เจาะใจ‘วิชัย-อัยยวัฒน์’ศรีวัฒนประภา
‘คิง เพาเวอร์’เปิดแนวรุกธุรกิจจากพ่อสู่ลูก
เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน :rakdeethai@gmail.com
เดือนตุลาคมนี้ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 26 “วิชัยศรีวัฒนประภา” ประธานกรรมการ
ควงบุตรชาย “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” รองประธานกรรมการบริหาร
ทายาทธุรกิจที่เตรียมรับไม้ต่อรุ่นที่สอง ให้สัมภาษณ์พิเศษ ถึงอนาคตการขยายอาณาจักรร้านค้าปลอดอากร
(Duty Free) และสโมสรฟุตบอล
“เลสเตอร์ ซิตี้” จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้าไทย การสร้างชื่อเสียงในเวทีโลก
นำรายได้มูลค่านับแสนล้านเข้าประเทศ
-ในโอกาสบุกเบิกธุรกิจดิวตี้ฟรีครบปีที่
26 จะเห็นอนาคตการเปลี่ยนแปลงใหม่อะไรบ้าง
คิง เพาเวอร์
จะเดินหน้าลงทุนในเส้นทางธุรกิจที่ถนัดเท่านั้นในการใช้ศักยภาพ 3 อุตสาหกรรมอันโดดเด่นผนวกจุดขายเข้าด้วยกัน
ได้แก่ การท่องเที่ยว ดิวตี้ฟรี และกีฬาฟุตบอล ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและเทร็นด์ขาขึ้นของไทยที่จะประกาศความยิ่งใหญ่ในเอเชียและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC) ช่วยรัฐบาลสร้างมูลค่าทำให้ประเทศไทยและวิถีชุมชนฐานรากเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว
แหล่งผลิตสินค้า ขยายช่องทางการจำหน่าย โฆษณาประชาสัมพันธ์การตลาด
ผ่านเครือข่ายดิวตี้ฟรี และการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกทุกแมทช์ระหว่างการถ่ายทอดสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกหลายร้อยล้านคนจะได้เห็นแบรนด์ประเทศไทย
ปี 2559 กลุ่มคิง เพาเวอร์วางแผนใช้เงินขั้นต่ำกว่า
5,000 ล้านบาท ลงทุนร้านค้าดิวตี้ฟรีใหม่ แห่งแรก คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ภูเก็ต
ปรับแผนลงทุนใช้เงินเพิ่มจาก 1,200 ล้านบาท เป็น 3,500
ล้านบาท พัฒนาโครงการในที่ดิน 30 ไร่
ตกแต่งพื้นที่ร้านค้า ร้านอาหาร และ
สิ่งอำนวยความสะดวกให้เพียงพอรองรับนักช็อปเผื่ออนาคตไปถึงอีก 5 ปีข้างหน้า กำหนดเปิดบริการธันวาคมปีนี้
เป็นช่วงใกล้เคียงกับการขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตแล้วเสร็จพร้อมเปิดเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
ส่วนแห่งที่สอง จะลงทุนในเชียงใหม่ ขนาดไม่ใหญ่ใช้เงินเพียง
700-1,000 ล้านบาท เพราะศักยภาพการท่องเที่ยวมีสัญญาณที่ดีเมื่อเปิดเออีซี
ตลาดนักท่องเที่ยวจากเพื่อนบ้านหลายประเทศจะหลั่งไหลเดินทางเข้าภาคเหนือและเชียงใหม่จำนวนมาก
เบื้องต้นต้องศึกษาจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารแต่ละวัน ต้องมีอย่างต่ำวันละ 5,000
คน
-ธุรกิจในกรุงเทพฯ
จะปรับโฉมใหม่ด้วยหรือไม่อย่างไร
จะปิดปรับปรุง คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ
และโรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณรางน้ำเหมือนกัน ช่วงเดือนเมษายน
2559 จะปิดร้านดิวตี้ฟรีหยุดขายไปเลย
6 เดือน เริ่มเปิดอีกครั้งตั้งแต่กันยายน 2559 เป็นต้นไป ปรับโฉมโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และโซนนิ่งลูกค้าชัดเจนทำเป็นศูนย์กลางรับนักช้อปคนไทยและนักท่องเที่ยวนานาชาติกลุ่มเดินทางอิสระ
(FIT)
ตลอดการปิดปรับปรุงตรงรางน้ำจะย้ายสินค้าทั้งหมดไปวางจำหน่ายที่ คิง เพาเวอร์
คอมเพล็กซ์ ศรีวารี (ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ) ซึ่งจะจัดโซนทำเป็นศูนย์กลางรับนักช้อปตลาดนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะ
ซึ่งมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร
ส่วนโรงแรมมี 2 อาคาร ใช้วิธีสลับปิดปรับปรุงทีละอาคาร
เน้นลงทุนติดตั้ดเทคโนโลยีล้ำสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกและคอนเซ็ปต์ใหม่
ๆ เข้ามาให้บริการห้องพัก ห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง ห้องอาหาร
เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสบริการโฉมใหม่เปิดเต็มตามรูปแบบเดือนตุลาคม
2559
-ประเมินกำลังซื้อคนไทยในอนาคตจะเติบโตมากน้อยขนาดไหน
ปัจจุบันคนไทยช้อปในดิวตี้ฟรี คิง เพาเวอร์ เพียงปีละ 17 % เท่านั้น จากยอดขายรวมปีนี้ประมาณ
67,000 ล้านบาท ยอดขาย 83 %มาจากตลาดต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในไทย
ขณะนี้จึงต้องลงทุนเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกผู้ถือบัตรคิง เพาเวอร์ ซึ่งปรับรูปแบบใหม่เป็น
4 ประเภท ให้สิทธิส่วนลดการซื้อสินค้าต่างกัน
ทว่าสิทธิที่สมาชิกได้เท่าเทียมกันคือ สามารถใช้เลาจน์ตามสนามบินต่าง ๆ
ทั่วโลกได้กว่า 190 แห่ง สิทธิซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบิน
รถเช่า แพกเกจท่องเที่ยว ห้องพัก บริการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรของคิง เพาเวอร์ ทั่วโลก
เป็นการลงทุนเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้สมาชิกได้รับมากที่สุด
ควบคู่กับกระตุ้นคนไทยให้หันมาช้อปสินค้าดิวตี้ฟรีไทยเพิ่มขึ้น เพราะตามรายงานจากกลุ่มบัตรเครดิตรายใหญ่อย่างวีซ่าและมาสเตอร์ระบุปีที่ผ่านมาคนไทยไปซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยในต่างประเทศสูงถึง
40,000 ล้านบาท สาเหตุหลักที่คนไทยไม่ซื้อสินค้าในประเทศเพราะความยุ่งยากเรื่องระเบียบเงื่อนไขศุลกากรซื้อแล้วต้องนำติดตัวออกไปต่างประเทศด้วย
และให้ซื้อได้ไม่เกินคนละ 20,000 บาท
ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวกจึงซื้อจากต่างประเทศเข้ามาง่ายกว่า
-ไทยจะเป็นผู้นำการท่องเที่ยวเออีซีและเอเชียได้ต้องปรับจุดแข็งเพิ่มเรื่องใดบ้าง
ต้องใช้จุดแข็งความเป็นศูนย์กลางคมนาคม
ปรับกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากลโลก อำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวและการค้าให้มากที่สุด
ทั้งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ เปิดประตูสำคัญบานใหญ่รับกำลังซื้อตลาดเออีซีกว่า
600 ล้านคน ส่วนเอเชียต้องสร้างแม่เหล็กดูดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของทุกประเทศทั่วโลก
เพราะมีทั้งจำนวนคนและครองแชมป์ใช้จ่ายเงินสูง
โดยเฉพาะไทยมีวิถีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันนักท่องเที่ยวจึงได้รับความนิยมเข้ามาเป็นประเทศอันดับต้น
ๆ ของอาเซียน ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไปควรเพิ่มตลาดจีนมาเมืองไทยให้ถึงปีละ
10 ล้านคน
-ทุกภาคส่วนต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับนานาวิกฤตทั้งในและต่างประเทศ
สิ่งแรกหลังเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์
ภาครัฐและเอกชนไทยต้องร่วมมือกันฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้ภายใน 6 เดือนนี้
หากปล่อยเวลานานกว่านี้กลุ่มนักเดินทางอิสระ (FIT)
จากทั่วโลกที่เข้ามาไทยปีละ 70-80 % ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
จะลดลงแล้วหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทน
จากนั้นก็ต้องเร่งกระตุ้นรายได้กลับสู่ปกติให้เร็วที่สุด
โดยเฉพาะปลายปีนี้ต้องใช้โอกาสการเปิดเออีซีให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยวิธีอำนวยความสะดวกด้านมาตรฐานการผ่านเข้าออกเมืองทางรถยนต์
กระจายไปการเดินทางไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทุกตะเข็บชายแดน นอกเหนือจากการพึ่งพาคนเข้ามาทางเครื่องบินเป็นหลัก
ทางรถจะช่วยสร้างเศรษฐกิจเข้าถึงชุมชนฐานรากเพิ่มรายได้การจำหน่ายสินค้าและบริการครบทุกด้าน
-การลงทุนในสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้
ก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร
อัยยวัฒน์ยืนยันว่าพร้อมทุ่มเทการทำงานร่วมกับทีมบริหารและนักเตะเพื่อรักษาชั้นการแข่งขันอันดับใน
1 ใน 5 ไว้ให้ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งได้สร้างโครงการ “Fox
Hunt Leicester City Academy” ที่ใช้เงินทุนกว่า 300 ล้านบาท คัดนักเตะเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี โดยให้ทุนฝึกกับมืออาชีพกินนอนเรียนประจำอยู่สโมสรเลสเตอร์
ซิตี้ 2 ปี รุ่นแรกกำลังฝึกอยู่ 16 คน
ผ่านไปเกือบปีแล้วเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ ภายในปี 2560
จะได้เห็นนักเตะเยาวชนไทยเข้าไปเป็นดาวรุ่งอยู่ตามสโมสรฟุตบอลชั้นนำในเอเชีย
ผู้นำ “คิง เพาเวอร์” เปิดทุกแง่มุมธุรกิจตลอดสองทศวรรษครึ่งยุคพ่อได้สร้างฐานการติบโตอย่างมั่นคงก่อนส่งต่อให้รุ่นลูกยุคต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น