ไทยนำวิถีไทยพลิกสนามบินภูเก็ตปีไก่
ดึงมวยไทยเปิดเวทีสอนกลางเทอร์มินอล
ปีนดอยสูดโอโซนสะจุก-สะเกี้ยง
เมืองน่าน
ฮือฮา ! พังงาผุดสวนน้ำไดโนซีเวิลด์
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่
2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ
“เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางได้มือถือเลือก FM
97.0 หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong และ gurutourza.blogspot.com)
ช่วงที่ 1 ฟังสัมภาษณ์เจาะลึก
และข่าวขององค์กรต่าง ๆ ที่น่าสนใจ
มนฤดี เกตุพันธ์
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต
|
“คุณมนฤดี เกตุพันธ์”
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.”
ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการถึงแผนงานช่วงเปิดศักราชใหม่ปีระกา 2560 สนามบินภูเก็ตเร่งยกระดับบริการด้วย “โมเดลต้นแบบใหม่ของ ทอท.”
ซึ่งในรอบ 38 ปี
ที่ก่อสร้างไปให้บริการคู่ขนานกันไป
ในช่วงต้อนรับฤดูเดินทางหนาแน่นมีผู้โดยสารวันละ 40,000-45,000 คน ใช้บริการเข้า-ออก “ภูเก็ต”
จังหวัดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลก
ความท้าทายระหว่างนี้ไปจนถึงเดือนมีนาคม
2560 คือ “การวางกลยุทธ์บริหารจัดการ” ปริมาณจราจรเที่ยวบินและผู้โดยสารภาคพื้นดิน
เนื่องจากก่อนหน้านี้ตามแผนปรับปรุงสนามบินได้วางไว้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553-2557
แล้วเพิ่งจะเดินหน้าลงมือปรับปรุงเต็มรูปแบบ
กระทั่งเมื่อกันยายน 2559 เปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
เพิ่มอีก 1 หลัง จากเดิมจะทำเพียงหลังเดียว
ปัจจุบันเมื่อหันหน้าเข้าอาคารจะเห็นสองส่วน คือ ด้านซ้ายในประเทศ
ขวามือเป็นอาคารระหว่างประเทศ
ด้วยขีดความสามารถของพื้นที่สนามบินรองรับได้เต็มที่เฉลี่ยปีละ 6.5 ล้านคน แต่เมื่อปี 2559 มีผู้ใช้บริการเกินเรียบร้อยแล้วเกือบ
13 ล้านคน จึงเกิดความไม่สะดวก จนเมื่อปรับปรุงการก่อสร้างแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนระหว่างอาคารผู้โดยสารในประเทศกับต่างประเทศ
ลดความคับคั่งลงได้บ้าง
แต่ปัญหาขณะนี้คือต้อง
ปิดปรับปรุงอาคารทีละ 1 หลัง
ควบคู่กับการบริการคู่ขนานกันไปด้วย
ซึ่งต่างจากอดีตที่ผ่านมาใช้วิธีปิดปรับปรุงให้แล้วเสร็จก่อนจึงเปิดให้บริการ
ก่อนอื่นจึงต้องขออภัยผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทุกภาคส่วนที่เข้ามาใช้
“อาคารผู้โดยสารในประเทศ” ซึ่งกำลังเร่งปรับปรุงให้สมบูรณ์โดยเร็ว
ช่องทางขาเข้า-ออก จึงอยู่ในชั้นเดียวกัน จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนปีนี้
ครึ่งปีหลังจะใช้ได้อย่างสะดวกมากขึ้น
หลังจากนั้นจะมาปิดส่วนที่สองเพื่อปรับปรุงด้วยเช่นกัน
จึงต้องขอน้อมรับคำแนะนำ ข้อตำหนิต่าง ๆ
ในการแก้ไขหน้างานเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความท้าทายอีกช่วงคือตรุษจีนตั้งแต่เดือนปลายมกราคมจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
2560 มีนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลเข้ามาภูเก็ตมากกว่าทุกเดือน
การให้บริการใน “อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางโซเชียล
มีเดีย จำนวนมาก จึงต้องขอเรียนทุกท่านการใช้ “มาตรการความปลอดภัย”
ในการใช้อุปกรณ์ตรวจสอบสัมภาระและนักเดินทาง ทางด้านสายงานมาตรฐานความปลอดภัย
ทอท.จึงแนะนำให้ยึดมาตรฐานด้วยการตั้ง “ระบบเอ็กซเรย์” ไว้นอกอาคารผู้โดยสาร
เรียกว่าระบบ Terminal Screening
ทำให้เกิดความไม่สะดวกอีกเช่นกัน เพราะแถวเข้าคิวรอจะยาว
ผ่อนคลายปัญหาความเดือดร้อนด้วยการเพิ่มเครื่องเอ็กซเรย์เพิ่มบริเวณชั้น 3 จาก 5 เป็น 6 เครื่อง
ผนวกกับทาง
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.แนะนำให้ไปใช้พื้นที่อาคาร X-Terminal
ชื่อเต็ม ๆ ว่า
“อาคารตรวจบัตรผู้โดยสารนอกอาคารผู้โดยสาร”
ขอความร่วมมือจากสายการบินเช่าเหมาลำที่จัดเที่ยวบินมาในช่วงเทศกาลตรุษจีนไปใช้อาคารดังกล่าวสำหรับเช็คอินนักท่องเที่ยว
ตรวจกระเป๋า เอ็กซเรย์ให้เรียบร้อย แล้วจึงนำกระเป๋าไปส่งให้ทางอาคารระหว่างประเทศ
ผลลัพธ์จากการใช้วิธีดังกล่าว
“บรรเทาความเดือดร้อน” ทั้งการใช้ Terminal Screening ซึ่งเกิดผลบางอย่างที่คาดไม่ถึงนั่นคือนักท่องเที่ยวจีนพึงพอใจระหว่างใช้บริการ
เท่ากับจัดการปัญหาบางส่วนลงได้แล้ว ตอนนี้จึงขอความร่วมมือจาก 2 สายการบินมาใช้ระบบ Terminal Screening ได้แก่ AZU AIR, ROYAL Flight Airlines เป็นของนักท่องเที่ยวรัสเซียเข้าภุเก็ตอันดับสอง
ถึงจะไม่ใช่ตรุษจีนโดยตรงแต่ก็ผ่อนคลายความคับคั่งลงได้ แบ่งผู้โดยสารไปใช้ได้วันละกว่า
2,000 คน ทำให้การรอแถวเอ็กซ์เรย์หน้าอาคารได้
แผนงานรับมือการเดินทางของสนามบินภูเก็ตหลังตรุษจีนวันที่
15 กุมภาพันธ์ 2560 ทางท่าอากาศยานภูเก็ตได้วิเคราะห์ร่วมกันแล้วจะยังคงใช้แนวทางการบรรเทาความเดือดร้อนด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือในอาคารเอ็กซ์เทอร์มินอล
ผ่านช่องทางด่วนเข้าไปสำนักงานคนตรวจเข้าเมือง
ต่อจากนั้นในช่วงสงกรานต์เดือนเมษายนปีนี้
ส่วนแรก การใช้ Terminal Screening
จะทำจนถึงเดือนมีนาคมนี้เท่านั้น ตอนนี้จึงปรับปรุงระบบเป็น Inline
Screening ตามมาตรฐานเดียวกันกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ตั้งแต่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป
จะไม่มีการเอ็กซเรย์กระเป๋าจากหน้าอาคารอีกแล้ว
แต่จะใช้ผ่านเช็คอินลงไปด้านล่างได้เลย จึงน่าจะไม่เกิดความคั่งให้เห็นอีกแล้ว
สำหรับข้อตำหนิร้องเรียนการเข้าแถวรอคิวยาวเพื่อรอเอ็กซ์เรย์
หรือเช็คอินต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต
ทางผู้บริหารและทุกฝ่ายน้อมรับเรื่องดังกล่าว
โดยได้จัดทำโครงการพิเศษเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้โดยสารให้ได้ที่สุด 2 โครงการ คือ 1.HAPPY TO HELP และ
2.HKT LOVE YOU ที่จะเข้าไปช่วยโดยได้หารือกับสายการบินด้วย
ประชุมร่วมกันเมื่อผู้โดยสารจะลงมาก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมงในอาคารในประเทศและระหว่างประเทศ
ทาง
ท่าอากาศยานภูเก็ตจะจัดเจ้าหน้าที่มาช่วยในการบริการและเขียนชื่อทำรายละเอียดให้แก่ผู้โดยสารทุกเที่ยวบิน
ยกป้ายหาผู้โดยสารที่อาจจะคิวรอ จะขออนุญาตลัดคิวมาขึ้นเครื่องให้ทันเวลา
ผ่านเอ็กซเรย์ช่องทางด่วนได้
กิจกรรมประจำปีนี้ที่เคยจัดเป็น
“อีเวนต์พิเศษ” แต่ละปี ช่วง 3 เดือนแรกในหลวงสวรรคาลัยได้งดจัดกิจกรรม
ขณะนี้เริ่มกลับมาจัดใหม่อีกครั้ง โดยได้นำ “วิถีไทยภาคใต้” เปิดให้ชุมชนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมาใช้พื้นที่
อาทิ นวดแผนไทยและทำสปา
ส่งนักศึกษาจากเทคนิคถลางที่เรียนมาทางด้านนี้คอยให้บริการนวดแผนไทยในท่าอากาศยานภูเก็ต
ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยจำนวนมาก ต่อด้วย โครงการ 2
การวาดภาพผ้าบาติก ต่อยอดให้ชุมชนผู้ผลิต
ได้มาโชว์พร้อมกับแนะนำร้านโดยไม่ได้จำหน่ายในสนามบิน
แต่จะมีนักท่องเที่ยวที่สนใจสั่งซื้อโดยตรง
ซึ่งผลตอบรับดีมากมียอดสั่งซื้อดีพอสมควร
ระหว่างนี้จึงจะขยายโครงการเพิ่มมูลค่าให้ชุมชนผ้าบาติกใหม่ในช่วงมีนาคมนี้เป็นต้นไป
ไฮไลต์อีกกิจกรรมคือโครงการ
“HKT LOVE MAUY THAI” ช่วงฤดูท่องเที่ยวหน้าฝนหรือ Green
Season ช่วงเดือนมิถุนายน ปีนี้ เป็นต้นไป
เตรียมจัดสรรพื้นที่ในท่าอากาศยานภูเก็ตเปิดการสาธิตและสอนมวยไทยเบื้องต้นให้กับนักท่องเที่ยวที่สนใจ
เพราะมวยไทยเป็นกีฬาที่ทั่วโลกชื่นชอบ จึงเตรียมจัดเวทีมวยขนาดมินิขึ้นภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
อีกทั้งมีพนักงานของท่าอากาศยานภูเก็ตที่มีความสามารถโดยเป็นแชมป์มวยไทยและพนักงานที่ออกเวรพร้อมจะมาทำกิจกรรม
เชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งสตรีและบุรุษมาเรียนมวยไทยกับเราได้
โดยจัดพาติชั่นพร้อมเสื้อกางเกงมวยไว้ให้เปลี่ยนในการเข้าเรียนวิถีมวยไทยแล้วขึ้นเวทีประลองฝีมือ
“ผู้ชนะ” จะได้เข็มขัดแชมเปี้ยนนำกลับไปเป็นที่ระลึกยังประเทศของตนได้เลย
น่าจะเป็นกิจกรรมที่สนุกอย่างแน่นอน
สำหรับการท่องเที่ยวภูเก็ตช่วงฤดูฝนจะมีกลุ่มตลาดหลักคือ
ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง จำนวนมากกว่า จึงเหมาะจะจัดกิจกรรมสอนมวยไทย สัปดาห์ละ 1-2
ครั้ง
เพื่อร่วมส่งเสริมและต่อยอดการท่องเที่ยวภาพรวมของประเทศในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปยังทั่วโลก
ขณะที่สถานการณ์รายได้ของผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิชย์
ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต (non Aero) สดใส
โดยทางรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายงานธุรกิจ ทอท.ลงพื้นที่มาเมื่อเร็ว ๆ นี้
เพื่อร่วมหารือกับทุกฝ่ายเพิ่มยอดขายหมุนเวียนให้เป็นไปตามเป้าหมายปี 2560 ความเป็นไปได้จะเติบโตเพิ่มสูงกว่าปีที่ผ่านมาเฉลี่ยเกินกว่า 10
%
เปรียบเทียบตัวเลขวันต่อวันของจำนวนผู้โดยสารผ่านเข้าออกซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักมีวันละไม่ต่ำกว่า
40,000-50,000 คน จากจำนวนเที่ยวบินที่รับได้วันละ
210-240 เที่ยว หรือธันวาคม-มกราคม
ของทุกปีจราจรทางอากาศจะสูงเป็นพิเศษวันละเกือบ 300 เที่ยว จึงต้องขอบคุณ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด
ซึ่งทำหน้าที่บริหารจราจรทางอากาศได้อย่างดีเยี่ยม เราทั้งสองฝ่ายก็ทำงานร่วมกัน
ความสำเร็จหรือการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บริการ
ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ในช่วงการใช้ “โมเดลต้นแบบ” ก่อสร้างปรับปรุงไปพร้อม ๆ
กับเปิดให้บริการไปด้วย เพื่อที่จะสร้างต้นแบบการแก้ไขปัญหา อุปสรรค
แล้วนำไปใช้กับอีก 5 สนามบิน ทอท.ในโอกาสต่อไป
เพื่อเพิ่มศักยภาพของ “ประตูประเทศ”
เปิดรับตลาดจากทั่วโลกนำเงินเข้ามาใช้จ่ายทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในอนาคต
5-10 ปีข้างหน้า
ฟังข่าวช่วงแรก
ข่าวที่ 1 “รับฟรีทันทีกระเป๋าลากเมื่อช้อปที่คิงเพาเวอร์”
ทุกครั้งที่เดินทางต่างประเทศ ต้องห้ามพลาดการช้อปในร้านคนไทยด้วยกัน
ของ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” วันนี้ – 28 ก.พ. 2560 เพียงจองสินค้าขาออกที่แผนกน้ำหอม
และเครื่องสำอาง ตั้งแต่ 18,000 บาทขึ้นไป และมารับที่จุดรับสินค้าขาเข้า ที่ คิง
เพาเวอร์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
จำกัดการแจก 1 ใบ ต่อ 1 ใบเสร็จ
สินค้ามีจำนวนจำกัด โปรโมชั่นนี้ไม่สามารถร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ
ให้ทุการช้อปปิ้งของคุณพิเศษกว่าที่เคย
ด้วย "บริการผู้ช่วยช้อปส่วนตัว" พร้อมให้คำปรึกษา และแนะนำสินค้าระหว่างการช้อปได้แล้ววันนี้
ฟรี ทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 10.00 -
20.00 น. ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ สำรองสิทธิ์ล่วงหน้า โทร 1631 กด 7
ข่าวที่ 2 “ทอท.จ่อปี61ตั้งบริษัทลูกทำรปภ.สนามบิน”
นายนิตินัย
ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวคิดที่จะจัดตั้งบริษัทลูกดูแลด้านการรักษาความปลอดภัย
(รปภ.) แบบครบวงจรภายในปี 2561 เพื่อให้บริการในสนามบินด้านหลัก ๆ ได้แก่ งานรักษาความปลอดภัย เอกซเรย์กระเป๋า โดยจะเร่งสรุปความชัดเจนภายในกลางปีนี้
ขั้นตอนต่อจากนั้นจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เนื่องจากที่ผ่านมา ทอท.จ้างบริษัทภายนอกมาทำงานแต่เกิดปัญหาหลายครั้ง
โดยควบคุมได้ยากมาก
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5
ก.พ. 2560
พนักงานบริษัท เอเอสเอ็ม แมเนจเมนท์ จำกัด (ASM) ที่ ทอท.จ้างแรงงานภายนอกด้าน รปภ.ในบริเวณจุดตรวจค้นผู้โดยสารและสัมภาระที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ได้รวมตัวกันประท้วงผู้บริหาร บริษัท ASM และพนักงานบางส่วนได้นัดหยุดการปฏิบัติงาน
ข่าวที่ 3 “ชี้เป้าไทยบุกท่องเที่ยวตามเทรนด์10ปีหน้า”
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดปฐมฤกษ์เรียนหลักสูตร "การบริหารการท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง"
Tourism Management
Program for Executives :TME ณ
โรงแรมเรเนอร์ซองส์
โดยมี “ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์”
อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มาบรรยายในหัวข้อ "เมกะ เทรนด์"
ของโลกและประเทศไทย ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยการสะท้อนภาพรวมของโลกในอนาคตอีก
10 ปีข้างหน้า ปี 2569 (คศ.2025) จะเกิดปรากฎกาณ์ 12 เมกะเทรนด์โลกที่ทุกภาคส่วนของไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดดังนี้
1.สังคมเมืองยุคใหม่ 2.อัจฉริยะคือกรีนใหม่ของโลก 3.แนวโน้มทางสังคมที่จะก้าวเข้าสู่เจนที่แปลกแตกต่างจากปัจจุบัน
4.แนวโน้มทางเทคโนโลยี
ที่ผู้หญิงจะครองโลก 5.การค้าปลีกยุคใหม่
6.นวัตกรรมสู่ความเป็นศูนย์
ภาพเมืองและแนวคิดศูนย์ของโลกจะปรากฏชัดเจนปี 2563
7.การเดินทาง 8.สุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี
ผู้คนจะหันมาใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจเปลี่ยนจากค่ารักษาเป็นค่าคาดการณ์และวินิจฉัยโรค 9.อนาคตของการคมนาคม
10.ธุรกิจรูปแบบใหม่
11.ระยะเวลาของการมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
12.ประเทศในกลุ่ม
BRIC-บราซิล
รัสเซีย จีน จะเป็นผู้เปลี่ยนเกมเศรษฐกิจโลก
ประเทศไทยจึงควรพุ่งเป้าไปยัง
“กำลังซื้อหลัก” ที่จะกลายเป็นส่วนแบ่งตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกหลัก
ๆ ได้แก่
1.นักท่องเที่ยวผมสีเงิน Silver
Hair
จะมีขนาดใหญ่ในตลาด
เป็นกลุ่มผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีเงินจำนวนมาก ส่วนแบ่งตลาดกลุ่มนี้จะอยู่ในยุโรป
และเอเชียมากที่สุด ทวีปละกว่า 23 % และมีความพร้อมเดินทางตลอดเพราะไม่มีภาระ มีความตื่นตัว
โดยจะพึ่งพาบริษัทนำเที่ยว เพื่อไปสู่การท่องเที่ยว
2.GEN
Y Z ที่จะมีพฤติกรรม เป็น I
gen ที่มีลักษณะ Click and Go การให้บริการต้องศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การสื่อสาร
3.Going
Midle class จะพุ่งในปี 2563
หรือ คศ.2030 โดยจะมีมากถึง 4,900 ล้านคน
ซึ่งต้องการความคุ้มค่าในการใช้เงิน อยู่ในเอเชีย แปซิฟิก มากสุด 66%
4.Emering
Destination มีกรุงเทพฯ
รวมอยู่ด้วย ร่วมกับเมืองอื่น ๆ คือ ไทเป โซล
5.OTA
มีมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริการเรื่องอูเบอร์ แอร์ ABN จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจึงจะกระทบกับบริษัทท่องเที่ยว
จึงต้องปรับกลยุทธ์กับเมกะเทนด์ในออนไลน์หรือ customize เข้าไปเลย
6.ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ส่วน “จีน” จะเป็นแชมป์โลกที่ใช้จ่ายเงินสูงสุดปีละกว่า
292,000 แสนล้านสหรัฐ
ดังนั้น “ประเทศไทย” ก็ควรปรับทิศทางพุ่งเป้าพัฒนาการค้าบริการ
4.0 ประกอบด้วย 1.มาตรฐานบริการ นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เติบโตไปพร้อม ๆ กัน 2.การเร่งขับเคลื่อนประเทศไทยในภาคการค้าท่องเที่ยว
ยุคใหม่จึงหันมาเน้นการนำวัฒนธรรมที่หลากหลายตามคอนเซ็ปต์ "ไทยเท่"
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยมาสร้างให้เกิดคุณค่าและมูลค่าในเวทีโลก อย่าง
"มวยไทย" อาหารไทย ประเพณีไทย
ประการสำคัญทุกภาคส่วนต้องนำศักยภาพของกันและกันมาบูรณาการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ด้วยการจัดทำเรื่องราวแต่ละส่วนให้ชัดเจนเพื่อบอกเล่านักท่องเที่ยวทั่วโลก
ขณะนี้จะต้องนำ
"ตัวช่วยขับเคลื่อน" การผลิตอาหารไทย
ก็ใส่ความคิดสร้างสรรให้มีความแตกต่างเข้าไป
ข่าวที่ 4 “บัตรบางจากเซฟคอร์สเรียนปี60”
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด
(มหาชน) ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนด้านการศึกษา จึงได้จับมือกับ อีดียู มอบโปรโมชั่น
3 ต่อ ให้สมาชิกผู้ถือบัตรบางจาก
สามารถส่วนลดคอร์สการเรียน สถาบันกวดวิชาอีดียู ตลอดปีระกา วันนี้- 31 ธ.ค. 60
ส่วนลด 5%
คอร์สกลุ่มสอบเข้า ม.1 , ม.4 , มหาวิทยาลัย
ส่วนลด 10 % คอร์สกลุ่มเพิ่มเกรด
ฟรีวางแผน –
การเรียนและการศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ
ดูรายได้ละเอียดเพิ่มที่เว็บไซต์ : http://www.edu-athome.com/
โทร.082-453-0009
ข่าวที่ 5
“พัฒนาท่าเตียนรับเที่ยวปีระกา”
นางอรนุช อิ่มอารมย์ หัวหน้าฝ่ายอาวุโส
ฝ่ายบริหารงานอนุรักษ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เปิดเผยว่า
เริ่มต้นปีระกา 2560 เริ่มปรับปรุงพัฒนา
“ตลาดท่าเตียน” ต่อเนื่องจากสวนนาคราภิรมย์
ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ตอกเสาเข็มทำพื้นที่ลานจอดรถบัสขนาดใหญ่700 คัน รวมทั้งรถตู้ ช่องจอดจักรยาน ช่องคนพิการ
โดยจะทำให้“ตลาดท่าเตียน”
มีสิ่งแวดล้อมที่ดี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ถูกสุขอนามัย เป็นแม่เหล็กสำคัญดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทยและนานาชาติเข้าเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์และรอบพระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวและโบราณสถานจำนวนมาก
เป็นการจัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง
ต่อเนื่องกว่า 10 ปี
ซึ่งสำนักงานทรัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์ร่วมกับสำนักงานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) ศึกษาแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างอาคารเก่าโดยรอบพื้นที่พระบรมมหาราชวัง โดยพัฒนาต่อจากโซนแรก
คือ อาคารหน้าวังริมถนนพระลาน โซนที่ 2
ท่าช้าง ในช่วงที่ผ่านมา
ช่วงที่ 2 ตามไปเที่ยว 70 เส้นทางตามรอยพระราชดำริ แนะนำการดูแลสุขภาพ ข่าวฮ็อตในรอบสัปดาห์
@สถานีพัฒนาเกษตรที่สูง
บ้านสะจุก-สะเกี้ยง จ.น่าน
ย้อนไปในอดีตน่านประสบปัญหาป่าเสื่อมโทรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่หมู่บ้านสะจุก-สะเกี้ยง ที่อยู่ในเขต ป่าสงวนแห่งชาติดอยภูคา-ผาแดง
ซึ่งปัจจุบันได้รับการพัฒนาเป็น “สถานีพัฒนาเกษตรที่สูง
บ้านสะจุก-สะเกี้ยง จ.น่าน” ตั้งอยู่ที่บ้านสะจุก ม. 7 และบ้านสะเกี้ยง ม. 8
ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญ สถานีพัฒนาเกษตรที่สูงบ้านสะจุก-สะเกี้ยง พัฒนาขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมาย
เพื่อเร่งฟื้นฟู สภาพป่าต้นน้ำบริเวณยอดดอยขุนน่าน ให้มีความสมบูรณ์ ดังเดิม ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมทุกวัน
08.30-17.00
น. ฤดูท่องเที่ยว : สิงหาคม-กันยายน
(เที่ยวฤดูฝนดูนาข้าว) พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ (เที่ยวหน้าหนาว)
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงขึ้นในหมู่บ้าน
เพื่อให้ความรู้เรื่องการทำนาแบบขั้นบันได เพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ
ทำให้เพิ่มผลผลิตและยังรายได้ที่มากขึ้นแก่ชาวบ้านและชาวเขาทุกคน
บรรยากาศอบอุ่นของการมาเยือนสถานีพัฒนาเกษตรที่สูงบ้านสะจุก-สะเกี้ยง
ก็คือภาพชาวบ้านยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข เพราะสามารถทำผลผลิตได้มากขึ้น
ทางโครงการฯ ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชผักเมืองหนาว ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ
ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี, ต้นหม่อนและผักปลอดสารพิษ และยังแนะนำการทำปศุสัตว์ใน ครัวเรือน อย่าง
การเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด แกะ และแพะ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว
นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด
ยิ่งถ้ามาในฤดูเพาะปลูก
จะพบเห็นหุบเขากว้างใหญ่ที่ทำการเกษตรแบบนาขั้นบันไดเป็นระเบียบสวยงาม ด้วยความเป็นภูเขาสูงสภาพอากาศจึงหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี
อาจจะเดินทางลำบากสักนิด แต่ก็เป็นจุดหมายที่ทำให้
ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตพื้นบ้านของชาวเหนืออย่างแท้จริง
ทริปตัวอย่าง 2 วัน 1 คืน เส้นทางท่องเที่ยวจ.น่าน
วันแรก ช่วงเช้า ไปชมทะเลหมอก
ดูดอกภูคาที่อุทยานแห่งชาติดอยภู ช่วงบ่าย บ่อเกลือ ชมการต้มเกลือสินเธาว์แบบโบราณ
ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมบริเวณภูฟ้า ช่วงเย็น รับประทานอาหารเย็นที่ร้านปองชา
วันที่สอง ช่วงเช้า เข้าสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านสะจุก-สะเกี้ยง
ชมวิถีเผ่าลัวะ สวนเกษตรปลอดสารพิษ ช่วงบ่าย เดินทางกลับตัวเมืองน่าน
สถานที่เที่ยวห้ามพลาด ทะเลหมอก
งดงามกลางหุบเขา มักจะเกิดขึ้นยามเช้ามืด เห็นได้เกือบทุกวัน ชมนาขั้นบันได
ไหล่เขาระหว่างการเดินทาง มีนาขั้นบันไดอวดโฉมอยู่เป็นระยะจุดชมวิวช่องเขาขาด
ชมวิวหุบเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล(ระหว่างทางก่อนถึงโครงการ)
กิจกรรมห้ามพลาด
เล่นกับแกะขนฟูแบบใกล้ชิดปราศจากรั้วกั้น
ชิมสตรอว์เบอร์รี ที่ปลูกโดยชาวบ้านในพื้นที่ เป็นผลผลิต ของโครงการ
สนใจท่องเที่ยว สถานีพัฒนาเกษตรที่สูงบ้านสะจุก-สะเกี้ยง
โทร. 08-4818-1008
การเดินทาง จากตัวเมืองวิ่งออกมาทางทางหลวงจังหวัดหมายเลข
1169 วิ่งตามทางไปประมาณ 37 กม. จะสุดทางให้เลี้ยวขวาเข้าถนนลอยฟ้า 1081
อำเภอสันติสุข-อำเภอบ่อเกลือ
ตรงไปจนผ่านอุทยานแห่งชาติขุนน่านแล้วมุ่งตรงไปอีกประมาณ 44 กม.
@ไม่กินอาหารเช้าเสี่ยงเป็น 6 โรคอันตราย
ด้วยสภาพร่างกายของเราที่อดอาหารมาตลอดทั้งคืน
อาหารเช้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกับร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นมื้อที่ให้ประโยชน์ต่างๆ
มากมาย จะทำให้คุณสดชื่น กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง
อีกทั้งยังสามารถไปช่วยกระตุ้นพลังงานสมอง ทำให้มีสมาธิและความจำที่ดีด้วย
แต่ในทางกลับกันถ้าหากเราอดมื้อเช้าจะยิ่งทำให้เสี่ยงต่อโรคต่างๆ ตามมา ดังนี้
1. โรคอ้วน เพราะการอดอาหารมื้อเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
อาจส่งผลให้มื้อต่อๆ ไปกินหนักและเผลอกินของหวานเข้าไปก็เป็นได้
แถมอัตราการเผาผลาญยังลดลงอีกด้วย
2.
โรคเบาหวาน การงดมื้อเช้าทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ซึ่งหากรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ
จะช่วยลดภาวะผิดปกติดังกล่าวที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานได้ถึงร้อยละ 35-50 เลยล่ะ
3.
โรคอัลไซเมอร์ การรับประทานอาหารเช้าจะช่วยไปกระตุ้นพลังให้กับสมองและทำให้มีความจำที่ดีได้
แต่ในทางตรงกันข้ามหากเราอดอาหารมื้อเช้าจะทำให้ร่างกายไม่สดชื่น กระปรี้กระเปร่า
หลงลืม ความจำไม่ดี ไม่มีสมาธิ หากทำเป็นประจำต่อเนื่องนานๆ
อาจนำมาซึ่งโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างแน่นอน
4.
โรคเส้นเลือดในสมอง และโรคหัวใจ
เพราะตอนเช้าหลังจากที่เราตื่นนอนเลือดของเราจะมีความเข้มข้นสูง
ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้
ซึ่งจากผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า
การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวได้
5.
โรคกรดไหลย้อน โรคนี้ปัจจัยหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม
และการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น
บางรายไม่ชอบรับประทานอาหารเช้า แต่หันไปพึ่งพาเครื่องดื่มคาเฟอีน อย่าง กาแฟ ชา
เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ เพียงอย่างเดียว
ซึ่งเครื่องดื่มเหล่านี้จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งออกมามากขึ้น
6.โรคนิ่ว การไม่รับประทานอาหารนานกว่า
14 ชั่วโมง จะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกัน และหากปล่อยทำเป็นประจำไปนานๆ
จะทำให้กลายเป็นก้อนนิ่วได้
ซึ่งการรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะช่วยให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายไม่ให้คอเลสเตอรอลจับตัวกัน
สามารถป้องกันการเกิดโรคนิ่วได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บอร์ดบินไทยตั้งอุษนีย์รักษาการDD”
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม
ประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ามติที่ประชุมคณะกรรมการ
(บอร์ด) แต่งตั้ง “นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว” รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่หน่วยธุรกิจบริการการบิน
ดำรงตำแหน่ง รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD)
อีกตำแหน่งหนึ่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่10 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครแล้ว
9 คน อีกทั้งการบินไทยต้องเร่งปฏิรูปซึ่งเป็นแผนเร่งด่วน
เพื่อประโยชน์สูงสุดจึงจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติหน้าที่ไปพลาง ๆ ก่อน
ส่วนเรื่องความคืบหน้ากรณีบริษัทโรลส์-รอยซ์
แถลงยอมรับต่อสำนักงานปราบปรามการทุจริตของสหราชอาณาจักร (UK Serious Fraud Office: SFO) ว่าจ่ายสินบนในหลายประเทศที่ซื้อขายเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์
รวมถึงประเทศไทยในระหว่างปี 2534 - 2548 มีการบินไทยฯ และพนักงานของบริษัทฯ ด้วย การตรวจสอบจึงใช้วิธีสนับสนุน ประสานการทำงานกับ
ป.ป.ช.อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบเรื่องการจัดหาเครื่องยนต์
และการซ่อมบำรุงดังกล่าว
ข่าวที่สอง “ฮือฮาพังงาผุดสวนน้ำไดโนซีเวิลด์"
นายฉัตรชัย วีระวงศ์
กรรมการผู้จัดการ โครงการ ไดโน ซี เวิลด์ พาร์ค (Dinosea World Park) กล่าวว่า วางแผนเปิดสวนน้ำสไตล์แอดเวนเจอร์แห่งใหม่
“ไดโนซี เวิลด์ พาร์ค” อ.โคกกลอย จ.พังงา มูลค่าการลงทุน
400 ล้านบาท
พื้นที่ขนาด 75
ไร่
อยู่ใกล้สะพานสารสิน และสนามบินภูเก็ต มีพื้นที่โซนสวนน้ำขนาดใหญ่ 54 ไร่
เบื้องต้นแบ่งเป็น 3 โซน
ได้แก่ โซนแรก สไลเดอร์ขนาดใหญ่
3 ตัว สระใหญ่มีเครื่องเล่นเชิงผจญภัยในพื้นที่ 9 ไร่ รวมทั้งมีไฮไลต์หลักคือ เขาตะปู สัญลักษณ์ของพังงา
ซึ่งมีไดโนเสาร์ที่อยู่บริเวณด้านข้างขยับตัวไปมาได้ อีกทั้งบริเวณทางเดินได้ออกแบบให้มีไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ผสมผสานเครื่องเล่น พร้อมระบบ แสง เสียง สี
ที่จัดแสดงพร้อมม่านน้ำพุ ให้สวนน้ำมีสีสันมากยิ่งขึ้น โซนที่
2 บริเวณสวนน้ำยังมีบ่อออนเซ็น รองรับผู้ที่ชื่นชอบบริการแช่น้ำร้อน
สำหรับค่าเข้าสวนน้ำ คนไทย
ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 250 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 950 บาท และเด็ก 850 บาท ส่วนเด็กสูงไม่เกิน
90 ซม. เข้าฟรี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น