“TCEB”ลุยโร้ดโชว์ชิงตลาดไมซ์เจ้าแห่งเอเชียM-I-Cจีน-อินเดีย
ผนึกSIDs20ประเทศ10วันสุดท้ายโหวตไทยเจ้าภาพExpo2028
ปั้นD-MICEบุกตลาดไมซ์ไทย-งบประชุมแจกแล้ว4ภาค224กลุ่ม
“มูลนิธิวิชัยฯ”มอบทุนนร.ไทยคนแรกจบสาขาสร้างเครื่องดนตรี
รร.พูลแมนคิงเพาเวอร์เปิดเกล็นบาร์ฉลอง#PrideMonth7ราคา
คลิกช้อปKING POWER ONLINEแบรนด์ดังลด2ต่อถึง30มิ.ย.นี้
ททท.-กลุ่มเซ็นทรัลขายเที่ยวไทยถึงถิ่นฯบูมทัวร์เมืองรอง4จว.
บางจากนำรัฐ/เอกชนทีมเปิดโครงการพัฒนาธุรกิจสู่อุตฯสีเขียว
TCEBนำเทศกาลลอยกระทงสุโขทัยคว้ารางวัลIFEAที่เกาหลีใต้
เที่ยวUnseen New Chaperวังเทียมเมฆมุกดาหารดาวรุ่งอีสาน
4 เคล็ดลับวิธีดูแลสุขภาพสมดุลทำให้ร่างกายแข็งแรงปลอดภัย
AOTเปิดSAT1พลิกโฉม5เรื่อง-ชงแยกโดมิสติกสุวรรณภูมิ5ปีหน้า
เปิดใหม่แล้ว!!“รร.อินเตอร์คอนกรุงเทพฯ”โชว์ไทย+ห้องอาหาร
จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB”
วันเสาร์ที่
10 มิถุนายน 2566
ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง
ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.
ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #UnseenNewChapters #วังเทียมเมฆเกาะก้านเหลืองมุกดาหาร
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...https://fb.watch/l3NwN6qwoc/
ช่วงที่
1 บิ๊กเกมไมซ์
“จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา”
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB”
ชิงขยายฐานแชมป์โลกไมซ์ 2 ตลาด“จีน-อินเดีย” M-I-C
มาแน่กรุ๊ปละ 10,000
คน สัญญาณดีครึ่งปีแรกทำได้เกิน 50,000 ล้าน
แค่ 5
ประเทศ ยอดพุ่ง 1.6
แสนคน เดินสายหาเสียงหนักผุดโปรเจกต์ใหม่เอาใจประเทศหมู่เกาะ
SIDs 20
ประเทศ ทำแผนที่พัฒนาเกษตร/ท่องเที่ยวยั่งยืน ลุ้น 10
วันสุดท้าย BIE ตัดสินไทยเจ้าภาพ
Expo 2028 ส่วน
“ตลาดในประเทศ” เพิ่มโครงสร้างใหม่เปิดฝ่าย D-MICE เสริมทัพตลาด4ภาค
และยอดแจกประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจ 2 เดือนแรก
อนุมัติแล้ว 224 กลุ่ม
ภาคใต้กวาดมากสุดเกินครึ่ง 112 กลุ่ม
“ภาคเหนือ” ปิดท้าย 28 กลุ่ม
นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB”
ช่วงครึ่งปีหลังตั้งแต่มิถุนายน 2566 เป็นต้นไปวางแผนขับเคลื่อนไมซ์ไทยในตลาดต่างประเทศพุ่งเป้าไปยัง
“เอเชีย” เน้น MI
:Meeting & Incentive
กลุ่มตลาดจัดประชุมและเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
โดยจะนำคณะใหญ่ไปทำโร้ดโชว์เดือนสิงหาคม 2566 พื้นที่แรก 2 เมืองใหญ่
ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
เพราะได้เห็นการแสดงเจตจำนงของไมซ์จีนต้องการมาไทยขนาดกลุ่มละ 1,000 คนขึ้นไป
พื้นที่ 2 อินเดีย
ทำมีถึง 3 ตลาด
คือ MI-C ทั้งประชุม
เดินทางเพื่อเป็นรางวัล และการจัดประชุมขนาดใหญ่ (Convention) ไปยัง 2 เมืองใหญ่
ใน เดลี และมุมไบ อินเดีย
ซึ่งล่าสุดปีนี้บริษัทกลุ่มขายตรงนำอินเซ็นทีฟมาไทยแล้วครั้งละ 10,000คน
สร้างรายได้ภายในสัปดาห์เดียวเกิน 660 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์ครึ่งปีงบประมาณแรก ตุลาคม 2565-มีนาคม 2566 โดยภาพรวมมีนักเดินทางไมซ์ทั่วโลกทุกตลาด M-I-C-E เข้ามาเมืองไทยรวมแล้วประมาณ 286,106 คน สร้างรายได้ 16,673 ล้านบาท มาจาก M-Meeting/จัดประชุม 79,569 คน สร้างรายได้ 4,349 ล้านบาท I-Incentive/เดินทางเพื่อเป็นรางวัล 25,753 คน สร้างรายได้ 1,492 ล้านบาท C-Convention/การจัดประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ 33,534 คน สร้างรายได้ 1,632 ล้านบาท และ E-Exhibition/การจัดแสดงสินค้านานาชาติ 147,250 คน สร้างรายได้ 9,200 ล้านบาท
เฉพาะครึ่งปีงบประมาณ 6 เดือนแรก 2566 ทีเส็บก็สามารถนำไมซ์ตลาดต่างปรเทศเข้ามาไทยได้เกือบกว่าครึ่งหนึ่งของเป้าหมายแล้ว ซึ่งตลอดปีนี้ตั้งไว้ 760,000 คน สร้างรายได้ 50,000 ล้านบาท ไฮไลต์คือตลาดจัดการแสดงสินค้านานาชาติตอนนี้ทำสถิติรายได้อันดับ 1 กว่า 9,200 ล้านบาท ปีนี้มีงานทำสถิติจำนวนคนเข้าร่วมและรายได้มากเป็นประวัติการณ์ คือ งาน VIV ASIA 2023 งานแสดงสินค้าและงานประชุมสัมมนาระดับโลด้านอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์น้ำครบวงจร
โดยมี “ตลาดไมซ์เอเชีย” เดินทางมาไทยมากที่สุด 5 ประเทศ จำนวนรวมไม่ต่ำกว่า 160,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 10,371.77 ล้านบาท ได้แก่ อันดับ 1 มาเลเซีย 55,818 คน สร้างรายได้ 3,683.99 ล้านบาท อันดับ 2 สิงคโปร์ 36,059 คน สร้างรายได้ 2,379.89 ล้านบาท อันดับ 3 เวียดนาม 30,269 คน สร้างรายได้ 1,997.75 ล้านบาท อันดับ 4 เกาหลีใต้ 18,611 คน สร้างรายได้ 1,228.33 ล้านบาท อันดับ 5 อินโดนีเซีย 16,391 คน สร้างรายได้ 1,081.81 ล้านบาท
นายจิรุตถ์กล่าวว่า แผนงานครึ่งปีหลัง 2566 จะเพิ่มรายได้จากตลาดจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ เนื่องจากมีบริษัทขนาดใหญ่ย้ายงานมาจัดในไทยเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดจับมือกับสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA-Trade Exhibition Association ทำแคมเปญส่งเสริมให้มีบริษัทจัดแสดงสินค้า และเพิ่มและพ่วงการดึงงาน Conference/กลุ่มคณะประชุม เข้ามาเสริมด้วย นำกลไกทั้งหมดมาร่วมกัน และการเชิญวิทยากรแถวหน้าของโลกเข้ามาขึ้นเวทีแต่ละงาน เป็นแม่เหล็กดึงคนเข้างานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะตอนนี้ไทยกำลังส่งเสริม BCG ทำให้มีการจัดงานด้านพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้ง เอ็กซิบิชั่น คอนเว็นชั่น
ล่าสุดการจัดงาน
FUTURE ENERGY 2023 ก็สามารถทำลายสถิติมีจำนวนคนจากทั่วโลกเข้าร่วม
20,000-30,000 คน
เป็นแรงส่งทำให้งานเอ็กซิบิชั่นในไทยขยับสูงกว่า 300,000 คน
อีกทั้งยังทำให้เป้าหมายตลอดปีนี้มีสัญญาณดีเกินคาดการณ์ซึ่งเดิมประเมินหลังสถานการณ์โควิด-19
คลี่คลายแล้วปี 2567 ถึงจะทำได้ถึง
500,000 คน
แต่ตอนนี้เพียงแค่ครึ่งปีแรกเท่านั้นก็ทำจำนวนคนได้เกิน 50% ของปีหน้าเรียบร้อยแล้ว
ตลอดปีแล้วน่าจะทำได้เกินเป้าหมายไปได้ถึงมากสุด 900,000 คน
ส่วน
“ตลาดยุโรป” ถึงจะได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย แต่พอได้เข้าร่วมงานใน IMEX FRANFURT 2023 แฟรงเฟิร์ต
เยอรมัน มีสัญญาณตลาดไมซ์ที่สดใสชัดเจน จะช่วยเพิ่มจำนวนและรายได้ต่อเนื่องถึงปี 2567 ตอนนี้ไมซ์ยุโรปเข้ามาไทยรวมแล้ว
91,200 คน ใน 5 อันดับแรก
ได้แก่ เยอรมัน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
ในฐานะเลขานุการคณะทำงานสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand
กำลังเร่งมืออย่างหนักเพื่อหาเสียงช่วงสุดท้ายที่เหลืออีก 10 วัน
คือ วันที่ 21 มิถุนายน
2566 ทาง BIE -Bureau International des Expositions
จะประกาศผลคะแนนการโหวตจากสมาชิก 171 ประเทศ มีแนวโน้มไทยจะเข้ารอบลึกไปจนถึงนาทีสุดท้าย
เพราะทีเส็บกับเอกชนไทยใช้เครือข่ายต่างประเทศช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่
เมื่อวันที่ 7
มิถุนายน 2566
ได้เชิญหอการค้าต่างประเทศไทยพบปะกัน
แล้วยังได้ส่งหัวหน้าทีมไปประจำอยู่ที่กรุงปารีส
เพื่อทำหน้าที่เคาะประตูหาเสียงแต่ละสำนำงานในฝรั่งเศส
เช่นเดียวกับทางกระทรวงการต่างประเทศ ฑูตพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์
เดินสายไปเคาะประตูทั่วโลกกับสมาชิกที่มีสิทธิ์โหวตทั่วยุโรปแล้ว
อีกทั้งไทยยังได้เจาะลึกเข้าไปยัง
SIDs :Small Island
Development กลุ่มประเทศบนเกาะต่าง ๆ รวม 31
ประเทศ เช่น หมู่เกาะแปซิฟิก แคริเบียน
ทีเส็บจับมือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เสนอความร่วมมือกับประเทศกลุ่มดังกล่าวทำโครงการ
“แผนที่โลกด้านส่งเสริมการเกษตรและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน”
โดยยืนยันเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 20 ประเทศ
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
ช่วงครึ่งปีหลังก็จะเดินหน้าทำ “ตลาดไมซ์ในประเทศ” ควบคู่กันไปด้วย
ตามโครงสร้างใหม่ได้ตั้งฝ่าย D-MICE เพิ่มขึ้นมาดูแลขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งหมด
และอำนวยความสะดวกกิจกรรมไมซ์โดยรวม ไฮไลต์วันที่ 12 มิถุนายน 2566 จะเปิดเวทีให้ผู้อำนวยการสำนักงานทีเส็บทั่วประเทศ
4 ภาค
ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมถ่ายทอดแผนการตลาดทั้งหมด
ควบคู่กับการใช้โซเชียล มีเดีย เข้ามาเสริมทัพให้ข้อมูลอย่างแข็งแกร่งในยุคดิจิทัล
ตอนนี้ทำคู่ขนานกับโครงการ
“ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย”
มอบงบประมาณสนับสนุนทุกภาคส่วนที่จะจัดประชุมในประเทศ โดยมี Thai Mice Connect รวบรวมฐานข้อมูลกระจายให้ผู้ใช้บริการได้เข้าถึงบริษัท
DMC บริหารจัดการเส้นทางไมซ์
แล้วจะขยายผลเป็นออนไลน์ให้ความสะดวกอย่างเต็มที่กับทุกกลุ่มเป้าหมาย
เป้าหมายต้องการจะใช้ฐานข้อมูลใน
Thai Mice Connect กระจายไปยัง
DMC ต่างจังหวัดทั่วประเทศนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดไมซ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
โดยได้ตั้งกติกาเพิ่มขึ้นใหม่โดยให้ผู้ที่ขอรับเงินสนับสนุนจากโครงการ
“ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย”
เลือกสถานที่จัดงานในแต่ละจังหวัดตามโรงแรมต่าง ๆ ไม่เกิน 10 แห่ง
ป้องกันการกระจุกตัว แล้วกระจายให้พื้นที่จังหวัดอื่นได้รับประโยชน์จากไมซ์บ้าง
หากมาลงทะเบียนก่อนก็จะได้รับเงินก่อน ภายใต้กติกาเข้มข้นมากขึ้น
ต่อไปทุกเครือข่ายซึ่งรู้วิธีใช้งาน Thai Mice Connect
ของทีเส็บแล้วจะได้รับประโยชน์ในระยะยาวอย่างยั่งยืน
สำหรับการเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมของบประมาณสนับสนุนจากโครงการ
“ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” ตั้งแต่ 1 เมษายน -26
พฤษภาคม 2566 ทีเส็บอนุมัติสนับสนุนการประชุมไปเรียบร้อยแล้ว
224
กลุ่ม จำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 9,000 คน
ประกอบด้วย อันดับ 1 “ภาคใต้”
102 กลุ่ม
อันดับ 2 ภาคกลาง
63 กลุ่ม
อันดับ 3 ภาคอีสาน 31 กลุ่ม
อันดับ 4
ภาคเหนือ 28 กลุ่ม
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “มูลนิธิวิชัยฯ”มอบทุนนร.ไทยคนแรกจบสาขาสร้างเครื่องดนตรี
มูลนิธิ
วิชัย ศรีวัฒนประภา ของผู้ก่อตั้งกลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์
สร้างสรรค์คุณค่าทางสังคมก้าวสู่ปีที่ 5 โดยได้ส่งต่อโอกาสดี ๆ
“ทางการศึกษา” ให้แก่เยาวชนที่มีผลการเรียนดีแต่ขาดโอกาสและทุนทรัพย์ของ “โรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา” สาขาเทคโนโลยีการสร้างเครื่องดนตรีไทย หรือที่รู้จักกันในสาขาการสร้างเครื่องดนตรีไทย
ซึ่งเป็นสาขาเฉพาะทางที่มีผู้เรียนน้อยมาก
ด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่นในความคิดและแรงขับเคลื่อนที่ว่า The Power Of Possibilities “ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้”
ล่าสุดทางสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาได้ผลิตนักศึกษา
“ทุนมูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา” คนแรกที่จบสาขานี้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พร้อมนำความรู้ที่เรียนมาส่งเสริมสานต่อ
และร่วมอนุรักษ์ให้วิชาชีพนี้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
ดร.นวลอนงค์
ธรรมเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ เปิดเผยว่า การเรียนการสอนสาขาเทคโนโลยีการสร้างเครื่องดนตรีไทยว่า
เกิดจากพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงส่งเสริมสนับสนุนให้โรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ
เปิดหลักสูตรสาขาดังกล่าวขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2561 เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ซึมซับการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมดนตรีไทย
เรียนรู้และปฏิบัติได้ครบทั้ง 3 ศาสตร์ “สร้าง
ซ่อม ใช้” นั่นคือ สร้างเครื่องดนตรีเองได้ ซ่อมเป็น และเล่นได้
ปัจจุบันมีนักเรียน
5 รุ่น 23 คน โดยมี “มูลนิธิ
วิชัย ศรีวัฒนประภา” สนับสนุนจึงเติบโตขึ้นด้วยการบริหารจัดการและสนับสนุนทุนจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ปีแรกที่เปิดหลักสูตร
“ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้” ซึ่งแต่ละปีโรงเรียนจะรับนักเรียนได้ปีละ 5 คน เนื่องจากสาขานี้ต้องใช้ต้นทุนสูง ทั้งเรื่องอุปกรณ์การฝึกสอน
และอาจารย์ผู้ฝึกสอนซึ่งต้องดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังต้องหาบุคลากรใช้ภูมิปัญญาสกุลช่างต่าง
ๆ มาถ่ายทอดความรู้เป็ฯอย่างดีด้วย
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
พระราชทานคำแนะนำในการรวมครูช่างผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกสาขาดนตรีไทย
มาร่วมระดมความคิดและสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนนี้ให้เกิดขึ้น
ดร.นวลอนงค์
กล่าวว่า การเรียนการสอนสาขานี้เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้มีส่วนร่วมอนุรักษ์ดนตรีไทยไว้
เพื่อทดแทนภูมิปัญญาที่เริ่มเหลือน้อยไม่ให้สูญหายไป ซึ่งหลายคนมองว่ายาก
เพราะเรียนที่นี่บรรเลงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องซ่อมสร้างด้วยครบจบในคนเดียว
ขณะนี้
“นายภัทรพงศ์ พรมพินิจ” ถือเป็นนักเรียนคนแรกในประเทศที่จบสาขานี้ อนาคตเตรียมพัฒนาหลักสูตรจนถึงระดับปริญญาตรี
เพื่อเชิญชวนนักเรียนที่สนใจเป็นนักสร้าง ซ่อม บรรเลงดนตรีไทย
สามารถสมัครได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาชีพหลังเรียนจบ เพราะวิชานี้เป็นสาขาเฉพาะทางที่มีอยู่จำกัด
ทางสถาบันมีความรู้ครบองค์ประกอบของเครื่องดนตรีทุกชิ้น ดังนั้นตลาดจึงต้องการสูง จึงอยากให้เด็กไทยที่สนใจเข้ามาเรียน
เพื่อช่วยกันอนุรักษ์มรดกไทยให้คงอยู่ไว้ตลอดไป
นายภัทรพงศ์
พรมพินิจ นักเรียนทุนของมูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา และนักเรียนคนแรกของประเทศที่จบสาขาเทคโนโลยีการสร้างเครื่องดนตรีไทย
กล่าวว่า เล่นดนตรีไทยมาตั้งแต่ ป.3
เริ่มจากเครื่องประกอบจังหวะ ฉิ่ง ฉับ กลอง ก่อนขยายไปสู่ฆ้องวงใหญ่ ระนาด และอื่น
ๆ จนเริ่มอยากรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยมากขึ้นถึงขั้นใฝ่ฝันจะสร้างเครื่องดนตรีไทยเองได้
พอรู้ว่าโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ เปิดสาขานี้จึงมาสมัครเริ่มจาก ปวช. ทั้งรุ่นมี 5
คน โดยได้เรียนการสร้างพื้นฐานทั้งงานไม้ งานเครื่องหนัง งานกลึง
การเทียบเสียง การทำองค์ประกอบต่างๆ ของเครื่องดนตรี
เรียนรู้งานที่บ้านครูช่างที่เป็นเลิศในแขนงต่างๆ เป็นการเรียนที่เข้มข้นมาก จนต่อ
ปวส. เพื่อให้ได้ความรู้เชิงลึกมากยิ่งขึ้นทั้งเรื่องงานวิจิตรศิลป์ เขียนผูกลาย
ฯลฯ จนกระทั่งสามารถสร้างเครื่องดนตรีไทยได้ ทำให้ความฝันที่เคยวาดไว้ “เป็นไปได้”
และเกิดขึ้นจริง
การเรียนสาขานี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
แต่สิ่งที่ยากคือต้องรู้ตัวเองว่าชอบทำงานนี้จริง ๆ
ถ้าชอบแล้วจะอยากลุยอยากเรียนรู้อยากซ่อมสร้าง มันจะกลายเป็นความสนุก ดนตรีไทยมีเสน่ห์ในตัวเองเป็นความคลาสสิค
ตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการส่งต่อองค์ความรู้และพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น
ทำให้เห็นวิวัฒนาการดนตรีไทย ที่สำคัญทำให้เราไม่ลืมรากเหง้า ไม่เคยมองข้ามเป็นรุ่นแรกคนแรกของประเทศที่จบสาขานี้
แต่มองเป็นรุ่นบุกเบิกให้น้อง ๆ รุ่นต่อไป จากรุ่นแรกลำบากยังไม่มีห้องดนตรี
ต้องไปเรียนที่บ้านครูช่างตามที่ต่าง ๆ ต่างจังหวัดบ้าง ส่วนปัจจุบันเรามีห้องซ้อมห้องฝึกและมีทุนในการเชิญครูช่างมาสอนที่สถาบันฯได้
ดังนั้นอยากเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้น้องๆ
ได้เห็นว่าจบแล้วสามารถไปทำอะไรต่อได้ ทั้งเรื่องการเรียนหรือการประกอบอาชีพ
ล่าสุดผ่านการสอบคัดเลือกโครงการสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ประจำปี
2566 โดยจะไปเป็นครูอาสาประจำการ 1 ปี ที่วัดไทยในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
ทำหน้าที่สอนดนตรีไทย และเป็นทูตวัฒนธรรม เป็นประสบการณ์และโอกาสดีๆ
ที่เราสามารถมองหาลู่ทางในการทำงานต่างประเทศ
หรือต่อยอดในการกลับมาเรียนต่อหรือทำงานที่เมืองไทย
นายภัทรพงศ์กล่าวว่าต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีจาก
“มูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา”
ที่เห็นคุณค่าและสนับสนุนความฝันของเด็กคนหนึ่งโดยมอบทุนการศึกษาให้ตลอด 5 ปี ทางมูลนิธิฯ เป็นเสมือนครอบครัวที่สนับสนุนสานฝันของเราให้เป็นไปได้
จึงจะฝากถึงน้อง ๆ ให้หาตัวเองให้เจอ แล้วทำในสิ่งที่ชอบตามหาความฝันแล้วทำให้เป็นจริง
“มูลนิธิ
วิชัย ศรีวัฒนประภา” ภูมิใจที่ได้ส่งเสริมการศึกษาให้เยาวชนไทยผ่านโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา จนสำเร็จด้านการผลิตบุคลากรสาขาที่ขาดแคลนอย่างสาขาเทคโนโลยีการสร้างเครื่องดนตรีไทย
และยังคงมุ่งมั่นสานต่อพลังแห่งความเป็นไปได้ ด้วยการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพต่อไป
ข่าวที่
2 รร.พูลแมนคิงเพาเวอร์เปิดเกล็นบาร์ฉลอง# PrideMonth7ราคา
โรงแรม
พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ จัดกิจกรรมร่วมฉลองเดือนแห่ง #PrideMonth แบบเต็มคาราเบล ในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2566 เวลา 20.30
น. ที่ห้อง “เกล็น บาร์ไ เตรียมให้ทุกคนได้ดื่มด่ำและสนุกกับคอนเสิร์ตสุดพิเศษจาก
“เพียว The Voice” ที่จะมาขับร้องเพลงสุดไพเราะนุ่มลึกและทรงพลัง รีบจองที่นั่งหรือสอบถามเพิ่มได้ที่ โทร 02
680 9999
โดยมี
“ราคาที่นั่ง” ให้เลือกได้แบบหลากหลายถึง 7 ราคา เริ่มจาก 1.โต๊ะละ 3 คนร3,900 บาท
2.โต๊ะ 4 คน ราคา 4,900
บาท 3.โต๊ะ 5 คน (โซฟา) ราคา 5,900 บาท 5.โต๊ะ 6 คน ราคา 7,900 บาท 6.โต๊ะ 8 คน ราคา 12,900 บาท และ 7.โต๊ะ 10 คน
(ชั้นลอยส่วนตัว) ราคา 14,900 บาท สำหรับราคาที่นั่งด้านบนนำมาใช้เป็นเครดิตเงินสำหรับซื้ออาหารและเครื่องดื่มภายในงานได้ด้วย
ข่าวที่ 3 คลิกช้อปKING POWER ONLINEแบรนด์ดังลด2ต่อถึง30มิ.ย.66
กลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ ชวนมาช้อป !! KING POWER ONLINEแค่คลิกช้อปก็ Collect ได้อย่างสะดวกสบาย พบกับดีลสุดฮอตกลางปี วันนี้ -30 มิถุนายน
2566 นำสินค้าแบรนด์ดังมามอบส่วนลดให้ถึง 2 ต่อในราคา Duty Free ไม่ว่าจะบินไปไหนก็ช้อปสนุกได้ทุกทริป
ต่อที่
1 ลดสูงสุด 15% เมื่อช้อปครบ 6,000 บาท รหัสส่วนลด KPJUN15
ต่อที่
2 ลดสูงสุด 20% เมื่อช้อปครบ 10,000 บาท รหัสส่วนลด KPJUN20
ช้อปสินค้าดิวตี้ฟรี
คิง เพาเวอร์ สุดฮอต มีไฟลต์บินแล้วรีบเลย!รับสินค้าที่สนามบิน และสามารถช้อปได้ทั้งขาเข้าและขาออก
และรับสิทธิ์ 1.แบ่งชำระ 0%*
นานสูงสุดถึง 10 เดือน 2.รับเครดิตเงินคืนสูงสุด
8,000 บาท 3. รับเลย! ส่วนลด 200
บาท เมื่อสมัครสมาชิกออนไลน์ และ 4.รับสิทธิ์สมัครสมาชิก คิง เพาเวอร์ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท(สุทธิ)
ข่าวที่
4 ททท.-กลุ่มเซ็นทรัลขายเที่ยวไทยถึงถิ่นฯบูมทัวร์เมืองรอง4จว.
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ได้สนับสนุนเปิดงานแคมเปญ "เที่ยวไทยถึงถิ่น เที่ยวได้ทั้งปี" GO
LOCAL, LOVE LOCAL ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง
กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นด้วยกลยุทธ์ “Sustainable Tourism Ecosystem” ที่จะพัฒนาชุมชนทั่วประเทศปีละกว่า 400 ล้านบาท
วางกลยุทธ์พัฒนาเป็นต้นแบบที่ดีในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ได้ประโยชน์ทั้งห่วงโซ่อุปทาน
ช่วย ททท. เรื่องการขับเคลื่อนความต้องการเดินทางในประเทศ (Dive Demand) พัฒนาผู้ประกอบการ (shape Supply) และความเป็นเลิศ
(Thieve for Excellence) ซึ่ง ททท.พร้อมจะเดินคู่กับหน่วยงานพันธมิตรแบบ
360 องศา ร่วมกันพัฒนา ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตามแผนยุทธศาสตร์ของ
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน)
ซึ่งจัดทำแคมเปญนี้ขึ้นมาเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน
"เที่ยวไทยถึงถิ่น เที่ยวได้ทั้งปี" (Go Local , LoveLocal) ขานรับนโยบาย
The Link ของ ททท. เชื่อมเข้ากับคอนเซ็ปต์
Local To Global ยกระดับให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ทางการท่องเที่ยวได้ทั้งปี
หรือThailand All Year Round และ
365 มหัศจรรย์ เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน ซึ่งพร้อมส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวให้กับผู้เยี่ยมเยือนทุกคนอย่างประทับใจทุกการเดินทาง
โครงการนี้ทางศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศได้ชูจุดแข็งที่จะให้บริการ
ภายใต้ 3 แนวคิด ประกอบด้วย
แนวคิดที่ 1 Retail-Led Tourism : ชูศูนย์การค้าเป็นเดสติเนชั่นสร้างเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน
แนวคิดที่
2 Cross-Region Mode! : ส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามถิ่นข้ามภาค
และ
แนวคิดที่
3 National Soft Power ดึง
DNA เมืองรอง
จับมือท้องถิ่นสร้างอีเว้นท์ดึงดูดตลอดปี
โดยได้จัดทำแคมเปญ
"GO LOCAL, LOVE LOCAL" เข้ามาส่งเสริมตลาดการขายท่องเที่ยว
วางแผนนำร่องเฟสแรก 4
จังหวัด ได้แก่
จังหวัดแรก
นครศรีธรรมราช - ดื่มด่ำเสน่ห์แห่ง “ธรรมะ-ธรรมชาติ-วัฒนธรรม”
ที่ไม่ธรรมดา โปรโมท ธรรมะแลนด์มาร์กที่สายมูต้องไม่พลาด , “ธรรมชาติ”
สุดอันซีน เห็นแล้วต้องอยากแชร์ให้ลูกรู้, และ “วัฒนธรรม”
สัมผัสไลฟ์สไตล์ของคนท้องถิ่นแบบอินไซด์
จังหวัดที่
2 พระนครอยุธยา
- ท่องเที่ยวกรุงเก่าด้วยมุมมองใหม่ได้อรรถรส สัมผัสเมืองมรดกโลก, ไหว้พระทำบุญชมโบราณสถาน,สายคาเฟ่-สายกิน
ฟินของอร่อย และท่องเที่ยวสไตล์วิถีชุมซน
จังหวัดที่
3 อุบลราชธานี -สัมผัสสน่ห์กับ 4
แสงแห่งดินแดนอีสานใต้ ได้แก่ แสงแรกยามรุ่งอรุณ แสงธรรมจากเกิจิอาจารย์ดัง แสงเทียนแห่งประเพณีสุดงดงาม และแสงอาทิตย์สุดล้ำเพื่อพลังงานสะอาด
จังหวัดที่
4 จันทบุรี -
อินและฟินกับเมืองท่องเที่ยวเนื้อหอมแห่งภาคตะวันออก
ไม่ว่าจะเป็นดื่มต่ำความงดูงามแห่งธรรมชาติสุดหลากหลาย เต็มอิ่มกับผลไม้เลื่องชื่อเมืองจันท์ และมนต์เสน่ห์ชุมชนริมน้ำสุดคลาสสิก
ข่าวที่
5 บางจากนำทีมเปิดโครงการพัฒนาธุรกิจสู่อุตฯสีเขียว
นายธรรมรัตน์ ประยูรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน และผู้บริหารบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าร่วมกับภาคีพันธมิตร ทำพิธีเปิด “โครงการมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการในเขตพระโขนงสู่อุตสาหกรรมสีเขียว” ปลุกจิตสำนึกในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลกประจำปี 2566 โดยมีทั้ง พลตรีศิพันท์ ภาณววัฒน์
รองเจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม นางสาววรุณลักษม์ พลหาญ
ผู้อำนวยการเขตพระโขนง ผู้แทนจากบริษัท เอส
แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) บริษัท ยัสปาล จำกัด บริษัท ไทยโตอาอุตสาหกรรม
จำกัด บริษัท เซฟ-ที-คัท (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกันขับเคลื่อนอย่างเต็มที่
“โครงการมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการในเขตพระโขนงสู่อุตสาหกรรมสีเขียว”
บางจากฯ ได้ริเริ่มทำขึ้นเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตระหนักถึงการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เพราะไม่สามารถจะปรับปรุงคุณภาพจากปลายทางได้ และไม่ดำเนินการเพียงผู้เดียวผู้เดียวก็ไม่ได้
จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง บางจากฯ กับสำนักงานเขตพระโขนง ขับเคลื่อนแผนพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง
เริ่มต้นจากภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่พระโขนงมีบริษัทสนใจเข้าร่วมโครงการกลุ่มแรก 4 บริษัท
ประกอบด้วย บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) บริษัท ยัสปาล จำกัด
บริษัท ไทยโตอาอุตสาหกรรม จำกัด บริษัท เซฟ-ที-คัท (ประเทศไทย) จำกัด
กระทั่งบางจากฯ ซึ่งได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 5 (Green
Industry Level 5) เป็นลำดับสูงสุด
สะท้อนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีสามารถเป็นแบบอย่างและที่ปรึกษาให้กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพระโขนง
เพื่อจะขอรับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวต่อไป
ส่วนในการเปิด “โครงการมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการในเขตพระโขนงสู่อุตสาหกรรมสีเขียว” ยังได้จัดแสดงนิทรรศการแสดงผลงานโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร
สำนักงานเขตพระโขนงที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
“อีโคสคูล : Eco-School” ซึ่งทางบางจากฯ
ร่วมกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานเขตพระโขนง และโครงการรักษ์ ปัน สุข จูเนียร์ ของบางจากฯ
ร่วมกับเอสซีจีเคมิคอลส์ มูลนิธิใบไม้ปันสุข นำสิ่งที่ดี ๆ
มามอบให้กับทุกคนจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งการดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน
อีกทั้งยังได้จัดนิทรรศการให้ความรู้ในหลายด้าน เช่น ข้าวลดโลกร้อน Carbon Markets Club และอื่น ๆ รวมทั้งจัดกิจกรรมปลูกต้นทองอุไรเพื่อปรับปรุงทัศนียภาพริมคลองบางอ้อให้เป็นแบบอย่างเรื่องดูแลรักษาคลองสาธารณะภายในเขตพระโขนง
ซึ่งอยู่บริเวณหน้าโรงกลั่นน้ำมันบางจาก สุขุมวิท 64
ทำให้สวยงามเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป
ข่าวที่
6 TCEBนำลอยกระทงสุโขทัยคว้ารางวัลIFEAกระหึ่มเกาหหลีใต้
นายภูริพันธ์
บุนนาค รองผู้อำนวยการสายงานบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า
ทีเส็บร่วมกับจังหวัดสุโขทัย นำงานเทศกาล “ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย”
คว้ารางวัล Gold Prize พร้อมกับเทศกาลพลุนานาชาติเมืองพัทยา โดยเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลที่เมืองทงยอง
(City of Tongyeong) จังหวัดคยองซังใต้ (Gyeongsangnam-do)
เกาหลีใต้ บนเวทีการประกวดรางวัลงานเทศกาลที่มีศักยภาพ
(ธีมงานกลางคืน) ประจำปี 2023
ของสมาคมการจัดงานอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ หรือ International Festival
& Events Association (IFEA) ภูมิภาคเอเชีย (ASIA
Chapter)
โดยมีนางสาวพัชรอร
วงศ์กำแหง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย
เป็นผู้รับมอบรางวัลร่วมกับภาคเอกชนจังหวัดสุโขทัย และนายภูริพันธ์ บุนนาค
เข้าร่วมรับรางวัลในงานดังกล่าว
สำหรับรางวัลเทศกาลลอยกระทงสุโขทัยได้รับครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันถึงเสน่ห์และศักยภาพงานเทศกาลลอยกระทงสีสันยามค่ำคืน
และทำให้สุโขทัยเป็นจังหวัดท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางดึงคนจากทั่วโลกเข้ามาเพิ่มได้ตลอดโดยเฉพาะตลาดใหม่จากเกาหลีและเอเชีย
นิยมมาสัมผัสประสบการณ์เทศกาลแห่งความสุขและความสนุกสนานซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีช่วงวันขึ้น
15 ค่ำ เดือน 12
นายภูริพันธ์กล่าวว่า
ทางทีเส็บยังได้สนับสนุนการลงนามความร่วมมือภาคเอกชนของ 2 ประเทศ ระหว่าง บริษัท สุโขทัยพัฒนาเมือง จำกัด ของไทย
กับ IKSAN Culture & Tourism Foundation เกาหลีใต้ และสมาคม
IFEA ภูมิภาคเอชีย (ASIA Chapter) ผนึกความร่วมมือกันทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนของทั้งสองเมืองร่วมกัน
เช่น การเรียนรู้งานศิลปะวัฒนธรรม
และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเมืองระหว่างกัน
IKSAN เกาหลีใต้ ได้การรับของจากยูเนสโก้ให้เป็น World Heritage City การลงนามครั้งนี้เสมือเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะช่วยสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์
และการตลาดดึงดูดนักท่องเที่ยวและไมซ์ต่างชาติเพิ่มมากขึ้นในอนาคตเพิ่มขึ้นต่อไป
สำหรับ
IFEA - International Festival & Event Association เป็นสมาคมการจัดงานอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ
มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานในภูมิภาคเอเชียอยู่ในเกาหลีใต้ เป็นสมาคมกลางที่ได้รวบรวมสมาชิกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดงานอีเวนท์และเทศกาลระดับนานาชาติ
เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวคิด ประสบการณ์ และโอกาสให้กับสมาชิกทั่วโลก
มีพันธกิจในการสร้างแรงบันดาลใจ
สร้างประชาคมผู้จัดงาน และทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจการจัดอีเวนท์และงานเทศกาลขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
ช่วงที่ 2 เมืองไทยกำลังเนื้อหอมด้วยแหล่งท่องเที่ยว Unseen
New Chapters ปักหมุดที่ “วังเทียมเมฆ/เกาะก้านเหลือง
อ่างเก็บน้ำห้วยวังนอง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร ดาวรุ่งดวงใหม่แห่งอีสาน
แล้วดูแลสุขภาพ “4เคล็ดลับวิธีดูแลสุขภาพ”
ฟังข่าวเอ็กซ์คลูซีฟ ข่าวแรก “AOTเปิดSAT1ก.ย.พลิกโฉมใหม่5เรื่อง-ชงแยกโดเมสติกรับ5ปีหน้า” ข่าวที่สอง “อินเตอร์คอนติเนนตัลกรุงเทพฯ” กลับมาเปิดใหม่แล้ว
โชว์ความเป็นไทยและขาย 7 ห้องอาหาร
ท่องเที่ยว
-เที่ยวUnseen New Chaperวังเทียมเมฆมุกดาหารดาวรุ่งอีสาน
ใกล้ถึงเวลาตัดเชือกมากขึ้นทุกทีในการโหวต
แหล่งท่องเที่ยว Unseen
New Chapters ที่คนทั้งพากันเทคะแนนให้ แหล่งท่องเที่ยว “วังเทียมเมฆ”
หรือ “เกาะก้านเหลือง” สถานที่พักผ่อนหรือแหล่งท่องเที่ยวในบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยวังนอง
บ้านวังนอง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร มาแรงแซงโค้ง ติดชาร์จขึ้นอันดับ 1 ใน 10 อยู่ขณะนี้
“วังเทียมเมฆ/เกาะก้านเหลือง” อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ
55 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ขับรถไปตามเส้นทางขับรถจากมุกดาหาร-หนองสูง
เพื่อเข้าสู่อ่างเก็บน้ำ ช่วงนี้อาจจะต้องผจญภัยกับถนนลูกลังมีหลุมโคลน
และสะพานไม้แคบอยู่บ้าง การขับรถยนต์ส่วนตัวอาจต้องให้หาคนที่มีความชำนาญเส้นทาง
หากเป็นสายบิ๊กไบค์ต้องขับด้วยความระมัดระวังด้วยเช่นกัน
"วังเทียมเมฆ" มีความหมายที่ดีอันหมายถึง
“ดินแดนผืนน้ำจรดเมฆา”
เป็นการสื่อภาษาให้เข้าใจตรงกัน คือ “วัง” แปลว่า “น้ำ”
วังเทียมเมฆจึงหมายถึง พื้นที่เป็น “ผืนน้ำ” จรดกับ “เมฆบนท้องฟ้า” รอบบริเวณนี้มี
“เกาะก้านเหลือง” เป็นเกาะซึ่งเต็มไปด้วย “พันธุ์ไม้หายาก” อย่างต้นก้านเหลือง มักพบขึ้นเป็นอยู่จำนวนมากตามพื้นที่ป่าชายน้ำนั่นเอง
รวมทั้งยังมี “อ่างเก็บน้ำห้วยวังนอง” เป็นไฮไลต์จุดชมวิวจะสวยงามมากช่วงพระอาทิตย์ตก
ในจังหวะวินาทีของแสงทองฉาบลงบนผืนน้ำท่ามกลางขุนเขา นับเป็นสวรรค์ของนักเดินทางสายแคมป์ปิ้ง
ที่ต้องการประสบการณ์เที่ยวแบบชิดธรรมชาติ
ตลอดเส้นทางเข้าถึงวังเทียมเมฆ
พอไปถึงจะต้องจอดรถให้ชิดริมไหล่ทางมากที่สุด เพราะไม่มีลานจอดรถ แล้วจากนั้นก็เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ
600 เมตร แล้วจะพบกับทุ่งหญ้ากว้างอยู่กลางภูเขา แม่น้ำ
ต้นไม้สูงใหญ่เกิดรวมกันเป็นเกาะ ลมพัดเย็น ๆ มาปะทะผิวกายอยู่ตลอด ทั้งสวยงาม เงียบสงบมาก
บางเวลาอาจจะมีชาวบ้านออกมาหาปลาเป็นวิถีชีวิตที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมื่อเลือกมาเที่ยวที่วังเทียมเมฆเกาะก้านเหลืองแห่งนี้
สุขภาพ
– 4 เคล็ดลับวิธีดูแลสุขภาพทำให้ร่างกายแข็งแรงปลอดภัย
1.บริหารร่างกายในช่วงเช้า
เริ่มต้นจากตอนตื่นนอนให้บิดขี้เกียจก่อน 1 ครั้ง การบิดขี้เกียจถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่จะกลายมาเป็นส่วนเสริมความสมบูรณ์แข็งแรงให้แก่สุขภาพร่างกาย
เป็นการบริหารร่างกายด้วยท่าที่ง่ายพร้อมกับการหายใจเข้า-ออกอย่างช้าๆ
ผสมผสานกับการยืดและคลายของกล้ามเนื้อทุกอิริยาบถ
ทำให้จิตใจสงบเมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องประจำ
ทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อที่คดงอหรือบิดเกร็งจากการทำงาน
ปรับตัวคลายเข้าสู่สภาวะสมดุล สมองและอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนมากขึ้น
ทำให้เลือดหมุนเวียนหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การขับถ่ายของเสียจากเนื้อเยื่อทั่วร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์
ทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่ง เบาสบาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง จิตใจผ่องใส
และช่วยป้องกันความเจ็บป่วยนานาชนิด โดยตอนตื่นเราอาจจะบิดขี้เกียจ 1 ครั้งแล้วต่อด้วยการโยคะประมาณ 15 นาที
เพียงเท่านี้ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในวันทำงานแล้ว
2.บริหารร่างกายในช่วงเย็น
แนะนำว่าให้ออกกำลังกายหนักประเภทเข้ายิมหรือฟิตเนส
บริหารร่างกายให้สามารถเรียกเหงื่อได้ ประมาณ 30 นาที
หรือ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าในกรณีที่จะต้องเดินทางไปทำงานต่างที่
มีพื้นที่จำกัดและไม่สามารถเข้ายิมหรือฟิตเนสได้ ก็ควรจะออกกำลังกายแบบ Body
Weight แทน คือ ยกดรัมเบลอยู่กับที่
ออกกำลังกายประเภทที่ใช้พื้นที่ไม่เยอะมาก
ก็สามารถบริหารร่างกายได้ดีแม้มีพื้นที่จำกัด
3.การดูแลสุขภาพใจ
นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว ให้ดูแลบำรุงสุขภาพใจด้วย แนะนำว่าให้ฝึกสมาธิ รับรู้ในทุกขณะจิต
ฝึกการรับฟังให้มากเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างมีสติ เคล็ดลับ คือ
การนำเอาหลักธรรมมะของพระพุทธศาสนาเข้ามาช่วยให้ เราสามารถคิดวิเคราะห์เรื่องต่างๆ
ได้อย่างละเอียดอ่อนและมีหลักธรรม รู้จักปล่อยวาง
นอกจากดูแลสุขภาพใจตนเองให้ดีแล้ว ก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพใจบุคคลรอบข้างด้วย
สำหรับท่านที่อยู่ไกลกันหรือไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน
ก็ควรติดต่อสื่อสารหากันอย่างสม่ำเสมอ ใช้วิธีการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ด้วยคำพูดดีๆ
เล่าสู่กันฟังจะสามารถก่อให้เกิดความรู้สึกด้านบวกมากยิ่งขึ้น
4.การดูแลการทานอาหาร
เน้นการรับประทานผักและผลไม้ให้มาก จะทำให้นอนหลับสบาย ขับถ่ายปกติ
หรือทานวิตามินเสริมมาเป็นตัวช่วยก็ได้ เช่น
วิตามินในส่วนที่เราขาดในการบำรุงต่างๆ วิตามินซี วิตาบี หรือ วิตามินรวม
แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้สุขภาพดีได้แม้ต้องทำงานหนัก
แต่ต้องปฎิบัติให้อยู่ในความเหมาะสม อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ
มีวินัยกับการบริหารร่างกาย ควบคุมการทานอาหาร และบริหารเวลาทำงานให้เหมาะสม
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –AOTเปิดSAT1พลิกโฉม5เรื่อง-ชงแยกโดมิสติกสุวรรณภูมิ5ปีหน้า
นายกีรติ
กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” เปิดเผยว่า
พร้อมเดินหน้าลุยเปิดในสนามบินสุวรรณภูมิ 2 โครงการ คือ
โครงการแรก “อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1” (SAT 1
:Satlellite Teminal 1) สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิมูลค่าการลงทุน 39,670 ล้านบาท จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด)
ทอท.เดือนมิถุนายน 2566
เพื่อกำหนดวันเปิดอย่างไม่เป็นทางการ (Soft
Opening) ไปก่อนภายในกันยายน
2566 เป็นต้นไป เมื่อเปิดแล้วจะช่วยแก้ทั้งจุดวิกฤตสร้างความคุ้มค่าและสามารถพลิกโฉมบริการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิก้าวมิติใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า
5 เรื่อง คือ
เรื่องที่ 1
เพิ่มพื้นที่ห้องพักคอยให้ผู้โดยสารได้กว่า 200,000
ตารางเมตร
ซึ่งได้ดีไซน์ให้มีสนามเด็กเล่น พื้นที่ไลฟ์สไตล์ พื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์
ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารใช้บริการอย่างมีความสุข พร้อมกับสามารถเดินช้อปปิ้งซื้อสินค้า
แถมยังเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้เข้าประเทศมากขึ้นจากผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวทั่วโลก
เรื่องที่ 2 เพิ่มทางวิ่ง (runway) ที่ 3 พร้อมหลุมจอดเครื่องบินได้อีก
28 หลุมจอด หรือเพิ่มขึ้น 40 % จากปัจจุบันมีอยู่ 51 หลุมจอด
และโดยภาพรวมจะขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารเป็น 60 ล้านคน/ปี
จากปัจจุบันอาคารผู้โดยสารหลังหลัก (Main
Terminal)
รับได้ 45 ล้านคน/ปี SAT 1 รับได้ 15
ล้านคน/ปี
เรื่องที่ 3 เพิ่มสิ่งอำนวยความให้ผู้โดยสารด้วยการลดใช้ประตูรถบัสเพื่อนำผู้โดยสารไปขึ้นเครื่องบิน
(bus gate)
ที่ตอนนี้ใช้อยู่ 30 % เมื่อเปิดใช้บริการ
SAT 1 อย่างเป็นขั้นตอน
ผู้โดยสารระหว่างประเทศก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้บัสเกตอีกต่อไป
เรื่องที่ 4 พัฒนาเป็นสนามบินศูนย์กลางการต่อเที่ยวบินเข้าสู่ยุโรป
(Flight Transit Hub)
จากประเทศต้นทางที่บินมาแวะพักสุวรรณภูมิเพื่อบินต่อไปยังประเทศปลายทางแถบยุโรป
ปัจจุบันมีอยู่ประมาณวันละ 70-80 เที่ยว
ตามปกติหลายสายการบินนานาชาติจะนำเครื่องมาใช้หลุมจอดในสุวรรณภูมิพักเครื่องเกิน 6 ชั่วโมง ซึ่งมีอุปสรรคจะต้องถอยเครื่องบินเข้าออก
เพื่อให้สายการบินอื่น ๆ ที่จะบินก่อนได้ใช้งาน
เรื่องที่ 5
ได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์พลัง Soft Power วัฒนธรรมไทยให้ทั่วโลกเข้าใจเข้าถึงได้อย่างกว้างขวาง
เพราะภายในอาคาร SAT 1
ได้จัดทำประติมากรรมช้างไทย พร้อมทั้งพระพุทธรูปให้ผู้ใช้บริการได้สักการะด้วย
ซึ่งทาง ทอท.จะบริหารจัดการเที่ยวบินในอาคาร SAT 1 เพื่อให้บริการผู้โดยสารต่อเที่ยวบินเป็นหลัก
โดยจะยังคงใช้อาคารผู้โดยสารปัจจุบันเป็นหลักเพื่อเช็คอินและดำเนินการตามขั้นตอนการเดินทางครบให้ทุกขั้นตอน
และจัดให้มีระบบ ICS เช็คอินกระเป๋าสัมภาระโหลดขึ้นเครื่องต่อเที่ยวบินลำเลียงไปยังสายการบินแต่ละลำที่อาคาร
SAT 1 โดยใช้เวลาไม่เกิน
20 นาที
ส่วน
“ผู้โดยสารต่อเครื่อง” ทางสนามบินสุวรรณภูมิได้จัดบริการรถไฟฟ้ารางเบาไร้คนขับ APM :Automated People Move ไว้แล้ว
โดยมีทางขึ้นลงอยู่ตรงด้านหลังประติมากรรมรูปกวนเกษียณสมุทร ขนส่งเชื่อมการเดินทางจากอาคารผู้โดยสารหลังหลักไปยังอาคาร
SAT 1
ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาที
นายกีรติ
กล่าวว่า โครงการที่ 2 ทำแผนลงทุน
“อาคารผู้โดยสารในประเทศ” (Domestic
Terminal)
แยกออกจากอาคารผู้โดยสารหลังหลักปัจจุบันในสุวรรณภูมิ (Main terminal) ให้เกิดเป็นรูปธรรมภายใน 5 ปีข้างหน้า
เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่รองรับด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร (Curve site)
ที่จะเชื่อมการขนส่งกับการเดินทางทางบกหรือรถโดยสารต่าง ๆ ไม่สามารถขยายได้อีกแล้ว
ดังนั้นจึงต้องเตรียมแผนงานเปิดให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแสดงความเห็นเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ขยายอาคารสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิทางฝั่งด้านทิศใต้
(South Expansion) มูลค่า 120,000 ล้านบาท กับฝั่งด้านทิศเหนือ (North Expansion) มูลค่า 40,000 ล้านบาท ถึงทางเลือกที่เหมาะสม
ขณะนี้มีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่จะเลือกลงทุนทางฝั่งด้านทิศเหนือ
เพราะสามารถเชื่อมโยงบริการเดินทางทางอากาศเข้ากับการเดินทางทางบกด้วยโครงข่ายไฟความเร็วสูงเชื่อม
3 สนามบิน
“ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา” ได้อย่างลงตัว
ส่วนการใช้เงินลงทุนส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ทิศตะวันออก (East Expansion) กับ
ทิศตะวันตก (West Expansion) ตามที่กระทรวงคมนาคมเห็นชอบให้เดินหน้าใช้งบประมาณขยายทั้งสองฝั่งแล้วรวมประมาณ
14,000 ล้านบาท
ขยายพื้นที่ข้างละประมาณ 70,000 ตารางเมตร
รวมแล้วจะเพิ่มได้ 14,000 ตารางเมตร
เพื่อเตรียมใช้รองรับผู้โดยสารในอาคารหลังหลัก (Main terminal) ให้ได้มากที่สุดปีละ 120 ล้านคน นั้น
เป้าหมายในการขยายพื้นที่อาคาร
“ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตก” เป็นเรื่องของการ
“เพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณคนใช้บริการ” อีก 200,000
ตารางเมตร
จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 500,000 ตารางเมตร
ส่วนการขยายอาคาร
“ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้” เป็นการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมโยงกับระบบคมนาคมขนส่งระหว่างทางอากาศกับทางบกหรือทางพื้นราบ
เพื่อให้ผู้โดยสารใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ลดปัญหาแออัดต่าง ๆ
ในอนาคตลงให้ได้ดีที่สุด
ขณะนี้
ทอท.คัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการวางแผนโครงการส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นจะเปิดประมูลการก่อสร้างได้ช่วงต้นปี 2567
เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้งานในอาคารมากขึ้นได้อีก
70,000 ตารางเมตร
จากนั้นก็จะทยอยส่วนต่อขยายทางด้านทิศตะวันตกในอาคารผู้โดยสารหลักควบคู่กันไป
เป็นการเตรียมความพร้อมขยายพื้นที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิแต่ละส่วนให้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
(IATA :International Air Transport
Association)
ระบุปี 2567
สุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารใช้บริการปีละไม่ต่ำกว่า 65 ล้านคน
และตั้งแต่ปี 2571 จะขยับขึ้นเป็นปีละไม่ต่ำกว่า
95 ล้านคน
นายกีรติ
กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิมีขีดจำกัดเรื่องหลักสำคัญคือ
“จะขยายรันเวย์” ได้ไม่เกิน 4 รันเวย์เท่านั้น
ตามหลักการขยายพื้นที่ทั้งหมดแล้วก็จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มที่ปีละ 120-150 ล้านคน ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ซึ่งทำไปพร้อมกับการสร้าง SAT 1 ซึ่งจะทยอยเริ่มเปิดบริการได้ตั้งแต่กันยายน 2566 เป็นต้นไป
ตอนนี้มีสายการบินนานาชาติจองใช้บ้างแล้ว
ส่วนแผนงานอนาคตจำเป็นจะต้องนำเสนอการลงทุนขยายพื้นที่อาคารด้านทิศเหนือควบคู่กันไป
จึงจะสามารถทำให้สุวรรณภูมิเป็นสนามบินนานาชาติที่มีความพร้อมรองรับผู้โดยสารภาคพื้นดินที่เพิ่มขึ้น
สอดคล้องกับการเติบโตของปริมาณจราจรทางอากาศจากสายการบินนานาชาติที่จะเป็นส่วนสำคัญเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศเข้ามายังไทย
ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อเนื่องทุกปี
ข่าวที่สอง
-เปิดใหม่แล้ว!!“รร.อินเตอร์คอนกรุงเทพฯ”โชว์ไทย+ห้องอาหาร
สตีเวน กูลด์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า “โรงแรม
อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมในกลุ่มลักซัวรีและไลฟ์สไตล์ คอลเลคชั่น (Luxury and Lifestyle Collection) ของ ไอ เฮช จี โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เป็นโรงแรมคุณภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในไทยอยู่คู่ประวัติศาสตร์มานานกว่า
2 ทศวรรษ เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ตั้งแต่มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
พร้อมกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง หลังการปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณหลายล้านดอลลาร์
ด้วยจุดเด่นทำเลตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจชั้นนำของกรุงเทพฯ ติดสถานีรถไฟฟ้าชิดลม เดินไปช้อปที่ห้างสรรพสินค้า
แหล่งช้อปปิ้ง และย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โรงแรม
อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
เตรียมต้อนรับลูกค้าคนสำคัญได้มาสัมผัสบริการในแบบ “ดิ
อินเตอร์คอนติเนนตัล ไลฟ์” หลังการปรับปรุงครั้งใหญ่ ทางแบรนด์มีความตั้งใจเป็นอย่างมากจะผสมผสานความโอ่อ่าทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมไทยดั้งเดิมที่มีแรงบันดาลใจมาจากประเพณีการต้อนรับแบบไทยที่มีมายาวนานเพื่อส่งมอบการบริการที่ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานระดับโลก
ซึ่งเชื่อมั่นเครือข่ายชั้นเยี่ยมของพนักงานต้อนรับของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้
ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับท้องถิ่นของตนเป็นอย่างดี จะสามารถสร้างความประทับใจและมอบช่วงเวลาอันน่าจดจำนี้ให้กับลูกค้าทุกคน
สำหรับ “ราคาห้องพัก” ของโรงแรม เข้าพักตั้งแต่ มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป “ห้องคลาสสิค” เริ่มต้นที่ 9,000 บาท++ บาท/ห้อง/คืน สำรองห้องพักหรือสอบถามได้ที่ 66 02 656 0444
ส่วนโฉมใหม่ของ “โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ”
ถูกออกแบบและตกแต่งอย่างงดงามโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากความสวยงามของพระราชวัง
สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และเส้นขอบฟ้าที่สวยงามของกรุงเทพฯ โดยปรับปรุงมีห้องพัก 381 ห้อง ใหม่ทั้งหมด พร้อมกับห้องพักระดับ คลับ
อินเตอร์คอนติเนนตัล และห้องพักแบบสวีททุกห้องด้วยเช่นกัน
ผู้ใช้บริการจะสัมผัสได้ถึงสุนทรียภาพด้านการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมที่งดงามอ่อนช้อยของไทย
และ เสน่ห์ของ “เมืองแห่งรอยยิ้ม” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
โดยมี “ห้องอาหารและบาร์” มีให้เลือกทั้งหมดถึง 7 ร้าน บริการอาหารแบบตะวันตกและตะวันออก ปรุงโดยทีมพ่อครัวมากความสามารถที่หัวหน้าพ่อครัวบางท่านมีประสบการณ์จากห้องอาหารระดับดาวมิชลิน
ได้แก่
ห้องอาหารแรก “โซแคล/SoCal” เป็นแห่งแรกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแคลิฟอร์เนีย
ให้บริการไวน์จากแคลิฟอร์เนียกว่า 50 ชนิด พร้อมอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลายปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่สดใหม่
ตามฤดูกาล เมนูเด่นของโซแคล ได้แก่
ล็อบสเตอร์ ทอสทาด้า ปลาหมึกย่าง ทาโก้หมูสามชั้น ซีฟู้ดสตูว์สไตล์ซานฟรานซิโก และ
คอแกะตุ๋น
ห้องอาหารที่ 2 เอสเพรสโซ่/Espresso ให้บริการอาหารตลอดทั้งวันปรุงสดใหม่ในครัวเปิดที่มองเห็นการปรุงอาหารของพ่อครัว
เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสดใหม่ ได้แรงบันดาลใจมาจากตลาดริมทางในกรุงเทพฯ
มีอาหารให้เลือกสรรมากมาย ทุกมื้ออาหารจึงเหมือนเป็นการเดินทางเพื่อไปสัมผัสกับรสชาติอาหารที่แตกต่างกัน
ห้องอาหารที่ 3 ไฟร์เพลส กริลล์
แอนด์ บาร์ สไตล์ยุโรปดั้งเติม
ที่ให้บริการตั้งแต่ปี 2509
ให้บริการสเต็กและซีฟู้ดคุณภาพสูง และขนมหวานรสชาติสุดประณีต
ห้องที่ 4 “บัลโคนี่ เลาจน์/Balcony
Lounge ให้บริการอาหารว่าง ชุดน้ำชายามบ่าย
และเครื่องดื่มระดับโลกที่รังสรรค์จากส่วนประกอบอย่างดี
ในบรรยากาศการตกแต่งที่หรูหรา
ห้องที่ 5 “ฮิวมิดอร์/Humidor บาร์ที่มีซิการ์และวิสกี้หลากหลายชนิดจากทั่วทุกมุมโลกให้เลือกสรรมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
ห้องอาหารที่ 6 ซัมเมอร์ พาเลซ ห้องอาหารจีนกวางตุ้งต้นตำรับอันเลื่องชื่อ
ให้บริการติ่มซำที่ผ่านการเตรียมอย่างพิถีพิถัน
และอาหารพิเศษที่ปรุงอย่างเชี่ยวชาญโดยเชฟมากความสามารถฝีมือเยี่ยมในครัวเปิดที่ให้ลูกค้าสามารถเห็นขั้นตอนของการปรุงอาหารอย่างใกล้ชิด
ห้องที่ 7 บัตเตอร์ ให้บริการชา
กาแฟ อาหารคาวชนิดต่าง ๆ ทั้งแซนวิช
และสลัด รวมไปถึงขนมอบ ขนมเค้ก และของหวานหลายรายการ
สำหรับรับประทานที่ร้านหรือนำกลับบ้าน
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น