ไทยงัดพรบ.ใหม่ปรับใหญ่ธุรกิจเวลเนสสปา
จัดระเบียบผุดมาตรฐานทะลุปีละ3หมื่นล้านทอท.คิกออฟแผนแม่บทขยายสนามบิน20ปี
ททท.จัดเดือนท่องเที่ยวกีฬามวยไทย4ภาค
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์
2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์”
(ฟังสดทางได้มือถือเลือก FM
97.0
หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong และ gurutourza.blogspot.com)
นายกรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย |
นายกรด
โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย
ให้สัมภาษณ์ถึงการปฏิรูปอุตสาหกรรมสุขภาพองค์รวมครั้งใหญ่ในประเทศไทยเป็น Global Trend ที่คนไทยต้องจับตา
จะต้องพัฒนาบริการอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างหลากหลาย
ตามหลักการดูแลสุขภาพจะมีเรื่องกินอาหาร ออกกำลังกาย ฟิตเนส
ทุกวันนี้จะพูดถึงเรื่องสปา สุขภาพองค์กร หรือ Holistic เป็นบริการที่ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะดึงศักยภาพเหล่านี้ออกมาบริการนักท่องเที่ยวได้
ศักยภาพความพร้อมของผู้ประกอบการไทยมีเรื่องดี
ๆ เกิดขึ้น เพราะหลายปีที่ผ่านมาเราได้จัด “มาตรฐาน” สำหรับการให้บริการ
ซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่างทางด้านสุขภาพ ที่เอกชนได้เข้าไปมีส่วนร่วม
“การปรับแก้กฎหมาย”
เพื่อหาทางเปิดประตูให้ผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่ความเป็นเทรนด์สากล
กฎหมายดังกล่าวที่จะนำมาเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรมเวลเนสสปาดีขึ้น
คือ “พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559”
ที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ สาระสำคัญคือ ระบบมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภค
นิยมที่หมายถึง “นักท่องเที่ยว” ที่เข้ามาใช้บริการ การสร้างกฎหมายเพื่อรองรับและการปรับตัวเป็นการ“เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ”
ส่วนการทำประชาสัมพันธ์กฎหมายฉบับนี้มีผลสมบูรณ์ตั้งแต่
27 กันยายน 2559 แต่ในกฎหมายก็มีบทเฉพาะกาลยืดเวลาให้ผู้ประกอบการได้
“เตรียมตัว” มากขึ้น ไม่เฉพาะผู้ประกอบการแต่เป็นผู้ออกกฎหมายที่จะต้องเข้าใจด้วยเช่นกัน
ภายในระยะ 180 วันนับจากวันที่ประกาศใช้
พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 นี้เป็นต้นไป
นับจากเดือนมีนาคมปีนี้เป็นต้นไปจึงต้องติดตามจับตาดูกันว่า
เมื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้แล้วจะสามารถสร้างมาตรฐานได้อย่างไรบ้าง
หลัก ๆ
แล้วผู้ประกอบการจะเปลี่ยนแปลงไปในทางดีที่ขึ้นเมื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้
อย่างแรกคือ “ผู้ให้บริการ” คือ เทอราปิสต์
อาชีพของคนเหล่านี้จะต้องได้รับการเรียนรู้โดยอ้างอิงจาก “หลักสูตรกลาง”
ซึ่งจะไปหาได้จากการจัด “ระเบียบสถานศึกษา” ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตบุคลากร
โดยจะมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการ” ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ดูแล
กำกับมาตรฐานของสถานศึกษานั้น ๆ
เมื่อสถานศึกษามีมาตรฐานคนที่เข้าไปเรียนก็จะได้รับประโยชน์
เมื่อออกมาก็ทำงานด้านการนวดเพื่อสุขภาพให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างอุตสาหกรรมบริการสุขภาพองค์รวมของประเทศ
ขณะเดียวกัน
“ผู้ให้บริการ” จะต้องเลือกจ้างคนมาทำงานอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้มีการ “ขึ้นทะเบียน” ผู้ประกอบการด้วย
เพราะฉะนั้นจะทำให้รู้ “จำนวนผู้ให้บริการ” ผนวกกับ “การจ้างเทอราปิสต์” ก็จะรู้เลยว่าผ่านการอบรมตามหลักสูตรมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
ข้อดีต่าง ๆ
จากการบังคับใช้กฎหมายยังมีอีกหลายส่วน เช่น
ใบอนุญาตผู้ประกอบการแต่ละแห่งต่อไปจะต้องแสดงให้โดยนำมาวางในที่ที่ผู้ใช้บริการสามารถมองเห็นด้วย
เพื่อยืนยันความถูกต้อง
อันเป็นมาตรฐานของ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย”
ที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดระเบียบ
นำกฎหมายมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นระบบกับอุตสาหกรรมบริการเวลเนสสปาของประเทศ
สำหรับ “มูลค่าตลาดเวลเนสสปา”
ของประเทศไทย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงแค่สปา ซึ่งรวมถึงการศึกษา มีโรงเรียน
สปาโปรดักซ์ สมุนไพร อุปกรณ์ เครื่องแบบ หน่วยบริการให้คำปรึกษา
กลายเป็นกระแสสำคัญของโลก มีมูลค่ามหาศาล
ซึ่งต้องวางรากฐานบริการเริ่มต้นด้วยกฎหมายตามที่กล่าวมา
เม็ดเงินรายได้จากอุตสาหกรรมสปา
ตามสถิติของโกลบอลสปาประเทศไทยมีรายได้หมุนเวียนประมาณปีละ 30,000 ล้านบาท
จากทั่วโลกที่มีมากถึง 3.7
ล้านล้านบาท
เมื่อจัดระเบียบปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว
ก็จะทำให้ผู้ใช้บริการมีแรงจูงใจในการกลับมาใช้บริการซ้ำ ๆ ซึ่งจะทำให้
“มูลค่าเพิ่มของรายได้” เพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายควรจะต้องช่วยกันอย่างเต็มที่
ส่วนภารกิจของคุณกรด
ในฐานะทายาทของผู้นำการบุกเบิกเวลเนสสปาเมืองไทยภายใต้แบรนด์ “ชีวาศรม”
ที่ริเริ่มพัฒนารุ่นต่อรุ่นมากว่า 20 ปี จึงพร้อมจะนำร่องผลักดันให้ไทยเป็น
“ศูนย์กลางเวลเนสสปาอาเซียน” โดยการใช้องค์ความรู้และความเข้าใจ
ด้วยกลยุทธ์การเผยแพร่ทั้งทางด้านการประกอบธุรกิจ การให้บริการสุขภาพองค์รวม
ตามคอนเซ็ปต์ที่ต่างชาติหรืออินเตอร์เนชั่นแนลเรียกชีวาศรมว่าเป็น Destination Spa หรือประเทศจุดหมายปลายที่นักเดินทางทั่วโลกต้องการมาใช้บริการ
การเรียนรู้บุคลากร องค์ประกอบหลักจะต้องเรียนรู้ในหลายส่วนที่เกิดขึ้น
ในวันนี้ “ชีวาศรม”
ได้มอบหมายให้ผมเข้ามาทำงานเพื่อสังคมในตำแหน่ง “นายกสมาคมสปาไทย”
ก็เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับทุกฝ่ายได้เข้าใจ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนด้วย
เพราะการลงทุนเดสนิเนชั่นสปาต้องใช้เงินสูงมาก อันเป็นสิ่งที่ตอบโจทก์ผู้ให้บริการ
เพราะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเวลเนสสปา ยอมที่จะ “จ่ายเงินสูงกว่า”
นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ หลายเท่า เพราะเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพ
เปลี่ยนแปลงร่างกายในการชะลอวัย รักษาความเป็นหนุ่มสาว
ทางชีวาศรมยินดีต้อนรับผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้
เพราะเราเองก็มีโรงเรียนสอน “ชีวาศรม อคาเดมี” เปิดมา 10 กว่าปี
ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการรับรองหลักสูตรทางด้าน สปา อาหาร อบรม
บริหารจัดการเวลเนสสปา รีสอร์ต ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาศึกษา เรียนรู้ได้
ปี 2560 จึงเป็นอีกมิติของอุตสาหกรรม “เวลเนสสปา”
เมืองไทย ที่จะมีโอกาสนำกฎหมาย “พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559”
เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างกรอบมาตรฐานให้ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ
พนักงานบริการ และผู้รับบริการ ได้รับประโยชน์จริง ๆ
ฟังข่าวช่วงแรก
ข่าวที่ 1
คิงเพาเวอร์ปั้นแบรนด์ไทยขยายในดิวตี้ฟรี
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ตระหนักถึงผลิตภัณฑ์คนไทย
จึงได้สร้างสรรค์สินค้าหรูหราของคนไทยขึ้นมาจำหน่าย 2 แบรนด์
แบรนด์แรก “วีอาร์เอช” เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก
ที่นำแนวความคิดสนุกสนานมาเป็นลูกเล่นสดใหม่ผสานเข้ากับเรื่องราวของวัฒนธรรมสำคัญต่างๆในเอเชีย
จนได้เป็นของฝากที่สร้างร้อยยิ้มและความประทับใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ทั้งยังได้เผยแพร่เรื่องราวของวัฒนธรรมและสถานที่สำคัญต่างๆ
ผ่านลูกเล่นและการใช้งานของสินค้าราวกับผู้รับได้มาเที่ยวด้วยตนเอง
แบรนด์ที่ 2 แฟชั่นฝีมือดีไซน์เนอร์คนไทยอย่าง VS (Voyage of
Style) เป็นงานออกแบบภายใต้แนวคิด
“แรงบันดาลใจในการเดินทาง” (Inspired Traveling) สร้างสรรค์ผลงานทันสมัยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้ออกแบบมาเพื่อนักท่องเที่ยวที่รักและหลงใหลการเดินทางเป็นพิเศษ
โดยใส่ใจเรื่องการออกแบบและการใช้วัสดุคุณภาพดีและบางเบา สามารถสวมใส่ได้ง่าย
โดยผลิตภัณฑ์ถูกแบ่งออกเป็นสินค้าหลากหลายประเภท อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าพันคอ
เครื่องประดับ
ซึ่งเหมาะจะเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองทุกการใช้งาน
ข่าวที่ 2 “บอร์ดทอท.อนุมัติแผนแม่บท 20 ปีหน้า”
นายประสงค์
พูนธเนศ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่ามติที่ประชุมบอร์ดเดือนกุมภาพันธ์
ได้อนุมัติแผนขยายการใช้งบประมาณลงทุนกว่า 2.2 แสนล้านบาท
ในการพัฒนาท่าอากาศยานของ ทอท. ภายใต้แผนแม่บท 20 ปีหน้า
ดังนี้
1.การปรับขั้นตอนการดำเนินงานในแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
ทอท.ในปีงบประมาณ 2559 คณะกรรมการ
ทอท.ได้เห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง
(ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) โดยมีกรอบวงเงินลงทุนประมาณ
4 แสนล้านบาท และให้ ทอท. เสนอแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6
แห่งให้กระทรวงคมนาคม (คค.) พิจารณาความเหมาะสมก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแนว
ทางการดำเนินการตามแผนแม่บทกำหนดแนวทางการพัฒนาท่าอากาศยานใน
20 ปีข้างหน้า คือในปี 2578
โดยมีการแบ่งการดำเนินการเป็นระยะ
ประกอบด้วย กลุ่มงานพัฒนาด้าน Airside ด้านอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน และด้านระบบสาธารณูปโภค โดยมีขั้นตอนหลักคือ
งานออกแบบ และงานก่อสร้าง ในการพัฒนา แต่ละระยะ
ทอท.จะดำเนินการแยกงานจ้างออกแบบจากโครงการพัฒนาตามแผนแม่บทมาดำเนินการก่อน
เมื่อออกแบบแล้วเสร็จ จึงเสนอรายละเอียดโครงการเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ทอท. กระทรวงคมนาคม (คค.)
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับต่อไป
สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่
2 ทสภ. และโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 สศช.ได้อนุมัติงบประมาณลงทุน
(เพิ่มเติม) ประจำปี 2559 สำหรับการดำเนินการจ้างผู้ออกแบบแล้ว
หลังจากได้รับอนุมัติแผนแม่บทดังกล่าว
ปรากฏว่ามีปัจจัยบางประการที่มีผลกระทบต่อแผนการดำเนินงาน
ตามโครงการ ประกอบกับปริมาณการจราจรทางอากาศได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดการณ์ไว้ตามแผน
ทอท.
จึงเห็นควรปรับแผนและจัดลำดับการขออนุมัติโครงการพัฒนาท่าอากาศยานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ดังนี้
- ปีงบประมาณ 2560
เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่และเชียงใหม่ภายในเดือนสิงหาคม 2560
- ปีงบประมาณ 2560 – 2561
เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองภายในเดือนพฤศจิกายน 2560
- ปีงบประมาณ 2561
เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงรายและภูเก็ตภายในเดือนมิถุนายน 2561
ทั้งนี้ การปรับแผนการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว ยังเป็นไปตามกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ
ทอท. และมีแผนงานการก่อสร้าง ดังนี้
- โครงการพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ระยะที่
1 จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนตุลาคม 2562 - พฤษภาคม 2567
-
โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ระยะที่ 1
จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนตุลาคม 2562 - มิถุนายน 2568
- โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่
3 จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนมีนาคม
2563 - มิถุนายน 2568
- โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงรายระยะที่
1 จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนสิงหาคม
2563 - เมษายน 2565
- โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตระยะที่
2 จะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณเดือนสิงหาคม
2563 - ตุลาคม 2565
คณะกรรมการ ทอท.มีมติอนุมัติการปรับขั้นตอนและรายละเอียดการดำเนินงานในแผนแม่บทการพัฒนา
ท่าอากาศยานก่อนเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานต่อไป
2.
การจัดหาผู้รับจ้างสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
คณะกรรมการ ทอท.อนุมัติให้
ทอท.ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างงานจ้างสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่
2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
โดยวิธีการประกวดแบบ วงเงินงบประมาณในการจัดหาเป็นเงินประมาณ 308,000,000
บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ทสภ. ดำเนินการตามแผนแม่บทพัฒนา
ทสภ.ระยะสั้น (ปี พ.ศ.2559-2564) ซึ่งมติที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.เมื่อวันที่ 23
มีนาคม 2559 ได้เห็นชอบงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ ประจำปี 2559 (เพิ่มเติม) สำหรับงานจ้างสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่
2 ทสภ.วงเงิน 309.441 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่รวมสำรองราคาร้อยละ
10) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ได้อนุมัติงบประมาณจ้างออกแบบดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2559
ข่าวที่ 3 “ททท.จัดเดือนมวยไทยโลกบูมท่องเที่ยวเชิงกีฬา”
นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ได้จัดกิจกรรม
“Amazing Fight” เชิญชวนนักท่องเที่ยวที่สนใจมวยไทยเดินทางมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับมวยไทย
พร้อมกับการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และศิลปโบราณอย่างลึกซึ้งในประเทศไทย
4 ภาค
เพราะขณะนี้มวยไทยเป็นศิลปะและศาสตร์การป้องกันตัวที่ทั่วโลกยอมรับทั้งจากเอเชีย
หรือยุโรป อเมริกา อีกทั้งโครงการ Amazing Fightยังได้ “บัวขาว บัญชาเมฆ”
นักมวยชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์โชว์การออกอาวุธแบบมวยไทยครบเครื่อง กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬามวยไทยให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
การจัด
“Amazing
Fight” มีไฮไลต์ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าร่วม 4 กิจกรรม
ได้แก่ 1.ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาเรียนรู้ศาสตร์อย่างใกล้ชิด
โดยสัมผัสและฝึกมวยกับ บัวขาว บัญชาเมฆ
จะทำหน้าที่ฝึกให้กัลผู้ที่สนใจ 2.เดินทางไปเรียนรู้มวยไทยโบราณใน 4 ภาค ได้แก่ 1.ภาคเหนือ มวยท่าเสา จ.อุตรดิตถ์
2.ภาคอีสาน มวยโคราช จ.นครราชสีมา 3.ภาคกลาง มวยลพบุรี จ.ลพบุรี 4. ภาคใต้ มวยไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และได้ขึ้นสังเวียนชกมวยไทยจริง
3.ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพิธีไหว้ครูมวยไทยโลก
ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่นักมวยไทยต้องไม่พลาด 4.เที่ยวเมืองไทยฟรี
สำหรับผู้สมัครที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมกิจกรรม 20 คน จะได้เที่ยวฟรี
ส่วนผู้ชนะรอบสุดท้าย 4 คน จะได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นแพ็กเกจที่พักในไทย
ททท.ได้เปิดให้ผู้สนใจชาวต่างชาติทั้งชายและหญิง
เข้ามาร่วมสนุกสมัครทางเว็บไซต์ www.tourismthailand.org/festivalexperience ตั้งแต่วันที่
25 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2560
โครงการจะแบ่งการแข่งขันเป็น 3 รอบ รอบที่ 1 คัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบ
20 คน จากผู้สมัครทั้งหมด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ชาย 10 คน ผู้หญิง 10 คน เดินทางมาเรียนมวยไทย
โดยจะประกาศผลผู้ได้เข้ารอบวันที่ 10 มีนาคม 2560 จากนั้นก็จะนำเข้าร่วมงานไหว้ครูมวยไทยกับ
บัวขาว บัญชาเมฆ และร่วมโชว์ในงานพิธีไหว้ครูมวยไทยโลก วันที่
17 มีนาคม 2560 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวและทำกิจกรรมในประเทศไทย
ทางโครงการจะถ่ายทำคลิปอัพโหลดขึ้นเว็บ www.tourismthailand.org/festivalexperience และเปิดให้ผู้ชมร่วมโหวตคนที่ชื่นชอบ
ร่วมลุ้นรับรางวัล ซึ่งผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงที่สุดจะได้รับรางวัล popular vote เป็นแพ็กเกจที่พัก
โดยเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมโหวตให้ผู้แข่งขันที่ชื่นชอบได้ในวันที่ 15 – 24
มีนาคม 2560 เพื่อลุ้นรับรางวัล popular vote และรายชื่อผู้โชคดีภายในวันที่ 25 มีนาคม 2560
รางวัลของผู้เข้าแข่งขัน รางวัลชนะเลิศ แพ็กเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน จาก ศรีพันวา
ภูเก็ต 4 รางวัล รางวัล popular
vote แพ็กเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน จากอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ต 1 รางวัล สำหรับผู้เข้าร่วมโหวต
แพ็กเกจที่พัก 3 วัน 2 คืน จากพุทธรักษา หัวหิน รีสอร์ทอีก 20 รางวัล
ข่าวที่ 4 “ปี’60บางจากลุยลงทุน1.85หมื่นล้าน”
นายชัยวัฒน์
โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560
ตั้งเป้าเงินลงทุนไว้ 18,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 6 ส่วน
ประกอบด้วย งบซ่อมบำรุง 5,000 ล้านบาท งบลงทุนในโครงการต่างๆ 5,000 ล้านบาท
งบดำเนินงานธุรกิจไบโอฟูเอล 3,000 ล้านบาท งบดำเนินลงทุนด้านทรัพยากรอื่นๆ เช่น
ลิเทียม 4,000 ล้านบาท งบการตลาด เช่น การขยายปั๊ม และธุรกิจนอน-ออยล์ 1,000
ล้านบาท และงบวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอีก 500 ล้านบาท
ธุรกิจโรงกลั่นจะขยายกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ย
111,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะปีนี้ไม่มีแผนหยุดซ้อมบำรุงโรงกลั่น คาดจะมีค่าการกลั่นอยู่ในระดับ
6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ผลิตได้ 101,390 บาร์เรลต่อวัน
และมีค่าการกลั่นอยู่ระดับ 5.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี 45 วัน
แต่ยังถือว่ามากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 96,000 บาร์เรลต่อวัน
เนื่องจากมีระบบการจัดการที่ดี
รวมทั้งมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานร่วม
(โค-เจนเนอเรชั่น) เพิ่มอีก 1 แห่งจากเดิมที่มีอยู่ 2 ที่ซื้อมาจาก บมจ. ปตท.
เพื่อใช้ลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำที่เป็นเชื้อเพลิงในธุรกิจได้ประมาณ 20%
จะดำเนินการได้ช่วงเมษายน 2560 ส่วนธุรกิจไบโอฟูเอล และธุรกิจไบโอดีเซลจะจำหน่ายเพิ่มขึ้น
20% หากภาครัฐยังคงสัดส่วนการผสมผลิตภัณฑ์ B100
ในน้ำมันดีเซลที่ 5% การทำธุรกิจไบโอฟูเอล
จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ปรับโครงสร้างรองรับนโยบายอุตสาหกรรมชีวภาพตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์
4.0 ของรัฐบาล
ปี 2559 บมจ.บางจาก มีรายได้
144,705 ล้านบาท เติบโต 3% จากปี 2558 มีกำไรสุทธิ 4,700 ล้านบาท เพิ่ม 15%
มีส่วนแบ่งการตลาดการค้าน้ำมันอันดับ 2 เพิ่ม 0.1% จากปีก่อนเป็น 15.1% นับเป็นรายเดียวในประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจัยหลักมาจากการขยายธุรกิจนอน-ออยล์ โดยเฉพาะสพาร์ ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ชั้นนำจากเนเธอร์แลนด์
สามารถสร้างยอดขายด้านค้าปลีกเติบโตถึง 12.4%
ข่าวที่ 5 “พัฒนาเอกลักษ์ไทยท่าเตียนสู่ตลาดสากล”
เรื่องราวความเป็นมาโครงการ
“พัฒนาพื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง” รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ของ
“สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550 กระทั่งในปี 2560
ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ได้รายงานว่าแนวทาง “พัฒนาพื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง”
เป็นโครงการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารอนุรักษ์บริเวณรอบพระบรมมหาราชวัง
เป็นนโยบายของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มีมาจากการเห็นความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน
และเป็นการสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
เรื่องการอนุรักษ์พื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร
ที่ผ่านมาการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุรักษ์
“ชุมชนตึกแถวถนนหน้าพระลาน ท่าช้าง และท่าเตียน” ถือเป็นการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า
เช่น การทาสีอาคาร การปรับปรุงพื้นผิวถนน
แต่ยังมิได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
โดยเฉพาะการบูรณะซ่อมแซมอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
ซึ่งจะต้องทำเนื่องจากเป็นอาคารที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองมีหน้าที่ต้องทำนุบำรุงและรักษาให้มีสภาพเดิมอยู่เสมอ
ตลอด
10 ปีที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ดำเนินการพัฒนานั้น
ได้ทำอย่างเป็นระบบโดยทำให้อาคาเก่ามีความแตกต่างจากอาคารโดยทั่วไป คือ
คุณค่าความสำคัญด้านสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการที่มักเรียกกันว่า “กระบวนการวางแผนการอนุรักษ์”
เพื่อให้อาคารหน้าพระลาน ท่าช้าง ท่าเตียน
ใช้หลักการอนุรักษ์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากที่สุด
ช่วงที่ 2 ตาม
70 เส้นทางตามรอยพระบาท ไปชม “ต้นกำเนิดผ้าไหมไทยแพรวา
กาฬสินธุ์” พร้อมทั้งมีข้อแนะนำบัณฑิตจบใหม่กับไลฟ์สไตล์การอยู่อย่างมีความสุข
และข่าวการบินที่น่าสนใจ
@เที่ยวศูนย์ฯผู้ไทยแหล่งผ้าไหมแพรวาบ้านโพน
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย
ผ้าไหมแพรว“บ้านโพน ต.บ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ เปิดตลอดทั้งปี เข้าชมได้ทุกวัน
เวลา 08.30-17.30 น.
สำหรับคนรักผ้าไหมต้องบันทึกลงในสมุดเดินทางส่วนตัวไว้เลยว่า
จังหวัดกาฬสินธุ์ มีศูนย์ผลิตผ้าไหมทอมืออันวิจิตรเลื่องชื่อตั้งอยู่ที่ตำบลโพน
ในตัวอำเภอคำม่วง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามถิ่นกำเนิดผ้าไหมแพรวา หรือ
แพรวาราชินีแห่งไหม โดยมีที่มาจากลวดลายพิเศษบรรจงของแพรวา
ซึ่งมีความแตกต่างกันถึง 60 ลาย
จากอดีตทอไหมเพียงหน้าแคบและยาว ทว่าปัจจุบันมีการทอไหมหน้ากว้างเพิ่มขึ้น
และมีให้เลือกหลากหลายลวดลายและขนาดตามใจชอบ
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย
ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน
อยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ โดยริเริ่มโครงการนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 2521 ประกอบไปด้วย บ้านเรือนไทยจำนวน 4 หลัง
และศูนย์พิพิธภัณฑ์ผู้ไทยผ้าไหมแพรวา ช่วยสร้างรายได้ให้กับชาวผู้ไทย และส่งเสริม วัฒนธรรมการทอผ้าไหมที่มีมาอย่างยาวนานให้คงอยู่
หากได้เข้าไปสัมผัสจะพบว่าชาวบ้านโพนมีชีวิตเรียบง่ายดั้งเดิม สุขสงบ
อัธยาศัยไมตรีดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชาวบ้านโพน ไม่แพ้ฝีมือถักทอไหม
ที่ยอดเยี่ยมจนได้รับการยอมรับในวงกว้าง
อาจกล่าวได้ว่านอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้งานหัตถศิลป์
ที่สืบสานกันมาอย่างยาวนาน บ้านโพนยังเหมาะสำหรับการพักผ่อน
นอนโฮมสเตย์สัมผัสวิถีชีวิตชาวผู้ไทยแบบ พอเพียง ฟังเสียงโปงลาง
กินอาหารอีสานบ้านๆ ที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวย้อนยุค
ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากหยุดเวลา หรือชะลอจังหวะชีวิตให้ช้าลง
"
ศูนย์ส่งเสริมผ้าไหมทอมือ
สร้างอาชีพทอผ้าไหมแพรวาของชาวโพน ให้คงอยู่คู่วัฒนธรรมไทย "
เส้นทางท่องเที่ยว
จ.ขอนแก่น-กาฬสินธุ์- ร้อยเอ็ด
วันแรก : ขอนแก่น-กาฬสินธุ์ “ช่วงเช้า” เยี่ยมชมพระธาตุขามแก่น
พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง “ช่วงกลางวัน” พิพิธภัณฑ์สิรินธร
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ สมบูรณ์ที่สุดในอาเซียน เยี่ยมชมพระบรมสารีริกธาตุและกราบพระพุทธนิมิตรเหล็กไหลที่วัดพุทธนิมิตร
หรือวัดภูค่าว เยี่ยมชมพระบรมสารีริกธาตุที่วัดพุทธนิมิตร “ช่วงบ่าย” เยี่ยมชมพระบรมธาตุเจดีย์ฐิตสีลมหาเถรานุสรณ์
ณ วัดรังสีปาลิวัน ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน
วันที่สอง :
กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด “ช่วงเช้า”เยี่ยมชมพระธาตุยาคู
เมืองไม้บาติก OTOP 5 ดาว
ของร้อยเอ็ด “ช่วงบ่าย” เดินทางสู่วัดป่ากุง
ชมความงดงามของเจดีย์หินทรายที่จำลองมาจากเจดีย์บรมพุทโธที่อินโดนีเซีย พร้อมเยี่ยมชมเจดีย์มหาวีราจริยา
นุสรณ์ เจดีย์กลางน้ำที่ใช้ประกอบพิธีพระราชเพลิงสรีระสังขารของหลวงปู่ศรี มหาวีโร
สถานที่เที่ยวห้ามพลาด บ้านเรือนไทยศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทย
ผ้าไหมแพรวา บ้านโพน เลือกซื้อ ผ้าไหมแพรวา หลายขนาด หลากลวดลายหมู่บ้านท่องเที่ยว
OTOPยลถิ่นฐานวัฒนธรรมผู้ไทย
วัดป่ารังสีปาลิวันมีพระบรมธาตุเจดีย์ฐิตสีลมหาเถรานุสรณ์วิจิตรงดงาม
กิจกรรมห้ามพลาด พักผ่อนโฮมสเตย์ สัมผัสวิถีชีวิต ชาวผู้ไทยแบบพอเพียง เรียนรู้การทอผ้าไหมแพรวา
ชมงานหัตถศิลป์ที่สืบสานกันมายาวนาน ของชาวผู้ไทยที่บ้านโพน
สนใจท่องเที่ยว ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมผู้ไทยฯ
โทร. 0-4385-6157
www.sdm.dmr.go.th
การเดินทาง จากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 227 ระยะทาง ประมาณ 70 กม.
@6
ทักษะสำคัญที่บัณฑิตจบใหม่ควรรู้
มีเรื่องราวดี ๆ มาฝากสำหรับบัณฑิตจบใหม่
ในการปรับบุคลิกให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานยุคใหม่ ด้วย 6 ทักษะสำคัญ
1.ความสามารถหลากหลาย
เพิ่มทักษะให้รอบด้านได้
ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ลองเปิดรับโอกาสที่เข้ามา
สุดท้ายอาจจะได้พบว่าเราทำอะไรได้อีกมากมายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น การเริ่มต้นทำงานในบริษัทเล็กๆ
ที่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้การทำงานทุกตำแหน่ง อย่ามองว่าเป็นงานหนักและเหนื่อย
แต่ให้มองว่าเป็นโอกาสที่ดีจะได้เรียนรู้และฝึกตัวเองให้มีความสามารถรอบด้าน
2.การเข้าสังคม
การทำงานร่วมกับคนจำนวนมาก
โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้ง คิดเห็นไม่ตรงกันก็มีได้บ่อย
หากเราเป็นคนปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
ก็ช่วยให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป
ลองทำความเข้าใจถึงความต่างของผู้อื่น และรู้จักปล่อยวางกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
ก็จะช่วยให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสบายใจ
3.การปรับใช้
อย่ายึดติดกับการทำงานในรูปแบบเดิมๆ
เปิดใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมรู้จักนำสิ่งต่างๆ
ที่มีอยู่มาปรับใช้พลิกแพลงให้เข้ากับการทำงาน
โดยดึงสิ่งที่มีอยู่ทั้งทรัพยากรและความสามารถในตัวบุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โอกาสก้าวหน้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
4.การใช้เทคโนโลยี
นับเป็นความโชคดีของเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี
จึงจำเป็นต้องอัพเดทตัวเองให้ทันโลก และพยายามเพิ่มทักษะใหม่ๆ
ด้านการใช้โปรแกรมต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างอาชีพเสริม
หรือเพิ่มรายได้หากรู้จักนำมาใช้ให้ถูกวิธี
5.การคิดวิเคราะห์
ทุกวันนี้เรามีข้อมูลมหาศาลทั้งในโลกออนไลน์
หากรู้ทันข่าวสาร คิดวิเคราหะและมองสถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด
จะเป็นประโยชน์ทั้งการทำงานและกับตัวเอง โดยแนะนำให้พยายามฝึกตั้งคำถาม
ฝึกคิดอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล
6.ภาษา ยุคนี้ต้องบอกว่าใครภาษาดียิ่งได้เปรียบ
โดยเฉพาะการมีภาษาที่ 3 เช่น ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี
และสามารถใข้ติดต่อสื่อสารได้ในระดับภาคธุรกิจจะยิ่งสร้างโอกาสในความก้าวหน้า
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “
นายอาคม
เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ
(พ.ร.บ.) การเดินอากาศ พ.ศ....เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 พ.ศ.2515
ในส่วนกิจการการเดินอากาศและกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการบินพลเรือนขึ้นใหม่ทั้งฉบับ
และช่วงเดือน กรกฎาคม 2560
โครงการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยสากล (Universal Security Audit Programme - USAP)จะเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยสนามบินสุวรรณภูมิ
และดอนเมือง
ส่วนรายละเอียดของร่าง
พ.ร.บ.การเดินอากาศฉบับใหม่ ได้กำหนดให้ครอบคลุมถึงกิจการการบินพลเรือนทุกด้านที่รัฐต้องกำกับดูแลตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
กำหนดฐานอำนาจของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือน
รวมถึงฐานอำนาจของผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และผู้ตรวจสอบด้านการบิน
(Aviation
Inspector)ในการกำกับดูแลกิจการการบินพลเรือน
และกำหนดบทบัญญัติให้เป็นไปตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
(The
International Civil Aviation Organization - ICAO)ใช้ในการตรวจสอบตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight
Audit Programme - USOAP) และโครงการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยสากล
(Universal
Security Audit Programme - USAP) หลังจากนี้จะเสนอพ.ร.บ.ไปยังกฤษฎีกา
และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป
ข่าวที่สอง
“ททท.-เมืองไทยประกัน”ผนึกทำสไมลเจอร์นี่”
นายสาระ ล่ำซำ
กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า
บริษัทได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ยกระดับการส่งเสริมความรักของสถาบันครอบครัวไทยให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยจัดโครงการ "การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และเมืองไทยประกันชีวิต ชวนคุณมาเปิดเส้นทาง Smile Journey ร่วมสัมผัสและเก็บความประทับใจไปกับ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด"
เริ่มมีนาคม-ธันวาคม 2560
ประชาสัมพันธ์เส้นทางการท่องเที่ยว
12 เมืองต้องห้าม...พลาด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.Smile Journey สำหรับกลุ่มครอบครัวและผู้สูงอายุ
มอบแพ็กเกจท่องเที่ยวให้แก่ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการ DRTV เช่น โครงการเมืองไทยวัยเก๋าคุ้มทั่วไทย
(เพื่อผู้สูงอายุ) ผ่านการจับสลากหาผู้โชคดี
2.Smile Journey สำหรับผู้รักสุขภาพ มอบที่พักสุดหรูให้แก่ผู้ชนะการแข่งขันจากโครงการ MTL
Six Packs ซึ่งเป็น Application ที่ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกับเมืองไทยประกันชีวิต
3.Smile Journey สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว มอบตั๋วโดยสารเครื่องบินไป-กลับ
ให้แก่ผู้ที่ติดตามเพจของเมืองไทยประกันชีวิตใน Facebook ที่ชนะการประกวดโพสต์ภาพตัวเองในแหล่งท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบและเขียนข้อความโดนใจ
ข่าวที่สาม “บินไทยงัด4แผนรับมือช่วงซ่อมรันเวย์สุวรรณภูมิ6เดือน”
นางอุษณีย์
แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท
การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เตรียม 4 แผนรองรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะปิดซ่อมทางวิ่ง
(Runway) เป็นบางส่วน
1
ทางวิ่ง (01R/19L) ระหว่าง
3
มีนาคม- 5
พฤษภาคม 2560
ประมาณ 60
วัน
การบินไทยได้จัดเตรียมแผนรองรับโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติการบินเป็นหลัก
4 เรื่อง คือ 1.พิจารณาเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองในแต่ละเที่ยวบินให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรทางอากาศ
2.แผนรองรับกรณีต้องใช้สนามบินสำรอง
3.จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ
เพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ 4.การดูแลผู้โดยสารด้วยการเตรียมเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่ต้องต่อเที่ยวบิน
และแจ้งเตือนให้เผื่อเวลาในการต่อเที่ยวบิน รวมทั้งดูแลทุกเที่ยวบินให้ได้รับความสะดวกสบายสูงสุด
ฟังข่าวทั้งหมดย้อนหลังได้ทาง www.facebook.com/rauydauykhao ,
อ่านข้อมูลเพิ่มได้ที่ gurutourza.blogspot.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น