คิง เพาเวอร์-AOTทางเลือกสู่ทางรอดดิวตี้ฟรี5สนามบิน
36ปีโอกาสความท้าทายธุรกิจไทยสร้างชื่อในตลาดโลก
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT
#เที่ยวกับกู๋
#dutyfree #KingPower
อ่านใน
มติชนออนไลน์... https://www.matichon.co.th/publicize/news_5234597
เมื่อยุครุ่งเรืองของ
“ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” เกิดจุดเปลี่ยนเชิงลบครั้งใหญ่ต่อเนื่องมากว่า
7 ปี หลังปลายปี 2562 เมื่อโรคระบาดใหม่โควิด-19 ช็อกเศรษฐกิจโลก ผนวกกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกยุคใหม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นำมาสู่ปรากฏการณ์ “ทางเลือกสู่ทางรอด” ระหว่าง “กลุ่มบริษัท คิง
เพาเวอร์” ธุรกิจของคนไทยผู้บุกเบิกร้านค้าปลอดอากร (duty free) ในเวทีโลกเป็นปีที่ 36 จำเป็นจะต้องยื่นหนังสือขอเจรจาแนวทางแก้ปัญหาการลงทุนพัฒนาดิวตี้ฟรี
ณ ท่าอากาศยาน (Airport duty free) กับ “บริษัท ท่าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) “AOT” ใน 5
ท่าอากาศยาน ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่
หาดใหญ่(สงขลา)
โดยมี
บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD)
ประมูลชนะได้สิทธิใช้พื้นที่แต่ละท่าอากาศยานจำหน่ายสินค้าดิวตี้ฟรี พอทำสัญญา 3 แห่ง ที่ ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ ช่วงกรกฎาคม 2562
ผ่านไป 3 เดือน ก็เกิดโควิด-19 ระบาดขึ้นทำให้คนทั่วโลกต้องหยุดเดินทางทันทีต่อเนื่องมาจนถึงปี 2566
ท่ามกลาง
“พายุเศรษฐกิจกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ทั่วโลกเดินทางมาไทยเป็นช่วง “ขาลงแรง”
นับจากปี 2562 เดิมต่างชาติเคยมาไทยปีละเกือบ
41 ล้านคน แล้วก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบันตามรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ระหว่าง 1 มกราคม - 8
มิถุนายน 2568 ต่างชาติมาท่องเที่ยวเมืองไทยเพียง
15 ล้านคน ลดลง 2.87 % ตลาดหลักอย่าง “สาธารณรัฐประชาชนจีน”เคยมากสุดเกือบ
11 ล้านคน/ปี ขณะนี้เหลือเพียง 2.04 ล้านคน
หรือแค่ 25% ของยุครุ่งเรือง
แล้ว
“กำลังซื้อหลักของดิวตี้ฟรีไทย” คือ “จีน” มากถึง 70 % มีคนไทยเดินทางต่างประเทศอีก 15-20 % ส่วนที่เหลือเป็นต่างชาติอื่น ๆ 5-10 %
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา”
ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้พยายามเจรจากับ AOT และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาตลอดถึงหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
แล้วไปมีผลกระทบกับธุรกิจดิวตี้ฟรีเมืองไทย จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2568 บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี
จำกัด (KPD) จำเป็นต้องยื่นหนังสือถึง AOT ขอหารือแนวทางการยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยาน
5 แห่ง สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่
อ้างอิงตามเอกสาร
AOT เลขที่ 10492/2568 แจ้งถึงกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เรื่อง
บริษัท
มีหนังสือขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ
ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ AOT โดยระบุสาเหตุ “ไม่ได้มาจากความผิดของคิง
เพาเวอร์” แต่เพราะมีผลกระทบรุนแรงเป็นเหตุสุดวิสัยจาก 7
ปัจจัย ได้แก่
1.สถานการณ์โควิด-19
แพร่ระบาดส่งผลให้ต่างชาติเดินทางลดลง 2.ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยลดลงโดยเฉพาะจีน
3.ภาครัฐขาดมาตรการบริหารจัดการความปลอดภัยส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง
4.การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ AOT 5.รัฐลดภาษีนำเข้าไวน์ส่งผลกระทบกับยอดจำหน่ายในร้านค้าดิวตี้ฟรี 6.สถานการณ์ในประเทศทำให้จำนวนผู้โดยสารลดลง 7.สถานการณ์สงครามและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
“นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์” รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT” เปิดเผยว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) AOT ได้จัดประชุมนัดพิเศษ
ครั้งที่ 8/2568 เมื่อ 16 มิถุนายน 2568 โดยมี
“นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย” ประธานกรรมการ และประธานที่ประชุม ได้เร่งรัดให้แต่งตั้ง
“คณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร
ณ ท่าอากาศยาน” ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
เพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
AOT โดยเร็วภายใน 60 วัน
หลังจาก บริษัท คิง เพาเวอร์
ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ส่งเอกสารขอยกเลิกประกอบกิจการด้วยเหตุและปัจจัยตั้งแต่สถานการณ์โควิดระบาด
ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
มีผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน เดินทางมาไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่กระทบกับการจ่ายค่าตอบแทนที่
“คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” ค้างชำระอยู่ เพราะยังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน (Bank
Guarantee) ที่วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา
ถือเป็นหลักประกันทางการเงินของคู่สัญญากรณีเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น
ขณะนี้
AOT ยังมีสถานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรงและยังมีแผนหารายได้เพิ่มจากแหล่งอื่น
ๆ อีกอย่างน้อย 4 กิจกรรม เช่น 1.รายได้จากค่าใช้บริการระบบไฟฟ้า
400 Hz ระบบปรับอากาศ PC AIR 2.โครงการผู้ให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
3.การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ
ที่เกี่ยวเนื่อง ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่สาม 4.การพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์รอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง
ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical
Revenue)
ทางด้าน “ดร.นิตินัย
ศิริสมรรถการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “CEO” คนใหม่ บริษัท คิง เพาเวอร์
คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า คิง เพาเวอร์ พร้อมปฏิบัติตามกรอบข้อสรุปของ AOT เนื่องจากเอกชนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต่อรองใด ๆ
ทางออกที่ดีคือรอกรอบเงื่อนไขที่พึงปฏิบัติร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับสัญญาประกอบกิจการของ
คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี กับ AOT เบื้องต้น ใน 3 ท่าอากาศยาน ภูเก็ต เชียงใหม่
หาดใหญ่ ล่าสุดจะหมดสัญญา 31 มีนาคม 2576 เช่นเดียวกับ สุวรรณภูมิ และดอนเมือง อยู่ในช่วงปีใกล้เคียงกัน
“กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” เป็นธุรกิจของคนไทยได้ยืนหนึ่งบุกเบิกการลงทุนดิวตี้ฟรีเมืองไทยให้ทั่วโลกรู้จักชื่อเสียง
สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในตลาดโลก รวมถึงได้จัดทำโครงการยกระดับ “ย่านรางน้ำ” ที่ตั้งธุรกิจเรือธงเป็นย่านท่องเที่ยวแห่งใหม่ของไทยหรือ
“FESTIVALISATION” เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่และประเทศ
ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2567 นำย่านรางน้ำ คว้ารางวัลนานาชาติ RETAILER
CAMPAIGN OF THE YEAR ภายใต้แคมเปญ “FESTIVALISATION RANGNAM”
ตลอด
36 ปี คิงเพาเวอร์ ได้จ้างงาน สร้างอาชีพ ดูแลพนักงานและครอบครัวจำนวนหลายหมื่นชีวิตทั่วประเทศให้มีรายได้เลี้ยงชีพ
พร้อมทั้งจ่ายภาษีธุรกิจทางตรงและทางอ้อม ร่วมสร้างเศรษฐกิจประเทศ และทุ่มเทคืนประโยชน์สู่สังคมทำโครงการต่อเนื่อง
“King Power Thai Power : พลังคิง เพาเวอร์
พลังคนไทย” ต่อเนื่องมากว่า 8 ปี
เดินหน้าปั้น “แบรนด์สินค้าชุมชนไทย” เกรดพรีเมี่ยม นำไปวางขายในตลาดนานาชาติ
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ใช้ธุรกิจดิวตี้ฟรีเป็นสายใย “เชื่อมโยงเศรษฐกิจชาติ”
เติบโตในเวทีโลก เคียงข้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมายาวนานถึง 3 ทศวรรษ วันนี้เมื่อผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญปัญหาท้าทาย
ทุกฝ่ายควรจะหันหน้าหาทางออกให้องคาพยพอาชีพของคนตัวเล็ก ๆ ตั้งแต่เศรษฐกิจแบรนด์ชุมชนฐานราก
ไปจนถึงสินค้านานาชาติ มีโอกาสได้อยู่กับคนไทยเป็น “ทางเลือก สู่ทางรอด”
ไม่เฉพาะแต่ คิง เพาเวอร์ เท่านั้น หากยังรวมถึงคนไทยจำนวนมาก ต่างก็พร้อมสร้างประโยชน์ที่ดีให้ประเทศไทยต่อไป