ปลุกทัวร์ฝั่งโขง“สกล-นครพนม-มุกดาหาร”
รองนายกฯนำทีมเปิดใหญ่“แห่ดาวท่าแร่”
ชมรอยอดีตโคตรบูรณ์ไหว้พระธาตุพนม
รัฐปันงบแสนล้านปั้นโปรดักซ์เที่ยวปี’60
สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ที่ 2559
เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย” FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” กับข่าวความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
ช่วงแรกเวลา 11.15 น.
บุณยานุช วรรณยิ่ง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานนครพนม |
“คุณบุณยานุช วรรณยิ่ง” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
สำนักงานนครพนม (ดูแล 3 จังหวัด นครพนม สกลนคร มุกดาหาร)
ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ
เพื่อเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจของการเดินทางไปท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาวใน 3 จังหวัด
เริ่มต้นจากงานแรกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายระดับประเทศและนานาชาติ
ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 20-25 ธันวาคม 2559
คือเทศกาล “แห่ดาวท่าแร่” เป็นเทศกาลคริสต์มาส ของ 18 ชุมชน ณ ตำบลท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
ปีนี้ “พลเอกธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร” รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานเปิดเทศกาลแห่ดาวท่าแร่อย่างยิ่งใหญ่
นับเป็นเทศกาลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมาตั้งแต่ปี 2525 จนถึงขณะนี้จัดต่อเนื่องกันมาเกินกว่า 34 ปีแล้ว เพื่อเฉลิมฉลองการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า
ตามตำนานในช่วงเวลาที่พระเยซูเจ้าทรงมาประสูติก็จะมีลักษณะพิเศษมีดาวแสงสุกสว่างกว่าดาวทั่วไป
พระโหราจารย์จึงเดินตามแสงแห่งดาวดวงนั้นไปยังสถานที่ประสูติของพระเยซูเจ้า ณ
เมืองเบธเลแฮม ปาเลสไตน์ อันเป็นจุดกำเนิดเทศกาลแห่ดาวของชาวบ้านท่าแร่ได้ถือว่า “ดาว” คือสัญลักษณ์ของการลงมากำเนิดของพระเยซูเจ้าบนโลกมนุษย์นั่นเอง
พระองค์ได้มาถ่ายบาปให้มวลมนุษย์ เป็นเรื่องราวโดยย่อของ “เทศกาลแห่ดาวชาวท่าแร่” สกลนคร
เทศกาลดังกล่าวได้สืบทอดการ “ทำดาว” ขึ้นในหมู่บ้านต่างๆ
ทั่วทั้งตำบลท่าแร่ เริ่มแรกจัดทำเป็นดาวดวงเล็ก ๆ นำไม้ไผ่มาทำเป็นโครงของดาว
แล้วชุมชนชาวคริสต์จะติดเทียนไว้ข้างใน จากนั้นในวันที่ 24 ธันวาคม ของทุกปี
ชาวชุมชนบ้านท่าแร่ก็จะถือดาวไม้ไผ่จุดเทียนที่ติดไว้เดินเวียนรอบโบสถ์คริสต์ 3 ครั้ง แล้วเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีมิสซาขอพระพร
โดยมีโบสต์สำคัญ ๆ เป็นศูนย์กลางชุมชนและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม ในทางคริสต์ศาสนาจะมีโบสต์กระจายอยู่ทั้ง
3 จังหวัด ทั้งใน นครพนม มุกดาหาร และ สกลนคร คือ “โบสถ์อาสนะวิหารอัครเทวดามิคาเอล” สีขาวคล้ายเรือ
เป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางมาตั้งถิ่นฐานของชาวคริสต์ในยุคก่อนราวกว่า 100 ปี ซึ่งมีบรรพบุรุษดั้งเดิมเป็นชาวเวียดนาม
ใช้วิธีต่อเรือลำเล็ก ๆ ร้อยต่อแพขนาดใหญ่อพยพจากตัวเมืองเข้ามายังท่าแร่
ช่วงนั้นมีเพียง 20 คน
นำโดยท่านเกโกะตั้งใจจะหาที่อยู่ใหม่ให้กับชุมชนชาวคริสต์
โดยการอธิษฐานด้วยเหรียญแล้วให้นำทางไปตามเส้นทางที่พระเยซูเจ้าประสงค์ให้มาตั้งถิ่นฐาน
กระทั่งมาติดอยู่ ณ บ้านท่าแร่ สมัยก่อนหมู่บ้านนี้เป็นป่าไม้ ดินลูกรัง
เดิมเรียกบ้านดินแห่ ต่อมาเรียกบ้านท่าแฮ่ กระทั่งปัจจุบันเพี้ยนมาเป็น “บ้านท่าแร่”
โบสถ์ที่มีลักษณะเด่นของบ้านท่าแร่จะเป็น
“รูปเรือสีขาว” ตกแต่งไฟห้อยระย้าลงมา
ช่วงเทศกาลคริสต์มาสจะประดับดาวทั้งที่โบสถ์และทุกชุมชนในหมู่บ้านเป็น 100 หลังคาเรือน
นักท่องเที่ยวจะได้ชมแสงไฟระยิบระยับสว่างไสวสวยงาม ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ของทุกปีเป็นต้นไป
อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรม “ถนนคนเดิน” ส่งเสริมการค้าขายสินค้าพื้นเมืองสกลนคร อุปโภคบริโภค ของกิน ของใช้
เสื้อผ้าแฟชั่นพื้นเมือง จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม 2559
ณ บริเวณหมู่บ้านท่าแร่ ติดกับ “อาสนวิหารอัครเทวดามิคาเอล”
ในวันงานจะปิดถนนให้คนเดิน สว่างไสวด้วยไฟและแสงแห่งดวงดาว
ขณะเดียวกันก็จะมีการตกแต่งประดับประดา
“ดาวใหญ่” อย่างสมบูรณ์แห่ด้วยขบวนรถมากถึง
40 คันด้วยกัน จอดให้ชมตั้งแต่ 22-23 ธันวาคม นี้
ในบริเวณตัวเมืองก่อนจะแห่ไปยังโบสถ์
นักท่องเที่ยวสามารถไปชมขบวนแห่ที่รถดาวจะเคลื่อนไปตามถนนรอบเมือง
อากาศก็เย็นสบายในช่วงเดือนธันวาคมนี้
โดยสามารถเดินชมอาคารโบราณในหมู่บ้านที่อนุรักษ์บ้านเรือนที่อยู่อาศัยเก่าแก่สไตล์
“โคโลเนียล” อายุ
40-80 ปี สามารถเข้าไปชมภายในและถ่ายรูปได้ด้วย
สินค้าขึ้นชื่อของสกลนคร นำโดย “กลุ่มคนรุ่นใหม่ในชื่อ สะ-กะ-ละ” จะนำสินค้าได้นำวัสดุและวัตถุดิบท้องถิ่นมาดีไซน์เก๋ไก๋เทียบชั้นอินเตอร์
วางจำหน่าย ณ “ถนนคนเดิน” ภายใต้ธีมการจัด
“สกล เฮ็ด เฟสติวัล” ช่วงเทศกาลคริสต์มาสท่าแร่ ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม นี้ ได้แก่ ผ้าย้อมคราม ของใช้ ของกิน
สินค้าแฟชั่น ซึ่งผลิตภัณฑ์พื้นบ้านเลื่องชื่อของสกลนคร
มาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวได้เลือกช้อปช่วยชาติกันอย่างเต็มที่
ททท.สำนักงานนครพนม นอกจากการจัดเตรียม “พื้นที่ถ่ายภาพ” ภายในเทศกาลแห่ดาวไว้แล้ว ยังได้นำกิจกรรม “สาธิตการทำดาว-ย้อมคราม-แบบพิมพ์ผ้า” เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้หรือร่วมทดลองทำกับ “กลุ่มสกลเฮ็ด”
กลุ่มคนรุ่นใหม่ในฐานะตัวแทนชาวสกลนครที่ได้อนุรักษ์และรวบรวมกรรมวิธีการทำผลิตภัณฑ์มาถ่ายทอดให้กับนักท่องเที่ยวได้รู้จักและเรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิมของสกลนคร
อีกทั้งยังแนะนำให้แวะโครงการพระราชดำริ
“ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน” ถือเป็นโครงการพระราชดำริที่เด่นสุดของภาคอีสาน
มีการเรียนรู้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะเรื่อง “ดิน” เพราะดินในอีสานบางแห่งเป็นดินเค็ม
บางแห่งแห้งแล้งไม่สามารถเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหารได้
แต่ที่นี่ทางหน่วยเกษตรและกรมชลประทานได้ร่วมมือกันเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องดินและน้ำ
จนชาวบ้านสามารถใช้เพาะปลูกได้ตามที่พระองค์ท่าน “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ทรงมีพระราชดำริฟื้นฟูผืนดินและน้ำ
จนปัจจุบันเป็นแหล่งเพาะปลูกผลไม้ต่าง ๆ ได้รสชาติดี ทั้ง สวนเงาะ ลองกอง
รวมทั้งจุดเริ่มต้นจากการ “ปลูกหญ้าแฝก” รักษาดินตามเส้นทางที่พระองค์ท่านเสด็จไปยังฝายน้ำล้นเดิมเป็นป่าระยะทางหลายกิโลเมตร
พระองค์ท่านเสด็จมายังสกลนครมากที่สุดถึง109 ครั้ง เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้มีที่ดินและน้ำทำกินหล่อเลี้ยง ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้นอกจากแก้ไขปัญหาเรื่องดินและน้ำแล้ว
ในศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน”
ยังมีเรื่องของ 3 ดำ ประกอบด้วย วัวดำ หมูดำ ไก่ดำ ทั้ง 3 ชนิด อย่าง “วัวทาจิมะ”
มาจากญี่ปุ่นมาเลี้ยงถ่ายทอดเป็นพันธุ์ไทย “ไก่ดำ” ที่มีขนสีดำและขาว
เหลือง แต่ต้องดูกระดูก ขา จงอย จะเป็นสีดำ
นำมาทำอาหารตามความเชื่อของชาวจีนไก่ดำคืออาหารสุขภาพเพิ่มพลัง หรือจะเป็น “หมูดำพันธุ์หมุยซาน” มาศึกษาพัฒนาจนกลายเป็นสัตว์ภูพานแล้ว
ทั้งหมดเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงและหาตลาดจำหน่ายให้ด้วย
ขณะนี้ยังเพิ่มการเลี้ยงกวาง เพื่อตัดเขาอ่อนขายเป็นยาบำรุงกำลัง
ททท.ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยโปรโมตให้ไปชม “เส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” โดยลองเดินขึ้นไปชมฝายน้ำ 3 ชั้น จะรู้เลยว่าคนทั่วไปเดินไม่กี่ร้อยเมตรก็เหนื่อยแล้ว
ขณะที่พระองค์ท่านเดินเป็นประจำสม่ำเสมอ
ไปชมเส้นทางนี้เพื่อร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
ขณะเดียวกัน “สินค้า” ในศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพาน
ยังมีผ้าย้อมคราม การเลี้ยงปลานิล ออกมาเป็นไข่กระทั่งใช้เวลา 20 วัน
เติบโตแล้วถ่ายเทไปยังบ่อเลี้ยงปลาเป็นอาชีพเสริมของเกษตรกร
คำแนะนำนักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็น “หมู่คณะ” ขอให้ทำจดหมายถึง
ททท.เพื่อจะได้ให้ทางศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพาน
จัดเตรียมวิทยากรและรถรางนำชมทั่วทั้งบริเวณอย่างครบถ้วน
ส่วน “นักท่องเที่ยวทั่วไป” สามารถเข้าไปเรียนรู้ถึงการปลูกพืชในดินแบบเกษตรอินทรีย์
รวมถึงขั้นตอนการทำปศุสัตว์ ทั้งชมหรือศึกษามาเป็นอาชีพของตนเอง
จากศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพาน ตามที่ได้กล่าวมา
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ในอีสานเชื่อมโยงทั้ง 3 จังหวัด ททท.สำนักงานนครพนมรับผิดชอบอยู่นั้น ผอ.บุณยนุช
แนะนำว่า ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงนครพนม แล้วบินกลับทางสกลนคร ก็ได้
ออกแบบทริปการท่องเที่ยว 3
วัน 2 คืน
เริ่มต้นจาก “นครพนม”
เมื่อไปถึงแล้วก็ต้องแวะ “สักการะพระธาตุพนม” เป็น 1 ใน 3 มานครพนมต้องชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3 ที่สุด คือ พระธาตุนครพนม พระธาตุประจำวันเกิดอีก
7 วัน ตั้งแต่ “วันอาทิตย์-จันทร์-อังคาร-พุธ-พฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์” สามารถจะเสริมบารมีในวันเกิด
แล้วเชื่อมโยงไปเที่ยว “สกลนคร” ซึ่งอยู่ห่างจากนครพนมเพียง
98 กม.เท่านั้น โดยไปชม “พระธาตุผาแด่น” ร่วมทำกิจกรรม Doing It Yourself : D.I.Y.การทำผ้าย้อมคราม
เมื่อได้ผลิตภัณฑ์ใช้สอยออกมาแล้วชิ้นงานนี้สามารถนำกลับมาใช้เองที่บ้านได้ด้วย
เป็นฝีมือหนึ่งเดียวในโลกจากของเราเอง จากนั้นก็ไปชมโครงการพระราชดำริ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน หรือ โครงการพระราชดำริกุดนาขาม
สถานที่ที่เป็นเน้นเครื่องปั้นดินเผา แต่ก็มีทอผ้าไหมที่ อำเภอเจริญศิลป์ สกลนคร
เป็น 1 ใน 70 เส้นทางตามรอยพระบาท
ของ ททท.นำเสนอด้วย
สำหรับ “มุกดาหาร” พลาดไม่ได้ที่จะไปสักการะพระธาตุใหญ่มโนรมย์บนเขา
มีพระองค์ใหญ่เห็นชัดเจนจากเบื้องล่าง ถึงแม้ทางไปบนภูสูงสักเล็กน้อย
แต่ข้างบนยอดเขามีจุดชมวิวพาโนรามา 2 ประเทศ
ของจังหวัดมุกดาหารและสะหวันเขต สปป.ลาว แล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถถ่ายภาพแชะแชร์
3 มิติ 360
องศา ก่อนกลับต้องแวะ “ตลาดอินโดจีน” มีสินค้าให้เลือกช้อปหลากหลาย
ราคาเป็นกันเองแบบสบายกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องใช้ไฟฟ้า
มีจำหน่ายอย่างครบถ้วน
และขอเชิญชวน “เที่ยวข้ามภาค” ไฮไลต์ในสกลนครคือ ท้าไปร่วมทำกิจกรรม “ผ้าย้อมคราม”
ที่จะจัดเป็นเวที “เดินแบบแฟชั่น”
ดีไซน์ในแบบวัยเก๋าและเจนวายให้เยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์
แล้วผลิตภัณฑ์ครีเอทีฟดีไซน์จะถูกนำไปโชว์บนแคตวอร์คที่ถนนผ้าย้อมครามต่อไป
เป็นเรื่องราวดี ๆ ในท้องถิ่นทั่วอีสาน 3 จังหวัด “นครพนม-สกลนคร-มุกดาหาร”
ครั้งหนึ่งในชีวิตควรจะมีโอกาสไปสัมผัสวิถีความแตกต่างของคนไทยด้วยกัน
ฟังข่าวช่วงต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “ช้อปที่คิงเพาเวอร์ด้วยCash&Gift
Card”
กลุ่มบริษัทคิง
เพาเวอร์ เสนอทางเลือกในการช้อปปิ้งด้วยการซื้อ CASH
CARD และ GIFT
CARD ด้วยวิธีง่าย ๆ
โดยใช้ CASH CARD แทนเงินสดซื้อสินค้า ตามร้านสาขาในเมือง 4 แห่ง คือ รางน้ำ
ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต ได้ในราคาปกติแผนก Watch และ Boutique ที่ร่วมรายการ
ยกเว้น Chanel, Omega และ Rolex เฉพาะบางรุ่น สอบถามสินค้าที่ร่วมรายการได้จากพนักงานในแต่ละร้านได้
อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนมือ หรือใช้ร่วมกับส่วนลดของบัตรสมาชิก
คิง เพาเวอร์ ได้
สำหรับ GIFT CARD
ใช้แทนเงินสดได้ในแผนกที่ระบุไว้ในคิง เพาเวอร์ ในเมืองทั้ง 4 แห่ง โดยจะระบุด้านหลังบัตรถึงวันหมดอายุ 20 มกราคม 2560 แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดของบัตรสมาชิก
คิง เพาเวอร์, รายการส่งเสริมการขายทุกประเภท, สินค้าลดราคาทุกชนิด, บัตรส่วนลด
และคูปองส่วนลดอื่นๆ ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการ Let’s
Sale Up to 90% ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ
และไม่สามารถร่วมรายการผ่อน 0%
เข้าไปดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ www.kingpower.com
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ร่วมกับ
3 หน่วยงานหลัก คือ กรุงเทพมหานคร
กระทรวงวัฒนธรรม และกลุ่มเจ้าของห้างสรรพสินค้าภาคเอกชน
เตรียมความพร้อมจัดงาน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยธีม “แสงเทียนแห่งสยาม”
ที่จุดเทียนพร้อมกับสวดมนต์ข้ามปี โดยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมายืนร้อยต่อกันจากจุดเริ่มบริเวณหน้าสนามหลวง
ต่อเนื่องมาถึงเขตปทุมวัน แยกราชประสงค์ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน
เรื่อยไปจนถึงพร้อมพงษ์ โดยเน้นตามนโยบายของรัฐบาลส่งเสริมการจัดกิจกรรมด้านศาสนา
ศิลปวัฒนธรรม
โดยได้แบ่งความรับผิดชอบการดูแลพื้นที่ออกเป็น
3 ส่วน ส่วนที่ 1 บริเวณท้องสนามหลวง ททท.จับมือกับกรุงเทพมหานคร ส่วนที่ 2
บริเวณเขตปทุมวัน ราชประสงค์ สยามพารากอน และ พร้อมพงษ์ ททท.จับมือกับ
ห้างสรรพสินค้าพารากอนและสมาคมราชประสงค์ ส่วนที่ 3 บริเวณวัดต่างๆ
กระทรวงวัฒนธรรม ดำเนินการทั้งหมด ขณะที่พื้นที่ “ต่างจังหวัด” ทั่วประเทศอีก 76
จังหวัด แต่ละจังหวัดจะพร้อมใจกันจุดเทียนและสวดมนต์พร้อมกันทั้งประเทศ
กิจกรรมสำคัญ จะเริ่มตั้งแต่เวลา
23.45 น.แต่ละพื้นที่ในกรุงเทพมหานครจากสนามหลวงถึงพร้อมพงษ์
จะทยอยให้ประชาชนเข้ามาร่วมงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยกัน
และยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที เวลา
00.00 น.เริ่มสวดมนต์ข้ามปี จากนั้นเวลา 00.09
น.จะจุดเทียนสว่างไสวพร้อมกันทั่วประเทศ
ซึ่งกำลังพิจารณาการยิงลำแสงเลเซอร์จากทางด้านหลังสำนักงานพระราชวัง
เพื่อให้เป็นไฮไลต์ของกรุงเทพฯ
แล้วนำสื่อมวลชนชั้นนำของโลกมาบันทึกภาพเผยแพร่การเข้าสู่ปีใหม่ของประเทศไทยสู่สายตานานาชาติ
เหมือนกับอีกหลายประเทศแถวหน้าของโลกที่จัดทำบันทึกภาพประวัติศาสตร์เคาน์ดาวน์เผยแพร่ไปทั่วทุกมุมโลก
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าทางสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ดอนเมือง
ของ ทอท.ได้จัดเตรียมระบบเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ หรือ Common Use Self Service: CUSS พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ประจำคอยให้คำแนะนำวิธีเช็คอินกับเครื่องดังกล่าว เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและลดความแออัดของปริมาณผู้โดยสารในช่วงฤดูเดินทางหนาแน่น
โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว ขณะนี้ที่สนามบินนานาชาติสุวรรณถูมิ
มีเครื่องเช็คอินอัตโนมัติไว้รองรับผู้โดยสารไว้แล้วถึง 15
สายการบิน ได้แก่
1. สายการบิน
KLM Royal Dutch Airlines 2. สายการบิน Austrian Airlines
3.
สายการบิน Aeroflot Russian Airlines 4. สายการบิน Egyptair
5. สายการบิน Airfrance 6. สายการบิน Delta Airlines 7. สายการบิน El Al Israel Airlines 8. สายการบิน British
Airways
9. สายการบิน
Cathay Pacific Airways 10. สายการบิน Bangkok Airways 11. สายการบิน Turkish
Airlines 12. สายการบิน Philippine Airlines 13. สายการบิน Lufthansa
Airlines 14. สายการบิน Eva Airways และ 15. สายการบิน Thai Airways เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวใช้บริการที่เคาน์เตอร์เช็คอิน
อีกทั้งยังได้จัดเจ้าหน้าที่ล่ามแปลภาษา
7 ภาษา มีการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารชาวจีน อาทิเช่น
การเพิ่มภาษาจีนบนป้ายบอกทาง
เช่นเดียวกับ “บริเวณสายพานรับกระเป๋า”
และอื่นๆ ก็ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้คอยดูแล
ในการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ให้พร้อมบริการอย่างรวดเร็ว ในบริเวณ
เช่น ระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า ระบบลิฟท์ บันไดเลื่อน รถเข็นกระเป๋า เพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถทำงานได้
เต็มประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง หากเกิดเหตุฉุกเฉิน
อุปกรณ์ต่างๆ ขัดข้อง เจ้าหน้าที่ต้องเข้าดำเนินการซ่อมแซมแก้ไขได้ทันที
ดาวเด่นบนถนนมหาราช ท่าเตียน
รอบพระบรมมหาราชวัง
ที่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
หากไม่ได้ไปต้องเสียดายแน่ ๆ ที่ร้าน “เออ Err: Urban Rustic Thai” ซึ่งเป็นอีกผลงานของเชฟโบ และดีแลน จาก Bo.Lan
ออกแบบตกแต่งร้านแห่งนี้ด้วยข้าวของเครื่องใช้น่ารักและโปสเตอร์วินเทจ
ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่มีการตกแต่งแบบไทย
ยิ่งตอนได้นั่งอยู่ในร้านแล้วเสมือนได้ย้อนกลับกลับไปสู่ยุค ‘60s
ภาชนะหลักคือ “จาน” ที่ใช้เสิร์ฟ “เมนูอาหาร”
ก็เป็นเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ในแบบร่วมสมัย เมนูเด็ดต้องห้ามพลาดสั่งทันที
ได้แก่ ไส้อั่วแบบเชียงราย 195
บาท ข้าวทอดยำปลาอินทรีย์แม่กลองเค็ม 140 บาท ผักดอกรวมเสียบไม้ 65
บาท หนังไก่ทอดน้ำปลากรอบๆ เสิร์ฟกับซอสศรีราชา 150 บาท
สำหรับ “เครื่องดื่มค็อกเทล” ในร้าน “เออ Err: Urban Rustic Thai” อันเป็นเอกลักษณความโดดเด่นที่ไม่ซ้ำใคร
โทร.สอบถามได้ที่ 02-622-2291
บริษัท บางจากปิโตรเลียม
จำกัด (มหาชน) ให้สมาชิกบัตรบางจากแก๊สโซฮอลล์คลับ และดีเซลคลับ ได้ใช้บริการเพื่อสุขภาพ เป็นของขวัญช่วงส่งท้ายปี ระหว่างวันนี้-31
ธันวาคม 2559 สามารถแสดงบัตรสมาชิกที่ “สุพรีม ไอเลสิค” คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางจักษุ ได้ทั้ง 2
สาขา ที่สีลมและภูเก็ต เพื่อรับสิทธิพิเศษส่วนลด 30%
สำหรับการรักษาสายตาด้วยวิธีเลสิค (สายตาสั้น,สายตาเอียง และสายตายาวโดยกำเนิด)
ด้วยเทคโนโลยี Standard LASIK เหลือเพียง 35,000 บาท (ปกติ 50,000
บาท) พร้อมรับเพิ่มการตรวจประเมินสภาพตาเพื่อทำเลสิคโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในราคา 1,000 บาท (ปกติ 1,500 บาท)
เพื่อความสะดวกแนะนำให้ผู้สนใจใช้สิทธิโทรนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ Call Center สาขาสีลม 02-631-2112 , 089-205-6326
และสาขาภูเก็ต 076-510-436-7 , 093-328-7487 เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ เว็ปไซต์ : www.supremeilasik.com Facebook : supremeilasik
ไทย แอร์เอเชีย งัด “แพกเกจ สุดคุ้ม”
ประหยัดกว่า เอาใจนักเดินทางช่วงปลายปีระหว่างวันที่
24-30 ธันวาคม 2559
โดยสามารถเลือกซื้อบริการของไทย แอร์เอเชีย รวมกัน 3 อย่าง คือ น้ำหนักกระเป๋าสัมภาระ 20 กก.
อาหารหรือของว่างซึ่งเมนูเสิร์ฟแซนวิช พร้อมเครื่องดื่ม และ ที่นั่งมาตรฐาน รับของที่ระลึกฟรีคือ Luggage Tag สวย ๆ
มอบให้กับผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วเครื่องบินแพกเกจสุดคุ้ม
โดยเมื่อผู้โดยสารขึ้นไปประจำที่นั่งแล้วพนักงานต้อนรับจะนำไปมอบให้ถึงที่นั่ง
ช่วงที่ 2 เวลา 11.45 น.แนะนำให้ไปสำรวจ “นครพนม” นครแห่งความสงบร่มเย็นริมฝั่งโขง
และรู้ทันโรคภัยที่มากับลมหนาว และข่าวรัฐบาลเจียดงบแสนล้านอัดการลงทุนท่องเที่ยว
, ททท.จับมือกับ 9 องค์กร เร่งทำ 10
ชุมชนต้นแบบโครงการ Village to the World และเตรียมไปฉลองคริสต์มาสต์อีฟของโรงแรมในเครือเคปแอนด์แคนทารีทั่วไทย@นครพนมดินแดนร่มเย็นริมฝั่งโขง
จังหวัดนครพนม เป็นอีกหนึ่งพื้นที่
ที่มีความสงบร่มเย็น และเรื่องราวความรุ่งเรืองจากอดีตแห่งศรีโคตรบูรณ์
ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง ที่เปี่ยมล้นด้วยเรื่องราวควรค่าแก่การเยี่ยมชม เริ่มต้นจาก
“อำเภอเมืองนครพนม” จากสนามบินมุ่งหน้าสู่ “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม”
สถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ประทับค้างแรม
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรจังหวัดนครพนม เมื่อ 61 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ พ.ศ.2498
ภายในบริเวณมีอาคาร 2 หลัง เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ 08.00-16.30
น.บริเวณ “อาคารหลังเก่า” จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดง ชั้น 1
เล่าเรื่องราวความเป็นมาของ “นครโคตรบูรณ์” จังหวัดริมแม่น้ำโขงซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต
พร้อมทั้งมีข้าวของเครื่องใช้ยุคโบราณมาจัดวางให้ชม ส่วนชั้น 2
เป็นนิทรรศการภาพต่าง ๆ ขณะที่ “อาคารหลังใหม่” ที่นำเสนอเรื่องราวมากมายเมืองนครพนม
ที่อยู่ไม่ไกลออกไปอีกแห่งที่น่าศึกษาคือ “โบสถ์นักบุญอันนา”
ในอดีตชาวเวียดนามอพยพมาศัยอยู่เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับคริสศาสนาได้แผ่ขยายเข้ามายังชุมชนแถบนี้
ทำให้มีโบสถ์ตั้งอยู่ภายในอำเภอเมืองนครพนมคือ “โบสถ์นักบุญอันนา” หรือโบสถ์วัดแสง
ซึ่งเชื่อมโยงกับชุมชนชาวคริสต์ในอีสาน 3 จังหวัด ได้แก่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร
อีกทั้ง “อำเภอธาตุพนม” ยังเป็นที่ตั้ง
“พระธาตุพนม” อันศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานกำเนิดขึ้นตั้งแต่
พ.ศ.8 ภายในบรรจุพระอุรังคธาตุหรือชิ้นส่วนกระดูกส่วนอกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
หากใครได้มาสักการะอีกทั้งยังเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีวอกและคนเกิดวันอาทิตย์
เมื่อปี 2558 สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำโดยคุณสมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการ
ได้ริเริ่มจัดทำโครงการ “ปฎิบัติบูชาพระธาตุพนม” โดยร่วมมือกับ
“หอจดหมายเหตุพระพุทธทาสอินทปัญโญ” เชิญชวนชาวพุทธจากทุกจังหวัดในอีสานและ สสป.ลาว
มาร่วมสวดมนต์ข้ามคืนรอบบริเวณองค์พระธาตุพนม จากนั้นก็ได้กำหนดให้ “ทุกสัปดาห์ที่
2 ในเดือนธันวาคมของทุกปี” นับจากนี้เป็นต้นไป
เป็นวันนัดพบของชาวพุทธที่จะมาร่วมกิจกรรมปฎิบัติบูชาพระธาตุพนมเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
โดยมีบูรพาจารย์ทั่วแดนอีสานและฝั่ง
สสป.ลาวสลับกันนำสวดต่อเนื่องตลอดทั้งคืนจนถึงเช้าของอีกวัน
ปีนี้จัดสวดมนต์ข้ามคืนงานปฎิบัติบูชาพระธาตุพนมไปเมื่อคืนวันที่ 10
ธันวาคม จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 11 ธันวาคม 2559
ได้รับความสนใจจากชาวพุทธจากทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมาร่วมงานเกือบ 20,000 คน
โดยเฉพาะชาวกาฬสินธุ์เหมารถบัสกันมากว่า 40 คัน อีกทั้งยังมีคนจากภาคอื่น ๆ
เข้ามาร่วมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นยะเยือก 17 องศาเซลเซียส
แต่ด้วยความตั้งใจของทุกคนต่างปักหลักสวดมนต์กันจนถึงเช้า
ภายในพระธาตุพนมยังมี “พิพิธภัณฑ์ธาตุพนม”
รวบรวมของเก่าแก่ตั้งแต่ยอดพระธาตุดั้งเดิมซึ่งเป็นศิลาแล้วเคยหักล้มลงมา
และโบราณวัตถุต่าง ๆ จัดวางอยู่ตรงชั้น 1 และ ชั้น 1 ของอาคาร
นอกจากนี้ในอำเภอธาตุพนม ยังมีประวัติศาสตร์อีกเรื่องในฐานะ “บ้านเกิดของยายตุ้ม” ปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณสี่แยกธาตุพนม ทางไปเรณูนคร
บ้านของหญิงชราวัย 102 ปี ยุคอดีตปี 2498 ครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร
อำเภอธาตุพนม คุณยายตุ้มได้นำดอกบัวมานั่งรอรับเสด็จนั่งรอจนดอกบัวเหี่ยว ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จไปถึงทรงก้มลงจับมือที่ถือดอกบัวแล้วถามคุณยายตุ้มว่า
“คุณยายอายุเท่าไร” ยายตุ้มตอบว่าอายุ
102 ปีแล้ว
ภาพของคุณยายตุ้มปรากฎอยู่ในหนังโฆษณาของ “ปุ๋ยแห่งชาติ”
กระทั่งกลายเป็นภาพจำของคนทั้งประเทศ
ปัจจุบันบ้านของยายตุ้มมีลูกชายชื่อ “บรม จันทนิตย์” กับครอบครัวอาศัยอยู่ บริเวณด้านหน้าหมุ่บ้านขณะนี้มีหน่วยงานตัวแทนส่งเสริมสันติภาพแห่งสหประชาชาติได้มาสร้างประติมากรรมหินแกะสลักภาพในหลวงรัชกาลที่
9 ทรงก้มลงจับมือที่มีดอกบัวของยายตุ้ม เพื่อทำเป็นสัญญลักษณ์ให้ผู้คนได้รำลึกถึง
สำหรับเมืองริมโขงนครพนม
ยังมีมนต์เสน่ห์มากมายให้ค้นหาท้าเที่ยวข้ามโขง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
สินค้าพื้นเมือง ที่พักติดริมแม่น้ำโขง ใกล้ ๆ พระธาตุพนม นั้น สงบ ร่มเย็น
น่าอยู่ จึงขอชวนคนไทยออกมาหาประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวเมืองไทย กันให้มาก ๆ
เพื่อช่วยทำให้วิถีไทยเข้มแข้งยั่งยืนตลอดไป
@แพทย์แนะระวัง2โรคหวัดมากับภัยหนาว
รศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช แนะนำถึงโรคที่มาในฤดูหนาว ได้แก่ 2 โรคหลัก ๆ คือ 1.โรคไข้หวัด ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการสูดอากาศที่มีเชื้อโรคนี้ปนอยู่
อาการประกอบด้วยไอ จาม คัดจมูกน้ำมูกไหล ระคายคอ มีไข้ โดยทั่วไปจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
โรคนี้จะหายได้เองโดยธรรมชาติไม่มีภาวะแทรกซ้อน การดูแลรักษาช่วงที่ไม่สบาย ได้แก่
การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่จำเป็น
ดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำผลไม้
รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล ยาลดน้ำมูก และยาแก้ไอ อย่างไรก็ตาม
การรับประทานยาเหล่านี้ไม่ได้ลดจำนวนวันของอาการไม่สบายลง
2.โรคไข้หวัดใหญ่ จะระบาดใหญ่เป็นประจำในช่วงฤดูหนาว เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) 3 ชนิดด้วยกัน
คือ ชนิดเอ บี และ ซี เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดซีนั้นพบน้อยในวงแคบ และไม่รุนแรง
ส่วนชนิดบีพบเฉพาะในคน ไม่ค่อยทำให้ เกิดอาการ รุนแรง
แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอนั้นพบได้ในคนและสัตว์นานาชนิดสามารถก่อโรคได้รุนแรง
และเป็นปัญหาของโลกเกือบทุกปี
ไข้หวัดใหญ่ในคนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งเกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้วแต่เนื่องจากเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ตลอดเวลาจึงทำให้คนที่เคยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไปแล้วสามารถกลับมาป่วยซ้ำได้อีกและกลุ่มไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก
เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกิดจากเชื้อชนิด เอช1เอ็น1
ส่วนใหญ่โรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงกับคนทั่วๆ ไป
แต่ในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ
ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจวาย เบาหวาน
โรคไตวาย ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้มาก
“การรักษา” เมื่อมีอาการไม่สบาย ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพรินลดไข้
เนื่องจากอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการไรย์ (Rye syndrome) ได้ สิ่งที่สำคัญคือ
การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล ระมัดระวังการติดต่อไปผู้อื่น
เช่น การปิดปากและจมูกเวลาไอจาม ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงคลุกคลีในคนหมู่มาก
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก“รัฐแบ่งงบแสนล้านทุ่มทำท่องเที่ยวครบวงจร”
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า ภายหลัง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายแนวทางการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ
โดยรัฐบาลจะจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 100,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับกลุ่มจังหวัดตามโรดแมฟ
ตามขั้นตอนระหว่างวันที่ 16 - 26 ธันวาคม 2559 กลุ่มจังหวัดได้จัดทำรายละเอียดโครงการ (Value Chain, Project Idea) ที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองเบื้องต้น
โดยมีทีมบูรณาการกลางจากกระทรวง/กรม ที่เกี่ยวข้องลงไปช่วยเขียนโครงการ
และรับผิดชอบเป็นหน่วยดำเนินการ
ล่าสุด กระทรวงมหาดไทย ได้เผยแพร่ตัวอย่างโครงการในรูปแบบห่วงโซ่คุณค่า
เพื่อเป็นข้อมูลนำไปปรับใช้เป็นแนวทางจัดทำโครงการให้ครอบคลุมทั้งต้นทาง กลางทาง
ปลายทาง พุ่งเป้าไปยัง “โครงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) ระดับกลุ่มจังหวัด” โดยกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มจังหวัด
ร่วมมือกับเอกชน และต้องกำหนดแผนกลางทาง เช่น
กิจกรรมพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการท่องเที่ยว พัฒนาธุรกิจใหม่ (Startup) ซึ่งจะต้องทำให้สอดคล้องกับแผนระดับกระทรวง
อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว
อนุรักษ์ทรัพย์สินเชิงวัฒนธรรมในแหล่งท่องเที่ยว
และจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว
เริ่มจาก “แผนระดับต้นทาง” ต้องเป็นแผนของกรมการท่องเที่ยว
กรมศิลปากร และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยในระดับท้องถิ่นมีหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) รับผิดชอบ มีแผนพัฒนามัคคุเทศก์อาสาในพื้นที่ จัดทำเรื่องราว (story) ของแหล่งท่องเที่ยว
พัฒนาสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ของชำรวย และอื่น ๆ “แผนระดับกลางทาง” อาจจะมีแผนพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว
และขึ้นทะเบียนทรัพย์ทางปัญญา และ “แผนปลายทาง”
ทำแผนสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ และจัดโรดโชว์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
ข่าวที่สอง“10องค์กรร่วมเปิดVillage To The World 19ธ.ค.59”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) รายงานว่า ได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนอีก 9
หน่วยงานเดินหน้าโครงการ Village To The World ที่มี พลเอกวุฒินันท์
ลีลายุทธ ประธานโครงการ Village to the World และพลเอกธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร
รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลการท่องเที่ยว เป็นประธานเปิดในวันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2559 ตั้งแต่ 09.00 น.ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ภายในงานมีการจัดนิทรรศการแสดงชุมชนต้นแบบความสำเร็จทางด้านบูรณาการท่องเที่ยวตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถนำต้นแบบขยายผลไปยังชุมชนเครือข่ายในอนาคตต่อไป
โดยมีหน่วยงานหลักเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ได้แก่
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การการเกษตร
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท
เอ็น.ซี.ซี แมเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลอปเม้นท์ จำกัด สายการบินไทย แอร์เอเชีย บางกอกแอร์เวย์ส บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด
พบกับสาระข่าวดี ๆ ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ดำเนินรายการโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน
ติดตามฟังรายการออนไลน์ทางมือถือเข้าไปที่ www.google.com พิมพ์ สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย เลือก FM97.0 หรือทาง www.facebook.com/rauydauykhao
และ www.facebook.com/penroong yaisamsen
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น