วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568

บพท.ผนึกชุมชนเครือข่ายนักวิจัยถก“สู้ชนะความจน”เฟ้น10เรื่องตอบโจทย์รัฐบาลใหม่“อนุทิน”4 นโยบาย

บพท.ผนึกชุมชนเครือข่ายนักวิจัยถก“สู้ชนะความจน”

เฟ้น10เรื่องตอบโจทย์รัฐบาลใหม่“อนุทิน” 4 นโยบาย

 

บพท.จัดสัมมนาใหญ่“สู้ชนะความจน”ครั้งที่ 2ดึงนักวิจัย รวมพลังประชาชนชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้  

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #บพท #สู้ชนะความจนครั้งที่2

บพท.จัดสัมมนาใหญ่แห่งปี “สู้ชนะความจน” ครั้งที่ 2 รวมพลังประชาชนชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ ระดมชุมนุมเครือข่ายนักวิจัยทั่วประเทศ เฟ้น 10 ประการ ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลใหม่ “อนุทิน ชาญวีรกุล” 4 นโยบายหลัก “เศรษฐกิจ-ภัยธรรมชาติ-ภัยความมั่นคงชายแดน-ภัยสังคม” บิ๊กเครดิตบูโรย้ำห่วง NPL คน Gen Y หนี้ท่วมไทยกว่า 1.2 ล้านล้านบาท

ดร.กิตติ  สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า บพท.เปิดสัมมนา “สู้ชนะความจนครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี ภาคี ความสัมพันธ์” เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ที่โรงแรม โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว เดินหน้าแก้ไขสถานการณ์ความยากจนควบคู่กับสร้างโอกาสยกระดับสถานะทางสังคม โดยใช้พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี ภาคี ความสัมพันธ์ บพท. จึงจัดเวทีระดมสมองภาคีเครือข่ายนักวิจัยมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

เพื่อตอบโจทย์รัฐบาลใหม่ “อนุทิน วีรกุล” นายกรัฐมนตรี ด้วยการมุ่งแสวงหาคำตอบ  แก้ปัญหา 4 นโยบายหลัก ได้แก่ “เศรษฐกิจ-ภัยธรรมชาติ-ภัยความมั่นคงชายแดน-ภัยสังคม” รวมทั้งมีชุมนุมภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ร่วมกับ บพท.ระดมชุดข้อมูลจากงานค้นคว้าวิจัย เสนอชุดคำตอบ 10 ประการ ตอบโจทย์ประเทศ ตอบสนองรัฐบาลใหม่ให้ครบทั้ง 4 นโยบาย

จากฐานข้อมูลครัวเรือนยากจนปี 2566 ทางสำนักงานสถิติแห่งชาติ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ร่วมกันสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจน โดยคณะวิจัย 779 คน ร่วมกับนักศึกษา 1,688 คน และภาคีเครือข่ายอีก 1,767 ภาคี พบว่า มีคนจนรวมกัน 2.39 ล้านคน คิดเป็น 3.41 % ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยมีอันดับความยากจน ดังนี้


อันดับ 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดถึง 31.71 % ของจำนวนประชากรในพื้นที่

อันดับ 2 ภาคใต้ มีสัดส่วนคนจน 30.65 % ของจำนวนประชากรในพื้นที่

อันดับ 3 ภาคกลาง มีสัดส่วนคนจน 19.07 % ของจำนวนประชากรในพื้นที่

อันดับ 4 ได้แก่ ภาคเหนือ มีสัดส่วนคนจน  16.98 % ของประชากรในพื้นที่

อันดับ 5 กรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนคนจน 1.60 % ของประชากรในพื้นที่

ดร.กิตติ กล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าวิจัยบ่งชี้ว่า ในสังคมมีสาเหตุสำคัญทำให้คนในพื้นที่ภาคต่าง  ๆ “ยากจน” ปัจจัยที่ 1 ขาดเงินออม 84 % เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ปัจจัยที่ 2 ปัญหาหนี้สิน 70 % ปัจจัยที่ 3 การขาดที่ดินทำกิน 60 % ปัจจัยที่ 4 ขาดทักษะด้ านอาชีพที่สามารถสสร้างรายได้ 57 % ปัจจัยที่ 5 เข้าไม่ถึงสวัสดิการจากรัฐ 41 % ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนคนจนมักจะมีถิ่นพำนักอยู่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก


 “บพท. ได้ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและภาคีในพื้นที่ ทำงานวิจัยแก้ปัญหาความยากจนลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน โดยได้ออกแบบโมเดลแก้จนที่มีความสอดคล้องกับบริบทภูมิสังคมในพื้นที่ ขณะนี้นำไปประยุกต์ใช้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศแล้วถึง 299 โมเดล ครอบอีกทั้งยังได้สร้างนักจัดการพื้นที่เพื่อทำหน้าที่วิทยากรให้คำแนะนำชุมชนนำโมเดลแก้จนไปปรับใช้ประโยชน์กระจายตัวอยู่ใน 18 จังหวัด ได้แก่ “ภาคใต้” มี ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง “ภาคอีอสาน” มี กาฬสินธุ์ เลย นครราชสีมา อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด “ภาคเหนือ” ลำปาง พิษณุโลก และแม่ฮ่องสอน

ดร.กิตติกล่าวว่าผลจากการดำเนินงานวิจัยแก้จนต่อเนื่อง ก่อเกิด 34 กองทุนแก้จน กระจายตัวอยู่ในแม่ฮ่องสอน ลำปาง มุกดาหาร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร ยโสธร ชัยนาท พัทลุง อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา ปัตตานี ยะลา เป็นแรงกระตุ้นให้เกิด “ศูนย์วิจัยแก้จน” ขึ้นใน 3 พื้นที่ คือ ปัตตานี พัทลุง และยะลา


รวมถึงมี “ภาคีเครือข่ายนักวิจัย” จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ร่วมกันเสนอแนะแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เรื่อง “การเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย” เพื่อสร้างความเข้มแข็งชุมชนในพื้นที่ ควบคู่การแก้ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาภัยความมั่นคงบริเวณชายแดน และภัยสังคมไปยังรัฐบาลรวม 10 ประการ ประกอบด้วย

1.ปัญหาความยากจน ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และมีกลไกระดับชาติทำหน้าที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง

2.ควรมีกลไกความร่วมมือระดับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบองค์รวม

3.พัฒนาระบบคัดกรองและชี้เป้าครัวเรือนยากจน เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายแหล่งให้เป็นเอกภาพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และชี้เป้าความยากจนได้อย่างแม่นยำ

4.กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการข้อมูลเพื่อเป็นฐานออกแบบมาตรการแก้จนเชิงรุกตามประเภทความยากจนของครัวเรือน

5.แก้ปัญหาความยากจนแบบองค์รวม โดยใช้แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด

6.จัดให้มีกลไกส่งต่อความช่วยเหลือคนจนในทุกระดับ

7.สนับสนุนองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพหลักในระดับพื้นที่จัดทำ “ยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความยากจน” โดยใช้ข้อมูลคนจนแบบชี้เป้าและเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์จังหวัด

8.สนับสนุนให้นายอำเภอ ทำหน้าที่กำกับ ติดตามระดับอำเภอและให้บรรจุเป็นนโยบายของศูนย์ขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด และให้สถาบันวิชาการในพื้นที่เป็นหน่วยสนับสนุนทางวิชาการกลไกทุกระดับ

9.สร้างนโยบายเชิงรุกด้านสวัสดิการมุ่งเป้า ครอบคลุมทุกมิติ
10. สร้างโครงการพัฒนาทักษะอาชีพที่เข้าถึงครัวเรือนอย่างตรงเป้าและสอดคล้องกับบริบทพื้นที่



@อดีตบิ๊กเครดิตห่วงGen Yหนี้ท่วมกว่า1.2 ล้านล้าน

“นายสุรพล  โอภาสเสถียร” ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยอย่างเป็นทางการไตรมาส1/2568 เท่ากับ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับ 87.4 % ของจีดีพี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหากสูงเกินกว่า 80 % ถืออันตรายต่อภาพรวม

เมื่อติดตามผลพบ “หนี้ครัวเรือน” ในภาพรวมสัดส่วนต่อจีดีพีจะดูลดลง แต่ปัญหายังคงอยู่ต่อเนื่อง ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด ขณะที่ “รายได้ครัวเรือน” ต่าง ๆ ไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องเข้าสู่ระบบกู้เกิดภาระหนี้กลายเป็นปัญหาซ้ำเติม แล้ว “รายได้” ไม่สัมพันธ์กับ “ภาระหนี้” หนักขึ้นตามลำดับ จนต้องแบกดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย  (รายได้ประจำวัน = รายจ่าย + ชำระหนี้ ที่เหลือเท่ากับเงินออม)

โดยพบภูเขาหนี้ของคนอยู่ในช่วงวัย 20 – 90 ปี ใช้เงิน “ซื้อไปก่อนผ่อนทีหลัง”  จึงทำให้เกิดเป็นหนี้เสียทั้งหมด 1.235 ล้านล้านบาท คิดเป็นบัญชีที่เป็นหนี้เสีย 9.6 ล้านบัญชี มากถึง 5.3 ล้านคน ขณะที่ “ลูกหนี้” มี 3.4 ล้านคน เป็นหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งจะเป็นเกิดคดีความลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคม

ปัจจุบันบริษัทติดตามหนี้ AMC จะซื้อหนี้อัตรา 5 บาทต่อมูลหนี้ 100 บาท จากการเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมูลค่าราคาหนี้ 1.2 แสนล้านบาท หากต้องจ่ายเงินซื้อหนี้ 6 พันล้านบาท เป็นค่าใข้จ่ายให้บริษัทติดตามหนี้ 3.4 ล้านคน คำนวณแล้วประมาณ 700 บาท/หัว/คน

สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปัจจุบันมีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท ถ้าไม่มีมาตรการแก้ไขที่ได้ผลอย่างจริงจังจะทำให้ตัวเลขหนี้เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มจากปัจจับัน 4.8% ประกอบด้วย “กลุ่มลูกหนี้น่าเป็นห่วงที่สุด” คือกลุ่ม Gen Y คนในวัยทำงานในตำแหน่งพนักงานระดับต้น เพราะมีอัตราหนี้ NPL เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวมของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กลุ่มอนันตรา”ลุยโปรโมทงานไฮเอนด์“คอนคอร์โซ โรมา”ชมงานแสดงรถหรูโรม อิตาลี 16-19 เม.ย.69

  กลุ่มอนันตราลุยโปรโมทงานไฮเอนด์ “คอนคอร์โซ โรมา” แพกเกจชมงานแสดงรถหรูกลางโรม อิตาลี 16-19 เม.ย. 69   เตรียมจัด“อนันตรา คอนคอร์โซ โรมา ...