เปิดใจ“วณิชชา วัฒนพงศ์”ประธานสภาท่องเที่ยวจันทบุรี
ชี้เป้ารัฐผ่าตัดงบใช้เครื่องมือปลดล็อกเมืองรองสู่เมืองหลัก
จุดพลุขาย“จันท์ฉ่ำว้าวเธอเขาเราฝน”ทัวร์ทะเล3มิติใหม่
คิงเพาเวอร์ชวนช้อปผิวหอม4ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย
สมาชิกคิงเพาเวอร์พักจัสมินซิตี้ลดรัวๆ10%ถึง31ธ.ค.
ททท.MOUภูฎานชูโมเดลทัวร์ยั่งยืน2ประเทศ1เส้นทาง
CMCบางจากครบ3ปีปลุกธุรกิจSMEตื่นตัวลดคาร์บอน
TCEBนำไมซ์โร้ดโชว์“จีน-อินเดีย-อินโด”โกย1.3พันล้าน
สุขทันทีที่เที่ยวรถไฟไทยฉ่ำว้าวตลอดหน้าฝน6จังหวัด
5ผักผลไม้ช่วยชะลอวัยรับประทานได้บ่อยๆสุขภาพดี
ก.ท่องเที่ยวร่วมUNTourismเปิดจุดขายทัวร์อาหารไทย
ลายันไลฟ์บายอนันตราภูเก็ตเปิดQ3/67ปั้นฮับสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่
30 มิถุนายน 2567 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen
#gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #TCEB #สุขทันทีที่เที่ยวรถไฟไทย
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...
ช่วงที่ 1 นางวณิชชา
วัฒนพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรรมท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี นำธุรกิจรับมือโลกเปลี่ยน
โลว์ซีซันเร็วขึ้นผนึกขายแคมเปญ “จันทบุรี ฉ่ำว้าว เธอ เขา เรา ฝน”
ครั้งแรกเปิดมุมเที่ยวใหม่ 3 จุดขาย
“กีฬาชายหาดยอดฮิต-ทะเลหมอก-วิถีชุมชน” ถกปมใหญ่ ยกระดับ “เมืองท่องเที่ยวหลัก”
วอนรัฐใส่ตัวช่วยเพิ่มด่วน “เครื่องมือ-งบปรับปรุง-ปลดล็อกเรื่องใหญ่ป้ายบอกทาง”
หนุนเที่ยวง่าย เศรษฐกิจโตได้ตามเป้า แนะยกเครื่องครั้งใหญ่แหล่งเที่ยวซอฟท์
พาวเวอร์ ทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน เอกชนยินดีร่วม IGNITE Thailand 5
Must do จันทน์พร้อม “Must
Eat &Seek :อาหารกับวัฒนธรรม”
นางวณิชชา วัฒนพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรรมท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า เอกชนในพื้นที่จันทบุรีซึ่งเป็น 1 ใน 10 จังหวัดที่รัฐบาลมีนโยบายให้ยกระดับจากเมืองน่าเที่ยว/เมืองรองเป็น “เมืองหลัก” ภายในปี 2568 มีจุดเด่นในการทำรายได้จากการท่องเที่ยวด้วย “สวนผลไม้” ระหว่างมิถุนายน-สิงหาคม ตามปกติจะมีผลผลิตดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากแตกต่างจากปี 2567 มีเฉพาะพฤษภาคม-มิถุนายน เท่านั้น ด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ผลไม้สวนต่าง ๆ ออกและหมดค่อนข้างเร็วกว่าทุกปี จึงส่งผลให้เข้าสู่นอกฤดูท่องเที่ยวหรือโลว์ซีซันเร็วมาก
ดังนั้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวจึงต้องร่วมมือกันทำแคมเปญ “จันทบุรีฉ่ำว้าว เธอ เขา เรา ฝน” เพื่อขยายตลาดส่งเสริมการขายเพิ่มรายได้เข้าพื้นที่อีกประมาณ 2-3 เดือน โดยผลักดัน 3 จุดขาย ประกอบด้วย
จุดขายที่
1 ลักษณะธรรมชาติทางทะเลในจันทบุรีมีหน้าหาดทรายค่อนข้างยาวอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
ขับรถมาเที่ยวได้ ซึ่งสามารถจัดกิจกรรมทางน้ำได้หลากหลาย โดยเฉพาะกิจกรรมยอดฮิต
การพายซับบอร์ด (Sub Broad)
และเล่นเซิร์ฟโต้คลื่นไม่สูงมากนัก บรรดานักเล่นเซิร์ฟมือใหม่จึงแห่กันมาจันทบุรี
จุดขายที่
2 ภูมิประเทศเป็นเขาไม่สูงหน้าฝนจะมีทะเลหมอกสวยงามตั้งแต่ช่วงเช้า
เอกชนจึงดีไซน์แพกเกจเสนอขายในงาน “ไทยเที่ยวไทย” ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2567 ที่ศูนย์นิทรรศการไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
จุดขายที่
3 ออกแบบการท่องเที่ยวชุมชน
เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศเดินทางมาทำความรู้จักกับคนในท้องถิ่นที่มีความน่าสนใจหลากหลายแนว
เช่น ชุมชนขนมแปลกคลองหนองบัว ชุมชนทับไทร โป่งน้ำร้อน เขาสอยดาว มีเรื่องราวของ
“เทือกเขาแห่งกระวาน”
จากนั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวปลายปี
2567 จะมีไฮไลต์งาน
“นมัสการรอยพระพุทธบาทพวง” เป็นจุดขายเด่นของจันทบุรี แล้วในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม
นี้ ยังมีงานใหญ่ “วิถีชุมชนริมน้ำจันทบูร”
ซึ่งจะจัดงานเทศกาลลอยดกระทงและเคาน์ดาวน์
วณิชชา
กล่าวว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวจันทบุรีได้พยายามตอบสนองวิสัยทัศน์ IGNITE
Thailand ของรัฐบาล
ผ่านทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขับเคลื่อน 5 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.ประสบการณ์ที่ดีในทุกอย่างก้าว 2.5 Must
do in Thailand 3.เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว
4.HUB of ASEAN 5.World Class Evnet Hub
เพื่อสานฝันของทุกฝ่ายที่จะทำให้ พ.ศ. 2568 เป็นปีทองของทั้งประเทศ
การท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี
ก็ได้จัดลำดับสินค้าการท่องเที่ยวโดดเด่นพร้อมขายไปพร้อมกับ 5 Must Do in
Chanthaburi ด้วย 2
Must คือ 1.Must
Eat อาหารถิ่นมีเมนูอร่อยให้เลือกอย่างหลากหลาย
2.Must Seek วัฒนธรรม
วิถีวัดวาอาราม กระตุ้นสายมู สายศรัทธา ที่โดดเด่นกว่าพื้นที่อื่น ๆ
ส่วน “เครื่องมือหรือการติดอาวุธ”
เพื่อให้จันทบุรีขยับจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก และสามารถตอบโจทย์วิสัยทัศน์ IGNITE
Thailand กับนโยบายท่องเที่ยว
5 Must do เอกชนก็มุ่งหวังให้หน่วยงานรัฐจากส่วนกลางพิจารณาด่วนเพราะทางพื้นที่ไม่มีพลังมากเพียงพอใน
4 เรื่อง ได้แก่
เรื่องที่
1 โครงข่ายถนนเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญบางส่วนต้องได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังมากขึ้น
เรื่องที่
2 ปลดล็อก
“ป้ายบอกทาง” ให้มีภาษาไทยและภาษาสากล รองรับต่างชาติ ต้องมีภาษาอังกฤษ
รวมทั้งปัจจุบันมีตลาดใหม่หลั่งไหลเข้ามาคือ กัมพูชา และเวียดนาม
หลังจากระดับประเทศปลดล็อกวีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศได้
การกลับมาปรับปรุงภายในพื้นที่ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันซึ่งตอนนี้ป้ายต่าง ๆ
มีจำนวนน้อยและภาษาที่สื่อสารก็ไม่ได้ตอบโจทย์การเดินทาง
โดยเฉพาะการดีไซน์หรือวางรูปแบบให้ชัดเจนสวยงาม
เพื่อสร้างความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ
เรื่องที่
3 ปลดล็อกภาษีป้ายชี้ทางให้กับเอกชน
ซึ่งใช้บอกทางกับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าถึงได้ง่ายกว่าปัจจุบัน
ภายใต้ระเบียบรูปแบบที่เรียบร้อยสวยงามไปในแนวทาง
เนื่องจาก
“อำนาจการตัดสินใจ” ไม่ได้อยู่ในระดับพื้นที่แต่ต้องมาจากส่วนกลาง
ซึ่งการทำป้ายบอกทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวได้ง่าย
Ease of travelling นั้น
จะต้องได้รับการพิจารณาแก้ไขจากรัฐบาลด้วยเช่นกัน
เรื่องที่
4 ปรับปรุงพัฒนาเร่งด่วนแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม หนึ่งในซอฟท์ พาวเวอร์ ของประเทศมีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์
ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากร พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในความดูแลของภาครัฐ
ทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจันทบุรีเคยนำเสนอไปยังจังหวัดแล้ว แต่หลายเรื่องต้องได้รับไฟเขียวจากส่วนกลาง
เชื่อมโยงไปถึงการดูแล ซ่อมบำรุง บูรณะเร่งด่วน ตัวอย่าง 2 แห่ง แล้วก็ยังมีแห่งอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ได้แก่
แห่งที่
1
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี ปัจจุบันยังมีข้อมูลสำคัญ สวยงาม น่าสนใจ
แต่ระยะเวลาผ่านไป หน่วยงานไม่ได้มีภารกิจต้อนรับนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
วันนี้จึงต้องกลับมาเพิ่มนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งอาจจะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูงต้องพึ่งพาเงินลงทุนจากส่วนกลาง
แห่งที่
2 เจดีย์เขาพลอยแหวน
อยู่บนภูเขากลางเมือง
นักท่องเที่ยวสามารถใช้เป็นจุดชมวิวร้อยเรียงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวิถีจันทบุรีเมืองแห่งเหมืองพลอยได้ด้วย
ขณะนี้ต้องการบูรณะซ่อมแซม
หากรัฐบาลต้องการให้
“จันทบุรี” ยกระดับเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก สร้างเศรษฐกิจ พัฒนารายได้ สร้างงาน
สร้างอาชีพ อย่างยั่งยืนในอนาคตอันใกล้นี้
รัฐบาลก็ควรจะต้องเข้ามาช่วยปลดล็อกปัญหาแก้ไขระบบโครงสร้างคมนาคมทำให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงแหล่งได้สะดวกปลอดภัย
พร้อมกับปรับปรุงบูรณะซ่อมแซมแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
โบราณสถานต่าง ๆ ด้วย
เพราะเมื่อมีนโยบายแล้วก็ควรมีเครื่องมือเข้ามาช่วยให้เกิดการพัฒนาได้จริง
เพราะทุกวันนี้เกินกำลังของเอกชนที่จะทำได้
นางวณิชชา
กล่าวว่า
ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจันทบุรีเองก็ได้หารือกันต่อเนื่องมาตลอดคู่ขนานกับนโยบายของรัฐบาลกลาง
นั่นคือ 1.พิจารณาจำนวนนักท่องเที่ยวรายปีที่เดินทางมาจันทบุรีปัจจุบันทำได้ปีละประมาร
2.8 ล้านคน
ส่วนเกณฑ์การเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักจะต้องทำให้ได้ปีละ 4 ล้านคนขึ้นไป ยังห่างอยู่ปีละ 1.2 ล้านคน ซึ่งภายในระยะให้เร่งทำภายใน 1 ปีจึงค่อนข้างท้าทายมาก
2.เพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่จันทบุรียังมีจำนวนน้อยมาก
ซึ่งปัจจุบันเห็นโอกาสสูงมาก โดยธรรมชาติของพื้นที่ทุกวันนี้มีเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ คือ “กัมพูชาและเวียดนาม”
เข้ามาเที่ยวเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
เรื่องแรกคือป้ายบอกทางเพราะนักท่องเที่ยวแถบนี้สามารถขับรถข้ามพรมแดนเข้ามาเที่ยวได้ตลอด
ซึ่งเป็นตลาดคุณภาพที่สนใจใช้เงินเพื่อรับบริการ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”
ตามโรงพยาบาลใหม่ที่ทยอยเข้ามาลงทุนเปิดหลายแห่ง
และห้างเซ็นทรัลมาเปิดศูนย์การค้าก็ดึงดูดนักช้อปต่างชาติมาจันทบุรีด้วยเช่นกัน
ส่วน
“สาธารณรัฐประชาชนจีน” เป็นอีกประเทศที่หลงไหลวท่องเที่ยวสวนผลไม้ทุเรียนอย่างมาก
ตลอด 5 ปีนี้
เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนหนึ่งมาจากการค้าทุเรียนขยายตัวจึงมีล้งเข้ามาตั้งแล้วก็มีญาติพี่น้องมาท่องเที่ยวด้วย
หลายพื้นที่สร้างการรับรู้เป็นวงกว้างต่อยอดจากล้งและครอบครัวไปยังจีนกลุ่มอื่นทั่วไป
แล้วจันทบุรียังมีเสน่ห์ความประทับใจจากผลสำรวจนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็น
“กลุ่มเดินทางมาท่องเที่ยวซ้ำ”
ประเมินผลจากมาครั้งแรกจะเลือกรับประทานอาหารตามร้านดังที่ผ่านการริวิว
แต่ครั้งที่ 2 จะหันมาเลือกรับประทานร้านอาหารทะเล
จึงเกิดการลงทุนในท้องถิ่นเปิดบริการ โฮมลอร์จ
โดยมีการขยายโปรดักซ์ร้านอาหารเพิ่มขึ้น ต่อด้วยการจัดอีเวนต์
และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน
ซึ่งต้องเร่งปรับปรุงและต้องได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐส่วนกลาง
เพราะที่ผ่านมาได้คุยกันแล้วในระดับท้องถิ่นยังไม่สามารถตั้งบประมาณจำนวนสูงได้ตามปีงบประมาณปกติ
แล้วก็ต้องตั้งงบล่วงหน้า 2 ปีขึ้นไป
ดังนั้นสิ่งที่จะนำเสนอคือ
รัฐบาลกลางจะต้องพิจารณา “จัดสรรงบประมาณช่องทางพิเศษ”
ลงสู่พื้นที่เพิ่มอย่างเหมาะสม
เพื่อยกระดับปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดขายที่จะสร้างแรงดึงดูดให้คนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในแต่ละจังหวัดที่ตั้งเป้าจะผลักดันขึ้นเป็น
“เมืองท่องเที่ยวหลัก” ของประเทศ
นางวณิชชา
กล่าวว่าหน้าฝนปี 2567 ฝากถึงนักท่องเที่ยวในมุมมองใหม่
“เมืองจันทน์น่ารักแสนฉ่ำว้าว” มีมิติความสวยงาม
แล้วนักท่องเที่ยวที่มาเยือนก็รักในสิ่งที่คนจันทน์รัก
เป็นมิติที่น่ามองน่ามาเยือน ซึ่งมีอีกหลายมุมที่อยากให้คนมาสัมผัส “เธอ เขา เรา
ฝน” นอกเหนือจากความโรแมนติกแห่งท้องทะเลตะวันออก โดยเฉพาะความชุ่มฉ่ำของสายฝน
และเมืองใหม่ดินแดนแห่งกะวานเขาสอยดาว พืชสมุนไพรบนโลกใบนี้ที่หลอมรวมทุกอย่างไว้
เรื่อยไปจนถึงเหมืองโบราณ เวิร์คช็อปอัญมณีทำ D.I.Y.บนถนนและศูฯย์รวมอัญมณีก็สามารถช้อปปิ้งได้
แล้วยังมีโบสถ์คริสต์สวยสุดต่อด้วยโบสถ์สีน้ำเงินแห่งใหม่
ศรัทธาและความสุขกับท้องฟ้าสีคราม
และมุมใหม่ที่จะเปิดปฐมฤกษ์เที่ยวหน้าฝนฉ่ำว้าวได้ที่จันทบุรี
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์ชวนช้อปผิวหอม4ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย
กลุ่มคิง
เพาเวอร์ แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสวยรับหน้าฝน 4
เทคนิคกับ 4 ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย ที่มาพร้อมกับคุณภาพ
สามารถเลือกช้อปได้ที่คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา ทุกช่องทาง
ผลิตภัณฑ์แรก
สู่อาบน้ำ ทุกวันต้องอาบน้ำให้สะอาดทุกครั้ง
โดยเลือกใช้ครีมหรือสบู่อาบน้ำที่ช่วยขจัดแบคทีเรีย และทำให้กลิ่นตัวเราหอมอ่อน ๆ
ด้วยจะดีมาก แนะนำ สบู่ก้อนของเมาท์ ซาโพลา (Mt.Sapola) โดดเด่นในเรื่องของกลิ่นและการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
ผลิตภัณฑ์ที่
2 แชมพู
YAHN ทุกครั้งกับการสระผมให้หอม
วิธีเลือกแชมพูให้เหมาะกับสภาพเส้นผมและถ้ามาจากธรรมชาติจะดีมาก อย่างเช่น YAHN
ซึ่งมีทั้งกลิ่นหอมที่เป็นสุนทรีย์และมีสรรพคุณทางยา
ผลิตภัณฑ์ที่
3 โลชั่น แบรนด์ INTREE และแฮนด์ครีมต้อง
SATIRA ช่วยเติมเต็มความหอมด้วยโลชั่น
อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้กลิ่นตัวเราหอมได้ตลอดทั้งวัน บำรุงผิวด้วยโลชั่นหรือเจล
ทาทั้งตัวและมือ
ควรทาหลังจากอาบน้ำเสร็จทันทีเพื่อให้เนื้อโลชั่นซึมสู่ผิวเราได้ดี
ผลิตภัณฑ์ที่
4 แนะนำแบรนด์ PRANALI Body Mist มีกลิ่นเฉพาะตัวเป็นชื่อเมืองต่าง
ๆ เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่ ฯลฯ
เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับร่างกายของทุกคนฉีดได้ทั้งตัวและผม
เน้นเฉพาะจุดอย่างข้อมือ ข้อพับ ซอกคอ จะได้หอมแบบฟุ้งแต่ไม่ฉุนจนเกินไป
ความหอมของไอเทมเหล่านี้
ช้อปปิ้งได้ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา หรือ
www.kingpower.com และ www.Firster.com
ข่าวที่ 2 สมาชิกคิงเพาเวอร์พักจัสมินซิตี้ลดรัวๆ10%ถึง31ธ.ค.
สมาชิก
คิง เพาเวอร์ ได้สิทธิ์แบบไร้รอยต่อ แสดงบัตรจองห้องพักราคาพิเศษพร้อมส่วนลดสูงสุด
10% ที่จัสมิน ซิตี้ กรุ๊ป ทั้งบัตร NAVY, SCARLET, ONYX, CROWN และ VEGA
กดสรับโค้ดส่วนลดได้ผ่าน
@kingpower บนแอปพลิเคชัน LINE หรือkingpower.com เก็บรหัสโปรโมชั่นใช้ได้ตั้งแต่วันนี้– 31 ธันวาคม 2567 ทุกรหัสเป็นสิทธิพิเศษสำหรับการใช้งานส่วนตัว
ไม่สามารถโอนให้บุคคลอื่นได้
อย่าลืม
!! จองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7
วัน (ขึ้นอยู่กับห้องว่าง ณ เวลาที่จอง ราคาห้องพักที่ระบุรวมค่าบริการและภาษีแล้ว
หากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมระหว่างการเข้าพัก จะต้องชำระโดยตรงกับโรงแรมเท่านั้น
ทางโรงแรมจัสมินกรุ๊ป
เปิดหน้า เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม; จัสมินกรุ๊ปโฮเต็ล
ไว้ต้อนรับสมาชิกคิง เพาเวอร์ ทุกบัตร
ส่วน
“โปรโมชั่น” ใช้ลดค่าห้องแล้วก็จะไช้กับส่วนลดอื่น ๆ ไม่ได้ เมื่อกดรับสิทธิ์ได้หลังแลกรหัสโปรโมชั่นสำเร็จแล้วต้องใช้จริงด้วย
เพราะไม่สามารถขอคืนเงินหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือเปลี่ยนแปลง
และไม่สามารถโอนให้กับบุคคลอื่นได้
สามารถตรวจสอบห้องว่างกับทางโรงแรมโดยตรงทางโทรศัพท์หรืออีเมลก่อนแลกรับรหัสโปรโมชั่น
ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับห้องว่างขณะตอนสมาชิกแต่ละคนจองเข้าไป
โดยแจ้งชื่อนามสกุล
เบอร์ติดต่อ และอีเมลของสมาชิกกับทางโรงแรมให้เรียบร้อยก่อน
ตามด้วยกรอกรหัสโปรโมชั่นรับส่วนลดกับพนักงานตอนทำการจอง
แล้วก็ต้องแสดงหลักฐานการเป็นสมาชิกคิง เพาเวอร์ เมื่อเช็คอินด้วย
ทำครบจบทุกขั้นตอน ก็ได้สิทธิพักผ่อนสบายใจในราคาสบายกระเป๋า
ข่าวที่
3 ททท.MOUภูฎานชูทัวร์ยั่งยืน2ประเทศ1เส้นทาง
ผู้ว่า ททท. ปลื้มนายกฯ นำ MOU ท่องเที่ยว “ไทย-ภูฎาน” เน้นแลกเปลี่ยนจุดแข็งด้านวิจัย
วิชาการในโมเดล “ท่องเที่ยวธรรมชาติยั่งยืน” เล็งเปิด “2 ราชอาณาจักร 1
จุดหมายปลายทาง : Two Kingdom’s One Destination” กับ “Friends
of Thailand-Bhutan” เพิ่มตลาดและเศรษฐกิจทัวร์ปลายปี67คึกคัก
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน
นายกรัฐมนตรี เปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับนาย ดาโช เชริง โตบเกย์
นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน โดยร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจทางด้านการท่องเที่ยวระหว่าง
ประเทศไทยกับภูฎาน เพื่อจับมือกันพัฒนาทั้งเรื่องวิชาการ วิจัย บุคลากรทางการแพทย์
จำนวน 2 ฉบับ ประกอบด้วย
ฉบับที่ 1
บันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือทางวิชาการ การวิจัย
และการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กับมหาวิทยาลัยแพทย์
เคเซอร์ เกียลโป ของภูฏาน
และฉบับที่ 2 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย
– ภูฏาน
หลังการลงนาม
MOU ทั้งสองฉบับเรียบร้อยทั้งด้านการท่องเที่ยวและสาธารณสุข
จะช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและความร่วมมือด้านการศึกษาทางการแพทย์
ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของไทยกับเคเซอร์ เกียลโปให้เกิดการทำงานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเป็นประโยชน์ที่จะต่อยอดและขยายกิจกรรมต่าง
ๆ ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ
ทั้งประเทศไทยและภูฏานต่างก็แสดงความมุ่งมั่นพร้อมทำงานเคียงข้างกันโดยใช้จุดแข็งที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อมโยงการเดินทาง
อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและประชาชนซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญสร้างเศรษฐกิจให้ทั้งสองประเทศ
แล้วไทยเองในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของภูฏาน
จะสนับสนุนแบ่งปันความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่น การดูแลสุขภาพ เกษตรกรรม และเทคโนโลยี ด้วยความยินดีจะเรียนรู้จากแนวทางของภูฏานซึ่งโดดเด่นอย่างมากเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน
กับความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของเมืองไทย
ผู้ว่าฯ
ฐาปนีย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ประกอบด้วย ด้านที่ 1 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือเป็นวาระสำคัญอย่างมากทั้งของไทยและภูฏาน
ด้วยศักยภาพทางการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ล้วนมีวัฒนธรรมแห่งวิถีชีวิตมายาวนาน
ผนวกเข้ากับมีธรรมชาติความงามหลากหลาย จึงพร้อมจะเดินหน้าส่งเสริมโครงการ “2
ราชอาณาจักร 1 จุดหมายปลายทาง :
Two Kingdom’s One Destination” ส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
แล้วทั้งสองฝ่ายยังเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้การจัดตั้งกลุ่ม “Friends of Thailand-Bhutan” เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไปในเร็ววันนี้ด้วย
ด้านที่ 2 การศึกษาและวิชาการ
ทั้งสองฝ่ายยืนยันจะอำนวยความสะดวกร่วมแลกเปลี่ยนนักศึกษาและบุคลากรทางวิชาการ
เสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างมิตรภาพที่ยั่งยืนระหว่างเยาวชนคนรุ่นใหม่มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีต่อกัน
ด้านที่ 3 พลังงานทดแทนของไทยและภูฏานก็พร้อมทำงานร่วมกัน
มุ่งเน้นแบ่งปันความเชี่ยวชาญและแนวปฏิบัติสู่ความเป็นเลิศ
เพื่อให้สองประเทศบรรลุเป้าหมายเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน เช่น
พลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง
ด้านที่
4 ความร่วมมือระดับภูมิภาค ซึ่งสำคัญกับความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลถึงความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ
(Bay of Bengal Initiative Multi-Sectoral Technical and Economic
Cooperation: BIMSTEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเกี่ยวข้องกับด้านการค้าและความเชื่อมโยง
ตามที่นายกรัฐมนตรีภูฏานได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ที่เลือกประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเดือนกันยายน
2567
ทางนายกรัฐมนตรีภูฏานได้กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี
พร้อมนำความปรารถนาดีจากราชวงศ์ และประชาชนชาวภูฏานที่มีต่อนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลและประชาชนชาวไทย การเดินทางมาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทย และความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ภูฏานพัฒนาไปอย่างมาก
พร้อมขอบคุณรัฐบาลและประชาชนชาวไทยสำหรับความสัมพันธ์และความร่วมมือในการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจของภูฏาน
โดยภูฏานนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 4 ถือว่าไทยเป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆ
รวมทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญด้วย ทั้งด้านท่องเที่ยวและการแพทย์กับชาวภูฏาน
นายกรัฐมนตรีภูฏาน กล่าวตอนท้ายว่า ได้ตอบรับการเข้าร่วมการประชุม
BIMSTEC ที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดช่วงเดือนกันยายน
2567
ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีเยือนภูฏานด้วยเช่นกัน
ข่าวที่ 4 CMCบางจากครบ3ปีปลุกธุรกิจSMEตื่นตัวลดคาร์บอน
นางกลอยตา ณ ถลาง
รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บมจ.
บางจากฯ และประธาน Carbon
Markets Club (CMC) เปิดเผยว่า ได้นำ CMC คลับรักษ์โลกลดก๊าซเรือนกระจกแห่งแรกของประเทศไทย
ซึ่งก่อตั้งโดยบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บีซีพีจี จำกัด
(มหาชน) และองค์กรก่อตั้งรวม 11 บริษัท จัดงาน "READY,
SET, NET ZERO with Carbon Markets Club" ในโอกาสครบรอบ 3 ปี ของการก่อตั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรต่าง ๆ
โดยเฉพาะธุรกิจ SME
ในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ท่ามกลางสถานการณ์
"โลกเดือด เรื่องดุ" มีสมาชิกก่อตั้งและสมาชิก
CMC
ทั้งประเภทองค์กร บุคคล ผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตร ผู้สนใจ และสื่อมวลชนร่วมกว่า
400 คน ที่ห้องแกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 3 ทรู
ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ สุขุมวิท 101
ภายในงานได้บรรยายพิเศษ "Warmer Than in Hell" นำโดย ผศ.ดร.ธรณ์
ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ
และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มาร่วมเวทีพร้อมทั้งแชร์ถึงภาวะวิกฤตโลกเดือดที่รุนแรง
และส่งผลกระทบชัดเจนทั้งกับการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพของคน ต่อเนื่องถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับความหลากหลายทางชีวภาพ
โอกาสใกล้สูญพันธุ์ของสัตว์ ฯลฯ และการต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วน
เพื่อบรรเทาผลกระทบ
นางกลอยตาได้ บรรยาย “โลกเดือดเรื่องดุ” กล่าวถึงความท้าทายและความเสี่ยงของภาวะโลกเดือด ซึ่งไทยอยู่ลำดับ 9
ของโลก ที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงของสภาวะวิกฤติภูมิอากาศ
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นโจทย์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน นำมาบังคับใช้มาตรการต่าง
ๆ ทั้งระดับสากลเช่น CBAM หรือ
ภาษีก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป
และพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย
ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ดังนั้น ภาคธุรกิจ
จึงต้องทำความเข้าใจ เตรียมการ ปรับตัว เป็นที่มาของการจัดสัมมนาในวันนี้
ช่วงเสวนา "Ready, Set, Net Zero: SMEs ปรับตัวอย่างไรในยุคโลกเดือด"
นางสาว ปวีณา พึ่งแพง ผู้จัดการกิจการเพื่อสังคม บมจ.บางจากฯ ดร.วิชชุวรรณ
พึ่งเจริญ ผู้จัดการอาวุโส Energy Innovation Department บริษัท
บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ดร.เอนกประชา แก้วมณี ผู้อำนวยการ
ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจโรงกลั่น บมจ.บางจากฯ นายเชวง เศรษฐพร ผู้อำนวยการอาวุโส
แผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อบรรษัท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
ร่วมพูดคุยแนวทาง ขั้นตอนการปรับตัวสู่องค์กร Net Zero แนะนำการใช้เครื่องมือในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร
ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นให้องค์กรทราบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกำหนดแผนในการปรับลด
โอกาสทางธุรกิจ ของการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ แพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME จากธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบต่าง
ๆ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการให้ความรู้ แนะนำ แอปพลิเคชั่น "MyCF"
เครื่องมือประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับบุคคล จัดทำโดย บางจากฯ
และบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายชัยวัฒน์
โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมเชิญชวนการใช้งาน MyCF ผ่านการสาธิตการใช้งาน MyCF
โดยมีนายพุฒิพงศ์ พันธนะวรพิน
นักกีฬาแฟลกฟุตบอลทีมชาติไทย และเจ้าหน้าที่กิจการเพื่อสังคม บมจ.บางจากฯ
นางสาวอมินตา เพิ่มพูนวิวัฒน์ นักสื่อสารด้าน Climate
Change ด.ญ.พีรดา หิรัญพฤกษ์
เยาวชนผู้มีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมจาก Wellington College International
School Bangkok ร่วมพูดคุยแนวคิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เริ่ม
เพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน ดำเนินรายการโดย นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (หนุ่ย แบไต๋)
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด (จำกัด) ผู้ผลิตสื่อ bt beartai
นางกลอยตากล่าวตอนท้ายว่า CMC
มุ่งมั่นจะสนับสนุนติดอาวุธให้ผู้ประกอบการเร่งปรับตัวสู่ Net Zero นอกจากความท้าทายแล้วยังเป็นโอกาสทางธุรกิจเช่นกัน เพราะมีกิจกรรมเผยแพร่ข้อมูลต่าง
ๆ และเครื่องมือเป็นประโยชน์กับสมาชิก วันนี้มีมาสคอตเน็ตตี้ (NETTY) เป็นตัวแทนช่วยสื่อสารความรู้
ต่าง ๆ รวมถึงการร่วมดูแลโลก ด้วยการ “ลด ละ เริ่ม” ลด รอยเท้าคาร์บอน ละ การสร้างภาระ
ต่อสิ่งแวดล้อม และเริ่มได้วันนี้และทุก ๆ วัน
ภายในงานยังมี SME Climate Clinic ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
กับการแนะนำเครื่องมือและแอปพลิเคชั่นของ CMC โดยมีบูธต่าง ๆ
ของบริษัทในกลุ่มบริษัทบางจาก ประกอบด้วย
บูธ Bangchak Refinery Low Carbon Products โดยโรงกลั่นน้ำมันบางจาก
พระโขนง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บางจากที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
บูธ BCPG เสนอระบบแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานสำหรับใช้ในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม
บูธบัตรบางจากฟลีทการ์ด อำนวยความสะดวกในการรับบริการเติมน้ำมันที่สถานีบริการ
บูธทอดไม่ทิ้ง
โครงการรับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเพื่อนำไปผลิต SAF
บูธ Carbon Markets Club สำหรับสมัครสมาชิกและให้ข้อมูลเพิ่มเติม
พร้อมด้วยเกมสนุก ๆ แทรกสาระความรู้
สำหรับการจัดงาน “READY, SET, NET ZERO with Carbon Markets
Club” ได้พยายามดำเนินการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
มีการชดเชยการปล่อยคาร์บอนจากการจัดงานเป็น carbon neutral event
และ CMC ได้ชดเชยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ส่วนบุคคลให้กับผู้ดำเนินรายการและวิทยากรทุกท่านที่ร่วมงานเป็น
บุคคลไร้คาร์บอน
ข่าวที่
5 TCEBนำไมซ์โร้ดโชว์“จีน-อินเดีย-อินโด”โกย1.3พันล้าน
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร
ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB”
เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลัง และเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ
ระหว่างกรกฎาคม-กันยายน 2567
ทีเส็บวางกลยุทธ์นำไมซ์รุกเจาะตลาดต่างประเทศ
นำภาคธุรกิจไมซ์ของไทยเดินทางทำเทรดโชว์ โร้ดโชว์ เน้นเพิ่มกำลังซื้อจากกลุ่มประชุมสัมมนาและนักเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
(Meeting&Incentive
:MI) ในพื้นที่เป้าหมาย 3 ตลาดหลัก
คาดจะทำรายได้รวมกว่า 1,377
ล้านบาท จำนวน 110 งาน ผู้เข้าร่วมกว่า 22,000 คน
ได้แก่
ตลาดแรก
“อินเดีย” ไป 2 เมืองใหญ่ กัลกัตตา และมุมไบ ระหว่าง 30 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2567 คาดจะทำให้เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกลุ่มประชุมสัมมนาและนักเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
(Meeting&Incentive :MI)
มาจัดในไทยสร้างรายได้กว่า 528
ล้านบาท จาก 40 งาน จำนวนนักเดินทางทั้งสองกลุ่มประมาณ 8,000 คน
ตลาดที่สอง
“สาธารณรัฐประชาชนจีน” ไป 2 เมืองใหญ่ เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม
2567 คาดจะทำให้เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกลุ่มประชุมสัมมนาและนักเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
(Meeting&Incentive :MI)
มาจัดในไทยสร้างรายได้กว่า 594
ล้านบาท จาก 45 งาน จำนวนนักเดินทางทั้งสองกลุ่มประมาณ 9,000 คน
ตลาดที่สาม “อินโดนีเซีย” ไปเมืองจาการ์ต้า วันที่ 3 กันยายน 2567 คาดจะทำให้เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจกลุ่มประชุมสัมมนาและนักเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
(Meeting&Incentive :MI)
มาจัดในไทยสร้างรายได้กว่า 300
ล้านบาท จาก 25 งาน จำนวนนักเดินทางทั้งสองกลุ่มประมาณ 5,000 คน
สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมนานาชาติ
และงานต่าง ๆ อีกหลากหลายเพื่อนำรายได้ไมซ์เข้าประเทศให้ได้มากที่สุด
งานที่ 1 The 27th IUPAC International Conference on Chemitry
Education เป็นงานประชุมนานาชาติด้านเคมีศึกษาระดับสากล
จัดระหว่าง 15-19 กรกฎาคม
2567 ที่พัทยา
จ.ชลบุรี
งานที่ 2 Bangkok International Digital Content Festival 2024
เทศกาลด้านดิจิทัลคอนเทนท์ ระหว่าง 5-8 สิงหาคม นี้ ที่กรุงเทพฯ
งานที่ 3 Thailand International LGBTQ+Film &TV Festival 2024 งานเฉลิมฉลองความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศในสังคมผ่านผลงานศิลปะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
ระหว่างวันที่ 20-24 กันยายน
2567
ที่กรุงเทพฯ
ช่วงที่ 2 เตรียมเช็คอินเที่ยวเมืองไทย “นั่งรถไฟไทย” ขบวน KINA 183 กับ 6 พิกัดเมืองน่าเที่ยว ฉ่ำว้าวได้ตลอดหน้าฝน
ก.ค.-ส.ค.นี้ ทำเลยเลือกกิน “5ผักผลไม้ชะลอวัย” ดีต่อกายใจ
แล้วฟังเรื่องดี ๆ ข่าวแรก “กระทรวงท่องเที่ยวร่วมUN Tourism”
เปิดจุดขายเที่ยวเชิงอาหาร ข่าวที่สอง “ไมเนอร์เปิดลายันบายอนันตรา”
นำภูเก็ตฮับสุขภาพโลก
ท่องเที่ยว
– สุขทันทีเที่ยวรถไฟไทยฉ่ำว้าวตลอดหน้าฝน6จังหวัด
เที่ยวให้ฉ่ำตลอดหน้าฝนนี้ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย”
กับการรถไฟแห่งประเทศไทย ชวนมาร่วม “สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย
เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ท่องเที่ยวรถไฟระหว่างกรกฎาคม
- สิงหาคม 2567
ตลุยเที่ยวไทย 4 เส้นทาง แถมมีแพ็กเกจท่องเที่ยว
มีต้นทางจาก “กรุงเทพฯ” เชื่อมโยงเมืองหลักกับเมืองน่าเที่ยวในภาคกลาง 3 จังหวัด ที่ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี และภาคตะวันออก อีก 1
จังหวัด ปักหมุด ปราจีนบุรี
ปฏิทิน “สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย
เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เปิดให้จองได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่ง หรือระบบ D-ticket ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
สอบถามเพิ่มได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ รฟท.โทร.1690 เพื่อร่วมขบวนสุขทันทีที่ได้เที่ยวรถไฟไฮไลต์ตลอด 2 เดือน
เดือนกรกฎาคม 2567 จัดกิจกรรม “สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย
เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เชื่อมโยงกรุงเทพฯ ไปยังภาคกลางและภาคตะวันออก ทุกสัปดาห์ด้วยรถไฟขบวน
KIHA 183 จำนวน 4 เส้นทาง และแพ็กเกจท่องเที่ยว
2 วัน 1 คืน ราคา 3,999 บาท/คน เช็คอินเที่ยวกันเถอะเรา
เส้นทางที่ 1 กรุงเทพฯ - ราชบุรี วันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2567 เส้นทางที่ 2 กรุงเทพฯ
- ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 13 – 14 กรกฎาคม 2567 เส้นทางที่ 3 กรุงเทพฯ - สุพรรณบุรี วันที่ 20
– 21 กรกฎาคม 2567 และเส้นทางที่ 4 กรุงเทพฯ - จังหวัดปราจีนบุรี วันที่ 27 – 28 กรกฎาคม
2567
เดือนสิงหาคม 2567 จัดกิจกรรม “สิงหาแม่พาเที่ยว” เที่ยวรถไฟ 2
เส้นทาง แบบไปเช้าเย็นกลับหรือ One Day Trip เช็คอินเที่ยวต่ออีก
2 เส้นทาง
เส้นทางที่ 1 แม่พาลูกเที่ยว ชวนนั่งรถจักรไอน้ำประวัติศาสตร์
กรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา วันที่ 12 สิงหาคม 2567
เส้นทางที่ 2 แม่ชวนลูกเที่ยว Royal Blossom รถไฟสายแห่งความสุข กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี (ภาคกลาง) วันที่ 17 สิงหาคม 2567
ทริปเที่ยวไทยทุกจังหวัดจะให้ได้ตื่นตาตื่นใจกับ 5 สิ่งต้องห้ามพลาด หรือ
5 Must Do นั่นคือ
Must
Eat : อิ่มอร่อยกับอาหารถิ่น
Must
See : ละลานตาวัฒนธรรม
Must
Seek : แสวงหาอันซีนถิ่นน่าเที่ยว
Must
buy : หัตถกรรมล้ำค่าน่าซื้อฝาก
Must
beat : สุดยอดกีฬาท้าทายกายใจ
เพิ่มอรรถรสระหว่างการเดินทางด้วยมัคคุเทศก์มืออาชีพบรรยายความรู้ นำเสนอข้อมูลต่าง
ๆ และเพิ่มความพิเศษตลอดช่วงเวลาความสุขบนขบวนรถไฟ KIHA 183 เดือนกรกฎาคม
2567 ด้วยไฮไลต์ที่น่าสนใจ
เส้นทาง “ราชบุรี” จัดกิจกรรมแฟชั่นโชว์ ผ้าขาวม้าบนรถไฟ
เส้นทาง “สุพรรณบุรี” จะจัดการแสดงเพลงฉ่อยบนขบวนรถไฟ
เส้นทาง “ประจวบคีรีขันธ์” เปิดการบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ด้วยแซกโซโฟน
เส้นทาง “ปราจีนบุรี” รอเซอร์ไพรส์เคล็ดลับการสักการะท้าวเวสสุวัณจาก
“ซินแสเป็นหนึ่ง”
แต่ละเส้นทางยังพาแวะเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวอีก Must See/ชมวัฒนธรรม
- Must Seek/อันซีนถิ่นน่าเที่ยว และทำกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
เช่น
เส้นทางราชบุรี : ชมการแสดงหนังใหญ่
ที่วัดขนอนหนังใหญ่ และตักบาตรพระล่องแพ ตลาดโอ๊ะป่
เส้นทางประจวบคีรีขันธ์ : ศึกษาเส้นทางธรรมชาติป่าโกงกาง
ทุ่งโปรงทอง
และร่วมปลูกต้นจิกที่วนอุทยานปราณบุรีเพื่อเพิ่มพื้นทีสีเขียวริมชายหาด
เส้นทางสุพรรณบุรี : สัมผัสอารยธรรมทวารวดี
สักการะพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (หลวงพ่ออู่ทอง)
เส้นทางปราจีนบุรี : กราบสักการะพระพุทธทวารวดีศรีปราจีน
สิรินธรโลกนาถ เนื่องในวันมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา รัชกาลที่ 10
เส้นทางฉะเชิงเทรา: ย้อนกลิ่นอายวันวาน นั่งรถไฟหัวรถจักรไอน้ำ
กราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ล่องเรือชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำบางปะกง
เส้นทางกาญจนบุรี : สร้างประสบการณ์สุดคลาสสิค
ตามรอยประวัติศาสตร์ชมสะพานข้ามแม่น้ำแคว ถ้ำกระแซ สักการะพระโพธิสัตว์กวนอิม
อวโลกิเตศวรพันมือองค์ใหญ่แกะสลักไม้ ด้วยรถไฟขบวน Royal Blossom
เที่ยวเมืองไทยรอไม่ได้อีกแล้ว
หน้าฝนนี้ ลองนั่งรถไฟสัมผัสความฉ่ำว้าวเย็นสบายสูดกลิ่นอายธรรมชาติ
วิถีชีวิตผู้คน กินของอร่อย ดื่มด่ำกับวัฒนธรรม และความงดงามเที่ยวง่ายเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
สุขภาพ
– 5ผักผลไม้ช่วยชะลอวัยรับประทานได้บ่อยๆสุขภาพดี
ทุกวันนี้ชีวิตมีทางเลือก
ที่จะดูแลตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาหมอตอนสูงวัย
แต่จะต้องรู้วิธีกินอาหารให้เป็นประโยชน์ ชะลอวัยกับ 5 ผักดังนี้
1.ผักโขม
คือ ผักที่มีส่วนช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังจัดอยู่ในประเภทของผักที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการเติมออกซิเจนภายในงล้วนเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราด้วยกันทั้งสิ้น
2.บร็อคโคลี่
คือ ผักที่ช่วยต้านการอักเสบและช่วยต้านการเกิดริ้วรอย อีกทั้งยังร่างกาย
นอกจากนี้ผักโขมยังอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี
วิตามินอี วิตามินเค เหล็ก แมกนีเซียม และลูทีน
ซึ่เป็นผักที่มากมายด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเค
เส้นใย ลูทีน โฟเลต แคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิดเลยทีเดียว
ในบร็อคโคลี่อุดมด้วยบร็อคโคลี่แล้วยังมีความสามารถช่วยผลิตคอลลาเจน
ซึ่งเป็นสารช่วยทำให้ผิวของเราแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นสุขภาพดีด้วย
3.มะละกอคือ
ผลไม้ที่มีความสามารถช่วยชะลอวัย ต้านความชรา และทำให้ผิวอ่อนเยาว์ เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเค
อีกทั้งยังมีแร่ธาตุหลากหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส
ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวและสามารถบำรุงสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี
พร้อมทั้งยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวและช่วยลดการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ
ได้ดีด้วยเช่นกัน
4.บลูเบอร์รี
คือ ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินเอและวิตามินซี รวมทั้งแอนโธไซยานิน
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด
ความเครียด และมลภาวะต่างๆ
สารอาหารเหล่านี้จะช่วยควบคุมการตอบสนองต่อการอักเสบและช่วยป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี
5.ทับทิม
คือ ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระมีศักยภาพอยู่มากมาย
ถือเป็นผลไม้ที่มีความสามารถปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
พร้อมทั้งช่วยลดระดับการอักเสบในระบบต่างๆ ของร่างกายได้ดีเลยทีเดียว
ที่สำคัญทับทิมยังมีสารประกอบที่เรียกว่าสารพูนิคาลาจิน
ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยรักษาคอลลาเจนในผิวหนังและช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยที่เกิดขึ้นบนผิวได้อีกด้วย
สำหรับท่านที่ต้องการชะลอวัยหรืออยากให้ผิวเหมือนผิวเด็กไปนานๆ
แนะนำให้หมั่นกินผักผลไม้ทั้ง 5 ชนิดนี้กันบ่อยๆ จะสามารถชะลอวัยและต้านความชรา
พร้อมทั้งเผยให้เห็นผิวที่อ่อนเยาว์สุขภาพดีได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
–ก.ท่องเที่ยวร่วมUNTourismเปิดจุดขายทัวร์อาหารไทย
นายจักรพล
ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้นำทีมเข้าร่วมประชุมการท่องเที่ยวเชิงอาหารระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกขององค์การการท่องเที่ยวโลก
(The 1st UN Tourism Regional Forum on
Gastronomy Tourism for Asia and the Pacific: Gastronomy Tourism for People and
Planet) จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 26-27
มิถุนายน 2567 ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ มีผู้แทนประเทศสมาชิกการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติหรือ UN Tourism เข้าร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยกันกว่า
43 ประเทศ ประกอบด้วย หน่วยงานองค์กรภารรัฐและเอกชนกว่า 800 คน โดยได้ใช้เวทีดังกล่าวเสวนาพร้อมกำหนดกรอบนโยบายที่จำเป็นเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร
เน้นสร้างโอกาสให้ประเทศจุดหมายปลายทางซึ่งมีความพร้อมสร้างจุดขาย
กระจายความหลากหลายผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว
รวมทั้งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นเรื่องอาหารเป็นดาวรุ่งหนึ่งในพลังซอฟท์
พาวเวอร์
พร้อมทั้งขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์
“ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร” เป็นนโยบายลำดับต้น ๆ ของการท่องเที่ยวไทย
ด้วยศักยภาพของประเทศไทยมีความหลากหลายค่อนข้างสูงครบเกือบทุกมิติทั้งทางชีวภาพ วัฒนธรรม
ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เป็นเมืองเกษตรกรรม จุดเด่นที่ช่วยเหมาะสมกับการขับเคลื่อนท่องเที่ยวเชิงอาหาร
(Gastronomy Tourism) ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกต่างให้การยอมรับเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้หลงอาหารไทยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
ประเทศไทยนำร่องเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน
ที่จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2561
โดยได้ริเริ่มทำแผนแม่บทการพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงอาหารอาเซียน
และปฏิญญาการท่องเที่ยวเชิงอาหารอาเซียน โดยมีที่ประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนให้การรับรองไว้เรียบร้อยแล้ว
กระทั่งปี 2567 ไทยได้จัดตั้ง
"Thailand Gastronomy Network" สำเร็จแล้ว พร้อมกับความก้าวหน้าในการจัดตั้งสถาบันอาหารหรือ
Gastronomy Academy พัฒนาแพลตฟอร์ม E-learning จัดทำ
Gastronomy Trail & Visit และเส้นทางอาหารเพื่อการเดินทางเข้ามาเรียนรู้และร่วมปฏิบัติการทำกิจกรรมต่าง
ๆ ได้ (Sustainable Food Learning Journey & Workshop)
ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วางยุทธศาสตร์ส่งเสริมให้อาหารไทยสู่ครัวโลกในโครงการ
77 อาหารถิ่น 77 ขนมไทย สอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟท์พาวเวอร์แห่งชาติ
(THACCA) ตั้งเป้าหมายจะขับเคลื่อน 1 เชฟ 1 ตำบล กระตุ้นการสร้างงาน
สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ตอบ
4 โจทย์ใหญ่ ได้แก่
โจทย์ที่ 1
ยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวให้ได้รับประสบการณ์อาหารอันเป็นเอกลักษณ์และแท้จริง
โจทย์ที่ 2 ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมผ่านอาหารไทยดั้งเดิม
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ชาติไทยมาอย่างยาวนาน
โจทย์ที่ 3 กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ด้วยการสนับสนุนเกษตรกร
ผู้ผลิตอาหาร เชื่อมโยงไปถึงผลิตภัณฑ์ของฝาก เป็นห่วงโซ่ในระบบนิเวศน์ที่จะทำให้ “วัฒนธรรมอาหาร”
กลายเป็นเรื่องทรงอิทธิพลที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมุ่งเน้นสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ความเป็นดีอยู่ดีของคนในสังคมไย นำพาประเทศก้าวสู่เป้าหมายการจัดการอย่างยั่งยืน
โจทย์ที่ 4 กระจายผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวนำไปสู่การสร้างสรรค์เส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหาร
การเรียนทำอาหาร การจัดเทศกาลอาหาร เป็นปฏิทินท่องเที่ยวประจำปีในแต่ละท้องถิ่นได้
ข่าวที่สอง
-ลายันไลฟ์บายอนันตราภูเก็ตเปิดQ3/67ปั้นฮับสุขภาพ
นายเฟรดเดอริค วาร์เนียร์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการโรงแรม เครือไมเนอร์
โฮเทลส์ ภาคใต้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ไมเนอร์โฮเทลส์พร้อมนำภูเก็ตเมืองชายทะเลจุดหมายปลายทางชั้นนำทางการท่องเที่ยวของโลกก้วสู่ศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพระดับโลก
ล่าสุดได้เปิดตัว “ลายัน ไลฟ์ บาย อนันตรา : Layan Life by Anantara” ซึ่งพร้อมจะช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลทั้งใจและจิตวิญญาณ ด้วยการนำความเชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพที่สั่งสมมากว่า
2 ทศวรรษมาให้บริการด้วยวิธีเน้นแนวคิดดูแลสุขภาพผสานเทคโนโลยีทางการแพทย์ยุคใหม่กับการแพทย์แผนไทย
“ลายัน ไลฟ์ บาย อนันตรา” เป็นศูนย์ดูแลสุขภาพระดับโลกตั้งอยู่ใน
อนันตรา ลายัน ภูเก็ต รีสอร์ท พร้อมขานรับนโยบายจังหวัดภูเก็ตกำลังเดินหน้ายกระดับชื่อเสียงของเมืองเป็นจุดหมายรองรับผู้รักสุขภาพจากทุกมุมโลกซึ่งเป็นกลุ่มตลาดคุณภาพสูงพร้อมใช้จ่ายเงินจะช่วยสร้างเศรษฐกิจที่ดีเข้าสู่พื้นที่
ตามแผนศูนย์ดูแลสุขภาพแห่งนี้สร้างขึ้นใหม่กำหนดจะเปิดบริการไตรมาส 3 ปี 2567 ในพื้นที่ครอบคลุมกว่า
1,767 ตารางเมตร นำเสนอไฮไลต์บริการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการผสมผสานด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่และศาสตร์การแพทย์แผนไทยโบราณที่ใช้ภายในราชสำนัก
ทางไมเนอร์ใช้เวลากว่าสองทศวรรษบุกเบิกบริการดูแลสุขภาพโรงแรมและรีสอร์ทในเครืออนันตรา
ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจึงมั่นใจจะทำให้ ลายัน ไลฟ์ บาย อนันตรา นำองค์ความรู้ธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
ที่เป็นองค์ประกอบของร่างกายตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เข้ามาใช้ประกอบการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยได้จัดทำโปรแกรมดูแลสุขภาพให้ผู้ใช้บริการเลือกตั้งแต่ 3 -10 วัน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทยนำภูมิปัญญาไทยสมัยโบราณมาผสานเข้ากับการวินิจฉัยของแพทย์ตามตำราสมัยใหม่
ควบคู่การควบคุมอาหารตามหลักโภชนาการและการออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะกับลักษณะทางของแต่ละบุคคล
เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์สุขภาพแบบองค์รวมตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งการควบคุมน้ำหนัก
การลดภาวะความเครียด การดูแลสมรรถภาพร่างกาย การชะลอวัย
ส่วนดีไซน์ “ลายัน ไลฟ์ บาย อนันตรา”
ใช้หลักสถาปัตยกรรมแบบไบโอฟิลิกนำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ
เชื่อมโยงทั้งตัวอาคารสถานที่ตกแต่งให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติเขตร้อนรอบด้านผ่านโทนสีธรรมชาติ
ในพื้นที่ให้โปร่งสบาย เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่
ภายในลายัน ไลฟ์ บาย อนันตรา เป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่าง ประกอบไปด้วย
ห้องออกกำลังกายขนาด 220 ตร.ม.
สตูดิโอทำโยคะ ขนาด 60 ตร.ม. พิลาทิส สตูดิโอ ขนาด 35
ตร.ม. ห้องทำสมาธิ พื้นที่ทำวารีบำบัด หรือ Hydrotherapy
area ที่มีทั้ง สระน้ำวน ซาวน่า ห้องอบไอน้ำ ส่วนชั้นบน มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์
ห้องให้คำปรึกษา ห้องกายภาพบำบัด ห้องนวดและทำหัตถการแพทย์แผนไทย ห้องดริปวิตามิน ห้องทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น การบำบัดด้วยความเย็น Icepod การบำบัดด้วยออกซิเจน การสวนล้างลำไส้ด้วยระบบวารีบำบัด
และแผนกยาสมุนไพรไทยอยู่ในความดูแลของแพทย์แผนไทย และจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์
สำหรับพื้นที่ “ออกกำลังกาย” Active
Zone ของอนันตรา ลายัน มีโซนกลางแจ้งบริการ สนามเทนนิส เวทีมวยไทย
หน้าผาจำลอง กีฬาทางน้ำ กิจกรรมสันทนาการและวัฒนธรรม
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น