วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ททท.ผุดโครงการขยะทองคำให้ชุมชนท่องเที่ยวทั่วไทย-เปิดพิพิธภัณฑ์บ้านคำปุนผ้าอีสานราคาทะลุล้าน

ททท.ผุดโปรเจ็กต์ขยะทองคำชุมชนทั่วไทย
ดีไซเนอร์แห่เปิดเทรนด์แฟชั่นขยะโกยเงิน
คิงเพาเวอร์แจกไม่ยั้งสนามบอลแห่ง15ปี61
ททท.เหนือ-4สมาคมขายทัวร์วันแม่สู่เชียงตุง
บางจากรุกขยายปั๊ม-สาขาSPA-ร้านอินทนิล
ทอท.ทุ่มใช้5.3หมื่นล้านดอนเมืองF3/ชม.F1
TCEBดัน13เอกชนแชมป์AMVSปั๊มรายได้พุ่ง
ชมพิพิธภัณฑ์ใหม่บ้านคำปุนทัวร์ผ้ากาบบัว
แนะนำวิธีป้องกันผลเสียจากการยืนนาน ๆ
กระทรวงการท่องเที่ยวจ่อดึงอพท.เข้าสังกัด
แอร์เอเชียชูเชียงใหม่บินเพิ่มไทเปโปร1.5พัน
แอร์เอเชียเอ็กซ์ลงทุน9พันล้านฝูงบินA330
เอวาเกาะช้างจัดบุฟเฟต์พร้อมโชว์899บาท

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen    และบล็อกเกอร์ #gurutourza

ช่วงที่ 1 เป็นครั้งแรกที่จะได้ฟังกันชัด ๆ กับ “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้อำนวยการ สำนักผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะผู้บุกเบิกโครงการซีเอสอาร์ลดขยะการท่องเที่ยว ประกาศร่วมกับทุกเครือข่ายจัดทัพใหญ่ปฏิวัติขยะท่องเที่ยวชุมชนให้กลายเป็น “ทองคำ” ล่าสุดผนึกพันธมิตรเจนใหม่ในวงการ Sustainable Brand ตุลาคม 2561 เปิดเวทีแรก เฟ้นหาแชมป์ “ดีไซเนอร์ขยะหน้าใหม่” คิดค้นนวัตกรรมการออกแบบขยะเป็นสินค้าแฟชั่นขายในเชิงพาณิชย์ นำเงินคืนกลับให้ชุมชนนำกลับไปพัฒนาอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการ
สำนักผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 ผู้ดูแลโครงการซีเอสอาร์ลดโลกขยะท่องเที่ยว 


ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการ สำนักผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้ดูแลโครงการซีเอสอาร์ลดโลกขยะท่องเที่ยว เปิดเผยว่า จะโหมโครงการซีเอสอาร์ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวในองค์กรและร่วมกับพันธมิตรขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ชุมชน มีกิจกรรมหลากหลายซึ่งก่อให้เกิดปริมาณขยะเกิดขึ้น ขณะนี้จึงเริ่มทำโครงการขยะรักโลกนำสิ่งของหรือคูปองมาแลกเป็นของรางวัล แปรรูปขยะเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ กิจกรรมแรกจับมือกับกลุ่ม พีทีทีจีซี เดินหน้าทำ up clying the Ocean ต่อเนื่องมา 2 ปี ร่วมมือกับเก็บขยะในทะเลที่ระยอง นำขยะมาทอเป็นเส้นใยผลิตเสื้อผ้ามาจากพลาสติกรีไซเคิลจริง ๆ

จากนี้ไปจะเริ่มต่อยอดนำขยะที่ ททท.เก็บได้พัฒนาเป็นสินค้าอื่น ๆ โดยจับมือกับพันธมิตรกลุ่มที่ 2 Sustainable Brand นำมารีดีไซน์เป็น Good Waste จัดประกวดแข่งขันในกลุ่มดีไซเนอร์รุ่นใหม่ออกแบบแฟชั่นเทรนด์ใหม่ที่จะให้เห็นในเวทีการจัดงาน Sustainable Brand ครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2561



สำหรับซีเอสอาร์ที่ทำกับพันธมิตรเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2561 ททท.จับมือรัฐ เอกชน ชุมชน กับ 37 องค์กร ลงนามปฏิญญาโครงการ “ลดโลกเลอะ” โดยจะเห็นถึงทุกพื้นที่โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวต้องผนึกกำลังกันเลิกผลิตขยะ หรือต้องแยกขยะอย่างเป็นระบบ ส่วนโรงแรมร่วมมือดีมากเรื่องการร่วมลดปริมาณขยะพลาสติก รวมทั้งหันไปใช้ขยะที่สามารถนำมารีไซเคิลใช้ซ้ำใหม่ได้

อีกทั้งทาง ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประกาศให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคม ของแต่ละปี รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนออกมาร่วมกันเก็บขยะทั่วประเทศ ถือเป็นช่วงเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลเปิดฟ้าอุตสาหกรรมเดินทาง จึงใช้เป็นดีเดย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวต้อนรับการเริ่มศักราชปีงบประมาณใหม่ 2562



โดยจะโหมทำประชาสัมพันธ์ตุลาคม 2561 นี้ จับมือกับธนาคารจิตอาสา ของ สสส.หารือกันเรียบร้อยแล้ว จะทำโครงการรณรงค์ “ถุงฟ้าล่าขยะ” เปิดให้ประชาชน ชุมชน เมืองหลัก เมืองรอง  ร่วมมือกับ ททท.ในทุกพื้นที่ หรือทุกหมู่บ้านที่อยู่ติดหาดก็สามารถชวนนักท่องเที่ยวออกมาเก็บขยะหน้าบ้านของตนเองได้

สำหรับการแยกหมวดหมู่ของขยะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เฟสแรก ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ เข้ามาร่วมออกแบบทำเป็น แฟชั่นเสื้อผ้า นำขวดพลาสติกมาเป็นเส้นใย และมีการร้องขอจากชุมชนประมง ต้องการให้ทำเป็นวัสดุประเภทใช้สอยในการประมงได้ เช่น ตาข่ายดักปลาขนาดมาตรฐานที่ปลาตัวขนาดเล็กรอดเข้ามาไม่ได้ หรือโรงแรมขอให้ทำเป็นของใช้ เช่น โต๊ะ ใช้งานในห้องพัก ซึ่งได้รับโนว์ฮาวน์จากต่างประเทศ นำพลาสติกมาผสมปูนหล่อเป็นเฟอร์นิเจอร์

โดยจะได้เห็นดีไซเนอร์หน้าใหม่ขึ้นมาประชันผลงานเชิงสร้างสรรบนเวทีงานใหญ่ประจำปี Sustainable Brand 2018 (ดูรายละเอียดได้ที่ www.sustainablebrandbangkok2018.com) รวมทั้งจะประกาศรายชื่อผลงานที่จะคว้าแชมป์การออกแบบขยะเป็นของใช้เทรนด์สมัยใหม่ใช้งานได้จริง และสามารถนำมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย



เมื่อได้ภาพใหญ่ของการนำทัพแปรขยะเป็นของมีมูลค่าแล้ว ในเชิงพาณิชย์ผลิตเพื่อจำหน่ายนั้น ในส่วนขององค์กร ททท.อย่างโครงการลดโลกเลอะได้นำขยะมาจัดทำเป็นของที่ระลึกผู้เข้าร่วม 2.กลุ่มโอท็อปสามารถนำขยะแปรรูปมาร่วมจำหน่ายได้ 3.พันธมิตรกลุ่ม up Clying the Ocean นำเส้นใยพลาสติกมาผลิตเสื้อล็อตแรกจากขยะระยองกับภูเก็ต ขณะนี้บรรดาร้านแฟชั่นดีไซน์หลาย ๆ ร้าน สนใจนำผลิตภัณฑ์ไปต่อยอดมูลค่าเพิ่มและวางขาย จากนั้นก็จะนำรายได้คืนกลับไปให้ชุมชนเพื่อนำไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น

ผอ.ฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท.จะเดินหน้าต่อยอดการนำขยะมาแปรรูปเพื่อเสริมสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน ทำให้เกิดความสุขเมื่อได้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างสภาพแวดล้อมรักษาอัตลักษณ์ไว้ได้ด้วย เมื่อปี 2560 ททท.นำร่องทำ ซีซั่น1 โครงการ CEO Village to the World เน้นเรื่องซีเอสอาร์แหล่งท่องเที่ยวชุมชนอย่างมาก ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการจะมีทีมลงพื้นที่เข้าไปสอนวิธีการจัดการขยะ คัดแยก และบริหารจัดการขยะชุมชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และอธิบายถึงผลที่จะตามมาต่อภาพลักษณ์ของชุมชน



ซีซัน 2 เน้นการท่องเที่ยวทั่วไทยกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่ อาสาโซเชียล พาเที่ยวชุมชน ระดมกลุ่มจิตอาสาที่มีเครือข่ายโซเชียลโดยมีผู้ติดตามหรือ follower จำนวนมากที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในแหล่งชุมชน ททท.ได้นำมาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ขลัดเกลาให้เข้าใจถึงแนวทางการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะนี้กลุ่มอาสาโซเชียลกลุ่มน้ำดีได้ลงพื้นที่ไปเที่ยว สร้างสัมพันธ์ การเรียนรู้ที่ดีแก่ชุมชน จิตสำนึกที่แสดงบนโซเชียล ทำให้เกิดผลเชิงบวกหลายเท่าหรือ multiplier effect ต่อชุมชน ก่อให้เกิดการโปรโมตให้ชุมชนสามารถขายท่องเที่ยวได้จริง

โดยทำงานร่วมกันเครือข่ายพันธมิตรอย่างใกล้ชิด สร้างสรรค์การทำโปรแกรมพักค้างคืนในชุมชน ขณะนี้มีการริเริ่มโหม 1 night stay in Local เริ่ม 14 ชุมชน แต่ละชุมชนจะคิดค่าใช้จ่ายต่อคน อาหาร ที่พัก บริการ และที่สำคัญคือการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงขอเชิญชวนชาวไทยเข้าไปสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชนเมืองรองแล้วไปเที่ยวต่อเมืองหลักก็ได้

นับจากนี้ไป ททท.จะทำให้ขยะท่องเที่ยวทุกพื้นที่ท้องถิ่นของประเทศไทย กลายเป็นทองคำหรือสินทรัพย์ (asset) ที่มีค่าของท้องถิ่นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ให้จงได้

ฟังข่าวต้นชั่วโมง

ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ลุยแจกสนามบอลแห่งที่15”



นางเอมอร ศรีวัฒนประภา รองประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า ได้นำทีมผู้บริหารและพนักงานส่งมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแห่งที่ 15 ขนาดพื้นที่มาตรฐานเล่นได้ 7 คน ให้แก่โรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย และแจกลูกฟุตบอลให้ชุมชนและโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงอีก 6 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสมาหารศึกษา  โรงเรียนรุ่งเรืองวิทยา  โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์ โรงเรียนวัดสะพาน  โรงเรียนดาราคาม และโรงเรียนบางจาก (นาคเผื่อนอุปถัมภ์) และจัดกิจกรรมเล่นเกมฝึกทักษะเล่นฟุตบอลรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การเลี้ยงลูกบอล การยิงประตู เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และก่อให้เกิดความสนุกสนานให้แก่เด็กและเยาวชน



นับเป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลัง คนไทย’ ที่จะผลักดันให้เด็ก ๆ มีความสุข อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะแจกสนามฟุตบอลทั่วประเทศตลอดโครงการรวม 100 สนาม ภายใน 5 ปี ระหว่าง 2560-2564

ข่าวที่ 2 “ททท.-4สมาคมจัดทัวร์วันแม่เชียงรายสู่เชียงตุง”

นางสมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จะจับมือกกับ 4 สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ขายแพกกเกจนำเที่ยวรายการพิเศษ “เส้นทางเชียงราย” ช่วงวันแม่ แพกเกจ 4 วัน 3 คืน ระหว่าง 10-13 สิงหาคม 2561
       

โดยทั้งที่ 4 สมาคม จะผลิตแพกเกจแล้วช่วยกันขาย ประกอบด้วย “วัดร่องขุ่น” ผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์  ต่อด้วยการแวะสักการะ “รอยพระบาทของพ่อ” ณ ค่ายเม็งรายมหาราช “ไร่ชาฉุยฟง” จิบชาทานขนมแล้วเดินทางสู่ “ดอยตุง” เยี่ยมชมพระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวง

จากนั้นพาข้ามพรมแดนตรงด่านแม่สายไปยัง “เมืองเชียงตุง” เมืองสามจอม เจ็ดเชียง เก้าหนอง สิบสองประตูเมือง เมืองหลวงของรัฐฉานอันมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน แวะพักยืดเส้นยืดสาย ณ ดอยปางควาย ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดของเส้นทาง เยือน “หมู่บ้านชาวเขาเผ่าแอ่น” ชมการดำรงชีวิตของชาวเขาฟันดำ ที่มีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย พร้อมเลือกซื้อผ้าทอมือลวดลายแปลกตา



แวะนมัสการ “พระธาตุจอมดอย” หรือ พระธาตุจอมลอย ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ตามตำนานชาวลัวะที่สร้างพระธาตุแห่งนี้ ขึ้นมา และสาปไม่ให้เจ้าใหญ่นายโตท่านใดมาสักการะ แล้วไปสักการะ “พระมหาเมี๊ยะมุนี” องค์จำลองจากมัณฑะเลย์ ณ วัดหลวงคู่เมืองเชียงตุง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2470 โดยเจ้าก้อนแก้วอินแถลง เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง
         
เยี่ยมชม “ตลาดเช้าเชียงตุง” ต้นไม้ยางยักษ์ขนาด 8 คนโอบ อายุมากกว่า 200 ปี ต้นไม้คู่เมืองเชียงตุง ปลูกโดยเจ้าอลองพญา สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดพระธาตุจอมคำ หรือ วัดพระธาตุจอมทอง สักการะ พระยืนชี้นิ้ว ปางพุทธทำนาย ที่ใหญ่ที่สุดในรัฐฉาน ณ วัดจอมสัก แล้วกลับเข้าเขตแดนไทยร่วมงานเลี้ยง ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง สนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาค ภาคเหนือ


         
เยือน “วัดถ้ำป่าอาชาทอง” หนึ่งใน Unseen in Thailand ซึ่งอยู่บนดอยสูง ต.ศรีคำ อ.แม่จัน ร่วมตักบาตรบนหลังม้าก่อนเดินทางสู่ “ศูนย์วิปัสนาไร่เชิญตะวัน” ก่อสร้างขึ้นโดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่าน ว.วชิรเมธี) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก เยือน “วัดห้วยปลากั้ง” ชม “พบโชคธรรมเจดีย์” สูง 9 ชั้น ศิลปะจีนผสมล้านนา แวะชมความงดงามของพระอุโบสถสีฟ้าแห่ง “วัดร่องเสือเต้น” ก่อนปิดท้ายด้วยการซื้อของฝากที่เชียงรายไนท์บาซ่า

ข่าวที่ 3 “บางจากรุกขยายปั๊ม-สาขาSPA-กาแฟอินทนิล”

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ปี 2561 ตั้งเป้าหมายเปิดสถานบริการน้ำมันใหม่เป้าอีก 80 แห่ง ใช้เงินลงทุนราว 1.5 พันล้านบาท ช่วงครึ่งแรกปีนี้เปิดสถานีบริการแล้ว 30 แห่ง และจะเปิดในช่วงครึ่งปีหลังอีก 50 แห่ง ส่งผลให้สิ้นปีนี้มีทั้งสิ้น 1,200 แห่ง

ควบคู่กับการขยายธุรกิจเสริมอื่น ๆ เพื่อดึงดูดใจลูกค้าเข้ามาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันให้มากขึ้นด้วย ปี 2561 จะเปิดร้านกาแฟอินทนิล 200 แห่ง ช่วงครึ่งแรกของปีนี้เปิดไปแล้ว 120 แห่ง ส่วนที่เหลืออีกในช่วงครึ่งหลังซึ่งจะทำให้มีร้านกาแฟอินทนิล 600 แห่ง จากปีที่ผ่านมาเปิดเรียบร้อยแล้ว 400 แห่ง

ส่วนร้านซูเปอร์มาร์เก็ต SPAR สิ้นปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 20 แห่ง ปัจจุบันมี 35 แห่ง และจะเพิ่มฐานสมาชิกบัตรแก๊สโซฮอล์คลับและดีเซลคลับเป็น 2 ล้านราย จากปัจจุบัน 1.8 ล้านราย

ข่าวที่ 4 “ทอท.ผ่านแผน5.3หมื่นล้านดอนเมืองF3-ชม.F1”



บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” รายงานว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 มีมติเห็นชอบให้ใช้งบประมาณกว่า 5.3 หมื่นล้านบาทเพื่อขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยาน เดินหน้าปรับปรุงแผนแม่บทโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ (fase) 3 วงเงินลงทุน 37,590.246 ล้านบาท รวมการก่อสร้างอาคารบริการผู้โดยสารบริเวณลานจอดสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) วงเงิน 207,106,739. บาท และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ (fase) 1 วงเงินลงทุน 15,818.507 ล้านบาท

รายละเอียดการพัฒนาดอนเมืองเฟส 3 ระหว่าง 2561-2567 พุ่งเป้าเพิ่มความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 40 ล้านคน จากปัจจุบัน 30 ล้านคน โดยจะรื้ออาคารผู้โดยสารภายในประเทศ หลังเดิมกับอาคารเทียบเครื่องบินหมายเลข 6 เพื่อก่อสร้างเป็นอาคารผู้โดยสาร อาคาร 3 พื้นที่ 155,000 ตารางเมตร ซึ่งจะรับผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มได้ปีละ 18 ล้านคน

หลังจากนั้นจะปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 เป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ระหว่างปรับปรุงก็จะให้ไปใช้อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 2 อาคารจะรองรับผู้โดยสารภายในประเทศปีละ 22 ล้านคน

ตามแผนดอนเมืองเฟส 3 กำหนดแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2567 โดยจะพัฒนาส่วนอื่นควบคู่กันไปด้วย ได้แก่ 1.เขตการบิน (Airside) และนอกเขตการบิน (Landside) 2.ขยายหลุมจอดเพิ่มอีก 28 หลุม จาก 114 เป็น 142 หลุมจอด 3.ขยายช่องทางถนนในสนามบิน 4.เพิ่มพื้นที่ลานจอดรถยนต์ จาก 4,475 คัน เป็น 5,736 คัน 5.การก่อสร้างอาคารต่าง ๆ



ขณะที่การพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ เฟส 1  ระหว่าง 2561-2565 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารเป็นปีละ 16.5 ล้านคน จากปัจจุบัน  8 ล้านคน  (กำลังจะเต็มในปี 2568) จึงต้องทำให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2565

 ดังนั้นจึงต้องก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอาคาร ได้แก่ 1.ทางขับและลานจอดอากาศยาน 2.สร้างหลุมจอดเพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 31 หลุมจอด 3.สร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดยปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมให้เป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ทำให้มีอาคารผู้โดยสารเพิ่มจากเดิมเป็น 2 อาคาร

4.สร้างอาคารสำนักงานเชียงใหม่ สายการบิน 5.ลานจอดรถยนต์รวมถึงเพิ่มพื้นที่จอดรถยนต์จาก 800 คัน เป็น 3,000 คัน 6.อาคารระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ 7.ระบบถนนภายในโดยเพิ่มช่องทางจราจร โดยก่อสร้างทางยกระดับแยกผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก   8.ปรับปรุงขยายระบบเติมน้ำมันอากาศยานทางท่อ

ข่าวที่ 5 “TCEBนำเอกชนไมซ์แชมป์AMVSทำรายได้พุ่ง”

TCEB ปลื้มไทยนำสถานประกอบการ 13 แห่งขึ้นแชมป์ AMVS อาเซียน ได้แรงหนุนโพลล์โชว์หลายแห่งทั่วไทยโกยรายได้และงานประชุมเพิ่มเพียบ

จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประช


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน/TCEB” เปิดเผยว่า ในปี 2561 TCEB สามารถนำอุตสาหกรรมไมซ์ในแต่ละภาคของไทยขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ทางด้านมาตรฐานสถานที่จัดงาน หรือ ASEAN MICE Venue Standard : AMVS ทั้ง 5 ภูมิภาค รวม 13 ราย ได้แก่ ภาคกลาง 9 ราย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก  ภาคตะวันตก ภูมิภาคละ 1 ราย

โดยมีรายชื่อผู้ประกอบการที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำเรียบร้อยแล้ว และมีผู้สนใจเลือกจัดเป็นสถานที่จัดงานไมซ์เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างเข้มข้นทั้ง 13 แห่ง ได้แก่

กรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นกลุ่มโรงแรม มีทั้ง เจ้าพระยาปาร์ค, ชาเทรียมริเวอร์ไซด์, เซ็นทาราแกรนด์ แอนด์ เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว, เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์, เดอะ สุโกศล, รามาการ์เด้นส์, อโนมาแกรนด์ กรุงเทพ, อมารี ดอนเมืองแอร์พอร์ต, ฮอลิเดย์ อินน์ กรุงเทพ สีลม

ภาคใต้ โรงแรมดวงจิตต์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเต็ล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ภาคตะวันออก โรงแรมพูลแมน จี ภาคตะวันตก โรงแรม เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ต แอนด์ สปา


รวมถึงผลการโหวตโพลล์การสำรวจความพึงพอใจ ปี 2561 พบว่าโรงแรมและศูนย์ประชุมแถวหน้าของไทยที่ผ่านมาการรับรองมาตรฐานระดับ Thailand MICE Venue Standard :TMVS ต่างก็ได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นสถานจัดงานขั้นดีเยี่ยมจากลูกค้าต่างประเทศ สถานทูตต่างประเทศในไทย มีความเชื่อมั่นสูงขึ้น และมีรายได้จากตลาดรองรับการจัดประชุมเพิ่มขึ้น อาทิ โรงแรมจอมเทียนปาล์มบีชรีสอร์ท พัทยา มีลูกค้าบริษัทเอกชนเข้ามาใช้จ่ายเงินจัดประชุมเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านบาท C ASEN สื่อประชาสัมพันธ์ของ TCEB มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 30 % โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค มีกรุ๊ปต่างชาติเข้ามาเลือกจัดประชุมและจองห้องพักเพิ่มขึ้น จากกรุ๊ป Sogo Biken หรือ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี หาดใหญ่ ได้รับงานจัด MICE Academy & Career Day 2019 และ Coach the Coaches Program

ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยมีให้เลือกได้หลายมุม หลังเสร็จงานบุญใหญ่แห่เทียนพรรษา แนะนำให้ไปชมแหล่งอนุรักษ์การผลิตไหมลายกาบบัวแห่งเดียวในประเทศที่ “พิพิธภัณฑ์บ้านคำปุน” อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี “คุณสุชัย แต้สุจริยา” ได้ทุ่มทุนสร้างงานศิลป์ศูนย์รวมผืนผ้าแห่งชีวิตชุมชนขึ้นมาใหม่ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมทุกวันแล้ว จากเดิมเปิดเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น ส่วนการใส่ใจสุขภาพกับ “วิธีป้องกันผลเสียจากการยืนนานๆ”   และข่าวคลุกวงในมีหลายเรื่องน่าสนใจคือ กระทรวงท่องเที่ยวหวังดึง อพท.เข้าสังกัดลุยพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จับแหล่งเที่ยวต่าง ๆ ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง และดันนโยบายปี 62 เริ่มเก็บค่าเหยียบแผ่นดินนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนแอร์เอเชีย โหมใช้เชียงใหม่เป็นฮับเปิดเส้นทางใหม่เข้าไทเป ขณะที่แอร์เอเชียเอ็กซ์ ขอใช้เงินเกือบ 1 หมื่นล้านเพิ่มฝูงบินใหม่แอร์บัส A330 และ “เอวา เกาะช้าง” มีแพกเกจบุฟเฟต์ดินเนอร์พร้อมดูโชว์แค่หัวละ 899 บาท

@เที่ยวพิพิธภัณฑ์ใหม่บ้านคำปุน จ.อุบล

บ้านคำปุน ก่อนปิด แล้วเปิดใหม่เป็นด้านข้างทำเป็นพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาผ้า


เมื่อไปถึง “อุบลราชธานี” เมืองท่องเที่ยวรองมีขนาดพื้นที่ใหญ่ติด 1 ใน 3 ของประเทศ ดินแดนเมืองแห่เทียนพรรษาเลื่องชื่อ ครั้งหนึ่งในชีวิตคนไทยและชาวโลกต้องแวะเข้าร่วมชมงาน วันนี้ 29 กรกฎาคม 2561 เทียนอุบลจาก 13 คุ้มวัดต่างประชันกันออกแบบนำมาประชันความงามในงานบุญเข้าพรรษา ก่อนจะนำไปตั้งไว้ตามคุ้มวัดต่าง ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมตลอดทั้งปี

ส่วนมุมใหม่ที่จะแนะนำให้แวะไปคือ “บ้านคำปุน” ตรงถนนศรีสะเกษ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อเสียงโด่งดังมากในการอนุรักษ์อัตลักษณ์ “ทอผ้าไหมลายกาบบัว” ไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับประสบการณ์อย่างลึกซึ้งถึงเส้นทางไหมอันทรงคุณค่าหาดูยากหนึ่งเดียวในแดนอีสาน อีกทั้งยังสร้างมูลค่าแก่ผู้ทอมีรายได้เป็นกอบกำ สนนราคาผืนละหลักหมื่น แสน ไปจนถึงล้านบาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย การดีไซน์ลายและการถักทอเส้นใยขึ้นมาเป็นผ้าแต่ละผืนที่สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน



เจ้าของบ้านคำปุนคือ “คุณแม่คำปุน ศรีใส” ปัจจุบันนี้ได้มอบให้บุตรชายทายาทรุ่นลูก “สุชัย แต้สุจริยา” นำบริเวณบ้านอยู่อาศัยในสถาปัตยกรรมการออกแบบพื้นที่งดงาม รูปตัวยู ด้านหน้าเป็นสระบัวขนาดใหญ่ บริเวณด้านข้างและด้านหลังสร้างเป็นเรือนสาธิตการทอผ้าไหมกาบบัวดีไซน์อนุรักษ์และร่วมสมัย ด้านหลังนำเรือนไทยเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของสะสมทั้งผ้าโบราณ พระพุทธรูปเก่าแก่ และวัตถุโบราณมากมาย

สุชัย แต้สุจริยา เจ้าของบ้านคำปุน
 โชว์ผ้าทอไหมดีไซน์ล่าสุดชื่อ "แสงแรก"


“คุณสุชัย” เล่าว่า  ตั้งแต่ 28 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป จะปิดพื้นที่บ้านคำปุน แล้วเคลื่อนย้ายของทั้งหมดไปไว้ใน “พิพิธภัณฑ์คำปุน” อยู่ในบริเวณติดกันกับบ้านหลังปัจจุบัน เพื่อทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ทุกวัน ด้วยการเก็บค่าเข้าชม คนละ 100 บาท เหตุที่ต้องย้ายจากบ้านไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ก็เพื่อให้สาธารณชนได้สัมผัสได้มากขึ้น แทนของเดิมซึ่งจะเปิดให้ชมเฉพาะช่วงเข้าพรรษา 3 วัน เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ต่อจากนี้ไปก็เข้าชมได้ทุกวัน



สำหรับ “ผ้าไหม ลายกาบบัว” เป็นการคิดค้นและออกแบบโดย “บ้านคำปึน” จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ปี 2555 เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปชมก็จะได้เห็นถึงขั้นตอนวิธีการทอผ้าพิเศษ ประดิษฐ์คิดค้นมายาวนาน โดยทางบ้านคำปุนถือเป็นศูนย์กลางสำคัญที่ได้รวบรวม เครื่องมือทอผ้าโบราณอันประณีตงดงาม สร้างจากไม้ และไม้ไผ่ นำมาทอเป็นผืนผ้าอันวิจิตรล้ำค่าเป็นอัตลักษณ์คู่บ้านเมือง

ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป ทางบ้านคำปุน จะเปิดให้ชมได้ทุกวัน แบ่งเป็น 2 โซน คือ



โซนแรก โรงทอผ้าไหมแบบครบวงจร ซึ่งจะมีชาวบ้านมานั่งถักทอไหมด้วยเครื่องโบราณ สีสันแตกต่างกันไป ผ้าดีไซน์ ไหมลายกาบบัว ล่าสุดที่เปิดตัววันที่ 28 กรกฎาคม 2561 คือ “ไหมแสงแรก” โทนสีส้มเอิร์ทโทนใช้สีธรรมชาติของเปลือกชาดนำมาผ่านกรรมวิธีการย้อมอย่างพิถีพิถันวิจิตรงดงาม

ผ้าไหมโบราณในพิพิธภัฯลณฑ์บ้านคำปุน

โซนที่สอง คำปุน คาเฟ่ และอาคารพิพิธภัณฑ์หลังใหม่ ตัวอาคารจะมีทั้งพิพิธภัณฑ์ ภายในจัดทำเป็นนิทรรศการบ้านคำปุน ตกแต่งบอกเล่าเรื่องราวการผลิตผ้าไหม ที่ได้รับการออกแบบลวดลายสไตล์ร่วมสมัย และมีบริเวณมุมนั่งชีลในร้านกาแฟ ร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม และของที่ระลึก จะเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น สอบถามได้ที่ 045-254-830

@ วิธีป้องกันผลเสียจากการยืนนาน ๆ

วิธีป้องกันผลเสียจากการยืนนานทำได้อย่างไร มีข้อแนะนำหลายอย่างที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ดังนี้

1.ยืนบนพื้นนิ่ม พื้นที่นิ่มลดแรงกดที่เท้าได้ อาจใช้พรมเช็ดเท้านิ่มๆ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อพรมสำหรับยืนที่มีราคาแพง สามารถทดสอบพรมได้ด้วยการถอดรองเท้ายืนบนพรมนั้น หลังจากนั้นลองยืนเท้าเดียว  ถ้ารู้สึกว่าสบายเท้าและยืนได้มั่นคงถือว่าใช้ได้

2.ใส่รองเท้าที่มีพื้นนิ่มและหลวมเล็กน้อย  รองเท้าที่มีพื้นนิ่มช่วยลดแรงกดไปที่เท้าได้เช่นเดียวกับพื้นที่นิ่ม ส่วนการที่ต้องเลือกรองเท้าหลวมเพราะตกเย็นเท้าของท่านอาจบวมได้เล็กน้อยจากการยืนนาน

3.ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงในการทำงาน ในกรณีที่เจ็บส้นเท้ามาก อาจใส่รองเท้าส้นสูงได้แต่ไม่เกิน 2 นิ้ว เพื่อช่วยลดแรงกดที่ส้นเท้า

4.ยืนเท้าโต๊ะสูงหรือตู้ขายสินค้าโดยใช้แขนหรือศอกรับน้ำหนักตัวทางด้านหน้า สลับกับการใช้ก้นหรือหลังพิงผนังเป็นครั้งคราว เพื่อลดน้ำหนักกดที่กระทำต่อหลังและเท้า

5. พักการยืนบ่อยๆ หย่อนขาข้างหนึ่ง หรืออาจใช้ที่วางเท้าเป็นบล็อกสูงจากพื้นประมาณ 4-6  นิ้ว

6. ใช้เก้าอี้แบบกึ่งนั่งกึ่งยืน ในกรณีของพนัก-งานเคาน์เตอร์หรือการทำงานในโรงงาน

7. ถ้างานที่ทำสามารถทำได้ทั้งในขณะยืนและ นั่ง ให้ยืนสลับนั่ง แต่ต้องจัดสภาพงานให้เหมาะสม เช่น โต๊ะยืนทำงานไม่ควรเตี้ยเกินไปจนต้องก้มหลัง อาจจัดโต๊ะให้ทำงาน 2 ชุด คือชุดยืนและนั่งทำงาน แล้วให้ทำงานสลับหน้าที่กันเป็นระยะๆ

8. เมื่อรู้สึกเมื่อย ให้เดินไปมาสัก 2-3 นาที  จึงค่อยนั่งลง  ยกขาทั้ง 2 ข้างพาดบนที่นั่งของเก้าอี้อีก ตัวหนึ่ง ให้เท้าอยู่สูงประมาณระดับเข่า เพื่อช่วยเลือดจากขากลับเข้าสู่หัวใจดีขึ้น ป้องกันหลอดเลือดขอด มีโอกาสพักอย่ายืนคุยให้นั่งยกขาพาดเก้าอี้ อาจจะกระดก ปลายเท้าสลับกันซ้าย-ขวาร่วมด้วย

9. กลับถึงบ้านให้นอนเอาเท้ายันกับกำแพง ให้เท้าอยู่สูงจากพื้นประมาณครึ่งเมตร แล้วกระดกปลาย เท้าขึ้นสลับกันทั้ง 2 ข้าง  ทำประมาณ 10 นาที ออกกำลังด้วยการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ เป็นเวลา 15-20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงขา พักผ่อนด้วยการนอนให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ข่าวแรก “ก.ท่องเที่ยวดึงอพท.เข้าสังกัด-ปี61เก็บเพิ่มทัวร์อินบาวนด์

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ.การท่องเที่ยวและกีฬา 


นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างใหม่จะนำองค์การบริหารการพัฒนา พื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) มาอยู่กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อ ขยายงานเพิ่มจากเดิมซึ่ง อพท.มีความสามารถที่โดดเด่นเรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนอย่างยั่งยืน โดยให้ชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวและรับประโยชน์เอง เป็นจังหวะที่ดีเพราะตอนนี้มีแหล่งท่องเที่ยวกระจายอยู่ทั่วประเทศเกินกว่า 5,000 แห่ง แต่การท่องเที่ยวกระจุกอยู่ใน 22 จังหวัด และยังมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมากยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งท่องเที่ยว และรอการค้นพบ เช่น ประเภทถ้ำ ที่มีถึง 4,000 แห่ง
ส่วนการพิจารณานำแนวทางเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวนานาชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทย ปี 2561 มีรายงานว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะประกาศเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวคนละ 800 บาท เพื่อเป็นค่าดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และทำนุบำรุงทรัพยากรของประเทศ

ข่าวที่สอง “แอร์เอเชียรุกบินเชียงใหม่-ไทเปโปรตั๋ว1.5พันบาท”


ไทย แอร์เอเชีย รายงานว่า จะเปิดเส้นทางบินใหม่โดยใช้ศูนย์กลางการบินภาคเหนือ ไป-กลับ เชียงใหม่-ไทเป (ไต้หวัน) สัปดาห์ละ 4 เที่ยว พร้อมอัดโปรโมชั่นตั๋วราคาสุดพิเศษ เริ่มต้นเที่ยวละ 1,590 บาท ให้ซื้อได้ถึง 29 กรกฎาคม 2561 แล้วเริ่มเดินทาง 30 กันยายน 2561-29 มีนาคม 2562

ขณะนี้มีเส้นทางบินออกจากเชียงใหม่ทั้งในและต่างประเทศ 13 เส้นทาง ไม่รวมไทเป คือ ระหว่างประเทศ  6 เส้นทาง คือ มาเก๊า ฮ่องกง ฉางซา หางโจว กัวลาลัมเปอร์ ย่างกุ้ง และภายในประเทศ 8 เส้นทาง ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น พัทยา (อู่ตะเภา) สุราษฎร์ธานี กระบี่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ

ข่าวที่สาม “แอร์เอเชียเอ็กซ์ได้วงเงิน9.2พันล้านเพิ่มฝูงA330”

ขณะที่ บริษัท ไทย แอร์เอเชีย เอ็กซ์ จำกัด ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติให้ขยายกิจการขนส่งทางอากาศด้วยวงเงินลงทุน 9,250 ล้านบาท ที่จะนำไปใช้เช่าเครื่องบินแอร์บัส A330 รวม 6 ลำ ความจุผู้โดยสารลำละ 377 ที่นั่ง นำมาบริการบินประจำและแบบเช่าเหมาลำ ตลาดทั้งในและต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย นับว่ามีส่วนช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินขยายการเติบโตของท่องเที่ยวไทยควบคู่กันไปด้วย

ข่าวที่สี่ “เอวาเกาะช้างเสิร์ฟบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ดหัวละ899บาท”

เอวา รีสอร์ท เกาะช้าง นำเสนอแพกเกจอาหาร Charcoal Grill Buffet ห้องอาหาร เดอะ แซนด์ ทุกวันเสาร์ เวลา 18.30 น. – 22.00 น. ในเพียงราคาสุทธิท่านละ 899 บาท เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มชิมรสของอร่อยตลอดการพักผ่อน มีทั้งเมนูหมู, เนื้อ, ไก่ และซีฟู้ดสดใหม่นุ่มละมุนลิ้น เสิร์ฟพร้อมสลัดผักสด รวมการแสดงโชว์ควงกระบองไฟในบรรยากาศริมทะเล ให้ผ่อนคลายในมื้อค่ำสุดพิเศษและของหวานอีกหลากหลายชนิด  โทร. 039-510-762

ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำ เวลา 11.00-12.00 น.ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ทางสวท.FM 97.0 MHz.

เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน
ผู้ดำเนินรายการและคอลัมนิสต์ท่องเที่ยว

TCEBผนึก4กระทรวงใหญ่จัดทัพไมซ์2.2แสนล้าน-ที่ยวฟรีเข้าพรรษา68จังหวัด

TCEBงัด”TMVS-MTEX”รุกใหญ่ไมซ์ไทยปี’61
ผนึก4กระทรวงบิ๊กจัดทัพแสดงสินค้าบูมชุมชน
เปิดใจCEOคิงเพาเวอร์4พลังสร้างโอกาสไทย
ผู้ว่าฯยุทธศักดิ์นำทัพท่องเที่ยวพุ่งครึ่งหลังปี61
บางจากนำทีมช่วยเหลือผู้ประสบภัยสปป.ลาว
ทอท.ผ่าลงทุน1.5แสนล้านสุวรรณภูมิเฟส2-5
ทีเส็บชูแคมเปญสื่อสารตลาดปั๊ม2.2แสนล้าน
เข้าพรรษานั่งรถฟรีไหว้พระทำบุญ68จังหวัด
แนะใช้5ส.สร้างสุขในวัดตลอดวันเข้าพรรษา
บินไทยผนึกคาร์ลสันฯลุยชิงเค้ก8ตลาดแข่งดุ
นำบุรัมย์บุกโตเกียวขายท่องเที่ยว23 ส.ค.นี้
โรงแรมริชมอนด์จัดบุฟเฟต์ส้มตำกิน 4จ่าย3

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen    และบล็อกเกอร์ #gurutourza

ช่วงที่ 1 เจาะลึก “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” ขับเคลื่อนบิ๊กโปรเจ็กต์ “TVMS” ปลุกกระผู้ประกอบการสถานจัดประชุมเข้ารับมาตรฐานทั่วไทย พร้อมกับตั้ง MTEX : กรรมการขับเคลื่อนการจัดการแสดงสินค้าแห่งชาติ” ลุยจับมือกับกระทรวงใหญ่ “มหาดไทย-พาณิชย์-อุตสาหกรรม-เกษตร” จัดกลุ่มงานแสดงสินค้าระดับชาติเปิดเวที B to B เพิ่มรายได้ชุมชนทั่วประเทศ

จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” 


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” เปิดเผยว่า เดินหน้าโครงการ Thailand MICE Venue Standard : TMVS ปี 2561 ตั้งเป้าสร้างมาตรฐานให้ผู้ประกอบการสถานที่จัดประชุมในไทยทั้งห้องประชุม เอ็กซิบิชั่นฮอลล์ สถานที่พิเศษการจัดงาน (special Venue) เพราะจาก 4 ปีที่ผ่านมาสามารถทำมาตรฐานรับรองได้แล้วทั้งสิ้น 315 แห่ง 791 ห้องประชุม



การทำมาตรฐาน TMVS เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างโอกาสทางการตลาดไมซ์ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเพิ่มทั้งจำนวนงานและรายได้ โดยทุกฝ่ายเข้าใจถึงมาตรฐานสากลที่ทีเส็บจัดทำขึ้นสามารถสร้างการจัดงานกระจายไปสู่ต่างจังหวัด โดยมีพื้นที่ศักยภาพเชื่อมโยงพื้นที่หลักและรอง โดยใช้ฐาน MICE City 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต พัทยา+EEC กรุงเทพฯ สามารถจัดงานอินเตอร์เนชั่นแนลได้ด้วย เชื่อมโยงเข้ากับเมืองอื่น ๆ หลังการแจกมาตรฐาน TMVS เพิ่มในอีสานอย่าง นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย ภาคใต้ก็มี หาดใหญ่ ถือเป็นการกระจายสถานที่จัดประชุมครอบคลุมทั่วประเทศ

ตัวอย่างการกระจายรายได้จากการจัดประชุมในพื้นที่หลัก จังหวัดขอนแก่น สู่เมืองรองอย่าง กาฬสินธุ์ ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์ไดโดเสาร์ หรือหมู่บ้านต่างๆ ยกระดับเป็น Event Venue ได้เช่นกัน

ตามเป้าหมายของทีเส็บปี 2561 ตั้งเป้าจะขยายฐานมาตรฐานรับรอง TVMS ทำเป็นสถานที่จัดแสดงสินค้าและห้องประชุมพิเศษให้ได้ถึง 175 แห่ง ขณะนี้มีผู้สนใจสมัครมาแล้ว 128 แห่ง ประกอบด้วย กลุ่มจัดแสดงสินค้า 5 แห่ง เสนอมาแล้ว 4 แห่ง จัดประชุมพิเศษตั้งไว้ 20 แห่ง สมัครแล้ว 15 แห่ง เกือบจะครบตามเป้าหมายแล้ว แต่ที่เสนอเข้ามาอาจจะมีบางแห่งยังไม่ได้รับรอง เพราะจะต้องให้คณะกรรมการเข้าไปตรวจมาตรฐาน โดยเปิดให้สมัครได้จนถึงสิ้นปี 2561 โดยจะประกาศผลได้ภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2561



นายจิรุตถ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้นำร่องจัดตั้ง “คณะกรรมการอุตสาหกรรมการจัดแสดงสินค้าแห่งประเทศไทย :M Power Thailand Exihibition : MTEX” โดยมีบุคคลากรจากองค์กรภาครัฐและเอกชนเข้ามาร่วมเป็นกรรมการชุดนี้ ได้แก่ กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสมาคมจัดประชุมและนิทรรศการ TEA สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อร่วมวางแผนเดินหน้ายุทธศาสตร์เชิงรุกผลักดันอุตสาหกรรม 4.0 เช่น ดิจิตอล เกษตร ระบบเครื่องกล และอื่น ๆ



คณะกรรมการ MTEX ประชุมร่วมกันแล้ว 2-3 ครั้ง มีมติให้ทีเส็บเป็นองค์กรหลักผลักดันการตลาด โดยได้ร่วมผลักดันแต่ละกรม ทบวง กระทรวง เช่น กรมพัฒนาชุมชน มีงานจัดแสดงสินค้ารายการใหญ่ระดับประเทศจัดทุกปี คือ OTOP ดังนั้นจะใช้ “ลานนา เอ็กซโป” เชียงใหม่ เป็นโมเดลต้นแบบจุดประกายจัดกลุ่มการแสดงสินค้าระดับประเทศของแต่ละกระทรวงเพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ หรือ B to B : Business to Business ปี 2561 กำหนดเซ็กชั่นการจัดงาน อย่าง มหกรรมงานกาแฟและเบเกอรี่ เชิญผู้ประกอบการต่างจังหวัดกลุ่มผู้ผลิตกับผู้ซื้อจากกรุงเทพฯ เข้าไปพบปะเจรจาธุรกิจ อีกทั้งยังมีกลุ่มงานหัตถกรรม สิ่งทอ สมุนไพรไทย แต่ละกลุ่มเซ็กเมนต์สินค้าภายใต้ ลานนา โมเดล ทำให้งานจัดแสดงสินค้าจัดอย่างมีทิศทาง และยังร่วมกับกรมพัฒนาชุมชนคัดเลือกงานที่มีเซ็กชั่นแบบ B to B ได้มากขึ้น และจับมือกับหอการค้าจัดเอ็กซิบิชั่นสาขาหลัก ๆ เช่น งานแสดงผ้าไหม



ทั้งหมดจะเป็นจุดเริ่มต้นส่งเสริมการจัดแสดงสินค้าตลาดภายในประเทศให้เกิดการเติบโตอย่างมีศักยภาพเป็นระบบโดยสามารถขยายฐานการตลาดและสร้างรายได้สู่ผู้ผลิตระดับท้องถิ่นครอบคลุมตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายนำอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเข้ามาเป็นเครื่องมือในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้วยการนำสินค้าชุมชนเข้าสู่เวที B to B ทีเส็บได้เริ่มนำร่องแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 จับมือกับเครือข่ายอนาคตไทย ทำโครงการ “ไมซ์ชุมชน” โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ซึ่งคัดเลือกสหกรณ์ทั่วประเทศที่สามารถจัดสถานที่เป็นโชว์เคสต์ของโปรดักซ์กับอุตสาหกรรมเด่น ๆ พื้นที่แรกทำแล้วคือ บ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โดยมีบริษัทคอร์ปอเรตกลุ่มพนักงานธนาคารเครือข่ายอนาคตเป็นลูกค้าที่ลงพื้นที่ไปอุดหนุนสินค้าของบ้านลาด

จากผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มแรกที่ไปยังบ้านลาด 50 คน เป็นเข้าไปยังแหล่งชุมชนปลูกกล้วยหอมทองส่งออก สามารถที่จะนำหน่วยงานเข้าไปจัดประชุมและปรับปรุงแพกเกจจิ้งจำหน่ายได้ราคาสูงขึ้น เป็นตัวอย่างที่ทีเส็บจะนำไปขยายผลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไป

ฟังข่าวต้นชั่วโมง

ข่าวที่  1 “ซีอีโอคิงเพาเวอร์เปิด4พลังสร้างโอกาสไทย”



“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำการบุกเบิกธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่เป็นมากกว่าร้านค้าดิวตี้ฟรี ได้จัดทำโครงการคืนประโยชน์สู่สังคมมากว่า 2 ทศวรรษ กระทั่งเมื่อปี 2560 ได้จังหวะจัดกลุ่มพลังทั้ง 4 POWER เป็นหมวดหมู่แล้วสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงลงมือทำเต็มรูปแบบจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ทุกพลังมุ่งเน้น “ให้โอกาส” แก่เด็ก เยาวชน คนไทยทั้งประเทศ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญอย่างมากของการ “ต่อยอดโอกาส” ที่จะมีส่วนผลักดันผู้คนที่มีความฝันในแต่ละด้านได้รับโอกาสเพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตกลายเป็นคนดีของสังคมทั้งปัจจุบันและอนาคต

โดยการทำในสิ่งเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากด้วยการ “ให้โอกาส” คนไทยในประเทศได้เดินตามความฝันสร้างสรรคุณภาพชีวิตที่ดีไปกับ “KING POWER THAI POWER พลังคนไทย” ทั้ง 4 ด้าน คือ 1.COMMUNITY POWER : พลังชุมชน 2.SPORT POWER : พลังกีฬา 3.MUSIC POWER : พลังดนตรี 4.EDUCATION & HEALTH POWER : พลังการศึกษาและสุขภาพ

ตัวอย่างโครงการ SPORT POWER ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นำลูกฟุตบอลจำนวน 1 ล้านลูก ทยอยแจกตามโรงเรียนต่างจังหวัดทั่วประเทศภายใน 5 ปี ระหว่างปี 2560-2564 เฉลี่ยปีละประมาณ 200,000 ลูก อย่างน้อยเด็ก ๆ ที่ได้รับลูกฟุตบอลไปแต่ละครั้งก็จะได้นำไปใช้ออกกำลังกาย หรือฝึกทักษะการเล่นฟุตบอล สานฝันก้าวเข้าสู่การเป็นนักเตะระดับท้องถิ่น จังหวัด ทีมชาติ ตัวแทนประเทศไปเล่นตามสโมสรต่างประเทศก็ได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพความสามารถของเด็กแต่ละคนที่ได้รับโอกาส ถ้าไม่ได้เป็นนักกีฬาก็จะได้ประโยชน์จากการเล่นกีฬาก็จะทำให้เด็กไทยมีสุขภาพแข็งแรง จิตใจแจ่มใส เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมในวันข้างหน้า

คำว่า “โอกาส” สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ เฉกเช่นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิลเบอร์ 9 เมื่อ 4 ปีก่อน เป็นเพียงช่างทาสี แต่พอได้รับโอกาสภายในช่วงพริบตาเดียวเขาก็ได้เข้ามาเป็นนักเตะมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่จนถึงทุกวันนี้



เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้นำลูกฟุตบอลไปแจกเด็กนักเรียนเยาวชนระดับอนุบาลระดับประถมศึกษาโรงเรียนในเขตเทศบาลอุบลราชธานี 15 ชุมชน จำนวน 1,500 ลูก บรรยากาศการแจกลูกฟุตบอลโลโก้ คิง เพาเวอร์ ตลอดครึ่งวัน เด็ก ๆ ทั้งหญิงและชายมีสีหน้าแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขหลังจากได้เป็นเจ้าของลูกฟุตบอลคุณภาพดีไว้เล่นส่วนตัวและแบ่งปันการเล่นเป็นทีมกับเพื่อน ๆ
การแจกลูกฟุตบอลของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังเหลืออยู่อีกกว่าค่อนล้านลูก กำลังจะถูกขนใส่คาราวานรถบรรทุกสินค้าส่งต่อไปในแต่ละเดือนข้างหน้า นำพาโอกาสไปสร้างพลังกระจายความสุขให้แก่เด็กไทยนับล้านชีวิต

อัยยวัฒน์อธิบายต่อถึงการเชื่อมโยงโครงการ “พลังคนไทย สุขา สุขใจ” เข้าไปยังอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในฐานะเอกชนไทยที่พร้อมนำร่องสร้างโอกาสให้เกิดภาพลักษณ์ความประทับใจในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองหลัก เมืองรอง จึงลงทุนสร้างห้องน้ำแห่งละประมาณ 10 ล้านบาท โดยร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามอบห้องน้ำดังกล่าวให้แก่ชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ใช้บริการห้องน้ำ สะอาด ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพและเป็นสุขใจ ระหว่างลงพื้นที่ส่งมอบแต่ละครั้งยังได้ชวนผู้บริหาร พนักงาน และเครือข่ายผู้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมทาสีห้องน้ำเก่า ปลูกต้นไม้เพิ่มความร่มเย็นตามสถานที่เหล่านั้นด้วย

ตั้งแต่ต้นปี 2561 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ส่งมอบห้องน้ำโดยเริ่มจากสวนพฤกษศาสตร์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อด้วยทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ช่วงครึ่งหลังปีนี้จะทยอยส่งมอบในภาคเหนือและอีสานอีก 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เลย เพชรบูรณ์ หนองคาย

อัยยวัฒน์ ฉายภาพอีกหนึ่งพลังที่สำคัญของโครงการ “COMMUNITY POWER” ในปี 2561 เป็นกิจกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปช่วยชุมชนเครือข่ายผู้ผลิตสินค้าท้องถิ่นตามอัตลักษณ์ไทย หรือ OTOP ประชารัฐ เปิดโอกาสให้นำสินค้ามาวางขายในร้านค้าปลอดอากรของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ทั้งสาขาสนามบินนานาชาติ (Airport Duty free) 4 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และสาขาในเมือง (downtown duty free) อีก 4 แห่ง ได้แก่ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต

ขณะนี้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้าไปสนับสนุนผู้ผลิตตามชุมชนทั่วประเทศหรือซัพพลายเออร์ 300 - 400 ราย โดยเข้าไปช่วยตั้งแต่ต้นน้ำด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อหรือนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติซึ่งเดินทางเข้ามาช้อปปิ้งปีละกว่า 35 ล้านคน

การเลือกสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแต่ละครอบครัวในชุมชน จะยิ่งเพิ่มห่วงโซ่ให้คนมีงานทำนอกเหนือจากการผลิตก็ยังขยายไปสู่การบรรจุหีบห่อ บริการขนส่งวัสดุอุปกรณ์ และอื่น ๆ เพื่อนำมาใช้ผลิตสินค้าแต่ละชิ้น เป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นตามนโยบายรัฐบาลโดยอัตโนมัติอย่างมีนัยสำคัญ จากการผลิตรายเล็ก ๆ ก้าวไปสู่เครือข่ายการผลิตขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ได้

ปี 2561 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะเพิ่มพื้นที่ตามสาขาต่าง ๆ ในการนำสินค้าชุมชนไปวางขาย ผลักดันยอดจำหน่ายหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 20-25 % ของทั้งหมดในแต่ละปี ขยับเป็น 25-30 % ได้ในอนาคตต่อไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวนานาประเทศนิยมสินค้าอัตลักษณ์ไทยที่มีดีไซน์มาตรฐานสวยงามคุณภาพ มีทั้งอาหารแปรรูป สแน็ก สมุนไพรไทย แฟชั่นผ้าไทย 4 ภาค เซรามิก ของใช้ และอื่น ๆ

คุณค่าของ “ผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนไทย” ที่ได้รับโอกาสคัดเลือกนำมาวางจำหน่ายตามสาขาร้านคิง เพาเวอร์ นอกจากจะถ่ายทอดเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของสินค้าแต่ละชิ้นแล้ว ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นตัวตนของท้องถิ่นนั้น ๆ เชื่อมโยงไปสู่การดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ตามรอยลงไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อค้นหาเสน่ห์ดังกล่าว

ข่าวที่ 2 “ผู้ว่าฯ ททท.จัดทัพท่องเที่ยวครึ่งหลังปี’61”



อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยผ่านครึ่งปีแรกได้อย่างราบรื่น ระหว่างมกราคม-มิถุนายน 2561 สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศกระจายเงินสู่ท้องถิ่นทั่วไทยเป็นกอบกำรวม 1,458,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 % จากชาวต่างชาติใช้เงินเที่ยวไทย 1,016,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.88 % ส่วนคนไทยใช้เงินเที่ยวในประเทศ ระหว่างมกราคม-พฤษภาคม 2561 รวม 442,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.90 %

สถานการณ์ครึ่งปีหลังตั้งแต่กรกฎาคม-ธันวาคม 2561 เป็นช่วงท้าทายจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การพลิกวิกฤตเป็นโอกาสหลังเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ต ปรากฎการณ์ 13 หมูป่าติดถ้ำหลวง และช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (low season) แต่ภารกิจของ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ต้องทำรายได้ให้เข้าเป้าตลอดทั้งปีรวม 3.1 ล้านล้านบาท ด้วยการใช้ท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือ ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการสร้างงาน สร้างเงิน สร้างความยั่งยืน เลิกทำลายสิ่งแวดล้อม ยกระดับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยใน 55 เมืองรอง และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเข้มแข็งมั่นคง

โจทก์ใหญ่ของ ททท.ที่จะต้องฟันฝ่าทุกความท้าทายนำพาการท่องเที่ยวของประเทศไปให้ถึงจุดหมาย ด้วยเสน่ห์ความหลากหลายของวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี ชุมชน เมืองรอง เชื่อมโยงเมืองหลัก และเพิ่มแรงจูงใจให้ “วันธรรมดา” ที่มีอยู่ปีละกว่า 200 วัน ให้กลายเป็น “วันแห่งความสุข” กระตุ้นให้เกิดการกระจายวันเที่ยวเลิกกระจุกอยู่เฉพาะวันหยุดยาว



“ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มพลังบุกขยายรายได้กระจายการท่องเที่ยวสู่ชุมชน โดยจะใช้ความหลากหลายจัดกิจกรรมสร้างรายได้ทำประโยชน์เข้าถึงท้องถิ่นมากที่สุด ด้วยจุดแข็งของโปรดักซ์ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยว สินค้าพื้นเมือง อัตลักษณ์วิถีท้องถิ่น ซึ่งจะผนวกไฮไลต์สำคัญเข้าไปอย่างเข้มข้นอีกส่วนคือการท่องเที่ยวจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งความเสียหายไว้ในแต่ละพื้นที่

ล่าสุดรัฐบาลให้งบประมาณรายจ่ายกลางปี 2561 เข้ามาโหมกระแสโครงการ Go Local ด้วยแคมเปญ Amazing Thailand Go Local Experience จัดทำตัวชี้วัดเพิ่มคุณค่าและกระจายมูลค่ารายได้ให้ถึงมือชุมชน สิ่งแรกที่ ททท.กำลังทำคือเชิญชวนเอกชนเข้าไปทำ CSR และ Team Building ขยายห่วงโซ่การใช้จ่ายอย่างกว้างขวาง ตามนโยบายของรัฐบาล และนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตามที่ทุกฝ่ายต่างย้ำให้ททท. นำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้ามาเป็นเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำกระจายรายได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ



ททท.จึงต้องใช้ เครื่องมือ ตัวชี้วัด การกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความยั่งยืน มาผสมผสานรับนโยบายมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง

ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนการปลุกกระแสกำลังซื้อให้คนตื่นตัวหันมาท่องเที่ยววันธรรมดาเพิ่มขึ้น แทนที่การท่องเที่ยววันหยุดยาวหรือวันนักขัตฤกษ์นั้น ททท.พยายามเปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นวันแห่งความสุข ล่าสุดได้กำหนดตัวชี้วัดเร่งให้สำนักงานในประเทศทุกภูมิภาคเพิ่มส่วนแบ่งนักท่องเที่ยววันธรรมดาขึ้นเป็นปีละ 35 % จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 20-25 % จึงต้องโหมทำกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับเอกชนและองค์กรต่าง ๆ อย่างเต็มที่ คือ จัดมหกรรมการขาย วันธรรมดาน่าเที่ยว กับ Outdoor Fest ควบคู่กับเน้นเลือกกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาการเดินทาง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ผู้สูงอายุสุขภาพแข็งแรงเดินทางเป็นหมู่คณะได้ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ 2.นักเรียนก็จัด Educational Trip 3.เจนวาย ซึ่งมีไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวไม่ชอบอยู่ในกรอบแต่สามารถตัดสินใจเดินทางได้ทันทีทุกเวลา

โดยสรุปจากนี้ไป ททท.จะเพิ่มการขายท่องเที่ยววันธรรมดาด้วยการเลือกกลุ่มให้เหมาะสมเข้ามาเดินทางวันธรรมดาพร้อมกับลงทุนโปรโมตกิจกรรมเที่ยววันธรรมดา



ขณะที่ “การสร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว” หลังเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต ททท.ได้แสดงความเสียใจ พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายค้นหาสาเหตุที่แท้จริง รวมทั้งจะใช้โอกาสนี้เสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ปฎิรูปและยกระดับมาตรการสร้างความปลอดภัยให้ได้ตามมาตรฐานสากล เพื่อดูแลไม่เฉพาะชาวต่างชาติปีละ 35-38 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลคนไทยที่เดินทางปีละ 140-160 ล้านคน-ครั้ง ด้วย

ระหว่างนี้ ททท.จึงร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เดินหน้าจัดทำโครงการมาตรฐานความปลอดภัยทางการท่องเที่ยวทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะแค่ภูเก็ตเพียงจังหวัดเดียว จะรณรงค์ให้ทางเชียงรายซึ่งเกิดกรณีเยาวชนทีมฟุตบอล 13 หมูป่าติดถ้ำเข้ามาร่วมมือด้วย และการจัดระเบียบความปลอดภัยทางถนนในทุกจังหวัดก็ต้องหารือกันอย่างจริงจังควรจะต้องร่วมกันอย่างไรต่อไป เพื่อให้คนไทยและทั่วโลกมั่นใจตลอดการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว

ผู้ว่าการ ททท.ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรต้องใช้วิกฤตครั้งนี้สร้างจุดเปลี่ยนเรื่องมาตรฐานการดูแลและป้องกันความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว จัดตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ Safety & Security Thailand Tourism :SSTT หลังจาก World Tourism Forum :WTF ได้จัดมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยอยู่ในอันดับ 118 จากทั้งหมด 136 ประเทศ ไทยต้องกลับมาทบทวนและพิจารณาอย่างจริงทั้งเรื่อง 1.การบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยอย่างเข้มข้น 2.เอกชนทุกภาคส่วนต้องร่วมมือแจ้งเตือนภัย 3.คนไทยต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดีช่วยกันดูแลความสุขแก่นักท่องเที่ยวทุกคน


ส่วนอีกโครงการไฮไลต์ของ ททท.เริ่มเมื่อ 24 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป คือการทำปฏิญญาร่วมกับภาครัฐและเอกชน 37 องค์กร เดินหน้าโครงการ “ลดโลกเลอะ” อันเป็นผลมาจากปัจจุบันขยะตามแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลจากการใช้พลาสติก สถิติคนไทยใช้ถุงพลาสติกวินาทีละ 4,400 ใบ ทิ้งอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวย่อยสลายได้ยากต้องใช้เวลานับร้อยปี โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทะเลจึงได้เห็นภาพ เต่าทะเล วาฬ กินถุงพลาสติกเข้าไป สวนทางกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเที่ยวทะเลเมืองไทยเพราะอยากเห็นความสวยงามและรักษาสิ่งมีชีวิต

จากนี้ไป ททท.จะหันมาทำโครงการรณรงค์ให้เกิดนักท่องเที่ยว “พันธุ์ใหม่ไม่ผลิตขยะ” ลดเลิกใช้หลอดพลาสติก ถุงพลาสติก นำภาชนะกระบอกเติมน้ำ หรืออุปกรณ์ใช้ได้หลายครั้งติดตัวไปใช้งานได้ทุกที่ และตั้งเป้าจะให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันกับ ททท.ลดปริมาณขยะภายในปี 2563 ลงให้ได้ 50 % นำร่องจากการทำปฏิญญากับ 37 องค์กรจับมือกันขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการนี้ไปด้วยกัน

ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 26-29 กรกฎาคม นี้ ทั่วประเทศจัดแห่เทียนพรรษา สามารถไปท่องเที่ยวกันได้ทุกที่ และตลอดสิงหาคม 2561 เตรียมจัดกิจกรรมวันแม่ภายใต้การจัดทำโครงการ “สิงหาพาแม่เที่ยว” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชิญชวนคนไทยแสดงความกตัญญูต่อแม่ เพราะการท่องเที่ยวให้ความสุขและความรู้ จึงมีนโยบายให้ ททท. จัดท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค และท่องเที่ยวข้ามภาค ทำให้เป็นเดือนมหามงคลและเดือนแห่งความสุข รวมทั้ง ททท.ตลาดต่างประเทศยังร่วมมือกันนำนักท่องเที่ยวผู้หญิงจากทั่วโลกเข้ามาเที่ยวตามโครงการ Women Jouney ถึงแม้จะเป็นหน้าฝนก็สามารถเที่ยวในสไตล์ Rain Coat ได้ เน้นกระจายนักท่องเที่ยวไปยังชุมชน เมืองรอง เชื่อมโยงเข้ากับเมืองหลักทั่วประเทศ ชูจุดขายเรื่อง “ความแตกต่าง” ของฤดูกาล ท้องถิ่น งานประเพณี จะเป็นเสน่ห์ดึงดูดการท่องเที่ยวทุกกลุ่มวัยได้เป็นอย่างดี



เพียงแค่ออกไปท่องเที่ยวไทย  1 เมือง 1 ชุมชน ก็ให้ความรู้สึกลึกซึ้งแตกต่างกันแล้ว และความหลากหลายของชุมชน เมืองรอง เป็นเสน่ห์ชวนให้ “ททท” ในความหมายคือ “เที่ยว-ทัน-ที” เท่ทุกที่ สวยทุกเวลา

ข่าวที่ 3 “บางจากส่งความช่วยเหลือไปสสป.ลาว”

นางสาวภควดี จรรยาเพศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มอบเงิน ให้นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำราชอาณาจักรไทย ร500,000 บาท  เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสปป.ลาว ณ สถานเอกอัครราชทูต แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำราชอาณาจักรไทย พร้อมสนับสนุนน้ำดื่ม 5,000 ขวด ส่งมอบผ่านสถานกงสุลใหญ่ สปป.ลาว จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นศูนย์รับบริจาคสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมเพราะเขื่อนแตกที่อัตปรือ ซึ่งขณะนี้ยังคงมีหน่วยงานหลายฝ่ายหลายประเทศพยายามเข้าไปช่วยในด้านด้วยเช่นกัน

ข่าวที่ 4 “ทอท.ลงทุน1.5 แสนล้านสุวรรณภูมิเฟส2-5”



ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่าภาพรวมการลงทุนขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2-3-4-5 ระหว่างปี 2561-2568 จะใช้เงินลงทุนรวมประมาณไม่เกิน 150,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดแผนขยายพื้นที่งานก่อสร้างเพื่อเปิดบริการภายในปี 2568 จะรองรับผู้โดยสารได้เกินกว่าปีละ 120 ล้านคน โดยมีทางวิ่งเครื่องบินรวม 4 รันเวย์ส ส่วนในปี 2564 ตามผลประเมินอย่างเป็นทางการอาจจะต้องกู้เงินระยะเร่งด่วนเข้ามาใช้จ่ายหมุนเวียนอีกไม่เกิน 50,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แต่ในมุมของผู้บริหารมองว่าอาจจะไม่ใช้เงินกู้ก็เป็นได้ จะต้องรอดูสถานการณ์ข้างหน้าควบคู่กันไป

โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการเฟส 2 (Sattlelight terminal) รวม 8 โครงการ 7 สัญญา ซึ่งจะเปิดบริการเต็มรูปแบบได้ภายในปี 2563 มีขนาดพื้นที่ 270,000 ตารางเมตร แซตเทิลไลท์จากการก่อสร้างใต้ดินขึ้นมายังเหนือพื้นดินมีอยู่ 5 ชั้น ภายในปีนี้จะเห็นการก่อสร้างอาคารบนพื้นดินหลังจากงานใต้อุโมงค์ใต้ดินทั้งหมดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ไฮไลต์หลัก ๆ คือ

 1.การเพิ่ม 28 หลุมจอด รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ แอร์บัส A380 โดยจะบริหารจัดการให้มาใช้พื้นที่จอดบริเวณตรงกลางแล้วสามารถระบายผู้โดยสารจำนวนมากออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว 2.ขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินได้ 68 เที่ยว/ช่วงโมง ปัจจุบันใช้งานความถี่หนาแน่นอยู่ประมาณ 60-63 เที่ยว/ชั่วโมง แต่เนื่องจากรันเวย์ของสุวรรณภูมิกับดอนเมืองสอบเข้าหากัน 20 องศา กรณีเที่ยวบินหนาแน่นระหว่าง 2 สนามบิน ก็อาจจะมีผลกระทบต่อจราจรการบินบ้าง เป็นปัญหาเรื่องการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ

3.ระบบรถขนส่งอัตโนมัติ APM แบบไร้คนขับจากอาคารหลักมายังอาคารรองระยะทาง 1.5 กม.จะใช้เวลาเชื่อมต่อเพียง 2-5 นาที



4.พื้นที่เชิงพาณิชย์ (commercial Area) ภายในอาคารจะเปิดบริการได้ช่วงปี 2563 ตรงกับที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ หมดสัญญาสัมปทาน ขณะนี้มีหลายฝ่ายให้ความสนใจแต่ในทางปฏิบัติกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาถึงความต้องการของลูกค้าจะมีจำนวนมากน้อยขนาดไหน ก่อนจะกำหนดเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ในอาคารหลังใหม่ได้อย่างเหมาะสม

ดร.นิตินัยกล่าวเมื่อเฟส 2 แล้วเสร็จ จะดำเนินการเฟส 3 ควบคู่กันไปวงเงินรวมกัน 63,000 ล้านบาท โดยทำรันเวย์ 3 (กำลังส่งเอกสารให้กระทรวงคมนาคม) อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 (ประกวดแบบวันที่ 26 กรกฎาคม 2561) ใช้งานได้ปี 2564 สุวรรณภูมิจะรองรับผู้โดยสารได้ทั้งหมด 90 ล้านคน และมีขีดการรองรับ 96 เที่ยว/ชั่วโมง

สำหรับอาคารแซตเทิลไลท์ 8 โครงการ ประกอบด้วย
1.การจ้างก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ชั้น B2-B1-G และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้ (CC1/1) กำหนดแล้วเสร็จภายในพฤศจิกายน 2561 ก่อสร้างโดยบริษัท อิตาเลียน ไทยดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน)



2.งานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ชั้น 2-4 และส่วนต่ออุโมงค์ด้านใต้งานระบบย่อย (CC1/2) กำหนดแล้วเสร็จพฤศจิกายน 2562 ก่อสร้างโดยกลุ่มร่วมทุน PCS ได้แก่ บมจ.เพาเวอร์ไลน์เอ็นจิเนียริ่ง บริษัท ไชน่าสเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างเสาด้านตะวันตกและตะวันออกของอาคารมิดฟิลด์ แซตเทิลไลท์ 1 และกำแพงคอนกรีตในอุโมงค์ด้านทิศใต้
3.งานจ้างก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก จะประกาศประกวดราคาเดือนตุลาคม 2561 ประกาศชื่อผู้รับจ้างงานเดือนมกราคม 2562 ใช้เวลา 18 เดือนสร้างให้เสร็จพร้อมใช้งานมิถุนายน 2563

4.งานจ้างก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก จะประกวดราคาพฤศจิกายน 2561 ประกาศผู้รับจ้างกุมภาพันธ์ 2562 ใช้เวลาสร้าง 29 เดือนให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้มิถุนายน 2564

5.งานจ้างก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค จะแล้วเสร็จเปิดใช้ได้พฤษภาคม 2562 โดยกิจการร่วมค้า เอสจี แอนด์ อินเตอร์ลิงค์ สร้างคืบหน้าไปแล้ว 38.85 %

6.งานซื้อพร้อมที่ติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) จะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานเมษายน 2563 โดยนิติบุคคลร่วมทำงาน ไออาร์ทีวี

7.งานซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) ขาออก จะแล้วเสร็จเมษายน 2563 โดยนิติบุคคลร่วมทำงาน ล็อกเลย์-แอลพีเอส

8.งานซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) ขาเข้า จะแล้วเสร็จเมษายน 2563 ขณะนี้อยู่ระหว่างประกวดราคาให้ได้ภายสิงหาคม 2561ประกาศชื่อผู้รับจ้างพฤศจิกายน 2561

ข่าวที่ 5 “TCEBชูแคมเปญTMVS2018ดันไมซ์2.2แสนล้าน”


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นไปได้เร่งจัดทำแคมเปญสื่อสารการตลาด Thailand MICE Venue Standards (TMVS) 2018 โดยจะเปิดรับหน่วยงานและองค์กรที่พร้อมสมัครเข้ารับการพิจารณาตรามาตรฐานสถานที่จัดงานไมซ์ ปีนี้ตั้งเป้ารณรงค์ให้มีสถานประกอบการไมซ์ไทยทั่วประเทศผ่านมาตรฐานการรับรองไม่ต่ำกว่า 175 แห่ง ช่วงตุลาคม 2560-กรกฎาคม 2561 มีผู้สนใจทยอยสมัครเข้ามาแล้ว 147 แห่ง วันที่ 14 ธันวาคม 2561 จะประกาศผลสถานประกอบการทั้งหมดที่ผ่านการรับรองมาตรฐานประจำปี 2561 ส่วนรายชื่อที่เหลือจะเก็บข้อมูลไว้พิจารณาในปีต่อไป



ส่วนแนวทางของแคมเปญสื่อสารการตลาด Thailand MICE Venue Standards (TMVS) 2018 ตั้งเป้าสร้างการรับรู้เข้าถึง 1 ล้านคน ด้วยความถี่ 7.5 ล้านครั้ง ผ่านช่องทางทั้งทางสื่อ ออฟไลน์และดิจิตอลออนไลน์ โดยมีไฮไลต์ความร่วมมือกับ 2 พันธมิตร ได้แก่ 1.ZipEVENT เป็นแพลตฟอร์มรวมงานอีเวนต์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในไทย  2.Event Banana แพลตฟอร์มออนไลน์มาร์เก็ตเพลส ส่วนที่เหลือจะโหมสื่อสารแคมเปญผ่านทาง วิดีโอ, Youtube , Instragram, Google Display Network, Content Facebook Introduce, Land Page และ Email Marketing

โดยใช้กลยุทธ์หลัก 4 สร้าง 1 สานสัมพันธ์ ได้แก่ 1.สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการ 2.สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ไมซ์ไทย 3.สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ 4.สร้างความเข้าใจในภารกิจและวิสัยทัศน์ขององค์กร และ 1.สานสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานพันธมิตรตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบการภายใต้แนวคิด “มั่นใจในคุณภาพระดับสากล ด้วยมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย”

นายจิรุตถ์กล่าวว่า ปี 2561 ตั้งเป้าสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมไมซ์เข้าประเทศรวม 124,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้เดินทางตลอดทั้งปี 1,327,000 คน สถิติช่วงไตรมาสแรกสร้างรายได้แล้ว 42,000 ล้านบาท จากผู้เดินทางรวม 547,623 คน สำหรับโครงการ TMVS สามารถสร้างผลประโยชน์กลับคืนสู่เศรษฐกิจประเทศได้ 2 ปีแรกไม่ต่ำกว่า 2.2 แสนล้านบาท แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือสามารถเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มเดินทางมาใช้บริการซ้ำ ๆ หรือ Repleater เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ตัวอย่าง กลุ่มอินเซ็นทีฟจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเลือกเข้ามาจัดงานในพัทยา ชลบุรี ซ้ำ ๆ ปี 2561 เป็นครั้งที่ 15 แล้ว

ช่วงที่ 2 ทั่วประเทศ 68 จังหวัด ชวนนั่งรถฟรี “ไหว้พระทั่วไทย สุขใจถ้วนหน้า” ในกรุงเทพฯ ขสมก.จัดรถแวะทำบุญรอบเกาะรัตนโกสินทร์ 10 วัด ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ชวนนั่งรถไปไหว้พระวัดดังอย่างสบายใจตลอดเทศกาลเข้าพรรษา วันนี้-29 ก.ค.นี้ ส่วนการดูแลสุขภาพมี “5ส.สุขใจในวัดช่วงเข้าพรรษา” มาแนะนำ และข่าวร้อน ๆ ช่วงวันหยุด “การบินไทย” ผนึกคาร์ลสัน วากองลี ลุยขยาย 8 ตลาดบินโลก “นำบุรีรัมย์บุกโตเกียว” 23 สิงหาคมนี้ ขายท่องเที่ยวครบวงจร และ “โรงแรมริชมอนด์” ท้าชิมบุฟเฟต์ส้มตำ มา 4 จ่าย 3 อร่อยสุดคุ้ม

@เข้าพรรษาไหว้พระวัดดัง5ภูมิภาคทั่วไทย

      ตลอดเทศกาลบุญใหญ่ อาสาฬบูชา เข้าพรรษา  ชวนกันไป “ไหว้พระทั่วไทย สุขใจถ้วนหน้า” กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั้ง 5 ภูมิภาค ได้รณรงค์ให้ทั่วประเทศ 68 จังหวัด จัดรถบริการรถท่องเที่ยวทางบุญฟรี ช่วงเสาร์ 28 – อาทิตย์ 29 กรกฎาคม นี้

เพื่อเป็นสวัสดิการทางสังคมเดินทางทัวร์บุญฟรีโดยมีการจัดรถหมุนเวียนบริการตามจุดขึ้น-ลง ตามเส้นทางผ่านวัดสำคัญ ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไหว้พระทำบุญเสริมสิริมงคลตามวิถีไทย เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา อันเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชน

ภาคกลาง 17 จังหวัด เริ่มจาก ในกรุงเทพมหานคร ชวนท่องเที่ยวโครงการ "ไหว้พระทั่วไทย สุขใจถ้วนหน้า” จัดรถ ขสมก. 3 เส้นทาง ไปทัวร์ 10 วัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์

เส้นทางที่ 1 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปยัง วัดเบญจมบพิตร – วัดบวรนิเวศน์ – วัดชนะสงคราม – วัดมหาธาตุ – วัดพระศรีรัตนศาสดาราม – วัดพระเชตุพน – วัดราชบพิธ – วัดสุทัศน์ – วัดสระเกศ – วัดราชนัดดา สิ้นสุดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ


หรือจะแวะไปตักบาตรดอกไม้-เดินเทียน ที่วัดราชบพิตร ช่วง 1 ทุ่มตรงชวนหลอมรวมใจชาวพุทธไปร่วมเวียนเทียนด้วยกัน

เส้นทางที่ 2 นนทบุรี ปทุมธานี รับจำนวนจำกัด วันละ 150 คน ต้องจองล่วงหน้าที่ 1672 ภายในวันที่ 25 กรกฎาคม แต่ถ้าใครจะขับรถไปเองก็ได้ ถ้าไปเมืองปทุมธานีไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องแวะชมตลาดน้ำสามโคก ส่วนนนทบุรี ทางวัดเฉลิมพระเกียรติ (เล่งเน่ยยี่) แวะตลาดน้ำวัดโตนด

เส้นทางที่ 3 จังหวัดรอบปริมณฑล  ไปชมวิถีชีวิตงานแห่เทียน ไหว้พระ วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี ไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ นครปฐม สักการะพระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี ไหว้พระวัดท่าไม้ สมุทรสาคร วัดโสธรวรวิหาร ฉะเชิงเทรา วัดสังกัสรัตนคีรี อุทัยธานี

Go North ภาคเหนือ ไฮไลต์ในเชียงใหม่ เตรียมรถรางไว้บริการนักท่องเที่ยวร่วมเดินทางไหว้พระกันตลอดทั้งวัน 9 วัด เริ่มจาก วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดดับภัย วัดโลกโมฬี วัดเชียงยืน วัดเชียงมั่น วัดดวงดี วัดพันเตา วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร สิ้นสุดที่วัดศรีสุพรรณ



ในลำปางแนะนำให้ไป “วัดพระแก้วดอนเต้า” ส่วนพิษณุโลก ต้องที่วัด “พระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

Go ISAN สัมผัสวิถีบุญใหญ่ในดินแดนอารยธรรมความหลากหลายในอีสานในบริเวณริมฝั่งโขง วัดโพธิ์ชัย หนองคาย วัดพระธาตุเชิงชุม สกลนคร และยังมีอีกหลายเมืองรองเปิดวัดชวนไปร่วมบุญกันได้ตลอดเทศกาลแห่เทียนพรรษา

Go South ลงใต้ ไปวัดช้างไห้ ถิ่นหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแห่งเมืองปัตตานี และวัดต่าง ๆ ใน นราธิวาส ปัตตานี เพื่อให้เห็นถึงชาวไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เรื่อยไปจนถึง พังงา ระนอง และวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช  วัดพระธาตุไชยา สุราษฎร์ธานี

เที่ยวเทศกาลบุญเข้าพรรษาทั่วไทย ได้ตลอดเสาร์-อาทิตย์ นี้ สอบถามเบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย ได้ทุกเวลาที่ 1672 หรือเข้าไปดูข้อมูลก่อนได้ที่ www.tourismthailand.org

@5 ส.สร้างสุขในวัดช่วงเข้าพรรษา

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ดำเนินโครงการวัดสร้างสุข เพื่อให้สังคมไทยตื่นตัวเรื่องการช่วยเหลือสังคม ก่อให้เกิดสังคมสุขภาวะ รวมทั้งดำเนินโครงการเพื่อพัฒนารูปแบบและแนวคิด 5ส.


1.สะสาง  ด้วยการลดสิ่งที่ไม่จำเป็นให้เกิดความสมดุล โดยการสำรวจสิ่งของ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่มีอยู่ ว่าพอดีกับการใช้งานหรือไม่ แยกแยะสิ่งของ หากพบว่าไม่จำเป็น ต้องดูว่าใช้ได้หรือไม่ ถ้าสิ่งของสามารถใช้ได้ ให้ส่วนกลางนำไปใช้ ถ้าใช้ไม่ได้ให้ดำเนินการขาย หรือดำเนินการกำจัดของเสีย อย่าเสียดาย

2. สะดวก ด้วยการจัดสรรสิ่งต่างๆ ให้เป็นระเบียบ โดยทำแผนผัง กำหนดชื่อ ที่อยู่ที่แน่นอนให้กับสิ่งของที่อยู่ในพื้นที่ทั้งหมด

3. สะอาด กำหนดรายการสิ่งของและจุดบริเวณที่ต้องทำความสะอาด หากพบสิ่งผิดปกติให้ติดป้ายและดำเนินการแก้ไขหรือแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้อง

4. สร้างมาตรฐาน ด้วยการตั้งกฎเกณฑ์และมุ่งมั่นพัฒนา หากพบว่ามาตรฐานไม่ได้ถูกนำไปใช้ ต้องปรับปรุงมาตรฐานให้ใช้ง่ายขึ้นและสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับ

5. สร้างวินัย ด้วยการเคารพกฎกติกา อยู่ร่วมกันด้วยความสุข โดยสร้างแรงจูงใจ และสร้างกิจกรรมส่งเสริมเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ข่าวแรก “บินไทยผนึกคาร์ลสันบุกเจาะ8ตลาดใหญ่”

นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยลงนามสัญญาความร่วมมือในการขยายธุรกิจกับ บริษัท คาร์ลสัน วากองลี ทราเวล จำกัด บริษัทชั้นนำของโลกด้านการจัดการวางแผนการเดินทาง (Corporate Travel Management) ตั้งเป้าขยายธุรกิจการบินใน 8 ประเทศหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตและการแข่งขันสูง

ข่าวที่สอง “23ส.ค.นำบุรีรัมย์บุกโตเกียวชูท่องเที่ยวครบวงจร”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า วันที่ 28 สิงหาคม 2561 วางแผนจะจัดงาน Buriram Night in Japan ส่งเสริมการท่องเที่ยวบุรีรัมย์ ขึ้นที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยเตรียมเชิญสื่อมวลชนกับผู้บริหารบริษัทนำเที่ยวชั้นนำของญี่ปุ่นเกือบ 300 คน จะเข้าร่วมงาน Buriram Night โดยมี วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานจัดงาน พร้อมด้วยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการ ททท.

เตรียมใช้โอกาสการจัดงานดังกล่าวกระตุ้นชาวญี่ปุ่นเดินทางมาท่องเที่ยวบุรีรัมย์ที่มีชื่อเสียงของเมือง 2 ปราสาท ได้แก่ ปราสาทหินพนมรุ้ง และทีมฟุตบอลปราสาทสายฟ้า ปลุกกระแสคนญี่ปุ่นรู้จักบุรีรัมย์ทางด้านการท่องเที่ยวด้วยเพราะแหล่งอารยธรรมสำคัญแห่งหนึ่งของโลก เป็นเมืองกีฬาของไทยที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน Moto GP กีฬาที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมาก และเตรียมนำเสนอสินค้าพื้นเมืองเอกลักษณ์บุรีรัมย์ เช่น ผ้าไหม ผ้าย้อมดินภูเขาไฟ สร้างจุดขายแบบครบวงจร

ข่าวที่สาม “ริชมอนด์จัดโปรบุฟเฟต์ส้มตำกิน4จ่าย3”



โรงแรมริชมอนด์ เปิดห้องอาหาร แอทคาเฟ่ ตลอดเดือนสิงหาคม 2561 จัดโปรโมชั่นฟินเวอร์ บุฟเฟ่ต์มา 4 จ่าย 3  คุ้ม สำหรับกลางวันบุฟเฟ่ต์กว่าร้อยรายการ พิเศษสุดกับเทศกาลส้มตำหลากหลายเมนู แซ่บนัว โทร.จองได้ตั้งวันนี้ที่  02 831 8888 ต่อ 2126

ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.


เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน
ผู้ดำเนินรายการ และคอลัมนิสต์ท่องเที่ยว




วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทอท.ผ่าแผนลงทุน1.5แสนล้านขยายสุวรรณภูมิเฟส2-5ให้เสร็จปี'68

ทอท.ผ่าลงทุน1.5 แสนล้านสุวรรณภูมิเฟส2-5
นำสื่อสำรวจอุโมงค์สนามบินAPMยาวกิโลครึ่ง

เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #รวยด้วยข่าวสวท97




ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่าภาพรวมการลงทุนขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2-3-4-5 ระหว่างปี 2561-2568 จะใช้เงินลงทุนรวมประมาณไม่เกิน 150,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดแผนขยายพื้นที่งานก่อสร้างเพื่อเปิดบริการภายในปี 2568 จะรองรับผู้โดยสารได้เกินกว่าปีละ 120 ล้านคน โดยมีทางวิ่งเครื่องบินรวม 4 รันเวย์ส ส่วนในปี 2564 ตามผลประเมินอย่างเป็นทางการอาจจะต้องกู้เงินระยะเร่งด่วนเข้ามาใช้จ่ายหมุนเวียนอีกไม่เกิน 50,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แต่ในมุมของผู้บริหารมองว่าอาจจะไม่ใช้เงินกู้ก็เป็นได้ จะต้องรอดูสถานการณ์ข้างหน้าควบคู่กันไป



โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการเฟส 2 (Sattlelight terminal) รวม 8 โครงการ 7 สัญญา ซึ่งจะเปิดบริการเต็มรูปแบบได้ภายในปี 2563 มีขนาดพื้นที่ 270,000 ตารางเมตร แซตเทิลไลท์จากการก่อสร้างใต้ดินขึ้นมายังเหนือพื้นดินมีอยู่ 5 ชั้น ภายในปีนี้จะเห็นการก่อสร้างอาคารบนพื้นดินหลังจากงานใต้อุโมงค์ใต้ดินทั้งหมดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 


ไฮไลต์หลัก ๆ คือ 1.การเพิ่ม 28 หลุมจอด รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ แอร์บัส A380 โดยจะบริหารจัดการให้มาใช้พื้นที่จอดบริเวณตรงกลางแล้วสามารถระบายผู้โดยสารจำนวนมากออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว 2.ขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินได้ 68 เที่ยว/ช่วงโมง ปัจจุบันใช้งานความถี่หนาแน่นอยู่ประมาณ 60-63 เที่ยว/ชั่วโมง แต่เนื่องจากรันเวย์ของสุวรรณภูมิกับดอนเมืองสอบเข้าหากัน 20 องศา กรณีเที่ยวบินหนาแน่นระหว่าง 2 สนามบิน ก็อาจจะมีผลกระทบต่อจราจรการบินบ้าง เป็นปัญหาเรื่องการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ


3.ระบบรถขนส่งอัตโนมัติ APM แบบไร้คนขับจากอาคารหลักมายังอาคารรองระยะทาง 1.5 กม.จะใช้เวลาเชื่อมต่อเพียง 2-5 นาที

4.พื้นที่เชิงพาณิชย์ (commercial Area) ภายในอาคารจะเปิดบริการได้ช่วงปี 2563 ตรงกับที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ หมดสัญญาสัมปทาน ขณะนี้มีหลายฝ่ายให้ความสนใจแต่ในทางปฏิบัติกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาถึงความต้องการของลูกค้าจะมีจำนวนมากน้อยขนาดไหน ก่อนจะกำหนดเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ในอาคารหลังใหม่ได้อย่างเหมาะสม

ดร.นิตินัยกล่าวเมื่อเฟส 2 แล้วเสร็จ จะดำเนินการเฟส 3 ควบคู่กันไปวงเงินรวมกัน 63,000 ล้านบาท โดยทำรันเวย์ 3 (กำลังส่งเอกสารให้กระทรวงคมนาคม) อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 (ประกวดแบบวันที่ 26 กรกฎาคม 2561) ใช้งานได้ปี 2564 สุวรรณภูมิจะรองรับผู้โดยสารได้ทั้งหมด 90 ล้านคน และมีขีดการรองรับ 96 เที่ยว/ชั่วโมง



สำหรับอาคารแซตเทิลไลท์ 8 โครงการ ประกอบด้วย
1.การจ้างก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ชั้น B2-B1-G และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้ (CC1/1) กำหนดแล้วเสร็จภายในพฤศจิกายน 2561 ก่อสร้างโดยบริษัท อิตาเลียน ไทยดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน)  

2.งานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ชั้น 2-4 และส่วนต่ออุโมงค์ด้านใต้งานระบบย่อย (CC1/2) กำหนดแล้วเสร็จพฤศจิกายน 2562 ก่อสร้างโดยกลุ่มร่วมทุน PCS ได้แก่ บมจ.เพาเวอร์ไลน์เอ็นจิเนียริ่ง บริษัท ไชน่าสเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างเสาด้านตะวันตกและตะวันออกของอาคารมิดฟิลด์ แซตเทิลไลท์ 1 และกำแพงคอนกรีตในอุโมงค์ด้านทิศใต้


3.งานจ้างก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก จะประกาศประกวดราคาเดือนตุลาคม 2561 ประกาศชื่อผู้รับจ้างงานเดือนมกราคม 2562 ใช้เวลา 18 เดือนสร้างให้เสร็จพร้อมใช้งานมิถุนายน 2563

4.งานจ้างก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก จะประกวดราคาพฤศจิกายน 2561 ประกาศผู้รับจ้างกุมภาพันธ์ 2562 ใช้เวลาสร้าง 29 เดือนให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้มิถุนายน 2564

5.งานจ้างก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค จะแล้วเสร็จเปิดใช้ได้พฤษภาคม 2562 โดยกิจการร่วมค้า เอสจี แอนด์ อินเตอร์ลิงค์ สร้างคืบหน้าไปแล้ว 38.85 %

6.งานซื้อพร้อมที่ติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) จะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานเมษายน 2563 โดยนิติบุคคลร่วมทำงาน ไออาร์ทีวี

7.งานซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) ขาออก จะแล้วเสร็จเมษายน 2563 โดยนิติบุคคลร่วมทำงาน ล็อกเลย์-แอลพีเอส

8.งานซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) ขาเข้า จะแล้วเสร็จเมษายน 2563 ขณะนี้อยู่ระหว่างประกวดราคาให้ได้ภายสิงหาคม 2561ประกาศชื่อผู้รับจ้างพฤศจิกายน 2561




ททท.จัด“Maha Songkran World Fest2025”ดันไทยติด1ใน10สุดยอดเฟสติวัลโลก

  ททท.จัดสุดอลังการ“ Maha Songkran WorldFest 2025” ดันไทยติด 1 ใน 10 สุดยอดเฟสติวัลโลก-โกย 2.6 หมื่นล้าน   กระทรวงการท่องเที่ยว กับ ททท...