?

 คำถามที่สอง คือ ทุกวันนี้คนไทยมีขีดความสามารถด้านการพัฒนาธุรกิจร้านค้าปลอดอากร วิกฤตถึงขั้นสู้นานาประเทศไม่ได้จริงหรือ? จึงต้องจูงมือกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสีย และ/หรือ ดิวตี้ฟรีเป็นขุมทองทางการค้าที่เรากำลังไล่ล่ากันเองเพื่อชัยชนะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนไม่มองข้ามผลประโยชน์แท้จริงที่ประเทศไทยควรจะได้รับหรือไม่ ?

คำถามที่สาม คือ โลกยุคนี้ต้องเปิดการค้าเสรี ที่ประเทศไทยมีให้อย่างเต็มที่ แต่นักลงทุนไร้พรมแดนสามารถเลือกช้อปเฉพาะกิจการที่ได้ผลตอบแทนง่าย ๆ ซึ่งผ่านพ้นความยากลำบากพัฒนามาถึงยุคมั่งคั่งได้ทุกวันนี้ โดยมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงมากพอ กลายเป็นขุมทรัพย์ใส่พานรอไว้ให้เช่นนั้นหรือ ? 

“นิตินัย ศิริสมรรถการ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่าหน้าที่เปิดประมูลต้องเป็นไปตามกระบวนการของ ทอท.ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ส่วนเอกชนทุกกลุ่มเมื่อสนใจเข้าสู่เส้นทางการแข่งขันก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและกติกาตามทีโออาร์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนทั้ง 2 โครงการด้วยเช่นกัน

 ระหว่างนี้ไปจนถึงก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 ตามทีโออาร์ได้ระบุวันและขั้นตอนการปฏิบัติตามระเบียบ ทอท. ให้ต้องทำตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน เชิญเอกชนผู้ซื้อซองประกวดราคาเข้ารับฟังรายละเอียดทั้งหมด วันที่ 23 เมษายน พาลงพื้นที่ชมสถานที่ประกอบการ วันที่ 8 พฤษภาคม ผู้ซื้อซองประกวดราคาจะต้องแจ้งข้อมูลผู้ร่วมทุนแต่ละกลุ่มที่ยื่นประมูลอย่างเป็นทางการ วันที่ 22 พฤษภาคม เอกชนต้องยื่นข้อเสนอดำเนินการ วันที่ 27 พฤษภาคม นำเสนอผลงานและข้อเสนอทางเทคนิค วันที่ 28 พฤษภาคม เปิดซองเสนอค่าตอบแทน และวันที่ 31 พฤษภาคม ประกาศผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละโครงการ

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา
  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์


 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวย้ำซ้ำ ๆ ตลอดมาว่า พร้อมทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อเข้าร่วมแข่งขันการประมูลบริหารพื้นที่ร้านค้าดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ โดยจะแข่งขันกับทุกฝ่ายโดยยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นหลัก เนื่องจากแต่ละกลุ่มธุรกิจคนไทยล้วนมีจุดแข็งการพัฒนาการค้าแตกต่างกัน ด้านศักยภาพความสามารถของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในฐานะผู้บุกเบิกร้านค้าดิวตี้ฟรีเมืองไทยมา 3 ทศวรรษ ก็ยืนยันได้ว่าตลอดการดำเนินธุรกิจนั้น ได้ปฏิบัติตามกติกาและข้อกำหนดของหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วน รวมทั้งจ่ายคืนรัฐทั้งในรูปแบบของผลตอบแทนตามข้อตกลงสัญญา ภาษีธุรกิจ เรื่อยไปจนถึงได้สร้างชื่อเสียงนำดิวตี้ฟรีไทยมียอดขายติดอันดับ 1 ของเอเชีย และ 1 ใน 5 ของโลก

 รวมทั้งได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนคัดเลือกสินค้าชุมชนคุณภาพดีจากทั่วประเทศนำมาวางขายในร้านค้าคิง เพาเวอร์ ครอบคลุมทุกสาขาทั้งคิง เพาเวอร์ สนามบินและร้านค้าในเมืองทั่วประเทศ

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2562 ได้ต่อยอดทำโครงการ Thai National Dye Collection ด้วยการนำผ้าตีนจกและมัดย้อมของชาวปกากะญอ จังหวัดลำพูน ซึ่งออกแบบเป็นพิเศษหนึ่งเดียวในโลกไปเปิดตัววางขายเทียบชั้นแบรนด์อินเตอร์ ณ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม” สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ 

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากภาคเหนือ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคอื่น ๆ เพื่อสร้างแบรนด์ไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก พร้อม ๆ กับการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการคืนประโยชน์สู่สังคม “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ครบทั้ง 4 เรื่อง ได้แก่ 1.COMMUNITY POWER : พลังสินค้าชุมชน 2.SPORT POWER : พลังกีฬา 3.MUSIC POWER : พลังดนตรี และ 4.EDUCATION & HEALTH POWER : พลังการศึกษาและสุขภาพ



 ทั้งนี้ในสนามแข่งขันการประมูลโครงการ บริหารร้านค้าดิวตี้ฟรีสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2562 นั้น กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็น 1 ใน 5 ที่ยื่นซื้อซองประกวดราคาดิวตี้ฟรีในนาม บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด โดยมีผู้ชิงชัยที่มีกระแสเตรียมจะดึงกลุ่มผู้ร่วมทุนต่างชาติเข้าร่วมวงด้วย 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท รอยัลออคิด เชอราตัน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

 ส่วนโครงการ บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินสุวรรณภูมิ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็น 1 ใน 4 บริษัท ยื่นซื้อซองประกวดราคาในนาม บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ร่วมกับอีก 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท เดอะ มอลล์ กรุ๊ป จำกัด น่าสนใจอย่างยิ่งว่า “สัมปทานดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ” ขุมทรัพย์สำคัญของ ทอท.และประเทศไทย ที่คนไทยสร้างขึ้นมากับมือ นับจากนี้เป็นต้นไปควรจะอยู่ในมือคนไทย และ/หรือกลุ่มธุรกิจร่วมทุนต่างชาติ ต้องไตร่ตรองอย่างรอบในการเดินหน้าเศรษฐกิจประเทศไทยยุคต่อไป

 ข่าวที่ 2 “บิ๊กททท.รุกตลาดมาเลย์เป้าปี63เฉียด5ล้านคน1.3แสนล้านบาท” 


 นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้นำทีมผู้บริหารทั้งนายกฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ นายอะหมาน หมัดอาดัม ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานกัวลาลัมเปอร์ พร้อมทีมงาน ททท.อาเซียน จัดทำโครงการ Thanks 4 Million –Let’s Celebrate Songkran Festival ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลซีย เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562 เพื่อแสดงความขอบคุณโดยมอบประกาศเกียรติคุณ รวมทั้งการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีทำให้เกิดภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเชิงบวกในตลาดมาเลเซีย ตลอดงานกลุ่มพันธมิตรตอบรับคึกคักมากมีทั้งตัวแทนสายการบิน บริษัทตัวแทนจัดนำเที่ยว คลับรถยนต์ซูเปอร์คาร์ บิ๊กไบค์ คอร์ปอเรต สื่อท่องเที่ยว และองค์กรเกี่ยวข้องเข้าร่วมงานมากถึง 350 ราย

 ตลอดปี 2562 ททท.จะเร่งปูพรมเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวมาเลเซียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2563 อีก 10 % โดยจะใช้ 2 หมวดหลัก ประกอบด้วย

หมวดแรก “อาหาร” ซึ่งมีส่วนแบ่งการทำรายได้เข้าประเทศมากถึง 20 % ของรายได้ทั้งหมด และไทยเองก็มีความโดดเด่นเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (gastronomy) สามารถขยายผลการกระจายรายได้จากนักท่องเที่ยวจากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้อย่างกว้างขวางในทุกท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบภาคการเกษตรครบวงจร พืช ผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารสามารถซื้อกลับบ้านได้ รวมทั้งยังได้เผยแพร่อาหารถิ่นแต่ละภาคของประเทศให้เป็นรู้จักมากขึ้นด้วย

 ผนวกกับโครงการมิชลินตามนโยบายรัฐบาลไทย ซึ่งประกาศให้มีคู่มือร้านอาหารติดดาวทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ไปเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นส่วนหนึ่งในการปลุกกระแสอาหารไทยทั้งในตลาดมาเลเซีย อาเซียน และทั่วโลก คึกคักตามไปด้วย

หมวดที่ 2 “ช้อปปิ้งสินค้าชุมชน” ซึ่งสามารถดีไซน์กิจกรรมระหว่างทริปให้นักท่องเที่ยวเข้าไปร่วมทำ D.I.Y.ร่วมทำผลิตภัณฑ์แฟชั่นผ้าไทย ของใช้ ของกิน มากมาย เสร็จแล้วมอบเป็นของที่ระลึกหรือซื้อเพิ่มกลับบ้าน จะได้ทั้งการเรียนรู้ประสบการณ์วิถีชีวิตท้องถิ่นตามคอนเซ็ปต์ Local Exprerience และความประทับใจ ได้เห็นถึงคุณค่าการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่สไตล์ Open to the New Shade 



นายฉัททันต์กล่าวว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวมาเลเซียจะเห็นไทยเป็นจุดหมายปลายทางการเดินทางเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (weekend destination) เป็นกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวซ้ำ 59 % กับกลุ่มเดินทางครั้งแรก 41 % โดยเดินทางท่องเที่ยวอิสระโดยลำพัง (F.I.T) 65 % อายุเฉลี่ย 20-39 ปี เดินทางซ้ำ ๆ คนละ 3-5 ครั้ง/ปี และใช้บริการทัวร์ (G.I.T.) อีก 35 % โดยภาพรวมตลาดมาเลเซียจะเป็นนักท่องเที่ยวผู้หญิง 55 % ผู้ชาย 45 % ส่วนการพักเฉลี่ยในไทยปัจจุบันช่วงสั้น ๆ ครั้งละ 4.94 วัน ใช้จ่ายเงินคนละ 28,000 บาท/ทริป เฉลี่ยวันละ 5,500 บาท/คน ดังนั้น ททท.จึงต้องหาวิธีกระตุ้นให้ใช้เงินอย่างรวดเร็วในหมวดอาหารกับช้อปปิ้ง และอื่น ๆ ก็มีเพิ่มกิจกรรม ความสนุกบันเทิง การวิ่งมาราธอน

 ขณะเดียวกัน ททท.วางกลยุทธ์รุกขายท่องเที่ยวตลาดมาเลเซียพ่วงเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองรองเข้าด้วยกันในแบบ HUB & HOOK โหมนำเสนอปฏิทินการจัดกิจกรรม อีเวนต์ ใส่ไว้ในแต่ละเดือน แนะนำแหล่งใหม่ ทั้งร้านอาหาร โรงแรม ส่งผ่านข้อมูลถึงนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ออนไลน์ ดิจิทัล เข้าถึงอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันก็ได้จัดทำข้อมูลให้กับทางฝั่งเจ้าบ้านตามแหล่งท่องเที่ยวชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย (supply) เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของชาวมาเลเซียซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพสูง พร้อมจะเข้ามาเพิ่มรายได้ในช่วงนอกฤดูเดินทางหรือช่วงหน้าฝนได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดภาคธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้



นายกฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการด้านตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท.กล่าวว่า วางแผนโหมจุดขายในตลาดมาเลเซียมาไทยปี 2562 ชูท่องเที่ยว 4 เมืองรอง ได้แก่ 1.แม่ฮ่องสอน นิยมนำคาราวานรถยนต์ขับท่องเที่ยวในความท้าทายกว่าพันโค้งช่วงพฤศจิกายน-มกราคม ของทุกปี แล้วต่อไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ 2.เชียงราย เพื่อสัมผัสวิถีวัฒนธรรมล้านนา แล้วเดินทางต่อไปยังเชียงใหม่ 3.เบตง ยะลา ซึ่งมีชายแดนติดต่อกับทางรัฐเปรัค 4.สตูล เมืองมรดกโลกทางด้านจีโอปาร์ค รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมเกาะหลีเป๊ะ และมีพื้นที่เชื่อมต่อบริเวณเกาะลังกาวี

 อีกทั้งยังมีอีกหลายด่านเชื่อมต่อการเดินทางท่องเที่ยวทางบกเข้า-ออก อย่างสะดวกบริเวณชายแดนภาคใต้ จากเมืองปะริด และปีนัง ลัดเลาะเข้ามาถึง พัทลุง นครศรีธรรมราช พื้นที่แถบนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางซ้ำเข้มมาเป็นจำนวนมาก และมีรถตู้บริการจากปาดังเบซาห์-หาดใหญ่ มีรถไฟท้องถิ่น รถไฟฟ้ามาถึงปาดังเบซาห์ วิ่งด้วยความเร็ว 130 กม./ชั่วโมง และเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ซึ่งตลาดคอร์ปอเรตมาเลเซียนิยมใช้บริการ

สำหรับการเร่งเพิ่มรายได้จากหมวดอาหาร ช้อปปิ้ง และกิจกรรมอีเวนต์ต่าง ๆ นั้น เตรียมขยายผลเต็มรูปแบบปี 2563 โดยจะเปิดช่องทางเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลโซเชียลมีเดีย ทำเป็นเรื่องราวเสน่ห์แต่ละด้านใส่เพิ่มเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ นำเสนอ 1.พื้นที่เมืองรอง 2.บรรยากาศความสนใจของ ร้านอาหารสไตล์ รูฟท็อป ฟู้ดสตรีท และอื่น ๆ ล่าสุดทาง ททท.กัวลาลัมเปอร์ นำสื่อบล็อกเกอร์มาร่วมงานเทศกาลอาหารภูเก็ตมิชลินแล้วกลับไปเผยแพร่มีผลตอบรับที่ดี อีกทั้งปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเปิดบริการในกัวลาลัมเปอร์มากถึง 55 ร้าน 

ส่วนการเพิ่มรายได้หมวดช้อปปิ้ง ตอนนี้มีความตื่นตัวเรื่องดีไซน์แฟชั่นผ้าไทยทั้ง 5 ภาค เครื่องสำอางไทย และการมาใช้บริการความงามเช่นทำเลเซอร์ รวมทั้งยังได้จัดทำโปรแกรมท่องเที่ยวกระตุ้นการเดินทางเป็นระยะ เช่น กลุ่มตลาดผู้หญิงจัดทำ Fly Hihg Beauty หรือกลุ่มตลาดครอบครัวมีแพกเกจชวนขับรถมาท่องเที่ยวภาคใต้

 นายอะหมาน หมัดอาดัม ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้า-ออก ทางด่านชายแดนมาเลเซีย-ไทย ที่มีให้เลือกถึง 8 ด่าน จำนวนปีละ 1.8-2 ล้านคน อาทิ ด่านเบตง สุไหงโกลก ตากใบ สะเดา บางปะจัน และการเจาะตลาดใหม่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยได้ทำโครงการ Roadshow University ไปตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งเป้าภายในกันยายนนี้รวม 4 มหาวิทยาลัย ส่วนพื้นที่ท่องเที่ยวที่ครองใจมาเลเซียที่สามารถเข้ามาทางบกและมีเที่ยวบินตรง 5 จังหวัดแรก ได้แก่ สงขลา กรุงเทพฯ กระบี่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และกำลังขยายมายังเมืองรองโดยมีเที่ยวบิน ได้แก่ ปี 2561 หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) ปี 2562 เชียงราย ซึ่งมีช่วงตารางเวลาบินเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก

 ปัจจุบันมีเที่ยวบินประจำบริการ ไป-กลับ ประเทศไทย กับ มาเลเซีย รวม 351 เที่ยว รวม 9 สายการบิน ได้แก่ 1.การบินไทย 2.ไทยสไมล์ 3.มาเลเซียแอร์ไลน์ส 4.บางกอกแอร์เวย์ส 5.ฟลายเออร์ฟลาย 6.มาลินโด แอร์เวย์ส 7.รอยัล โจดาเนียน8.แอร์เอเชียมาเลเซีย มีเที่ยวบินเข้าไทยมากสุด 9 จังหวัด 154 เที่ยว/สัปดาห์ และ 9.ไทย แอร์ เอเชีย มีมากถึง 56 เที่ยว/สัปดาห์

ททท.ผนึกทีมกันปูพรมเฮรับทั้งจำนวนและรายได้ตลาดมาเลเซียต่อเนื่องปี 2562 และ 2563 ที่จะมีนักท่องเที่ยวเฉียด 5 ล้านคน นำรายได้กว่าแสนล้านบาทกระจายทั่วในเมืองหลักและเมืองรองของไทยอย่างยั่งยืน 


 ข่าวที่ 3 “BCPGเครือบางจากเปิดไฟฟ้าลมลิกอร์ปากพนังเพิ่มรายได้ปี62” 



 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ในเครือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าได้เปิดโครงการลมลิกอร์กำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2562 เป็นต้นมา ดำเนินการโดยบริษัท ลมลิกอร์ จำกัด ในกลุ่มบีซีพีจี ได้เริ่มต้นการขายไฟฟ้า (COD) ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เร็วกว่าที่ประมาณการไว้เดิมคือช่วงปลายไตรมาส 2 ทำให้สามารถรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้นกว่าที่กำหนดไว้เดิม

 โครงการนี้ประกอบด้วยกังหันลม 4 ต้น สามารถผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยวันละ 5.1 ชั่วโมง โดยบริษัทฯขายไฟฟ้าได้เฉลี่ยหน่วยละประมาณ 6.60 บาท จากการได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (adder) 3.50 บาทต่อหน่วย จากราคาค่าไฟฐานเป็นเวลา 10 ปี และมีระบบจัดการพลังงาน (Energy Management System) ภายในโครงการช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ กฟภ. อย่างสม่ำเสมอ 

โครงการนี้ นอกจากจะเป็นการตอบสนองความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งคาดปี 2562 จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 7,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และประมาณ 9,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ส่วนปีต่อไปจะผลิตไฟฟ้าเต็มปี ก็จะยิ่งช่วยลดคาร์บอนได้มากยิ่งขึ้นต่อไป

 ช่วงที่ 2 เที่ยวกันเถอะรอบกรุงเทพฯ ในเมืองรอง “สระบุรี” 2 อำเภอ “เสาไห้-มวกเหล็ก” มีแหล่งท่องเที่ยวตลาดพื้นบ้าน “กับร้านอาหารเต็มไปด้วยของอร่อยรอต้อนรับอยู่เพียบ แนะนำ “ร้านไร่สินทวี-บิ๊กโจ๊ย” ส่วนการกินฟัง “เคล็ดไม่ลับ5อย่าง” กับการกินดีเพื่อสุขภาพแจ๋วตลอด และข่าวน่ารู้ “เอกชนท่องเที่ยวตลุยโร้ดโชว์จีน3เมืองรอง” ตุนรายได้ครึ่งปีหลัง ไม่รอนรัฐแจกเงินคนไทยเที่ยวไทย “การบินไทย” ชวนแชร์ภาพลงโซเชียลลุ้นรับตั๋วบินฟรี 60 เส้นทาง และ “ททท.” ผุดโปรเจ็กต์ HackaTravel ระดมคนรุ่นใหม่ปั้นนวัตกรรมดิจิตอลท่องเที่ยวขยายตลาดระยะยาว 

@เที่ยวเมืองรองกินอาหารอร่อยในเสาไห้-มวกเหล็ก สระบุรี 



 วันนี้มีเส้นทางขับรถเที่ยวสบาย ๆ ใกล้กรุงเทพฯ ในเมืองรอง “สระบุรี” มานำเสนอแหล่งท่องเที่ยวมุมอาหารอร่อย 2 ตลาด “ตลาดน้ำลาวเวียง-ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล” กับ 2 ร้านอาหาร มุ่งหน้าตรงไป “อำเภอเสาไห้” เป้าหมายปลายทางแรก คือ “ตลาดน้ำลาวเวียง” ในชุมชนเล็ก ๆ มีกลิ่นอายชนบทโดยผู้คนมีความเข้มแข็งในการดีไซน์ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ โดยนำสิ่งที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างลงตัว

อย่างแรกคือ “ปูเสื่อกินอาหาร” ใต้ต้นก้ามปูริมน้ำ ความร่มครึ้มจากกิ่งใบก้ามปูที่แผ่กว้างช่วยเติมเต็มความสุขได้ หรือจะเลือกนั่งพักผ่อนแถวแพริมน้ำก็ได้เหมือนกัน ระหว่างนั้นทางหมู่บ้านได้นำกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาโชว์นักท่องเที่ยวได้ชมกันเพลิน ๆ อย่าง ระบำ รำเซิ้ง มวยทะเล แข่งงมหอย หรือเล่นหมาเน่าลอยน้ำ การตีโป่งผ้าถุงในน้ำ การแข่งเรือหัวใบ้ท้ายบอด เดินกะลา ไม้โถกเถก แวะไม่วันหยุดสัปดาห์ไหนก็ได้ตามสะดวกใจ ก็จะได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกบรรยากาศตลาดน้ำลาวเวียงได้ตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม



 ปลายทางพักผ่อนแห่งที่ 2 แวะ “ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล” หรือตลาดท่าน้ำนั่นเอง บรรพบุรุษขอชาวบ้านแถบนี้อพยพมาจากเชียงแสนนานกว่า 215 ปี เป็นชาวไทย-ยวน ที่มาตั้งรกรากอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อปี 2347 พร้อมกับนำฝีมือ “ทอผ้ายกมุก” คล้ายชาวล้านนาและอู้ภาษาคำเมืองเหนือ

โดยนำอัตลักษณ์เหล่านี้มาเป็นจุดขายทำค้าขายในตลาด ด้วยการตกแต่งตลาดให้มีบรรยากาศเมืองเหนือวางขายอยู่ในวัดเปิดบริการเฉพาะวันอาทิตย์ สัปดาห์ละ 1 วันเท่านั้น ช่วง 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น เน้นการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง และให้นักท่องเที่ยวที่แวะเข้าไปได้ช้อปตามอัธยาศัย โดยมีอาหารเหนือมากมาย อย่าง ผัดหมี่ ไทย-ยวน ข้าวแครบ หรือข้าวเกรียบเมืองเหนือ และอื่น ๆ ขายงานหัตถกรรม ผลิตภัณฑ์แฟชั่นภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่าง ผ้าทอมือ เสื้อสำเร็จสำเร็จตัดเย็บสไตล์พื้นเมือง เครื่องจักรสาน และงานฝีมืองาม ๆ อีกเพียบ จะไปเที่ยวก็โทรสอบถามก่อนได้ที่ 089 985 7726



 ส่วนร้านอาหารแนะนำให้แวะตรง อำเภอมวกเหล็ก ร้านแรก “ร้านไร่สินทวี” ตกแต่งร้านสไตล์ธรรมชาติในเขตไร่องุ่น มีบริการเมนู สเต็ก สปาเก็ตตี้ สลัดกุ้งทอง ข้าวผัดต้มยำกุ้ง และเมนูตามสั่งที่แต่ละคนชอบ ของหวานต้องสั่งเค้ก เบเกอรี่ กาแฟสด และน้ำองุ่นสด เปิดทุกวัน ช่วง 8 โมงเช้า – 6 โมงเย็น โทร.036 342 452 , 081 928 5079 หรือดูได้จากเฟซบุ๊ค www.facebook.com/raisintawee 



ร้านที่สอง “บิ๊กโจ๊ย” ร้านจะอยู่ก่อนขึ้นเขาใหญ่ สามารถแวะนั่งชีลได้ในบรรยากาศคันทรี ๆ เสิร์ฟอาหารรสจัดแบบปักษ์ใต้ อย่าง แกงเหลือาปลากะพง ข้าวคลุกแกงไตปลา ไก่ทอด และไฮไลต์คือน้ำพริกหมูบิ๊กโจ๊ย ส่วนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเมนูเยอรมันก็มีให้เลือกชิม ไส้กรอก ขาหมู ปีกไก่บาร์บีคิว อร่อยไม่แพ้กัน ถ้าไปวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ เปิด 10 โมง – 2 ทุ่ม เสาร์-อาทิตย์ เปิด 10 โมง – 3 ทุ่ม โทร.098 945 1956 ออกไปพักผ่อนในบรรยากาศแปลกแตกต่าง ชิมแหล่งอาหารอร่อย ไปกับวิถีชีวิตของคนไทยในเมืองสระบุรีได้ทุกวัน

 @เคล็ดไม่ลับ 5 อย่างกับการกินดีเพื่อสุขภาพแจ๋วตลอด 



 เคล็ดไม่ลับ กินดีเพื่อสุขภาพ เริ่มที่อาหาร 5 หมู่ต้องกินให้ครบ เน้นหลักความหลากหลายของอาหาร เราไม่จำเป็นต้องอด แค่รู้จักความพอดี ไม่ว่าจะอ้วนไป หรือปผอมไป หากกินให้หลากหลาย รู้ว่าขาดอะไรต้องลดอะไรเท่านั้น ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

 1.รู้จักแป้ง - แป้งก็อยู่ในอาหารหลักของเรา การทำความรู้จักแป้ง กลไกของมันโดยกินอย่างเหมาะสม เช่น เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง เท่านี้ก็ช่วยได้

2.เป็นเพื่อนผักผลไม้ - เพราะในอาหารกลุ่มนี้มีทั้งวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และเป็นสิ่งที่คนไทยขจาดมากที่สุด ทั้งๆ ที่เราเป็นราชาของการผลิตสิ่งเหล่านี้

3.หันไปกินปลา พืชตระกูลถั่ว นม ไข่ - เพราะเป็นแหล่งโปรตีนดี และไขมันน้อย แต่หากมีภาวะคอเลสเตอรอลสูง อาจต้องกินอย่างพอเหมาะมากกว่าปกติ

4.โบกมือลาไขมัน - อาหารทอด เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูงอย่างดี เราจำเป็นต้องควบคุมปริมาณการกินเป็นพิเศษ กินได้ แต่กินน้อย ๆ

5.อ่อนหวาน อ่อนเค็ม - คนไทยบริโภคสองสิ่งนี้สูงเกินปริมาณเหมาะสม ซึ่งควรหันมาบริโภคอาหารรสจืดดูบ้าง ค่อย ๆ ลดปริมาณความหวาน ความเค็มลง ก็สามารถอร่อยอยู่เหมือนเดิมได้

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

 ข่าวแรก “แอตต้าบุกโร้ดโชว์จีนตุนรายได้ครึ่งปีหลังไม่รอรัฐแจกเงินคนเที่ยว”

 ระหว่างที่ยังมีการรอคำตอบจากรัฐบาลถึงมาตรการโยนหินจากกระทรวงการคลังที่จะแจกเงินให้คนไทย คนละ 1,000-1,500 บาท นำไปใช้ท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงครึ่งปีหลัง ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประสานคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่รู้ข้อเสนอเรื่องนี้แต่อย่างใด ในส่วนของผู้ประกอบการท่องเที่ยวเอกชนจึงต้องลุยทำตลาดเองเพื่อตุนรายได้ช่วงครึ่งปีหลังไว้ก่อน

ล่าสุด นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า วางแผนนำสมาชิกบริษัทนำเที่ยว 60 ราย เดินทางไปทำโรดโชว์ระหว่างวันที่ 26-31 พฤษภาคม 2562 เป้าหมายหลักในตลาดสาธารณรัฐประชาชนจีน 3 เมืองรอง ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 150 ล้านคน และเที่ยวบินตรงเข้าไทยจำนวนมากได้แก่

 1.เมืองเซียะเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน 2.เมืองหนานชาง มณฑลเจียงซี 3.เมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ทั้งนี้ภาคเอกชนท่องเที่ยวไทย ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าจีนจะเป็นตลาดหลักที่จะเดินทางเข้ามาไทยปี 2562 กว่า 11 ล้านคน ขณะที่นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่จะให้ใช้เงินโครงการพยุงเศรษฐกิจไตรมาส 2 และ 3 เกี่ยวกับการแจกคนไทยอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป นำไปใช้ท่องเที่ยว 55 เมืองรอง จะสรุปก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 เมษายน 2562 เพื่อเริ่มใช้ทันทีตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป

ข่าวที่สอง “บินไทยชวนใช้โซเชียลแชร์รูปลุ้นรับตั๋วฟรี60เส้นทาง”  



นายวิวัฒน์ ปิยะวิโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทยฯ เปิดเผยว่า การบินไทยกับไทยสไมล์จัดกิจกรรม “SEE THE WORLD. SENSE THE WORLD.” Photo Contest เปิดให้ผู้โดยสารได้อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ร่วมเก็บภาพประสบการณ์ความทรงจำอันประทับใจจากการเดินทางแต่ละครั้งกับทั้ง 2 สายการบิน โดยโพสต์รูปผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว อินสตาแกรม เฟซบุ๊ค ครั้งละไม่เกิน 3 รูป เมื่อบินในประเทศและระหว่างประเทศ ระหว่างวันนี้ – 15 กรกฎาคม 2562 ชิงรางวัลบัตรโดยสารการบินไทยและไทยสมายล์กว่า 60 เส้นทาง รวม 38 รางวัล

 ด้วยกติกาง่าย ๆ คือตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ พร้อมใส่แคปชั่นระบุเที่ยวบิน วันเดินทาง คำบรรยายภาพ ติดแฮชแท็ก #LetsSenseTheWorld และแท็ก @ThaiAirways หรือ @ThaiSmileAirways การบินไทยจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีทาง www.thaiairways.com วันที่ 15 สิงหาคม 2562

 ข่าวที่ 3 “ททท.งัดโปรเจ็กต์HackaTravelดึงคนรุ่นใหม่ปั้นนวัตกรรมท่องเที่ยว” 



 นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้จัดทำโครงการ“HackaTravel” ชิงรางวัลมูลค่า 300,000 บาท โดย ททท.ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และบริษัท เทคมี ทัวร์ จำกัด ผลักดันผลสำเร็จครั้งนี้ ด้วยการตั้งเป้าดึงคนรุ่นใหม่สร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนากระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวของประเทศเติบโตอย่างมีคุณค่าในอนาคต

 นายนพพล อนุกูลวิทยา กล่าวว่า มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ HackaTravel ที่เปิดรับไปเมื่อช่วง 18 มีนาคม - 9 เมษายน 2562 บรรดาคนรุ่นใหม่ นิสิต นักศึกษา และสายอาชีพที่เกี่ยวข้องแห่มาสมัครรวม 268 คน ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบ 90 คน เพื่อลงชิงชัยกันในวันที่ 27 – 28 เมษายน นี้ ที่ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจะเปิดให้ผู้สนใจติดตามการแข่งขันได้ที่ www.takemetour.com/hackatravel

 ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

จับตา!!ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว3เดือนแรกไม่ถึง10ล้านคน

  นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 1 ม.ค.-31 มี.ค.2568 ได้แค่ 9.5 ล้านคน จับตา !! ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว 3 เดือนแรกไม่ถึง 10 ล้านคน เม.ย.นี้ร...