บพท.ผนึกชุมชนเครือข่ายนักวิจัยถก“สู้ชนะความจน”
เฟ้น10เรื่องตอบโจทย์รัฐบาลใหม่“อนุทิน”
4 นโยบาย
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #บพท #สู้ชนะความจนครั้งที่2
บพท.จัดสัมมนาใหญ่แห่งปี “สู้ชนะความจน”
ครั้งที่ 2 รวมพลังประชาชนชนะจน
พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ ระดมชุมนุมเครือข่ายนักวิจัยทั่วประเทศ เฟ้น 10 ประการ ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลใหม่ “อนุทิน ชาญวีรกุล” 4 นโยบายหลัก “เศรษฐกิจ-ภัยธรรมชาติ-ภัยความมั่นคงชายแดน-ภัยสังคม” บิ๊กเครดิตบูโรย้ำห่วง
NPL คน Gen Y หนี้ท่วมไทยกว่า 1.2
ล้านล้านบาท
ดร.กิตติ
สัจจาวัฒนา
ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า บพท.เปิดสัมมนา “สู้ชนะความจนครั้งที่
2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี ภาคี
ความสัมพันธ์” เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ที่โรงแรม โรงแรมเซ็นทารา
แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว เดินหน้าแก้ไขสถานการณ์ความยากจนควบคู่กับสร้างโอกาสยกระดับสถานะทางสังคม
โดยใช้พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี
ภาคี ความสัมพันธ์ บพท. จึงจัดเวทีระดมสมองภาคีเครือข่ายนักวิจัยมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
เพื่อตอบโจทย์รัฐบาลใหม่
“อนุทิน วีรกุล” นายกรัฐมนตรี ด้วยการมุ่งแสวงหาคำตอบ แก้ปัญหา 4 นโยบายหลัก ได้แก่ “เศรษฐกิจ-ภัยธรรมชาติ-ภัยความมั่นคงชายแดน-ภัยสังคม” รวมทั้งมีชุมนุมภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
ร่วมกับ บพท.ระดมชุดข้อมูลจากงานค้นคว้าวิจัย เสนอชุดคำตอบ 10 ประการ
ตอบโจทย์ประเทศ ตอบสนองรัฐบาลใหม่ให้ครบทั้ง 4 นโยบาย
จากฐานข้อมูลครัวเรือนยากจนปี 2566 ทางสำนักงานสถิติแห่งชาติ
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ร่วมกันสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจน
โดยคณะวิจัย 779 คน ร่วมกับนักศึกษา 1,688 คน และภาคีเครือข่ายอีก 1,767 ภาคี
พบว่า มีคนจนรวมกัน 2.39 ล้านคน คิดเป็น 3.41 % ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
โดยมีอันดับความยากจน ดังนี้
อันดับ 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดถึง
31.71 % ของจำนวนประชากรในพื้นที่
อันดับ 2 ภาคใต้ มีสัดส่วนคนจน 30.65 % ของจำนวนประชากรในพื้นที่
อันดับ 3 ภาคกลาง มีสัดส่วนคนจน 19.07 % ของจำนวนประชากรในพื้นที่
อันดับ 4 ได้แก่ ภาคเหนือ มีสัดส่วนคนจน 16.98 % ของประชากรในพื้นที่
อันดับ 5 กรุงเทพมหานคร
มีสัดส่วนคนจน 1.60 % ของประชากรในพื้นที่
ดร.กิตติ กล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าวิจัยบ่งชี้ว่า
ในสังคมมีสาเหตุสำคัญทำให้คนในพื้นที่ภาคต่าง
ๆ “ยากจน” ปัจจัยที่ 1 ขาดเงินออม 84 % เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ปัจจัยที่ 2 ปัญหาหนี้สิน 70 % ปัจจัยที่ 3 การขาดที่ดินทำกิน 60 % ปัจจัยที่ 4 ขาดทักษะด้ านอาชีพที่สามารถสสร้างรายได้ 57 % ปัจจัยที่
5 เข้าไม่ถึงสวัสดิการจากรัฐ 41 % ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนคนจนมักจะมีถิ่นพำนักอยู่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก
“บพท. ได้ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและภาคีในพื้นที่
ทำงานวิจัยแก้ปัญหาความยากจนลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี
2563 จนถึงปัจจุบัน โดยได้ออกแบบโมเดลแก้จนที่มีความสอดคล้องกับบริบทภูมิสังคมในพื้นที่
ขณะนี้นำไปประยุกต์ใช้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศแล้วถึง 299 โมเดล ครอบอีกทั้งยังได้สร้างนักจัดการพื้นที่เพื่อทำหน้าที่วิทยากรให้คำแนะนำชุมชนนำโมเดลแก้จนไปปรับใช้ประโยชน์กระจายตัวอยู่ใน
18 จังหวัด ได้แก่ “ภาคใต้”
มี ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง “ภาคอีอสาน” มี กาฬสินธุ์ เลย นครราชสีมา
อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด “ภาคเหนือ”
ลำปาง พิษณุโลก และแม่ฮ่องสอน
ดร.กิตติกล่าวว่าผลจากการดำเนินงานวิจัยแก้จนต่อเนื่อง
ก่อเกิด 34 กองทุนแก้จน กระจายตัวอยู่ในแม่ฮ่องสอน
ลำปาง มุกดาหาร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร ยโสธร ชัยนาท พัทลุง อำนาจเจริญ
ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา ปัตตานี ยะลา เป็นแรงกระตุ้นให้เกิด “ศูนย์วิจัยแก้จน”
ขึ้นใน 3 พื้นที่ คือ ปัตตานี พัทลุง และยะลา
รวมถึงมี
“ภาคีเครือข่ายนักวิจัย” จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ร่วมกันเสนอแนะแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
เรื่อง “การเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย” เพื่อสร้างความเข้มแข็งชุมชนในพื้นที่ ควบคู่การแก้ปัญหาภัยพิบัติ
ปัญหาภัยความมั่นคงบริเวณชายแดน และภัยสังคมไปยังรัฐบาลรวม 10 ประการ ประกอบด้วย
●1.ปัญหาความยากจน
ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ
และมีกลไกระดับชาติทำหน้าที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
● 2.ควรมีกลไกความร่วมมือระดับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบองค์รวม
●3.พัฒนาระบบคัดกรองและชี้เป้าครัวเรือนยากจน
เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายแหล่งให้เป็นเอกภาพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และชี้เป้าความยากจนได้อย่างแม่นยำ
●4.กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการข้อมูลเพื่อเป็นฐานออกแบบมาตรการแก้จนเชิงรุกตามประเภทความยากจนของครัวเรือน
●5.แก้ปัญหาความยากจนแบบองค์รวม
โดยใช้แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด
● 6.จัดให้มีกลไกส่งต่อความช่วยเหลือคนจนในทุกระดับ
● 7.สนับสนุนองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพหลักในระดับพื้นที่จัดทำ
“ยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความยากจน”
โดยใช้ข้อมูลคนจนแบบชี้เป้าและเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์จังหวัด
● 8.สนับสนุนให้นายอำเภอ ทำหน้าที่กำกับ ติดตามระดับอำเภอและให้บรรจุเป็นนโยบายของศูนย์ขจัดความยากจน
และพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด
และให้สถาบันวิชาการในพื้นที่เป็นหน่วยสนับสนุนทางวิชาการกลไกทุกระดับ
● 9.สร้างนโยบายเชิงรุกด้านสวัสดิการมุ่งเป้า ครอบคลุมทุกมิติ
● 10. สร้างโครงการพัฒนาทักษะอาชีพที่เข้าถึงครัวเรือนอย่างตรงเป้าและสอดคล้องกับบริบทพื้นที่
@อดีตบิ๊กเครดิตห่วงGen Yหนี้ท่วมกว่า1.2 ล้านล้าน
“นายสุรพล โอภาสเสถียร” ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ
จำกัด (เครดิตบูโร)เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยอย่างเป็นทางการไตรมาส1/2568
เท่ากับ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับ 87.4 % ของจีดีพี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหากสูงเกินกว่า
80 % ถืออันตรายต่อภาพรวม
เมื่อติดตามผลพบ
“หนี้ครัวเรือน” ในภาพรวมสัดส่วนต่อจีดีพีจะดูลดลง แต่ปัญหายังคงอยู่ต่อเนื่อง ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด
ขณะที่ “รายได้ครัวเรือน” ต่าง ๆ ไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องเข้าสู่ระบบกู้เกิดภาระหนี้กลายเป็นปัญหาซ้ำเติม
แล้ว “รายได้” ไม่สัมพันธ์กับ “ภาระหนี้” หนักขึ้นตามลำดับ จนต้องแบกดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย (รายได้ประจำวัน = รายจ่าย + ชำระหนี้
ที่เหลือเท่ากับเงินออม)
โดยพบภูเขาหนี้ของคนอยู่ในช่วงวัย
20 – 90 ปี ใช้เงิน “ซื้อไปก่อนผ่อนทีหลัง”
จึงทำให้เกิดเป็นหนี้เสียทั้งหมด 1.235 ล้านล้านบาท
คิดเป็นบัญชีที่เป็นหนี้เสีย 9.6 ล้านบัญชี มากถึง 5.3 ล้านคน ขณะที่ “ลูกหนี้” มี
3.4 ล้านคน เป็นหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งจะเป็นเกิดคดีความลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคม
ปัจจุบันบริษัทติดตามหนี้
AMC จะซื้อหนี้อัตรา 5
บาทต่อมูลหนี้ 100 บาท จากการเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมูลค่าราคาหนี้ 1.2
แสนล้านบาท หากต้องจ่ายเงินซื้อหนี้ 6 พันล้านบาท เป็นค่าใข้จ่ายให้บริษัทติดตามหนี้
3.4 ล้านคน คำนวณแล้วประมาณ 700 บาท/หัว/คน
สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(NPL) ปัจจุบันมีมูลค่า
1.24 ล้านล้านบาท ถ้าไม่มีมาตรการแก้ไขที่ได้ผลอย่างจริงจังจะทำให้ตัวเลขหนี้เพิ่มขึ้น
1.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มจากปัจจับัน 4.8% ประกอบด้วย “กลุ่มลูกหนี้น่าเป็นห่วงที่สุด”
คือกลุ่ม Gen Y คนในวัยทำงานในตำแหน่งพนักงานระดับต้น เพราะมีอัตราหนี้
NPL เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวมของประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น