ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ททท.ปี2570ต่างชาติเที่ยวไทย70ล้านคน สูง35%จีดีพีประเทศ


ดร.ยุทศักดิ์ สุภสร 

ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)


ททท.ชี้ปี’70อุตฯท่องเที่ยวไทยพร้อมผงาดโกยรายได้ 35% จีดีพี

ลุยสร้างความมั่นคงท่องเที่ยว4เรื่องรับทัวร์โลกเข้าไทย70ล้านคน

ส่งไม้ต่อกลยุทธ์5MOVESDGs/สมดุลดีมานต์ซัพพลาย/ดิจิทัลDX

ช้อปเร็ว!!Duty Free Sale Let Your Self Goที่คิงเพาเวอร์ลด25+5%

พูลแมนคิงเพาเวอร์แจกใหญ่7โปรดีคูปองออนไลน์ไทยเที่ยวไทย

ช้อปคุ้ม!!คิงเพาเวอร์ทุกสาขาลุยลดน้ำหอม/เครื่องสำอางแรง25%

ททท.ผนึก28องค์กรจัด“FHT 2023”ดันศก.โรงแรมท่องเที่ยวไทย

บางจากMOUพันธมิตรลุยคาร์บอนเครดดิตพืชเกษตร/พลังงาน

TCEBดึงUFIAsiaPacific2026จัดในไทยดันขึ้นฮับเอ็กซิบิชั่นโลก

Unseenตะวันออก “วัดเขาพลอยแหวน/บุปผาราม/พุทธทวารดี”

แนะใช้พืชสมุนไพรไล่ยุงเร่งกำจัดแหล่งและป้องกันไข้เลือดออก

“เศรษฐา”รุกท่องเที่ยวโกยเงินด่วนไฮซีซันปี66นำร่อง 7 นโยบาย

แอคคอร์เปิด“อันดามันบีชHandwrittenCollection”แห่งแรกในไทย

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97  #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋  #KingPower  #TAT   #TCEB  #บางจาก #UnseenNewChapters  #ท่องเที่ยวปี70ทำรายได้GDP35เปอร์เซนต์

ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/mFdiGWHDa0/

 


                ช่วงที่ 1 ส่งไม้ต่อผู้นำกับ “ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้เป้านำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวผงาดปี’70 รายได้อู้ฟู่ 35 % จีดีพีประเทศ ดึงทั่วโลกเที่ยวไทย 60-70 ล้านคน แนะเร่งสร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยว 4 เรื่อง “จัดระเบียบSupply Side-ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน-ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่า-พัฒนาสู่ยั่งยืน” ควบคู่เดินหน้าขยายผล 5 MOVE SDGs+STGs-สร้างสมดุลดีมานต์ซัพพลาย-พัฒนาสินค้าตอบโจทย์เป้าหมาย-เปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล DX-สร้างภาพลักษณ์ Amazing Thailand Meaningful


ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังจากประเทศไทยมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศผนวกกับตนเองเป็นผู้นำบริหาร ททท.ต่อเนื่องมา 8 ปี มองอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในแต่ละช่วงผ่านเหตุการณ์ความท้าทายมาถึง 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกการแก้ปัญหาทัวร์จีนศูนย์เหรียญ ครั้งที่สอง อุบัติเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตและทรัพย์สิน ครั้งที่สาม วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งอุตสาหกรรมเป็นพลวัตที่จะต้องร่วมมือกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีมุ่งสู่ตลาดคุณภาพ สอดคล้องกับที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ตั้งเป้าหมายจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะทำรายได้เข้าประเทศล่าสุดก่อนเกิดโควิดเมื่อปี 2562 ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท แล้วจะต้องเพิ่มในเชิงคุณภาพตั้งแต่ปี 2570 จะต้องทำรายได้คิดเป็น 35 % ของผลิตภัณฑ์รายได้มวลรวมในประเทศ (GDP)

 

นั่นหมายถึงหากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสามารถทำรายได้ถึงปีละ 35 % ของจีดีพีประเทศ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามาใช้บริการใกล้เคียงกับจำนวนประชากรของไทย 60-70 ล้านคน

 

ส่วนพลังสำคัญสร้างความสำเร็จ “เอกชน” ทุกขนาดธุรกิจทุ่มเททำกันอย่างเต็มที่ โดยจะต้องร่วมมือกันพัฒนาอย่างเต็มที่นับจากนี้เป็นต้นไปเพื่อ “สร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย” 4 เรื่อง ประกอบด้วย 

เรื่องที่ 1 การพัฒนาผู้ประกอบการ Supply Side ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพตามกลุ่มเป้าหมายที่ประเทศต้องการ

เรื่องที่ 2 การลงทุนโครงการพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว กรณีตลาดนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยยังต้องเผชิญปัญหาเครือข่ายคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะ และการบริการ

เรื่องที่ 3 การตอบรับทางเทคโนโลยี นำเข้ามาใช้เพิ่มมูลค่า สร้าความพึงพอใจให้นักท่องเที่ยวมีประสบการณ์ที่ดี

เรื่องที่ 4 การบริหารความเสี่ยงจากสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงจากภายนอก เรื่องของภาวะเศรษฐกิจ ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านประเทศไทยยังสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี

ซึ่งทั้ง 4 เรื่องจะต้องพัฒนาและขับเคลื่อนบนพื้นฐาน “ความยั่งยืน” ซึ่งเป็น “กุญแจสำคัญ” หรือ Key Driver ทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตต่อไป

ขณะเดียวกันการเดินหน้าพัฒนาฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์เคียงข้างกันไป 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 สถานที่ท่องเที่ยวของประเทศซึ่งเป็นทั้งธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ส่วนที่ 2 ความพร้อมทางด้านบริการต่าง ๆ หรือ hospitality ทุกวันนี้เมืองไทยได้เป็นสองรองใคร และที่จะต้องเติมเต็มเป็นอันดับแรกคือ ส่วนที่ 3 People Ware หรือคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในอดีตก่อนเกิดโควิดเคยมีถึง 10 ล้านคน ตอนนี้จะต้องหาวิธีพัฒนาคนทั้งการปรับปรุงและยกระดับ Re-Up Skill ทักษะการทำงานใหม่อีกครั้งอย่างเข้มข้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการท่องเที่ยวของไทย

 


สำหรับ “ซอฟท์แวร์” เป็นการเลือกใช้เทคโนโลยีต้องคำนึงถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการท่องเที่ยว มุ่งไปสู่การพลิกโฉมสู่ดิจิทัล หรือในญี่ปุ่นเรียกว่า DX หรือ digital Transformation :การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าๆ  สู่สิ่งใหม่ ๆ ที่ดีขึ้น เป็นเรื่องจำเป็นจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงนำเข้ามาใช้เพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่นักท่องเที่ยว ด้วยการปรับปรุงการทำงาน หรือทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข

 

ขณะที่การรับมือกับโลกท้าทาย อีก 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่ 1 โลกร้อน หรือ โลกเดือด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการเดินทางท่องเที่ยว หากประเทศที่เคยหนีหนาวมาไทย หลังจากนี้ถ้าอากาศไม่หนาวมากแล้วย่อมส่งผลถึงการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องที่ 2 การพัฒนาแรงงาน ลดแรงกระแทกโดยบริหารความเสี่ยงทั้ง ภูมิรัฐศาสตร์ และอื่น ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนคู่มือเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะนำมาใช้ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ททท.ยังคงสามารถใช้คัมภีร์ MOVE หรือการขับเคลื่อนและการพัฒนา 5 เรื่อง ตั้งแต่ 1.การตลาด 2.องค์กร 3.สร้างมูลค่าเพิ่ม 4.การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 5.เพิ่มประสิทธิสร้างกลไกการทำงานของ ททท. อนาคต ซึ่งแต่ละเรื่องมีรายละเอียดแตกต่างกันไป คือ

 

เรื่องที่ 1 ขับเคลื่อนและพัฒนาด้านความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบัน ททท.มีแผนแม่บทชัดเจนทั้ง SDGs และ STGs

 

เรื่องที่ 2 สร้างสมดุลทั้งดีมานต์และซัพพลาย ก่อนโควิดทำให้ไทยไม่สามารถปรับราคาขายท่องเที่ยวได้ นำผลผลิตได้มากแต่กำไรน้อย ดังนั้นจึงต้องทำโครงสร้างดังกล่าวใหม่โดยเน้นการทำตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

 

เรื่องที่ 3 การพัฒนาสินค้าท่องเที่ยว สามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวปัจจุบัน แล้วมีกลุ่มใดบ้างเป็นลูกค้าสำคัญ ทำให้วันพักเฉลี่ย การใช้จ่าย เพิ่มสูงขึ้น

 

เรื่องที่ 4 การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล DX Digital Transformation จะวางกลยุทธ์อย่างไรเพิ่มความยั่งยืนและมูลค่า ต้องให้ความสำคัญและไม่ละเลยเรื่องนี้ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมและมีความรอบรู้ เพื่อป้องกันการสูญเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไป

 

เรื่องที่ 5 การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ซึ่งมี Amazing Thailand เป็นแบรนด์ที่เข้มแข็ง จะต้องเริ่มต้นอีก 1-2 ปีข้างหน้า ต่อยอดความสามารถการท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่าและความหมายพิเศษขึ้นมาหรือ Meaningful Relationship ทำให้ไทยเป็นประเทศเป็นจุดหมายปลายทางของตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

 

ส่วนรายได้จากตลาดในประเทศก็ต้องทำให้เป็นขาที่มั่นคง เพราะหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดก็จะยังแข็งแกร่งได้ ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น จำนวนล้านคนครั้งหารด้วยจำนวนประชากรต่อปี ได้ไม่ถึง 3 คนครั้ง/ปี จะต้องรักษาความต่อเนื่อง “ไทยเที่ยวไทย” ให้เข้มแข็งมากที่สุด

 

ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสินค้าการท่องเที่ยวที่ดีและหลากหลาย โดยเฉพาะโรงแรมที่พักหรูหรา อาหารอร่อยมีตั้งแต่สตรีทฟู้ดไปจนถึงมิชลินสตาร์ แต่คนทั่วโลกก็ยังโหยหา “ความเป็นเจ้าบ้านที่ดี” มีน้ำใจ ดูแลใส่ใจนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปฐมบทของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หากไทยไม่ได้ทำสิ่งดังกล่าวแล้วก็อาจจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันได้ ดังนั้นจึงขอรณรงค์ให้ทุกคนหันมาช่วยกันทำ Thai Hospitality เพื่อรักษารายได้การท่องเที่ยวไว้ให้ได้ตราบนานเท่านาน

 

ฟังข่าวต้นชั่วโมง

 

ข่าวที่ 1 ช้อปเร็ว!!Duty Free Sale Let Your Self Goที่คิงเพาเวอร์ลด25+5%

 

มาแล้ว!! แคมเปญช้อปรายการเด็ด “Duty Free Sale Let Your Self Go” ที่ คิงเพาเวอร์ ออนไลน์ พบกับมหกรรมบิวตี้และแฟชั่นแบรนด์ ลดแรงครั้งใหญ่ดีลสุดท้ายปลายเดือน วันนี้ - 31 สิงหาคม 2566 กดช้อปก่อนเริ่ดก่อนใคร ลดแบบไม่เกรงใจใคร จัดหนักจนต้องร้องกรี๊ดให้กับ “คนมีแผนเดินทางต่างประเทศ” ก็ต้องไม่พลาดไอเทมดี ๆ ที่คิง เพาเวอร์แห่งเดียวเท่านั้นลดสูงสุด 25% รหัสส่วนลด DF25 

 

พิเศษ! สมาชิกคิง เพาเวอร์ ที่ผูกบัญชีบัญไลน์แล้วเท่านั้น รับส่วนลดเพิ่มทันที 5% เมื่อช้อปครบ 10,000 บาท เพียงกดรับรหัสส่วนลดDFMB25

 

สินค้าดิวตี้ฟรีสุดฮอต มีไฟลต์บินแล้วรีบเลย! รับสินค้าที่สนามบิน ช้อปได้ทั้งขาเข้า-ขาออก  แล้วอย่าลืม!! รับสิทธิ์ 1.แบ่งชำระ 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน 2.รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 8,000 บาท 3.ฟรี! ของสมนาคุณสุดพิเศษ จากแบรนด์ดัง (ของแถมมีจำนวนจำกัดและอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า) 4.รับเลย! ส่วนลด 200 บาท เมื่อสมัครสมาชิกออนไลน์  5.รับสิทธิ์การสมัครสมาชิก คิง เพาเวอร์ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท(สุทธิ)

 

ข่าวที่ 2 พูลแมนคิงเพาเวอร์แจก7โปรดีคูปองออนไลน์ไทยเที่ยวไทย

 

โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ) ในเครือคิง เพาเวอร์ พาเหรด “คูปองออนไลน์” มาให้เลือกซื้อล่วงหน้ากับ บุฟเฟต์ซีฟู้ด สปา โอมากาเสะ ที่นำเข้าร่วมขายในมหกรรมงาน #ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 67 ตั้งแต่วันนี้- 28 สิงหาคม 2566 รับรัว ๆ ส่วนลดเพิ่ม 10 % สำหรับสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ และแอคคอร์ พลัส คูปองที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถเก็บไว้ใช้ได้ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 เลือกได้ถึง 7 โปรโมชั่นดังนี้

 

โปรโมชั่นที่ 1 ซื้อ 10 แถม 1 บุฟเฟต์อาหารเช้า -วันจันทร์ - วันอาทิตย์ ราคา 600 บาทสุทธิ (ปกติ 900 บาทสุทธิ)

 

โปรโมชั่นที่ 2 ซื้อ 10 แถม 1 บุฟเฟต์ซีฟู้ดบาร์บีคิวมื้อค่ำ -วันจันทร์ - วันพุธ ราคา 1,200 บาทสุทธิ รวมเครื่องดื่มซอฟท์ดริ้ง(ปกติ 1,750 บาทสุทธิ)

 

โปรโมชั่นที่ 3 ซื้อ 10 แถม 1 บุฟเฟต์ซีฟู้ดบาร์บีคิวมื้อค่ำn เพิ่มปูอลาสก้า -วันพฤหัสบดี - วันอาทิตย์ ราคา 1,500 บาทสุทธิ รวมเครื่องดื่มซอฟท์ดริ้ง (ปกติ 2,250 บาทสุทธิ)

 

โปรโมชั่นที่ 4 ซื้อ 10 แถม 1 บุฟเฟต์ซันเดย์บรันซ์  -ฟรีเด็กต่ำกว่า 12 ปี 1 คน ราคา 1,600 บาทสุทธิ รวมเครื่องดื่มซอฟท์ดริ้ง (ปกติ 2,590 บาทสุทธิ)

 

โปรโมชั่นที่ 5 ซื้อ 4 แถม 1 นวดตัวสปา 60 นาที - เลอ สปา ราคา 1,200 บาทสุทธิเลือก นวดน้ำมันอโรม่า นวดไทย หรือขัดผิวกาย

 

โปรโมชั่นที่ 6 คอร์สโอมากาเสะ มื้อกลางวัน ราคา 2,200 บาทสุทธิ 12 เมนู (ปกติ 2,900 บาทสุทธิ) ที่ Tenko Omakase Bangkok

 

โปรโมชั่นที่ 7 ชุดน้ำชายามบ่าย ราคา 499 บาทสุทธิ (ปกติ 599 บาทสุทธิ) เดอะ จังชั่น

 

สอบถามเพิ่มเติมแต่ละโปรโมชั่นได้ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ (กรุงเทพฯ) โทร 02 680 9999

 

 

ข่าวที่ 3 ช้อปคุ้ม!!คิงเพาเวอร์ทุกสาขาลุยลดแรงน้ำหอม/เครื่องสำอาง25%

 

ช้อปคุ้ม!! ที่คิง เพาเวอร์ ทริปนี้ ช้อปสาขาไหนก็คุ้มลดแรงครั้งใหญ่  คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา ยกเว้นสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ รับไปได้เลย วันนี้-31 สิงหาคม 2566

 

1.ลดสูงสุด 25%เมื่อช้อปเครื่องสำอาง น้ำหอม 10,000 บาท/ใบเสร็จ

 

2.พิเศษ! สมาชิก คิง เพาเวอร์ รับส่วนลดเพิ่มอีก 5% เพียงแค่คลิกไปที่ คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ ที่ kingpower.com  และ King Power App เพียงแค่พิมพ์ “DF25”

 

3.ลดสูงสุด 25%  เมื่อช้อปออนไลน์ครบ 10,000 บาท พิเศษ! สมาชิก คิง เพาเวอร์ ที่ผูกสมาชิกออนไลน์ กรอก “DFMB25” ช้อปเครื่องสำอางและน้ำหอม รับส่วนลดเพิ่มอีก 5%

 

ข่าวที่ 4 ททท.ผนึก28องค์กรจัด“FHT 2023”ดันศก.โรงแรมท่องเที่ยวไทยโต

 

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้เป็นประธานเปิดงาน FHT 2023 : Food & Hospitality Thailand 2023 เป็นมหกรรมการจัดแสดงสินค้าด้านอาหารและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร บาร์ ร้านกาแฟ และธุรกิจเกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 23 - 26 สิงหาคม 2566  เป็นมหกรรมใหญ่แห่งปีสามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 10.00-18.00 น.บริเวณฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีเอกชนร่วมมือกันจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การเชื่อมต่อธุรกิจสู่อนาคต : Connecting the Future เพื่อร่วมกันพัฒนา สร้างความเข้มแข็ง ผนึกกำลังกันฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวภาคบริการที่เกี่ยวข้อง ภายในงานจะเน้นการแสดงสินค้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ครอบคลุมครบวงจรทั้งทางด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยง และการบริการนานาชาติ ที่คนไทยและทั่วโลกให้ความสนใจต่อเนื่องมาตลอดทุกปี

 

การจัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT)  2023 เดือนสิงหาคม 2566 นี้ ทาง บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมมือกับสมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมบาริสต้า สมาคมเชฟประเทศไทย สมาคมค้าปลีกไทย และพันธมิตรท่องเที่ยวและบริการทั้งจากในไทยและนานาชาติรวมกว่า 28 องค์กร พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มท่องเที่ยว อาหาร ร้านอาหาร ค้าปลีก ธุรกิจบริการ สปา โรงพยาบาลและโลจิสติกส์ กลับมาฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย เป็นพลังนำเศรษฐกิจประเทศแข็งแกร่งได้อีกครั้ง

 

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท.พร้อมเดินหน้าสนับสนุนเจ้าภาพหลักงานนี้นำโดย นายมนู เลียวไพโรจน์ บริษัท อินฟาร์มา มาร์เก็ตส์ (ประเทศไทย) นายสมศักดิ์ รารองคำ นายกสมาคมเชฟประเทศไทย นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย  ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามเป้าหมายของประเทศปี 2566 ตั้งไว้ไม่น้อยกว่า 30 ล้านคน แล้วงาน FHT 2023 ก็เป็นอีกหนึ่งพลังที่สามารถดึงดูดผู้จัดแสดงสินค้า นักเดินทาง นานาชาติเข้ามาร่วมงาน พร้อมกับเปิดเวทีจับคู่เจรจาการค้าอาหาร เครื่องดื่ม คาเฟ่ โรงแรม และอีกมากมาย รวมทั้งคนไทยก็จะได้รับโอกาสเข้าร่วมแลกเปลี่ยนและชมเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยแต่ละธุรกิจที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยจะได้นำมาพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้ต่อไป

               

โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมไทยเตรียมต้อนรับการท่องเที่ยวไทยกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากนักเดินทางต่างประเทศและคนไทย ดังนั้นปี 2566 โรงแรม รีสอร์ต และสถานที่บริการห้องพักของไทยจึงคาดจะมีรายได้กระจายสู่ที่พักทั่วประเทศจะสามารถทำอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OR :Occupacy Rate) ได้ไม่ต่ำกว่า 60-65 %  สร้างเงินสะพัดกว่า 2.25 ล้านล้านบาท

 

เนื่องจากเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัว ก็จะสร้างอานิสงเชิงบวกทางเศรษฐกิจส่งไปถึงอีก 3 ธุรกิจหลักได้ด้วย ได้แก่ อาหาร บริการ และสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งแนวโน้มของรัฐบาลใหม่ก็พร้อมจะสานต่อนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นอุตสาหกรรมทำรายได้หลักเข้าประเทศอย่างมีนัยสำคัญทั้งปัจจุบันและอนาคต

 

ขณะที่เป้าหมายการจัดแสดงสินค้า FHT 2023 ครั้งนี้ ทางผู้จัดมุ่งเน้นเรื่อง “การเชื่อมต่อธุรกิจสู่อนาคต : Connecting the Future” ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งจะยังคงทำกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ จัดสัมมนาแนวโน้ม เทรนด์และทิศทางของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว อาหารและการบริการ รวมไปถึงโซนจัดแสดงสินค้าอย่างครอบคลุมอุตสาหกรรมทุกกลุ่ม

 

ในงานมีไฮไลต์พิเศษของกลุ่มธุรกิจเติบโตสูง 2 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 ธุรกิจกาแฟและเบเกอรี่ (Coffee & Bakery Thailand) โซนที่ 2 ธุรกิจร้านอาหารและบาร์ (Restaurant & Bar Thailand) เป็นจุดแข็งและแม่เล็กดดึงดูดผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้เยี่ยมชมงานจากทั่วโลกได้มาพบกัน และมีส่วนร่วมกับการจัดงาน FHT 2023 ครั้งนี้ด้วย

 

สำหรับสถิติการจัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) ที่มี บริษัท อินฟาร์มา มาร์เก็ตส์ (ประเทศไทย)  รับผิดชอบดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยว เมื่อปี 2565 ผู้ประกอบการทั้งไทยและนานาชาติร่วมมือเป็นอย่างดีจึงส่งทำให้งานได้รับความสำเร็จมีผู้ประกอบการนานาชาติทั่วโลกเข้าร่วมถึง 243 บริษัท จาก 12 ประเทศ พร้อมทั้งมีชมงานที่เป็นกลุ่มธุรกิจ 22,773 ราย จาก 61 ประเทศ แล้วประเทศยังได้รับคำชมเชยและคำขอบคุณในเชิงสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานโดยได้นำเสนอถึงแนวโน้ม ทิศทาง ปัจจัยต้องเฝ้าระวังหลังผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ได้อย่างมีคุณภาพทุกกิจกรรม ทั้งการประชุม สัมมนา การจัดแสดงสินค้าและบริการ ทำให้ผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มธุรกิจสามารถนำไปไประยุกต์ใช้ในการวางแผนรับมือ ปรับธุรกิจให้พร้อมต้อนรับรับท่องเที่ยวของไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2566 จนถึงปัจจุบันปี 2566

 

ข่าวที่ 5 บางจากMOUพันธมิตรลุยคาร์บอนเครดดิตพืชเกษตร/พลังงาน

 

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดผยว่า ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง “การพัฒนาโครงการด้านคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ การเกษตรและพลังงานหมุนเวียนกับกลุ่มสหกรณ์และเกษตรกรในเครือข่ายธุรกิจ
บางจากฯ และพันธมิตร
กับนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการ/ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ นายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการลงทุน บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสนับสนุนความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริม แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ เทคโนโลยี บุคลากร

 

ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการในโครงการด้านคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ การเกษตรและพลังงานหมุนเวียนกับกลุ่มสหกรณ์และเกษตรกรในเครือข่ายธุรกิจบางจากฯ และพันธมิตร ให้สอดคล้องกับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ผ่านกิจกรรมในแปลงพืชเกษตรยืนต้น ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไม้ผล เป็นต้น และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เองเพื่อลดต้นทุนทางการผลิต สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด สร้างมูลค่าเพิ่มและคุณค่าร่วมจากกระบวนการคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้น

 

ผลจากการลงนามความร่วมมือวันนี้ บางจากฯ และพันธมิตรจะจัดทำโครงการ “พรรณ D” คาร์บอนเครดิตจากพืชเกษตรยืนต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์นำไปใช้ในภาคธุรกิจผ่านออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมกับเครือข่ายสหกรณ์การเกษตรที่สนใจจะร่วมโครงการ โดยได้นำร่องสำรวจความต้องการของสหกรณ์การเกษตรมาระยะหนึ่งแล้ว พร้อมเริ่มทั้ง 2 โครงการ ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ 2566 เป็นต้นไป

 

ปัจจุบัน บางจากฯ มีสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 1,360 แห่ง โดยมีกว่า 600 แห่ง เป็นสถานีบริการน้ำมันชุมชนหรือปั๊มชุมตั้งมาตั้งแต่ปี 2533 ดำเนินงานโดยเครือข่ายสหกรณ์การเกษตร ครอบคลุมกว่า 1 ล้านครัวเรือน ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจที่บางจากฯ ดูแลและทำงานร่วมกันมากว่า 33 ปี ขณะนี้ผู้นำสหกรณ์การเกษตรมีแนวโน้มต้องการมีส่วนร่วมป้องกันภาวะโลกร้อน สนใจจะใช้พลังงานหมุนเวียนรวมถึงต้องการมีส่วนร่วมในโครงการด้านคาร์บอนเครดิตจากภาคการเกษตร สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และแผนด้านความยั่งยืนของกลุ่มบริษัทบางจาก นำมาสู่การลงนามครั้งนี้ร่วมกัน

 

นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะผู้ริเริ่มและรับผิดชอบโครงการ ขณะนี้ทุกภาคส่วนกำลังให้ความสำคัญเข้าร่วมป้องกันภาวะโลกร้อนซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ซึ่งความร่วมมือนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดเรื่องคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตรและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทางสหกรณ์การเกษตรผู้ดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันชุมชนของบางจากฯ ส่วนที่ 1 ประกอบธุรกิจพืชเกษตรยืนต้นมีแผนปรับปรุงการใช้ปุ๋ย ส่วนที่ 2 ผู้ประกอบการสหกรณ์การเกษตรจำนวนมาก ต้องการเปลี่ยนมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองลดต้นทุนทางการผลิตและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด

 

บางจากฯ จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปสนับสนุนสหกรณ์การเกษตร และกลุ่มเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ  3 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 ให้ความรู้เกี่ยวกับโลกร้อน การร่วมดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตจากพืชเกษตรยืนต้นกับบางจากฯ หรือติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการและผู้ประสานงานหลัก ด้านที่ 2 สื่อสารประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย สร้างความรู้ความเข้าใจ

 

ด้านที่ 3 ร่วมสำรวจพื้นที่ ติดตามการดำเนินงานกับทีมงานจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ด้วยความสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อร่วมผลักดันโครงการให้ผ่านการขึ้นทะเบียนและการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อันเป็นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่าปัจจุบันนานาประเทศให้ความสำคัญเรื่องการสร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิตที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและลดปัญหาโลกร้อน นอกจากป่าไม้หรือพืชเกษตรยืนต้นจะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังมีคาร์บอนเครดิตที่มีมูลค่าสร้างรายได้ ในเมืองไทยภาครัฐและเอกชนหันมาทำเรื่องคาร์บอนเครดิตมากขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับกระแสการลดก๊าซเรือนกระจก จะนำพาธุรกิจสู่ความยั่งยืน ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จึงร่วมสนับสนุน ส่งเสริมโครงการในระดับพื้นที่ ร่วมประชาสัมพันธ์ สนับสนุนข้อมูล ความรู้และบุคลากร

 

รวมทั้งจะศึกษาโอกาสขยายผลสู่สหกรณ์อื่น ๆ ในอนาคต  ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตคาร์บอนต่ำผ่านกลไกคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตรแล้ว และตอบสนองต่อนโยบาย BCG Economy เป็นอย่างดีอีกด้วย

 

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการ/ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ทางมูลนิได้ริเริ่มโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อพัฒนาที่ยั่งยืน จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจแปลงป่าเพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ การให้ความรู้และสร้างทักษะ ถ่ายทอดกระบวนการทำงาน และเป็นที่ปรึกษาชุมชนทำฐานข้อมูลปริมาณการกักเก็บคาร์บอนฯ อย่างเป็นระบบ พร้อมขึ้นทะเบียนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้ ภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทยผ่านหน่วยงานภาครัฐ โดยมีเอกชนผู้สนับสนุนงบประมาณ และได้รับคาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตน

 

ขณะที่ชุมชนเกิดรายได้เสริมจากการดูแลป่า ทำในรูปแบบกองทุนดูแลป่าชุมชนและกองทุนพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน สามารถใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลรักษาป่าต่อไป โดยมีบางจากฯ เป็นหนึ่งในพันธมิตรร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งแต่ระยะพัฒนาระบบ (พ.. 2563-2565) และระยะขยายผลหลังปี 2566 จะจับมือกันลงพื้นที่ สำรวจและกำหนดขอบเขตโครงการ ติดตามงานเพื่อพัฒนาเอกสารข้อเสนอโครงการ (Project Design Document: PDD) ขึ้นทะเบียนและรับรองเครดิตสนับสนุน  ให้ผ่านการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ

 

นายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการลงทุน บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บีซีพีจี เป็นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนระดับแนวหน้าในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดชนิดต่าง ๆ แล้วยังให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการผู้บริโภคได้ใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ความร่วมมือนี้นอกจากบีซีพีจีจะร่วมบริหารติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้ทางสหกรณ์การเกษตรที่สนใจแล้ว ยังจะร่วมสนับสนุนสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรด้านความรู้เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต แนวปฏิบัติคาร์บอนต่ำ การรักษาผลผลิตและระบบบริหารข้อมูลดิจิทัลที่สอดคล้องกับการจัดการกิจกรรมในแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนโอกาสจะซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทฯ โดยพร้อมจัดฝึกอบรม แบ่งปันข้อมูลความรู้ การติดตาม ตรวจทานที่จำเป็นที่จะพัฒนาโครงการอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

 

ข่าวที่ 6 TCEBดึงUFIAsiaPacific2026จัดในไทยดันขึ้นฮับเอ็กซิบิชั่นโลก

 

มร. ไค ฮัทเทนดอฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมการแสดงสินค้าโลก หรือ “UFI” เปิดเผยว่า สมาคมการแสดงสินค้าโลกมั่นใจที่ได้เลือกเลือกไทยเป็นเจ้าภาพ “จัดงานประชุมประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกปี 2569 : UFI Asia Pacific Conference 2026” ในกรุงเทพฯอีก 3 ปีข้างหน้า ตามข้อมูลของ UFI ยืนยันในภูมิภาคนี้และประเทศไทยมีศักยภาพจะฟื้นตัวเทียบเท่ากับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก โดยเฉพาะช่วงแรกตลาดกลุ่มงานแสดงสินค้าเริ่มเปิดตัวก่อนแล้วสามารถกลับมาทำรายได้เท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์เกิดโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงทั้งผู้ซื้อและผู้ขายให้ความสำคัญกับการได้มาพบปะเจรจาธุรกิจกันโดยตรง

 

ดังนั้น UFI จึงได้จับมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” พันธมิตรที่ร่วมมือกันมานาน โดยมีความยินดีอย่างมากที่สมาชิกจะได้กลับมาเยือนกรุงเทพฯ อีกครั้งในปี 2569 เพื่อจัดงาน UFI Asia Pacific Conference มั่นใจงานนี้จะทำให้ผู้นำจากวงการธุรกิจจัดงานแสดงสินค้าทั่วทั้งภูมิภาคและทั่วโลกประชุมร่วมกันโดยได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า รวมทั้งจะได้นำข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ หลังจากพบปะผู้คนหน้าใหม่และคู่ค้าที่คุ้นเคยกันมาก่อน ทั้งทางด้านการได้สำรวจโอกาสทางธุรกิจ สัมผัสกับมิตรภาพ น้ำใจไมตรี และความเป็นมืออาชีพของไทย

 

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” กล่าวว่า ทั้งสององค์กรร่วมมือกันอย่างดีมายาวนาน ทางทีเส็บยินดีที่ UFI เลือกไทยเป็นประเทศเจ้าภาพงาน UFI Asia Pacific Conference 2026 ครั้งที่ 2 ต่อจากเชียงใหม่เมื่อปี 2559 เคยเป็นเจ้าภาพงานนี้เป็นครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกกับประเทศ

 

หลังสมาคมการแสดงสินค้าโลกอย่าง UFI ตัดสินใจเลือกไทยเป็นประเทศจัดงานประชุมภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ยิ่งจะช่วยตอกย้ำและเสริมความโดดเด่นให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงสินค้า เพราะปัจจุบันไทยเป็นจุดหมายจัดงานแสดงสินค้าอันดับ 1 ของอาเซียนอยู่แล้ว อีกทั้งยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แสดงศักยภาพและขยายเครือข่ายในตลาดโลก จะช่วยเพิ่มงานแสดงสินค้าทั้งในไทยและทั่วภูมิภาค ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังชะลอตัวลง

 

ดังนั้นทีเส็บจึงได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ UFI ประกาศเปิดตัวไทยอย่างเป็นทางการในฐานะประเทศเจ้าภาพ UFI Asia Pacific Conference 2026 เพื่อแสดงเจตจำนงค์ร่วมกันทำให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จในอนาคตต่อไป

 

ในปีงบประมาณ 2565 ทีเส็บได้จัดเก็บข้อมูลนักเดินทางไมซ์ “กลุ่มการแสดงสินค้านานาชาติ” เดินทางเข้ามาร่วมงานในไทยทั้งสิ้น 67,668 คน สร้างรายได้ 4,423 ล้านบาท นำเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 9,468 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 5,301 อัตรา เกิดรายได้จากการจัดเก็บภาษี 189 ล้านบาท

 

ขณะที่ 3 ไตรมาสแรกในปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 - มิถุนายน 2566) ไทยมีนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศเข้ามาแล้ว 440,946 คน สร้างรายได้ 26,274 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเข้าร่วมงานแสดงสินค้า 204,397 คน คิดสัดส่วนเป็น 46% ของนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศทั้งหมด ทำรายได้ 13,017 ล้านบาท

 

นางสาวปนิษฐา บุรี นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA กล่าวว่า สมาคมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมจัดงาน UFI Asia Pacific Conference โดยจะร่วมทำงานใกล้ชิดกับทางทีเส็บ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดี เกิดความประทับใจและน่าจดจำ รวมถึงหวังทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไมซ์ไทยและทั่วทุกมุมโลกจะสามารถสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง โดยได้รับประโยชน์จากการร่วมแบ่งปันประสบการณ์ต่าง ๆ กับทางสมาชิก UFI ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการจัดประชุมและแสดงสินค้าของไทยกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย เติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ต่อไป

 

            ช่วงที่ 2 เที่ยวเมืองไทยไปสบ๊าย...สบาย ใน “ภาคตะวันออก” กับมหัศจรรย์ Unseen New Chapters 3 พิกัดสวย ๆ “วัดเขาพลอยแหวน” จันทบุรี “วัดบุปผาราม” ตราด และ ““พระพุทธทวารวดีศรีปราจีน สิรินธรโลกนาถ” ปราจีนบุรี แล้วช่วงนี้ต้องรีบเลย “ใช้สมุนไพรไทยกำจัดกันยุงป้องกันไข้เลือดออก” แล้วฟังข่าวฮ็อต ข่าวแรก “เศรษฐา ทวีสิน” รุกใช้ท่องเที่ยวโกยเงินด่วนไฮซีซันเปิด7นโยบายใหม่ ข่าวที่สอง “แอคคอร์” นำแบรนด์ “อันดามันบีชHandwrittenCollection”เปิดแห่งแรกในไทย

 

ท่องเที่ยว –Unseenตะวันออก“วัดเขาพลอยแหวน/บุปผาราม/พุทธทวารดี”

 

ไปเที่ยวเมืองไทยแบบสบ๊าย...สบาย กันดีกว่า ตั้งเข็มไมล์ตะลอนทัวร์ตามสถานที่ Unseen New Chapters น้องใหม่มาแรงใน “ภาคตะวันออก” เช็คอินสุดฟิน 3 พิกัดสวย ๆ ที่ “วัดเขาพลอยแหวน” อ.ท่าใหม่ จันทบุรี “ ตามด้วย “วัดบุปผาราม” อ.เมือง จ.ตราด และ “พระพุทธทวารวดีศรีปราจีน สิรินธรโลกนาถ” อ.ปราจีนบุรี

 

พิกัดที่ 1 จุดชมวิววัดเขาพลอยแหวน ต.พลอยแหวน อ.ท่าใหม่ เยือนวัดเล็กในป่าใหญ่…เปิดมุมมองใหม่เมืองจันทบุรี

 

จุดชมวิววัดเขาพลอยแหวน ต.พลอยแหวน เป็นแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานอายุกว่า 200 ปี ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาพลอยแหวน เป็นวัดเก่าแก่กลางขุนเขา ล้อมรอบด้วยร่มเงาของผืนป่าเขียวชอุ่ม และถึงจะเป็นวัดเล็กในป่าใหญ่ แต่ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองจันทบุรี มีความโดดเด่นด้วยรัตนคีรีเจดีย์ที่มีพิกัดอยู่บนยอดเขา ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองจันท์ครอบคลุมทั้งฝั่งเมืองและฝั่งทะเล จะสวยงามมากเป็นพิเศษ ในวันที่มีทะเลหมอกรายล้อมยอดเขา ถือเป็นมุมมองใหม่เมืองจันทบุรีที่น้อยคนจะรู้จัก นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาสัมผัสความสวยงามได้ทุกวัน ตั้งแต่ 6.00 น. - 18.00 น.

 

สอบถามได้ที่ ททท.สำนักงานจันทบุรี โทร. 0 3948 0220 หรือ 06 2595 1902

 

พิกัดที่ 2 วัดบุปผาราม อ.เมือง จ.ตราด...ชมเสน่ห์บุปผางาม ณ พระอารามแห่งดอกไม้

 

“บุปผาราม” เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดตราด เป็นที่ประดิษฐานของ “หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศูนย์รวมจิตใจของชาวตราด ถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ส่วนชื่อ ‘บุปผาราม’ นั้น มาจากแรกเริ่มเดิมทีก่อนสร้างวัด มีนักสำรวจได้กลิ่นหอมของดอกไม้ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณที่แห่งนี้ แต่หลังจากเดินหากลับไม่พบวี่แววของดอกไม้ใดๆ และจากตำนานนี้เอง

 

ที่นำมาสู่ซิกเนเจอร์ประจำวัด คือ ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังที่มากด้วยกลิ่นอายของมวลดอกไม้นานาพรรณ จึงถือเป็นอีกหมุดหมาย ที่นักเดินทางสายบุญต้องไม่พลาดแวะมาสร้างคอนเทนต์ โดยสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - พฤษภาคม ทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.

 

สอบถาม ททท.สำนักงานตราด โทร. 0 3959 7259-60

 

พิกัดที่ 3 พระพุทธทวารวดีศรีปราจีน สิรินธรโลกนาถ อ.ปราจีนบุรี ไขปริศนาธรรมในพุทธอุทยาน…ชมความอลังการป่าล้อมพระ

 

“พระพุทธทวารวดีศรีปราจีน สิรินธรโลกนาถ”  เป็นองค์พระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มีความสูงถึง 34 เมตร สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้แนวคิด “พุทธนิเวศ” เพื่อเป็นแหล่งศึกษาธรรมะ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติ ในพื้นที่ของ “วนอุทยานป่านันทนาการน้ำตกเขาอีโต้” และเนื่องจากบริเวณโดยรอบองค์พระนั้น รายล้อมไปด้วยธรรมชาติทิวทัศน์ความสวยงามของผืนป่า สถานที่แห่งนี้จึงเป็นเหมือนจุดพักใจ สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาแคมป์ปิ้งหรือออกทริปปั่นจักรยาน เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 16.00 น.

 

สอบถาม ททท.สำนักงานนครนายก โทร. 0 3731 2282 หรือ 0 3731 2284

 

สุขภาพ –แนะใช้พืชสมุนไพรไล่ยุงกำจัดแหล่งและป้องกันไข้เลือดออก

 

ตอนนี้สาธารณสุขเร่งรณรงค์ จำกัดยุงลาย ป้องกัน “ไข้เลือดออก” เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก จึงต้องควบคุมทั้งแหล่งกำเนิด และทำลายยุง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค การป้องกันไม่ให้ยุงกัดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กัน จึงมีการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ไล่ยุง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารสังเคราะห์และเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อม

 

มี “พืชสมุนไพรหลายชนิด” มีคุณสมบัติป้องกันและกำจัดแมลงได้ ปัจจุบันมีศึกษาและใช้สารจากธรรมชาติป้องกันยุงกัดมากขึ้น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.สารสกัดจากสมุนไพรที่มีกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหย (essential หรือ volatile oils)  กับ 2.สารป้องกันยุงที่ได้จากธรรมชาติมีข้อดีกว่าสารเคมีสังเคราะห์ เพราะไม่สะสมเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อใช้เป็นเวลานาน แถมไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของพืชและสัตว์ สารจากธรรมชาติจึงปลอดภัยต่อผู้ใช้ แล้วมักมีความจำเพาะกับชนิดของยุงด้วย

 

สำหรับ พืชกลุ่มสกุล (genus) Cymbopogon คือน้ำมันหอมระเหยจากพืชในสกุล Cymbopogon ได้แก่ ตะไคร้ชนิดต่าง ๆ มีฤทธิ์ป้องกันยุงได้หลายชนิด เช่น ยุงก้นปล่อง ยุงลาย และยุงรำคาญ

 

ชนิดที่ 1 ตะไคร้หอม (Cymbopogon nardus (L.) Rendle) ผลศึกษาระบุมีฤทธิ์ไล่ยุง ในตำรับน้ำมันตะไคร้หอม (citronella oil) ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ citronella, geraniol และ citronellol ทำเป็นครีม พบว่าตำรับนี้มีน้ำมันตะไคร้หอม 17% ป้องกันยุงลายได้นาน 3 ชั่วโมง ครีมที่มีน้ำมันตะไคร้หอม 14% หลังทาครีมลดจำนวนยุงรำคาญมาเกาะภายใน 1 ชั่วโมง แล้วยังมีสารสกัดเอทานอลของตะไคร้หอมผสมกับน้ำมันมะกอกสามารถไล่ยุงลายและยุงรำคาญได้นาน 2 ชั่วโมง

 

หากเป็นครีมที่มีน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้หอมที่ความเข้มข้น 25, 2.5 และ 5.0% ป้องกันยุงก้นปล่องได้ประมาณ 2 ชั่วโมง และความเข้มข้น 10% ให้ผลได้นานกว่า 4 ชั่วโมง

 

ทั้งนี้ตะไคร้ (Cymbopogon citratus (DC.)  ได้แก่ “น้ำมันตะไคร้ (lemongrass oil) ใน liquid paraffin ความเข้มข้น 20 และ 25% มีผลป้องกันยุงลายได้ 100% ใน 1 ชั่วโมงแรก และลดลงเหลือ 95% ภายใน 3 ชั่วโมง จากการเตรียมผลิตภัณฑ์น้ำมันตะไคร้ 15% ในรูปของครีมและขี้ผึ้งพบว่าให้ผลป้องกันยุงกัดได้ โดยคุณสมบัติของส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์มีผลต่อการปลดปล่อยน้ำมันหอมระเหย มีผลต่อประสิทธิภาพป้องกันยุงด้วย น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่มี geraniol ปริมาณ 2 มก./ซม2 สามารถลดอัตราการกัดจากยุงรำคาญ เป็น 10, 15 และ 18% ได้ตามลำดับ 1, 2 และ 3 ชั่วโมงเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ได้ทาน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สบู่อาบน้ำที่มีส่วนประกอบของน้ำมันตะไคร้หอม 0.1% น้ำมันตะไคร้ 0.5% และน้ำมันสะเดา 1% สามารถไล่ยุงได้ในช่วง 8 ชั่วโมง

 

ชนิดที่ 2 มะกรูด (Citrus hystrix DC.)  เลือกใช้ “น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด” มีฤทธิ์ป้องกันยุงได้นาน 95 นาที และตำรับยาทากันยุงที่มีน้ำมันมะกรูดความเข้มข้น 25 และ 50% ไล่ยุงได้นาน 30 และ 60 นาที น้ำมันหอมระเหยผสมจากมะกรูด 5% และจากดอกชิงเฮา (Artemisia annua L.) 1% ป้องกันยุงลาย ยุงก้นปล่อง และยุงรำคาญได้นาน 180 นาที ลองใช้ในห้องปฏิบัติการด้วยความเข้มข้นเดียวกันสามารถป้องกันยุงลาย และยุงเสือ ได้ 180 นาที และยุงรำคาญได้นานถึง 240 นาที

 

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

 

ข่าวแรก “เศรษฐา”รุกท่องเที่ยวโกยเงินด่วนไฮซีซัน66นำร่อง7นโยบาย

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพังงาทันทีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 พร้อมประกาศเดินหน้านโยบายผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอันดับแรก เนื่องจากสามารถกระตุ้นรายได้เร่งด่วนเข้าประเทศได้ โดยเฉพาะภูเก็ตกับอันดามันซึ่งพื้นที่ยอดนิยมสูงสุดของนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เร็วที่สุดเริ่มฤดูท่องเที่ยว (high season) ปลายปี 2566 เป็นต้นไป

 

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 นายเศรษฐา ได้ลงพื้นที่ไปพบปะหารือกับผู้ประกอบการแถบเมืองเก่าภูเก็ต หาดบางลา และป่าตอง ศูนย์รวมการท่องเที่ยวแหล่งบันเทิงชายหาด จากนั้นวันที่ 26 สิงหาคม ก็จะเดินทางไปรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดพังงาเป็นลำดับต่อไป ซึ่งจะเน้นการผลักดันจุดขายการท่องเที่ยวพังงาเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์รวมหรือ Health and Wellness Tourism

 

นายเศรษฐา เปิดเผยว่าก่อนเดินทางมายังภูเก็ตได้พูดคุยกับ ดร.กีระติ มานะกิจวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” ได้รายงานพร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่สนามบินนานาชาติภูเก็ตไม่เพียงพอจะรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของนักเดินทางเติบโตเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้ต้องพิจารณาการลงทุนขยายสนามบินต่อไป แต่จะต้องหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ก่อนถึงแนวทางความเป็นไปได้ที่จะเดินหน้าต่อไป

 

ขณะเดียวกันล่าสุดทางพรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายชัดเจนเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศเบื้องต้น 7เรื่องหลัก ประกอบด้วย

 

เรื่องที่ 1 ตั้งเป้าจะทำรายได้ท่องเที่ยวเข้าประเทศภายในปี 2570 ให้ได้ 3 ล้านล้านบาท ขยับเพิ่มจากปี 2565 ทำไว้ 7 แสนล้านบาท เพื่อกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว และอื่น ๆ

 

เรื่องที่ 2 ขับเคลื่อนจุดขายทำให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการจัดงานเทศกาลแห่งเอเชีย ได้แก่ เทศกาลสงกรานต์ เดือนเมษายน เทศกาลลอยกระทงเดือนสิบสอง มหกรรมการแข่งขันชกมวยไทย จัดเทศกาลแสดงดนตรีนานาชาติ  และอื่น ๆ

 

เรื่องที่ 3 เพิ่มการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และพลังไทยแลนด์ ซอฟท์ เพาเวอร์ อย่างเป็นรูปธรรม เช่นจัดเทศกาลศิลปะวัฒนธรรมอย่างโดดเด่นมากขึ้นกว่าปัจจุบัน

 

เรื่องที่ 4 ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคเอเชีย Regional Transport Hub ครอบคลุมทั้งการจัดทำตารางการบินเชื่อมต่อสายการบินจากทั่วโลกมาต่อเครื่องในไทย พร้อมยกระดับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้ถึงปีละ 120 ล้านคน ผนวกกับรองรับการขนส่งสินค้าทางอากาศให้ได้ปีละเกิน 3 ล้านตัน

 

เรื่องที่ 5 จัดระเบียบมาตรการและขั้นตอนการเข้าเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามายังไทยได้อย่างสะดวก ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานสากล เพิ่มความปลอดภัยการเดินทางเข้าออกให้ผู้โดยสารคนไทยและต่างชาติ

 

เรื่องที่ 6 ปลดล็อกมาตรการ VISA กับประเทศพันธมิตร และหารือถึงหนังสือเดินทางของคนไทยไปต่างประเทศ และต่างประเทศมาไทย ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

เรื่องที่ ยกระดับไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ให้ความรู้ ผลิตบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับบริการให้เพียงพอ พร้อม ๆ กับพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ทันสมัย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สมุนไพรซึ่งสามารถใช้ในทางการแพทย์ได้ด้วย

 

ข่าวที่สอง -แอคคอร์เปิด“อันดามันบีชHandwritten Collection”แห่งแรกในไทย

 

            แอคคอร์ (Accor) รายงานว่า ในฐานะผู้บริหารเครือข่ายโรงแรมรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ได้จับมือกับทาง แอมเชส ภูเก็ต เอชพี (ประเทศไทย) ลงนามสัญญานำแบรนด์โรงแรมใหม่ล่าสุด Handwritten Collection มาเปิดตัวแห่งแรกในไทยที่จังหวัดภูเก็ต ในชื่อโรงแรม “อันดามัน บีช โฮเท็ลภูเก็ต แฮนด์ไรท์เทน คอลเลคชั่น” (Andaman Beach Hotel Phuket – Handwritten Collection) พร้อมจะเปิดบริการเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 4 หรือประมาณเดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นไป โดยจะสร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์แห่งการพักผ่อนเต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมาะกับตลาดทุกกลุ่มที่ชื่นชอบการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดามัน

 

การเซ็นสัญญาครั้งนี้ได้มุ่งรีแบรนด์โรงแรมปัจจุบัน พร้อมกับเพิ่มจุดขายภายใต้แบรนด์ขึ้นชื่อระดับสากล Handwritten Collection แห่งแรกในไทย พร้อมกับยึดมั่นบริการอย่างจริงใจและอบอุ่น และสไตล์เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนบุคลิกและตัวตนของเจ้าของโรงแรมอย่างชัดเจน ซึ่งทางแอคคอร์เซ็นสัญญาต่อจากเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ได้นำแบรนด์ดังกล่าวเปิดครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สิงคโปร์

ส่วนทำเลที่ตั้งของโรงแรมน้องใหม่ “อันดามัน บีช โฮเท็ลภูเก็ต แฮนด์ไรท์เทน คอลเลคชั่น” อยู่ใกล้หาดป่าตอง ให้บริการห้องพักที่ดีไซน์อย่างพิถีพิถัน 161 ห้อง แต่ละห้องดีไซน์ให้มีระเบียงส่วนตัวรายล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามของเกาะภูเก็ต พร้อมตอบสนองความต้องการผู้ใช้บริการ ได้ค้นพบประสบการณ์การท่องเที่ยวและพักผ่อนแบบใหม่อย่างอบอุ่นจากชุมชนท้องถิ่น อิ่มอร่อยไปกับการรับประทานอาหารเชิงสร้างสรรค์รสชาติใหม่ ๆ ที่ห้องอาหารเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน หรือพิซซ่าและอาหารอินเดียในอีกห้องอาหารขณะเดียวกันก็มีบาร์รองรับกิจกรรมสังสรรค์อย่างมีสไตล์และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

 

รวมทั้งมีโปรแกรมเพื่อฟื้นฟูร่างกายแบบองค์รวม สปาของโรงแรมด้วยเสนอทรีตเมนต์ที่ได้แรงบันดาลใจจากจิตวิญญาณท้องถิ่นจะช่วยดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ สภาพแวดล้อมอันเงียบสงบของโรงแรมทำให้สามารถชาร์จพลังได้อย่างเต็มที่

 

หรือจะเลือกผ่อนคลายแบบเงียบ ๆ ที่สระว่ายน้ำท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีภายแสงแดดของเกาะภูเก็ตก็ได้เช่นกัน ฟิตเนสที่ทันสมัยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและเติมความกระฉับกระเฉงระหว่างทริปท่องเที่ยว

 

นายการ์ท ซิมมอนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมแบรนด์พรีเมียม มิดสเกล และอีโคโนมี แอคคอร์ ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า อันดามัน บีช โฮเททล ภูเก็ต แฮนด์ไรท์เทน คอลเลคชั่น ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของแอคคอร์พร้อมมอบประสบการณ์การพักผ่อนอันยอดเยี่ยม รวมทั้งเป็นก้าวสำคัญทางความร่วมมือระหว่าง แอคคอร์ กับ บริษัท แอมเชส ภูเก็ต เอชพี (ประเทศไทย) จะได้ร่วมกันนำเสนอที่พักแห่งใหม่ผสมผสานการบริการอย่างอบอุ่นและการออกแบบอย่างมีสไตล์ได้อย่างลงตัว

 

ไมเคิล ลูกท์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอันดามัน บีช โฮเทล ภูเก็ต-แฮนไรท์เทน คอลเลคชั่น กล่าวเสริมว่า"ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับแอคคอร์เดินหน้ารีแบรนด์โรงแรมสู่ Handwritten Collection แห่งแรกของไทย โดยจะได้ต้อนรับผู้ใช้บริการทุกคนสู่สวรรค์แห่งการพักผ่อนอันเงียบสงบ เหมาะกับการผ่อนคลาย พร้อมสร้างประสบการณ์การเข้าพักที่มีความหมายและน่าจดจำใจกลางเกาะภูเก็ต

 

ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ททท.คุนหมิงดึงจีน3มณฑลเที่ยวไทยทางบก4ด่านเงินสะพัด

ททท.ปั๊มทัวร์จีนคุนหมิงแบบโอเวอร์แลนด์เงินสะพัดไทย 4 ด่าน ส.ค. 66- ปี ’67 กระหน่ำขาย “ New Ways to Amazing to Thailand” ล็อกเป้าจีน 4 ตลาดใช้จ่ายแสนบาท/ทริป-ดันอีสานอู้ฟู่ 20 จังหวัด ช้อป!!ของขวัญวันแม่ที่คิงเพาเวอร์ลด20%- Firster9 หมื่นไอเท็ม ฉลองวันแม่!พูลแมนคิงเพาเวอร์จัดบุฟเฟต์พรีเมี่ยมกลางวัน/ค่ำ กินฟินที่คิงเพาเวอร์มหานคร-รร.เดอะสแตนดาร์ดตลอดส.ค. 66 ททท.จัดแข่งผัดกะเพราโลก“ World Kaphrao 2023”ชิงเงินล้าน กลุ่มบริษัทบางจากโชว์ครึ่งปีแรก66กวาดรายได้1.48 แสนล้าน TCEB บุกจีนจัด Thailand MICE in China 2023 โกยไมซ์ 990 ล้าน เที่ยววันแม่ใกล้กรุงได้ที่อุทยานเบญจสิริ/ดรีมเวิลด์/สวนนงนุช เคล็ดลับ!!การรักษาแผลให้หายไวด้วยขั้นตอนง่ายๆทำได้เอง บินไทยฟื้นเร็ว!!ครึ่งแรกปี’66กำไร329%พกเงินสด5.1หมื่นล้าน เปิดขายแล้ว!!บัตรชม“โขน”สุดยิ่งใหญ่แห่งดูได้ 5 พ.ย.- 5 ธ.ค. 66   วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ

TCEB นำงานวิจัยMICE for Sightแนะธุรกิจปรับตัวรับไมซ์10ปีหน้า

  นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) "TCEB" “ TCEB ”เปิดคัมภีร์ MICE for Sight ปลุกไมซ์จัดทัพใหม่ 10 ปีหน้า รับมือ Gen Z ผงาดผู้ทรงอิทธิพลไมซ์โลกเขย่าตลาดครั้งใหญ่ ปี 67 เร่งโกย 1.4 แสนล้านโหมซอฟท์เพาเวอร์/ไมซ์ซิตี้/ไมซ์ชุมชน รีบช้อป!!คิงเพาเวอร์เป็นไปได้5รายการรางวัลสูงสุดกว่า 4 ล้าน ด่วน 4 วันสุดท้าย!คิงเพาเวอร์อัดโปร SurpriseOnlineSale ลด 50% คิงเพาเวอร์ช้อปวนไปแจกทันที 3 ฟรี คูปอง/ตั๋ว/รถยนต์ LEXUS ท่องเที่ยวรุกเจรจาธุรกิจ TEJ 2023ฉลุย300นัดโกยญี่ปุ่น9ตลาด บางจาก-กรุงไทยเปิดแอปเป๋าตังจองซื้อหุ้นกู้ดิทัลดีเดย์ 30 ต.ค. เที่ยวประจวบนอนแคมป์ทะเลหมอกบ้านป่าหมาก-วิ่งปราณบุรี บินไทยโชว์ยูนิฟอร์มใหม่ลูกเรือแฟชั่นผ้าลดโลกร้อนเริ่ม1ม.ค.67 คาเธ่ย์ กรุ๊ปทุ่มลงทุนฝูงบินใหม่ A 320 neo เพิ่ม32ลำบินจีน/เอเชีย   วันเสาร์ที่  28 ตุลาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97

ททท.ภาคเหนือ7เดือนปี66โกยแล้ว1.08แสนล้าน

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ททท.ภาคเหนืออู้ฟู่ 7 เดือนแรกโกยได้แล้ว 1 แสนล้าน ต.ค.-ธ.ค. 66 ลุยขายเที่ยวไฮซีซัน 4 เทรนด์ใหม่มาแรง นำ The Link จับคู่ทัวร์ข้ามภาคสำเร็จ 3 เส้นทางสุดฮ็อต คิง เพาเวอร์แจกมันส์แจกฟินที่รางน้ำเสาร์16ก.ย.นี้ ช้อป KingPowerOnline รับแบบไม่ยั้ง2สุดคุ้มถึง24ก.ย. ช้อป DUTY FREE SALE นำบิวตี้แบรนด์โลกมาเต็ม ททท.ใช้ฟรีวีซ่าปั๊ม1.4แสนล้านชาเตอร์จีนเฮเข้าไทย บางจากโชว์อุตฯไทย-ไต้หวันชูนวัตกรรมธุรกิจสีเขียว TCEB ผนึก EECAutoPark หนุนไมซ์เอ็กซิบิชั่นอินเตอร์ เที่ยว Unseen “พิพิธภัณฑ์ป่าสัก-วัดขุนอิน-วัดปัญญา” 4วิธี“ปิดล้างเลี่ยงหยุด”ป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกพันธุ์ “สุดาวรรณ”รมว.ใหม่ท่องเที่ยวดึงต่างชาติ40ล้านคน กพท.-สมาคมแอร์ไลน์สไทยแบไต๋ตั๋วบินราคาแพง วันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyai