“เวียตเจ็ทไทย”แผนธุรกิจบินอนาคตปี68-71ผงาดFly Green
สั่งฝูงบินใหม่50ลำลุยตลาดญี่ปุ่น/เกาหลี/อินเดีย/เวียดนาม
เวียตเจ็ทไทยแลนด์เดินหน้าแผนธุรกิจอนาคตปี68-71 สั่งฝูงบินใหม่ 50 ลำ ก้าวสู่ Fly Green
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #เวียตเจ็ทไทยแลนด์ #FlyGreen
เวียตเจ็ทไทยแลนด์
เปิดแผนอนาคตปี 68-71 มุ่งสู่ “Fly Green” นำธุรกิจเติบโตมั่นคงและยั่งยืน
ลงทุนขยายฝูงบินใหม่ 50 ลำ รุกเปิดเส้นทางยอดนิยม ญี่ปุ่น
เกาหลี อินเดีย เวียดนาม ชูจุดแข็ง “ราคาเข้าถึงง่าย” บริการตรงเวลาติดอันดับ 4
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมขบวนใช้น้ำมัน SAF
นายวรเนติ
หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เวียตเจ็ทไทยแลนด์ เปิดเผยว่า สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ พร้อมเปิดกลยุทธ์เชิงรุกสร้างการเติบโตอนาคตปี
2568–2571 ผลักดันไทยเป็น “ศูนย์กลางการบินและการท่องเที่ยว”
ในภูมิภาคอาเซียนมุ่งสู่ความยั่งยืนเพิ่มประสบการณ์ให้ผู้โดยสารด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1.เดินหน้าขยายฝูงบินขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายเตรียมรับมอบฝูงบินใหม่โบอิ้ง
B737-8 เพิ่ม 50 ลำ ทยอยรับลำแรกเดือนตุลาคม
2568 เป็นต้นไป 2.เพิ่มเครือข่ายเส้นทางบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าเชื่อมต่อเมืองหลัก-เมืองรองในไทยกับเมืองสำคัญทั่วเอเชีย
เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และเวียดนาม และ 3.ลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่
ๆ ขานรับนโยบาย “Fly Green”การบินลดผลกระทบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“แผนขยายฝูงบินครั้งนี้” มุ่งยกระดับศักยภาพไทยในฐานะศูนย์กลางการบินและการท่องเที่ยวในภูมิภาค
ทางเวียตเจ็ทไทยแลนด์นำธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง ทั้งรายได้ ปริมาณผู้โดยสาร เครือข่ายเส้นทางบิน
สะท้อนถึงการดำเนินงานอันแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นจากผู้โดยสารกับคู่ค้า มุ่งนำเสนอการเดินทางอย่างสะดวกสบาย
ราคาคุ้มค่า และตรงเวลา
“เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่” ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ
จากการขยายฝูงบินระยะสั้นและกลาง เพื่อรองรับบริการสายการบินเติบโตดี
จะช่วยให้เวียตเจ็ทไทยแลนด์เพิ่มขีดความสามารถในตลาดโลว์คอสต์ซึ่งแข่งขันกันรุนแรง
และสร้างความพร้อมให้ไทยเป็นฮับการบินในภูมิภาค โดยเฉพาะการสร้างงานกว่า 4,000
- 5,000 ตำแหน่ง ครอบคลุมนักบิน พนักงานต้อนรับ พนักงานภาคพื้นดิน ฝ่ายวิศวกรรม
ควบคู่การยกระดับด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นายวรเนติ
กล่าวว่าในฐานะสายการบินยุคใหม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เปิดโอกาสให้ทั้งบัณฑิตจบใหม่
ผู้มีประสบการณ์ทำงาน ผู้ที่มีความมุ่งมั่นในสายอาชีพด้านการบินได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
“ปิ่นยศ
พิบูลสงคราม” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการพาณิชย์ กล่าวว่าตลอดปี
2568 เวียตเจ็ทไทยแลนด์ทำให้ผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่องโดยใช้”
ราคา” เป็นจุดแข็งเข้าถึงง่าย และตอบสนองความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่ โดยสามารถรักษาผู้โดยสารเติบโตได้ต่อเนื่อง
แม้ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรง ด้วยจุดแข็งที่ได้มอบบริการคุณภาพใน “ราคาที่เข้าถึงได้”
จึงมีฐานลูกค้าเหนียวแน่นและขยายตลาดใหม่ได้อย่างมั่นคง
“เปิดเส้นทางบินใหม่”
เวียตเจ็ทไทยแลนด์เตรียมเปิด 1.กรุงเทพฯ–โซล เดือนตุลาคม
2.กรุงเทพฯ–โกลกาตา เดือนพฤศจิกายน 3.กรุงเทพฯ–โตเกียว
(นาริตะ) 4.กรุงเทพฯ–โอซาก้า (คันไซ) และ5.กรุงเทพฯ–อาห์เมดาบัด
จะเปิดพร้อมกันเดือนธันวาคม 2568 เพื่อตอบสนองตลาดมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นในเกาหลี
ญี่ปุ่น อินเดีย เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางเวียตเจ็ทไทยยังเตรียมมอบประสบการณ์การบินอันน่าประทับใจด้วยบริการด้านความบันเทิงบนเที่ยวบิน
(In-Flight Entertainment) สุดประทับใจ
“ความตรงต่อเวลา”
เวียตเจ็ทไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันก้าวสู่อันดับ 4 ของสายการบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นเรื่องการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและมอบบริการเป็นเลิศให้ผู้โดยสารทุกคน
“สญาดา
เบญจกุล” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ กล่าวว่าเวียตเจ็ทไทยแลนด์ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญทั้งเชิงเศรษฐกิจ และต้องการสร้างสมดุลไปพร้อมกับสิ่งแวดล้อมและสังคม
เป็นแรงผลักดันสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ โดยให้ความสำคัญเรื่องสร้างภาพลักษณ์องค์กรอย่างโปร่งใสและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เดินหน้าจัดกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติและเพื่อสังคมต่อเนื่องตลอด
ทั้งโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
ทั้งหมดนี้สอดคล้องตามนโยบาย “Fly Green” มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเวียตเจ็ทไทยแลน์ มุ่งเน้นสร้างวัฒนธรรมองค์กรสีเขียว และส่งเสริมการมีส่วนร่วมใดูแลโลกอย่างยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย พร้อมกับประกาศตอกย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืน เดินหน้าศึกษาและส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศที่ยั่งยืนหรือ SAF :Sustainable Aviation Fuel ควบคู่dkiนำเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น A321neo และ Boeing 737-8 เทียบกับเครื่องรุ่นเดิมแล้วจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 15–20%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น