วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ไทยแอร์เอเชีย-ททท.ลุยโปรเจ็กต์วันธรรมดาน่าเที่ยวทั่วไทย
ปั้นโมเดลทัวร์ชุมชนเพิ่ม-ปลุกกระแสเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
คิงเพาเวอร์นำ4สินค้าภูมิปัญญาสุดเจ๋งให้ได้ช้อปทุกสาขา
กินคุ้มค่าเงินกับคิงเพาเวอร์ในร้านรามายณะศรีวารี-พัทยา
ททท.นำทัพโร้ดโชว์บาห์เรนปลุกตะวันออกกลางเที่ยวไทย
ไทยตีปีกรับวิสต้าแอร์บินตรงปั๊มยอดอินเดียแตะ2ล้านคน
BCPGเครือบางจากผนึกแสนสิริผุดชุมชนพลังงาสะอาด
TCEBเปิดแผนเจ้าภาพจัดประชุมUFIพลิกตลาดไมซ์โลก
เที่ยววันธรรมดา”สนามข้าง-เพลาเพลิน-พนมรุ้ง”บุรีรัมย์
ส่องพฤติกรรมการกินเพื่อลีกเลี่ยงโรคที่บ่อนทอนสุขภาพ
ไทยแอร์เอเชียรอเสียบเมกะโปรเจ็กต์เมืองการบินอู่ตะเภา
เครือดุสิตปักธงเปิดโรงแรมน้องใหม่”อาศัย ไชน่าทาวน์”

เข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen  และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว97 #เที่ยวกับกู๋  #วันธรรมดาน่าเที่ยว #JouneyD #เพจไปไงมาไง #ช้างสเตเดี้ยม #เพลาเพลิน #พนมรุ้ง

ช่วงที่ 1 ตามไปฟังคนรุ่นใหม่ “กนกกุล ช้างพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายพันธมิตรสัมพันธ์ สายการบิน ไทย แอร์ เอเชีย” หลอม 2 โปรเจ็กต์ “วันธรรมดาน่าเที่ยว-ชุมชน Jouney D” ให้กลายเป็นพลังการท่องเที่ยวชุมชน ปูพรมสู่ “เที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ” เต็มรูปแบบปี’63 ลุยขยายพื้นที่ใหม่เพิ่มในเมืองหลักอีก 3 จังหวัด ภูเก็ต เชียงใหม่ อุบลราชธานี ร่วมด้วยช่วยสร้างสรรค์สินค้าชุมชนขายบนเครื่อง สร้างความเชื่อมั่น โหมประชาสัมพันธ์ชุมชนกระหึ่มตลาดทั้งในประเทศและทั่วโลก

กนกกุล ช้างพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายพันธมิตรสัมพันธ์ สายการบิน ไทย แอร์ เอเชีย เปิดเผยว่า ไทยแอร์เอเชียกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โครงการ “วันธรรมดา น่าเที่ยว” ต่อเนื่องปีที่ 4 โดยนำกิจกรรม Air Asia Jouney D เพื่อต้องการให้เกิดการเดินทางเพิ่มขึ้นช่วงวันจันทร์-พฤหัสบดี ในแต่ละสัปดาห์ เนื่องจากตามปกติคนไทยชอบเที่ยววันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัว ทั้ง ๆ ที่ข้อดีในการเลือกท่องเที่ยววันธรรมดามีอยู่มากมาย 1.คนไม่หนาแน่น 2.ราคาตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก ถูก 3.ไม่ต้องรอคิดร้านอาหารนานจนเกินไป

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไทย แอร์ เอเชีย กับ ททท.จึงนำโครงการ Jouney D หรือ Jouney of Development มาร่วมกระตุ้นวันธรรมดา น่าเที่ยว ควบคู่กันไปให้มากขึ้น

โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ ในฐานะของสายการบินที่มีผู้โดยสารเข้าถึงท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ขณะเดียวกันเมื่อนำนักท่องเที่ยวเข้าไปแต่ละแห่งเป็นจำนวนมากอาจก่อจะให้เกิดปริมาณคนล้นพื้นที่ (over capacity tourism) หรือนักท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้รับผิดชอบมากนัก

ดังนั้นจึงได้ใช้ Jouney D เป็นโครงการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ด้วยการนำร่องทำโมเดลต้นแบบครอบคลุมการท่องเที่ยวชุมชนทั่วประเทศ 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ ชุมชนผาหมี จ.เชียงราย ภาคใต้ 2 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนเกาะกลาง จ.กระบี่ กับ ชุมชนพรหมโลก จ.นครศรีธรรมราช ภาคอีสาน ชุมชนโคกเมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งทำต่อเนื่องมา 3 ปี ซึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงของชุมชนทั้งก่อนและหลังเข้าไปพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว

ทางทีมงานเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก บางชุมชนมีวัฒนธรรมเข้มแข็ง งดงาม ตลอดการทำงานร่วมกันจะต้องเข้าไปพูดคุยกับชุมชนถึงความพร้อมที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากน้อยขนาดไหน ช่วงแรก ๆ ที่มีการพูดคุยกัน ตัวอย่าง ชุมชนผาหมี ตอนเริ่มมีโฮมสเตย์เพียง 2 หลังเท่านั้น ผ่านมาเพียง 3 ปี ปัจจุบันมีโฮมสเตย์เกือบ 20 หลัง ไม่เฉพาะจำนวนโฮมสเตย์กับและปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผลไปถึงสังคมด้วย พอชาวบ้านเห็นประโยชน์ของการท่องเที่ยวชุมชน ลูกหลานที่เคยไปเรียนหนังสือในเมืองใหญ่หรือกรุงเทพฯ พอเรียนจบก็กลับมายังชุมชนเพื่อประกอบอาชีพในบ้านเกิดแทน

ทั้ง 4 ชุมชนนั้น ไทย แอร์ เอเชีย ไม่ได้ทำเพียงรายเดียว แต่ได้จับมือกับพันธมิตรหลายกลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ททท.จับมือกันนำสื่อ ผู้มีอิทธิพลต่อสังคม เพื่อโปรโมตท้องถิ่นให้มีชื่อเสียงนักท่องเที่ยวรู้จักชุมชนมากขึ้น รวมทั้งรวมเครือข่าย Social Enterprise กลุ่ม Local Alike ช่วยเรื่องการสอนพัฒนาและเข้าถึงชุมชน และมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ กลุ่มโรงแรมเอราวัณ มาสอนชาวบ้านด้านฮอสพิทาลิตี้ การทำความสะอาดบ้าน ห้องน้ำ ควรมีขั้นตอนอย่างไร โดยเฉพาะการต้อนรับนักท่องเที่ยวควรจะปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอย่างไรบ้าง โดยมีพันธมิตรทยอยเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ ในการเข้ามาปลั๊กอินการทำงานร่วมกัน

กนกกุลกล่าวว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมาได้นำพนักงานลงพื้นที่อย่างเข้มข้น ไปสอนภาษาอังกฤษ เพื่อน ๆ พาไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้จนทำให้ชุมชนแข็งแรง ตอนนี้จึงเริ่มลดการให้ความช่วยเหลือลง ให้ 4 ชุมชนนำร่องยืนอยู่ด้วยตัวเอง เพื่อไปขยายการทำกิจกรรมในชุมชนอื่น ๆ เพิ่มขึ้นภายใต้กิจกรรม Jouney D ตามเป้าหมายจะเริ่มขยายต่อในปี 2563 พื้นที่ใหม่ 3 จังหวัด ภูเก็ต เชียงใหม่ อุบลราชธานี

ในเฟส 2 คุณสมบัติหลักของชุมชนจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ อย่างแรก จะต้องเข้าไปคุยกับชุมชนถึงความพร้อมของชาวบ้านต้องการให้พื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็จะทำ แต่ถ้าไม่ต้องการก็จะไม่ฝืน 2.ชุมชนนั้น ๆ ต้องมีของไม่เฉพาะไม่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว อาจจะมีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง ก็พร้อมจะเข้าไปช่วย

สำหรับพื้นที่ใหม่อย่าง “ภูเก็ต” เป็นเมืองทะเลสวย จะเป็นชุมชนในเมืองไม่ได้มีพื้นที่ติดทะเล มีวัฒนธรรมแข็งแกร่ง สวยงาม อาหารอร่อย ชุมชนเข้มแข็ง ชาวบ้านพร้อมจะเรียนรู้ก้าวเดินไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทาง Jouney D จะเข้าไปช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างชุมชนรอบพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างกัน อย่างชุมชนอาหารอร่อย ชุมชนวัฒนธรรมสวยงาม และชุมชนติดทะเล “อุบลราชธานี” สนใจชุมชนเขมราษฎร์ เป็นเมืองเก่า คลาสสิก แผนผังสวยงาม มีบ้านเรือนไม้ อยู่ริมโขงบรรยากาศดี ตื่นเช้ามาตักบาตรได้ “เชียงใหม่” มองที่ “ชุมชนบ้านปง” อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองแต่มีความเงียบสงบ ธรรมชาติสวยงาม วิวท้องนา ชาวบ้านเข้มแข็ง พร้อมจะเติบโตด้านการท่องเที่ยวไปด้วยกันในปี 2563

กนกกุลย้ำว่า ต้องการสื่อหรือบอกกับนักท่องเที่ยว และสายการบินอื่น ๆ การทำให้ท่องเที่ยวเมืองไทยได้รับประโยชน์อย่างจริงจัง ต้องตั้งเป้าช่วยกันรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวมีจิตสำนึกเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เช่น ไม่ทิ้งขยะ ลดการใช้พลาสติก เรียนรู้และเคารพวัฒนธรรม วิถีชีวิตชาวบ้านที่เข้าไปอยู่ด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนซึ่งมีของดีอยู่มากมาย ตอนนี้ไทย แอร์ เอเชีย ได้นำผู้เชี่ยวชาญเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนในเครือข่าย Jouney D ตัวเด่น ๆ ให้มีรูปแบบทันสมัยมากขึ้น เช่น ชุมชนโคกเมือง มีความโดดเด่นทางภูมิปัญญาด้านการจักสาน ทอเสื่อ ก็ได้นำดีไซเนอร์เข้าไปออกแบบการทอลายให้ทันสมัย บรรจุกล่อง เป็นโปรดักซ์เก๋ ๆ หรือชุมชนถนัดการทำผ้ามัดย้อมธรรมชาติก็มีทีมเข้าไปช่วยสร้างสรรลาย คำนวณราคาขายอย่างเหมาะสม ล่าสุดทาง ไทย แอร์เอเชีย ได้นำผลิตภัณฑ์ของทั้ง 4 ชุมชน ได้นำมาขายบนเครื่องเรียกว่า shopping On broad ทุกเส้นทางของไทย แอร์ เอเชีย

ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางในการกระจายรายได้ให้ชุมชน ระยะเริ่มต้นอาจจะยังไม่เป็นกอบกำ เป้าหมายเบื้องต้นจะเน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสา นักท่องเที่ยว ได้รู้จักชุมชนอย่างกว้างขวางเพิ่มขึ้น เช่น การนำตุ๊กตาหมีเทดดี้สวมใส่ผ้าทอลายชาวเขาเผ่าอาขาของดอยผาหมีมาจำหน่ายบนเครื่องบิน ทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักดอยผาหมีแล้วเกิดความเชื่อมั่น ส่วนชาวบ้านเองก็มีความภาคภูมิใจในสินค้าของตนเองที่สามารถผลิตแล้วนำมาขายบนเครื่องบินทำให้คนรู้จักมากมาย

ส่วนภาพรวมปี 2563 ททท.มีโครงการกระตุ้นส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนรับผิดชอบนั้น ไทย แอร์ เอเชีย เองก็จะเข้ามาเพิ่มความเข้มข้นโครงการดังกล่าวทางด้านการสื่อสาร ส่งเสริม โดยได้เปิดตัว TVC ตัวใหม่เป็นคลิปความยาว 7นาที เป็นเรื่องราวของการท่องเที่ยวซึ่งจะทำอย่างไรไม่ทำลายชุมชน วัฒนธรรม และมีส่วนร่วมทำให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน ประเทศไทยเป็นประเทศจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวคุณภาพมีอัตลักษณ์วิถีไทย โดยมาเที่ยวแล้วทรัพยากรยังคงสวยงาม ชาวบ้านมีรายได้ และนักท่องเที่ยวก็ได้เข้าใจวัฒนธรรมความเป็นไทยอย่างแท้จริง โดยได้สื่อสารแคมเปญดังกล่าวผ่านสื่อ Inflight แมกกาซีน

กนกกุลได้กล่าวทิ้งท้ายเชิญชวนให้หันมาท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ เนื่องจากเมืองไทยมีความสวยงามหลากหลายมิติทางธรรมชาติ ทะเล ภูเขา อัธยาศัยไมตรี ยิ้มแย้มน่ารัก แต่ระยะหลังเมื่อไปเที่ยวแล้วอาจจะรู้สึกไม่สบายใจกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น ๆ ที่แสดงออกมาทั้งการตะโกนส่งเสียงดัง ทิ้งขยะ ทำเรื่องเหมาะสม แสดงให้เห็นถึงว่านักท่องเที่ยวเหล่านั้น อาจจะยังไม่เข้าใจถึงความรับผิดชอบ ดังนั้นคนไทยทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้การท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบเกิดขึ้นได้จริง โดยเริ่มจากตัวเราทำเป็นตัวอย่างในฐานะนักท่องเที่ยวที่รับผิดชอบเพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา แต่เมื่อถึงวันนั้นทุกฝ่ายก็จะได้เข้าถึงการท่องเที่ยวด้วยความรับผิดชอบอย่างแท้จริง


ฟังข่าวต้นชั่วโมง

ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์นำสุดยอด4สินค้าไทยขายทุกสาขา”

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เชิญชวนผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของภูมิปัญญาไทย และเพลิดเพลินกับการชื่นชมงานหัตถศิลป์ชิ้นเอกอันเกิดจากรากเหง้าของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นมรดกแห่งวัฒนธรรมที่เลอค่าเหนือกาล มาเลือกช้อปผลงานหัตถศิลป์ชั้นครู ได้ที่คิง เพาเวอร์ สาขาต่าง ๆ เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน ช่วยกันรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้อยู่อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย
1.ดอยซิลเวอร์” แบรนด์เครื่องเงินชั้นแนวหน้าที่สืบทอดองค์ความรู้กันมาจนถึงรุ่นที่ 4 เป็นที่รู้จักทั้งในกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติ

2.พงษ์ศรีนคร ศิลาดล แบรนด์เครื่องปั้นดินเผาเคลือบศิลาดลที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยอันทรงคุณค่าได้อย่างงดงาม

3.SUNTREE แบรนด์ผ้าทอมือจากจังหวัดสุโขทัยที่ใช้เทคนิคการทอผ้าอันเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนไทยพวนบ้านหาดเสี้ยวที่มีมากว่า 200 ปี

4.ผ้าปะลางิงงานผ้าทอมือด้วยเทคนิคพิเศษจากกลุ่มชุมชนผ้าศรียะลาบาติก จังหวัดยะลา โดยงานหัตถศิลป์ชั้นครูทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นผลงานซึ่ง คิง เพาเวอร์ ให้การสนับสนุนอยู่ภายใต้โครงการ “KING POWER THAI POWER พลังคนไทย”

ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์จัดเต็มร้านรามายณะศรีวารี-พัทยา”

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้สมาชิกได้ร่วมสนุกกดรับสิทธิพิเศษ เพื่อเข้ารับประทานอาหาร ที่ “ภัตตาคารามายณะ” ทั้ง 2 แห่ง ในอาคารร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมืองท่องเที่ยว  แห่งแรก ห้องลามูน ภัตตาคารรามายณะ ศรีวารี รับส่วนลด 20% (จากราคาปกติ) มื้อกลางวัน ราคา 500 บาท  มื้อเย็น ราคา 800 บาท
เพียงแค่แสดงบัตรสมาชิกหรือแสดง Cardless เพื่อรับสิทธิ์(ไม่จำกัดสิทธิ์) สอบถามเพิ่มเติมและสำรองที่นั่ง โทร. 02-338-7888 ต่อ 5757,5758,5759

แห่งที่ 2  “รามายาณะ พัทยา”  รับส่วนลด 20% (จากราคาปกติ) มื้อกลางวัน ราคา 400 บาท และมื้อเย็น ราคา 600 บาท
โดยแสดงบัตรสมาชิกหรือแสดง Cardless เพื่อรับสิทธิ์(ไม่จำกัดสิทธิ์) สอบถามเพิ่มเติมและสำรองที่นั่ง โทร. 038 103 888 ต่อ 7292
ทั้ง 2 โปรโมชั่น เข้าไปกดรับสิทธิ์ใน www.storykingpower.com หรือโทร.1631

ข่าวที่ 3 “ททท.ชูโร้ดโชว์ปลุกบาห์เรนเทเงินทัวร์สุขภาพเมืองไทยปี’63

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เตรียมจัดงาน Amazing Thailand Health and Wellness Road Show to Bahrain ในวันที่  17 กันยายน 2562 ณ Gulf Hotel ประเทศบาห์เรน ตั้งเป้ากระตุ้นตลาดตะวันออกกลางช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2562 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะชูขายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยอดนิยม กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา และเชียงใหม่
 กิจกรรม ททท.ร่วมมือกับ Doctor A to Z  แพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมสินค้า และบริการคุณภาพของผู้ประกอบการธุรกิจ Health and Wellness ของไทย ไปส่งเสริมการขาย สินค้าและบริการในรูปแบบ Hybrid Roadshow คือทั้งในแบบ B2B และ B2C โดยได้เชิญผู้ขายกลุ่มประกอบการไทยเข้าร่วม 20 ราย เดินทางไปเจรจากับกลุ่มผู้ซื้อคุณภาพในพื้นที่บาห์เรน และในกลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC : Gulf Cooperation Council)  30 หน่วยงาน โดยมีซาอุดิอาระเบียเจรจาซื้อขายในครั้งนี้ด้วย ซึ่งรัฐบาลได้ยกเว้นให้นักท่องเที่ยวของตนเดินทางมารักษาพยาบาลในไทยได้ 90 วัน
 
ททท.พุ่งเป้าเจาะ 2 กลุ่ม คือ นักท่องเที่ยวเชิงการแพทยต้องการมา รักษาอาการเจ็บป่วย กับกลุ่มมาเพื่อสุขภาพและความงาม สถิติปี 2561 มีบาห์เรนมาไทย 32,000 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยใช้จ่ายเงินเชิงสุขภาพมากถึง 10%  หรือประมาณ 250ล้านบาท

ข่าวที่ 4 “ททท.ปลื้มวิสต้าแอร์เปิดบินดันยอดอินเดียเข้าเป้า1.9ล้านคน

นายกฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ขณะนี้มีวิสทาราแอร์เวย์ สายการบินจากอินเดีย เปิดบินตรงแบบประจำมาไทยเป็นครั้งแรกตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2562 เป็นต้นมา บริการ 7 เที่ยว/สัปดาห์ จะช่วยเพิ่มรายได้เติบโตสูงขึ้น เพราะช่วงครึ่งปีแรก มกราคม-มิถุนายย 2562 ชาวอินเดียกลุ่มแต่งงาน ฮันนีมูน ครอบครัวและกลุ่มไมซ์เพิ่มขึ้น

ปี 2562 คาดอินเดียมาไทยกว่า 1,948,061 คน เพิ่ม 22% และสร้างรายได้ 89,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% สูงกว่าปี 2561 พบอินเดียมาไทยเพียง 978,785 คน เพิ่ม 24.44 % สร้างรายได้ 39,173.09 ล้านบาท เพิ่ม 27.29 %

ข่าวที่ 5 “BCPGเครือบางจากผนึกแสนสิริชูพลังงานชุมชนสะอาด
       นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ในเครือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาขน) กล่าวว่า ได้ร่วมกับ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ต่อยอดพันธกิจในการส่งมอบพลังงานสะอาดสู่ชุมชน ด้วยการเดินหน้าเปิดตัว “Bangkok’s First Solar Bus Stop with Wireless Charger” หรือ “จุดพักรถพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกในไทยที่สามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายได้ทันที” ครั้งแรกที่ T77 โดยแผงโซล่าร์เซลล์นี้สามารถผลิตเป็นพลังงานสะอาดได้ถึง 7,000 วัตต์เพื่อนำไปใช้เป็นแสงสว่างในจุดพักรถได้ในเวลากลางคืน รวมถึงแปลงเป็นกระแสไฟที่สามารถชาร์จมือถือระหว่างรอรถได้ทั้งระบบไร้สายหรือไวร์เลส และ USB ได้ถึง 507 รอบต่อวัน (จาก 0-100%)

พลังงานสะอาดที่ผลิตได้ มีส่วนช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ได้ถึง 1,454 กิโลกรัม/ปี เทียบเท่าปลูกป่าได้ถึง 1.07 ไร่ และลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 11,283 บาท/ปี

ทั้งกลุ่มแสนสิริและบีซีพีจี ยังได้ร่วมเดินหน้าสร้างต้นแบบชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ เพื่อตอกย้ำการพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Green Sustainable Living) นำ “Solar Bin” หรือ “ถังขยะที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์บีบอัดขยะให้เล็กลงง่ายต่อการย่อยสลายและเพิ่มพื้นที่ให้สามารถรองรับปริมาณขยะในถังได้มากขึ้น มุ่งมั่นสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ ในการเดินหน้าสู่การพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

ข่าวที่ 6 “TCEBใช้งานUFIรุกขายครบวิถีไทยปั๊มรายได้ไมซ์โลก”


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” พร้อมด้วย มร.ไค ฮัทเทนดอฟ กรรมการผู้จัดการและประธานบริหาร สมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก (UFI) และนายทาลูน เทง นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) “TEA” ร่วมกันเปิดเวทีให้สัมภาษณ์ในระหว่างการจัดงาน Thailand MICE Forum 2019 (TMF 2019)  ปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้วยยุทธศาสตร์ไมซ์” หรือ “Thailand’s Opportunity: Asia’s Top MICE Destination” เพื่อเป็นเวทีสร้างการรับรู้ และตื่นตัวให้กับผู้ประกอบการไมซ์ไทยร่วมสร้าง “โอกาส” และผลักดันไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจไมซ์ระดับเอเชีย (Asia’s Top MICE Destination) ไปด้วยกันอย่างมีทิศทางและแผนกลยุทธ์ในแนวทางเดียวกัน

นายจิรุตถ์กล่าวว่า ไฮไลต์การจัดงานปีนี้มีผู้บริหารระดับสูงด้านไมซ์ระดับโลกเข้ามาร่วมพูดคุยพร้อมกันบนเวทีเป็นประเทศแรกในเอเชียจาก 3 สมาคม ได้แก่ สมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทีฟระดับโลก (SITE) สมาคมด้านการประชุมนานาชาติของโลก (ICCA) และสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก (UFI) เพื่อเปิดมุมมองให้กับผู้ประกอบการไทยในหัวข้อเสริมแกร่งการแข่งขันไทย ด้วยมุมมองไมซ์โลกที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดไมซ์ของประเทศไทยได้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.เทรนด์อนาคต -Future Trends 2.การแข่งขัน-Compettition 3.อินเซ็นทีฟยุคใหม่-Incentive Growth

โดย TCEB มีเป้าหมายจะนำพาอุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายขึ้นไปเป็นผู้นำไมซ์แห่งเอเชียตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีหน้า 2563-2565 โดยเฉพาะในเวทีการจัดงาน Thailand MICE Forum 2019 ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะร่วมกันกับเคลื่อนไมซ์ให้กลายเป็นธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง ที่จะทำให้ไทยเป็นผู้นำไมซ์เอเชียด้วยองค์ประกอบสำคัญคือ “โอกาส-Opputunity”
ระหว่าง 6-9 พฤศจิกายน 2562 นี้ ไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงาน 86th UFI the Global Congress ที่เลือกมาจัดในไทยเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยมาจัดครั้งแรกเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างใหม่ ๆ เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย ประกอบด้วย 1.มีกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ที่จะมาช่วยสร้างตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว 2.กระจายรายได้ไปสู่จังหวัดอื่น ๆ มากขึ้น 3.ได้รับความร่วมมือจากกรุงเทพมหานครเข้ามาร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย

สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ด้านงานแสดงสินค้าโลก หรือ 86th UFI Global Congress ระหว่าง 6-9 พฤศจิกายน 2562 ภายใต้แนวคิด “Platforms of Trust : Connect – Engage – Succeed ทาง TCEB คาดจะมีผู้เข้าร่วมงาน 550 คน จากทั่วโลก 50 ประเทศ ตั้งเป้าสร้างรายได้จากงานเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 44 ล้านบาท

ภายในงานจะแบ่งเป็น 5 โซนกิจกรรม 1.Thai Town โซนพิเศษแสดงศักยภาพอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าและไมซ์ซิตี้ 2.สัมมนาเชิงธุรกิจ “ประเทศไทย” จุดหมายใหม่แห่งอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าของโลก 3.เวทีเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ 4. กิจกรรมเพื่อสังคม 5.กอล์ฟกระชับมิตร พร้อม ๆ กับการจำลองเมือง MICE CITY ของไทยมาไว้ในงานนี้ด้วย

เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานจะสัมผัสประสบการณ์การจัดงานสะท้อนวัฒนธรรมและประเพณีไทย เช่น กิจกรรมงานบุญของไทยที่มีเสน่ห์และมีอัตลักษณ์ เช่น ชมเทศกาลงานวัด ศิลปะมวยไทย เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ซึ่งจะจัดขึ้นในงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำ UFI Grand Night Out ณ วัดโพธิ์ท่าเตียน และส่งท้ายด้วยกิจกรรมสัมผัสกับประสบการณ์ชีวิตวิถีธรรมชาติ ณ ปฐม ออร์แกนิค วิลเลจ สวนสามพราน

เป้าหมายปี 2563 TCEB ปี 2563 ไทยจะมีโอกาสเพิ่มจำนวนกลุ่มนักเดินทางไมซ์ รวมทั้งสิ้น 37,781,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 232,700 ล้านบาท แบ่งเป็น ไมซ์ต่างประเทศ 1,386,000 คน ทำรายได้ 105,600 ล้านบาท ไมซ์ในประเทศกว่า 36,395,000 คน สร้างรายได้ 127,100 ล้านบาท และหากประเมินโดยรวมรายได้จากกิจกรรมการสร้างห่วงโซ่เศรษฐกิจตลอดทั้งปีจะสร้างเงินรวมได้มากกว่า 5.44 แสนล้านบาท

ช่วงที่ 2 บินลัดฟ้าไปเที่ยววันธรรมดาที่บุรีรัมย์ ตื่นตา! กับเมืองSport City มีครบทั้งเรื่องกีฬา “ช้าง สเตเดี้ยม” เมืองดอกไม้ “เพ ลา เพลิน” ปราสาทหินสวยงาม “พนมรุ้ง” ส่วน “พฤติกรรมการกินเลี่ยงโรคภัย” ก็ต้องติดตาม และข่าวฮ็อตห้ามพลาด “ไทยแอร์เอเชีย” รอเสียบพัฒนาโปรเจ็กต์เมืองการบินอู่ตะเภา “เครือดุสิต” ปักธงเปิดโรงแรมใหม่ “อาศัย ไชน่าทาวน์” เยาวราช

@เที่ยววันธรรมดา“สนามช้าง-เพลาเพลิน-พนมรุ้ง”บุรีรัมย์

บินลัดฟ้าจากกรุงเทพฯ มากับเที่ยวบิน ไทย แอร์ เอเชีย จากดอนเมืองสู่สนามบินสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้เวลาบินประมาณ 40 นาที

มุ่งหน้าตรงไปเที่ยวสถานที่แรก  "ช้าง สเตเดี้ยม" สนามกีฬาฟุตบอลมาตรฐาน FIFA ที่ได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊คให้เป็นสนามที่ใช้เวลาสร้างเร็วที่สุดในโลก 256 วัน ขนาด 36,000 ที่นั่ง ตอนนี้มีบริการไกด์นำชมแต่ละรอบตลอดทั้งวันตั้งแต่ 9.00-16.00 น.มีทั้งแบบเดินชมเองฟรี แต่จะไม่ได้เข้าไปดูห้องสำคัญ ๆ แต่ถ้าจ่ายค่าบัตรเข้าชมก็จะได้เข้าไปถ่ายรูปตามโซนเด็ด ๆ 
หากวันที่มีการแข่งขันฟุตบอลแมทช์สำคัญก็จะขายบัตร โซนแพงสุดจะอยู่บริเวณห้อง VIP มีอยู่ 15 ห้อง ห้องหมายเลข 9 จะเหมาจ่ายเฉลี่ยแล้วคนละประมาณ 17,000 บาท การซื้อตั๋วเข้าชมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก จะซื้อเป็นครั้ง หรือซื้อแล้วคุ้มก็จะเป็นสมาชิกแบบพรีเมียร์คนละ 8,000 บาท

ไฮไลต์สนามช้าง สเตเดี้ยม คือ “หญ้าของสนาม” เลือกใช้ “หญ้าแพรก” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ไทย

เมื่อเดินชมสนาม ถ่ายรูปตามมุมเก๋ ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าแฟนคลับแวะช้อปสินค้าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เตรียมตัวเดินทางสู่จุดหมายต่อไป

 นั่นคือนั่งรถเข้าตลาดในเมือง บริเวณตลาดหลังรถไฟ จะมีกิมมิกน่ารัก ๆ ให้ไปร้านรถเข็น "ลูกชิ้นยืนกิน" เมนูที่มาแล้ว นักท่องเที่ยวต้องแวะมาเช็คอินและยืนกินกันทุกกลุ่ม เป็นการนำลูกชิ้นหมูสีขาวอัตลักษณ์แห่งเดียวในบุรีรัมย์มาทอดเสียบไม้ ไม้ละ 3 ลูก เพื่อขายไม้ละ 3 บาท จิ้มน้ำจิ้มสูตรเด็ดรสเข้มข้น

วิธีกินต้องใช้ลูกชิ้นจิ้มลงไปครั้งเดียว แล้วมารูดกินทีละลูก ข้อควรระวัง ห้ามจิ้มหลาย ๆ ครั้ง เพราะจะไม่เหมาะตามมารยาทการกินร่วมกับผู้อื่น

จุดที่ 2 แวะอำเภอกะสัง ชิมเมนูอาหารถิ่น "หมี่ยำ" แห่งเดียวในเมืองไทย เป็นสูตรเด็ดที่เคยออกรายการครัวคุณต๋อยมาแล้ว

"หมี่ยำ" เป็นอาหารจานเดียวมื้อกลางวัน ที่ทำมาจากการนำแป้งไปอบจนได้เป็นแผ่นคล้ายก๋วยเตี๋ยวแล้วนำมาหั่นเป็นเส้นเล็กบาง ๆ คลุกเคล้ากับเครื่องปรุง มีตัวชูโรง คือ ปลาป่น ต้นหอมซอย พริกบ่น ราดด้วยน้ำมะขาม  กินแกมกับผักพื้นบ้าน...อร่อยขนาดไหนต้องมาลองชิมกันเอง
จุดที่ 3 "อุทยานดอกไม้ เพ ลา เพลิน" อำเภอคูเมือง อยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองราว 30 กม.เป็นอาณาจักรธรรมชาติ รายล้อมด้วยดอกไม้ สวย ๆ และโรงเรือนสวนประดิษฐ์สไต์ต่างกันไปอีก 6 โรงเรือน เช่น เรือนกล้วยไม้ เรือนเฟิร์น เรือนทะเลทรายสวนตะบองเพ็ด และอื่น ๆ ค่าเข้าชมคนละ 250 บาท

ภายในบริเวณเพ ลา เพลิน มี พระธาตุเขี้ยวแก้ว องค์ที่ 9 ของโลก นำมาจากศรีลังกา มาประดิษฐานไว้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการะด้วย รวมทั้งมีกิจกรรม D.I.Y .หลาย ๆ อย่าง เรื่อยไปจนถึง การเลือกมาจัดสัมมนา ประชุม และกิจกรรมสนุก ๆ อีกหลากหลายอย่าง

จุดที่ 4 "ปราสาทหินพนมรุ้ง" อำเภอประโคนชัย จังหวะดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 35 กม.  มีเรื่องเล่าเลื่องชื่อ เก่าแก่ งดงาม สร้างขึ้นมานานนับพันปี ของดีที่น่าสนใจพอ ๆ กับมรดกโลก "นครวัด " กัมพูชา สร้างด้วยศิลาแลง และถือเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสมัยโบราณ

"ปราสาทพนมรุ้ง" สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 16 หรือช่วง พ.ศ.1532 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  สร้างขึ้นโดยชาวบ้านยุคนั้นผ่านมานับพันปี เลือกทำเลการสร้างปราสาทบนยอดเขาพนมรุ้ง ซึ่งเคยเป็นภูเขาไฟ ตามประวัติระบุว่าภูเขาไฟแห่งนี้ดับมานานกว่า 9 แสนปีแล้ว

ชาวบ้านสร้างปราสาทไว้บนยอดเขา เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ กิน ดื่ม อุปโภค  บริโภค ถถปลูกพืชผัก ปลูกทุกอย่างได้ตลอดทั้งปี  รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจในเรื่องการเป็นศูนย์รวมทางศาสนาของฮินดู และนิกายมหายาน

การออกแบบก่อสร้าง ปราสาทพนมรุ้ง มรายละเอียด ควมมมหัศจรรย์ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่สร้างความฮือฮาที่ชวนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันเข้ามาทุกปี ในงาน "เทศกาลขึ้นเขาพนมรุ้ง" ช่วงต้นสัปดาห์แรกนเดือนเมษายนของทุกปี เพื่อรอดูความมหัศจรรย์ของแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูปราสาทครบทั้ง 16 ช่อง (ในบางปี) นั่นเอง
วันธรรมดา ต้องมาเที่ยว "ปราสาทหินพนมรุ้." บุรีรัมย์ กันให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วจะรู้ว่าบรรพบุรุษของเราในสมัยโบราณเก่งจริง ๆ
ไทยแอร์ เอเชีย มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไป-กลับ ดอนเมือง-สนามบินสะตึก(บุรีรัมย์) วันละ 2 เที่ยว เช้า 7.50น. และบ่าย 13.00 น.บุรีรัมย์เข้ากรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ก็วันละ 2 เที่ยวเช่นกัน

@พฤติกรรมการกินให้ห่างไกลโรคที่จะต้องใส่ใจให้มาก

การดูแลสุขภาพเพื่อให้ห่างจากโรคพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสมนั้นไม่ยาก เพียงแค่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น ดังนี้

1.การกินอยู่ให้สมดุล - ความหมายคือ กินเท่าไหร่ใช้ออกไปเท่านั้น  หากกินมากก็ต้องออกกำลังกายหรือทำให้พลังงานที่กินหมดไป  หากไม่ใช้พลังงานที่กินเข้าไปเลยก็จะทำให้ไขมันสะสม และก่อให้เกิดโรคต่างๆ

2.เลือกการปรุงอาหารด้วยวิธี ตุ๋น ต้ม นึ่ง - แต่ถ้าหากไม่สามารถปรุงอาหารเองได้บ่อย ให้หลีกเลี่ยงการกินอาหารทอด ควรกินอาหารที่ใช้น้ำมันน้อย หรือเลือกใช้น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

3.เลือกกินอาหารไขมันดี - ไขมันดีมีบทบาทสำคัญในการลดการเกาะตัวของไขมันร้าย  ช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกไม่อุดตัน ไขมันดีจะไปละลายไขมันร้ายที่เกาะตัวตามหลอดเลือดให้หลุดออกมา  ซึ่งพบได้ในปลา ถั่ว ธัญพืชต่างๆ และอะโวคาโด

4.อาหารทุกมื้อปรุงแต่น้อย - รสชาติอาหารที่ดีต่อร่างกายที่สุดคือ รสธรรมชาติของวัตถุดิบนั้นๆ แต่บางคนก็ยังปรุงเพราะความเคยชิน  เครื่องปรุง รสเหล่านั้นจึงเป็นส่วนเกินของร่างกายที่จะก่อให้เกิดโรคทีหลัง

5.กินผักผลไม้วันละ 400 กรัม -การกินผักและผลไม้ไม่ต่ำกว่า 400 กรัมทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสม  โดยแบ่งเป็น 50 % ของอาหารแต่ละมื้อ หรือผัก 6 ทัพพีต่อวัน ผลไม้ 23 ส่วนต่อวัน
 ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ข่าวแรก “ไทยแอร์เอเชียรอเสียบเมืองการบินอู่ตะเภา”
นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร ไทย แอร์ เอเชีย เปิดเผย กล่าวว่า ได้ร่วมประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกหรือเมืองการบินในนามกลุ่ม “แกรนด์ คอนโซเตียม” หลังจากกลุ่มผู้ชนะตอนแรกเครือซีพีมีปัญหาจึงมั่นใจทางแกรนด์ฯ จะได้รับการพิจารณาแทน ด้วยความโดดเด่นในการทำตลาดสามารถดึงสายการบินเข้ามาใช้บริการ จัดการเส้นทางบิน และนำผู้โดยสารเดินทางเข้ามาเที่ยวได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งจะสามารถผลักดันให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการบิน (Aviation Hub) แห่งใหม่ของโลกได้ เพราะทำเลที่ตั้งของอู่ตะเภาพร้อมจะให้บริการทั้งสายการบินโลว์คอสต์และ full service  ตามแผนจะต้องสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อู่ตะเภา-สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง ซึ่งจะมีศักยภาพบริการผู้โดยสารได้ปีละกว่า 100 ล้านคนขึ้นไป

ข่าวที่สอง “เครือดุสิตปักธงเปิดโรงแรม“อาศัยไชน่าทาวน์”เยาวราช

นายศิรเดช โทณวณิก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ASAI Hotels ทายาทดุสิตธานี เปิดเผยว่า เดินหน้าลงทุนโรงแรม “อาศัย  ไชน่าทาวน์” จำนวน 224 ห้อง ขนาดห้องพัก 18-22 ตารางเมตร เน้นดีไซน์ร่วมสมัยระหว่างไทย-จีน ใช้งานสะดวกสบาย มีพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวางสามารถมานั่งทำงานและทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยจะใช้จุดเด่นของแบรนด์อาศัย เติมเต็มไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ในราคาเข้าถึงได้ พุ่งเป้าเจาะกำลังซื้อหลักกลุ่มมิลเลนเนียลคนรุ่นใหม่    

สำหรับโรงแรมอาศัย ไชน่าทาวน์ เกิดขึ้นหลังจากลงนามสัญญาเช่าจาก ไอ แอม ไชน่าทาวน์ เพื่อการพัฒนาโครงการระยะยาว รอบบริเวณพื้นที่มีสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ สีสันไชน่าทาวน์นั่นเอง 

ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

MORE FUN !!วันธรรมดาน่าเที่ยว"ปราจีน-สระแก้ว"เติมพลังสุขภาพที่บ้านดงบัง อภัยภูเบศร์

MORE FUN !! วันธรรมดา "ปราจีนบุรี-สระแก้ว"
ทัวร์สุขภาพชาร์ตพลังเต็มๆที่บ้านดงบัง-อภัยภูเบศร์

More Fun !! ในวันธรรมดา มาชาร์ตพลังกับเส้นทางสุขภาพ ปราจีนบุรี สระแก้ว เพียง  2วัน 1คืน ก็แฮปปี้แล้ว

ทุกนาทีที่ได้ออกเดินทางไปหาประสบการณ์ใหม่ เลือกช่วงสบายทุกอย่างใน "วันธรรมดา น่าเที่ยว" สุดแสนจะMore Fun เมื่อได้มาตามเส้นทาง “เที่ยวสุขภาพ” ชีล ๆ ใน “ปราจีนบุรี” ต่อด้วย “สระแก้ว”

ทั้ง 2 เมือง เป็นแหล่งสมุนไพรภูมิปัญญาไทยมหัศจรรย์  ลองมาพักผ่อนสัก 2 วัน 1 คืน แล้วจะลืมไม่ลงว่าเมืองไทยมีดีหลายอย่าง ลองมากันได้เลย

มาเดินชมสมุนไพรไทยพันธุ์หายากแล้วสนุกกับการทำสวนมือถือได้ที่บ้านดงบัง 


วันแรก  มุ่งหน้าตรงเข้าปราจีนบุรี ไปเที่ยวหมู่บ้าน “บ้านดงบัง” อาณาจักรแห่งการปลูกพืชสมุนไพรไทยพันธุ์หายากมากมาย อย่าง เพชรสังฆาต มีสรรพคุณสมานกระดูก แล้วทำกิจกรรม D.I.Y.ทดลองปลูกในกระถางเล็ก ๆ เสร็จแล้วสามารถถือกลับบ้านกลายเป็นคำเรียกติดปากมาแล้วต้องได้ “สวนมือถือ”

ระหว่างชมสวนก็มีเมนูอาหารสมุนไพรหลายชนิดให้รับประทาน อย่าง ยำผักกระสัง ผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำไฟแดง

กินเสร็จเว้นช่วงสัก 1 ชั่วโมง เพื่อทำกิจกรรม “นวดสปาสมุนไพร” เลือกได้จะลองทดสอบฝีมือที่ไหน แนะนำที่อภัยภูเบศร์ นวดสมุนไพรเขาดีจริง ๆ 

นวดเสร็จเดินชม  “พิพิธภัณฑ์อภัยภูเบศร” เรียนรู้เรื่องราวอันน่าทึ่งของสมุนไพรไทยตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน แล้วก็พักค้างที่นี่สัก 1 คืน

พิพิธภัณฑ์อภัยภูเบศร์มีเรื่องราวอันน่าทึ่งเกี่ยวกับสมุนไรพจากอดีตจนถึงปัจจุบัน


 วันที่สอง ไปเที่ยวต่อใน “โรงเรียนกาสรกสิวิทย์” ชมวิถีแห่งเกษตรและการใช้สอนควายทำนา แวะร้านกาแฟสั่งเมนูซิกเนเจอร์ อย่าง ควายคะนอง ดื่ม พร้อมกับเดินชมทุ่งนา การทำบ้านดิน

จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ อำเภอวัฒนคร จ.สระแก้ว เพื่อชมการเลี้ยงไหม่อีรี่แห่งเดียวในเมืองไทย แล้วก็แวะ “อ่างเก็บน้ำพระปรง” สูดโอโซนบริสุทธิ์ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ชาร์ตพลังให้เต็มที่ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ


อ่างเก็บน้ำพระแรง จ.สระแก้ว อีกแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

ระหว่างเพลิดเพลินกับการเที่ยวเมืองสมุนไพร  ปราจีนบุรีและสระแก้วแล้ว สิ่งที่ต้องห้ามพลาดคือ การกระจายรายได้ควักเงินอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นชื่อ มีทั้ง หัตถกรรมจากใบลาน กกบ้านพลวง สมุนไพรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ

 เป็นทริป More Fun เพื่อสุขภาพอย่างพอเพียง เที่ยวได้สบาย ๆ ในปราจีนบุรี และสระแก้ว สมกับที่ว่าเมืองไทย เที่ยวได้ทุกที่ มีความสุขทุกเวลา  

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ททท.สต็อกโฮล์มพลิกเกมตลาดยุโรปเหนือ8ประเทศปี'63-เที่ยวสุขภาพปราจีนบุรี สระแก้ว

ททท.พลิกเกมตลาดปี’63เร่งปั๊มยอดยุโรปเหนือ8ประเทศ
จัดทัพใหญ่บุกโร้ดโชว์ก.ย.62-ลุยเจาะลูกค้าเศรษฐีจ่ายสูง
คิงเพาเวอร์เปิดแผนขับเคลื่อนธุรกิจด้วยสมองและหัวใจ
สมาชิกคิงเพาเวอร์กินครบ800บาทรับส่วนลด-กระเป๋าฟรี
ททท.ชงรัฐเท150ล้านโหม3โปรเจ็กต์ปลุกเที่ยวไทยคึกคัก
บางจากชูแคมเปญกระตุ้นปลายปีสะสมง่ายแลกได้เร็วขึ้น
TCEBใช้เวทีTMFโชว์แผนปี’63ไมซ์โกยรายได้2.3แสนล้าน
 MoreFunวันธรรมดาเที่ยวเชิงสุขภาพปราจีนบุรี-สระแก้ว
แนะวิธีลดกินเค็มเพิ่มสุขภาพแบบสวย ๆ ด้วย 8เรื่องดี ๆ
มหาดไทยขีดเส้นตายที่พัก50จังหวัดปรับใหญ่ก่อน9กย.
“ศักดิ์สยาม”เคลียร์ปมขัดแย้งที่ดินทอท.-เซ็นทรัลวิลเลจ 

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #วันธรรมดาน่าเที่ยว #TCEB #ThailandMiceForum #MoreFunปราจีนบุรีสระแก้ว 

ช่วงที่ 1 ข้ามทวีปไปเจาะลึก “ททท.สต็อกโฮล์ม” วางกลยุทธ์ชิงเค้กรายได้ตลาด “นอร์ดิค-บอลติก” ในยุโรป 8 ประเทศ โดยทุ่มพลังมหาศาลสร้างไฮไลต์การขายสินค้า ฝ่ากระแสต้านแคมเปญ Flight Chain ที่ชาวนอร์ดิครักษ์โลกลดการบินเที่ยวไกลข้ามทวีป แต่ ททท.ทำได้ด้วยพลิกทุกมุมใส่โปรดักซ์ใหม่ เปิดพื้นที่เมืองรองทั้ง New Shade , Go Local, Go Green และ 3-5 กันยายน นี้ เปิดมหกรรมโร้ดโชว์ 8 ประเทศ ปลุกกระแสตลาดรอบใหม่เสริมทัพรายได้ปี 2563 

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสต็อกโฮล์ม เปิดเผยว่า รับผิดชอบดูแลตลาดการท่องเที่ยวพื้นที่ยุโรปเหนือ มี 8 ประเทศ ในกลุ่มสแกนดิเนเวียหรือนอร์ดิค มี สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ กับกลุ่มบอลติก (ติดรัสเซีย) มี เอสโทเนีย ลิโธเนีย ลัทเวีย ทั้งหมดมีประชากรรวมกัน 32 ล้านคน มีความสามารถทางการเดินทางต่างประเทศได้จริง 70 % ดังนั้นจึงทำตลาดเชิงรุกพุ่งเป้าขยายฐานเจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยภาพรวมแต่ละปีเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย 7.5 แสนคน พำนักเฉลี่ย 17-20 วัน/คน/ทริป ใช้เงินในไทยสูงมาก มาซ้ำ ๆ (repleater) ประมาณ 80 %

 เป้าหมายปี 2563 จะเพิ่มตลาดกลุ่มใหม่โดยใส่จุดขายพิเศษเข้าไปดึงดูดมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้าน Wellness การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และการท่องเที่ยวชุมชน Go Local (ตามแผนแม่บทการตลาด ททท.กำหนดให้กระตุ้นด้วย 5 Go) ตามปกติชาวนอร์ดิคจะชอบเที่ยวทะเลภาคใต้แถบ ภูเก็ต พังงา กระบี่ หัวหิน และภาคตะวันออก ระยอง ตราด ต่อไปจะไปแนะนำ New Shade ให้มากขึ้น ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง หรือย่างขนอม นครศรีธรรมราช โปรโมตมาแล้ว 2 ปี กระแสตอบรับดีมาก รวมทั้งจะเปิดแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มฝั่งทะเลตะวันออก จันทบุรี เกาะกูด หลังจากเกาะช้างติดตลาดแล้ว ซึ่งแต่ละพื้นที่มีชุมชนกระจายตัวอยู่อย่างหลากหลาย พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวนอร์ดิคสามารถท่องเที่ยวชุมชนได้แต่ไม่นิยมพักโฮมสเตย์ ต้องการทำให้มี Return of Experience : ROX ตามนโยบายหลักของ ททท.ปีหน้า จึงต้องปรับการขายตอบสนองมาตรฐานของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ด้วย ชอบความเป็นส่วนตัว แต่สามารถเปิดรับประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ได้

 นอกจากจะขาย Go Local แล้ว ยังมี Go High –กระตุ้นการใช้จ่ายเงินสูงทำได้ 75,000 บาท/คน/ทริป ก็จะต้องหาช่องเพิ่มการใช้จ่ายได้อีก เช่น กลุ่มนักกอล์ฟ Go Low-กระตุ้นให้เดินทางมานอกฤดูซึ่งตรงกับซัมเมอร์ของนอร์ดิค หยุด 1-2 สัปดาห์ หรือบางคนลาหยุดพักทั้งเดือน แนะนำให้มาเมืองไทยบ้าง ตามปกติจะไปเที่ยวยุโรปเมืองอื่น ๆ แต่ไทยสามารถเที่ยวแสงแดดได้ โดยทำแบรนดิ้ง เพิ่มการท่องเที่ยวสีเขียว และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร มีความชิค ๆ สร้างแรงบันดาลใจ รวมไปถึงการใส่ข้อมูลการท่องเที่ยวด้านสิ่งแวดล้อม มาท่องเที่ยวเมืองไทยแล้วสามารถช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมในชุมชนได้อย่างไร ทำซีเอสอาร์ เพราะตอนนี้ในนอร์ดิคมีแคมเปญรณรงค์ Flight Chain ซึ่งเป็นการรณรงค์เรื่องการเดินทางกับเครื่องบินระยะทางไกลจะสร้างมลพิษทางอากาศ แต่ ททท.สต็อกโฮล์มก็ร่วมมือกับสายการบินต่าง ๆ หาวิธีสร้างกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางไกลมาไทย โดยได้บุกเบิกโครงการ “24 สตาร์ตอัพ นอร์ดิค” จากไทยเข้าไปเจาะตลาด เช่น มาเที่ยวเมืองไทยสามารถมาช่วยปลูกป่าได้ โดยสายการบินเปิดให้นำคะแนนสะสมไมล์แลกเป็นส่วนตั๋วเครื่องบินแล้วนำเงินดังกล่าวมาช่วยชุมชนปลูกต้นไม้ ปลูกป่า ปลูกหญ้าทะเล เพิ่มขึ้น ทำแบรนดิ้งประเทศไทยแล้วมาช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมได้ด้วย การทำเรื่อง Green Hotel และ 7 Green ในไทย มีส่วนช่วยได้มากเช่นกัน

ขณะนี้ ททท.มี 24 Startup Nordic เข้าไปช่วยการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดขอบเมื่อมาเที่ยวเมืองไทยตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นต้นไป เป็นกลยุทธ์การสร้างกระแสให้เกิดความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกลุ่มสตาร์ตอัพจะเป็นเอเย่นต์แนวใหม่จัดทำแพกเกจ โปรแกรมท่องเที่ยว แบบอิสระ (F.I.T.) ขายผ่านช่องทางออนไลน์ สอดคล้องกับพฤติกรรมของชาวนอร์ดิคใช้ดิจิตอลซื้อขาย วางแผนการท่องเที่ยวเองแบบครบวงจร รวมถึงสินค้าในออนไลน์ก็มีความหลากหลาย มีบริการเดินทาง จองห้องพัก แพกเกจ หรือกิจกรรมการท่องเที่ยว เช่น Gastronomy การท่องเที่ยวเชิงรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นการเสริมทัพให้ผู้ขายมากขึ้น ส่วนโรงแรมในไทยก็ร่วมมือกับสตาร์ตอัพได้ สามารถปิดช่องว่างให้ตลาดห้องพักในเมืองท่องเที่ยวของไทยได้ด้วย โดยดีไซน์โปรดักซ์เฉพาะมาให้ ททท.สต็อกโฮล์ม นำสู่ตลาดด้วยกัน กลยุทธ์นี้ทำให้เป็นการปูพื้นฐานตลาด Business to Consumer : B to C ส่วน Business to Business : B to B ก็ยังทำต่อไป 

สำหรับสินค้าท่องเที่ยวที่ Startup Nordic ผลิตขึ้นจะเป็นแพกเกจหรือโปรแกรมใหม่ ไม่มีวางขายอยู่บนเชลท์การท่องเที่ยวในนอร์ดิคมาก่อน เน้นเทคโนโลยี มีความคล่องตัวทางการซื้อขาย ต่อไปก็จะเกิดการขายตรงโดยสตาร์ตอัพเอเย่นต์จะยืนอย่างแข็งแกร่งในตลาดได้ เป็นกลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งปรับฐานเอเย่นต์ไทย และสร้างความหลากหลายสินค้าบริการแก่ลูกค้านอร์ดิค หาลูกค้าจากการเยี่ยมชมด้วย นอกเหนือจากการทำตลาด B to B ด้วยขนาดของตลาดมีเพียง 15 ล้านคน จึงต้องหาช่องทางใหม่ ๆ กระตุ้นอยู่ตลอดเวลา แตกต่างจากประเทศกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งมีขนาดใหญ่สามารถเจาะกลุ่มใหม่ ๆ ได้ แต่นอร์ดิคจะต้องพุ่งเป้าเรื่องการหาลูกค้าที่ดี คุณภาพครีม ๆ ใช้จ่ายเงินจำนวนมาก มีความถี่การเดินทางสูงต่อเนื่องตลอดไป ผอ.เอิบลาภ กล่าวว่า เตรียมทำโร้ดโชว์กระตุ้นตลาดให้เดินทางเข้ามาไทยใน 8 ประเทศ เพื่อระหว่าง 3-5 กันยายน 2562 ประกอบด้วย 3 เมือง ได้แก่

วันที่ 3 กันยายน ที่เบเนอุส ลิโธเนีย วันที่ 4 กันยายน เมืองเบก้า ลัทเวีย จะเชิญผู้ประกอบการเอสโทเนียเข้ามาร่วมด้วย และวันที่ 5 กันยายน เมืองสต็อกโฮล์ม สวีเดน โดยนำ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ เข้ามาด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการจากไทยมี 21 ราย กลยุทธ์จะทำเวิร์คช้อปผู้ซื้อพบผู้ขาย ทำนัดหมายเจรจาธุรกิจ และมีช่วงเวลาหากไม่ได้นัดหมายก็จะสามารถทำนอกรอบได้ โดยมีครอบคลุมทั้งเมืองหลัก เมืองรอง สตาร์ตอัพ จากไทยครบทุกกลุ่ม ทำให้คู่เจรจาจาก 8 ประเทศได้พูดคุยกัน โร้ดโชว์ครั้งนี้เพื่อกระต้นตลาดล่วงหน้า เพราะนักท่องเที่ยวนอร์ดิคจะวางแผนจองล่วงหน้า 2 ปี เพราะรู้ช่วงวันหยุดแต่ละช่วง คงมีเพียงกลุ่มน้อยที่จองล่วงหน้าแค่ 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ทาง ททท.จะเร่งทำกิจกรรมการตลาดเพื่อนำนักท่องเที่ยวตลาดนี้เข้าไปเติมเต็มตลอดปี 2563 ด้วยพฤติกรรมของนอร์ดิคมาเมืองไทยซ้ำ ๆ ประมาณ 80 % โดยมีถึง 35 % มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ไทยเป็น Prefer Destination ไทยจึงเป็นประเทศยอดนิยมของชาวนอร์ดิคในการเดินทางเที่ยวข้ามทวีป เป็นรองเพียงอเมริกาเท่านั้น เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวคุ้นเคยเป็นการอย่างดีทั้งเมืองหลัก เมืองรอง

 ดังนั้นภายในงานโร้ดโชว์จะเสริมทัพแนะนำพื้นที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่าง หัวหิน แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ซึ่งจะนำเสนอให้เป็นระบบมากขึ้น หรือเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ ก็ทำเป็น Bangkok Getaway ระบุชัดเมื่อมาถึงแล้วทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง ทั้งไฟล์สไตล์ หรือเทรนดี้ ท่องเที่ยวชุมชนในกรุงเทพฯ หรือภูเก็ต Old Town ส่วนเมืองใหม่จริงซึ่งเป็น NewShade อย่าง พะเยา แพร่ น่าน ภาคใต้ก็ ชุมพร ระนอง เชื่อมโยงกับ ภูเก็ต พังงา กระบี่ สร้างสีสันการขายเมืองรองมากขึ้น รวมทั้งได้นำ จังหวัดอุดรธานี มาแนะนำให้งานด้วย เพราะมีเขยนอร์ดิคในอุดรธานีค่อนข้างมาก สถานที่แนะนำคือ แหล่งท่องเที่ยวทะเลบัวแดง อาหาร ผลิตภัณฑ์ผ้า เป็นมุมใหม่ในอีสาน เลือกช่องทางการเดินทางสะดวกเข้าถึงจากสุวรรณภูมิต่อไปยังอุดรธานีส่วนขากลับก็สามารถบินมาอู่ตะเภาหรือข้ามภาคไปที่อื่นได้ เช่นเดียวกับเชียงใหม่มีเที่ยวบินข้ามมายังภาคใต้และภาคอื่น ๆ สะดวก

 ส่วน “กาญจนบุรี” เป็นอีกพื้นที่นำมาปัดฝุ่นใหม่ นำเสนอการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ กำลังเป็นกระแสใหม่ขึ้นมา หลังจากนักท่องเที่ยวนอร์ดิครณรงค์ต่อต้านการเดินทางด้วยเครื่องบิน Flight Chain ทำให้ภายในยุโรปเองก็หันมาเดินทางเที่ยวด้วยรถไฟ ในเมืองไทยกาญจนบุรีรู้จักบ้างแล้ว โดยรวมขณะนี้ได้รุกทำกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งรักษาฐานขยายตลาดนอร์ดิคและบอลติกด้วย New Shade , New Season, New Area ขยายการขายพื้นที่ท่องเที่ยวด้วยการคัดสรรเมืองรองเพิ่มขึ้น

 สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบดูแลสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับ Go Green ทาง ททท.ส่วนกลางได้จัดทำโปรแกรมหรือเมนูที่เรียกว่า Green Alacas ไว้ด้วย จะนำมาโปรดักซ์นี้มาทำเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจเติมเต็มเข้าไปในตลาด เพื่อให้นักท่องเที่ยวนึกภาพออกมากกว่า ภูเก็ต หัวหิน ถึงแม้การท่องเที่ยวทะเลจะมีความแข็งแรง ก็ต้องเพิ่ม New Shade ใหม่ ด้วยการทำแฟมทริปเข้ามาไทยด้วย เมื่อปีที่ผ่านมาได้เชิญเอเย่นต์กับสื่อมาสำรวจ จังหวัดน่าน ระนอง มีกระแสตอบรับที่ดีในมุมมองใหม่ ๆ เข้ามา เมื่อมีการเผยแพร่ผ่านสื่อแล้วก็จะต้องติดตามให้เอเย่นต์ผลิตแพกเกจขาย ภายในงานโร้ดโชว์ 3-5 กันยายน นี้ เอเย่นต์ของไทยกับ 8 ประเทศ จะได้มาพบกันเพื่อเจรจาการขายได้โดยเห็นภาพชัดเจนของสินค้าท่องเที่ยวของไทยแต่ละส่วน

 เป้าหมายปี 2562 การทำตลาด ปกติใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 80,000 บาท/คน/ทริป ต่อไปจะเน้นการเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายเงินเพิ่มเป็นหลักตามเป้าหมายรายได้จะต้องเพิ่มเฉลี่ย 5 % จึงเน้นหาวิธีให้นักท่องเที่ยวใช้เงินเพิ่มให้เป็นไปตามภาพรวมเข้าประเทศตามต้องการ

 ฟังข่าวต้นชั่วโมง 

ข่าวที่ 1 ““คิง เพาเวอร์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยสมองและหัวใจ”  

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้บุกเบิกธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีอากร (duty free) ให้ตอบโจทก์ความต้องการของนักเดินทางครอบคลุมไลฟ์สไตล์ทุกด้าน ทั้งแฟชั่น ความบันเทิง อาหาร เครื่องดื่ม ความรู้ ประสบการณ์แปลกใหม่ ในเครือข่ายธุรกิจ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และน้องใหม่ คิง เพาเวอร์ มหานคร รวมถึงการโลดแล่นอยู่ในกิจการฟุตบอลระดับโลก 2 สโมสร ทั้งเลสเตอร์ ซิตี้ อังกฤษ กับ OHL Leuven เบลเยี่ยม ซึ่งสร้างสีสันต่อวงการกีฬาอย่างมหาศาล

 ในเดือนตุลาคม 2562 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ คุณเอมอร ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการ พร้อมครอบครัว และทีมบริหาร กำลังเตรียมนำองค์กรก้าวขึ้นปีที่ 31 อย่างสง่างามบนเส้นทางการลงทุนตามสัญญาสัมปทานฉบับใหม่ ที่คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2562 มีมติให้เป็นผู้ชนะการประมูล 2 โครงการใหญ่ ประกอบด้วย

โครงการแรก ผู้ประกอบกิจการร้านค้าดิวตี้ฟรี 4 สนามบิน คือ สุวรรณภูมิ ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่
โครงการที่ 2 ผู้ประกอบกิจการพื้นที่เชิงพาณิชย์ (commercial area) ในระยะเวลา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 กันยายน 2563 -31 มีนาคม 2574 ตามที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐสูงสุดเป็นประวัติการณ์รวมปีละประมาณ 23,548 ล้านบาท ดังนั้นการเข้าสู่ปีที่ 31 จึงเป็นก้าวใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างมาก เพราะภารกิจใหญ่ที่รออยู่คือ จะต้องหารายได้ส่งรัฐตลอดอายุสัญญาสัมปทานมูลค่าเกินกว่า 240,000 ล้านบาทขึ้นไป 

“โอกาส” ที่ได้มากับ “จังหวะ” การขยายธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตถูกจับตาว่ามีสัญญาณอันเป็น “ที่สุดแห่งความท้าทาย” ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ สถานการณ์การค้าโลก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มนักช้อปตลาดหลักลดลง แต่ละปัจจัยล้วนมีสัญญาณถดถอยชะลอตัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยังไม่นับรวม “คลื่นการแข่งขัน” การห้ำหั่นชิงไหวชิงพริบของกลุ่มธุรกิจคนไทยด้วยกันเอง ขณะนี้ก็ทวีความร้อนแรงขึ้นตามลำดับ แรงกระเพื่อมเหล่านี้จะส่งผลอย่างไรต่อไปนั้น

สิ่งที่น่าสนใจมากสุดคือ “อัยยวัฒน์” เป็นทายาทธุรกิจผู้ได้สั่งสมรับการถ่ายทอด “พลังคิดบวก” ให้นำพาธุรกิจของพ่อและครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” ฝ่าวงล้อมความท้าทายแต่ละเรื่องในวันนี้ไปยืนอย่างแข็งแกร่งมั่นคงในวันหน้า ด้วยกลยุทธ์ที่พร้อมจะใช้ “สมองและหัวใจ” ขับเคลื่อนอาณาจักรแสนล้าน

“อัยยวัฒน์” จะทำให้สัมปทานดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์อีก 10 ปี 6 เดือนข้างหน้า เป็นแม่เหล็กขั้วใหญ่ของประเทศในการนำเงินจากนักเดินทางคนไทยและทั่วโลกใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด แล้วก็นำรายได้ส่งเข้ารัฐให้ได้ตามเป้า 2.4 แสนล้านบาท ตามสัญญา


 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ซีอีโอ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่าถึงการเรียนรู้ศาสตร์การทำธุรกิจจากคุณพ่อ (วิชัย ศรีวัฒนประภา) ด้วยการใช้ “สมองและหัวใจ” ทำงาน เริ่มตั้งแต่สิงหาคม ปี 2553 ในวัยเบญจเพศเพียง 25 ปี เมื่อคุณพ่อตัดสินใจซื้อสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ อังกฤษ แล้วพาไปเรียนรู้วิธีการทำงานโดยรับหน้าที่เป็นรองประธานสโมสรฯ ต้องเจอกับแรงกดดันรอบด้านครบทุกเรื่องทั้งเรื่องคน เรื่องงาน ในสังคมใหม่ ไลฟ์สไตล์ ความรับผิดชอบ การใช้ชีวิต ต้องปรับและเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ประการสำคัญที่สุดทุกมิติสามารถชนะได้ด้วยการ “ให้จากใจ” อย่างแท้จริง


ก้าวแรกของการก้าวสู่สังเวียน “กีฬาฟุตบอลยุโรป” นอกจาก “คนใน” เมืองเลสเตอร์ที่มีความรักหวงแหนทีมมองด้วยสายตาไม่เชื่อมั่นแล้ว ยังมี “คนนอก” กลุ่มแฟนบอลทีมคู่แข่งซึ่งมีอารมณ์ดุดันต่างพร้อมจะตะโกนด่าใส่หน้าได้เสมอหากทีมของพวกเขาแพ้การแข่งขัน 

“อัยยวัฒน์” อธิบายว่า ได้แปรเปลี่ยน “ประสบการณ์เชิงลบ” เหล่านี้ให้กลายเป็น “พลังคิดบวก” นำมาเป็นการฝึกตนเองให้รู้จักวิธีรับมือกับผู้คนที่มีทั้งมาร้ายและมาดี ทำให้ได้ใช้ทักษะ ไหวพริบ ความอดทน ใช้ทั้งสมองและหัวใจ ก้าวข้ามอุปสรรคในอดีตจากวัยเบญจเพส 25 ปี จนกระทั่งผ่านมาได้ 10 ปีแล้ว วงล้อปัญหาตอนนี้ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ไม่ใช่สิ่งกีดขวางสำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเป้าหมายต้องการนำพาธุรกิจของพ่อและครอบครัวก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณธรรม และจะทำหน้าที่ต่อยอดการทำหน้าที่เป็น “ผู้ให้” ที่ดีต่อไป

 หากประเมินด้านธุรกิจ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” ถือเป็นอาณาจักรกระสุนตกอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ไม่ต่างจากผู้ชนะสัมปทานธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ในฐานะผู้ครองสัมปทานร้านค้าดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินหลักมาอย่างยาวนาน ถึงแม้จะแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าสู่กระบวนการประมูลตามกติกาทุกเงื่อนไข ต่อสู้ด้วยกลไกเสนอจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนรัฐสูงขนาดไหน ก็ยังคงมีช่องให้ตกเป็นเป้าถูกโจมตีเป็นปกติอยู่นั่นเอง

 เมื่อถามถึงว่าระหว่าง “การพัฒนาธุรกิจดิวตี้ฟรีในประเทศ” เพื่อคืนประโยชน์ให้คนไทย โดยจะต้องทุ่มเททั้ง กำลังเงิน กำลังคน เทคโนโลยี เพื่อคิดค้นกลยุทธ์ตลาดการขายมากมาย แถมยังต้องใช้พลังมหาศาลทำให้ดิวตี้ฟรีไทยติดอันดับต้น ๆ ของโลก เพื่อช่วยสร้างชื่อเสียง หารายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามานำเงินเข้าประเทศกระจายให้ถึงมือคนไทยด้วยกัน เป็นส่วนหนึ่งการค้ำยันเศรษฐกิจ เรื่อยไปจนถึงต้องหารายได้จ่ายผลตอบแทนคืนรัฐรวมหลายแสนล้านบาท กับ “การพัฒนาสโมสรกีฬาฟุตบอลเลสเตอร์และOHL” ให้ต่างชาติ อย่างไหน ทำง่าย ทำแล้วสนุก ทำแล้วสบายใจ กว่ากัน

 “อัยยวัฒน์” ยืนยันสั้น ๆ มาตลอดว่าแต่ละธุรกิจมีความต่างและความเหมือนคนละมุม

แล้วสิ่งที่คนไทยฟังต่อ ๆ กันมาจากอดีตก้าวล่วงมานานจนถึง “ปัจจุบัน” เมื่ออาณาจักรคิง เพาเวอร์ มีทรัพย์สินเงินทองมากมหาศาลนั้นคือ “ความผิด” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ของบางกลุ่มบางพวก บางฝ่าย หยิบยกนำมาร้อยเรียงสร้างความน่าเชื่อถือในสังคม ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอยู่บ้างในบางขณะ แต่ภารกิจของนักธุรกิจไทยกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” มุ่งมั่นจะทำตามเป้าหมายในการทำหน้าที่ผู้ให้สังคมรอบข้างทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งกับคนไทยและในประเทศที่ไปปักธงไทย โดยใช้ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” สร้างชื่อเสียงที่ดีฝากไว้ให้คนทั่วโลกได้จดจำ 

ข่าวที่ 2 “ช็อปคิงเพาเวอร์รับส่วนลดกินพุงแตก-ฟรีกระเป๋า” 

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้สิทธิ์สมาชิกนักช้อปของ คิง เพาเวอร์ เมื่อทานครบ 800 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ระหว่างวันนี้ - หมดเขต 31 ธันวาคม 2562 ณ ร้านอาหารที่เข้าร่วมรายการ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานภูเก็ต (อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ) และ ท่าอากาศยานดอนเมือง (อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1) รับส่วนลดอาหารชุด Super Value Set หลากหลายเมนู และรับกระเป๋า Travel Bag ฟรี

 ข่าวที่ 3 “ททท.ชงรัฐเท150ล้านดัน3โปรเจ็กต์ปลุกเที่ยวไทยปั๊มเศรษฐกิจ”

 ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.เตรียมเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลเสนอรัฐบาลของบกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มอีก 150 ล้านบาท เดินหน้า 3 โครงการ ได้แก่ ททท.อยู่ระหว่างผลักดัน ในอีก 3 มาตรการเพื่อเสริมเข้าไปอีก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ซึ่งได้นำเสนอแก่ นายพิพัฒน์
รัชกิจประการ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเสนอครม.ในครั้งหน้า เพื่อขอสนับสนุนงบจากรัฐบาล150 ล้านบาท ในการดำเนินการใน 3 โครงการ ประกอบด้วย

 โครงการแรก จัดทำแพ็กเกจให้คนเดินทางกับแคมเปญ “วันธรรมดา น่าเที่ยว” ได้ส่วนลดสุงสุด 70%

 โครงการที่สอง ช้อปเที่ยวทั่วไทย 100 บาท ใน 10,000 คนแรก เพียงดาวน์โหลดผ่านแอพพลิเคชันก็จะได้สิทธิจ่าค่าตั๋วเครื่องบิน ห้องพักโรงแรม ร้านอาหาร ของที่ระลึก 100 บาท โดยจะทำเดือนละ 1 วัน ช่วง 4 เดือน ได้แก่ทุกวันที่ 10 เดือน 10, วันที่ 11 เดือน 11, วันที่ 12 เดือน 12

 โครงการที่สาม ขอมติครม.เพื่อให้ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเที่ยว โดยไม่คิดว่าเป็นวันลา ดร.ยุทธศักดิ์ย้ำว่า ทั้ง 3 โครงการจะทำต่อเนื่องกับการ จัดเตรียมเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com รองรับการลงทะเบียนของนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนแรก เพื่อเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์รับเงินท่องเที่ยวฟรี 1,000 บาท เริ่ม 23 กันยายน-15 พฤศจิกายน 2562 โดยระบบจะ Link ไปยังธนาคารกรุงไทยให้จ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง”ตามเงื่อนไขผู้ที่ได้รับสิทธิจะต้องเปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ส่วนกระทรวงการคลังเองก็มีระบบการรับชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (g-Wallet) รองรับเช่นกัน

ขณะที่ผู้ประกอบการร้านค้าท่องเที่ยวแต่ละประเภท จะต้องเข้าไปลงทะเบียนและติดตั้งแอพพลิเคชันชื่อ“ถุงเงิน” เพื่อรองรับบริการเช่นกัน

 ข่าวที่ 4บางจากโหมแคมเปญสะสมง่ายแลกได้เร็วขึ้น

 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้สมาชิกบัตรบางจากร่วมแคมเปญ "สะสมง่าย แลกได้เร็วขึ้น" ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 62

 การสะสมคะแนนบัตรบางจาก ซื้อสินค้าครบทุก 20 บาท รับ 1 คะแนน ที่ อินทนิล อินทนิลการ์เด้น ร้านสพาร์ ใบจากมาร์ท กรีนวอช , Wash Pro , Furio Care และน้ำมันหล่อลื่นบางจาก

การแลกคะแนนสะสมบัตรบางจาก เพื่อใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการ ทุก 100 คะแนน = 20 บาท ที่ อินทนิล อินทนิลการ์เด้น ร้านสพาร์ และใบจากมาร์ท

ทุก 500 คะแนน = 100 บาท ที่ กรีนวอช , Wash Pro , Furio Care และน้ำมันหล่อลื่นบางจาก

 ข่าวที่ 5 “TCEBใช้TMFเปิดแผนไมซ์ปี’63ทำเงิน2.3แสนล้าน” 

 นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” กล่าวว่า ได้รับเกียรตินายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมงานและเป็นประธานการจัดงาน Thailand MICE Forum 2019 “Thailand’s Opportunity: Asia’s Top MICE Destination”เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 เวลา 9.00 น. ณ โรงแรม ดิ แอธินี กรุงเทพฯ

 ผอ.จิรุตถ์ ได้กล่าวรายงานถึงอนาคตของอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2563 ที่ TCEB มีพันธกิจหลักเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการจัดประชุม การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติรวมถึงงานเมกะอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการจัดงานระดับโลก จัดงาน Thailand MICE Forum 2019 ถือเป็นงานสัมมนาประจำปีของกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไมซ์ มีจุดประสงค์ให้เป็นเวทีสำคัญถ่ายทอดองค์ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ให้แก่ผู้เข้าร่วมฟังซึ่งเป็นปีแรกที่มีหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภาครัฐและเอกชนในวงการไมซ์ เข้าร่วมกว่า 600 คน

 โดยภาพรวมแล้วสถานการณ์อุตสาหกรรมไมซ์ ผลการดำเนินงาน และแผนกลยุทธ์ของ สสปน. ปีงบประมาณ 2563 มีภารกิจท้าทายที่ TCEB จะต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วนนำประเทศไทยเป็นผู้นำไมซ์แห่งเอเชีย เริ่มจากแนวโน้มตลาดไมซ์ของโลก (Global Market) จากรายงานของสมาคมระหว่างประเทศด้านการประชุมและการจัดนิทรรศการ หรือที่รู้จักกันในนามของสมาคม ICCA ระบุทั่วโลกในปี 2562 ประกอบด้วย

 1.ยอดการจัดงานประชุมนานาชาติรวมกว่า 12,900 งาน โดยมีภูมิภาคยุโรปเป็นตลาดการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก 6,700 งาน ส่วนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ มีการจัดงานแสดงสินค้าจากทั่วโลกทั้งสิ้น 32,000 งาน โดยมีภูมิภาคอเมริกาเป็นตลาดการแสดงสินค้าใหญ่ที่สุดกว่า 10,800 งาน ขณะที่เอเชีย/แปซิฟิคและตะวันออกกลาง ถือเป็นภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโตสูงของอุตสาหกรรมไมซ์ในปัจจุบัน ขณะที่ “ไทย” ติดอันดับ 1 ทั้งด้านการจัดประชุมและการแสดงสินค้าของอาเซียน ติดอันดับที่ 4 ของเอเชีย รองจาก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ในด้านการจัดประชุมนานาชาติ และอันดับที่ 7 ของเอเชียในด้านการแสดงสินค้านานาชาติ

ทั้งนี้ ก็ต้องขอขอบคุณและชื่นชมหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาคม TICA TEA THA ATTA และสมาคมต่างๆ ในภาคธุรกิจที่ร่วมกันทำให้ประเทศไทย เป็น Destination ของไมซ์อย่างแท้จริง

 ปีงบประมาณ 2563 คาดอุตสาหกรรมไมซ์จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 230,000 ล้านบาท

 จะมีนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศมาไทย (International MICE) กว่า 1,386,000 คน สร้างรายได้กว่า 105,600 ล้านบาท

 จะมีนักเดินทางคนไทยร่วมงานไมซ์ในประเทศกว่า 36,395,000 คน สร้างรายได้กว่า 127,100 ล้านบาท

 ปี 2562 สถานการณ์ไมซ์ไทย (Number of International MICE) ตามประมาณการ ตลาดไมซ์ต่างประเทศเข้าไทยมีทั้งสิ้น 1,248,000 คน สร้างรายได้สู่เศรษฐกิจ 100,500 ล้านบาท ตลาดหลักยังคงเป็น จีน อินเดีย และอาเซียน ตลาดไมซ์ในประเทศ (Domestic MICE) มีชาวไทยร่วมกิจกรรมไมซ์ในประเทศกว่า 31,400,000 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ 121,000 ล้านบาท

 ตลอดปี 2562 อุตสาหกรรมไมซ์ทั้งตลาดในและต่างประเทศจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจ(Economic Impact) ที่จะทำให้เกิดผลเชิงบวกดังนี้

 1.เกิดการใช้จ่ายจากการจัดกิจกรรมไมซ์รวมมูลค่าทั้งสิ้น 544,700 ล้านบาท แบ่งเป็นไมซ์ในประเทศ 275,000 ล้านบาท ไมซ์ต่างประเทศ 269,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3% ของ GDP ของประเทศ

 2.ภาครัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้จากธุรกิจไมซ์ 35,900 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่า 340,000 อัตรา

 ผอ.จิรุตถ์กล่าวว่า TCEB ก่อตั้งมาตลอด 15 ปี โดยได้ดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็ง จนสามารถผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นที่หนึ่งในภูมิภาคอาเซียน ทั้งด้านการจัดประชุมและงานแสดงสินค้า และวันนี้เราพร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้วยยุทธศาสตร์ไมซ์เพื่อร่วมกันผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยได้วางแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไมซ์ 20 ปี (Thailand 20 Year Strategic Plan for MICE Industry) สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ปี 2560-2579) โดยอุตสาหกรรมไมซ์อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และไมซ์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมภาคบริการที่มีศักยภาพใหม่ต่ออนาคตประเทศไทยอย่างมาก

 ทางด้าน “ความเชื่อมโยง” การวางแผนอุตสาหกรรมไมซ์ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ได้ใช้เวทีไมซ์มีส่วนช่วยขับเคลื่อนทุกอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศผ่านการจัดงาน ได้แก่

1.การส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจบริการ

 2.การสร้างกลไกส่งเสริมความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทย สามารถปรับตัวท่ามกลางบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

3.การพัฒนาธุรกิจบริการอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานระดับนานาชาติ 

4.การยกระดับคุณภาพของธุรกิจให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด

5.การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับธุรกิจในและต่างประเทศ 6.สนับสนุนการพัฒนางานวิจัย โดยส่งเสริมผู้ประกอบการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาธุรกิจและสนับสนุนการใช้สื่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อขยายตลาดสินค้าบริการกระจายสู่ภูมิภาคทั้งในและต่างประเทศ

 ตามเหตุผลดังกล่าว TCEB จึงพร้อมจะร่วมกับภาคีเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้วยยุทธศาสตร์ไมซ์ (Goal Thailand: Asia’s Top MICE Destination) ร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยกับทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการจัดงานไมซ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเซีย


 ช่วงที่ 2 More Fun วันธรรมดาน่าเที่ยว “ทัวร์สุขภาพพอเพียง” ในปราจีนบุรี สระแก้ว ตามด้วย “วิธีลดกินเค็ม” 8 อย่างอายุยืน ส่วนข่าวร้อนต้องเรื่อง “มหาดไทยขีดเส้นตายโรงแรม 50 จังหวัด” 9 กันยายน 2562 จับจริงปิดจริง ส่วน “รมว.ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” โดดเคลียร์ปมขัดแย้ง ทอท.-เซ็นทรัล วิลเลจ แต่หนังม้วนนี้ยังอีกยาว 

 @ทัวร์สุขภาพพอเพียงปราจีนบุรี-สระแก้ว

 วันธรรมดา น่าเที่ยว เลือกไปในเส้นทาง “สุขภาพ” อย่างพอเพียงใน “ปราจีนบุรี” ต่อด้วย “สระแก้ว” เมืองสมุนไพรภูมิปัญญาไทย ไปสัก 2 วัน 1 คืน 

วันแรกมุ่งหน้าตรงเข้าปราจีนบุรี ไปเที่ยวหมู่บ้าน “บ้านดงบัง” อาณาจักรแห่งการปลูกพืชสมุนไพรไทยพันธุ์หายากมากมาย อย่าง เพชรสังฆาต มีสรรพคุณสมานกระดูก แล้วทำกิจกรรม D.I.Y.ทดลองปลูกในกระถางเล็ก ๆ เสร็จแล้วสามารถถือกลับบ้านกลายเป็นคำเรียกติดปากมาแล้วต้องได้ “สวนมือถือ” ระหว่างชมสวนก็มีเมนูอาหารสมุนไพรหลายชนิดให้รับประทาน อย่าง ยำผักกระสัง ผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำไฟแดง เรื่อยไปจนถึง “นวดสปาสมุนไพร”

 ต่อจากนั้นก็แวะ “พิพิธภัณฑ์อภัยภูเบศร” เพื่อชมเรื่องราวของสมุนไพรไทยตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน แล้วก็พักค้างสัก 1 คืน

 วันที่สอง ไปเที่ยวต่อใน “โรงเรียนกาสรกสิวิทย์” ชมวิถีแห่งเกษตรและการใช้สอนควายทำนา แวะร้านกาแฟสั่งเมนูซิกเนเจอร์ อย่าง ควายคะนอง ดื่ม พร้อมกับเดินชมทุ่งนา การทำบ้านดิน มุ่งหน้าต่อไปยัง อำเภอวัฒนคร จ.สระแก้ว เพื่อชมการเลี้ยงไหม่อีรี่แห่งเดียวในเมืองไทย แล้วก็แวะ “อ่างเก็บน้ำพระปรง” สูดโอโซนบริสุทธิ์ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ชาร์ตพลังให้เต็มที่ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ 

เมื่อไปถึงปราจีนบุรีและสระแก้วแล้ว ก็ต้องห้ามพลาดอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นชื่อ มีทั้ง หัตถกรรมจากใบลาน กกบ้านพลวง สมุนไพรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ

 เป็นทริป More Fun เพื่อสุขภาพอย่างพอเพียง เที่ยวได้สบาย ๆ ในปราจีนบุรี และสระแก้ว สมกับที่ว่าเมืองไทย เที่ยวได้ทุกที่ มีความสุขทุกเวลา  

@วิธีลดเค็มแบบง่าย ๆ ทำให้สุขภาพแบบยั่งยืน 

ถึงแม้โซเดียมจะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคมากเกินไปกลับมีผลเสียต่อสุขภาพ การบริโภคโซเดียมสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต และอัมพาต นับวันจะรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดังนั้นจึงควรลดกินเค็มกันด้วยวิธีง่าย ๆ เพื่อสุขภาพ ดังนี้ 

1.เลือกกินอาหารสด หรืออาหารแปรรูปน้อยที่สุด 2.ลดการใช้เครื่องปรุงรสในอาหาร เช่น ผงปรุงรส น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส เต้าเจี้ยว และผงชูรส 3.หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 4.ใช้รสอื่นมาทดแทน เช่น รสเปรี้ยวจากมะนาว รสเผ็ดจากพริก ทำให้สามารถลดรสชาติเค็มลง

 5.ใช้ส่วนผสมสมุนไพรและเครื่องเทศเพื่อแต่งรส และกลิ่นหอมของอาหาร 6.ปรุงอาหารด้วยตัวเองหากเป็นไปได้ 7.ชิมอาหารก่อนปรุงรสทุกครั้ง 8.ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้ง เลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยที่สุด หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดโซเดียม

 ฟังข่าวท้ายชั่วโมง 

ข่าวแรก “มหาดไทยขีดเส้นตายที่พัก50จังหวัดปรับให้ถูกกฎหมายก่อน9ก.ย.62”

 กระทรวงมหาดไทย ได้เร่งขีดเส้นตายผู้ประกอบการโรงแรมที่ประกอบธุรกิจโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 20,000 แห่ง ในพื้นท่องเที่ยว 50 จังหวัด และกลุ่มที่พักที่ไม่มีใบอนุญาติประกอบธุรกิจทั้ง ประเภท ที่นำอาคาร บ้าน ที่อยู่อาศัยมาให้บริการ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อน วันที่ 9 กันยายน 2562 เพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะเข้าไปตรวจสอบการปรับปรุงอาคารตามประกาศดังกล่าว หากผ่านก็จะแจ้งไปข้อมูลไปยังฝ่ายทะเบียน และหากไม่ดำเนินการก็จะมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจโรงแรม

 โดยประกาศย้ำเรื่อง การปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 6/2562 ภายใน 9 กันยายน 2562 ระบุให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ใช้อาคารผิดประเภท ก่อนวันที่ 12 มิถุนายน 2562 รีบแจ้งปัญหาข้อขัดข้องในการฝ่าฝืนกฎหมายต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น และให้ยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณา พร้อมทั้งดำเนินการปรับปรุงระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522 และติดตั้งเครื่องดับเพลิงแบบมือถือ 1 เครื่อง ต่อพื้นที่อาคารไม่เกิน 200 ตร.ม. ทุกระยะไม่เกิน 30 เมตร แต่ไม่น้อยกว่าชั้นละ 2 เครื่อง

พร้อมยื่นเอกสารประกอบการตรวจสอบ ได้แก่ สำเนาใบอนุญาตก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคาร หรือสำเนาใบรับรองการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร รวมถึงแบบแปลน เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของอาคาร หรือสถานที่ สำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แสดงหลักฐานการเสียภาษีห้องพักให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสรรพากร รวมถึงหลักฐานการได้รับอนุญาตให้ใช้ไฟฟ้า ประปา การออกทะเบียนราษฎร และเอกสารอื่น ๆ ที่แสดงได้ว่าเป็นอาคารที่มีลักษณะตามข้อ 3 แห่งกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรมแรม พ.ศ. 2559 ซึ่งใช้อาคารประกอบธุรกิจโรงแรมอยู่ก่อน 12 มิ.ย. 2562

 ข่าวที่สอง ““ศักดิ์สยามเคลียร์ปมขัดแย้งทอท.-เซ็นทรัลวิลเลจ” 

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงปัญหาข้อพิพาทระหว่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) กับ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) กรณีโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ โดยสั่งการให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแก้ปัญหา

ล่าสุดได้เรียกทุกฝ่ายหารือกันโดยมีทั้งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ทอท.เร่งตรวจสอบขั้นตอนกฎหมาย กรมท่าอากาศยาน (ทย.) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO), คณะทำงานด้านธุรกิจการบิน (AOC) และ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) มาหารือกัน ซึ่งจะต้องข้อสรุปต่อไป เนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลต่างกัน

 อย่างไรก็ตามทางกรมธนารักษ์ เจ้าของที่ดิน ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2562 ระบุกรณีที่เป็นประเด็นข่าวมีเอกชนรุกล้ำที่ราชพัสดุนั้นกรมท่าอากาศยานผู้ครอบครองการใช้ประโยชน์มีหน้าที่ต้องดูแลระวังรักษาแนวเขตที่ดินดังกล่าว แจ้งให้เอกชนดำเนินการรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ราชพัสดุตามกฎหมาย ดังนั้นกรณีที่ ทอท.ในฐานะผู้ดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมท่าอากาศยานให้เอกชนรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ราชพัสดุบริเวณดังกล่าว เป็นการดำเนินการที่เป็นไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ 

ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ททท.วันธรรมดาน่าเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง บุรีรัมย์

ททท.พาลุย"วันธรรมดาน่าเที่ยว ปราสาทพนมรุ้ง"
กับทริปเด็ดไทยแอร์เอเชีย Air Asia Journey D

เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutouza #เที่ยวกับกู๋ #สวท97 #วันธรรมดาน่าเที่ยว
 #AirasiaJourneyD #TATบุรีรัมย์ #TATภาคตะวันออก


เช้านี้ที่ "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง หรือ "ปราสาทหินพนมรุ้ง" อำเภอประโคนชัย จังหวะดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 80 กม.  " คุณวิบูลย์ นิมิตรวานิช" ผู้อำนวยการ ภูมิภาจคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เจ้าของโปรเจ็กต์ "วันธรรมดา น่าเที่ยว" พาตลุยสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด "บุรีรัมย์" เมือง Zsport City ที่มีมากกว่า การท่องเที่ยวเชิงกีฬา

นั่นก็คือมี "ปราสาทหินพนมรุ้ง" เลื่องชื่อ เก่าแก่ งดงาม สร้างขึ้นมานานนับพันปี ของดีที่มีเรื่อาวน่าสนใจพอ ๆ กับมรดกโลก "นครวัด " กัมพูชา สร้างด้วยศิลาแลง และถือเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสมัยโบราณ

ผอ.วิบูลย์ นำบรรดาบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว เจ้าของแมกกาซีน SME  ร่วมทริปมากับเครือข่ายพันธมิตรสายการบิน " ไทย แอร์ เอเชีย" ผู้บุกเบิกโครงการ Air Asia Journey D ที่มีคุณนก คุณบูม เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ และ "คุณต้น" ไกด์ของบริษัท Fine Folk ผู้จัดทำการท่องเที่ยวชุมชนอย่างมีคุณภาพยั่งยืน

เรื่องเล่าจาก "ปราสาทพนมรุ้ง" สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 16 หรือช่วง พ.ศ.1532 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  สร้างขึ้นโดยชาวบ้านยุคนั้นผ่านมานับพันปี เลือกทำเลการสร้างปราสาทบนยอดเขาพนมรุ้ง ฅึ่งเคยเป็นภูเขาไฟ ตามประวัติระบุว่าภูเขาไฟแห่งนี้ดับมานานกว่า 9 แสนปีแล้ว

ชาวบ้านสร้างปราสาทไว้บนยอดเขา เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ กิน ดื่ม อุปโภค  บริโภค ถถปลูกพืชผัก ปลูกทุกอย่างได้ตลอดทั้งปี

รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจในเรื่องการเป็นศูนย์รวมทางศาสนาของฮินดู และนิกายมหายาน

การออกแบบก่อสร้าง ปราสาทพนมรุ้ง มรายละเอียด ควมมมหัศจรรย์ มากมาย
โดยเฉพาะเรื่องที่สร้างความฮือฮาที่ชวนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันเข้ามาทุกปี ในงาน "เทศกาลขึ้นเขาพนมรุ้ง" ช่วงต้นสัปดาห์แรกนเดือนเมษายนของทุกปี เพื่อรอดูความมหัศจรรย์ของแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูปราสาทครบทั้ง 16 ช่อง (ในบางปี) นั่นเอง

วันธรรมดา ต้องมาเที่ยว "ปราสาทหินพนมรุ้." บุรีรัมย์ กันให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วจะรู้ว่าบรรพบุรุษของเราในสมัยโบราณเก่งจริง ๆ

ไทยแอร์ เอเชีย มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไป-กลับ ดอนเมือง-สนามบินสะตึก(บุรีรัมย์) วันละ 2 เที่ยว เช้า 7.50น. และบ่าย 13.00 น.พอมาถึงก็รับผู้โดยสารกลับจากบุรีรัมย์เข้ากรุงเทพฯ (ดอนเมือง) วันละ 2 เที่ยวเช่นกัน

บุรีรัมย์ Sport City ช้างสเตเดี้ยม วันธรามดาน่าเที่ยวเพ ลา เพลิน

ตะลึง!!ความสวยอีสานใต้ "เพ_ลา เพลิน"บุรีรัมย์
อุทยานดอกไม้สุดอลังการในเมือง Sport City

เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #เที่ยวกับกู๋ #รายการรวยด้วยข่าวFM97 #วันธรรมดาน่าเที่ยว #AirAsiaJourneyD #TATบุรีรัมย์

เชิญชวนทุกคนแวะมาเที่ยว อุทยานดอกไม้แห่งแดนอีสาน "เพ ลา เพลิน" จังหวัดบุรีรัมย์
แนะนำให้มาชมความอลังการของอุทยานดอกไม้ในช่วงวันธรรมดา จันทร์-พฤหัสบดี ทุกสัปดาห์

ตอนนี้ เพ ลา เพลิน ได้เนรมิตพื้นที่ทั้งหมดให้กลายเป็นแห่งไม้งาม "ปทุมมา"
หรือทุ่งดอกกระเจียวละลานตา ชูช่อหลากสีสัน ชมพู ม่วง ขาว น้ำตาล

"วิบูลย์ นิมิตรวานิช" ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือกับ ไทยแอร์เอเชีย และ ไฟฟ์ฟร็อบ จัดทริปพาสื่อสายดิจิทัลและบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว เดินทางลงพื้นที่สัมผัสประสบการณ์ "บุรีรัมย์" ในโครงการ "Air Asia Journey D-วันธรรมดาน่าเที่ยว

บินลัดฟ้าจากกรุงเทพฯ มากับเที่ยวบินแอร์เอเชีย ดอนเมือง-สนามบินสะตึก บุรีรัมย์" ด้วยเที่ยวบินFD 3522 เวลา 7.50 น.มาถึงปลายทาง 8.40 น. ใช้เวลาบินประมาณ 40 นาที

บนเครื่องไทยแอร์ เอเชีย เสิร์ฟเมนูใหม่ "เบอเกอร์ไส้อั่วไก่" ขนมปังสีแดงธรรมชาติ รสแซ่บเวอร์อร่อยได้เรื่องทีเดียว

ลงเครื่อวปุ๊บมุ่งหน้าเข้าเมืองไปสัมผัสบุรีรัมย์

จุดแรกที่ "ช้าง สเตเดี้ยม" สนามกีฬาฟุตบอลมาตรฐานFIFA ที่ได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊คให้เป็นสนามที่ใช้เวลาสร้างเร็วที่สุดในโลก 256 วัน ขนาด 36,000 ที่นั่ง

ช้อปสินค้าบุรีรัมย์ในช้อปเสร็จเรียบร้อย นั่งรถเข้าตลาดในเมือง บริเวณตลาดหลังรถไฟ จะมี "รถเข็นลูกชิ้นยืนกิน" เมนูที่มาแล้ว นักท่องเที่ยวต้องแวะมาเช็คอินและยืนกินกันทุกกลุ่ม เป็นการนำลูกชิ้นหมูสีขาวอัตลักษณ์แห่งเดียวในบุรีรัมย์มาทอดเสียบไม้ ไม้ละ 3 ลูก เพื่อขายไม้ละ 3 บาท จิ้มน้ำจิ้มสูตรเด็ดรสเข้มข้น

วิธีกินต้องใช้ลูกชิ้นจิ้มลงไปครั้งเดียว แล้วมารูดกินทีละลูก ข้อควรระวัง ห้ามจิ้มหลาย ๆ ครั้ง เพราะจะไม่เหมาะตามมารยาทการกินร่วมกับผู้อื่น

จุดที่ 2 แวะอำเภอกะสัง เพื่อชิมเมนูอาหารถิ่นที่เดียวในเมืองไทย "หมี่ยำ" อาหารสูตรเด็ดที่เคยยกครัวไปออกรายการครัวคุณต๋อยมาแล้ว

"หมี่ยำ" เป็นอาหารจานเดียวมื้อกลางวัน ที่ทำมาจากการนำแป้งไปอบจนได้เป็นแผ่นคล้ายก๋วยเตี๋ยวแล้วนำมาหั่นเป็นเส้นเล็กบาง ๆ คลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ที่มีตัวชูโรง คือ ปลาป่น ต้นหอมซอย พริกบ่น ราดด้วยน้ำมะขาม  กินแกมกับผักพื้นบ้าน

อร่อยขนาดไหนต้องมาลองชิมกันเอง

จุดที่ 3 "อุทยานดอกไม้ เพ ลา เพลิน" อยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองราว 80 กม.เป็นอาณาจักรธรรมชาติ รายล้อมด้วยดอกไม้ สวย ๆ และโรงเรือนสวนประดิษฐ์สไต์ต่างกันไปอีก 6 โรงเรือน เช่น เรือนกล้วยไม้ เรือนเฟิร์น เรือนทะเลทรายสวนตะบองเพ็ด แบะอื่น ๆ ค่าเข้าชมคนละ 250 บาท

ภายในบริเวณเพ ลา เพลิน มี พระธาตุเขี้ยวแก้ว องค์ที่ 9 ของโลก นำมาจากศรีลังกา มาประดิษฐานไว้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ

รวมทั้งมีกิจกรรม D.I.Y .หลาย ๆ อย่าง เรื่อยไปจนถึง การเลือกมาจัดสัมมนา ประชุม และกิจกรรมสนุก ๆ อีกหลากหลายอย่าง

ถ้าอยากรู้ว่า...บุรีรัมย์...เมือง Sport City มีสิ่งเหลือเชื่อที่มากกว่า ปราสาทพนมรุ้ง

ต้องรีบบินมาเที่ยวกันได้ทุกวัน โดยเฉพาะ "วันธรรมดา น่าเที่ยว" ในสไตล์ Journey D

ห้ามพลาด!!!ทริปเด็ด ๆ ทั่วฟ้าเมืองไทยในการ #เที่ยวกับกู๋  #รายการรวยด้วยข่าวFM97

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

บิ๊กTCEBดึง 3 ผู้นำโลก ชี้เป้าอุตสาหรรมไมซ์ไทยปี’63
 เปิดเวทีTHAILAND MICE FORUMกระหึ่ม29ส.ค.นี้
 คิงเพาเวอร์ผนึก4แบรนด์โลกชวนไปช้อปคุ้มค่าทั่วไทย
 สมาชิก!!คิงเพาเวอร์ช้อปสนุกอย่างฉลาดแบ่งจ่าย0%
ททท.หัวหินอัดโปรอะเมซิ่งลดกระหน่ำ50%ตลอดก.ย.
บางจากทำโปรเจ็กต์ร่วมลดขยะพลาสกติกตั้งแต่ต้นทาง
TCEBปลื้ม 5 องค์กรต่อยอดไมซ์เพื่อชุมชนเศรษฐกิจรุ่ง
เที่ยวชุมชนชากแง้วกินกันตัวแตกทึ่งอารยธรรมยั่งยืน
 หันมากินปลาทูแล้วจะรู้ว่ามหัศจรรย์ป้องกันสารพัดโรค
 จับตาศึก“ทย.-ทอท.”ชิงขุมทรัพย์บริหารสนามบินกระบี่
บางกอกแอร์ใจป้ำเทโปรตั๋วลดกระหน่ำ29ส.ค.-1ก.ย.

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #TATDIGITAL #SHOPEETATMALL #CHATBOTน้องสุขใจ #เที่ยวชุมชนชากแง้ว

 ช่วงที่ 1 “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ผู้นำ “TCEB” เปิดก้าวใหม่การตลาดอุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศก้าวสู่เทรนด์ใหม่ B ot B ยกระดับการจัดงานซื้อขายล็อตใหญ่มูลค่าหลักสิบถึงร้อยล้าน ไฮไลต์ 29 สิงหาคม นี้ เปิดเวที THAILAND MICE FORUM 2019 เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่จะมีผู้นำอุตสาหกรรมไมซ์ของโลก 3 องค์กร “SITE-ICCA-UFI” ลัดฟ้ามาชี้เป้าให้ผู้ประกอบการไทย ส่วนกลุ่มทุนใหญ่ไทย “ฐาปนะ สิริวัฒนภักดี-ชฎาทิพย์ จูตระกูล-ศุภจี สุพันธุ์ธรรม” ขึ้นเวทีแนะไมซ์ไทยชิงส่วนแบ่งตลาดโลก


 นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า วางกลยุทธ์เพิ่มความเข้มข้นการทำตลาดไมซ์ในประเทศ โดยใช้โครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” ซึ่งจัดต่อเนื่องขึ้นปีที่ 2 เมื่อ 22 สิงหาคม 2562 ได้จัดเปิดงาน “มิติใหม่ อุตสาหกรรมไมซ์” ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ 1.ต้องการสร้างโมเดลต้นแบบการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ 2.การจัดหาสินค้าท้องถิ่นโอท็อปอยู่ใน catyglory เรียบร้อยแล้วในการลงนามกับกรมการพัฒนาชุมชนและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมาคมจัดประชุมนานาชาติ (ICCA) 3.โปรโมตสินค้าและจัดทำเส้นทางไมซ์บุกเบิกพื้นที่แรกในภาคเหนือลำดับแรกเป็นโครงการนำร่องเพราะมีศํกยภาพความพร้อมด้านไมซ์ โดยมีคณะกรรมการอุตสาหกรรมการจัดแสดงสินค้าแห่งประเทศไทย คือ M TEX : M POWER THAILAND EXHIBITION ขับเคลื่อนโดยมีทีม M-POWER เป็นกำลังหนุนไมซ์ทุกด้านประกอบด้วยกระทรวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงมหาดไทย พาณิชย์ ดิจิตอล และอื่น ๆ รวมทั้งมีภาคเอกชน หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมจัดแสดงสินค้า (TEA) เพื่อทำเป็นเอ็กซิบิชั่นให้ได้

 แนวทางต่อไป TCEB วางแผนสนับสนุนแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1 งานไมซ์ที่มีอยู่แล้วก็จะเข้าไปเปิดเพิ่มให้มีเวทีการเจรจาธุรกิจ Business to Business : BtoB โดย TCEB จะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการนำผู้ซื้อผลิตภัณฑ์เป็น Alotment ครั้งละจำนวนมาก ๆ เพื่อนำสินค้าไปขายต่อไป เช่น งาน World Halal จัดที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดช่วงกันยายน นี้ TCEB ร่วมกับมหาวิทยาลัย ชุมชน โดยมีกรมพัฒนาชุมชนคัดเลือกสินค้ามาวางจำหน่าย ที่สำคัญทาง TCEB การซื้อขายช่วงมีงานโอท็อปส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปเดินเข้ามาซื้อสินค้า แต่งานนี้จะต่างจากเดิมคือมีกลุ่มธุรกิจรายใหญ่เข้าไปพูดคุยเพื่อสั่งซื้อเป็น Alotment เหมือนเมื่อช่วงที่ผ่านมาในงานโอท็อปเมืองทองธานี สถิติเปิดพื้นที่ BtoBรายเดียวสั่งซื้อน้ำมันพืชจากชุมชนมูลค่าสูงถึง 33 ล้านบาท จะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

 ระดับที่ 2 จะร่วมกับ TEA คัดเลือกงานที่สามารถยกระดับเป็นงาน Convention และ Exhibition ภารกิจนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากเอกชนเป็นหลัก คัดเลือกงานจัดเวทีเปิดการเจรจาธุรกิจภายในงานตามรูปแบบ B to B เป็นอีกแผนที่จะอย่างจริงจังปี 2563 เป็นต้นไป เช่น งานแฟรนไชส์กาแฟ หรือโปรดักซ์เซรามิก ปาล์ม จะพัฒนาเป็นคอนเว็นชั่นและเอ็กซิบิชั่นที่มี B to B จริง ๆ ไม่ใช่นับเพียงจำนวนคนเดินเยี่ยมชมงานเพียงอย่างเดียว รวมทั้งจะคัดสรรสินค้าพร้อมเข้าสู่ตลาดในลักษณะดังกล่าวด้วย เพื่อสร้างมูลค่าการขายสินค้าชุมชนเติบโตเพิ่มขึ้น การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ซื้อ ที่ผ่านมาในช่วงแรกพึ่งพาจากทางหอการค้านำสมาชิกเข้ามาเจรจาธุรกิจ กำลังคัดสรรสินค้าหลักประมาณ 3-4 กลุ่ม เมื่อคัดเลือกมาแล้วก็จะมาดูกลุ่มผู้ขายในชุมชนมาเจรจากับกลุ่มผู้ซื้ออาจจะมาจากท้องถิ่นและระดับประเทศ ซื้อไปแปรรูปหรือขายต่อไป

 จากนั้นก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ MTEX โดยทำหน้าที่เป็นแกนประสานสร้างตลาดกลางหรือ Market Place ขึ้นมาโดยมีทุกกระทรวงร่วมทำงานอยู่ด้วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีโปรดักซ์ กระทรวงพาณิชย์มีตลาดระบายสินค้า นายจิรุตถ์กล่าวว่าเป้าหมายการเติบโตนั้นจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจะขยายเพิ่มได้อีกปีละกี่เปอร์ หลังจากสร้างโมเดลนำกลยุทธ์พัฒนาตลาดไมซ์ทั้ง 2 ระดับทั้งเวทีการจัดงานขายสินค้าชุมชนสู่กลุ่มผู้บริโภค ( Business to Consumer : B to C) และ กลุ่มผู้ขายสู่กลุ่มตลาดธุรกิจ Business to Business : B to B ได้เริ่มจัดขายเครื่องจักร จัดปีแรกที่นครราชสีมา ได้ยอดขายมูลค่าครั้งละประมาณ 570 ล้านบาท หรือ Lanna World Expo ยังเป็นงาน B to C ที่จะส่งเสริมต่อไป

ส่วนงานที่มีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับเป็น เซรามิก ยาง เป็น B to B ต้องพิจารณาองค์ประกอบหลักเพิ่มคือ มีเจ้าภาพในพื้นที่ชัดเจนผนวกกับผลการศึกษาความเป็นไปได้

 นายจิรุตถ์อธิบายว่า วันที่ 29 สิงหาคม 2562 TCEB เตรียมจัดงาน THAILAND MICE FORUM 2019 จัดเป็นปีที่ 3 ตั้งเป้าให้เป็นเวทีสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ธุรกิจไมซ์ เดิมเคยแยกจัดเป็น Convention Day มีผู้ซื้อ ผู้ขาย เป็นองคาพายพ ภายในงานนี้จึงได้จับมารวมไมซ์ครบทั้ง 4 กลุ่ม Meeting-Incentive-Convention-Exhibition ตอนนี้ภาคธุรกิจเริ่มหลั่งไหลเข้ามาและร่วมมือกันเพิ่มมากขึ้น การจัดงานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อผู้ประกอบการไมซ์จะเป็นเวทีสำคัญต่อทั้งอุตสาหกรรม ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 จะมีผู้บริหารระดับประเทศ และได้เชิญประธานจาก 3 อุตสาหกรรมมาร่วมเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่เชิญแถวหน้าของโลก 3 อุตสาหกรรมหลัก Meeting-Incentive-Exhibition ได้แก่ 1.ประธานของ SITE เจ้าตลาด Meeting Incentive ที่ทั่วโลกยอมรับ 2.CEO ICCA สมาคมจัดอันดับการประชุมนานาชาติโลก ซึ่งปีนี้ไทยได้รับการจัดอันดับ 4 รองจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี 3. CEO UFI (นายไค ฮัทเทนดอฟ กรรมการผู้จัดการและประธานบริหาร สมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก : UFI) องค์กรเจ้าของสถานที่จัดประชุม ศูนย์ประชุม ทั่วโลก ปีนี้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม UFI แต่ละคนจะมาชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญทั้งปัจจุบันและอนาคต 

ส่วนที่ 2 ผู้จัดงานโอลิมปิก 2020 จะมาเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนการจัดงานเป็นอย่างไรบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้จัดงานอีเวนต์ ปี 2562 ทาง TCEB เองกำลังก้าวเข้าสู่การเตรียมป็นเจ้าจัดและชิงงานประมูลเมกะอีเวนต์จากทั่วโลกด้วย ส่วนที่ 3 Customer Oriented ทำอย่างไรกลุ่มลูกค้าในการกำหนดเชิญเข้าร่วมงาน โดยมีกลุ่มผู้นำธุรกิจที่ประสบความเสร็จมาพูดคุยให้ฟัง ได้แก่ 1.นายฐาปน สิริวัฒนภักดี เจ้าของ ผู้ลงทุน ศูนย์ประชุมและโรงแรมของกลุ่มไทยเบฟ 2.นางชฎาทิพย์ จูตระกูล กลุ่มไอคอนสยาม ดูอีเวนต์ระดับโลก ฉายให้เห็นภาพประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร 3.นางศุภจี สุธรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี เรื่อยไปจนถึงการจัดงาน “บุรีรัมย์ โมเดล” โดยลูกชายของอดีตนักการเมืองชื่อดัง เนวิน ชิดชอบ

 ขณะนี้เปิดรับสมัครคนเข้าร่วมงาน ได้ประมาณ 500-550 คน ที่โรงแรมพลาซ่า แอทินี่ แต่ก็ยังคงเปิดรับสมัครเต็มที่ได้ไม่เกิน 650 คน เมื่อสิ้นสุดงานนี้หวังผลครอบคลุมทุกด้าน เป็นสัญญาณที่ดีของอุตสาหกรรมไมซ์ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทุกภาคส่วน อีกทั้งปี 2563 จะเริ่มเดินหน้าโครงการใหม่ THAILAND MICE CONNECT จะเป็นตลาดกลางนอกจากธุรกิจไมซ์แล้วก็ยังสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์งานด้านอื่น ๆ ได้ด้วย ถือเป็นมิติการสร้าง Ecosystem ในอุตสาหกรรมไมซ์

 นายจิรุตถ์กล่าวว่าปี 2563 จะค่อนข้างหนักเพราะ TCEB ต้องร่วมชิงประมูลงานคอนเว็นชั่นมาจัดในไทยต้องใช้เวลาเตรียมหลายปี รวมถึงค่าเงินบาทแข็งก็มีผลต่อการตัดสินอยู่บ้าง แต่การเจาะตลาดสำคัญอย่างอินเดียกลุ่มพรีเมี่ยมก็ต้องทำต่อไป หรือการยืดหยุ่นเรื่องฟรี VISA ON ARRIVAL : VOA ไปจนถึงเมษายน 2563 ช่วยส่งเสริมไมซ์ได้ ประการสำคัญการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นจะต้องอาศัยรัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงจัง หรือโครงการไมซ์ประชารัฐ หากกลุ่มราชการเข้ามาใช้เว็บไซต์ thaitec ก็จะเป็นอีกช่องทางตลาดไมซ์จากหน่วยงานราชการในประเทศเข้ามาเสริมทัพอีกทางด้วย

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง 

 ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ชู4แบรนด์โลกชวนช้อปทุกสาขาในไทย”

 กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเกมตลาดเชิงรุกตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โดยได้เพิ่มแม่เหล็กดึงดูดนักช้อปคนไทยและนานาชาติเข้ามายังช้อปได้ที่คิง เพาเวอร์ เท่านั้น สาขาทั่วประเทศทั้งร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง (duty free downtown) ที่รางน้ำ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต และ ร้านค้าในสนามบินนานาชาติทั่วประเทศ 3 แห่ง สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินภูเก็ต โดยคิง เพาเวอร์ จับมือพันธมิตร 4 แบรนด์โลก COACH, L’OCCITANE , FRESH และแบรนด์แถวหน้าของเมืองไทย PAÑPURI กระตุ้นนักช้อปเพิ่มการใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า สร้างรายได้ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2562 ประกอบด้วย

 แบรนด์แรก COACH คิง เพาเวอร์ จับมือกับ COACH ออกแบบกระเป๋าแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ต้อนรับซีซั่น Fall-Winter 2019 ด้วยดีไซน์กระเป๋ายอดฮิตรุ่น Parker สีน้ำเงิน Mist สุดหรู ลุคสุดคูล มีสายโซ่ปรับขนาดให้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นได้ทั้งกระเป๋าสะพายข้างและกระเป๋าสะพายแบบครอสส์บอดี้ กระเป๋าถือ โดดเด่นด้วยส่วนฝาปิดที่ตัวล็อกกระเป๋าเป็นโลหะรูปเกือกม้าคล้ายตัว C อันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าทุกแนวได้อย่างลงตัว

 แบรนที่ 2 L’OCCITANE เป็นผลิตภัณฑ์มาแฮนด์ครีมลิมิเต็ด เอดิชั่น “From Provence to Thailand” ที่เดินทางไกลจากเมืองโพรวองซ์ ฝรั่งเศส มาอวดโฉมอยู่ในคิง เพาเวอร์ เมืองไทย ด้วยแพ็กเกจจิ้งพิเศษที่สร้างสรรค์เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นมีให้เลือก 2 เซ็ต ได้แก่ 1.เซ็ตแฮนด์ครีม ขนาด 150ml 2 หลอด และเซ็ตแฮนด์ครีม ขนาด 30ml 5 หลอด พร้อมเอาใจแฟนคลับที่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่มีกลิ่นนุ่มนวล เป็นครีมบำรุงผิวมือตัวเองและคนที่คุณรัก พกพาได้ตลอดทุกการเดินทาง สัมผัส

 แบรนด์ที่ 3 FRESH แบรนด์ดังผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีชื่อเสียงจากสหรัฐอเมริกา มีทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ผิวกาย บำรุงริมฝีปากน้ำหอม สบู่ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม รวมถึงผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่นที่เหมาะกับสุภาพบุรุษ เป็นที่รู้จักและครองใจคนทั่วโลก เช่น Rose Hydrating Skincare ที่อุดมด้วยส่วนผสมพิเศษจากน้ำมันดอกกุหลาบ Black Tea Age-Delay Skincare ที่นำการฟื้นฟูตามตำรับโบราณมาใช้ดูแลผิวที่มีปัญหาจากวัยสูงขึ้น และ Crème Ancienne Skincare ครีมชะลอปัญหาผิว เชิญชวนมาช้อปแบรนด์ FRESH ได้ที่เปิดเคาเตอร์บริการแล้วตั้งแต่ 17 สิงหาคม 2562 เป็นต้นมา ที่ร้านค้าคิง เพาเวอร์ ในเมือง 2 แห่ง สาขา รางน้ำ และภูเก็ต

 แบรนด์ที่ 4 PAÑPURI ไฮไลต์ขณะนี้ได้จัดทำผลิตภัณฑ์ธรรมชาติภายใต้คอนเซ็ปต์ “Clean Hair and Scalp Care” ปัญญ์ปุริ ได้รวมส่วนผสมที่ดีและทรงพลังที่สุดจากธรรมชาติ ปราศจากส่วนผสมอันตราย เพิ่มประสิทธิภาพสร้างสมดุลของหนังศีรษะมากกว่าการบำรุงและฟื้นฟูเส้นผมอย่างล้ำลึกเพียงอย่างเดียว ระหว่างวันนี้ -31 สิงหาคม 2562 ได้เปิด PAÑPURI Pop-up Store คิง เพาเวอร์ ศรีวารี บริเวณทางเข้าชั้น 1 ให้ได้ช้อปกันอย่างจุใจทั้งหมด 3 คอลเลคชั่น ได้แก่ REVIVE, NOURISH และ BALANCE

 ข่าวที่ 2 “สมาชิก คิง เพาเวอร์ ช้อปสนุกแบ่งจ่าย 0% สูงสุด 10 เดือน”

 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้นักช้อปได้สนุกกับการซื้อสินค้าที่ชื่นชอบอย่างฉลาดเมื่อช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) / ใบเสร็จ ตั้งแต่วันนี้– 31 มีนาคม 2563 สาขาต่าง ๆ ครอบคลุมทั่วเมืองไทยทั้งที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต และมหานคร คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และศูนย์ปฏิบัติการ การบินไทย เพียงมี

 1.ยอดซื้อสินค้าครบ 10,000 บาท/ใบเสร็จ รับไปเลยสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% ต้องเป็นยอดซื้อหลังจากหักส่วนลดต่างๆ (ยอดสุทธิ) ภายในแผนกสินค้าเดียวกัน เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ ตรวจสอบสินค้าเพิ่มเติม ณ จุดขาย สินค้าแผนกสุราและบุหรี่ไม่สามารถร่วมรายการ

2.ยอดซื้อที่เกิดจากการเข้าร่วมโครงการผ่อนชำระ 0% สามารถร่วมรายการส่งเสริมการขายประจำเดือนได้ รวมถึงรายการ CARAT Rewards และการสะสมยอดซื้อเพื่อปรับสถานภาพสมาชิกสามารถใช้ร่วมกับส่วนลดสำหรับสมาชิก คิง เพาเวอร์

 3.รายการ Birthday Celebrations ไม่สามารถร่วมรายการ ยกเว้น บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ สามารถร่วมรายการ และผ่อนชำระได้ 3 เดือน

 ข่าวที่ 3 “ททท.หัวหินนำโรงแรม-ร้านอาหารลด50%ตลอดก.ย.62 

นางสาวโศรยา หอมชื่น ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้จัดทำ “โครงการ Amazing Hua Hin 2019” โดยร้านค้า โรงแรม พร้อมใจกันลดสูงสุดทั้งเมือง 50 % ตลอดกันยายน 2562 ระหว่าง 1-30 กันยายน นี้ กระตุ้นรายได้เที่ยวหน้าฝน โดยมีภาคธุรกิจท่องเที่ยวในอำเภอหัวหิน และพื้นที่ใกล้เคียง ที่มีความหลากหลายเข้าร่วมกว่า 30 ราย ทั้งกลุ่มโรงแรมระดับห้าดาว บูติค โรงแรมขนาดเล็ก ร้านอาหาร และของที่ระลึก มอบส่วนลด 10-50 % กิมมิกดึงดูดความสนใจคือการแจก Surprise Gift ของที่ระลึก นักท่องเที่ยว 1,000 คนแรก ที่จองตรงกับโรงแรมร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ หลังจากเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว แจ้งโค้ด “Amazing Hua Hin” และลงทะเบียนผ่าน QR CODE ก็ได้สิทธิ์นี้ตามกติกา 

สามารถดาวโหลดสถานประกอบการ ที่เข้าร่วมโครงการ ได้ที่ Facebook Fan Page : TAT PRACHUAP หรือ สอบถาม ททท. ประจวบคีรีขันธ์ เปิดบริการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด 8.30-16.30 น. โทรศัพท์ 032-513-885

 ข่าวที่ 4 “บางจากชวนคนไทยร่วมโปรเจ็กต์ลดขยะต้นทาง” 

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เรื่องของมาเรียมได้กลายเป็นวาระแห่งชาติ ผมว่าเป็นเรื่องดีที่คนออกมาพูดถึงผลกระทบที่เกิดจากพลาสติกกันมากขึ้น แต่ก่อนเราพูดถึงนกและเต่าตายเพราะกินพลาสติก วันนี้มีปลาพะยูนตายเพราะพลาสติก แล้วจะทำยังไงกันต่อไป แต่ละปี มีขยะพลาสติกไหลลงสู่ทะเลกว่า 8 ล้านตันทั่วโลก และประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตขยะพลาสติกลงทะเลติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลก

 บางจากจึงขอเชิญชวนมาร่วมลดขยะต้นทางด้วยกัน ตลอดที่ผ่านมาบางจากพยายามเปลี่ยนและสื่อสารเรื่องนี้ ปลูกจิตสำนึกเรื่องปัญหาเรื่องพลาสติกมาโดยตลอด เพื่อจะช่วยกันลดการใช้ทรัพยากรและลดขยะต้นทางในธุรกิจต่างๆ ของกลุ่มบริษัทฯ พนักงานของเรา ช่วยกันดูแลเรื่องนี้ทั้งในการทำงานและชีวิตประจำวัน เช่น ลดการใช้กระดาษพิมพ์งาน ใช้กระดาษ 2 หน้า ทำระบบเอกสารให้เป็นอิเลคโทรนิคส์ให้มากที่สุด ถ้าจะจัดกิจกรรม จัดงานต่างๆ ก็ลดพลาสติก ใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ ใช้ซ้ำพลาสติกที่ยังใช้ได้

 บางจากรณรงค์แยกขยะในทุกๆ พื้นที่ ที่สำนักงานของเราในตึกเอ็ม ทาวเวอร์ พนักงานจะไม่มีถังขยะส่วนตัว เพื่อให้แยกขยะทิ้งที่ส่วนกลาง เราส่งเสริมพนักงานให้ใช้แก้วส่วนตัวแทนการใช้แก้วที่ใช้แล้วทิ้ง มีนโยบาย zero foam ลดการใช้หลอด งดใช้ถุงพลาสติกในห้องอาหารพนักงาน ส่วนกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้ว

ตอนนี้เราก็มีกิจกรรม “บางจากร่วมใจรีไซเคิลกล่องยูเอชทีเป็นหลังคาเขียว” เชิญชวนให้พนักงานในกลุ่มส่งกล่องเครื่องดื่มยูเอชทีที่บริโภคแล้วไปร่วมรีไซเคิลกับโครงการหลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภา(ฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ส่วนของสินค้าที่เสนอขาย ก็ให้ความสำคัญเรื่องการลดขยะ

 ที่ร้านกาแฟอินทนิล เปลี่ยนจากแก้วพลาสติกธรรมดามาใช้แก้วพลาสติกจากผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ย่อยสลายได้ ฝาก็เปลี่ยนมาเป็นแบบยกดื่ม ไม่ต้องใช้หลอด ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แก้วและฝานี้เราก็นำไปใช้ใส่น้ำส้มและน้ำอ้อยคั้นสดที่ร้านสะดวกซื้อสพาร์ด้วย

 ข่าวที่ 5 “TCEBปลื้ม5องค์กรต่อยอดไมซ์เพื่อชุมชนเศรษฐกิจฐานรากรุ่ง  

ในเวทีการจัดงานของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” กับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ โครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” จัดกิจกรรม “เปิดมิติใหม่ อุตสาหกรรมไมซ์” เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 พร้อมทั้งได้จัดเสวนา “การพัฒนาชุมชนสำหรับตลาดไมซ์อย่างยั่งยืน” โดยได้รับการประสานเสียงจากเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จากทั้ง 5 องค์กรเด่น ๆ ถึงความสำเร็จที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการไมซ์ชุมชน และกำลังยกระดับเพิ่มจุดขายให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นบริษัท ห้างร้าน กลุ่มจัดประชุมสัมมนา (meeting) และจัดการเดินทางท่องเที่ยวฟรีเพื่อเป็นรางวัล (incentive) หันมาเลือกใช้พื้นที่จัดประชุมในสหกรณ์ทั่วประเทศ พร้อมทั้งอุดหนุนสินค้าท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ชุมชนทั่วประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่งคั่ง ทำให้เศรษฐกิจฐานรากเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

1.สหกรณ์โคเนื้อกำแพงแสน จ.นครปฐม 2.สหกรณ์นิคมชุมชนแสงจันทร์ จำกัด จ.ระยอง 3.สมาคมท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดกระบี่ 4.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 5.เว็บไซต์ Wongnai

นายสันติ ขจรเวชไพศาล ประธานสหกรณ์นิคมชุมชนแสงจันทร์ จำกัด จ.ระยอง กล่าวว่า ได้จัดระบบบริการกลุ่มไมซ์ที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ โดยมีบริการพาชมสวนเมลล่อน สวนผลไม้ สวนยาง แต่ละครั้งจะเชิญชวนสมาชิกนำผลิตภัณฑ์ที่ปลูกในท้องถิ่นมาวางขาย โดยเฉพาะสินค้าขึ้นชื่อคือปลาทับทิมเลี้ยงในอ่างน้ำประแสร์ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเมืองไทยสามารถทำราคาขายได้ 80 บาท/กิโลกรัม สูงกว่าตลาดทั่วไปขายเพียง 75 บาท/กิโลกรัม เนื่องจากรสชาติและคุณภาพดีกว่าเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคพร้อมควักเงินจ่าย ตลอดปีที่ผ่านมาสมาชิกสามารถทำยอดขายรวมได้มากถึง 20 ล้านบาท

 ปี 2562 จึงต่อยอดปลาทับทิมสีปลาคราฟ นำเมนูอาหารแบบผสมผสาน โดยทำปลาทับทิมย่างเกลือมีน้ำจิ้มเผ็ดผสมเมล่อนซึ่งเป็นผลไม้ที่ปลูกในสหกรณ์ผนวกเข้าไปด้วย ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก จากนี้ไปกำลังต่อยอดโดยดึงสมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมให้บริการไมซ์ชุมชนกับการท่องเที่ยวแบบครบวงจร พาชมสวน ดูการเลี้ยงปลา แล้วก็พาท่องเที่ยวทะเล ด้วย

 นายสันติย้ำว่าก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” ของ TCEB เห็นความแตกต่างชัดเจนเรื่องรายได้เพิ่มขึ้น และสมาชิกมีความสามัคคีสนิทสนมกลมเกลียวกันในการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกัน

 นายชาญฤทธิ์ เพิ่มทรัพย์ นายกสมาคมการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ลักษณะโครงสร้างของชุมชนกับสหกรณ์มีความเหมือนกันตรง 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การรวมกันของคนในชุมชน 2.ต่อยอดสินค้าสู่ความยั่งยืน 3.ทำธุรกิจเพื่อสังคม 4.ทำการผลิตสินค้าหลายมิติ เพื่อป้องกันกลุ่มทุนใหญ่เข้ามา หัวใจสำคัญที่ยิ่งใหญ่พอชุมชนเป็นเจ้าของพื้นที่ทำทุกอย่างเองก็จะมีความหวงแหน จึงหันมาช่วยกันใช้ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นอย่างระมัดระวัง แตกต่างจากนายทุนที่มุ่งไปเอาประโยชน์เพียงอย่างเดียว แถมทิ้งปัญหาขยะล้นเมืองไว้ด้วย

 ส่วนไมซ์เพื่อชุมชนเป็นโครงการที่สามารถเข้าไปช่วยท้องถิ่นได้หลายมิติ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าไปจัดประชุมหรือจัดท่องเที่ยวฟรีเพื่อเป็นรางวัลนำคนเข้าไปดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนแล้วเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีขนาดพอเหมาะกับพื้นที่มีตั้งแต่กลุ่มละ 10 คน หรือมากกว่านี้ ตามขีดความสามารถการรองรับของแต่ละชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางการสร้างประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนได้จริง 

ช่วงที่ 2 สถานที่ดีดีในพัทยาสไตล์สถาปัตยกรรมชุมชนดั้งเดิม “บ้านชากแง้ว” อำเภอบางละมุง เป็นอีกแห่งที่มีความมหัศจรรย์น่าค้นหาถึงรากวัฒนธรรมที่มีมานับร้อยปีของชาวจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทย ทุกวันนี้เป็นแหล่งของกินอร่อย สถาปัตยกรรมสวยงาม อารยธรรมยั่งยืน ส่วนเรื่องสุขภาพใกล้ตัวมาก “แค่กินปลาทู” ก็ป้องกันโรคต่าง ๆ ได้เพียบ ส่วนข่าว “ศึกชิงสนามบินกระบี่” ระหว่างกรมท่าอากาศยานกับ บมจ.ท่าอากาศยานไทย เริ่มยกแรกมันหยด และ “บางกอกแอร์” เทโปรตั๋วบินในประเทศและทั่วโลกเหลือต่ำสุด 4,000 บาท ไปช้อปกันได้ใน “ไทยเที่ยวไทย” 29 ส.ค.-1 ก.ย.นี้ที่ไบเทค บางนา 

 @เที่ยวชากแง้วกินของอร่อยชมอารยธรรมจีนยั่งยืน

 มุมเที่ยวเมืองชายทะเลพัทยา จังหวัดชลบุรี หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า จะมีการท่องเที่ยวชุมชนชาวจีนโบราณ “ตลาดชากง้าว” ในบางละมุง ซึ่งเป็นอำเภอสุดท้ายเขตรอยต่อพัทยามุ่งสู่ระยอง คนในชุมชนชากแง้วภูมิใจกับมรดกตกทอดของบรรพบุรุษที่ได้สร้างอาคารเรือนสะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์จีนโดยแท้ ทั้ง เหล่าเต๊ง ระเบียง ช่องลม ประตูบางเซี้ยน โดนใจนักท่องเที่ยวไทยและยุโรป ซึ่งคนในชุมชนรวมตัวกันนำพื้นที่บริเวณตลาดแห่งนี้ เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง 4 ปีที่ผ่านมา โดยใช้หน้าบ้านของตนเองนำสินค้าชุมชนมาวางขาย พร้อมกับให้ได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมแนวจีนอันงดงาม ได้ทุกวันเสาร์ 15.00 - 21.00 น. ใช้พื้นที่ทางยาวให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกว่า 300 หลังคาเรือน จากทั้งหมดราว 1,000 หลัง

 ส่วนใหญ่นิยมขายอาหารการกินแบบจีนแต้จิ๋ว ของกินขึ้นชื่อคือ “บะจ่าง” มีอยู่ 4 ร้านหลัก กับอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น กะลอจี้ หอยจ้อ (หมู ปู มังสวิรัติ) ก๊วยบะ กระเพาะปลา ของหวานส่วนใหญ่เป็นขนมไทย เช่น ขนมเต่า ขนมขี้หนู ภายในชุมชนมีกิจกรรมสำคัญอีกอย่างคือ การอัญเชิญอาม่าโดยเกี้ยวมาประทับที่โรงงิ้ว ใน 3 เทศกาล คือ วันประทับทรง วันเกิด และเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งผู้คนชื่นชอบมาบ้านเรา เพราะยังคงอนุรักษ์การไหว้ในแนวดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี มีไฮไลต์ “ศาลเจ้าแม่ทับทิม” สร้างมายาวนานตั้งแต่ปี 2455 พอชาวจีนมีเงินทองมากขึ้นจึงช่วยกันถาวรเมื่อปี 2508 อัตลักษณ์อันโดดเด่นของชุมชน


 ปัจจุบันตลาดชากแง้วสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนจากนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มขึ้นทุกปีราว 30 – 40 % ช่วงสงกรานต์จะมีผู้คนแห่แหนกันไปเที่ยวมากสุดทุกปี แถมยังยึดโยงให้ลูกหลานของชุมชนชาวตลาดที่เคยมาเรียนอยู่กรุงเทพฯ ทยอยกลับมาทำหากิน มาร่วมรังสรรค์กิจกรรมดี ๆ ให้ชุมชนเพิ่มขึ้นด้วย พลิกโฉมความเป็นมาในอดีตของชุมชนชากแง้ว ทว่าก็ยังคงเป็นชุมชนที่มีเรื่องเล่าถึงความสำเร็จ ที่ยังคงเห็นร่องรอยดั้งเดิมเคยเป็นป่าและพื้นที่สำคัญแห่งวิถีการทำเกษตรกรรม ปลูกไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย มีแรงงานจากภาคกลางและอีสานเข้ามารับจ้างทำ 

ต่อมาคนจีนทั้งหอบเสื่อผืนหมอนใบ หรือบางกลุ่มพอจะมีเงินทอง ชวนกันมาทำงานทำไร่เหมือนกันแล้วก็ชักชวนบอกต่อ ๆ กัน ด้วยคนจีนมีความขยันขันแข็งก็เก็บเล็กผสมน้อยกระทั่งมีเงินมากขึ้น จึงจับจองซื้อที่ดินทำไร่ และโดยพื้นฐานคนจีนชอบอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน เป็นชุมชน จากการยึดอาชีพการทำเกษตรกรรม ก็ค่อย ๆเปลี่ยนเป็นธุรกิจการค้า จนกลายเป็น “ตลาดชากแง้ว” โดยมีจีนเชื้อสายแต้จิ๋วเป็นผู้บุกเบิกจนท้องถิ่นเติบโตกลายเป็นชุมชนเข้มแข็ง มั่งคั่ง ยั่งยืน

 ทุกวันนี้ มีทั้งชาวไทยกลุ่มครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงรอบภาคตะวันออก ชาวมาเลเซีย ยุโรป นิยมมาเที่ยว มากินอาหารจีนแต้จิ๋วต้นตำรับ ของชาวชุมชนชากแง้ว พร้อมกับดื่มด่ำวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่น อันทรงคุณค่า ครองใจนักท่องเที่ยวไว้ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

@ชอบกินปลาทูให้ประโยชน์สุขภาพ5อย่าง 

ปลาทูเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่คนไทยนิยมนำไปประกอบอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ทอด ต้ม ปิ้ง เป็นต้น นอกจากจะเป็นอาหารที่คนไทยชื่นชอบแล้ว หลายคนจะรู้หรือไม่ว่า ปลาทูนั้น มีประโยชน์มากมายที่ควรรู้ ปลาทูจัดอยู่ในกลุ่มปลาที่มีไขมันต่ำ มีไขมันน้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 กรัมต่อเนื้อ 100 กรัม ส่วนปลาทูมีข้อดีอย่างไรบ้างไปดูกันเลย

 1 โปรตีนสูง ปลาทูเป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน ที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ อย่างเนื้อหมูหรือเนื้อวัว อีกทั้งปลาทู100 กรัมมีโปรตีนอยู่ถึง 24.9 กรัม ร่างกายก็จะนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตตามวัยด้วย 

2 บำรุงประสาทและสมอง ในปลาทูมีทั้งไอโอดีนและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายคือโอเมก้า 3 ค่อนข้างมาก และมีกรดไขมัu DHA ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทและสมอง โดยเฉพาะสมองในส่วนการเรียนรู้และจดจำ

3 ช่วยลดไขมันตัวร้ายในเลือด ปลาทูมีกรดไขมัuชนิด PUFA หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง มีสรรพคุณช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด อีกทั้งกรดไขมัu EPA กลุ่มโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดและลดไตรกลีเซอร์ไรด์ ป้องกันสาเหตุภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด

 4 ป้องกันโรคซึมเศร้า ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พบว่า กรดไขมันโอเมก้า 3ที่จำเป็uต่อการทำงาuของระบบประสาทและสมอง และการขาดกรดไขมัuชนิดนี้ อาจเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้าและโรคสมาธิสั้uได้ โดยเฉพาะในเด็กวัยกำลังเรียนรู้ หากขาดกรดไขมันโอเมก้า 3 อาจมีพัฒนาการด้านการอ่าน-เขียนค่อนข้างช้ากว่าวัยเดียวกัน ที่ได้รับกรดไขมัuโอเมก้า 3 ในปริมาณที่เพียงพอ

5 ร่างกายได้รับวิตามินที่หลากหลาย จากข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของปลาทูส่วนที่กินได้ในปริมาณ 100 กรัม ให้แร่ธาตุ วิตามิน และคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลากหลายชนิด ทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 บี 2 กรดไขมันจำเป็น ไนอะซิน สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ควบคุมการทำงาuของอวัยวะทุกส่วนในร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

 ฟังข่าวท้ายชั่วโมง 

 ข่าวที่ 1 “ทย-ทอท.เปิดศึกชิงขุมทรัพย์สนามบินกระบี่ 

 กรมท่าอากาศยาน (ทย.) รายงานว่า ไม่เห็นด้วยที่รัฐจะให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” กล่าวต่อสาธารณะที่โอนสนามบินกระบี่ไปบริหารเอง เพราะจะส่งผลให้กรมท่าอากาศยานมีปัญหาการบริหารจัดการและซ่อมแซมบำรุงรักษาในอีก 24 ท่าอากาศยานที่เหลือ เนื่องจากปี 2561 กรมมีรายได้จากสนามบินทั้ง 28 แห่ง รวม 852,466,789 บาท รายได้หลักมาจากกระบี่ 469,408,760 บาท คิดเป็น 55.05%

 ปีงบประมาณ 2563 ทย. ขอรับเงินก่อสร้างทางขับของกระบี่อีกกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งคาดหวังจะนำรายได้ที่จัดเก็บเข้ากองทุนหมุนเวียนของกรม โดยอยู่ในระหว่างจัดทำโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนเพื่อปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการพึ่งพางบประมาณรัฐลงปีละ 1000 ล้านบาท และใช้แก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของผู้โดยสารในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เพียงพอ

 ค่าใข้จ่ายส่วนใหญ่เป็นด้านการบริหารจัดการและซ่อมแซมบำรุงรักษา เช่น จ้างพนักงานให้เพียงพอเนื่องจาก ข้าราชการ และ ลูกจ้างประจำ มีกรอบอัตรากำลังจำกัด การซ่อมบำรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ลิฟท์ บันไดเลื่อน สายพานลำเลียงซึ่งมีข้อขัดข้องไม่สามารถตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้าได้

 ข่าวที่สอง “บางกอกแอร์เทโปรตั๋วโปรงานไทยเที่ยวเที่ยวต่ำสุด4พัน” 

 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดโปรโมชั่นตั๋วโดยสารราคาพิเศษทุกเส้นทางในและต่างประเทศในงาน "ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 52 เปิดขายระวห่าง 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

 เริ่มจากตั๋วบินในประเทศ ไป-กลับ

 1.กรุงเทพฯ-เกาะสมุย 4,000 บาท (ราคารวมทุกอย่างแล้ว) เดินทางได้ตั้งแต่วันนี้-16 ธันวาคม นี้

2.กรุงเทพฯ ปลายทาง เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง สุโขทัย ภูเก็ต และกระบี่ ราคาเริ่มต้นเที่ยวละ 1,200 บาท (ราคารวมทุกอย่างแล้ว) 3.กรุงเทพฯ-ตราด เชียงใหม่-กระบี่ เชียงใหม่-ภูเก็ต ราคาเริ่มต้นเที่ยวละ 1,590 บาท (ราคารวมทุกอย่างแล้ว) เดินทางได้ ตั้งแต่วันนี้- 31 มีนาคม 2563

โปรโมชั่นตั๋วบินต่างประเทศ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เวียดนาม แต่ละเมืองด ได้แก่ ดานัง ฟู้โกว๊ก ญาจาง ราคาไป-กลับ 4,960 บาท (ราคารวมทุกอย่างแล้ว) กรุงเทพฯ-กัมพูชา เมือง เสียมราฐ พนมเปญ สีหนุวิลล์ ราคาไป-กลับ 5,210 บาท (ราคารวมทุกอย่างแล้ว) กรุงเทพฯ - มัลดีฟส์ ราคาไป-กลับ 12,160 บาท (ราคารวมทุกอย่างแล้ว) เดินทางได้ ตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2563 โทรสอบถามโปรโมชั่นทั้งหมดได้ที่ คอล เซ็นเตอร์ 1771 ตลอด 24 ชั่วโมง

 ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.97.0

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ททท.จัดทัพดิจิตอลท่องเที่ยวปี63-เที่ยวชุมชนแพลุ่มน้ำสะแกกรัง

ททท.นำทัพดิจิตอลพลิกโฉมอุตฯท่องเที่ยวปี’63
 ฮือฮา!!ผุดTATMALLเปิดแอพรุกขายทุกรูปแบบ
มหานครสกายวอล์คร่วมไทยเที่ยวไทยอัดโปรแรง
คิงเพาเวอร์แจกไม่ยั้งลูกบอลพิษโลก-เพชรบูรณ์ ททท.ชูขุมทรัพย์เที่ยวไทย4หมวดโกยเงินปลายปี บางจากให้เติมE85sรับฟรีน้ำดื่ม1.5ลิตรเซฟโลก TCEBเปิดมิติใหม่อุตสาหกรรมไมซ์ชุมชนคึกคัก เที่ยวเมืองชุมชนแพแห่งลุ่มน้ำสะแกกรังจ.อุทัย แนะ5เคล็ดลับการกินลดความเสี่ยงโรคไม่เรื้อรัง รอเงินเที่ยวฟรีพันบาทด5ขั้นตอนดีเดย์23ก.ย. บินไทย-ไทยสไมล์ห้ามแม็คบุ๊คขึ้นเครื่องแล้ว!! รมว.ศักดิ์สยามลุยแก้ “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ” ครม./นายกฯเบรกฟรีวีซ่าท่องเที่ยว-ปิดผับตี4 ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว97 #เที่ยวกับกู๋ #วันธรรมดาน่าเที่ยว # # ช่วงที่ 1 จับตา !! “ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร” รองผู้ว่าการด้านดิจิตอลวิจัยและพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำทัพท่องเที่ยวสู่ดิจิตอลครั้งแรกในรอบ 60 ปี ปี 2563 พบความแปลกใหม่เต็มรูปแบบกับการพลิกโฉมทั้งอุตสาหกรรมด้วยสารพัดเทคโนโลยี นำร่อง “สิงหาคม 2562” สร้างเซอร์ไพรส์ เปิด TATMALL บนแพลตฟอร์มแอพลิเคชั่นข้ามชาติจากสิงคโปร์ shopee ใช้ฐานลูกค้า 30 ล้านคน รุกขายไทยเที่ยวไทยครบวงจร ขนกองทัพสื่อพันธุ์ใหม่ Social Media Footprint , TAT ECHO , CHAT BoT นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านดิจิตอลวิจัยและพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังจากมีโครงสร้างใหม่เรื่องดิจิตอลเกิดขึ้นใน ททท.ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนได้เร่งขับเคลื่อนกลยุทธ์การนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาเสริมทัพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ แยกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนแรก ความร่วมมือกับภาคีพันธมิตร โครงการแรกมาแรง เริ่มเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นมา ททท.จับมือกับ Shopee แอพลิเคชั่นช้อปสินค้าชื่อดังแถวหน้าจากสิงคโปร์ร่วมกันทำแคมเปญ “ช้อปแอพเดียว เที่ยวทั่วไทย” สร้าง TATMALL เต็มรูปแบบ เปิดเกมรุกตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักที่สำคัญสร้างความเข้มแข็งจากภายใน โดยใช้ฐานของแอพลิเคชั่น shopee มีคนไทยเป็นสมาชิกอยู่กว่า 30 ล้านคน ขณะเดียวกันก็มองหาสินค้าดี ๆ เข้ามาวางขายโดยได้ผนึกกับสมาพันธุ์นำเที่ยวภูมิภาคแห่งประเทศไทย มีสมาชิกเป็นตัวแทนบริษัทนำเที่ยวเป็นเจ้าของโปรดักซ์ท่องเที่ยวเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน สินค้าดังกล่าวผ่านการคัดสรรมาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่สินค้ารากหญ้าขึ้นมาจนถึง 5 ดาว ขณะนี้วางขายในแพลิเคชั่น shopee เรียบร้อยแล้วทำโปรโมชั่นยาวต่อเนื่อง นำร่องขายเบื้องต้น 19 จังหวัด หากสินค้าใดโฆษณาแล้วให้บริการไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้าทางสมาพันธ์ท่องเที่ยวภูมิภาคแห่งประเทศไทย ได้กำหนดกติการ่วมกับสมาชิกอย่างเข้มงวดต้องชดใช้และเยียวยาให้ตรงกับความคาดหวังของลูกค้าอย่างแท้จริง สาเหตุที่ ททท.กับแอพลิเคชั่น shopee เลือก 19 จังหวัด เพราะทางสมาพันธ์ท่องเที่ยวภูมิภาคแห่งประเทศไทย มีความมั่นใจในโปรดักซ์การท่องเที่ยว พร้อมขาย สวยงาม เชื่อมั่นได้ ซึ่งเป็นเฟสแรก โดยคละกันระหว่างเมืองท่องเที่ยวหลัก พ่วงเมืองรอง เฟส 2 สมาชิกสมาพันธุ์ฯ จะช่วยกันพิจารณาขยายต่อให้ครบในระยะยาวทั้ง 77 จังหวัด โดยจะเน้นให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมสร้างสินค้าคุณภาพให้โดนใจนักท่องเที่ยว กำหนดจะเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาตลอดเพื่อตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยว รูปแบบจะเปิดเป็น TATMALL เริ่มจากการขาย “แพกเกจท่องเที่ยว” 2 วัน 1 คืน ขึ้นไป เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสเลือกตามความเหมาะสมกับสถานที่พักผ่อน ข้อดีของแอพลิเคชั่นดังกล่าวโดยเปิดกว้างเรื่องตั๋วโดยสารเครื่องบิน รถไฟ ซึ่งจะมีเงื่อนไขที่ดีจากผู้ให้บริการเดินทาง แต่นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อซื้อเองได้โดยตรง พอถึงพื้นที่จะมีคนในท้องถิ่นเข้ามารับช่วงดูแลต่อไป เป้าหมายของ ททท.สอดคล้องตามแผนการตลาดปี 2563 นอกจากจะมีตัวชี้วัดอีกอย่างเข้ามาเพิ่มคือ ROI : Return on Investment การลงทุนทางธุรกิจเท่าไร มีผลตอบแทนอย่างไรแล้ว ทาง ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.ยังได้เพิ่มเครื่องมือใหม่เพิ่มขึ้นด้วยคือ ROX : Return on Expereince ผลตอบแทนทางประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเป็น “ความพึงพอใจ” ของนักท่องเที่ยวพอใจกับแหล่งท่องเที่ยวที่เข้าไปพักผ่อน ผู้ประกอบการพอใจที่ได้ขายราคาเหมาะสม และชุมชนเจ้าของพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ซึ่งพอใจกับรายได้ถึงมือ เป็นการวัดระดับความพึงพอใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จะนำร่องใช้กับโครงการแรก “แอพเดียว เที่ยวทั่วไทย” ขณะนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปใช้บริการ shopee ใน TATMALL ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนที่ 2 ททท.ด้านดิจิตอล การขับเคลื่อนดิจิตอลภาพรวมในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายเพราะแต่เดิมองค์กรต่าง ๆ พอพูดถึงดิจิตอลก็จะมุ่งแต่การเปิดเว็บไซต์ แอพลิเคชั่น ใหม่ ๆ ขึ้นมา ขณะนี้ประเทศไทยมีโปรดักซ์เหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้น ททท.จึงไม่ได้มุ่งพัฒนาเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่จะขยาย “เนื้อหา-Content” กับทุกระบบเพื่อให้กลุ่มดิเวลลอปเปอร์นำไปใช้ได้เลย สาระหลัก ๆ คือ 1.ข้อมูลที่นักท่องเที่ยวต้องการ 2.ข้อมูลที่ผู้ประกอบการต้องการ เพื่อทำธุรกิจตอบรับความต้องการของนักท่องเที่ยว ตัวอย่างเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ททท.ได้เปิดแพลตฟอร์ม Open DATA สู่สาธารณะ หรือในวงการเรียกว่า “กลุ่มเดเวลลอปเปอร์” นักพัฒนาข้อมูล เช่น ทำเว็บไซต์โดยมีแผนที่นำทาง แล้ว ททท.ก็เปิด API :APPLICATION INTER PHASE ทำให้ระบบกับระบบคุยกัน พอนักท่องเที่ยวเปิดมือถือแล้วให้ระบบกับระบบคุยกัน ตัวเทคโนโลยีจะลิงก์คุยกันเองเพื่อหาพิกัดบอกนักท่องเที่ยวอย่างถูกต้อง ขณะนี้ ททท.มี API แล้วให้ทุกคนได้ใช้ ไม่จำกัดเฉพาะการหาแหล่งท่องเที่ยว ยังมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และอื่น ๆ ครบวงจร ประโยชน์ที่จะได้ เรื่องแรก เมื่อนักพัฒนานำไปใช้เสร็จก็จะช่วยประหยัดต้นทุน หรือ กลุ่ม Rtravel Tect Start Up ก็ไม่ต้องไปลงทุนหาข้อมูลเอง แต่นำข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดได้ ขณะเดียวกัน ททท.ก็คาดหวังจะให้มีข้อมูลย้อนกลับ หากผู้ใช้มีพิกัดดี ๆ ก็ใส่เข้ามาในแพลตฟอร์ม ททท.ได้ เพื่อให้คนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำให้ขนาดแอพลิเคชั่นเติบโตเพิ่มขึ้นได้ เรื่องที่ 2 ปลายปี 2562 เป็นต้นไป ททท.จะเปิด Voice of Customer รับฟังเสียงของลูกค้าให้มากขึ้น ถ้านักท่องเที่ยวใช้แอพลิเคชั่นขาดช่องทางสื่อสารแนะนำ ดังนั้นจึงจะเปิดช่องทางเพิ่มเรียกว่าโครงการ TAT ECHO เป็นผลิตภัณฑ์ทางการตลาด นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ จะเข้ามาสะท้อนได้ในแต่ละช่องทางของ ททท.เพื่อให้นำไปพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้นบริการทั้งผู้เกี่ยวข้องภายในและภายนอก ททท. โครงการ TAT ECHO oน ททท.ได้จัดลำดับเรื่องสำคัญ ๆ ไว้ด้วย ตัวอย่างเมื่อมีโจทย์ที่จะต้อง ROX : Return of Experience ประสบการณ์ของลูกค้าต้องมาจากความพึงพอใจ ความพึงพอใจก็ต้องมาจาก เรื่องแรกที่ต้องทำคือ “ตอบโจทย์ความคาดหวัง” ต้องพยายามเก็บเกี่ยวความคาดหวังอะไรจากท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ สถานที่ท่องเที่ยว บริการ จังหวัดใด เมื่อรู้แล้วก็จะนำมาพัฒนาแต่ละอย่างให้ตอบโจทย์ความต้องการ เพื่อสร้างกระแสการบอกต่อ เรื่องที่ 2 จะทำโครงการ Social Media Footprint สื่อสารแบบเข้าถึงอย่างฉับไว ถูกต้อง แม่นยำ ความหมายในทุกโซเชียลมีเดีย มีผู้ติดตาม follower, สมาชิก จะรวบรวมว่า ททท.มีลูกค้าอยู่ที่ใดบ้าง โดยยึดหลักการไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ใดทั้งสิ้น ตัวอย่างหากเกิดสถานการณ์บางอย่างในประเทศไทย จะสื่อสารเข้าถึงได้ครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างไรได้บ้าง ดังนั้นการรู้ข้อมูลผู้ติดตาม สมาชิก ในโซเชียลมีเดียก็จะได้นำมาปรับปรุง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ข้อมูลฉับไว ถูกต้อง ในทุก ๆ สถานการณ์ เรื่องที่ 3 โครงการ Chat BoT น้องสุขใจ เปิดบริการแล้วโดยเชื่อมการสอบถามพูดคุยกับโรบ็อตน้องสุขใจ ให้นักท่องเที่ยวลองต่อเข้ามาทางเว็บไซต์ ททท.หรือแอพลิเคชั่นอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ ยิ่งถามเข้ามามาก โรบ็อตจะมีข้อมูลมากขึ้นครบถ้วนในหลายมุม ช่วงแรกอาจจะตอบยังไม่คล่องแคล่วมากนัก พฤติกรรมของ Chat Bot อาจจะคล้ายสิรินั่นเอง นายศิริปกรณ์กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2563 จะขยายฐานการพัฒนาดิจิตอลท่องเที่ยว เมื่อจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะส่งต่อไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จะเป็นนักท่องเที่ยว หรืออื่น ๆ ซึ่งเรียกว่า Ecosystem แชร์ให้ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ หากต้องการเจาะนักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาใช้ Market Place ดังกล่าวได้ เพื่อให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวได้มีสิทธิ์เลือกที่จไปกับบริษัทท่องเที่ยวแต่ละรายที่ตรงความต้องการได้ การตอบโจทย์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยุค 4.0 ยังต้องมีการเพิ่มเครื่องมือเทคโนโลยีกับหน่วยงานอื่น เพื่อจับอุณหภูมิที่น่าสนใจมาช่วยทำให้กระแสโดดเด่น หรือบางเรื่องน่าเป็นห่วงก็นำส่งต่อไปยังหน่วยงานที่แก้ปัญหาได้ ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากดิจิตอลของ ททท.จะเน้นใช้เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างลูกค้าคือนักท่องเที่ยวกับคู่ค้าหรือสินค้ารวมไปถึงการพัฒนาปรับปรุงองค์กรด้วย ฟังข่าวต้นชั่วโมง ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์มหานครร่วมเที่ยวทั่วไทยอัดโปรแรงตั๋วสกายวอล์ค” กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เดินหน้าทำตลาดการขายต้อนรับฤดูการเดินทางท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 พุ่งเป้าเจาะกำลังซื้อตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2562 นี้เป็นต้นไป กิจกรรมแรกในอาคาร “คิง เพาเวอร์ มหานคร” นำร่องครั้งแรกในการเข้าร่วมมหกรรมขายรายการใหญ่ประจำปีงาน “ไทย เที่ยว ไทย” ครั้งที่ 52 ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 นี้ ในบูธหมายเลข M12-13 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ทำโปรโมชั่นตลอด 3 วัน โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อราคาพิเศษ บัตรเข้าชมมหานคร สกาย วอล์ค ราคาเพียงคนละ 650 บาท จากปติก 765 บาท หากซื้อเป็นชุด 10 ใบ รับฟรีบัตรเครื่องเล่น VR สกาย ไรเดอร์ การจำลองโดดร่มเสมือนจริงแห่งแรกในไทย หากซื้อแยกราคาพิเศษเช่นกันใบละ 200 บาท จากปกติ 250 บาท ซื้อแล้วสามารถนำบัตรทั้ง 2 แบบ มาใช้บริการข้ามปีได้จนถึง 31 มีนาคม 2563 ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์จัดคาราวานแจกลูกบอลเด็กเยาวชนพิษณุโลก-เพชรบูรณ์” กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ รายงานว่า ในวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562 ได้จัดคาราวาน “ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย” นำลูกฟุตบอลไปแจกน้อง ๆ เยาวชนใน 2 จังหวัด พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ตามโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ปีที่ 3 เดินทางไปมอบลูกฟุตบอลฟรีให้เยาวชนในพื้นที่เทศบาลตำบลเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก" และ "โรงเรียนน้ำหนาววิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์" ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป . ตามเป้าหมายต้องการให้เด็ก ๆ ที่อยากมีลูกฟุตบอลไว้ฝึกซ้อมเป็นของตัวเอง และเพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้เด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกลได้ออกกำลังกาย มีความรักการเล่นกีฬา สร้างพลานามัยที่ดี และก้าวเข้าสู่นักกีฬาระดับต่าง ๆ ของประเทศต่อไป ข่าวที่ 3 “ททท.บุมขุมทรัพย์เที่ยวไทยจัดทัพ4กลุ่มสินค้าโกยเงิน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เดินหน้าเปิดตัวโครงการ “ขุมทรัพย์ท่องเที่ยวไทย : Tourism Treasures Throughout Thailand” เพิ่มรายได้ท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง 2562 โดยจัดหมวดสินค้าการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 สินค้าท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ เส้นทางเดินป่า หาดทราย ชายทะเล ประเภทที่ 2 สินค้าท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรม นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์ การท่องเที่ยวชุมชน ที่สร้างประสบการณ์ (Local Experience) ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ยังคงกลิ่นอายความเป็นไทยอย่างสมบูรณ์ โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ประเภทที่ 3 สินค้าท่องเที่ยวเชิงมูลค่า สามารถสร้างมูลค่าเชิงรายได้สูงกว่าทั่วไป เด่น ๆ ได้แก่ การเดินทางท่องเที่ยวของกลุ่มคู่แต่งงาน-ฮันนีมูน การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม การท่องเที่ยวทางน้ำสไตล์หรูหรา ล่องเรือ ยอร์ชชมทะเลอ่าวไทย และอันดามัน ประเภทที่ 4 สินค้าท่องเที่ยวความสนใจพิเศษ (Niche Market) เช่น ท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวเชิงอาหาร ท่องเที่ยวเชิงนันทนาการ เช่น Music Festival ตอนนี้ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการจัดมหกรรมดนตรีระดับนานาชาติในหลากหลายอีเวนต์ กำลังเป็นเทรนด์มาแรง ข่าวที่ 4 “เติมน้ำมันบางจาก E85 S รับฟรีน้ำดื่ม 1.5 ลิตร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เชิญชวนผู้ใช้รถเลือกใช้น้ำมันคุณภาพดีต่อสิ่งแวดล้อม เติม E85 S ครบทุก 500 บาท รับน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร ฟรี 1 ขวด มูลค่า 15 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 62 หรือจนกว่าของจะหมด ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ ดูรายละเอียดเพิ่มที่ www.bangchakmarketplace.com เป็นการณรงค์อีกช่องทางให้ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกับบางจาก เนื่องจากน้ำมัน E85 S ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินชนิดอื่น ประการสำคัญยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ข่าวที่ 4 “TCEBต่อยอดไมซ์เพื่อชุมชนชูมิติใหม่นำร่องตลาดBtoB นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดงาน “ไมซ์เพื่อชุมชน” ปีที่ 2 โดยได้จัดกิจกรรม “เปิดมิติใหม่ อุตสาหกรรมไมซ์” เป้าหมายเพื่อตอบความชัดเจน 2 โจทย์หลัก ได้แก่ 1.การกระจายรายได้ 2.นำตลาดผู้ซื้อเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชน สร้างโอกาสให้กลุ่มผู้ผลิตอีกทั้งยังจะเพิ่มความเข้มข้นนำกลยุทธ์การเปิดเจรจาธุรกิจแบบ Business to Business เพื่อให้ผู้ผลิตจากสหกรณ์ทั่วประเทศที่เข้ามาร่วมการขายผู้ซื้อทั่วไปในแต่ละงาน เพิ่มเวทีการเจรจากับตัวแทนกลุ่มผู้ซื้อบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งสนใจสั่งซื้อครั้งละจำนวนมาก ๆ ควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้าสร้างมาตรฐานห้องประชุมตามสหกรณ์ต่าง ๆ ทั้งแบบในอาคารและเปิดโล่ง โดย TCEB จะส่งทีมงานเข้าไปอบรมความรู้ เทคนิควิธีการแบบครบวงจร เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ได้จัดงาน กิจกรรม “เปิดมิติใหม่ อุตสาหกรรมไมซ์”ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา กรุงเทพฯ นำสมาชิกสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าเกษตรทั่วประเทศเข้าร่วมเปิดบูธจำหน่ายสินค้า 28 บูธ เพื่อขายสินค้าพืช ผัก ผลไม้ ข้าว ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป สินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น มาจำหน่ายบริเวณอาคารศูนย์ราชการ ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายกลุ่ม ทำให้สมาชิกสหกรณ์ทำยอดขายได้ดี ผลิตภัณฑ์ไฮไลต์จากสหกรณ์หลายแห่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เช่น เมลล่อนรสชาติดีสุดของสหกรณ์นิคมชุมชนแสงจันทร์ จำกัด จังหวัดระยอง หรือจะเป็นเนื้อจากสหกรณ์โคเนื้อกำแพงแสน นครปฐม เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ แหล่งอาหารสำคัญเทียบชั้นต่างประเทศได้ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ความสำเร็จจากโครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” ปีที่ 2 นั้น สามารถขยายเครือข่ายสมาชิกสหกรณ์รวม 85 แห่ง จากปีแรกมีเพียง 35 แห่ง ปี 2562 สนใจเข้าร่วมอีก 50 แห่ง ปี 2563 จะยกระดับสินค้าสหกรณ์หมวดผัก ผลไม้ ให้มียอดขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับผู้ที่จะเข้าไปจัดประชุม สัมมนา แล้วใช้จ่ายเงินอุดหนุนซื้อสินค้าแบบครบวงจร ช่วงที่ 2 ชวนกันไปเที่ยว “ชุมชนบนแพแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง” อุทัยธานี มีเรื่องราววิถีชวิตของคนริมน้ำ เดินสายไปไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์ได้ด้วย ส่วนสุขภาพต้องฟัง “5 เคล็ดลับลดเสี่ยงโรคไม่เรื้อรัง” และข่าวแรง ๆ รอรับเงินเที่ยวฟรี 1,000 บาท ต้องเข้ากระบวนการครบ 5 ขั้นตอน ดีเดย์ 23 กันยายน นี้ ส่วน “การบินไทย-ไทยสไมล์” ขานรับกฎ EASA ห้ามผู้โดยสารนำแม็คบุ๊คจอ 15 นิ้วขึ้นเครื่อง “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคมลุยแก้คอขวดการบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และ ครม.กับนายกฯ ประยุทธ์ ขอเบรก 2 เรื่องที่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ ชงรัฐบาลทั้งฟรีวีซ่าและขยายเวลาปิดผับถึงตี 4 @เที่ยวดี๊ดี!!ชุมชนบนแพแม่น้ำสะแกกรัง อุทัยธานี วิถีแห่งสายน้ำให้ความร่มเย็นในการท่องเที่ยวมุมใหม่อีกบรรยากาศ กับการได้ลองสัมผัสประสบการณ์ ล่องแพไปใช้ชีวิตสักครั้งกับ “ชุมนบนแพแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง” แห่งเดียวของเมืองไทย ในจังหวัดอุทัยธานี ตอนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเมืองรองที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะบ้านเรือนกว่า 200 หลัง ที่พักพิงอาศัยมาหลายช่วงอายุคนล้วนแล้วแต่มีทะเบียนบ้าน มีผู้นำ มีสายน้ำเป็นเส้นทางสัญจร แถมมีอาชีพอย่างมั่นคงด้วยการทำประมงน้ำจืด เลี้ยงปลาชนิดต่าง ๆ ในกระชัง มีทั้งปลาสวาย ประหลาดเทโพ โดยเฉพาะปลาแรด ขึ้นชื่อมาก เมื่อนำมาทำอาหารรสชาติจะหวานเนื้อนุ่มลิ้น เมื่อไปพักผ่อนในชุมชนแห่งนี้จะสัมผัสได้ถึงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายบนแพ สามารถเลือกใช้บริการเรือนำเที่ยว ท่องไปตามสายน้ำที่ยังคงเห็นวิถีสองฝั่งคลอง วัดวาอาราม อายุนับร้อยปี โปรแกรมท่องเที่ยวที่แนะนำ ต้องขอเรียกว่า “เส้นทางรักเรา...ไม่เก่าเลย” ลองไปพักใจกับธรรมชาติเมืองอุทัยธานีสัก 2 วัน 1 คืน วันแรก มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกชม ผู้ที่ชื่นชอบจิตรกรรมฝาผนังยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นแวะไปได้เลยที่ “วัดโบสถ์หรือวัดอุโปสถาราม” ส่วนชาวสายบุญทั้งหลายอยากกราบพระก็มีที่ “วัดสังกัสรัตนคีรี” และผ้าชอบดูผ้าโบราณ ต้องห้ามพลาดไปดู “กลุ่มสตรีทอผ้าไหมลายโบราณบ้านโคกหม้อ” ปิดท้ายด้วย “ตลาดริมน้ำสะแกกรัง” วันที่สอง เที่ยวสบาย ๆ ง่าย ๆ แวะเข้าชมความเก่าแก่ของ “วัดท่าซุง” เพื่อชมปราสาททองคำ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งจิตอธิษฐานนำสิ่งดี ๆ กลับบ้าน เมื่อไปถึงอุทัยธานีแล้ว ก็ควรกระจายรายได้โดยซื้อของฝากเฉพาะถิ่นติดมือกลับมาด้วย ที่ขึ้นชื่อมี 4 ชนิด ได้แก่ หน่อไม้รวกเขาสะแกกรัง น้ำปลาปลาสร้อยท่าซุง ส้มโอเกาะเทโพ และ ขนมปังสังขยา รสเด็ด @5 เคล็ดลับลดความเสี่ยง เลี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การดูแลสุขภาพแบบง่าย ด้วย 5 เคล็ดลับลดความเสี่ยง เลี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นเรื่องที่ทุกวัยทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ 1.กินครบ 5 หมู่ พอเพียง พอดี เพราะร่างกายจะได้สารอาหารครบทั้ง 5 ชนิด เพราะไม่มีอาหารชนิดใดชนิดเดียว ที่จะมีสารอาหารครบเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 2.เน้นกินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น เพราะปลามีโปรตีนที่มีคุณภาพ ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ มีโอเมก้า 3 ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด มีแคลเซียมและแร่ธาตุที่สำคัญ ควรกินปลาเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ส่วนผักและผลไม้ เป็นอาหารที่มนุษย์ขาดไม่ได้ เพราะเป็นแหล่งให้วิตามินและแร่ธาตุ อุดมด้วยใยอาหาร มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย 3.กินอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบจากธรรมชาติผ่านการปรุงแต่งน้อย เลือกใช้อาหารสด ลดอาหารแช่แข็ง หรืออาหารดอง 4.เลือกกินอาหารประเภทต้ม แกง ย่าง ยำ อบ นึ่ง หรือน้ำพริก ลดการกินของทอดและมัน 5.รสชาติอาหารไม่จัด ลด หวาน มัน เค็ม โดยกินตามสูตร 6 : 6: 1 ได้แก่ น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี และยังสนับสนุนให้รับประทานอาหารในสัดส่วน 2 : 1 : 1 ซึ่งประกอบไปด้วย ผัก 2 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน และ แป้ง 1 ส่วน และปฏิบัติตามหลัก 3 อ 2 ส ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา เชื่อแน่ว่าหากทุกคนสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น ก็สามารถลดความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้อย่างแน่นอน ฟังข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “5ขั้นตอนรับเงินเที่ยวฟรีพันบาทเริ่มลงทะเบียน23ก.ย.62 หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินคนไทยเที่ยวในประเทศ คนละ 1,000 บาท จำนวน 10 ล้านคน โดยจะเปิดให้รับเงินดังกล่าวตาม 5 ขั้นตอน ดีเดย์ 23 กันยายน 2562 กำหนดขั้นตอนรับเงิน 1,000 บาท ประกอบด้วย 1. ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) 23 ก.ย.-15 พ.ย.นี้ 2. รอรับ SMS ยืนยันหลังจากลงทะเบียนประมาณ 2 วัน 3. ต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อรับสิทธิตามมาตรการ 4. ต้องเดินทางท่องเที่ยวและเริ่มใช้สิทธิภายใน 14 วันหลังได้รับ SMS ยืนยัน 5. การชำระเงินจะต้องจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่รับชำระเงินด้วยแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ณ จังหวัดที่ระบุไว้ตอนลงทะเบียนเท่านั้น คุณสมบัติของผู้รับเงิน 1.ต้องเป็นประชาชนไทยทั่วไป มีบัตรประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน 2.ต้องระบุจังหวัดที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว 1 จังหวัด โดยจะต้องไม่ใช่จังหวัดที่อยู่บนบัตรประชาชน ให้ 1 คนต่อ 1 สิทธิ จำกัดเพียง 10 ล้านคนแรกเท่านั้น การเลือกใช้บริการ 1.อาหารและเครื่องดื่ม จะต้องเป็นร้านอาหารที่ส่วนราชการรับรอง 2.ซื้อสินค้าท้องถิ่น จะต้องเป็นสินค้าโอทอป ร้านวิสาหกิจชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” 3.ค่าที่พัก ต้องเป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม โฮมสเตย์ ตามรายชื่อของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำหรับ “ร้านค้า” ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องลงทะเบียนกับกรมบัญชีกลางภายใน 3 วัน หลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการ ไปจนถึง 13 ก.ย.2562 จากนั้น ผู้ประกอบการต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อรับชำระเงิน และเมื่อได้รับชำระเงินจากลูกค้า ผู้ประกอบการจะได้รับเงิน 1 วันทำการหลังรับชำระเงิน ส่วนนักท่องเที่ยวหากลงทะเบียนแล้วไม่เดินทางท่องเที่ยวหรือไม่เริ่มใช้สิทธิภายใน 14 วัน หรือ ใช้สิทธิไม่ครบตามวงเงิน 1 พันบาท ณ วันสิ้นสุดโครงการ รัฐบาลจะตัดสิทธิทันที ข่าวที่สอง “บินไทย-ไทยสไมล์ห้ามโน้ตบุ๊คแม็ค15นิ้วขึ้นเครื่องตามกฎEASA” การบินไทยและไทยสมายล์ แจ้งเตือนผู้โดยสารงดนำ MacBook Pro 15 นิ้ว รุ่นปี 2015 - 2017 ขึ้นเครื่องบินตามประกาศมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดให้สอดคล้องกับองค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency หรือ EASA) เนื่องจากโน้ตบุ๊ครุ่นนี้ผู้ผลิตอยู่ในโปรแกรมการเรียกคืนแบตเตอรี่ ตามที่ EASA ได้ออกประกาศให้สายการบินที่ทำการบินเข้าและออกจากสหภาพยุโรปปฏิบัติตาม Safety Information Bulletin SIB 2017-01 เรื่องมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับการส่งหรือนำแบตเตอรี่ลิเธียม หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียมเป็นส่วนประกอบ โดยแบตเตอรี่นั้นชำรุด มีข้อบกพร่อง หรือถูกเรียกคืนจากผู้ผลิต ซึ่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพายี่ห้อ Apple รุ่น MacBook Pro ขนาด 15 นิ้ว ที่จำหน่ายระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ข่าวที่สาม “ศํกดิ์สยามลุยแก้คอขวดการบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามบินดอนเมืองโดยมุ่งประเด็นหลักเรื่องการแก้ปัญหาคอขวดการจราจรทางอากาศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับมาให้เร่งแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งรายได้จากนักท่องเที่ยวนานาชาติเป็นหลัก อีกทั้งในช่วงตุลาคมนี้กำลังเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวจะมีการเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ระหว่างตรวจเยี่ยมได้รับฟังผู้บริหาร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) นำเสนอถึงผนปฏิบัติงาน และการเตรียมความพร้อมเร่งด่วนที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว โดยมีรายละเอียดแต่ละส่วนดังนี้ 1.เพิ่มช่องตรวจหนังสือเดินทางผ่านเข้าออกสนามบินดอนเมือง ได้แก่บริเวณขาเข้าเพิ่มอีก 12 จุด จาก 39 เป็น 51 จุด และขาออกเพิ่ม 8 จุด จาก 36 เป็น 44 จุด 2.ขยายพื้นที่เคาน์เตอร์และเวลารับทำVISA On ARRIVAL : VOA จาก 3 เป็น 4 ชั่วโมง เพื่อลดคงามแออัดในช่วงผู้โดยสารหนาแน่นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิดังกล่าวมีทั้งจีน อินเดีย และชาติอื่น ๆ รวม 21 ประเทศ ตามมติ ครม.ขยายเวลาให้ VOA ไปจนถึง 30 เมษายน 2562 ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ จะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีก 170 คน เพื่อให้บริการผู้ใช้บริการตามปริมาณผู้โดยสารที่ใช้งานในชั่วโมงหนาแน่น (peak hour) ขาเข้าเมือง 2,140 คน แต่ปัจจุบันรับได้เพียง 1,700 คน ส่วนขาออก มีประมาณ 1,700 คน รับได้ประมาณ 1,400 คน การขยายช่องตรวจหนังสือเดินทางและเพิ่มบุคลากรตรวจคนเข้าเมืองจะช่วยบรรเทาปัญหาคอขวดได้ 3.เพิ่มเทคโนโลยีการให้บริการสนามบินแบบครบวงจร ตามที่ ทอท.ได้เปิดตัวครงการ AOT digital ซึ่งสามารถบอกถึงปริมาณการจราจร การเช็คอิน กระเป๋าสัมภาระบนสายพาน และอื่น ๆ ที่เป็นข้อมูลสนามบินครอบคลุมแต่ละด้าน 4.ให้ ทอท.จัดทำสรุปปัญหาและแผนงานการแก้ไขคอขวดการจราจรในสนามบิน อย่างกระชับชัดเจน โดยจัดทำเป็นคลิปประมาณ 3-5 นาที เพื่อรายงานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบในวันอังคารหน้า 27 สิงหาคม 2562 5.ให้ ทอท.จัดทำรายงานปัญหาต่าง ๆ และแนวทางการแก้ไขรายงานมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทุกเดือน เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ในการจัดทำแผนพัฒนาสนามบินดอนเมืองเฟส 3 ช่วง ปี 2562-2566 นอกเหนือจากการพัฒนาขยายพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารให้เพียงพอต่อผู้โดยสารแล้ว ยังจะเวรคืนพื้นที่แฮงก้าหรืออู่จอดเครื่องบินของเจ็ตแอร์คืนมาใช้ประโยชน์ทางการบินต่อไป และมีโครงการเพิ่มพื้นที่ลานจอดรถสนามบินดอนเมืองอีกไม่ต่ำกว่า 500 คัน จากนั้น รมว.ศักดิ์สยาม ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเวลาประมาณ 17.00-18.30 น. โดยเน้นการแก้ปัญหาคอขวดจราจรทางอากาศเช่นเดียว และแนะแนวทางให้ใช้โมเดลของดอนเมืองเข้าไปแก้ไขปัญหาในสุวรรณภูมิซึ่งมีรูปแบบโครงสร้างปัญหาคล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามระหว่าง รมว.ศักดิ์สยาม เดินตรวจเยี่ยมงานในดอนเมืองนั้น ได้แลกสอบถามแลกเปลี่ยนความเห็นกับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ท่รายงานถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักที่เดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยปีนี้คาดการณ์จะได้ถึง 12 ล้านคน นั้นสถานการณ์ขาเข้าของนักท่องเที่ยวจีนผ่าน ตม.ดอนเมือง ปัจจุบันชะลอตัวลดลง 8-10 % ข่าวที่สี่ “นายกฯเบรกนโยบายรมว.ท่องเที่ยว2เรื่องฟรีวีซ่า/ปิดผับตี4” เมื่อวันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมด้วยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอกประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ ประสานเป็นเสียงเดียวกันให้เบรกเรื่องที่ “นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอขอรัฐบาล 2 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 ขอที่ประชุม ครม.ให้ FREE VISA ให้นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ผลสรุปคือไม่อนุมัติ คงให้แต่เพียง VISA ON ARRIVAL :VOA ไปจนถึงเมษายน 2563 เรื่องที่ 2 จะเสนอขอปิดผับในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศไปจนถึงตี 4 โดยขอยืดเวลาจากเดิมไม่เกินเที่ยงคืน พลเอกประยุทธ์กับพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันชัดเจนไม่อนุญาตเพราะเกรงผลกระทบอีกหลายเรื่องตามมาเป็นปัญหายาว ติดตามฟังรายการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง FM 97.0 MHz.

จับตา!!ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว3เดือนแรกไม่ถึง10ล้านคน

  นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 1 ม.ค.-31 มี.ค.2568 ได้แค่ 9.5 ล้านคน จับตา !! ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว 3 เดือนแรกไม่ถึง 10 ล้านคน เม.ย.นี้ร...