TCEBทุ่มไมซ์โร้ดโชว์“จีน-อินเดีย”ส.ค.เดือนเดียวโกย5พันล้าน
จีนต่อยอดธุรกิจแสดงสินค้าร่วมทุกเวทีในไทยเงินสะพัดปี’67
ไมซ์ในประเทศเร่งลุย“ประชุมเมืองไทย-EMTEX”คีกคักปลายปี
ช้อปดี!!คิงเพาเวอร์จัดบิ๊กเซลกลางปีชิลๆ+จัดเต็มลดแรง15%
สมัครเร็ว!!คิงเพาเวอร์SCARLETที่6สนามบินลดเบอร์ใหญ่x2
เดอะสแตนดาร์ดมหานครจัดเต็มAHipHopAnatomy19ส.ค.
ททท.นำ5พื้นที่ดึงธุรกิจ36รายโร้ดโชว์สแกนบูมขายกรีนทัวร์
“บางจาก-มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง”เดินหน้าคาร์บอนเครดิตจากป่า
TCEBชูแพกเกจM&I Plusดึงไมซ์ต่างชาติหอบรายได้เข้าไทย
เที่ยวใต้สายมูไปวัดบางโทง/ทัวร์กีฬาเกาะปันหยี/ชิลนาริมเล
หน้าฝนเอาอยู่เลือกกิน“ผักผลไม้เนื้อสัตว์”ดีกว่าอาหารเสริม
ผ่าแผนบินไทยปี’66-70 ลั่น8ปีหน้าใช้หนี้หมด1.2แสนล้าน
เจเอ็ดดูเคชั่นปลุกทัวร์NIPPON HAKU BANGKOK1-3ก.ย.นี้
วันเสาร์ที่
19 สิงหาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #UnseenNewChapters
#เที่ยวภาคใต้
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/mv_WDpiIzv/
ช่วงที่ 1 ติดเทอร์โบไมซ์กับ “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา”
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ทุ่มลงทุนโร้ดโชว์ตลาดอำนาจโลก “จีน-อินเดีย” ส.ค.เดือนเดียวดึงเงินได้เฉียด
5,000 ล้านบาท บิ๊กอีเวนต์ในปักกิ่งโกย
MI & E ได้ถึง 2,000
ล้าน จีนหนุนเอกชนเฮส่งธุรกิจร่วมแสดงสินค้าในไทยทุกเวทีปี’67
ส่วน “อินเดีย”
โครงการแจกรางวัล President
Awards โดนใจตลาด นำประชุมแพทย์ พลังงาน เข้าไทย ก.ย.66
ถึงต้นปี’67 กว่า
60,000 คน
สร้างรายได้แน่ 2,500-2,700
ล้านบาท
ปลาย ส.ค.นี้ ลุยร่วมเทรดโชว์ไมซ์โลก ขณะที่ในประเทศกระหน่ำ 2 โครงการ
“ประชุมเมืองไทย” กับ EMTEX
ไฮไลต์แจกไม่ยั้ง 2
แพกเกจ ปั๊มรายได้ก่อนสิ้นปี’66
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า
ทีเส็บวางกลยุทธ์ทำตลาดเชิงรุกครึ่งปีหลังตั้งแต่สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ได้เร่งทำโร้ดโชว์ไมซ์ต่างประเทศ 2
ตลาดใหญ่ ประกอบด้วย ตลาดแรก
“สาธารณรัฐประชาชนจีน” พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
ประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา และ“ดร.อรรชกา สีบุญเรือง”
ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ทีเส็บ นำธุรกิจไมซ์ทั้งโรงแรม สถานที่จัดประชุม ของไทย 42
รายไปจัด “Thailand
MICE Roadshow in China 2023” เมื่อ 7-9 สิงหาคม 2566 ที่กรุงปักกิ่ง และกวางโจว
รุกตลาดการจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (MI :Meeting &Incentive) และตลาดจัดการแสดงสินค้า (E :Exhibition)
โดยได้เชิญชวนบริษัทตัวแทนผู้ซื้อหรือ buyer ในจีนเข้ามาร่วมจับคู่เจรจาธุรกิจกับผู้ขายของไทย
ไทยประสบความสำเร็จเฉพาะโร้ดโชว์ในกรุงปักกิ่ง
สามารถเจรจานำงานใหม่ ๆ มาจัดในไทย (business lead) แบ่งเป็น กลุ่มที่ 1 MI จัดประชุมและอินเซ็นทีฟ
25 งาน
จะมีผู้เข้าร่วม 31,650 คน
โดยเฉพาะบริษัทคอร์ปอเรตขนาดใหญ่ยืนยันจะนำอินเซ็นทีฟกลุ่มตัวแทนธุรกิจขายตรงในจีนมาไทย
กลุ่มแรก 5,000 คน
ระหว่างวันที่ 8-12 กันยายน
2566
กลุ่มที่ 2
เอ็กซิบิชั่นอีก 6 งาน
จะมีผู้เข้าร่วม 10,520 คน
ขณะนี้ไมซ์จีนที่ทีเส็บร่วมกับเอกชนทำได้ไม่ต่ำกว่า 50,000-60,000 คน
สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000
ล้านบาท
ขณะเดียวกันพลเอกธนะศักดิ์ยังได้นำทีเส็บและผู้ประกอบการไมซ์ไทยสร้างความสำเร็จโดยได้เข้าพบเจรจากับ
3 ส่วน
คือ ส่วนที่ 1 เข้าพบผู้บริหารหน่วยงานรัฐระดับแถวหน้าของจีนอย่างเลขาธิการการค้าอาเซียน
กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการส่งเสริมทำการค้า
ยืนยันจะเพิ่มบทบาทการจัดแสดงสินค้าในไทยจะให้มีพาวิลเลี่ยนจีนเข้ามาร่วมงานต่าง ๆ
ด้วย โดยจะทำเป็นแพกเกจสนับสนุนเอกชนจีนเข้ามาร่วมงานเอ็กซิบิชั่นไทยอย่างเต็มที่
เ
ส่วนที่ 2 พบปะแลกเปลี่ยนส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการสาธารณรัฐประชาชนจีน
2 องค์กร
คือ CCOIC กับ
CCPIT จะส่งเสริมนำงานไมซ์ใหม่
ๆ เข้ามาจัดในไทย รวมถึงตัวแทนศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ของไทยทั้ง
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC)
และศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ร่วมแลกเปลี่ยนกับพันธมิตรจีนซึ่งมีคู่ค้าจัดงานไมซ์ทั้งจาก
ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว ด้วย
ส่วนที่ 3 เข้าพบนายเบญจมินทร์
สุกาญจนัจที เอกอัครฑูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน
ยืนยันทางสถานฑูตให้ความมั่นใจการขอวีซ่าเข้าไทยเพื่อการจัดแสดงสินค้า
การจัดประชุม และการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล กับตลาดจีนเดินทางมาไทย
ตลาดที่
2 “อินเดีย”
นำผู้ประกอบการธุรกิจไมซ์ของไทยกว่า 60 ราย เดินทางไปทำโร้ดโชว์เปิดตลาด 2 เมืองใหญ่
กรุงเดลี และมุมไบ ได้รับความสนใจมีผู้ร่วมงานจำนวนมาก
รวมทั้งอินเดียชื่นชอบและต้องการอย่างมากคือทีเส็บได้จัดทำโครงการแจกรางวัล President Awards ขึ้น
เพื่อคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพและนำไมซ์เข้ามาไทยขนาด 3,000-10,000 คน
มีจำนวน 15 บริษัท
รวมทั้งบริษัทที่จัดกิจกรรมไมซ์เพื่อสังคมก็แจกรางวัลให้ด้วยเป็นปีแรก
สร้างความประทับใจกับคู่ค้าในอินเดีย
งานไมซ์โร้ดโชว์อินเดียทั้ง 2 เมือง
ประสบความสำเร็จสูงเช่นกันโดยจะมีนักเดินทางไมซ์ 2 ตลาด คือ ตลาดแรก กลุ่มจัดการประชุมของ 3 ธุรกิจหลัก
ได้แก่ ธุรกิจขายตรง การแพทย์ และพลังงาน ตลาดที่สอง
กลุ่มอินเซ็นทีฟพร้อมจะยอยเดินทางมาไทยเริ่มตั้งแต่กันยายน 2566
ถึงต้นปี 2567 ไม่ต่ำกว่า
60,000 คน
สร้างรายได้กว่า 2,500-2,700
ล้านบาท
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
ทีเส็บมีแผนจะทำเทรดโชว์แยกแต่ละส่วน ประกอบด้วย
ตลาดเอ็กซิบิชั่น/จัดการแสดงสินค้า วางแผนบุกไป “เวียดนาม” ปลายเดือนสิงหาคม 2566
ส่วน “ตลาดจัดประชุมและอินเซ็นทีฟ” รอเข้าเทรดโชว์ใหญ่ของโลก เริ่มประมาณต้นเดือนตุลาคม
2566 เช่น
IBTM 2023 ประเทศสเปน
กับงาน IMEX สหรัฐอเมริกา
ต่อเนื่องปี 2567 จะเข้าร่วมงาน
AIM ที่กรุงเมลเบิร์น
ออสเตรเลีย
ตามผลวิจัยขณะนี้ไทยเป็นประเทศจุดหมายปลายทางของทั่วโลก
หลังสถานการณ์โควิด-19
แต่ละประเทศสนใจข้อมูลความเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมไมซ์โดยแสดงเจตนาต้องการเลือกมาจัดงานในไทย
โดยไม่ได้สนใจเรื่องนโยบายสนับสนุนงบประมาณของภาครัฐ หรือปัญหาการเมืองในประเทศ
ส่วนใหญ่แล้วมุ่งรับรู้ความพร้อมของไทยเกี่ยวกับมีศูนย์ประชุมขนาดใหญ่รองรับการจัดงานแต่ละประเภทได้เป็นอย่างดี
มีระบบโครงข่ายบริการสาธารณะรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
จึงส่งผลให้ทีเส็บและเอกชนไทยมั่นใจจะบุกตลาดต่างประเทศ
เพื่อไปยืนยันความคืบหน้าพร้อมต้อนรับชาวต่างชาติทั่วโลกนำไมซ์เข้ามาจัดในไทย
รวมทั้งการบินไทยก็พยายามเร่งเปิดเส้นทางบินอำนวยความสะดวกผู้โดยสารและนักเดินทางอย่างเต็มที่
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
สถานการณ์ตลาดในประเทศก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2566 ทีเส็บเร่งเดินหน้ากระตุ้น 2 โครงการ
ประกอบด้วย โครงการที่ 1 “ประชุมเมืองไทย
เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” เปิดมาตั้งแต่เดือนเมษายนกำหนดจะปิดวันที่ 22 สิงหาคม
นี้ โดยให้ผู้ประกอบการรับเงินสนับสนุนเพื่อใช้จัดงานในประเทศ
ล่าสุดสรุปยอดช่วงต้นเดือนสิงหาคมมีเอกชนนำเงินไปจัดแล้ว 723 กลุ่ม
ตามเป้าจะทำให้ครบ 1,000 กลุ่ม
สามารถกระตุ้นให้เกิดการจัดงานเพิ่มการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนทั่วประเทศ
โครงการที่ 2 EMTEX :Empower Thailand Exhibition ให้การสนับสนุนผ่านแคมเปญ
SPIRE Thailand จะสิ้นสุดเดือนกันยายน
นี้ ประกอบด้วย
แพกเกจที่
1
สนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศตามรูปแบบจำนวนเงิน
ผ่าน 2 แพกเกจหลัก
คือ 1.Clustering Show สนับสนุนงานแสดงสินค้าทั่วไปวงเงินไม่เกิน
700,000 บาท/งาน
ต้องจัดงานส่งเสริม 5
อุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก ไม่ใช่งานเทศกาลหรือ Fun Fair
และต้องมีระบบการลงทะเบียนเข้างานเก็บรวบรวมฐานข้อมูลมาแสดงอย่างชัดเจน 2.Regional Best Show สนับสนุนงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาควงเงินไม่เกิน
1 ล้านบาท/งาน
ส่งเสริม 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก
จัดงานในพื้นที่กว่า 3,000
ตารางเมตร ปี 2567 จะให้เน้นการจัดเอ็กซิบิชั่นด้านพลังงานยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น
แพกเกจที่
2 สนับสนุนในรูปแบบที่ไม่ใช่เงิน
ใช้วิธีให้ทีเส็บเป็นตัวกลางและเจ้าภาพประสานกับภาคีเครือข่าย 11 หน่วยงาน
เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจแสดงสินค้าครอบคลุม 7 ด้าน ได้แก่ 1.ฐานข้อมูลร่วมแสดงงาน 2.ฐานข้อมูลผู้ซื้อในงาน
3.เครือข่ายท้องถิ่น 4.องค์ความรู้อบรม
สัมมนา 5.ข้อมูลเชิงึกของอุตสาหกรรมและตลาดเป้าหมาย 6.การหาแหล่งเงินทุนและเงินสนับสนุน
7.การประชาสัมพันธ์
นายจิรุตถ์ ย้ำว่า
นโยบายสนับสนุนไมซ์ในประเทศปี 2567
จะเน้นการสร้างงานใหม่โดยเข้าไปจับมือกับเครือข่ายพันธมิตรในพื้นที่เป้าหมายเพื่อพัฒนางานที่มีโอกาสสร้างความสำเร็จได้จริง
ผนวกกับการขยายประกาศเมืองไมซ์ หรือ MICE CITY แห่งใหม่เพิ่มขึ้น เช่น
จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคอีสาน สุราษฎร์ธานี ภาคใต้ ส่วน “ตลาดต่างประเทศ”
ยังคงเดินหน้าลุยทำโร้ดโชว์ เทรดโชว์ งานหลักในเวทีนานาชาติ
และเข้าร่วมงานศักยภาพสูงมีโอกาสนำรายได้เข้าเมืองไทยเพิ่ม
เพื่อใช้อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยเป็นเครื่องมือหลักสร้างเศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 ช้อปดี!!คิงเพาเวอร์จัดบิ๊กเซลกลางปีชิลๆ+จัดเต็มลด15%
คิง เพาเวอร์
เปิดมหกรรมเซลครั้งใหญ่กลางปีนี้ตลอดเดือนสิงหาคม 2566 อยากคุ้มแบบไหน ก็เลือกได้! พร้อมเอาใจสายบิวตี้
ช้อปเครื่องสำอาง น้ำหอม วันนี้– 31
สิงหาคม 2566
ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา
(ยกเว้นท่าอากาศยานหาดใหญ่)
แบบที่ 1
ช้อปชิล ๆ ก็คุ้มได้ ช้อปครบ
3,000 บาทขึ้นไปลดทันที 10% + สมาชิก คิง เพาเวอร์ ลดเพิ่มอีก 5%
แบบที่ 2
ช้อปจัดเต็ม ก็คุ้มสุด ช้อปครบ 8,000 บาทขึ้นไป ลดทันที 15% + สมาชิก คิง เพาเวอร์ ลดเพิ่มอีก 5%
ข่าวที่ 2 สมัครเร็ว!!คิงเพาเวอร์SCARLETที่6สนามบินลดเบอร์ใหญ่x2
คิง เพาเวอร์ ชวนคนที่มีไฟลต์บิน
ห้ามพลาด สมัครแล้วแจกทันที! #KINGPOWER
แจกส่วนลดไม่อั้น เพียงสมัครสมาชิก ตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2566 แล้วผูกบัญชีผ่าน
LINE สมัครง่ายที่
คิง เพาเวอร์ สาขาหลัก 6 สนามบิน
ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอู่ตะเภา
สมัครสมาชิก SCARLET
และเติมเงิน 20,000 บาท แจกคูปองพิเศษ x 2
ใบ แจก คูปองส่วนลด 15% x2 และแจก ฟรี 50 กะรัต นำไปใช้กับสินค้าและแบรนด์ที่เข้าร่วมรายการตลอดรายการได้คนละ 1 สิทธิ์
วิธีใช้คูปองส่วนลด 15%
ของสมาชิกใหม่ SCARLET จำนวน 2 ใบ ใช้ช้อปได้ดังนี้
ใบที่ 1
คูปองส่วนลด 15% จะหมดอายุในวันสมัคร ดังนั้นแนะนำให้ใช้ชื้อสินค้าทันที
1 ชิ้น ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอู่ตะเภา
ใบที่ 2
คูปองส่วนลด 15% นำใช้ชื้อสินค้า 1
ชิ้น ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต และหมดอายุภายในวันที่ 8
ตุลาคม 2566
ส่วน สมาชิกใหม่บัตร NAVY รับคูปองส่วนลด 10% จะหมดอายุภายในวันสมัคร
ดังนั้นควรใช้ซื้อสินค้า 1 ชิ้น ที่ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ
ดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอู่ตะเภา
ข่าวที่ 3 เดอะสแตนดาร์ดมหานครจัดเต็ม A HipHopAnatomy19ส.ค.
กลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ ชวนก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่กับอีเวนต์ใหญ่รวมพลคนในสายฮิปฮอปมาร่วม
“A Hip Hop Anatomy at #thestandardbangkok วันที่ 19 สิงหาคม เวลา: 18.30 น. เป็นต้นไปที่ The
Parlor (ชั้น L) โรงแรม The Standard, Bangkok Mahanakhon
ไม่ว่าจะเป็น MCs, B-Boys, Graffiti และ DJs ฉลองครบ 50 ปีของวงการฮิปฮอป
บัตรเข้าร่วมงาน
เปิดให้เลือกซื้อได้ 3 แบบ ดังนี้
แบบที่
1 Early Birds ราคาคนละ 450 บาท
ฟรีเครื่องดื่ม 2 แก้ว (Limited-time offer - 48 ชั่วโมงเท่านั้น)
แบบที่
2 General Tickets: 650 บาท ฟรีเครื่องดื่ม 2 แก้ว
แบบที่
3 Door Tickets: 650 บาท
กิจกรรมภายในงาน
ตื่นตัวตื่นตากับความแปลกใหม่ครบเซ็ต
1.KH
& JROC from AA CREW & THAITANIUM with turntable DJ set
2.CYPHER:
OG x New rappers
3.MC
LIVE PERFORMANCE by Def Jam Thailand, YUPP!, Bars Entertainment and a surprise
act!
4.LIVE
GRAFFITI and NAME TAGS with AKIE ONES & CHUN ONE
5.STANDARD
TALKS with PETCHY OD. WAN, ARTISTRYX, Paranormal DJs and more
6.TURNTABLE
SHOWCASE by WHATDATFROG & ZAMASTA (Paranormal DJs) & B-BOY SHOWCASE.
ซื้อบัตรเข้างานและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร
02 085 8888 หรือแอดไลน์ @TheStandardBangkok หรือ https://megatix.in.th/events/hip-hop-the-standard-bangkok
ข่าวที่
4 ททท.นำ5พื้นที่ดึงธุรกิจ36รายโร้ดโชว์สแกนบูมขายกรีนทัวร์
ดร.ยุทธศักดิ์
สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. ร่วมกันเปิดเผยว่า
ททท.นำผู้บริหารและผู้ประกอบการท่องเที่ยวกลุ่มเอกชนไทย 36 ราย เดินทางไปจัดงาน “Meaningful Travel Showcase “ Amazing
Thailand Roadshow to Scandinavia 2023” ที่ประเทศเดนมาร์ก
พร้อมกับนำเสนอการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยซึ่งจะเป็นไฮไลต์เชิงรุกทางการตลาดในหัวข้อ
“Thailand’s Sustainable Tourism : Embracing Sustainability”
เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นพันธมิตรในตลาดกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียตัดสินใจเลือกเมืองไทยเป็นจุดหมายปลายทางในฤดูเดินทางท่องเที่ยวปลายปีตั้งแต่พฤศจิกายน
2566 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปี 2567
โดยได้รับเกียรติจากนางศิริลักษณ์
นิยม เอกอัครราชทูต ประจำกรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก เข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วย ผนวกกับ
ททท.ได้นำผู้อำนวยการสำนักงานในประเทศในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในตลาดสแกนดิเนเวียนำภาคธุรกิจและสินค้าท่องเที่ยวไปเผยแพร่พร้อมขายด้วย
5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ตราด
ขอนแก่น และเชียงใหม่ แต่ละสำนักงานได้คัดเลือกเส้นทางประสบการณ์ท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างยั่งยืน
หรือSustainable Tourism Experience นำเสนอกับคู่ค้ากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนในตลาดดังกล่าว
โดยมีตัวแทนเอกชนท่องเที่ยวจากไทย 36 ราย
เข้าร่วมตามธีมขายของ ททท.5 สำนักงาน ดังนี้
1.กรุงเทพมหานคร
นำเสนอธีมขาย explore the best Urban Oasis of Asia
Bang Kobua 2. กระบี่ นำเสนอธีมขาย Touch the sound of Nature
in Krabi 3. ตราด นำเสนอธีมขาย Koh Mak : A low Carbon
destination 4. ขอนแก่น นำเสนอขาย Gastronomy Towards
Sustainable Tourism 5. เชียงใหม่ นำเสนอขายธีม Tea Tourism
: From Gray to Green
นางสาวฐาปนีย์
กล่าวว่า การจัดงาน “Meaningful Travel Showcase “ Amazing
Thailand Roadshow to Scandinavia 2023 ของ ททท.ตั้งแต่พิธีเปิดวันแรกเมื่อ 15 สิงหาคม
2566 ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน และ ผู้ประกอบการในเดนมาร์กและสแกนดิเนเวเนียให้การชื่นชมคอนเซ็ปต์การขายท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกับและกลยุทธ์การให้ดาวกับสถานประกอบการและท่องเที่ยวตามรูปแบบ
STGs STAR ด้วยเกณฑ์มาตรฐานชัดเจน สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวเดนมาร์กซึ่งเป็นสายกรีนสนใจเมืองไทยเป็นอย่างดี
สำหรับงาน
Amazing Thailand Roadshow to
Scandinavia 2023 ททท.ลงทุนนำเอกชน และผู้เกี่ยวข้องจัดขึ้นระหว่างวันที่
15 -17 สิงหาคม 2566 ในตลาดหลักสแกนดิเนเวีย 2 ประเทศ คือ
เดนมาร์ก และสวีเดน ตั้เงป้านำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยว Sustainable
Tourism Experience สร้างประสบการณ์แก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนแถบสแกนดิเนเวียได้อัพเดทสินค้าไทย
รวมทั้งมุ่งส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวเชิงยุทธศาสตร์ตามเป้าหมาย “การพัฒนาที่ยั่งยืน”
ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน คือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ทั้งปัจจุบันและอนาคตที่จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศฟื้นกลับมาแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
ข่าวที่ 5 “บางจาก-มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง”เร่งทำคาร์บอนเครดิตจากป่า
นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่าได้ร่วมเสวนาเรื่องนโยบายของภาคเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ที่ C ASEAN ชั้น 10 CW Tower เป็นงานแสดงเจตนารมณ์เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยเครือข่ายโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในฐานะบางจากเป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมสนับสนุน “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ”
เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ กันไฟป่า กันการบุกรุก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
สร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตจากป่า ส่งเสริมให้คนอยู่ร่วมกับป่าให้ยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน
BCP316
NET ตอบสนองเป้าหมายขององค์กร ทั้ง
2 เรื่อง คือ
เรื่องที่ 1 ทำสมดุลทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ให้สำเร็จภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) เรื่องที่ 2 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูฯย์
(Net Zero GHG Emissions) ตามเป้าหมายภายในปี 2593 (ค.ศ.2050)
เดินหน้าทำให้ครอบคลุม 4
แนวทาง ประกอบด้วย B = Breakthrough
Performance (30%) เน้นกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง
การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน
ปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม C = Conserving Nature and
Society (10%)
สนับสนุนการสร้างสมดุลทางระบบนิเวศและเชื่อมโยงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ผ่านการดูดซับคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ P = Proactive Business Growth and
Transition (60%) เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่พลังงานสะอาด
ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
วางแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสีเขียว เน้นขยายการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขับเคลื่อนการสร้างระบบนิเวศ หรือ NET Zero Ecosystem นำไปสู่เป้าหมายการลดมลพิษทุกอย่างให้เป็นศูนย์
Net Zero เช่น การก่อตั้ง Carbon Markets Club (CMC) เพื่อส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ตามที่นางกลอยตา ในฐานะประธาน CMC ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของบางจากฯ
ร่วมขับเคลื่อนตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่าน CMC โดยมีบางจากฯ
และพันธมิตรรวม 11 องค์กรริเริ่มก่อตั้งเมื่อเดือนมิถุนายน
2564 ขณะนี้ได้ทำกิจกรรมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและสนับสนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ปัจจุบัน CMC มีสมาชิกกว่า
430 ราย ทั้งประเภทองค์กรและบุคคล รวมทั้งสร้างยอดซื้อขายคาร์บอนเครดิตและใบรับรองพลังงานทางเลือกหรือ
Renewable Energy Certificates ผ่าน Marketplace ในเว็บไซต์ CMC ได้แล้วปริมาณรวมกว่า 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
อีกทั้งบางจากฯ ได้ทำอีกภารกิจอย่างเข้มข้นตามแผนงาน
BCP316 NET ด้วยการร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
และพันธมิตรเร่งพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตจากพืชเกษตรยืนต้นร่วมกับสหกรณ์การเกษตรในเครือข่ายธุรกิจสถานีบริการน้ำมันชุมชนของบางจากฯ
ทั่วประเทศกว่า 600 แห่ง
ข่าวที่
6 TCEB อัดฉีดM&I Plusดึงไมซ์ต่างชาติหอบรายได้เข้าไทย
นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ทีเส็บมีแพ็กเกจสนับสนุน
กลุ่มจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล และกลุ่มงานแสดงสินค้า โดยได้จัดทำแพ็กเกจ
“M&I Plus” สนับสนุนด้านการสำรวจสถานที่ ให้กับกลุ่มจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1.องค์กรต่างชาติหรือในไทย
2. นักวางแผนอีเวนท์หรือคนกลางที่ทำหน้าที่ในนามขององค์กรตามหลักเกณฑ์
ดังนี้
1.
มีแผนการจัดการประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศไทย
2.
ผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศอย่างน้อย 50 คน
3.
จัดพักค้างคืนอย่างน้อย 3 คืน
4.
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในไทยตามประมาณการอย่างน้อย 3 ล้านบาท
ทางทีเส็บพร้อมจะสนับสนุนเงินสูงสุด
200,000 บาท ประกอบด้วย 3 แบบ คือ แบบที่ 1 มีผู้เข้าร่วมงานครั้งละ 50 – 500 คน จะได้ 70,000 บาท แบบที่ 2
ผู้เข้าร่วมครั้งละ 501 – 5,000 คน จะได้ 100,000 บาท
แบบที่ 3 ผู้เข้าร่วมครั้งละ 5,001
คนขึ้นไป จะได้ 200,000 บาท
โดยครอบคลุม
“ค่าใช้จ่าย” 6 รายการหลัก ประกอบด้วย 1.ค่าที่พัก 2.ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 3.ค่าจัดเตรียมการเดินทาง 4.ค่าตั๋วโดยสารเที่ยวบินในประเทศ
5.ค่าบริการจัดการภาคพื้นดิน 6.ค่าใช้จ่ายอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องและเกิดขึ้นในประเทศไทย และได้รับบริการไมซ์เลน
ขณะที่
“ลูกค้าองค์กรและผู้จัดงาน” ซึ่งเดินทางมาเพื่อสำรวจสถานที่ ทีเส็บพร้อมสนับสนุนการจัดงานไมซ์ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
1.
ผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศอย่างน้อย 30 คน 2. พักค้างคืน 2 คืนขึ้นไป 3.
ใช้บริการโรงแรมที่ได้ TMVS หรือขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย 4. ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเบื้องต้นสาหรับการจัดงานอย่างยั่งยืน 7 ข้อจากทั้งหมด 25 ข้อ 5.จัดทำรายงานการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
ช่วงที่ 2 เที่ยวเมืองไทยแดนใต้ไปกับ Unseen New Chapters ฟินได้
3 พิกัด “วัดบางโทง” กระบี่ “สนามฟุตบอลเกาะปันหยี” พังงา
และเพลินตากับทุ่งนาริมทะเล พัทลุง แล้วฟังให้ดี ๆ “หน้าฝนเอาอยู่”
เมื่อเลือกกินผักผลไม้ เนื้อสัตว์ แทนอาหารเสริม และเกาะกระแสข่าวปัง ๆ ข่าวแรก
“ผ่าแผนการบินไทยปี66-70” มั่นใจ 8 ปีหน้าใช้หนี้หมดแน่
1.2 แสนล้าน ข่าวที่สอง “เจเอ็ดดูเคชั่น” จัดมหกรรม NIPPON
HAKU BANGKOK 2023 ระหว่าง 1-3 ก.ย.นี้ พบกันที่สยามพารากอน
ท่องเที่ยว–เที่ยวใต้สายมูวัดบางโทง/ทัวร์กีฬาเกาะปันหยี/ชิลนาริมเลพัทลุง
เมืองไทยเที่ยวได้ 365 วัน
ทริปนี้ชวน “ล่องใต้หรอยแรง” ไปสำรวจความสวยของแหล่งท่องเที่ยวติดชาร์ต Unseen New Chapters สายมู
ต้องมุ่งหน้าสู่ “วัดมหาธาตุวชิรมงคล” (วัดบางโทง) อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ สายกีฬา
ไปได้เลย เกาะปันหยี จ.พังงา ลูกทะเล..สเตเดี้ยม และสายชิล แนะนำที่ นาริมเล
อ.เมือง จ.พัทลุง สวยสุดสะดุดตา…กับ…ทุ่งนาริมเล
พิกัดที่
1 วัดมหาธาตุวชิรมงคล
(วัดบางโทง) อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
พุทธคยาแดนใต้…แลนด์มาร์คใหม่ของสายบุญ
สายมู ต้องมา “วัดมหาธาตุวชิรมงคล”
หรือที่เรียกว่าวัดบางโทง สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ 50
พรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 10
มีพระมหาธาตุเจดีย์สีทองอร่ามสูงที่สุดในภาคใต้
ลักษณะคล้ายกับเจดีย์พุทธคยาของอินเดีย ภายในองค์พระมหาธาตุ
ประดับและตกแต่งด้วยภาพเขียนพุทธประวัติที่สวยงาม บรรยากาศในวัดมีความร่มรื่น
นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้สักการะ พระพุทธรูปต่าง ๆ ภายในแล้ว
วัดบางโทงยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก
มาแล้วได้ฟิลลิ่งเหมือนอยู่สังเวชนียสถานในต่างแดน
สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
สอบถาม ททท.สำนักงานกระบี่ โทร 0
7562 2163 หรือ 0 7561 2811-2
พิกัดที่ 2 เกาะปันหยี
จ.พังงา ลูกทะเล..สเตเดี้ยม
สายท่องเที่ยวเชิงกีฬา
เดินทางเติมความสนุกกับ สนามฟุตบอลลอยน้ำ ซิกเนเจอร์แห่งเกาะปันหยี
รังเหย้าของทีม "ปันหยี เอฟซี"
สโมสรฟุตบอลที่ก่อตั้งขึ้นจากความฝันและความตั้งใจของเด็กๆ ในชุมชน
จนเกิดเป็นสนามฟุตบอลกลางทะเลขนาดกำลังน่ารักรายล้อมไปด้วยอ้อมกอดแห่งขุนเขา
ทำให้ที่นี่กลายเป็นสุดยอดจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกอันดับต้นๆ ของพังงา
ที่แม้กระทั่งสื่อระดับโลกยังให้คำนิยามถึงสนามแห่งนี้ว่า
นี่คือสนามฟุตบอลที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาซ้อมฟุตบอล
หรือชมการซ้อมฟุตบอลได้ตลอดทั้งปี
สอบถาม ททท.สำนักงานพังงา โทร 0
7641 3400-2
พิกัดที่ 3 นาริมเล
อ.เมือง จ.พัทลุง สวยสุดสะดุดตา…กับ…ทุ่งนาริมเล
สายชิล
มาสักครั้งในชีวิตสัมผัส "นาริมเล" วิถีชีวิตดั้งเดิมในอาชีพการ
"ทำนาริมทะเลสาบ" ความหมายตรงตัวกับชื่อ
ก่อนหน้านี้เป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน แต่ปัจจุบันกลายเป็นจุด Check-in
ใหม่ ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเก็บภาพ
ด้วยความสวยงามแปลกตาของทุ่งนาสีเขียวสดตัดกับทะเลสาบสุดกว้างใหญ่
เป็นภาพที่ใครต่อใครได้เห็นเป็นต้องอยากมาตามรอย
โดยชาวบ้านที่นี่
จะเริ่มทำนาช่วงเดือนมิถุนายนและเก็บเกี่ยวประมาณเดือนกันยายนของทุกปี
ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การเดินทางมาท่องเที่ยว
ข้าวที่ปลูกคือ ‘ข้าวสังข์หยด’ เป็นข้าวสายพันธุ์พิเศษ
อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ ซึ่งวิถีการทำนาริมเลของชาวพัทลุง
ถือเป็นการปลูกข้าวในทะเลเพียงแห่งเดียวของเมืองไทย
สอบถาม ททท.สำนักงานนครศรีธรรมราช โทร 0
7534 6515-6
สุขภาพ
–หน้าฝนเอาอยู่เลือกกิน“ผักผลไม้เนื้อสัตว์”ดีกว่าอาหารเสริม
ช่วงหน้าฝนหรือช่วงที่รู้สึกไม่สบาย
เราก็มักจะหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือวิตามิน เพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้
แต่จริงๆ แล้ว เราสามารถได้รับประทานอาหารหลากหลายได้จากธรรมชาติ
เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและปลอดภัยมากกว่าใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลศิริราช
มีคำแนะนำมาให้ โดยเฉพาะการชี้แหล่งอาหารดี ๆ
รับประทานแล้วอาจมีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ต่อสู้ไข้หวัดที่มาพร้อมกับหน้าฝนได้
1.กลุ่มผักและผลไม้หลากสี แนะนำให้รับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลายสี
เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินและสารพฤกษเคมีที่แตกต่างกัน
ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ
การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ
สามารถทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีในการต่อสู้กับโรคหวัดได้ โดยองค์การอนามัยโลก
(WHO) แนะนำให้บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน หรือ 5 หน่วยบริโภค
ผัก เช่น ผักกาดขาว
กะหล่ำปลี ปวยเล้ง ดอกกะหล่ำ หัวไชเท้า บร็อกโคลี ผักกวางตุ้ง
แนะนำให้นำไปลวกหรือนึ่ง 1 ถึง 3 นาที
กระเทียม แนะนำให้รับประทานแบบสด ทุบ หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
จะทำให้ได้รับสารพฤกษเคมีมากที่สุด นอกจากนั้น แครอต ฟักทอง พริกหวาน มะเขือเทศ
ยังเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ไม่แนะนำให้รับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดได้
ผลไม้ เช่น ส้ม กีวี่
หรือผลไม้ในตระกูลเบอร์รี เช่น สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี บลูเบอร์รี แบล็กเบอร์รี
องุ่นแดง มีวิตามินซีสูง มีส่วนช่วยในการเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
หากรับประทานวิตามินซีในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน และควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อย 2 ลิตรต่อวันเพื่อป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
2.กลุ่มเนื้อสัตว์
เนื่องจากในเนื้อสัตว์มีสังกะสี (Zinc, Zn) ที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เพราะเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากกว่า 200 ชนิด
เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนที่ควบคุมการทำงานของร่างกายหลายระบบ เช่น
ระบบภูมิคุ้มกันโรค แหล่งอาหารที่พบ เช่น หอย เนื้อหมู เนื้อวัว สัตว์เนื้อแดง
มีงานวิจัยบางส่วนชี้ว่าอาจมีส่วนช่วยลดระยะเวลาและอาการของโรคไข้หวัดได้ในผู้ใหญ่
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
โดยสรุป ไม่ใช่แค่อาหารหรือสารอาหารใดสารอาหารหนึ่งที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด
การรับประทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ และสมดุล
ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย
และการจัดการกับความเครียด จะช่วยให้ร่างกายพร้อมต่อสู้กับเชื้อโรค หรือโรคต่างๆ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก–ผ่าแผนบินไทยปี66-70 ลั่น8ปีหน้าใช้หนี้หมด1.2แสนล้าน
นายชาย
เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า การบินไทยตั้งเป้าหมายการจัดทำแผนระหว่างปี 2566-2570 มีความพร้อมจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการภายในไตรมาส
3 ปี 2567
พร้อมกับนำบริษัทกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้ภายในต้นปี 2568
และจะทยอยชำระหนี้ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 120,000 ล้านบาท ให้กับลูกหนี้ให้ครบทั้งหมดภายในประมาณ 8
ปีหน้า ดังนั้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นไป
จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจการบินเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพตามพันธกิจหลัก 3
อย่าง คือ เป็นสายการบินคุณภาพสูง
เป็นศูนย์กลางบริการเครือข่ายเส้นทางบิน (Network Airlines)
และมีเอกลักษณ์ไทย เป็นกุญแจความสำเร็จไปพร้อมกับการทำ 4 เรื่องหลัก
ดังนี้
เรื่องที่ 1
เพิ่มกำไรเกินกว่า 20,000 ล้านบาท พร้อมกับหาเงินสดสะสมให้ได้เกินกว่า
50,000 ล้านบาท จะเร่งทำต่อเนื่องปี 2566-2567 หลังจากครึ่งปีแรกสิ้นสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2566
มีเงินสดสะสมแล้ว 51,153 ล้านบาท
และทำกำไรสุทธิได้ 14,795 ล้านบาท หากยิ่งทำให้ผลประกอบการดีขึ้นมากเท่าไร
เงินสดก็จะมีมากขึ้น แล้วราคาหุ้นรอบใหม่ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
แต่ตอนนี้จะต้องบริหารจัดการลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอยู่
56,253 ล้านบาท ด้วย 2
วิธี 1.แปลงหนี้เป็นทุน 37,500 ล้านบาท
ก็จะเหลือสัดส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอยู่ประมาณ 19,000 ล้านบาท 2.ทำกำไรสุทธิปี 2566 ให้ได้เกิน 19,000 ล้านบาท ก็จะทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นติดลบหายไปได้
โดยการจัดการกับ 3 ตัวแปรหลัก
ได้แก่
ตัวแปรที่ 1 การทำ “กำไรสุทธิ”
เปรียบเทียบการดำเนินงานของการบินไทยและบริษัทย่อยครึ่งแรกปี 2566 ทำได้แล้ว14,795 ล้านบาท
ต้องรักษามาตรฐานนี้ไว้ต่อในช่วงครึ่งหลังปีนี้แล้วทำให้กำไรรวมตลอดทั้งปีนี้ให้ได้เกิน
20,000 ล้านบาทขึ้นไป
ผนวกกับปี 2567 เดินหน้าทำรายได้และกำไรต่อเนื่องต่อไป
ตัวแปรที่ 2 กำไรก่อนหักค่าเช่าเครื่องบิน (EBITDA)
ช่วงครึ่งปีแรก 2566 ทำได้แล้ว 23,361
ล้านบาท ตัวแปรที่ 3 การเพิ่มทุน ตามสมมุติฐานตั้งเป้าจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ได้ถึง
40,000 ล้านบาท
จากราคาหุ้นแปลงหนี้เป็นทุนอยู่ที่ 2.5452 บาท/หุ้น
เมื่อเพิ่มทุนจะมีโอกาสขายได้ในราคาสูงกว่านี้แน่นอน
แต่จะต้องประเมินผลอีกครั้งหลังมีงบการเงินอย่างชัดเจน
เรื่องที่
2
ด้วยการจัดหาฝูงบินใหม่เข้ามาเพิ่มจำนวนที่นั่งบริการผู้โดยสาร อนาคตตั้งแต่ปี 2570
เป็นต้นไปการบินไทยจะต้องมีเครื่องบินประมาณ 110 ลำ จากปัจจุบันมี 67 ลำ
พร้อมกับรับสมัครลูกเรือเพิ่มตามจำนวนฝูงบิน ตอนนี้มีรวม 3,500 คน เป็นลูกเรือเก่า 3,000 คน และเพิ่งเปิดรับเพิ่มใหม่กำลังฝึกอบรมอยู่
500 คน
ตามแผนจัดหาฝูงบินจะแบ่งเป็น 2 ส่วน
คือ 1.เครื่องบินกำลังจะหมดสัญญาเช่า
2.เครื่องบินใหม่ที่จะเพิ่มจำนวนนั่งและรายได้
ตอนนี้ล็อตแรกเข้ามาเพิ่มได้แล้วเป็นแอร์บัส A350 จำนวนรวม 11 ลำ แต่ก็ต้องเร่งหาให้ครบตามเป้าหมายสอดคล้องตามวางแผนอนาคตเพื่อใช้เครื่องบินบริการ
ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ ในตลาดอาเซียน อินโดจีน 20 % เอเชียทั้งในเกาหลี
ญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 30 % ยุโรป 30 % ที่เหลือเป็นออสเตรเลียเกือบ 10 %
ปัจจุบันมีเครื่องบินรวม 58
ลำ คือ A320 จำนวน 20 ลำ กับเครื่องบินลำตัวกว้างอีก 47 ลำ
แต่ยังขาดฝูงบินลำตัวกว้างอยู่จำนวนมากจึงเป็นเหตุผลให้ต้องหาแอร์บัส A350 เข้ามาเพิ่มอีก
11 ลำ
ทำให้มีเครื่องบินแบบลำตัวกว้างรวมแล้วจะได้ 58 ลำ
ส่วนสถานการณ์ตลาดขณะนี้กำลังแข่งขันกันหาเครื่องบินไกลขนาดใหญ่ลำตัวกว้างไว้รองรับความต้องการของผู้โดยสารอนาคต
คือโบอิ้ง B787-9 กับแอร์บัส
A350-900, A350-1000
ล่าสุดโบอิ้งผลิตเครื่องรุ่นใหม่ B77X
มีขนาดใหญ่กว่า B777-300ER
เพราะแบบของเครื่องบินแต่ละรุ่นจะมีผลต่อประสิทธิภาพการลงทุนด้วยเงื่อนไขเรื่องเครื่องยนต์ที่ติดตั้งมากับเครื่องบินแต่ละรุ่น
ดังนั้นการบินไทยหรือสายการบินต่าง ๆ
จำเป็นจะต้องใช้อำนาจการเจรจาต่อรองให้ได้มากที่สุดวิธีเดียวเท่านั้น
ซึ่งปัจจุบันโบอิ้ง B787-9
ใช้ GE กับโรลส์รอยซ์ ส่วนแอร์บัส A350-900, A350-1000
ใช้โรลส์รอยซ์เท่านั้น
เรื่องที่ 3
วางแผนลงทุนทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จะนำเงินสดสะสมขั้นต่ำรวม ๆ เกือบ 2,000
ล้านบาท เพื่อใช้ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ปรับปรุงเครื่องมือ
อุปกรณ์ บุคลากร บริการทางดิจิทัลเทรนด์ใหม่ ๆ
เพื่อเตรียมความพร้อมแข่งขันกับตลาดทั่วโลก เพราะมีฝูงบินอายุมากใกล้หมดสัญญาเช่าช่วงปี
2569-2570 ได้แก่
โบอิ้ง B777-330ER จำนวนทั้งหมด
17 ลำ
แบ่งย่อยเป็น 2 ส่วน
คือ การบินไทยเป็นเจ้าของ (financial
least) สามารถปรับปรุงได้ตามปกติมีไม่ถึง 10 ลำ
และเช่าปฏิบัติการบิน (Operating
least) จะต้องเจรจากับผู้ให้เช่าเครื่องบิน
ส่วนที่ 2
การลงทุนพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มครั้งใหญ่ทั้งระบบการบินจะใช้เงิน 400-500 ล้านบาท
เพิ่มผลผลิตและรายได้ให้การบินไทยเต็มที่ เช่น
รายได้จากการขายผ่านช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ แอพลิเคชั่น โดยจะทำเป็นเฟส
เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2567 ใช้เวลาทำให้แล้วเสร็จภายใน
3 ปีหน้า
ส่วนที่ 3 พัฒนาแพลตฟอร์ม
ERP SAP ลงทุนอีกกว่า
1,000 ล้านบาท
จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านบริการให้คำปรึกษาและวางระบบซอฟท์แอวร์แบบครบวงจร
ตอนนี้ใกล้จะหมดสัญญาบริการแล้วปี 2568
(ปกติทำสัญญาจ้างประมาณ 5-10 ปี)
จะต้องเริ่มศึกษาหาแพลตฟอร์มใหม่เข้ามาแทนภายให้ทันภายใน 2
ปีนี้
เรื่องที่ 4 เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพบริการร่วมกับธุรกิจสนามบินของไทย โดยการบินไทยจะจับมือกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” ขยับอันดับในเวทีโลกให้ดีขึ้น จากปัจจุบันนี้การบินไทยอยู่อันดับ
40 ส่วน AOT อยู่อันดับ 48 โดยมีเป้าหมายหลักต้องการทำให้คุณภาพบริการของทั้งสององค์กรดีขึ้น
แล้วทำให้ได้รับการโหวตขยับขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของโลกได้ด้วย
ล่าสุดได้นำเสนอโดยตรงกับ ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ AOT บ้างแล้ว
นำร่องทำเรื่อง “หลุมจอดเครื่องบินในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ”
อำนวยความสะดวกให้การบินไทยมีโซนจอดชัดเจน ทำให้ธุรกิจ วิน วิน ไปด้วยกัน
ข่าวที่สอง -“เจเอ็ดดูเคชั่น”ปลุกทัวร์“NIPPON HAKU BANGKOK”1-3ก.ย.
เจเอ็ดดูเคชั่น
สถาบันสอนภาษาและศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น
รายงานว่า เตรียมจัดงาน “NIPPON HAKU BANGKOK 2023” มหกรรมเพื่อคนรักญี่ปุ่นแบบครบทุกเรื่องครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นำเสนอธีม “NIPPON DAISUKI!” #ตะโกนออกมาว่าฉันชอบญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 1 – 3 กันยายน 2566 ที่ชั้น 5 สยามพารากอน ทุกวันเวลา 11.00 -
20.00 น. โดยจะรวบรวมความเป็นญี่ปุ่นทุกเรื่องรวบตึงแบบครบทุกมิติมาไว้ในงานเดียว
ให้คนรักญี่ปุ่นได้อินและฟินกับทุกกิจกรรมและความบันเทิง
และสัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
พร้อมจะจัดใหญ่
จัดเต็ม ทั้งเรื่องกิน เที่ยว ช้อป กว่า 300 บูธ
พร้อมความบันเทิงแบบเต็มคาราเบล เหมือนยกญี่ปุ่นมาไว้ในงานให้คนรักญี่ปุ่นได้เพิ่มประสบการณ์ดี
ๆ ครบทั้ง 8 สไตล์ 8 สาย ได้แก่
สไตล์ที่
1 “สายเที่ยว” รอพบโปรโมชั่นโปรแกรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น
ตั๋วโดยสารเครื่องบินราคาพิเศษจากสายการบิน และข้อมูลการท่องเที่ยวแต่ละหน่วยงานตามจังหวัดๆ
ครบทุกภูมิภาคในญี่ปุ่น
สไตล์ที่
2 “สายกิน” เตรียมตะลุยกินให้จุใจกับบูธอาหารร้านดัง
คาเฟ่สุดพรีเมี่ยม ส่งตรงจากญี่ปุ่นต้นตำรับแท้ ๆ
สไตล์ที่
3 “สายกรี๊ด” มาร่วมเปล่งเสียงให้ดังที่สุด
แดนซ์กระจายให้ร่างพัง ร่วมกับทัพศิลปินและไอดอลจากญี่ปุ่น ทั้งศิลปินไทยสไตล์ญี่ปุ่น
ชมการแสดงสุดพิเศษมากมายตรงบริเวณ MAIN STAGE และ MINI
STAGE จะมีทัพศิลปินตัวตึงจากญี่ปุ่นมาเพียบ!
สไตล์ที่
4 “สาย2D” ฟินกับกิจกรรมจากอนิเมะ
มังงะ ชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบ เตรียมเปย์หรือช้อป official ของแท้จากญี่ปุ่น
คาแรคเตอร์ หนังสือ ของสะสมสุดพิเศษที่จัดมาให้ถึงเมืองไทยงานนี้เท่านั้น
สไตล์ที่
5 “สายช้อป” มาเดินช็อปบูธของสะสม งานศิลปะ Handmade
จากศิลปินไทยหน้าใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากญี่ปุ่นล้วน ๆ
สไตล์ที่
6 “สายแชะ” มาเช่าชุดญี่ปุ่นเดินเล่นให้ทั่วงาน
พร้อมถ่ายภาพสวยๆ เต็มอิ่มไปกับ PHOTO SPOT สุดอลังการ ห้ามพลาด
!!เหล่าสาวกสายมูญี่ปุ่น
สไตล์ที่
7 “สายชิล”
เดินเที่ยวบูธกิจกรรมสร้างสรรค์โดยนักศึกษาที่รวมตัวมาจากเอกวิชาภาษาญี่ปุ่นทั่วประเทศไทย
เสมือนได้เดินงานเทศกาลอยู่ในโรงเรียนญี่ปุ่นจริง ๆ
สไตล์ที่
8 “สายคราฟท์” ปลดปล่อยจินตนาการไปกับกิจกรรม Workshop
ทางศิลปะและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายกิจกรรมเต็มไปด้วยพลังดึงดูดที่น่าสนใจ
ภายในงานยังได้จัดกิจกรรมใหญ่เตรียมไว้ต้อนรับทุกคนให้สมกับการรอคอยอีก
5 อีเว้นท์ ได้แก่
อีเวนต์ที่
1 JAPAN EDUCATION FAIR 2023 งานแนะแนวศึกษาต่อญี่ปุ่นใหญ่ที่สุดในไทย
รวมโรงเรียน-มหาวิทยาลัยทุกระดับจากญี่ปุ่นมาไว้ในงานมากสุดกว่า 50 สถาบัน
อีเวนต์ที่
2 JAPAN JOB FAIR 2023 จัดเต็มมหกรรมหางานบริษัทญี่ปุ่นครั้งใหญ่
เปลี่ยนงานใหม่ หางานตรงใจ อยากทำงานบริษัทญี่ปุ่นที่ไหน ขอให้นำประวัติและความสามารถแล้วมาสมัครงานกับบูธบริษัทญี่ปุ่นมากมาย
อีเวนต์ที่
3 การแข่งขันชิงทุนไปญี่ปุ่น J-Challenge ประจำปี 2023 คัดรอบสุดท้าย เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะเลิศจากทั่วเมืองไทย
อีเวนต์ที่
4 งานมอบรางวัล Thailand - Japan Ambassador
2023 และ Influencer in Japanese Lifestyle 2023 บริเวณเวทีหลักหรือ MAIN STAGE
อีเวนต์ที่
5 KAMPAI BANGKOK 2023 ผู้ที่หลงใหลรสชาติสาเกญี่ปุ่น ห้ามพลาดงานนี้ได้รวบรวม Sake
Breweries กว่า 20 แห่ง
บินตรงมาจากแดนอาทิตย์อุทัยต้นกำเนิดสาเกของแท้ มาให้ได้สัมผัสความละเมียดละไม พร้อมกับเครื่องดื่มโซจูญี่ปุ่นอีกหลากหลายรสชาติ
ลงทะเบียนเข้างานได้ฟรี!
กับลิงค์ https://nipponhaku.one.in.th/ แล้วมา #ตะโกนออกมาว่าฉันชอบญี่ปุ่น ไปพร้อมกันระหว่างวันที่ 1 – 3 กันยายน 2566 ทุกวัน 11.00 - 20.00 น. ชั้น 5 สยามพารากอน และติดตามได้ทาง Facebook
Fanpage: NIPPON HAKU BANGKOK
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น