ทายาทธุรกิจดิวตี้ฟรีนำไทยเปิดโลกมุมใหม่
คิง เพาเวอร์ทุ่มพันล้านCSR 4 เมกะโปรเจ็กต์
ททท.ชู5เรื่องปี’61ท่องเที่ยว4.0โกย3ล้านล้าน
อิ่มใจได้ชมโครงการส่วนพระองค์บางเบิด
เข้าพรรษาทั่วไทยลุ้นเงินสะพัด6.6พันล้าน
ผู้นำการบินไทยเร่งสาง3เรื่องใหญ่ ก.ค.นี้
ปัดฝุ่นเปิดใช้ใหม่สนามบินโคราชปลายปี’60
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านใน www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังทาง youtube www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 นักธุรกิจรุ่นใหม่ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ประกาศความพร้อมเดินหน้าในฐานะผู้บุกเบิกร้านค้าดิวตี้ฟรีไทยด้วยการคืนประโยชน์สู่สังคมหรือ CSR เต็มรูปแบบภายใต้เมกะโปรเจ็กต์ “KING POWER THAI POWER :พลังคนไทย” กล้าทุ่มกว่า 1,000 ล้านบาท นำ “SPORT POWER : พลังกีฬา” ปูพรมความฝันเยาวชนตามโรงเรียนทั่วประเทศ มีโอกาสเป็นนักเตะชุมชนสู่ฟุตบอลโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า กล้ารุกทำซีเอสอาร์แนวใหม่คู่ขนานอีก 3 โปรเจ็กต์ ดนตรี ชุมชน และสุขภาพ ที่ยั่งยืนให้คนไทยด้วยกัน
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” อธิบายว่า ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 28 ได้วางแผนจัดระบบทำเมกะโปเจ็กต์การพัฒนาธุรกิจเพื่อคืนกำไรสู่สังคม (Corporate Social Resibility : CSR) อย่างเป็นรูปธรรมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและยั่งยืน ด้วยธีมหลักโครงการ "KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย" เริ่มตั้งแต่ ช่วงครึ่งปีหลัง 2560 เป็นต้นไป จะทยอยใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านบาท โดยจะดำเนินการซีเอสอาร์เชิงรุกในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรีคนไทย จะเดินหน้าซีเอสอาร์ 4 หมวดหลัก ได้แก่ 1.SPORT POWER 2.MUSIC POWER 3.COMMUNITY POWER : 4.FOUNDATION HEALTH POWER :
เริ่มจาก หมวดแรก “SPORT POWER : พลังกีฬา” เน้นทางด้านพัฒนากีฬาฟุตบอล ซึ่งมีโอกาสและช่องทางสามารถนำนักเตะของประเทศไทยก้าวไกลไปสู่ฟุตบอลโลกได้ ด้วยการปูพรมตั้งแต่ฐานรากส่งเสริมพัฒนากลุ่มเยาวชนโดยวางแนวทางสร้างความต่อเนื่องครบวงจรทำให้เกิด CSR ยั่งยืนอย่างแท้จริง
โดย “คิง เพาเวอร์” พร้อมแล้วในการลงมือทำกิจกรรมหลัก ๆ นำร่อง 5 ปีแรก ระหว่างปี 2560-2565 จะจัดสรรเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้เป็นต้นไปจะเริ่มสร้างสนามฟุตบอลให้โรงเรียนรอบชุมชนที่มีสาขาร้านค้าดิวตี้ฟรีก่อนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเบื้องต้น 20 สนาม จากนั้นในปีต่อ ๆ ไปจะทยอยทำจนครบทั่วประเทศ โดยตั้งความหวังว่าในช่วงชีวิตของตนเองหรืออาจใช้เวลาราว 10 ปี อยากเห็นฟุตบอลไทยไปบอลโลก ใช้ศักยภาพความสามารถจากโครงการซีเอสอาร์ของคิง เพาเวอร์ ซึ่งจะรณรงค์ประสานความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทำให้เด็กไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง
ตามแผนพัฒนาเชิงรุกกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ จะสนับสนุนพลังกีฬาสานฝันนักฟุตบอลเยาวชนไทยด้วยการทำ 4 ส่วน ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 สร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียม มอบให้โรงเรียนทุกระดับทั้งประถมและมัธยมซึ่งผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์เข้าร่วมโครงการ SPORT POWER เบื้องต้นทำ 20 สนาม ใช้เงินพัฒนาสนามละ 2 ล้านบาท มูลค่ารวมราว 200 ล้านบาท
ส่วนที่ 2 แจกอุปกรณ์ฟุตบอล 1 ล้านลูก ภายในเวลา 5 ปี
ส่วนที่ 3 เปิดคลีนิกฟุตบอล โดยนำนักกีฬารุ่นเก๋าจากสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ผ่านแมชท์การแข่งขันอย่างช่ำชองมาเป็นผู้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้เยาวชนตามโรงเรียนต่าง ๆ เรียนรู้การเป็นก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะที่ดีระดับอาชีพในอนาคต
ส่วนที่ 4 ทำ “เลสเตอร์ อคาเดมี” สร้างสถาบันการฝึกนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนสู่อาชีพระดับอินเตอร์ ขณะนี้มีสถานที่พร้อมแล้วที่จะพัฒนาอยู่ตรงบริเวณบางบ่อ กรุงเทพฯ
จิ๊กซอร์ตัวสำคัญคือ ล่าสุดกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้าไปซื้อทีม “OH-LEUVEN” ดิวิชั่นสองของประเทศเบลเยี่ยม ลูเว่นเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลจากกรุงบรัสเซล เมืองหลวง การเดินทางจากไทยและอังกฤษ ก็สะดวก ประการสำคัญการซื้อครั้งนี้สามารถส่งนักเตะเยาวชนเข้าไปลับแข้ง หาประสบการณ์เรียนรู้ทักษะจากโค้ชต่างชาติ ควบคู่กับการเล่นในสไตล์ยุโรปได้อย่างเต็มที่ เพราะ OH-LEUVEN เป็นทีมฟุตบอลที่เปิดกว้างให้นักเตะนานาชาติเข้าสู่สโมสรได้โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่อง work permit หากแต่เน้นเรื่องความสามารถเป็นหลัก
อีกทั้งภายในเมืองลูเว่นยังมีมหาวิทยาลัยรองรับเด็กนานาชาติกว่า 50,000 คน นับเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรในเมืองที่มีทั้งหมดรวม 100,000 คน เมื่อเด็กไทยได้ไปฝึกฝนทักษะฟุตบอลในเมืองลูเว่นก็จะอยู่ได้อย่างสบายใจเพราะมีเด็กจากนานาชาติเป็นเพื่อนกัน
ดังนั้นจึงสามารถจะทำให้การทำซีเอสอาร์ “นักเตะเยาวชนไทยสู่บอลโลก” ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีความเป็นไปได้สูงมาก ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เริ่มจากล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2560 นักเตะ 4 ใน 16 คน จากโครงการ FOX HUNT รุ่นที่ 1 ซึ่งจบหลักสูตรแล้ว สามารถผ่านการคัดเลือกประกาศรายชื่อเป็นนักเตะของสโมสร OH-LEUVEN ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปยังนักเตะเยาวชนรุ่นต่อไปก็จะได้รับโอกาสในแบบเดียวกัน
นอกจากนี้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังได้วางกลยุทธ์การพัฒนาเยาวชนในประเทศก้าวเข้าสู่วงการกีฬาฟุตบอลอย่างเป็นระบบต่อเนื่องกัน
เมื่อปี 2559 เป็นปีแรกที่ริเริ่มจัด “คิง เพาเวอร์ คัพ 2016” ได้รับความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันถึง 96 ทีม ฤดูกาลแข่งขันจะอยู่ในช่วงกันยายน-ตุลาคม ของทุกปี ส่วน “คิง เพาเวอร์ คัพ ปี 2017” เปิดรับสมัครอยู่ขณะนี้มีทีมสนใจเข้าร่วมถึง 200 ทีม
ขณะเดียวกันก็มีโครงการ “HERO สานฝันปันรัก” ทำติดต่อกันมาแล้ว 3 ปีเปิดโอกาสให้เด็กใน 5 จังหวัดภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง สตูล เข้าร่วมโครงการ ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ได้นำนักกีฬาอายุ 12-13 ปี เดินทางไปร่วมฝึกและเรียนรู้กับโค้ชและนักเตะ เลสเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษื
รวมทั้งมีโครงการพิเศษเฉพาะในการสนับสนุน “น้องพี” เยาวชนที่มากความสามารถทางด้านฟุตบอล ส่งเสริมให้ได้รับการฝึกไปพร้อม ๆ เรียนจนจบระดับอุดมศึกษา
ส่วนซีเอสอาร์อีก 3 หมวด ได้แก่ MUSIC Power : พลังแห่งดนตรี จะใช้สถานที่ “โรงละครอักษรา” และลานกิจกรรมหน้าอาคารคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ) เมื่อการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยพร้อมเปิดโฉมใหม่เดือนตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ในปี 2561 เตรียมจัดแข่งขัน “ซิมโฟนี่ ออสเกรสต้า” นำเยาวชนไทยขึ้นเวทีแข่งขันกับนานาชาติ เพื่อให้เด็กไทยมีอนาคตพร้อมอาชีพ
ส่วน “Community Power : พลังสร้างสรรค์ชุมชน” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ขานรับนโยบายรัฐบาล คัดเลือกสินค้าชุมชนประเภทโอท็อป สินค้าประชารัฐ มาวางจำหน่ายในร้านค้าดิวตี้ฟรีทั้งในสนามบินนานาชาติ สาขาในเมืองท่องเที่ยวทั้งหมด บนเครื่องบิน และดิวตี้ฟรีออนไลน์ เข้าถึงตลาดทั่วโลก ขณะนี้มีสินค้าไทยวางจำหน่ายในดิวตี้ฟรีทั้ง สินค้าแฟชั่น ผลิตภัณฑ์อาหาร/เครื่องดื่ม หัตถกรรม ยารักษาโรค สร้างอัตราการเติบโตปีละประมาณ 12-13 % ของยอดขายแต่ละปี
ขณะที่การทำซีเอสอาร์ “Foundation Health :พลังสร้างสุขภาพ” จะมอบหมายให้ “มูลนิธิ คิง เพาเวอร์” เป็นผู้ดูแล โครงการแรกเตรียมลงทุนตู้อบเด็ก มอบให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อช่วยเหลือชีวิตเด็กและคนทั่วไป
ส่วนแผนธุรกิจเข้าร่วมประมูลสัมปทานใหม่ในท่าอากาศยานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) แต่ละแห่งที่ทยอยหมดสัญญาและเตรียมเปิดให้เอกชนเข้าร่วมแข่งขันเสรีการประมูลบริหารพื้นที่ตามข้อกำหนดของ ทอท.นั้น
“อัยยวัฒน์” กล่าวว่าทางกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจดิวตี้ฟรีในไทยมา 28 ปี พร้อมจะลงสนามแข่งขันตามกติกาทุกขึ้นตอนตามระเบียบของ ทอท.อย่างโปร่งใส เท่าเทียม และสู้ด้วยความสามารถอย่างนักธุรกิจมืออาชีพที่เข้ามารับช่วงดำเนินงานต่อจากยุคของพ่อคือ “วิชัย ศรีวัฒนประภา”
โดยเฉพาะการเมกะโปรเจ็กต์ซีเอสอาร์นับจากนี้ไป จะเป็นบทพิสูจน์ว่าการคืนกำไรจากธุรกิจสู่สังคมของ “คิง เพาเวอร์” เป็นการลงทุนเพื่อการ “ให้สังคม” จากต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ได้รับประโยชน์แบบยั่งยืนอย่างแท้จริง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “ททท.ชู5มุมใหม่ปี’61ท่องเที่ยว4.0โกย3ล้านล้าน”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวของ ททท.ประจำปี 2561 เป็นการท่องเที่ยว 4.0 ให้สำเร็จโดยทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคตของประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างยั่งยืน “Prefered Destination” (P : People, RE : Resource, F : Faciliy, E :Engagement, R :Respon to Safety & Security)
โดยจัดทำให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคแห่งชาติฉบับที่ 12 ระหว่างปี 2560-2564 ใน 10 ยุทธศาสตร์ และเมื่อสิ้นสุดแผนในปี 2564 ท่องเที่ยวจะต้องทำรายได้ติด 1 ใน 7 ของโลก ปีละ 4 ล้านล้านบาทขึ้นไป นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ไทยปีละ 40 ล้านคน และคนไทยเที่ยวในประเทศไม่ต่ำกว่า 200 ล้านคนครั้ง
ส่วนยุทธศาสตร์หลัก ๆ ที่จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับแผนพัฒนาชาติฉบับ 12 คือเรื่องการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ด้วยการทำให้ท่องเที่ยวปี 2561 สร้างรายได้เข้าประเทศ ล้านล้านไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านบาท และสิ้นสุดแผนฉบับดังกล่าวต้องได้ถึง 4 ล้านล้านบาท ควบคู่กับทำอันดับความสามารถทางการแข่งขันเลื่อนจากปัจจุบันอันดับ 30 ไปอยู่อันดับที่ 25 ของโลก มุ่งส่งเสริมการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและพัฒนาท่องเที่ยวด้านต่าง ๆ
ภายใต้การเดินหน้าทำ 5 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
1.เปลี่ยนมุมมอง ในเรื่องสินค้าสู่การให้คุณค่าแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาสัญลักษณ์สู่อัตลักษณ์ เปลี่ยนเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่มุ่งแต่กำไรไปสู่การนำสิ่งดีกลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม
2.โครงสร้างพื้นฐานและความคิดสร้างสรรค์ ต้องทำควบคู่กันในหลายได้ คือ ส่งเสริมกิจกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่มองกระแสความต้องการของตลาดโลกเชิงสุขภาพ เชิงนิเวศ เชิงศึกษาเรียนรู้ เจาะลึกถึงตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ บูรณาการทุกหน่วยงาน “ขจัดจุดอ่อนที่เป็นข้อจำกัด” เช่น สาธารณูปโภค ความพร้อมบุคลากร สุขอนามัย การจราจร ความปลอดภัย สร้างโอกาสแรงจูงใจ พัฒนาการค้าและการลงทุนด้านท่องเที่ยว
สร้างเครือข่ายธุรกิจรายภูมิภาค ให้มีเมือง ชุมชนศูนย์กลางในภูมิภาคที่สำคัญ เพื่อเป็นจุดรับและกระจายให้ถึงระดับท้องถิ่น เปิดเสรีทางการค้า รองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว เปิดโอกาสในการพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านท่องเที่ยว
3.ทำการตลาดสมัยใหม่ และ 4.Tourism Start Up บนพื้นฐานของนวัตกรรม โดยปรับการทำงานนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างสมูรณ์พุ่งเป้าเพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยว ทำตลาดแบบผสมผสาน แบ่งส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวตามความสนใจ สร้างการท่องเที่ยวแบบกระชับความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนกัน
5.เครือข่ายความร่วมมือ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร ที่จะมีผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นโดยไร้เส้นแบ่งทางอายุ (Age Blurring) กลายเป็นกระแส Travelism นำไปสู่เศรษฐกิจแบบแบ่งปันคือ sharing Economy
โดยทำให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมจากการกระจายรายได้สู่ชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีของคนภายในประเทศและระหว่างประเทศ ประการสำคัญต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้การส่งเสริมกลุ่มเมืองท่องเที่ยว ภายใต้ธีม “ท่องเที่ยววิถีไทย” ครอบคลุม การเชื่อมโยงสินค้าโอท็อปประชารัฐ เครือข่ายโลจิสติกส์ ความมั่นคงปลอดภัย และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง
ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์จัดดิวตี้ฟรีเซล9แห่งก.ค.-ส.ค.นี้”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ รายงานว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2560 ตั้งแต่กรกฎาคม เป็นต้นไป ได้จัดแคมเปญDUTY FREE SALE ประจำปี นำสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูมาลดราคาสูงสุด 70% ให้ลูกค้าขาช็อปได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ ที่ คิง เพาเวอร์ ทั้ง 9 สาขา ประกอบด้วย 4 คอมเพล็กซ์ คือ รางน้ำ (Pop-up Store @Pullman), ศรีวารี, พัทยา, ภูเก็ต และในท่าอากาศยาน 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต อยู่ใกล้สาขาไหนเลือกช็อปสาขานั้นได้ทันที
อีกทั้งในแต่ละสาขายังมีแคมเปญโปรโมชั่นสุดพิเศษอื่น ๆ อาทิ ช้อปได้ลุ้นแพกเกจท่องเที่ยวลาส เวกัส สุดเอ็กคลูซีฟ หรือบินฟรีไปชมแมทช์แข่งขันฟุตบอลในทีมพรีเมียร์ลีกที่ฮ่องกง เรื่อยไปจนถึง ส่วนลดน้ำหอมและเครื่องสำอางที่ถูกลงกว่าเดิม พร้อมคูปองส่วนลดเพิ่มเพื่อซื้อสินค้าชิ้นต่อไป
สำหรับวันนี้-28 กรกฎาคม 2560 ที่ “คิง เพาเวอร์ ศรีวารี” มีโปรโมชั่น 8 ศุกร์หรรษา มอบส่วนลดสูงสุด 30% และทุกสัปดาห์ยังได้ลุ้นรับ 50,000 บาท พร้อมแพ็คเกจล่องเรือสำราญ สิงคโปร์ - มาเลเซีย
ข่าวที่ 3 “บางจากหนุนวันธรรมดาเติมE20Sรับแต้มคูณ2”
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ได้สนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศโครงการ “วันธรรมดา น่าเที่ยว” เพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้ตรงสู่ชุมชนทั่วประเทศ ระหว่างวันนี้– 31 ก.ค. 2560 จึงได้จัดรายการพิเศษให้สมาชิกบัตรบางจากแก๊สโซฮอล์คลับ เติมน้ำมันบางจาก เติม E20 S รับคะแนนคูณ2 (มูลค่า 40 สต./ลิตร)
โดยสมาชิกบัตรบางจากแก๊สโซฮอล์คลับ ปกติรับคะแนนสะสมทุก 1 ลิตร ได้รับ 1 คะแนน พิเศษ..เติม E20S รับคะแนนสะสมทุก 1 ลิตร ได้รับ 2 คะแนน
ดูรายละเอียดเพิ่มที่ www.bangchak.co.th
ข่าวที่ 4 “พักวันธรรมดาครึ่งราคาที่อสิตาฯอัมพวา”
สำนักงานภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนให้ เปลี่ยนวันธรรมดาให้ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ ไปยัง “อสิตา อีโค รีสอร์ท อัมพวา” พร้อมมอบราคาห้องพักสำหรับวันอาทิตย์-วันศุกร์ ราคาเริ่มต้นเพียงห้องละ 2,500 บาทถ้วน จากปกติ 5,000 บาท รวมอาหารเช้า 2 คน
ทำเลที่ตั้งของ “อสิตา อีโครีสอร์ต อัมพวา” เป็นสถานที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติบรรยากาศริมคลอง ซึ่งมีเมนูอร่อยพิเศษของ ห้องอาหารอสิตา และกิจกรรมมากมายภายในรีสอร์ท เช่น ตักบาตรพระสงฆ์ทางเรือ ขี่จักรยาน สปา
รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัด อย่าง ตลาดร่มหุบ มีชื่อเสียงโด่งโดนใจนักท่องเที่ยวเมื่อมาถึงสมุทรสงครามต้องแวะมาตลาดแห่งนี้ หรือจะเป็นวัดต่าง ๆ ควรค่าแก่การแวะไปสักการะ ได้แก่ หลวงพ่อบ้านแหลม วัดเพชรสมุทร,โบสถ์ปรกโพธิ์ วัดบางกุ้ง
โทร 089 8662168, 081 9991692, 034 767 333 หรือ www.asitaresort.com, www.facebook.com/asitaresort
ช่วงที่ 2 พากันไปอิ่มใจเมื่อได้เข้าไปเยือน “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด” เรียนรู้ความมหัศจรรย์แห่งศาสตร์พระราชา ทรงพลิกผืนทรายให้กลายเป็นแผ่นดินแห่งการเกษตร แล้วมาสังเกตดูตัวเองด้วย 4 สัญญาณว่าเข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคเครียดหรือไม่ และติดตามข่าวฮ็อตท้ายชั่วโมง “ททท.คาดเข้าพรรษาเงินสะพัดกว่า 6.6 พันล้านบาท /การบินไทยเร่งสาง 3 เรื่องใหญ่-กลับมาเปิดใช้สนามบินโคราชปลายปี’60”
@อิ่มใจในโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด
จูงมือกันไปทำเรื่องดี ๆ ที่มีองค์ความรู้อยู่มากมายใน “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด” ที่หมู่ 5 บ้านน้ำพุ ตำบลปากคอลง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
โครงการนี้มีชื่อเรียกกันติดปากว่า “โครงการส่วนพระองค์บางเบิด” เป็นอีกพื้นที่ซึ่งแม้ดินจะเป็นทรายชายทะเลที่ถูกคลื่นซัดมาทับถมกัน จนกลายสภาพเป็นเนินทราย (Sand Dune) ไม่สามารถทำการเกษตรได้ แต่ด้วยศาสตร์แห่งพระราชาทำให้ผืนดินแห่งนี้ ถูกพลิกฟื้นด้วยพระปรีชาญาณ จนกลายเป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ประการสำคัญยังเป็นแห่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชุมพรด้วย
เมื่อปี 2541 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ กลับจากทรงเยี่ยมพื้นที่จังหวัดชุมพร ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้พัฒนาที่ดินติดทะเลบ้านน้ำพุ ซึ่งเป็นที่ดินส่วนพระองค์ เนื้อที่ 448 ไร่ โดยให้อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเดิม ซึ่งมีสภาพเป็นสันทรายป่าชายหาดพัฒนาเป้นที่พื้นที่เพื่อการเกษตร
และเปิดพื้นที่ตัวอย่างให้เกษตรกรเข้ามาศึกษาหาความรู้ฝึกปฏิบัติงานจนำไปประกอบอาชีพได้ ตั้งแต่การผลิต การดูแลรักษา การจัดจำหน่าย ตลอดจนการทำบัญชี เพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้แก่ราษฎร
ภายในโครงการมีความสวยงามน่าชม อย่างแปลงดอกหน้าวัว ซึ่งใช้วิถีปลูกลงถ่าน เนื่องจากในพื้นที่โครงการพัฒนาส่วนพระองค์เป็นดินทราย ไม่มีอินทรียวัตถุ และโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ มีถ่านไม้ที่ได้จาการเผาเพื่อเก็บน้ำส้มควันไม้ จึงสามารถนำมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด
ซึ่งดอกหน้าวัวของที่ไม่ได้ส่งขายตามตลาดทั่วไป แต่ส่งไปยังสวนจิตรลดาทั้งหมด
ส่วน “กิจกรรม” ที่น่าสนใจสามารถทำได้ในโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด ประกอบด้วย
“กิจกรรมศึกษาดูงาน” สามารถเรียนรู้การฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่เนินทราย แล้วไปชมการอนุรักษความหลากหลายของพันธุ์ไม้ในพื้นที่สันทรายได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงชมงานสาธิตปลูกไม้ตัดดอก โดยเฉพาะดอกหน้าวัวในโรงเพาะชำกางมุ้งขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการป้องกันแมลงศัตรูพืช
การศึกษาตัวอย่างงานการเลี้ยงชะมดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากชะมดเช็ดจะผลิตไขที่สามารถนำไปสกัดเป็นน้ำหอมได้ และขี้ของชะมดสามารถนำมาคั่วเป็นกาแฟที่มีกลิ่นหอมรสชาติอร่อย
หรือจะไปเรียนรู้โครงการปลูกพืชแบบผสมผสาน พร้อมกับชมการสกัดเย็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์
ทุกอย่างล้วนเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ
สนใจนำพนักงานไป “ประชุมเมืองไทย อิ่มใจ ตามรอยพระราชดำริ” ในโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด โทร.089-929-2814
@4 สัญญาณเตือนโรคเครียด
ความเครียดเป็นภัยเงียบ มักเยี่ยมกรายเข้ามาโยเจ้าตัวไม่รู้เสมอ กว่าเราจะพบว่าตนเองเครียดก็กลายเป็นอาการป่วยเสียแล้ว ลองเช็กตัวเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าความเครียดมาเยือนหรือยัง
1. ปวดศีรษะในวันหยุด คุณหมอเอดด์ สคเวตท์ จากศูนย์อาการปวดศีรษะแห่งมหาวิทยาลัยชิงตัน กล่าวว่ามีงานวิจัยพบว่า เมื่อหยุดความตึงเครียดทันทีทันใดมักก่ออาการไมเกรน ฉะนั้น อาการปวดศีรษะในวันหยุดจึงอนุมานได้ว่ามาจากความเครียดจากวันทำงานที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้: พยายามกินอาหารสุขภาพให้ตรงเวลาในวันเสาร์-อาทิตย์
2. ปวดท้องประจำเดือน จากงานวิจัยของศูนย์วิจัยสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ต พบว่า ความเครียดทำให้การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน และผู้ที่เครียดมักมีอาการปวดท้องประจำเดือนมากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่เครียด
วิธีแก้ : ออกกำลังกาย
3. เจ็บเหงือกโดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะนอนกัดฟันก็ได้ เพราะผู้ที่เครียดมักชอบนอนกัดฟัน
วิธีแก้ : พบทันตแพทย์ แจ้งอาการและความสงสัย พร้อมกับขอที่ครอบฟันเพื่อใส่เวลานอน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า 70% ของผู้ที่ใส่ที่ครอบฟันเวลานอน นอกจากคลายอาการเจ็บเหงือกหรือฟันแล้ว ยังหยุดอาการนอนกัดฟันได้ด้วย
4. ฝันแปลก ๆ ดร.โรซาลินด์ คาร์ตไรต์ อาจารย์วิชาจิตวิทยาแห่งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยรัช กล่าวว่า โดยทั่วไปความฝันของคนเรามีแนวโน้มจะเป็นฝันดี ก่อความสุขสดชื่นยามตื่นให้เสมอแต่หากเกิดความเครียด คนเรามักตื่นเนืองๆ ก่อจินตนาการทางลบ กลายเป็นฝันร้าย
วิธีแก้: ควรเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน ฉะนั้น เมื่อพบว่าตนเองเครียด ให้หาสาเหตุและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อสุขภาพดียั่งยืนนาน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ททท.คาดเข้าพรรษาเงินท่องเที่ยวสะพัด 6.6พันล้าน”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่าช่วงหยุดยาวในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ระหว่าง 8-10 กรกฎาคม ททท.คาดว่าจะมีคนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศ 2.14 ล้านคน มีเงินสะพัด 6,680 ล้านบาท มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 62% กระจายในแต่ละภาคดังนี้
ภาคใต้ 1,319 ล้านบาท คนไทยเที่ยว 2.3 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 63.8%
ภาคตะวันออก 1,310 ล้านบาท คนเที่ยว 3.57 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 64.2%
ภาคกลาง 1,230 พันล้านบาท คนเที่ยว 6.83 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 66.8%
ภาคเหนือ 976 ล้านบาท จำนวน 3.18 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 46.92%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 814 ล้านบาท จำนวน 4.45 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 57.46%
คาดการณ์การกระจายได้จังหวัดหลัก ๆ กรุงเทพฯ จะทำรายได้สูงสุด 1,031 พันล้านบาท มีคนเที่ยว 1.05 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 74% อันดับรองลงตามลำดับ ได้แก่ ชลบุรี 658.76 ล้านบาท สงขลา 455.98 ล้านบาท นครราชสีมา 282.58 ล้านบาท และกาญจนบุรี 267 ล้านบาท
ข่าวที่สอง “บินไทยเร่งสางด่วน 3 เรื่องใหญ่ก.ค.นี้”
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยได้เร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ช่วงเดือนกรกฎาคม นี้ 3 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรก เตรียมเข้ารับการตรวจประเมินมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยทางการบินพลเรือน (The Universal Security Audit Programme Continuous Monitoring USAP-CMA) ของประเทศไทย ในฐานะการบินไทยเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจประเมินในโครงการ USAP-CMA ระหว่าง 11-21 กรกฎาคม 2560 โดยจะสนับสนุนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)อย่างเต็มที่เพื่อ ให้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เข้ามาประเมินตามโครงการ USAP-CMA
เรื่องที่ 2 เร่งแก้ไขปัญหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 Dreamliner ตามที่ทางโรลล์รอยซ์แจ้งถึงภาวะขาดแคลนเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น Trent-1000 ซึ่งตรวจพบปัญหา Turbine Blade ในเครื่องยนต์ อาจส่งผลถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน ดังนั้นการบินไทยจะจัดหาเครื่องบินทดแทนไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการบริการผู้โดยสาร เพราะช่วงนี้มีเครื่องบางส่วนของการบินไทยต้องจอดรอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัว คาดจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม และกลับเข้าสู่ภาวะปกติช่วงกันยายน 2560
เรื่องที่ 3 การลงทุนสร้างศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) สนามบินอู่ตะเภา ตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนศึกษารูปแบบและรายละเอียดการร่วมลงทุน รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2560
ตามที่ ร.อ.ท.รณชัย วงศ์ชะอุ่ม หัวหน้าโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน บมจ. การบินไทย ยืนยันว่า เบื้องต้นคาดจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15,000 ล้านบาทบนพื้นที่ 500 ไร่ ส่วนรูปแบบลงทุนนั้นคาดจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคมนี้ ทางแอร์บัสและการบินไทยได้ไปศึกษารายละเอียดหลังลงนามศึกษาการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานแห่งภาคพื้นเอเชียไปเมื่อ 8 มีนาคมที่ผ่านมา
ขั้นตอนเมื่อได้ข้อสรุปแนวทางการลงทุน การบินไทยจะนำแผนทั้งหมดมาสรุปแผนให้ชัดเจนทั้งเรื่อง สัดส่วนการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี ต้นทุน แผนการเงิน และบุคลากร ก่อนที่จะลงนามเซ็นสัญญาร่วมทุนกับแอร์บัสอย่างเป็นทางการช่วงมีนาคม 2561 พร้อมเริ่มงานก่อสร้างทันที
สำหรับศูนย์ซ่อม MRO การบินไทย หากสร้างแล้วเสร็จะรับซ่อมเครื่องบินรุ่นใหม่ เช่น แอร์บัส A350 แอร์บัสA 380 โบอิ้ง 787 โบอิ้ง 777 รวมปีละ 50-60 ลำ แนวโน้มจะสร้างรายได้จากตลาดการซ่อมเครื่องในไทยและเอเชียแปซิฟิคปีละ 1,200 ล้านบาท ปี 2564 จะยกระดับเป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานอันดับ 1 ของโลก เน้นบริการตรงต่อเวลา คุณภาพได้มาตรฐาน ราคาเป็นธรรม ควบคู่กับเพิ่มรายได้ให้ถึงปีละ 2,000 ล้านบาท
ข่าวที่ 4 “ปัดฝุ่นเปิดใช้สนามบินโคราชบินตรงเชียงใหม่/ภูเก็ต”
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจมีนโยบายให้ศึกษาการนำกลับมาใช้ใหม่ในสนามบินนครราชสีมา (โคราช) ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ โดยให้ร่วมกับตัวแทนจังหวัด สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสายการบิน ทำงานร่วมกันแล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2560 จะเปิดให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ขึ้นลงได้ทันที และรองรับผู้โดยสารช่วงชั่วโมงการเดินทางหนาแน่นได้ถึง 300 คน/ชั่วโมง โดยไม่ต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ หรือก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันทาง บริษัท บางกอกเอวิเอชั่นเซ็นเตอร์ จำกัด (BAC) ใช้เป็นศูนย์ฝึกนักเรียนการบินอยู่เป็นประจำ
แนวโน้มมี 2 สายการบินให้ความสนใจเปิดบริการ ได้แก่ นกแอร์ และไทยแอร์เอเชีย ซึ่งพร้อมจะบินไป-กลับ แบบประจำ 2 เส้นทางใหม่ นครราชสีมา สู่ปลายทาง เชียงใหม่ และภูเก็ต
ติดตามฟังรายการเป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM97.0 MHz.
คิง เพาเวอร์ทุ่มพันล้านCSR 4 เมกะโปรเจ็กต์
ททท.ชู5เรื่องปี’61ท่องเที่ยว4.0โกย3ล้านล้าน
อิ่มใจได้ชมโครงการส่วนพระองค์บางเบิด
เข้าพรรษาทั่วไทยลุ้นเงินสะพัด6.6พันล้าน
ผู้นำการบินไทยเร่งสาง3เรื่องใหญ่ ก.ค.นี้
ปัดฝุ่นเปิดใช้ใหม่สนามบินโคราชปลายปี’60
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านใน www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังทาง youtube www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 นักธุรกิจรุ่นใหม่ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ประกาศความพร้อมเดินหน้าในฐานะผู้บุกเบิกร้านค้าดิวตี้ฟรีไทยด้วยการคืนประโยชน์สู่สังคมหรือ CSR เต็มรูปแบบภายใต้เมกะโปรเจ็กต์ “KING POWER THAI POWER :พลังคนไทย” กล้าทุ่มกว่า 1,000 ล้านบาท นำ “SPORT POWER : พลังกีฬา” ปูพรมความฝันเยาวชนตามโรงเรียนทั่วประเทศ มีโอกาสเป็นนักเตะชุมชนสู่ฟุตบอลโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า กล้ารุกทำซีเอสอาร์แนวใหม่คู่ขนานอีก 3 โปรเจ็กต์ ดนตรี ชุมชน และสุขภาพ ที่ยั่งยืนให้คนไทยด้วยกัน
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” อธิบายว่า ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 28 ได้วางแผนจัดระบบทำเมกะโปเจ็กต์การพัฒนาธุรกิจเพื่อคืนกำไรสู่สังคม (Corporate Social Resibility : CSR) อย่างเป็นรูปธรรมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและยั่งยืน ด้วยธีมหลักโครงการ "KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย" เริ่มตั้งแต่ ช่วงครึ่งปีหลัง 2560 เป็นต้นไป จะทยอยใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านบาท โดยจะดำเนินการซีเอสอาร์เชิงรุกในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรีคนไทย จะเดินหน้าซีเอสอาร์ 4 หมวดหลัก ได้แก่ 1.SPORT POWER 2.MUSIC POWER 3.COMMUNITY POWER : 4.FOUNDATION HEALTH POWER :
เริ่มจาก หมวดแรก “SPORT POWER : พลังกีฬา” เน้นทางด้านพัฒนากีฬาฟุตบอล ซึ่งมีโอกาสและช่องทางสามารถนำนักเตะของประเทศไทยก้าวไกลไปสู่ฟุตบอลโลกได้ ด้วยการปูพรมตั้งแต่ฐานรากส่งเสริมพัฒนากลุ่มเยาวชนโดยวางแนวทางสร้างความต่อเนื่องครบวงจรทำให้เกิด CSR ยั่งยืนอย่างแท้จริง
โดย “คิง เพาเวอร์” พร้อมแล้วในการลงมือทำกิจกรรมหลัก ๆ นำร่อง 5 ปีแรก ระหว่างปี 2560-2565 จะจัดสรรเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้เป็นต้นไปจะเริ่มสร้างสนามฟุตบอลให้โรงเรียนรอบชุมชนที่มีสาขาร้านค้าดิวตี้ฟรีก่อนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเบื้องต้น 20 สนาม จากนั้นในปีต่อ ๆ ไปจะทยอยทำจนครบทั่วประเทศ โดยตั้งความหวังว่าในช่วงชีวิตของตนเองหรืออาจใช้เวลาราว 10 ปี อยากเห็นฟุตบอลไทยไปบอลโลก ใช้ศักยภาพความสามารถจากโครงการซีเอสอาร์ของคิง เพาเวอร์ ซึ่งจะรณรงค์ประสานความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทำให้เด็กไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง
ตามแผนพัฒนาเชิงรุกกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ จะสนับสนุนพลังกีฬาสานฝันนักฟุตบอลเยาวชนไทยด้วยการทำ 4 ส่วน ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 สร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียม มอบให้โรงเรียนทุกระดับทั้งประถมและมัธยมซึ่งผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์เข้าร่วมโครงการ SPORT POWER เบื้องต้นทำ 20 สนาม ใช้เงินพัฒนาสนามละ 2 ล้านบาท มูลค่ารวมราว 200 ล้านบาท
ส่วนที่ 2 แจกอุปกรณ์ฟุตบอล 1 ล้านลูก ภายในเวลา 5 ปี
ส่วนที่ 3 เปิดคลีนิกฟุตบอล โดยนำนักกีฬารุ่นเก๋าจากสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ผ่านแมชท์การแข่งขันอย่างช่ำชองมาเป็นผู้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้เยาวชนตามโรงเรียนต่าง ๆ เรียนรู้การเป็นก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะที่ดีระดับอาชีพในอนาคต
ส่วนที่ 4 ทำ “เลสเตอร์ อคาเดมี” สร้างสถาบันการฝึกนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนสู่อาชีพระดับอินเตอร์ ขณะนี้มีสถานที่พร้อมแล้วที่จะพัฒนาอยู่ตรงบริเวณบางบ่อ กรุงเทพฯ
จิ๊กซอร์ตัวสำคัญคือ ล่าสุดกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้าไปซื้อทีม “OH-LEUVEN” ดิวิชั่นสองของประเทศเบลเยี่ยม ลูเว่นเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลจากกรุงบรัสเซล เมืองหลวง การเดินทางจากไทยและอังกฤษ ก็สะดวก ประการสำคัญการซื้อครั้งนี้สามารถส่งนักเตะเยาวชนเข้าไปลับแข้ง หาประสบการณ์เรียนรู้ทักษะจากโค้ชต่างชาติ ควบคู่กับการเล่นในสไตล์ยุโรปได้อย่างเต็มที่ เพราะ OH-LEUVEN เป็นทีมฟุตบอลที่เปิดกว้างให้นักเตะนานาชาติเข้าสู่สโมสรได้โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่อง work permit หากแต่เน้นเรื่องความสามารถเป็นหลัก
อีกทั้งภายในเมืองลูเว่นยังมีมหาวิทยาลัยรองรับเด็กนานาชาติกว่า 50,000 คน นับเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรในเมืองที่มีทั้งหมดรวม 100,000 คน เมื่อเด็กไทยได้ไปฝึกฝนทักษะฟุตบอลในเมืองลูเว่นก็จะอยู่ได้อย่างสบายใจเพราะมีเด็กจากนานาชาติเป็นเพื่อนกัน
ดังนั้นจึงสามารถจะทำให้การทำซีเอสอาร์ “นักเตะเยาวชนไทยสู่บอลโลก” ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีความเป็นไปได้สูงมาก ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เริ่มจากล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2560 นักเตะ 4 ใน 16 คน จากโครงการ FOX HUNT รุ่นที่ 1 ซึ่งจบหลักสูตรแล้ว สามารถผ่านการคัดเลือกประกาศรายชื่อเป็นนักเตะของสโมสร OH-LEUVEN ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปยังนักเตะเยาวชนรุ่นต่อไปก็จะได้รับโอกาสในแบบเดียวกัน
นอกจากนี้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังได้วางกลยุทธ์การพัฒนาเยาวชนในประเทศก้าวเข้าสู่วงการกีฬาฟุตบอลอย่างเป็นระบบต่อเนื่องกัน
เมื่อปี 2559 เป็นปีแรกที่ริเริ่มจัด “คิง เพาเวอร์ คัพ 2016” ได้รับความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันถึง 96 ทีม ฤดูกาลแข่งขันจะอยู่ในช่วงกันยายน-ตุลาคม ของทุกปี ส่วน “คิง เพาเวอร์ คัพ ปี 2017” เปิดรับสมัครอยู่ขณะนี้มีทีมสนใจเข้าร่วมถึง 200 ทีม
ขณะเดียวกันก็มีโครงการ “HERO สานฝันปันรัก” ทำติดต่อกันมาแล้ว 3 ปีเปิดโอกาสให้เด็กใน 5 จังหวัดภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง สตูล เข้าร่วมโครงการ ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ได้นำนักกีฬาอายุ 12-13 ปี เดินทางไปร่วมฝึกและเรียนรู้กับโค้ชและนักเตะ เลสเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษื
รวมทั้งมีโครงการพิเศษเฉพาะในการสนับสนุน “น้องพี” เยาวชนที่มากความสามารถทางด้านฟุตบอล ส่งเสริมให้ได้รับการฝึกไปพร้อม ๆ เรียนจนจบระดับอุดมศึกษา
ส่วนซีเอสอาร์อีก 3 หมวด ได้แก่ MUSIC Power : พลังแห่งดนตรี จะใช้สถานที่ “โรงละครอักษรา” และลานกิจกรรมหน้าอาคารคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ) เมื่อการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยพร้อมเปิดโฉมใหม่เดือนตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ในปี 2561 เตรียมจัดแข่งขัน “ซิมโฟนี่ ออสเกรสต้า” นำเยาวชนไทยขึ้นเวทีแข่งขันกับนานาชาติ เพื่อให้เด็กไทยมีอนาคตพร้อมอาชีพ
ส่วน “Community Power : พลังสร้างสรรค์ชุมชน” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ขานรับนโยบายรัฐบาล คัดเลือกสินค้าชุมชนประเภทโอท็อป สินค้าประชารัฐ มาวางจำหน่ายในร้านค้าดิวตี้ฟรีทั้งในสนามบินนานาชาติ สาขาในเมืองท่องเที่ยวทั้งหมด บนเครื่องบิน และดิวตี้ฟรีออนไลน์ เข้าถึงตลาดทั่วโลก ขณะนี้มีสินค้าไทยวางจำหน่ายในดิวตี้ฟรีทั้ง สินค้าแฟชั่น ผลิตภัณฑ์อาหาร/เครื่องดื่ม หัตถกรรม ยารักษาโรค สร้างอัตราการเติบโตปีละประมาณ 12-13 % ของยอดขายแต่ละปี
ขณะที่การทำซีเอสอาร์ “Foundation Health :พลังสร้างสุขภาพ” จะมอบหมายให้ “มูลนิธิ คิง เพาเวอร์” เป็นผู้ดูแล โครงการแรกเตรียมลงทุนตู้อบเด็ก มอบให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อช่วยเหลือชีวิตเด็กและคนทั่วไป
ส่วนแผนธุรกิจเข้าร่วมประมูลสัมปทานใหม่ในท่าอากาศยานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) แต่ละแห่งที่ทยอยหมดสัญญาและเตรียมเปิดให้เอกชนเข้าร่วมแข่งขันเสรีการประมูลบริหารพื้นที่ตามข้อกำหนดของ ทอท.นั้น
“อัยยวัฒน์” กล่าวว่าทางกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจดิวตี้ฟรีในไทยมา 28 ปี พร้อมจะลงสนามแข่งขันตามกติกาทุกขึ้นตอนตามระเบียบของ ทอท.อย่างโปร่งใส เท่าเทียม และสู้ด้วยความสามารถอย่างนักธุรกิจมืออาชีพที่เข้ามารับช่วงดำเนินงานต่อจากยุคของพ่อคือ “วิชัย ศรีวัฒนประภา”
โดยเฉพาะการเมกะโปรเจ็กต์ซีเอสอาร์นับจากนี้ไป จะเป็นบทพิสูจน์ว่าการคืนกำไรจากธุรกิจสู่สังคมของ “คิง เพาเวอร์” เป็นการลงทุนเพื่อการ “ให้สังคม” จากต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ได้รับประโยชน์แบบยั่งยืนอย่างแท้จริง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “ททท.ชู5มุมใหม่ปี’61ท่องเที่ยว4.0โกย3ล้านล้าน”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวของ ททท.ประจำปี 2561 เป็นการท่องเที่ยว 4.0 ให้สำเร็จโดยทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคตของประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างยั่งยืน “Prefered Destination” (P : People, RE : Resource, F : Faciliy, E :Engagement, R :Respon to Safety & Security)
โดยจัดทำให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคแห่งชาติฉบับที่ 12 ระหว่างปี 2560-2564 ใน 10 ยุทธศาสตร์ และเมื่อสิ้นสุดแผนในปี 2564 ท่องเที่ยวจะต้องทำรายได้ติด 1 ใน 7 ของโลก ปีละ 4 ล้านล้านบาทขึ้นไป นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ไทยปีละ 40 ล้านคน และคนไทยเที่ยวในประเทศไม่ต่ำกว่า 200 ล้านคนครั้ง
ส่วนยุทธศาสตร์หลัก ๆ ที่จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับแผนพัฒนาชาติฉบับ 12 คือเรื่องการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ด้วยการทำให้ท่องเที่ยวปี 2561 สร้างรายได้เข้าประเทศ ล้านล้านไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านบาท และสิ้นสุดแผนฉบับดังกล่าวต้องได้ถึง 4 ล้านล้านบาท ควบคู่กับทำอันดับความสามารถทางการแข่งขันเลื่อนจากปัจจุบันอันดับ 30 ไปอยู่อันดับที่ 25 ของโลก มุ่งส่งเสริมการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและพัฒนาท่องเที่ยวด้านต่าง ๆ
ภายใต้การเดินหน้าทำ 5 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
1.เปลี่ยนมุมมอง ในเรื่องสินค้าสู่การให้คุณค่าแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาสัญลักษณ์สู่อัตลักษณ์ เปลี่ยนเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่มุ่งแต่กำไรไปสู่การนำสิ่งดีกลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม
2.โครงสร้างพื้นฐานและความคิดสร้างสรรค์ ต้องทำควบคู่กันในหลายได้ คือ ส่งเสริมกิจกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่มองกระแสความต้องการของตลาดโลกเชิงสุขภาพ เชิงนิเวศ เชิงศึกษาเรียนรู้ เจาะลึกถึงตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ บูรณาการทุกหน่วยงาน “ขจัดจุดอ่อนที่เป็นข้อจำกัด” เช่น สาธารณูปโภค ความพร้อมบุคลากร สุขอนามัย การจราจร ความปลอดภัย สร้างโอกาสแรงจูงใจ พัฒนาการค้าและการลงทุนด้านท่องเที่ยว
สร้างเครือข่ายธุรกิจรายภูมิภาค ให้มีเมือง ชุมชนศูนย์กลางในภูมิภาคที่สำคัญ เพื่อเป็นจุดรับและกระจายให้ถึงระดับท้องถิ่น เปิดเสรีทางการค้า รองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว เปิดโอกาสในการพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านท่องเที่ยว
3.ทำการตลาดสมัยใหม่ และ 4.Tourism Start Up บนพื้นฐานของนวัตกรรม โดยปรับการทำงานนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างสมูรณ์พุ่งเป้าเพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยว ทำตลาดแบบผสมผสาน แบ่งส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวตามความสนใจ สร้างการท่องเที่ยวแบบกระชับความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนกัน
5.เครือข่ายความร่วมมือ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร ที่จะมีผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นโดยไร้เส้นแบ่งทางอายุ (Age Blurring) กลายเป็นกระแส Travelism นำไปสู่เศรษฐกิจแบบแบ่งปันคือ sharing Economy
โดยทำให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมจากการกระจายรายได้สู่ชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีของคนภายในประเทศและระหว่างประเทศ ประการสำคัญต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้การส่งเสริมกลุ่มเมืองท่องเที่ยว ภายใต้ธีม “ท่องเที่ยววิถีไทย” ครอบคลุม การเชื่อมโยงสินค้าโอท็อปประชารัฐ เครือข่ายโลจิสติกส์ ความมั่นคงปลอดภัย และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง
ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์จัดดิวตี้ฟรีเซล9แห่งก.ค.-ส.ค.นี้”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ รายงานว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2560 ตั้งแต่กรกฎาคม เป็นต้นไป ได้จัดแคมเปญDUTY FREE SALE ประจำปี นำสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูมาลดราคาสูงสุด 70% ให้ลูกค้าขาช็อปได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ ที่ คิง เพาเวอร์ ทั้ง 9 สาขา ประกอบด้วย 4 คอมเพล็กซ์ คือ รางน้ำ (Pop-up Store @Pullman), ศรีวารี, พัทยา, ภูเก็ต และในท่าอากาศยาน 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต อยู่ใกล้สาขาไหนเลือกช็อปสาขานั้นได้ทันที
อีกทั้งในแต่ละสาขายังมีแคมเปญโปรโมชั่นสุดพิเศษอื่น ๆ อาทิ ช้อปได้ลุ้นแพกเกจท่องเที่ยวลาส เวกัส สุดเอ็กคลูซีฟ หรือบินฟรีไปชมแมทช์แข่งขันฟุตบอลในทีมพรีเมียร์ลีกที่ฮ่องกง เรื่อยไปจนถึง ส่วนลดน้ำหอมและเครื่องสำอางที่ถูกลงกว่าเดิม พร้อมคูปองส่วนลดเพิ่มเพื่อซื้อสินค้าชิ้นต่อไป
สำหรับวันนี้-28 กรกฎาคม 2560 ที่ “คิง เพาเวอร์ ศรีวารี” มีโปรโมชั่น 8 ศุกร์หรรษา มอบส่วนลดสูงสุด 30% และทุกสัปดาห์ยังได้ลุ้นรับ 50,000 บาท พร้อมแพ็คเกจล่องเรือสำราญ สิงคโปร์ - มาเลเซีย
ข่าวที่ 3 “บางจากหนุนวันธรรมดาเติมE20Sรับแต้มคูณ2”
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ได้สนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศโครงการ “วันธรรมดา น่าเที่ยว” เพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้ตรงสู่ชุมชนทั่วประเทศ ระหว่างวันนี้– 31 ก.ค. 2560 จึงได้จัดรายการพิเศษให้สมาชิกบัตรบางจากแก๊สโซฮอล์คลับ เติมน้ำมันบางจาก เติม E20 S รับคะแนนคูณ2 (มูลค่า 40 สต./ลิตร)
โดยสมาชิกบัตรบางจากแก๊สโซฮอล์คลับ ปกติรับคะแนนสะสมทุก 1 ลิตร ได้รับ 1 คะแนน พิเศษ..เติม E20S รับคะแนนสะสมทุก 1 ลิตร ได้รับ 2 คะแนน
ดูรายละเอียดเพิ่มที่ www.bangchak.co.th
ข่าวที่ 4 “พักวันธรรมดาครึ่งราคาที่อสิตาฯอัมพวา”
สำนักงานภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนให้ เปลี่ยนวันธรรมดาให้ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ ไปยัง “อสิตา อีโค รีสอร์ท อัมพวา” พร้อมมอบราคาห้องพักสำหรับวันอาทิตย์-วันศุกร์ ราคาเริ่มต้นเพียงห้องละ 2,500 บาทถ้วน จากปกติ 5,000 บาท รวมอาหารเช้า 2 คน
ทำเลที่ตั้งของ “อสิตา อีโครีสอร์ต อัมพวา” เป็นสถานที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติบรรยากาศริมคลอง ซึ่งมีเมนูอร่อยพิเศษของ ห้องอาหารอสิตา และกิจกรรมมากมายภายในรีสอร์ท เช่น ตักบาตรพระสงฆ์ทางเรือ ขี่จักรยาน สปา
รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัด อย่าง ตลาดร่มหุบ มีชื่อเสียงโด่งโดนใจนักท่องเที่ยวเมื่อมาถึงสมุทรสงครามต้องแวะมาตลาดแห่งนี้ หรือจะเป็นวัดต่าง ๆ ควรค่าแก่การแวะไปสักการะ ได้แก่ หลวงพ่อบ้านแหลม วัดเพชรสมุทร,โบสถ์ปรกโพธิ์ วัดบางกุ้ง
โทร 089 8662168, 081 9991692, 034 767 333 หรือ www.asitaresort.com, www.facebook.com/asitaresort
ช่วงที่ 2 พากันไปอิ่มใจเมื่อได้เข้าไปเยือน “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด” เรียนรู้ความมหัศจรรย์แห่งศาสตร์พระราชา ทรงพลิกผืนทรายให้กลายเป็นแผ่นดินแห่งการเกษตร แล้วมาสังเกตดูตัวเองด้วย 4 สัญญาณว่าเข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคเครียดหรือไม่ และติดตามข่าวฮ็อตท้ายชั่วโมง “ททท.คาดเข้าพรรษาเงินสะพัดกว่า 6.6 พันล้านบาท /การบินไทยเร่งสาง 3 เรื่องใหญ่-กลับมาเปิดใช้สนามบินโคราชปลายปี’60”
@อิ่มใจในโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด
จูงมือกันไปทำเรื่องดี ๆ ที่มีองค์ความรู้อยู่มากมายใน “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด” ที่หมู่ 5 บ้านน้ำพุ ตำบลปากคอลง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
โครงการนี้มีชื่อเรียกกันติดปากว่า “โครงการส่วนพระองค์บางเบิด” เป็นอีกพื้นที่ซึ่งแม้ดินจะเป็นทรายชายทะเลที่ถูกคลื่นซัดมาทับถมกัน จนกลายสภาพเป็นเนินทราย (Sand Dune) ไม่สามารถทำการเกษตรได้ แต่ด้วยศาสตร์แห่งพระราชาทำให้ผืนดินแห่งนี้ ถูกพลิกฟื้นด้วยพระปรีชาญาณ จนกลายเป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ประการสำคัญยังเป็นแห่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชุมพรด้วย
เมื่อปี 2541 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ กลับจากทรงเยี่ยมพื้นที่จังหวัดชุมพร ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้พัฒนาที่ดินติดทะเลบ้านน้ำพุ ซึ่งเป็นที่ดินส่วนพระองค์ เนื้อที่ 448 ไร่ โดยให้อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเดิม ซึ่งมีสภาพเป็นสันทรายป่าชายหาดพัฒนาเป้นที่พื้นที่เพื่อการเกษตร
และเปิดพื้นที่ตัวอย่างให้เกษตรกรเข้ามาศึกษาหาความรู้ฝึกปฏิบัติงานจนำไปประกอบอาชีพได้ ตั้งแต่การผลิต การดูแลรักษา การจัดจำหน่าย ตลอดจนการทำบัญชี เพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้แก่ราษฎร
ภายในโครงการมีความสวยงามน่าชม อย่างแปลงดอกหน้าวัว ซึ่งใช้วิถีปลูกลงถ่าน เนื่องจากในพื้นที่โครงการพัฒนาส่วนพระองค์เป็นดินทราย ไม่มีอินทรียวัตถุ และโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ มีถ่านไม้ที่ได้จาการเผาเพื่อเก็บน้ำส้มควันไม้ จึงสามารถนำมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด
ซึ่งดอกหน้าวัวของที่ไม่ได้ส่งขายตามตลาดทั่วไป แต่ส่งไปยังสวนจิตรลดาทั้งหมด
ส่วน “กิจกรรม” ที่น่าสนใจสามารถทำได้ในโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด ประกอบด้วย
“กิจกรรมศึกษาดูงาน” สามารถเรียนรู้การฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่เนินทราย แล้วไปชมการอนุรักษความหลากหลายของพันธุ์ไม้ในพื้นที่สันทรายได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงชมงานสาธิตปลูกไม้ตัดดอก โดยเฉพาะดอกหน้าวัวในโรงเพาะชำกางมุ้งขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการป้องกันแมลงศัตรูพืช
การศึกษาตัวอย่างงานการเลี้ยงชะมดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากชะมดเช็ดจะผลิตไขที่สามารถนำไปสกัดเป็นน้ำหอมได้ และขี้ของชะมดสามารถนำมาคั่วเป็นกาแฟที่มีกลิ่นหอมรสชาติอร่อย
หรือจะไปเรียนรู้โครงการปลูกพืชแบบผสมผสาน พร้อมกับชมการสกัดเย็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์
ทุกอย่างล้วนเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ
สนใจนำพนักงานไป “ประชุมเมืองไทย อิ่มใจ ตามรอยพระราชดำริ” ในโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ บางเบิด โทร.089-929-2814
@4 สัญญาณเตือนโรคเครียด
ความเครียดเป็นภัยเงียบ มักเยี่ยมกรายเข้ามาโยเจ้าตัวไม่รู้เสมอ กว่าเราจะพบว่าตนเองเครียดก็กลายเป็นอาการป่วยเสียแล้ว ลองเช็กตัวเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าความเครียดมาเยือนหรือยัง
1. ปวดศีรษะในวันหยุด คุณหมอเอดด์ สคเวตท์ จากศูนย์อาการปวดศีรษะแห่งมหาวิทยาลัยชิงตัน กล่าวว่ามีงานวิจัยพบว่า เมื่อหยุดความตึงเครียดทันทีทันใดมักก่ออาการไมเกรน ฉะนั้น อาการปวดศีรษะในวันหยุดจึงอนุมานได้ว่ามาจากความเครียดจากวันทำงานที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้: พยายามกินอาหารสุขภาพให้ตรงเวลาในวันเสาร์-อาทิตย์
2. ปวดท้องประจำเดือน จากงานวิจัยของศูนย์วิจัยสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ต พบว่า ความเครียดทำให้การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน และผู้ที่เครียดมักมีอาการปวดท้องประจำเดือนมากเป็นสองเท่าของผู้ที่ไม่เครียด
วิธีแก้ : ออกกำลังกาย
3. เจ็บเหงือกโดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะนอนกัดฟันก็ได้ เพราะผู้ที่เครียดมักชอบนอนกัดฟัน
วิธีแก้ : พบทันตแพทย์ แจ้งอาการและความสงสัย พร้อมกับขอที่ครอบฟันเพื่อใส่เวลานอน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า 70% ของผู้ที่ใส่ที่ครอบฟันเวลานอน นอกจากคลายอาการเจ็บเหงือกหรือฟันแล้ว ยังหยุดอาการนอนกัดฟันได้ด้วย
4. ฝันแปลก ๆ ดร.โรซาลินด์ คาร์ตไรต์ อาจารย์วิชาจิตวิทยาแห่งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยรัช กล่าวว่า โดยทั่วไปความฝันของคนเรามีแนวโน้มจะเป็นฝันดี ก่อความสุขสดชื่นยามตื่นให้เสมอแต่หากเกิดความเครียด คนเรามักตื่นเนืองๆ ก่อจินตนาการทางลบ กลายเป็นฝันร้าย
วิธีแก้: ควรเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน ฉะนั้น เมื่อพบว่าตนเองเครียด ให้หาสาเหตุและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อสุขภาพดียั่งยืนนาน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ททท.คาดเข้าพรรษาเงินท่องเที่ยวสะพัด 6.6พันล้าน”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่าช่วงหยุดยาวในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ระหว่าง 8-10 กรกฎาคม ททท.คาดว่าจะมีคนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศ 2.14 ล้านคน มีเงินสะพัด 6,680 ล้านบาท มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 62% กระจายในแต่ละภาคดังนี้
ภาคใต้ 1,319 ล้านบาท คนไทยเที่ยว 2.3 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 63.8%
ภาคตะวันออก 1,310 ล้านบาท คนเที่ยว 3.57 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 64.2%
ภาคกลาง 1,230 พันล้านบาท คนเที่ยว 6.83 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 66.8%
ภาคเหนือ 976 ล้านบาท จำนวน 3.18 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 46.92%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 814 ล้านบาท จำนวน 4.45 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 57.46%
คาดการณ์การกระจายได้จังหวัดหลัก ๆ กรุงเทพฯ จะทำรายได้สูงสุด 1,031 พันล้านบาท มีคนเที่ยว 1.05 แสนคน อัตราเข้าพักเฉลี่ย 74% อันดับรองลงตามลำดับ ได้แก่ ชลบุรี 658.76 ล้านบาท สงขลา 455.98 ล้านบาท นครราชสีมา 282.58 ล้านบาท และกาญจนบุรี 267 ล้านบาท
ข่าวที่สอง “บินไทยเร่งสางด่วน 3 เรื่องใหญ่ก.ค.นี้”
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยได้เร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ช่วงเดือนกรกฎาคม นี้ 3 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรก เตรียมเข้ารับการตรวจประเมินมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยทางการบินพลเรือน (The Universal Security Audit Programme Continuous Monitoring USAP-CMA) ของประเทศไทย ในฐานะการบินไทยเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจประเมินในโครงการ USAP-CMA ระหว่าง 11-21 กรกฎาคม 2560 โดยจะสนับสนุนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)อย่างเต็มที่เพื่อ ให้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เข้ามาประเมินตามโครงการ USAP-CMA
เรื่องที่ 2 เร่งแก้ไขปัญหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 Dreamliner ตามที่ทางโรลล์รอยซ์แจ้งถึงภาวะขาดแคลนเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น Trent-1000 ซึ่งตรวจพบปัญหา Turbine Blade ในเครื่องยนต์ อาจส่งผลถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน ดังนั้นการบินไทยจะจัดหาเครื่องบินทดแทนไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการบริการผู้โดยสาร เพราะช่วงนี้มีเครื่องบางส่วนของการบินไทยต้องจอดรอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัว คาดจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม และกลับเข้าสู่ภาวะปกติช่วงกันยายน 2560
เรื่องที่ 3 การลงทุนสร้างศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) สนามบินอู่ตะเภา ตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนศึกษารูปแบบและรายละเอียดการร่วมลงทุน รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2560
ตามที่ ร.อ.ท.รณชัย วงศ์ชะอุ่ม หัวหน้าโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน บมจ. การบินไทย ยืนยันว่า เบื้องต้นคาดจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15,000 ล้านบาทบนพื้นที่ 500 ไร่ ส่วนรูปแบบลงทุนนั้นคาดจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคมนี้ ทางแอร์บัสและการบินไทยได้ไปศึกษารายละเอียดหลังลงนามศึกษาการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานแห่งภาคพื้นเอเชียไปเมื่อ 8 มีนาคมที่ผ่านมา
ขั้นตอนเมื่อได้ข้อสรุปแนวทางการลงทุน การบินไทยจะนำแผนทั้งหมดมาสรุปแผนให้ชัดเจนทั้งเรื่อง สัดส่วนการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี ต้นทุน แผนการเงิน และบุคลากร ก่อนที่จะลงนามเซ็นสัญญาร่วมทุนกับแอร์บัสอย่างเป็นทางการช่วงมีนาคม 2561 พร้อมเริ่มงานก่อสร้างทันที
สำหรับศูนย์ซ่อม MRO การบินไทย หากสร้างแล้วเสร็จะรับซ่อมเครื่องบินรุ่นใหม่ เช่น แอร์บัส A350 แอร์บัสA 380 โบอิ้ง 787 โบอิ้ง 777 รวมปีละ 50-60 ลำ แนวโน้มจะสร้างรายได้จากตลาดการซ่อมเครื่องในไทยและเอเชียแปซิฟิคปีละ 1,200 ล้านบาท ปี 2564 จะยกระดับเป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานอันดับ 1 ของโลก เน้นบริการตรงต่อเวลา คุณภาพได้มาตรฐาน ราคาเป็นธรรม ควบคู่กับเพิ่มรายได้ให้ถึงปีละ 2,000 ล้านบาท
ข่าวที่ 4 “ปัดฝุ่นเปิดใช้สนามบินโคราชบินตรงเชียงใหม่/ภูเก็ต”
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจมีนโยบายให้ศึกษาการนำกลับมาใช้ใหม่ในสนามบินนครราชสีมา (โคราช) ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ โดยให้ร่วมกับตัวแทนจังหวัด สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสายการบิน ทำงานร่วมกันแล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2560 จะเปิดให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ขึ้นลงได้ทันที และรองรับผู้โดยสารช่วงชั่วโมงการเดินทางหนาแน่นได้ถึง 300 คน/ชั่วโมง โดยไม่ต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ หรือก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันทาง บริษัท บางกอกเอวิเอชั่นเซ็นเตอร์ จำกัด (BAC) ใช้เป็นศูนย์ฝึกนักเรียนการบินอยู่เป็นประจำ
แนวโน้มมี 2 สายการบินให้ความสนใจเปิดบริการ ได้แก่ นกแอร์ และไทยแอร์เอเชีย ซึ่งพร้อมจะบินไป-กลับ แบบประจำ 2 เส้นทางใหม่ นครราชสีมา สู่ปลายทาง เชียงใหม่ และภูเก็ต
ติดตามฟังรายการเป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น