“จันทน์-ระยอง”ปลุกท่องเที่ยว 9 ล้านคน
ปี’61รุกขายอาหารถิ่น-ชุมชนวิถีอ่าวไทย
คิงเพาเวอร์แจกทุนฟรีป.โทเรียนอังกฤษ
เที่ยวอาหารถิ่นกินข้ามภาค3วันโกย25ล้าน
บินแอร์เอเชียวันธรรมดาลดทั่วไทย 50%
ชมที่น่าเที่ยว “บ้านอ่างเอ็ด-อ่าวคุ้งกระเบน”
ททท.-เดอะมอลล์ผุด4แพกเกจผู้หญิงส.ค.นี้
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่29 กรกฎาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านใน www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังทาง youtube www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 “คุณกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานระยอง พร้อมให้สัมภาษณ์พิเศษถึงประเด็น การเปิดเมืองต้องห้ามพลาดในฝั่งทะเลอ่าวไทย “จันทบุรี” ต้อนรับนักท่องเที่ยวปีละ 2 ล้านคน ส่วน “ระยอง” อีก 7 ล้านคน กำลังเนื้อหอมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พำนักในไทย รวมถึงการเจาะลึกมุมใหม่การจัดทัพเที่ยวชายฝั่งทะเลตะวันออก สุขใจอิ่มท้องไปกับสุดยอดอาหารถิ่นในชุมชนวิถีไทย
คุณกนกกติกา กฤตย์วุฒิกร ผอ.ททท.เปิดเมืองจันทบุรี ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ททท.สำนักงานระยอง ต้อนรับการท่องเที่ยวหน้าฝนชิมลางวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ด้วยการจัดเต็มเสาร์ที่ 29 –อาทิตย์ที่ 30 ส่งท้ายเดือนกรกฎาคมนี้ ในมุมการท่องเที่ยวใหม่ ฟังดนตรีกินอาหารถิ่นได้ในงาน “สายฝนใต้แสงจันทร์” และร่วม “กินโต๊ะจันทร์ มันส์ยกก๊วน”
แนะนำการเดินทางตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่เมืองจันทบุรี โดยการขับรถไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 304 กรุงเทพฯ-แกลง แนะนำแวะไฮไลต์จุดแรก “ปากน้ำประแสร์” เป็นชุมชนดั้งเดิม มีผลิตภัณฑ์พื้นบ้านอาหารท้องถิ่นต้อนรับเป็นประจำทุกวัน
จากนั้นก็เดินทางต่อโดยใช้ถนนสาย “เฉลิมบูรพาชลทิศ” ขึ้นชื่อว่าสวยงามสุดในประเทศไทย ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติเป็นถนนเลาะริมเขาเลียบแนวชายฝั่งทะเลสีฟ้าใส ตลอดเส้นทางนี้จุดท่องเที่ยวยอดนิยม หาดคุ้งวิมาน อ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งมีกิจกรรมมากมาย ตอนนี้นักท่องเที่ยวชอบไป “เขี่ยไข่ปู” ต้มแล้วกินสดจะกินไข่ไม่ได้ บริเวณนี้มีปูจำนวนนับแสนตัว ทางศูนย์พัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนจะทำเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปูแล้วนำมาปล่อยลงทะเลแถบนี้ เพื่อให้ชาวประมงและนักท่องเที่ยวได้รับประทานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560 ททท.สำนักงานระยอง ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวในโอกาสพิเศษสุดด้วยการเปิดชายหาดจัดการแสดงคอนเสิร์ต ออร์เคสตร้า “สายฝนใต้แสงจันทร์” แม้จะเป็นช่วงหน้าฝนแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ทาง ททท.ระยองร่วมกับสมาคมท่องเที่ยวจันทบุรี จับมือกับสถาบันดนตรีออร์เคสตร้ากรุงเทพฯ สถาบันราชภัฎรำไพพรรณี และเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จับมือกันนำออร์เคสตร้าวงใหญ่ กำกับการแสดงโดยศิลปินชั้นนำ “อาจารย์ดนู ฮุนตระกูล” ให้นักท่องเที่ยวได้มาดื่มด่ำกับดนตรีคลาสสิก
ซึ่งจะต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้ามาร่วมฟังออร์เกสตร้าริมหาดจันทบุรี ด้วยเมนูอาหารถิ่นซึ่งมีแห่งเดียวในประเทศไทย เมนูหลัก “ข้าวคลุกพริกเกลือ” ปรุงด้วยกรรมวิธีพิเศษแตกต่างจากทั่วไป โดยชาวบ้านในชุมชนสร้างสรรข้าวคลุกพริกเกลือด้วยการนำข้าวคลุกน้ำจิ้มซีฟู้ดซึ่งเป็นชื่อเฉพาะถิ่น โปะด้วยกั้ง เนื้อปูก้อน กุ้ง ปลาหมึก ไข่ต้มยางมะตูม พร้อมหมูต้มหมูตุ๋น ผสมกลมกลืนอยู่ด้วย
เป็นเมนูแห่งความภาคภูมิใจของท้องถิ่น ซึ่ง ททท.ชูเมนูข้าวคลุกพริกเกลือไปนำเสนอตามงานต่าง ๆ กระแสตอบรับดีมาก ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ตาม“สตรีทฟู้ด” หรือแม้แต่ในโรงแรมหรู ทั่วเมืองจันทบุรี ได้นำไปบรรจุขาย ตัวอย่างบริเวณตลาดน้ำพุ เริ่มต้นจานละ 50 บาทขึ้นไป หรือที่ร้านชื่อดังของเมืองจันทน์คือ “ร้านน้ำพริกข้าวสวย” ได้ออกแบบข้าวคลุกเกลือให้เป็นงานศิลปะบนจานอาหารสวยงาม ประดิษฐ์เป็น “คำ” คล้าย “ชูชิ” เพิ่มความคิดสร้างสรรขึ้นไป เพื่อดึงดูดความสนใจผู้บริโภค
เป็นไฮไลต์การท่องเที่ยวด้วยการเข้าถึง “อาหารถิ่น” จันทบุรี
ส่วนเส้นทางแนะนำเพื่อการท่องเที่ยวหน้าฝนและตลอดทั้งปี คือ “แหล่งท่องเที่ยวชุมชน” ขึ้นชื่อคือ “ชุมชนริมน้ำจันทบูรณ์” อยู่ใกล้ ๆ กับโบสต์โรมันอาสนวิหารพระนางมารีอานิรมล ซึ่งเป็นเสมือนแลนด์มาร์กของจังหวัด นักท่องเที่ยวจะต้องไม่พลาดแวะมาจุดนี้เดินชมได้ตลอดสองข้างทางระยะ 2 กม. ซึ่งนำบ้านริมน้ำดั้งเดิมมาตกแต่งเป็น “ร้านกาแฟ” มีของกินให้เลือกรับประทาน เช่น ก๋วยจับป้าไหม ก๋วยเตี๋ยวหมูเรียง ขนมเทียนแก้ว และสารพัดอาหารถิ่น ตอนนี้มีจุดขายเสริมเข้ามาคือ “ร้านกาแฟ-ร้านอาหาร เก๋ไก๋” ที่นักท่องเที่ยวต้องไปอัพเดทความน่าตื่นตาตื่นใจใหม่ และต้องไปถ่ายรูปกับภาพฝาผนัง
นอกจากชุมชนริมน้ำจันทบูรณ์แล้ว ออกจากตัวเมืองออกไปจะมีสถานที่แวะชม “คลองภักดีรำไพ” ขุดขึ้นมาไว้ใช้ประโยชน์ระบายน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริให้สร้างคล้ายโครงการแก้มลิง พร้อมทั้งทรงตั้งชื่อคลองดังกล่าว รวมทั้งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงมีวังสววนบ้านแก้ว พระราชฐานส่วนพระองค์ อยู่ในจันทบุรีด้วย โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ดิน ภายในมีสนามกอล์ฟ 9 หลุม พร้อมกับปลูกผลไม้ถิ่นไว้ในพื้นที่เชื่อมต่อถึงกัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ โดยบางตึกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ บางอาคารรักษาอนุรักษ์สภาพบรรยากาศเก่าไว้
หรือจะข้ามคลองภักดีรำไพไปยัง “ชุมชนริมคลองหนองบัว” ตั้งอยู่มานานมากมีสิ่งดี ๆ อยู่จำนวนมาก ทาง ททท.ได้เข้าไปพัฒนาตั้งแต่ปี 2559 เปิดตัวในชื่อ “ชุมชนขนมแปลกริมคลองหนองบัว” จันทบุรี จะได้เห็นวิถีชีวิตสองฝั่งคลองซึ่งเคยค้าขายกัน มีบ้านเก่า ๆ ตั้งเรียงรายมีชาวจีนอาศัยอยู่ โดยเฉพาะขนมแปลกอย่าง “คล้ายอวัยวะของลิง” ซึ่งเป็นชื่อเฉพาะนำข้าวเหนียวดำมาปั้น ที่บ้าน “ป้าลิ” วัย 80 ปี การใช้ชีวิตของชุมชนนี้แต่ละบ้านจะทำขนมแปลก ๆ มาขายนักท่องเที่ยว
ส่วนที่เด็ด ๆ ในชุมชนริมคลองหนองบัวคือ น้ำตาลอ้อย ซึ่งเป็นส่วนผสมของขนมหลัก ๆ เช่น “ขนมระเบิด” ทำจากข้าวพองผสมน้ำตาลอ้อย “ขนมตังก๊วย” ทำเฉพาะช่วงตรุษจีนยกเว้นคลองหนองบัวทำให้กินตลอดทั้งปี กระแสตอบรับจากนักท่องเที่ยวดีมาก ส่งผลให้ปัจจุบันตลอดทุกสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์ ชาวบ้านจะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยการทำเมนูอาหารถิ่นขึ้นชื่อ ได้แก่ “หอยจ๊อ” คำละ 2 บาท “กุ้งทอดน้ำจิ้มถั่ว” ตลอดสองข้างทางตึกโบราณในชุมชนจะเปิดหน้าบ้านขายอาหารกันต่อเนื่อง จากเคยขายเฉพาะครึ่งวันเช้าเดิมมีแต่นักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ตอนนี้มีมาจากพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงแวะไปอุดหนุนชาวบ้านกันอย่างคับคั่งทุกสัปดาห์
สถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไป 2 จังหวัด ทั้งจันทบุรี มีคนไทย 90 % ส่วนระยองจะมีชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในพื้นที่ออกมาเที่ยว ระยะนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยว “สาธารณประชาชนจีน” เริ่มหลั่งไหลเข้ามาหลังจาก ททท.สำนักภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก นำตัวแทนผู้ประกอบการจัดนำเที่ยวของจีนมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในจันทบุรี ระยอง เพราะเดินทางใกล้ ๆจากสนามบินสุวรรณภูมิมายังเกาะในแถบนี้ นั่งรถและเรือโดยสารไม่เกิน 1 ชั่วโมง การเดินทางสะดวกจึงทำให้ระยองปีนี้มีนักท่องเที่ยวมากถึง 7 ล้านคน
ขณะที่จันทบุรีได้รับการประชาสัมพันธ์ให้เป็น “12 เมืองต้องห้ามพลาด” แต่ก่อนคนอาจจะไปเที่ยวจันทบุรีน้อยเป็นเพียงเมืองแวะพัก เพราะส่วนใหญ่จะไป “เกาะช้าง” หลังจากโหมจุดขายทำเป็น “12 เมืองต้องห้ามพลาด” ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากจากเสน่ห์ในตัวคนและสถานที่ รวมถึงเป็นศูนย์รวมช้อปปิ้งอัญมณี “ตลาดค้าพลอยเมืองจันทน์”
เมื่อทำภารกิจโปรโมตการท่องเที่ยวจันทบุรี ระยอง เรียบร้อยแล้ว “คุณกนกกิตติกา” เตรียมส่งไม้ต่อเพื่อย้ายไปรับหน้าที่เป็น “ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานภูเก็ต” เริ่ม 1 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป
ผอ.กนกกิตติกา ได้เล่าถึงแผนการตลาดที่จะไปขยายรายได้ให้ชุมชนภูเก็ตต่อไป คือ จะเน้นจุดขาย “อาหารถิ่น” ตามโครงสร้างภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 70 % และคนไทย 30 % โจทก์ที่ได้รับไปต้องเพิ่มคนไทยไปยังภูเก็ตมากยิ่งขึ้น ด้วยการบูมรับเทรนด์ใหม่ในปี 2560 หลังจากภูเก็ตได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็น Creative Gastronomy 1 ใน 18 เมืองของโลก ที่มีความโดดดเด่นเป็นสุดยอดเส้นทางผลิตอาหารที่มีเรื่องราวจากวัตถุดิบต้นน้ำไปจนถึงเมนูหรูเลิศเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารระดับนานาชาติ
ดังนั้น “อาหาร” จึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนไทยได้อีกช่องทาง ซึ่งจะสร้างความแปลกการเดินทางท้าเที่ยวข้ามภาค ไปชิมอาหารใต้ เมนูเด็ดที่นอกเหนือจาก แกงเนื้อปู โอวเต๊า รสชาติครบทั้งอาหารจีนประยุกต์ อาหารถิ่นใต้ เรื่อยไปจนถึง “ชุมชน” รองรับตลาดนักท่องเที่ยวทั่วไป อีกทั้งยังมีตลาดหรูหรา “ยอร์ช-เรือสำราญ”
นับเป็นโอกาสดีของไทยที่จะได้ใช้ประสบการณ์บูรณาการนวัตกรรมเชิงสร้างสรรการทำตลาดจากฝั่งอ่าวไทย ไปพัฒนารายได้เพิ่มในพื้นที่ท่องเที่ยว “ฝั่งทะเลอันดามัน” ต่อไป
เป็นอีกช่องทางที่จะช่วยกันเพิ่มรายได้ท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าประเทศในปี 2561 ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 3.1 ล้านล้านบาท
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์แจกทุนฟรีป.โทเรียนมหา’ลัยมองฟอร์ด อังกฤษ”
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ได้เดินหน้าโครงการธุรกิจเพื่อสังคมทางด้านการศึกษาซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะโปรเจ็กต์ซีเอสอาร์ “KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย” ซึ่งทางกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ลงนามสัญญา กับ มิสเตอร์ เจมส์ การ์ดเนอร์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัย เดอ มงฟอร์ต เมืองเลสเตอร์ ZDe Montfort University Leicester : DMU)ประเทศอังกฤษ มอบทุนการศึกษาให้คนไทยทั่วไป พนักงานและบุตรของพนักงาน ได้ไปเพิ่มพูนความรู้ในระดับปริญญาโทโดยมีโอกาสเดินทางไปศึกษายังมหาวิทยาลัยดังกล่าว
ตามแผนปี 2560 จะมอบรวม 10 ทุน แบ่งเป็นทุน บุคคลทั่วไป 7 ทุน และพนักงาน / บุตรพนักงานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ 3 ทุน รวมเกือบ 13 ล้านบาท จากคิง เพาเวอร์ สนับสนุน 3.77 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือน) และ De Montfort University Leicester (DMU) อีก 8.83 ล้านบาท
โครงการนี้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ พร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จำเป็นด้านการศึกษา ได้แก่ 1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 2. ค่าวีซ่าและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าประกันสุขภาพ 3. ค่าใช้จ่ายส่วนตัวปีละประมาณเกือบ 3 แสนบาท จ่ายรายเดือน เฉลี่ยเดือนละ 500 ปอนด์ (23,500 บาท) 4.หากเป็นพนักงานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะได้รับค่าจ้างตามปกติตลอดช่วงลาศึกษาต่อ 1 ปี คิดเป็นมูลค่า 377,000 บาท
ขณะที่มหาวิทยาลัย เดอ มองฟอร์ด เมืองเลสเตอร์ พร้อมจะสนับสนุน
1.ค่าเทอมตลอดการศึกษาประมาณ 592,000 – 812,160 บาท (ประมาณ 12,600 - 17,280 ปอนด์) โดยขึ้นอยู่กับคณะที่ผู้รับทุนต้องการศึกษา
2.หากเป็นพนักงานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์และบุตรพนักงาน จะมอบเงินสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 235,500 บาท ( 5,000 ปอนด์) จากปกติ 592,200 - 812,160 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมดกว่า 827,200 - 1,047,160 บาท
โดยมหาวิทยาลัย De Montfort เปิดรับสมัครทุกคณะที่มีการเรียนการสอน ประกอบด้วย 4 คณะ ได้แก่ 1.Faculty of Art, Design and Humanities 2.Faculty of Business and Law3.Faculty of Health and Life Sciences 4.Faculty of Technology
สำหรับ “ขั้นตอน” เปิดรับสมัครเริ่มตั้งแต่วันนี้-วันที่ 31 ตุลาคม 2560 เข้าไปดาวโหลดใบสมัครทาง website ของมหาวิทยาลัย De Montfort (www.dmu.ac.uk) search หาทุนการศึกษาจากบริษัท คิง เพาเวอร์ (http://www.dmu.ac.uk/documents/international-documents/dmu-international-application-form.pdf) พร้อมแนบรายละเอียดของคุณสมบัติและเอกสารที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการ เตรียมเอกสารให้ครบ พร้อมเขียน statement 500 คำ ให้ครอบคลุม 1. Why should you be awarded a scholarship? 2. Your understanding of, and passion for, your chosen area of study 3. How a DMU education would benefit you in the future? 4.How you would make a positive contribution to King Power and DMU?
สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถส่งใบสมัครและเอกสารมาที่ International Admissions Office E-mail: iao@dmu.ac.uk / ส่วนพนักงานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และบุตรพนักงาน ส่งเอกสารมาที่ คุณชลรัศกมล Chonratkamol_s@kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.ยกอาหารถิ่น5ภาคจัดแหลมแท่นบางแสน”
นางสุจิตรา จงชาณสิทโธ รองผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดในประเทศ เปิดเผยว่าได้เปิดมหกรรม “เที่ยวอาหารถิ่นกินข้ามภาค” ระหว่างวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2560 ที่แหลมแท่น บางแสน จังหวัดชลบุรี คัดเลืออาหารถิ่น 5 ภูมิภาค ทั้ง ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ ภาคใต้ เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายเงินภายใน 3 วัน ให้ได้ถึง 25 ล้านบาท แล้วในเดือนตุลาคม 2560 เป็นต้นไป จะโปรโมต “เที่ยวอาหารถิ่น กินตามตำนาน” ให้คนไทยและนานาชาติรู้จักอาหารไทยอย่างลึกซึ้ง แล้วหันมาใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นในหมวดอาหาร จากปัจจุบันนักท่องเที่ยวใช้เงินเพื่อบริโภคอาหารไทยสัดส่วนประมาณ 20 % ของรายได้ท่องเที่ยวรวมปีละ 2.76 ล้านล้านบาท
นางสาวสุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพัทยา ททท.5 ภูมิภาค ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ร่วมมือกันจัดทำกิจกรรมการตลาด จะจัดมหกรรม “เที่ยวข้ามถิ่น กินข้ามภาค @บางแสน” เป็นการยกเทศกาลอาหารถิ่นประเทศไทยมาไว้ชายหาด ระหว่าง 28-30 กรกฎาคม นี้ จัดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยปีนี้จะใช้พื้นที่บริเวณแหลมแท่น หาดบางแสน ระยะทางยาว 1 กม.
ภายในงานชูไฮไลต์การรวมสุดยอดเมนูอาหารถิ่นจาก 5 ภูมิภาค ททท.ทั่วประเทศมาไว้ในที่เดียวกัน หารับประทานอาหารยาก ต้องไปถึงที่นั้น ๆ จึงจะได้ลิ้มรส การจัดครั้งนี้จึงเน้นระดมเมนูเด็ดของ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก มาไว้ในงานเดียวกัน เลือกมาภูมิภาคละ 10 ร้านเด็ดร้านดัง 50 ร้านโดยได้จัดแบ่งตามโซนอาหารถิ่นและอาหารแต่ละภูมิภาคเพื่อความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวได้เลือกชิม และช้อป ประกอบด้วย
โซนแรก “อาหารถิ่น” ได้แก่ “ภาคตะวันออก” ข้าวคลุกพริกเกลือ จันทบุรี หรือปลาคก ชลบุรี ซึ่งทำจากปลาตะเพียนต้มเค็ม “ภาคกลาง” นำเสนอเต้าหู้ดำ ราชบุรี “ภาคใต้” ก็มี หมึกดำหั่นตะไคร้ กระบี่
“โซนที่สอง” อาหารพิเศษซึ่งจัดทำเป็น “บางแสน ฟู้ดสตรีท” ของแต่ละร้านอาหารชั้นนำ ผนวกกับเข้าเมนูขึ้นชื่อ รวม ๆ กันจำนวน 100 ร้าน ดังนั้นภายในงานเมื่อรวมจำนวนอาหารถิ่นกับฟู้ดสตรีทเข้าด้วยกันแล้วจะมีมากกว่า 250 ร้าน
“โซนที่สาม” อาหารกินตามตำนาน จะจัดนิทรรศการและกิจกรรมให้ความรู้ เล่าเรื่องราวของอาหารซึ่งแต่ละเมนูมีความเป็นมาผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมานาน ตัวอย่างเช่น “ไก่ต้มกระวาน” บอกถึงวัตถุดิบ ส่วนผสม ซึ่งเป็นเครื่องปรุงทั้งหมด แหล่หารับประทานได้ที่ไหน พร้อมสาธิตวิธีปรุงเมนูดังกล่าวโดยมีเชฟมาสาธิตบนเวที แสดงให้เห็นถึงพื้นที่แหล่งวัตถุดิบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงการเดินทาง และองค์ความรู้ของอาหารเหล่านั้นเอาไว้ด้วย
ผลตอบรับของนักท่องเที่ยวที่สนใจจะเข้าร่วมงานได้เลือกจัดเทศกาลอาหารถิ่นประเทศไทยช่วงวันหยุดยาว ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์” ซึ่งพื้นที่ชลบุรี บางแสน เป็นสถานที่ยอดนิยมท่องเที่ยววันหยุด เพราะเดินทางได้ง่าย คาดการณ์ปีนี้ได้ทำยอดผู้เข้าร่วมงานได้มากกว่า 60,000 คน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวน่าจะเหมาะกับการเดินทางเที่ยวระยะใกล้แถบภาคตะวันออก ส่วนในชลบุรีมีสถานที่แนะนำใหม่ ๆ อย่าง พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ฟรอสท์เมจิกคอลไอซ์ ออฟ สยาม
ข่าวที่ 3 “บางจากควบรวมธุรกิจรุกพลังงานสีเขียว”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บางจากฯ มีมติอนุมัติให้ควบบริษัท (Amalgamation) ระหว่างบริษัท บีบีพี โฮลดิ้ง จำกัด (BBH) เป็นบริษัทย่อย ที่บางจากฯ ถือหุ้น 99.99 % กับบริษัท เคเอสแอลจีไอ จำกัด (KSLGI) ที่จะได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อรับโอนและเข้าถือหุ้น 99.99 % ในบริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KGI โดย KSLGI เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL) จะเข้าถือหุ้น 99.99 %
การร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio Based) ได้แก่ เอทานอล และไบโอดีเซล (B100) ประมาณเดือนตุลาคมนี้ จะใช้ชื่อบริษัทใหม่ว่า บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (BBGI) มีทุนจดทะเบียน 2,532 ล้านบาท จะเป็นบริษัทหลัก (flagship company) ที่มีบางจากฯ ถือหุ้น 60 % และบริษัท น้ำตาลขอนแก่นฯ ถือหุ้น 40 %
บทบาทของบริษัทใหม่จะประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 1,710,000 ลิตรต่อวัน แบ่งเป็นเอทานอลรวม 900,000 ลิตรต่อวัน และไบโอดีเซล 810,000 ลิตรต่อวัน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถและสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งสามารถกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบหลัก ประกอบด้วย มันสำปะหลัง กากน้ำตาล น้ำมันปาล์มดิบ พร้อมเป็นการสนับสนุนในด้านวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องกัน ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตในอนาคต ส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาว และเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรปลูกพืชพลังงาน สร้างรายได้มากยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงจากการทำเกษตรอื่นเพียงอย่างเดียว
ในอนาคตวางแผนจะพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบางจากฯที่พร้อมก้าวสู่ Evolving Greenovation ผู้นำนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำในเอเชียที่มีบรรษัทภิบาลที่ดีและดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน
ข่าวที่ 4 “แอร์เอเชียลดเที่ยววันธรรมดาทั่วไทย50%”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเครือข่ายภาคีพันธมิตรจัดกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวในประเทศกับมหกรรม “วันธรรมดาน่าเที่ยว” ล่าสุดสายการบิน “ไทย แอร์เอเชีย” ทุ่มนำตั๋วโดยสารเครื่องบินลดสูงสุดถึง 50 % ทุกเส้นทางบินในประเทศ ปลุกกำลังซื้อ “เที่ยววันธรรมดา” ไม่ว่ามุมไหน ก็สุขได้เต็ม ๆ สามารถเข้าไปซื้อตั๋วแอร์เอเชียได้ตั้งแต่วันนี้-30 กรกฎาคม 2560 แล้วนำไปใช้เดินทางได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 26 ธันวาคม นี้
ไฮไลต์เที่ยววันธรรมดา สุราษฎร์ธานี ไปเขาสก เขารูปหัวใจ ล่องทะเลชมธรรมชาติอันหลากหลาย ทำให้ ชีวิตดีดี๊ได้ทุกวันธรรมดา จันทร์-พฤหัสบดี ของทุกสัปดาห์ หรือจะเป็นเที่ยวบินข้ามภาคจาก “หาดใหญ่” สู่เมืองหมอแคน “ขอนแก่น” เพื่อไปชิมอาหารรสแซบสไตล์อีสาน ร่วมสานกิจกรรมท้ากินอาหารถิ่นข้ามภาค
เข้าไปจองตั๋วราคาลดพิเศษวันธรรมดาท่องเที่ยวได้ทั่วไทยถูกกว่าปกติ 50 % ที่ www.airasia.com
ช่วงที่ 2 ไปเมืองต้องห้ามพลาดจันทบุรี เยี่ยมชม 2 โครงการพระราชดำริ “บ้านอ่างเอ็ด-อ่าวคุ้งกระเบน” แล้วดูแลสุขภาพด้วย 5 อาหารอารมณ์ดี และข่าวการบิน
@เยือน 2โครงการพระราชดำริเมืองจันทน์
ไปจันทบุรีชม 2 โครงการพระราชดำริ “บ้านอ่างเอ็ด-อ่าวคุ้งกระเบน”
สัปดาห์นี้มีโอกาสได้มาสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจังหวัดจันทบุรี โดยมีโครงการพระราชดำริให้เยี่ยมชม 2 โครงการที่มีเรื่องราวน่าสนใจ
โครงการแรก “โครงการพัฒนาป่าชุมชนบ้านอ่างเอ็ด” ที่ตำบลตกพรม อำเภอขลุง เป็นโครงการในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินงานโดยมูลนิธิชัยพัฒนา พัฒนา “ป่าชุมชน” เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าไม้ สนับสนุนให้ชุมชนเข้าใจเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนได้
ภายในโครงการมีสวนเกษตรและแปลงสาธิตการปลูกพืชแบบผสมผสานทั้งสวน มังคุด ทุเรียน ลองกอง เงาะโรงเรียน เก็บเกี่ยวตามฤดูกาล ปาล์มน้ำมัน การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนท์ การเผาถ่านน้ำส้มควันไม้ การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ ค่ายวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา และงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับพืช สัตว์ สมุนไพรพื้นบ้าน
สามารถเข้าไปเดินศึกษาธรรมชาตินำรวจป่าตามหาสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ระยะทาง 1.5 กม. หรือชมพิพิธภัณฑ์เหมืองพลอย จากอดีตสู่ปัจจุบัน
อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับกลุ่มศึกษาดูงาน มีพื้นที่กางเต็นต์นอนได้สูงสุด 60 คน ลานเอนกประสงค์ ขนาด 100 คน
สอบถามได้ที่ 089-833-8600 หรือ www.chaipat.or.th
โครงการที่ 2 “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ในตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ โครงการอันเกิดจากการฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลจากยอดเขาสู่ท้องทะเล ขนาด 4,000 ไร่ สถานที่เหมาะแก่การดูงานอย่างมาก มีเรื่องราวน่าค้นหาในการทำการเกษตรแบบผสมผสานอีกแห่ง และความหลากหลายของการสาธิตเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ผลิตภัณฑ์หญ้าแฝก การผลิตปุ๋ยหมักจากดินเลนนากุ้ง
หรือจะร่วมปลูกป่าชายเลนร่วมกันได้ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ และกิจกรรมทำลูก EM BALL สารจุลินทรีย์ช่วยบำบัดน้ำเสีย
ภายในโครงการมี “ห้องประชุม” ให้ใช้บริการได้ตั้งแต่ขนาดห้องละ 30-200 คน “ห้องพัก” เลือกได้ตั้งแต่พักรวมห้องละ 12-15 คน และ “ห้องอาหาร” ขนาดนั่งได้ 90 คน
สอบถามได้ที่ โทร.039-433-216-8 หรือ www.fisheries.go.th/cfkung_krabaen
@เลือกกิน5 อาหารอารมณ์ดี
ปัจจุบันที่รีบเร่ง จะขอแนะนำให้ทำกิจกรรมเพื่อลดความวิตกกังวลจะช่วยบำบัดรักษาอาการป่วยให้ดีขึ้น “สารอาหาร” ใกล้ตัวเราบางชนิดที่เราๆ อาจจะไม่คาดคิดกลับมีคุณสมบัติวิเศษที่จะช่วยนำพาความสุขและคืนอารมณ์ขันได้ด้วย 5 อาหารหารับประทานง่าย ๆ
1.ปลา
เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิดความวิตกกังวลหรือความเครียดจะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด กระตุ้นให้ร่างกายทำงานเกินกว่าปกติ ทำให้อ่อนล้าเพลียแรง ห่อเหี่ยว ซึ่งการรับประทานอาหารประเภท “ปลา” ที่มีกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นบทบทสำคัญต่อการทำงานของระบบสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ epa (eicosapentaenoic acid) และ dha (docosahexaenoic acid) ที่ช่วยจัดกระบวนการความคิดการเรียนรู้ให้ดีขึ้น การรับประทานโอเมก้า 3 จึงทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ป้องกันอาการทางจิตอื่นๆ ที่จะตามมาหากความเครียดสะสม
2.ถั่วเปลือกแข็ง
เนื่องจากอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เช่นเดียวกับปลาน้ำลึกอย่าง ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรลและปลาแซลมอน ถั่วยังเต็มไปด้วยสารอาหารอื่นๆ อาทิ วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่ป้องกันความเครียดที่เกิดจากปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระ เช่นมลพิษจากสิ่งแวดล้อม รังสีความร้อนและอาหารไขมันสูง ที่สำคัญยังมีสารซีโรโทนิน สารจากธรรมชาติที่ช่วยลดความเครียด สารไทโรซีน ซึ่งเป็นสารที่ส่งผลต่ออารมณ์ให้มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ ซึ่งสารนี้จำเป็นจะต้องใช้สารอาหารอย่างโปรตีนที่พบมากอย่างในถั่วเหลืองไปช่วยให้สมองมีความกระฉับกระเฉงตื่นตัวมากขึ้นนั้นเอง
3.ผลไม้ ผักใบเขียวต่างๆ
อาทิ ใบตำลึง ผักขม บล็อกโคลี่ มะเขือเปราะ ส้ม มะนาว ฝรั่ง และมะขามป้อม เพราะนอกจากจะมีสารซีโรโทนินสารจากธรรมชาติที่ช่วยลดความเครียดแล้วนั้น ยังเต็มไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดและเพิ่มให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะลดระดับที่มากเกินไปของฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ถูกขับออกมาในขณะที่ร่างกายมีความเครียด เพื่อช่วยให้ร่างกายเพิ่มพลังในการต่อสู้กับความเครียด ยิ่งไปกว่านั้นในผักใบเขียวและผลไม้ส่วนใหญ่จะพบว่ามีวิตามินบีรวมสูง ซึ่งวิตามินบีรวมนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงานจากสารอาหารให้กับสมองและระบบประสาท เพราะขณะเครียดสมองต้องใช้พลังงานมากขึ้นทวีคูณ วิตามินบีจึงถูกใช้หมดลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้สมองขาดพลังงานในการทำงาน ก่อให้เกิดความเครียดมากขึ้น ผู้ที่ขาดวิตามินบีถึงแม้จะได้รับสารอาหารมากมายเท่าไรก็ตาม สารอาหารเหล่านั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานให้สมองได้ สมดุลของร่างกายและอารมณ์แปรปรวนอันนำไปสู่ความซึมเศร้าท้ายที่สุด
4.นม
หรือผลิตภัณฑ์จากนมประเภทต่างๆ อย่าง นมเปรี้ยว โยเกิร์ต หรือไอศกรีม เพราะเป็นแหล่งอาหารที่มีสารแมกนีเซียมสูง ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า แมกนีเซียมและแคลเซียม ในนมมีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บรรเทาความรู้สึกกดดัน คลายการเกร็งตัวของระบบประสาทที่ทำให้เกิดความเครียด ยังประกอบด้วยทริปโตเฟน (กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากอาหารอื่นซึ่งสมองสามารถนำไปใช้เมื่อรวมเข้ากับวิตามินบี3 วิตามินบี 6 และแมกนีเซียม) ช่วยทำให้จิตใจสงบ
5.ไข่ไก่และเนื้อไก่
แหล่งโปรตีนชั้นดีเป็นคลังโภชนาการของมนุษย์เลยก็ว่าได้ เพราะอุดมด้วยกรดอะมิโนและทริปโตเฟนทำหน้าที่ช่วยให้ผ่อนคลาย สงบ นอกจากนี้ยังมีสารเลซิตินที่มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสมอง ทำให้ถ้ารู้สึกสมองไม่สดใส เมื่อยล้า เลซิตินในไข่แดงจะช่วยฟื้นฟูบำรุงสมองให้ความสดใส และ วิตามินบี ที่มีประโยชน์คลายความเครียด บรรเทาความเมื่อยล้าและฟื้นฟูกำลังวังชา
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก“รัฐบาลลุงตู่”เทงบอู่ตะเภา760ล้านดึงจีนร่วมEEC
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 เพิ่มเติม งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ค่าใช้จ่ายตามแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ กองทัพเรือ) วงเงิน 760.77 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ กองทัพเรือ วงเงิน 690.77 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ วงเงิน 70 ล้านบาท สำหรับรองรับโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี (พ.ศ.2560-2564) ซึ่งประกอบด้วย 12 โครงการ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาโครงการก่อสร้างอาคารเรียน ในวงเงินดังกล่าว โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1,260 วัน คาดจะเริ่มการก่อสร้างได้ภายในกันยายน 2560จะแล้วเสร็จภายในปี 2564
รวมทั้งมีรายงานว่า ทางสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(สกรศ.) ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เตรียมเดินทางไปลงนามข้อตกลงความเข้าใจความร่วมมือเบื้องต้น (MOU) กับทางสนามบินเจิ้งโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ต้นแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษมาประยุกต์ใช้พัฒนาระบบการเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภากับเครือข่ายโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางบก ทางนํ้า ในการแลกเปลี่ยนเที่ยวบิน การท่องเที่ยว และสนับสนุนอุตสาหกรรมรอบเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC การผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน การทำ Free Trade Zone
สำหรับแผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกเชื่อมโยงสนามบินอู่ตะเภาพับEEC นั้นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้อนุมัติให้เดินหน้าโปรเจ็กต์การก่อสร้างในสนามบินอู่ตะเภาเพิ่มเติม ประกอบด้วย
1.ทางขับเครื่องบินแบบธรรมดาและความเร็วสูง (High Speed Taxi Way และ Taxi Way) อยู่ระหว่างออกแบบแล้วเสร็จภายในธันวาคม 2560 เพื่อเริ่มก่อสร้างในปี 2561 ให้แล้วเสร็จตามกำหนดปี 2562
2.ติดตั้งระบบสารสนเทศอาคารผู้โดยสารสมัยใหม่หลังที่ 2 เพื่อความรวดเร็วในการขนถ่ายผู้โดยสาร ควรจะทำให้แล้วเสร็จเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนเปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังที่2อย่างเต็มขีดความสามารถตั้งแต่ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
ข่าวที่สอง “ททท.ผนึกเดอะมอลล์กรุ๊ปชูผู้หญิงเที่ยวส.ค.4แพกเกจ
นายวิบูลย์ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ททท.ร่วมกับเดอะ มอลล์ กรุ๊ป จัดโครงการ "ผู้หญิงเที่ยวไทย 2017 Best for Mom สิงหาพาแม่เที่ยว" ชวนท่องเที่ยวในเส้นทางขอพรไหว้พระ กับ อาจารย์คฑา ชินบัญชร ที่จะนำเกร็ดความรู้ต่าง ๆ มานำเสนอและส่งเสริมความสัมพันธ์อันอบอุ่นในครอบครัว โดยมีให้เลือกเที่ยวได้ 5 จังหวัดหลัก ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สกลนคร-นครพนม, สุโขทัย และขอนแก่น 4 แพกเกจ
1.One Day Trip พาแม่เที่ยวไหว้พระ ที่พระนครศรีอยุธยา 5 ส.ค. 2.พาแม่เที่ยว ตามรอยผ้าที่สกลนคร-ไหว้พระธาตุตามวันเกิด ที่นครพนม11-13 ส.ค. 3.ไหว้พระแม่ย่า และ 8 สิ่งที่ต้องทำกับแม่ที่สุโขทัย 19-20 ส.ค.และ 4.พาแม่เที่ยวขอนแก่น สะสมบุญ อุ่นใจ ที่ขอนแก่น 26-27 ส.ค. นี้
นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้อำนวยการ ใหญ่อาวุโสการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทางเดอะมอลล์พร้อมมอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตร M CARD ที่เข้าร่มโครงการท่องเที่ยวเดือนแห่งวันแม่ทั้ง 4 แพ็กเกจ
1.One Day Trip พาแม่เที่ยวไหว้พระที่พระนครศรีอยุธยา คนละ 1,999 บาท รับ 40 คน สมาชิก M Card ลด10%
2.พาแม่เที่ยวตามรอยผ้าที่สกลนคร-ไหว้พระธาตุตามวันเกิดที่ นครพนม ราคาคนละ 10,500 บาท รับ 20 ท่าน สมาชิก M CARD รับฟรี voucher ที่พัก 3 วัน 2 คืน (2 คน) มูลค่า 6,000 บาท ที่ถาวร ปาล์ม บีช ภูเก็ต 10 ใบ
3.M CARD Exclusive Trip ไหว้พระแม่ย่า และ 8 สิ่งที่ต้องทำ กับแม่ที่สุโขทัย : เดินทาง 19-20 ส.ค. 2560 พิเศษวันที่ 12 สิงหาคม สมาชิก M CARD 6 คู่แม่ลูก รับฟรี M Cards Exclusive Trip ไหว้พระแม่ย่า และ 8 สิ่งที่ต้องทำกับแม่ที่สุโขทัย มูลค่า 15,999 บาท เมื่อช็อปในห้างและศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ครบ 20,000 บาท
4.พาแม่เที่ยวขอนแก่น สะสมบุญ อุ่นใจ ที่ขอนแก่น : เดินทาง 26-27 ส.ค. 2560 คนละ 7,999 บาท รับ 30 คน สมาชิก M CARD รับฟรี voucher ที่พัก 3 วัน 2 คืน ( 2 คน) มูลค่า 6,000 บาท ที่ถาวร ปาล์ม บีช ภูเก็ต 10 ใบ
ดูรายละเอียดได้ที่ www.budgetd.com/ผู้หญิงเที่ยวไทย 2017 ตั้งแต่วันนี้-31 สิงหาคม 2560
ข่าวที่สาม “ชวนปั่นเที่ยวอันดามัน3จังหวัด13-14ส.ค.”
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดึงศักยภาพของกลุ่มจังหวัดในเขตพัฒาการท่องเที่ยวอันดามัน เพิ่มขีดความสามารถของ Sport Tourism โดยจัดกิจกรรม Tour de Andaman 2 กิจกรรมการปั่นจักรยาน คือ
กิจกรรมแรก ปั่นจักรยานท่องเที่ยววิถีชุมชน Tour de Andaman (Touring) จะจัดวันที่ 13-14 สิงหาคม 2560 ให้นักท่องเที่ยวได้ปั่นตามเส้นทาง 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต พังงา กระบี่ รวมระยะทางกว่า 160 กิโลเมตร ในสโลแกน “ปั่นชมธรรมชาติ ผ่านชุมชน ยลวัฒนธรรมท้องถิ่น” เส้นทางปั่นจักรยานจะผ่านแหล่งท่องเที่ยว เช่น ประตูเมืองภูเก็ต จุดชมวิวเสม็ดนางชี ชุมชนบ้านสามช่องเหนือจังหวัดพังงา ชุมชนแหลมสักจังหวัดกระบี่
กิจกรรมที่ 2 จัดแข่งขันจักรยานทางไกล Tour de Andaman (Racing) จะจัดวันที่ 18-20 สิงหาคม 2560 ในฝั่งอันดามันระยะทางกว่า 410 กิโลเมตร ตามเส้นทาง 5 จังหวัด คือ สตูล ตรัง กระบี่ พังงา และภูเก็ต ด้วยสโลแกน “สัมผัสอันดามัน เสน่ห์ล้ำ สวรรค์แดนใต้”
แบ่งการแข่งขันจักรยานทางไกลประเภทจักรยานเสือหมอบ แบ่งการแข่งขันออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ 1.ประเภท Open ชาย ไม่จำกัดอายุ 2.ประเภทชายอายุ 18-29 ปี 3.ประเภทชายอายุ 30-39 ปี 4.ประเภทชายอายุ 40-49 ปี 5.ประเภทชายอายุ 50 ปีขึ้นไป และ 6.ประเภท Open หญิง ไม่จำกัดอายุ
จุดสตาร์ตเริ่มจาสตูล แบ่งออกเป็น 3 สเตจ คือ สเตจที่ 1 สตูล-ตรัง สเตจที่ 2 ตรัง-กระบี่ สเตจที่ 3 กระบี่-พังงา-ภูเก็ต
สอบถามข้อมูลได้ที่ 08 1817 7510 และ 08 1334 6647
ข่าวที่สี่ “ไทยเร่งแก้เพิ่ม49ข้อจ่อปลดธงแดงICAO”
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ผลการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนตามโครงการ USAP-CMA ที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เข้ามาตรวจสอบเมื่อวันที่ 11-21 ก.ค.60 ระบุให้ไทยปรับปรุงมาตรฐานที่ควรแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นอีก 49 ประเด็น หลังจากนั้นภายในอีก 30 วัน จะเป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ประเทศไทยเสนอข้อโต้แย้ง หรือยืนยันการยอมรับรายงานผลการตรวจสอบ โดย ประเทศไทยจะต้องยื่นเสนอแผนปรับปรุงแก้ไขกลับไปให้ ICAO อีกครั้ง
ทาง ICAO แนะนำให้ไทยต้องดูแลเป็นพิเศษและจัดทำแผนรักษาความปลอดภัยทั้ง 38 สนามบิน ทางด้านหลัก ๆ คือ 1เพิ่มกำลังคนรักษามาตรฐานการรักษาความปลอดภัย ทั้งในส่วนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการบินของ กพท. และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแต่ละสนามบิน เนื่องจากท่าอากาศยานในไทยที่ให้บริการทั้งอาคารในและระหว่างประเทศต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน ดูแลไม่ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเหนื่อยล้าจนเกินไป
ข่าวที่ 2 “ลั่นสิ้นปี’60ได้ดีดีใหม่-ครัวบินไทยจ่อเข้าตลาดMAI”
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะกรรมการ (บอร์ด) และประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน ) มติที่ประชุมบอร์ดการบินไทยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ให้เร่งสรุปผู้ที่จะสรรหาเข้ามารับตำแหน่งดีดีการบินไทยคนใหม่ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2560 โดยจะพยายามปลดล็อกคุณสมบัติที่ขัดแย้งต่อเกณฑ์ในเรื่องของผู้สมัครต้องชัดเจนกรณีไม่ขัดผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of Interests)
หลังจากต้องล้มการสรรหาเมื่อครั้งแรก เนื่องจากการเปิดรับผู้สมัครส่วนใหญ่มีปัญหาขัดแย้งกับหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ( สคร.) โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งทางด้านคุณสมบัติที่กล่าวไปข้างต้น
ทางด้าน “นางวรางคณา ลือโรจน์วงศ์” กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายครัวการบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “THAI” กล่าวว่า ขณะนี้วางแผน 3 ปีข้างหน้า ระหว่าง 2561-2563 จะเพิ่มรายได้ธุรกิจครัวการบินไทย โดยได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาวงเงิน 15 ล้านบาท เร่งศึกษาภายใน 3 เดือนนี้ วางกลยุทธ์พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพิ่มรายได้ในอนาคตให้ถึงปีละ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันทำได้ 7,600 ล้านบาท รองรับการปูทางนำธุรกิจครัวการบินไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์ M A I ต่อไป
วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ห้ามพลาด! ชิมมหกรรม"เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค"
ยึดหัวหาด"แหลมแท่นบางแสน"28-30ก.ค.โกย25ล้านบาท
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #thaifest #เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค
ห้ามพลาด! ชิมมหกรรม"เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค"
ยึดหัวหาด"แหลมแท่นบางแสน"28-30ก.ค.โกย25ล้านบาท
นางสุจิตรา จงญาณสิทโธ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดในประเทศ กล่าวว่า ได้จัดมหกรรม "เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค" โดย ททท.สำนักงาน 5 ภูมิภาค ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ได้คัดเลือกอาหารถิ่น จำนวนรวม 250 ร้าน 77 เมนูอาหารถิ่น มาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสรสชาติกันอย่างจุใจ ระหว่างวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2560 ณ บริเวณแหลมแท่น บางแสน จังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดภายใน 3 วัน จะสามารถสร้างเงินได้ถึง 25 ล้านบาท กระจายสู่ร้านค้าชุมชนที่นำอาหารถิ่นมาจำหน่ายตลอดงาน
อาหารถิ่นที่หารับประทานยากที่ยกมาไว้ในงาน "เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค" มีทั้ง
"อาหารประจำภาค" ได้แก่ แกงหมูชะมวง เต้าคั่ว ข้าวเปิ๊บ หม่ำหมู/หม่ำวัว หอยหลอดผัดฉ่า
"อาหารทะเลบางแสน-Street food" ที่มีความหลากหลาย กินสะดวก รสชาติอร่อย ถูกปากนักท่องเที่ยว
"อาหารถิ่นกินตามตำนาน" ได้จัดนิทรรศการแสดงไว้ริมทะเล พร้อมกับนำเชฟบุ๊ค-บุญสมิทธิ์ พุกกะณะสุต" กับ "มิสแนเดรีนไดอารี่" มาพูดคุยและสาธิตการทำอาหารไทยตามหลักโภชนาการของ "อาหารไทยกับการท่องเที่ยว"
พร้อมทั้งวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560 เวลา 17.00-18.00 น.ทาง "มติชน aCademy " มาสอนการทำอาชีพอาหาร เช่น การทำหมูสะเต๊ะ สูตรทหารอากาศไม่ขาดรัก และอื่น ๆ ควบคู่กับการสอนวิธีจัดเตรีนมวัตถุดิบ การคำณวนต้นทุน-กำไร และเคล็ดลับการปรุง เรื่อยไปจนถึงการหาทำเล เป็นการจัดการครบวงจร ที่ผู้ที่เข้าร่วมงาน "เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค" จะได้รับทั้งความรู้ และชิมทุกเมนูอาหารหายาก จากทั่วทุกภาคของประเทศแบบครบวงจร
แล้วในช่วงตุลาคม 2560 ททท.จะเดินหน้าจัดมหกรรมกระตุ้นรายได้เรื่องอาหารต่อเนื่องโดยจัด "อาหารถิ่นกินตามตำนาน" เพราะอาหารสามารถทำรายได้จากนักท่องเที่ยวโดยรวมในสัดส่วน 20% ของรายได้แต่ละปี กว่า 2.7 ล้านล้านบาท
ยึดหัวหาด"แหลมแท่นบางแสน"28-30ก.ค.โกย25ล้านบาท
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #thaifest #เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค
ห้ามพลาด! ชิมมหกรรม"เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค"
ยึดหัวหาด"แหลมแท่นบางแสน"28-30ก.ค.โกย25ล้านบาท
นางสุจิตรา จงญาณสิทโธ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดในประเทศ กล่าวว่า ได้จัดมหกรรม "เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค" โดย ททท.สำนักงาน 5 ภูมิภาค ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ได้คัดเลือกอาหารถิ่น จำนวนรวม 250 ร้าน 77 เมนูอาหารถิ่น มาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสรสชาติกันอย่างจุใจ ระหว่างวันที่ 28-30 กรกฎาคม 2560 ณ บริเวณแหลมแท่น บางแสน จังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดภายใน 3 วัน จะสามารถสร้างเงินได้ถึง 25 ล้านบาท กระจายสู่ร้านค้าชุมชนที่นำอาหารถิ่นมาจำหน่ายตลอดงาน
อาหารถิ่นที่หารับประทานยากที่ยกมาไว้ในงาน "เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค" มีทั้ง
"อาหารประจำภาค" ได้แก่ แกงหมูชะมวง เต้าคั่ว ข้าวเปิ๊บ หม่ำหมู/หม่ำวัว หอยหลอดผัดฉ่า
"อาหารทะเลบางแสน-Street food" ที่มีความหลากหลาย กินสะดวก รสชาติอร่อย ถูกปากนักท่องเที่ยว
"อาหารถิ่นกินตามตำนาน" ได้จัดนิทรรศการแสดงไว้ริมทะเล พร้อมกับนำเชฟบุ๊ค-บุญสมิทธิ์ พุกกะณะสุต" กับ "มิสแนเดรีนไดอารี่" มาพูดคุยและสาธิตการทำอาหารไทยตามหลักโภชนาการของ "อาหารไทยกับการท่องเที่ยว"
พร้อมทั้งวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560 เวลา 17.00-18.00 น.ทาง "มติชน aCademy " มาสอนการทำอาชีพอาหาร เช่น การทำหมูสะเต๊ะ สูตรทหารอากาศไม่ขาดรัก และอื่น ๆ ควบคู่กับการสอนวิธีจัดเตรีนมวัตถุดิบ การคำณวนต้นทุน-กำไร และเคล็ดลับการปรุง เรื่อยไปจนถึงการหาทำเล เป็นการจัดการครบวงจร ที่ผู้ที่เข้าร่วมงาน "เที่ยวข้ามถิ่นกินข้ามภาค" จะได้รับทั้งความรู้ และชิมทุกเมนูอาหารหายาก จากทั่วทุกภาคของประเทศแบบครบวงจร
แล้วในช่วงตุลาคม 2560 ททท.จะเดินหน้าจัดมหกรรมกระตุ้นรายได้เรื่องอาหารต่อเนื่องโดยจัด "อาหารถิ่นกินตามตำนาน" เพราะอาหารสามารถทำรายได้จากนักท่องเที่ยวโดยรวมในสัดส่วน 20% ของรายได้แต่ละปี กว่า 2.7 ล้านล้านบาท
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ททท.เปิดโผใหม่7 รองผู้ว่าการ-มติบอร์ด 26ก.ค.60
เปิดโผใหม่ตามมติบอร์ดโยก 7 รองผู้ว่าการ ททท.
เรื่องโดย..เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Aamazingthailand
ผลการประชุมเมื่อวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีมติอนุมัติให้สลับรองผู้ว่าการ ททท.ระดับ 10 รวม 7 ตำแหน่ง ตามข้อเสนอของผู้ว่าการ ททท. เพื่อความเหมาะสมในการบริหารงาน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
ตามตำแหน่งใหม่ดังต่อไปนี้
1. นายจรัญ อ้นมี เป็น รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
2. นางสุจิตรา จงชาณสิทโธ เป็น รองผู้ว่าการฝ่ายสินค้าและธุรกิจการท่องเที่ยว
3. นายสันติ ชุนดินธรา เป็น รองผู้ว่าตลาดเอเชียและแปซิฟิก
4. นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ เป็น รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป
5. นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ เป็น รองผู้ว่าด้านสื่อสารการตลาด
6. นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา เป็น รองผู้ว่าการด้านวางแผน
7. นายนพดล ภาคพรต เป็น รองผู้ว่าด้านตลาดในประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
เรื่องโดย..เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Aamazingthailand
ผลการประชุมเมื่อวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีมติอนุมัติให้สลับรองผู้ว่าการ ททท.ระดับ 10 รวม 7 ตำแหน่ง ตามข้อเสนอของผู้ว่าการ ททท. เพื่อความเหมาะสมในการบริหารงาน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
ตามตำแหน่งใหม่ดังต่อไปนี้
1. นายจรัญ อ้นมี เป็น รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร
2. นางสุจิตรา จงชาณสิทโธ เป็น รองผู้ว่าการฝ่ายสินค้าและธุรกิจการท่องเที่ยว
3. นายสันติ ชุนดินธรา เป็น รองผู้ว่าตลาดเอเชียและแปซิฟิก
4. นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ เป็น รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป
5. นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ เป็น รองผู้ว่าด้านสื่อสารการตลาด
6. นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา เป็น รองผู้ว่าการด้านวางแผน
7. นายนพดล ภาคพรต เป็น รองผู้ว่าด้านตลาดในประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ททท.นำนักท่องเที่ยวอเมริกาเข้าไทยปี61ทะลุ1ล้านคน-วันเดียวเที่ยวทั่วฉะเชิงเทรา
ปี’61ทัวร์มะกันไม่สนทรัมป์แห่มาไทยทะลุ1ล้านคน
ททท.แอลเอปลุกตลาดพันธุ์ใหม่FOMOบุกวิถีไทย
บิ๊กทอท.ย้ำคิงเพาเวอร์จ่ายถูกต้องทุกสัญญา
2หญิงแกร่งททท.“โรม-มอสโก”รุกปั๊มรายได้ปี’61
“จิรุตถ์”ผอ.ใหม่TCEBนำทัพไมซ์ผงาดผู้นำอาเซียน
วันธรรมดาวันเดียวเที่ยวฉะเชิงเทราเก๋ไก๋ลึกซึ้ง
“นกสกู๊ต”รุกตลาดผู้หญิงอัดโปรตั๋วตลอดส.ค.60
“บินไทย”งัดA350ชิงยอดตั๋วชูโปรใหม่2แพกเกจ
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านใน www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังทาง youtube www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการถึง “อนาคตอันสดใส” ตลาดอเมริกาปี 2561 จะเป็นตลาดระยะไกลข้ามทวีปประเทศแรกที่ทำสถิติมาเที่ยวเมืองไทยทะลุ 1 ล้านคน โดยมีตลาดใหม่มาแรงจากเผ่าพันธุ์ตลาดยุคดิจิตอลที่เรียกว่า FOMO-วัยโจ๋ชาวอเมริกาในยุคมิลเลนเนียล ผู้ไม่สนนโยบายเศรษฐกิจ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะรุ่งหรือร่วง ทว่าพวกเขาพร้อมจะหอบเงินคนละ 70,000 บาท/ทริป มาอุดหนุนวิถีไทยในชุมชน เพื่อร่วมลงมือทำกิจกรรมที่กลัวพลาดไปในชีวิต อย่างลองปลูกข้าวทำนา เลี้ยงควาย เรียนควาญช้าง ทำประมง และนำเทรนด์ Fear of Meeting Opputunity : FOMO โลกของคนยุคใหม่ที่พร้อมสร้างปรากฎการณ์กลัวพลาดร่วมกิจกรรมหนึ่งเดียวในเมืองไทย
“คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปี 2561 จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวพันธุ์ใหม่ตลาดอเมริการมาท่องเที่ยวไทยทะลุ 1 ล้านคน เพราะโดยพื้นฐานอเมริกาเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งมาก สถานการณ์ปลายปี 2560 เศรษฐกิจยังค่อนข้างดีคนจึงเดินทางท่องเที่ยวตามปกติ ส่วนความกังวลต่อนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้กำลังซื้อชะลอตัวนั้น ผลปรากฏตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวอเมริกามาเมืองไทยทำรายได้ยังเติบโต 19 % เพิ่มเกินเกณฑ์ ทำให้อนาคตการทำตลาดมีอนาคตสดใสในระยะยาว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยจะคุ้นเคยกับ “นักท่องเที่ยวกลุ่มสูงอายุ” หรือ Babyboomer ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจุดขายไปสู่กำลังซื้อกลุ่มใหม่ “วัยรุ่น-มิลเลนเนี่ยม” โดยแสวงหานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จากการศึกษาโครงสร้างประชากรปัจจุบันของสหรัฐอเมริกามีวัยรุ่นถึง 90 ล้านคน นับจากปี 2558 จำนวนคนรุ่นใหม่มากกว่าคนแก่
ขณะนี้ ททท.จึงพยายามหาช่องทางเปลี่ยนไปสู่ตลาดคนรุ่นใหม่ซึ่งนิยมใช้สื่อดิจิตอล สร้างช่องทางตลาดการขายแนวใหม่ วิธีการเข้าถึงก็จะเปลี่ยนไป รูปแบบการลงโฆษณาทางโทรทัศน์อาจจะลดสัดส่วนแต่ยังคงทำอยู่บ้าง “New Media” จะกลายเป็นกระแสหลัก ผนวกกับกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจ ปีที่ผ่านมา ททท.นำร่องแคมเปญ Local Experience สอดคล้องเข้ากับเทรนด์การท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่กลุ่มมิลเลนเนียลอเมริกามีสัดส่วนมากถึง 40 % แนวโน้มจะใช้เงินท่องเที่ยวสูงขึ้น มีลักษณะของการจ่ายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ดังนั้นการจูงใจให้มาเที่ยวเมืองไทยจึงเน้นคุณภาพการใช้เงินอย่างมาก
สินค้าการท่องเที่ยวที่จะนำเสนอในตลาดคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลอเมริกาจึงเน้น สินค้าแปลกใหม่และเกี่ยวพันกับสิ่งที่สนใจ ไม่เน้นรูปแบบการเดินทางเดิมที่มา 14 วัน แล้วพักกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เส้นทางเหล่านี้จะเปลี่ยนมีความสำคัญลดลงตามลำดับ กลุ่มคนรุ่นใหม่จะสนใจเพื่อบอกว่าเคยไปสถานที่แห่งนี้มาแล้ว
ปี 2561 ตามนโยบายของรองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา อเมริกา ตะวันออกกลาง เน้นหนักการใช้โครงการ THE LINK ต่อยอดการท่องเที่ยวเมืองรองในไทย โดย ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส จับคู่กับ ททท.สำนักงานชุมพร เป็นจังหวัดอันดับรอง ซึ่งจะใช้กลยุทธ์นำเสนอเรื่องราวให้จับต้องได้
ขณะนี้ชาวอเมริการุ่นใหม่กำลังฟีเวอร์เกี่ยวกับ “ไม่ต้องการพลาดการมีส่วนร่วมครั้งหนึ่งในชีวิต” เรียกว่า FOMO : Fear of Meeting Opputunity คือพวกคนรุ่นใหม่ชาวอเมริกาจะต้องไม่พลาดโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมทำกิจกรรมในกระแสของโลกอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็น “กิจกรรมที่ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียวในประเทศไทย”
ชาวอเมริการุ่นใหม่จะรีบตัดสินใจเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมทันทีโดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร ต้องการอย่างเดียวเป็นอันดับแรกต้องได้มาสัมผัสพร้อมกับเข้าถึงโดยการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับกิจกรรมดังกล่าว
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือประเทศไทยจะต้องสร้างเนื้อหาเรื่องราวของกิจกรรมในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่านำเสนอขายในตลาดคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียมของอเมริกาให้เข้าใจ เข้าถึง อย่างลึกซึ้ง ททท.สำนักงานลอสเจงลิส จึงปรับแนวคิดเจาะตลาดกลุ่มเดินทางครั้งแรกเข้ามาไทย
แนวโน้มการบริการเดินทางมาไทย จากแนวโน้มเทรนด์เอเชียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้สายการบินแห่เปิดจุดบินพร้อมกับเพิ่มความถี่จากอเมริกาสู่ประเทศแถบเอเชียมากขึ้น กลุ่มผู้นำหลัก ๆ คือ “EVA AIR” ไต้หวัน มาจากอเมริกาเหนือเข้าเอเชียสัปดาห์ละ 90 เที่ยวบิน และจากไทเป (ไต้หวัน) เข้าประเทศไทย สัปดาห์ละ 30 เที่ยวบิน จึงสะท้อนความเพียงพอ เฉพาะอีวีเอแอร์เพียงสายการบินเดียว ยังไม่รวมสายการบินระหว่างประเทศรายอื่น ๆ อาทิ ANA โค้ดแชร์สายการบินต่าง ๆ กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ซึ่งมีจำนวนมากระหว่าง อเมริกา-เอเชีย มากกว่าสัปดาห์ละ 100 เที่ยว ส่วนใหญ่จะต่อจากเมืองหลัก ไทเป (ไต้หวัน) กรุงโซล(เกาหลี) ญี่ปุ่น เข้ามายังไทยด้วย ไม่เฉพาะบินเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น ยังไปทางเชียงใหม่ ภูเก็ต ด้วย เป็นโอกาสของประเทศไทยในการใช้ประโยชน์จากการมีเที่ยวบินเชื่อมโยงจำนวนมาก
แต่สิ่งที่ ททท.รอคือสายการบินแห่งชาติ “การบินไทย” จะกลับมาเปิดบินตรงแบบประจำ อเมริกา-ไทย เพราะสามารถช่วยเติมเต็มในเชิงวิทยาการเดินทางได้ในฐานะประเทศที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวอเมริกา ถ้าหากมีการบินดังกล่าวเกิดขึ้นจะยิ่งช่วยได้ดีมาก ๆ โดยมีโอกาสคุยกับทางตัวแทนผู้ค้าส่งของการบินไทยในอเมริกาเป็นระยะ ๆ แต่ก็ยังต้องรอต่อไป
จุดขายปีท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2561 จะขายในตลาดอเมริกาซึ่งเป็นกำลังซื้อกลุ่มคุณภาพ หันมาเจาะคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลด้วยการ ลบภาพการท่องเที่ยวเมืองไทยในเรื่องเดิม ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะตามปกติอเมริกามาเที่ยวเมืองไทยในรูปแบบดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันคือใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 5,000 บาท/คน/วัน ทริปละประมาณ 70,000 บาท/คน/ทริป แต่รายได้ส่วนใหญ่จะจ่ายผ่านบริษัทตัวกลางจัดการท่องเที่ยว (travel agent)
แผนกลยุทธ์ใหม่ในตลาด “มิลเลนเนียล” จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายเงินโดยไม่ต้องผ่านบริษัทตัวกลางการท่องเที่ยว แต่จ่ายเงินดอลลาร์ไปถึงชุมชนท่องเที่ยวในไทยโดยตรงจึงเท่ากับเพิ่มคุณค่าและมูลค่าดอลลาร์เป็รายได้ให้ท้องถิ่นได้มากกว่า จึงสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล บอร์ดและผู้บริหาร ททท.ในการรณรงค์สำนักงาน ททท.ต่างประเทศ ร่วมมือกันสร้างประโยชน์ในการทำให้เกิดประโยชน์กระจายสู่ฐานรากครอบคลุมทุกมิติจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ชุมชน
การทำตลาดเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวให้เปลี่ยนรูปแบบ “การใช้เงิน” ของอเมริกาคือการตอบโจทก์คืนประโยชน์สู่ชุมชนสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
ส่วนเรื่องการนำเสนอขาย “ท่องเที่ยวเชิงอาหารไทยอาหารถิ่น” ในตลาดอเมริกา โดยเฉพาะเครือข่ายลอสแองเจลิสและภาคตะวันตกของอเมริกา กำลังร่วมมือกันสร้างจุดขาย “อาหารไทย” โดยบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าการมารับประทานอาหารไทย แต่จะเชื่อมโยงไปถึง “วิถีชุมชน” เพื่อทำให้ทุกอย่างย้อนกลับไปสร้างประโยชน์แก่ท้องถิ่นอย่างแท้จริงทั้งหมด
จึงจะนำเสนอนักท่องเที่ยวเรื่อง “อาหารถิ่น” แนะนำเรื่องมุมมองลงลึกถึงถิ่นฐานของแหล่งอาหาร เพราะอาหารไทยตามปกติคนรู้จักอยู่บ้างแล้ว อีกอย่างชาวอเมริกาไม่เคยรู้จักวิถีการเกษตร การปลูกข้าว ขี่ควาย สิ่งเหล่านี้จึงเหมือนกับสร้างความผูกพันให้เกิดการแชร์ไปยังเครือข่าย ไปเป็นเกษตรกร ปลูกข้าว ขี่ควาย 1 วัน หรือไปชมชุมชนเลี้ยงช้าง ไปเป็น “ควาญช้าง” 1 วัน หรือไปเป็นชาวประมง 1 วัน อารมณ์การขายวิถีชีวิตไทยในตลาดคนรุ่นใหม่อเมริกาจะมีลักษณะดังกล่าวนี้ซึ่งเชื่อมโยงมาสู่เรื่องอาหารชุมชนที่ไปใช้ร่วมสัมผัสการชีวิตตลอด 1 วันในแต่ละกิจกรรมโดยเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ปี 2561 ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจทำยอดเป้าหมายรายได้เพิ่มเฉลี่ย 15 % จากปี 2560 ให้ได้อย่างแน่นอน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “ทอท.ยันคิง เพาเวอร์จ่ายค่าตอบถูกต้องทุกสัญญา”
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า เมื่อปี 2547 ที่ลงนามสัญญากับบริษัทผู้ชนะประมูลได้สิทธิสัมปทานพื้นที่ประกอบการในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด (King Power Suvarnabhumi : KPS) เป็นคู่สัญญาเข้าประกอบการบริหาร “พื้นที่เชิงพาณิชย์”(commercial Area) ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กำหนดค่าตอบแทนที่เรียกว่าค่าบริการ 3 % โดยประกอบกิจการให้ “บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร” หรือ pick up counter เป็นส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์
ดังนั้นการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ทอท.ได้ดำเนินการถูกต้องเป็นปกติ โดยเรียกเก็บ 3 % จาก 15 % หรือคิดเป็น 0.45 % ของยอดส่งมอบสินค้าปลอดอากร
ดังนั้น ทอท.จึงพร้อมจะลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้องถึงเรื่อง “การจ่ายผลตอบแทนระหว่าง ทอท.กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด” ในส่วน “การประกอบกิจการให้บริการพื้นที่จุดส่งมอบสินค้า (pick up counter)” จ่ายผลตอบแทนรัฐอย่างถูกต้องทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ
ยุคที่ 1 TOR ช่วงเปิดประมูลระบุอัตราค่าตอบแทน ที่ ทอท.ใช้เรียกเก็บจากโครงการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตาม TOR ตอนเปิดการประมูลนั้นยังไม่มีสัญญา “เรียกเก็บค่าใช้บริการพื้นที่จุดส่งมอบสินค้าสุวรรณภูมิ” ระบุไว้ในสัญญาเข้าบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่การเรียกเก็บมาเกิดขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการประมูล ซึ่ง "ทอท.เขียนระบุเพิ่มจะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 15 ของยอดจำหน่ายสินค้าและค่าบริการ"
นับตั้งแต่วันที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด เริ่มประกอบการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสุวรรณภูมิ จึงได้ชำระค่าตอบแทนจากการประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรให้แก่ ทอท.ในอัตรา 15%ของค่าบริการในการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรแก่ผู้ประกอบการรายย่อยด้วย จำนวน 0.45%ของยอดสินค้าที่ส่งมอบตามจริง
ตามข้อตกลงจ่ายค่าพื้นที่บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรซึ่งเป็นเพียงการ "ให้บริการ"และไม่ได้จำหน่ายสินค้าใด ๆ เกิดขึ้นภายในสุวรรณภูมิ
ยุคที่ 2 ช่วงปี 2554-2555 คณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.มีหนังสือถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยระบุจะขอแยก pick up counter ออกจากสัญญาเชิงพาณิชย์ แล้วให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นร้านดิวตี้ฟรีในเมืองมาทำแทน โดยจะเรียกเก็บ 3 %ของยอดสินค้าที่ส่งมอบแทนการเรียกเก็บ 15%ของค่าบริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร
ดังนั้นทาง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ได้ทำหนังสืออธิบายไปยัง ทอท. ไม่เห็นด้วยกับการแยก pick up counter ออกจากสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์มาตลอด จากนั้นในเดือนตุลาคม 2555 ทอท.มีหนังสือตอบ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ อนุญาตให้ประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรได้ไปพลาง ๆ ก่อน พร้อมทั้งกำหนดเรียกเก็บค่าตอบแทนใหม่อัตรา3%ของสินค้าปลอดอากรที่ส่งมอบ แต่ยังคงสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาแยกการประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาไว้
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทาง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จึงมีหนังสือตอบไปยัง ทอท.ต่อกรณีดังกล่าวระบุว่าบริษัทยินดีให้ปรับขึ้นค่าตอบแทนในการประกอบกิจการพื้นที่บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรเพิ่มเป็น 3 % ของยอดสินค้าส่งมอบสินค้าปลอดอากร แต่ยังคงยืนยันในข้อเท็จจริงทั้งทางเอกสารและทางพฤตินัยว่าการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ บริษัทฯ ได้รับสิทธิ์เพียงรายเดียวจากการเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าว
ยุคที่ 3 ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ทอท.มีหนังสือมาถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยแจ้งว่า “อนุญาตให้ pick up counter ยังคงอยู่ในสัญญาเชิงพาณิชย์ โดย ทอท.จะเรียกเก็บค่าตอบแทนในอัตรา3% ของยอดส่งมอบสินค้าปลอดอากร
นับจากนั้นเป็นต้นมาคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย คือ ทอท.กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จึงได้บรรลุถึงข้อยุติจากการเจรจา ที่ทำให้ ทอท.ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจาก “ค่าตอบแทนอัตราใหม่เพิ่มมากกว่า” จาก 0.45 % เป็น 3 %
ข่าวที่ 2 ททท.“โรม-มอสโก”เปิดแผนปั๊มรายได้ปี’61
หลังจาก “นายยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตอกย้ำภาพรวมแผนการตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยจะต้องเพิ่มทั้งจำนวนและรายได้ตลาดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ได้ไม่ต่ำกว่า 8 % ใช้การท่องเที่ยวในลักษณะค้นพบตัวเอง สร้างแรงงานบันดาลใจ นำเสนอเส้นทางเพื่อทุกกลุ่มเที่ยวได้หรือ tourism for All ซึ่งนำเสนอในสไตล์ NEW SHADE MILLION SHADE และผลักดัน “อาหารถิ่นสู่มิชลินสตาร์” เพื่อทำให้ความต้องการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทยในท้องถิ่นมีช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มรายได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสนองนโยบายรัฐบาลอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะ “ตลาดยุโรป” วางแผนจะจัดทำ The LinK ภาค 2 ขยายการจับคู่ ททท.สำนักงานภูมิภาคยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กับ ททท.สำนักงานในประเทศ เพิ่มจุดขายพื้นที่ท่องเที่ยว 12 เมืองต้องห้ามพลาด เพิ่มเข้าสู่ชุมชนเครือข่ายของสินค้าที่มีความโดดเด่นมากขึ้น ควบคู่กับการทำงานอีกในเวทีโลก โดยททท.ภูมิภาคยุโรปเดินหน้าลงนามความร่วมมือโดย MOU กับสายการบินชั้นนำของโลก เพื่อรักษาฐานการเติบโตของรายได้ไว้ให้มากที่สุด
ททท.-อิตาลีหาช่องพลิกแผนด้วย 3 กลยุทธ์เร่งด่วน
“นางสาวรุ่ง กาญจนวิโรจน์” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.สำนักงานโรม อิตาลี ดูแลพื้นที่ตลาดยุโรปใต้ อิตาลี สเปน โปรตุเกส อิสราเอล ตุรกี กล่าวว่า สถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ค่อนข้างท้าทาย เป็นกลุ่มท่องเที่ยวซ้ำ (repleater) 60 % เดินทางท่องเที่ยวอิสระ (F.I.T.) 40 % แนวโน้มจะเป็น F.I.T.เพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกประเทศที่เข้ามาไทย ตามแผนการตลาดปี 2561 จะต้องพยายามหาทางแก้ปัญหาแล้วเพิ่มทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพและรายได้ตลาดยุโรปใต้เข้ามาตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 5 %
โดยวางกลยุทธ์ทำการตลาดระยะเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่
1.ทำโครงการ Refreshing Thailand นำไทยแลนด์แบรนด์กระจายเข้าไปยังพื้นที่เมืองต่าง ๆ ทั้ง 5 ประเทศ
2.จัด Fam Trip นำตัวแทนบริษัทเอเย่นต์ท่องเที่ยว 100 ราย เข้ามาสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวใหม่และเก่า ระหว่าง 23-26 ตุลาคม 2560
3.เพิ่มส่วนแบ่งตลาดไมซ์อินเตอร์เนชั่นแนลและฮันนีมูน เข้ามาเสริมในช่วงนอกฤดูการเดินทาง (low season)
โดยเฉพาะสเปนสามารถเจาะทำการตลาดแบบไร้พรมแดนได้ ส่วนอิสราเอลต้องเพิ่มความเข้มข้นกลุ่มหลัก ๆ คือ ท่องเที่ยวเชิงกีฬา กลุ่มครอบครัว และฮันนีมูน
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานโรม ยืนยันว่า “อิตาลี”ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องมาหลายปี แต่สถิติปี 2559 จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยยังไม่ลดลงมากนักเพราะเป็นจุดหมายปลายทางคุ้มค่าเงิน สถิติ 2.6 แสนคน ขณะที่ “สเปน” มาไทย 1.68 แสนคน เริ่มผงกหัวพ้นจากหุบเหวมาแล้วผนวกกับเศรษฐกิจและการเมืองมั่นคง เริ่มเห็นสัญญาณคนต้องการเดินทางมากขึ้น “โปรตุเกส” มีประชากรน้อยขาดเที่ยวบินตรง ก็มาไทยประมาณ 4.6 หมื่นคน
สำหรับ “ตะวันออกกลาง” ดาวรุ่งคือ “อิสราเอล” มีจำนวน 1.6 แสนคน ผลพวงจากผลิตภัณฑ์รายได้มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตค่อนข้างแข็งแรง เพราะรายได้ภาคการเกษตรและดิจิตอลสูงมาก เศรษฐกิจขยายตัวสูงมาก โดยบริษัทตัวแทนนำเที่ยวแยกไทยเป็นประเทศเดี่ยว ๆ จำนวนปีที่ผ่านมาเพิ่ม 15 %
ทางด้าน “ตุรกี” เมื่อปีที่ผ่านมาเจอปัญหารุมเร้าร้อบด้าน แต่นักท่องเที่ยวกลุ่มระดับล่างถึงกลางกว่า 7.4 หมื่นคน แม้จะคุณภาพไม่สูงมากแต่ส่วนใหญ่พร้อมเดินทางเข้ามายังไทย หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมาเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางต่างประเทศ
ททท.รัสเซีย ตีปีกปี’61ตลาดโตไร้ขีดจำกัด
นางสาวเอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานมอสโก สาธารณรัฐรัสเซีย ดูแลพื้นที่ รัสเซีย กลุ่มประเทศ CIS มีเบลารูส คาซัคสถาน อุเบกิสถาน ไตกีสถาน อาเซอไบจัน กล่าวว่า ปี 2560 ตั้งเป้าหมายรัสเซียจะมาท่องเที่ยวไทยมากถึง 1.25 ล้าคน สถิติ 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงบวกเพิ่ม 30 % ตามแผนระหว่างวันที่ 20-26 สิงหาคม 2560 จะนำเอกชนไทยไปโร้ดโชว์เจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพในอาเซอไบจัน ส่วนภาพรวมของแต่ละประเทศแถบนี้ล้วนมีอนาคตสดใส
สะท้อนได้จากสภาพเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะคึกคักด้วยการเติบโตทางด้านการบริโภคซึ่งมีเครือซีพีตั้งโรงงานผลิตอาหารและโรงฆ่าสัตว์ในเมืองอาร์ตนาด้าในพื้นที่ 1.2 แสนไร่ และในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ในโรงงานชำแหละไก่จำหน่ายได้ถึงเดือนละ 2 ล้านตัว จากความต้องการบริโภคสูงขึ้นนั่นเอง ชาวรัสเซียมีกำลังการจ่ายสูงขึ้นและเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นอันดับต้น ๆ พื้นที่หลักขวัญใจรัสเซียยังคงเป็น พัทยา และเมืองชายทะเล
ปี 2561 ททท.สำนักงานมอสโก วางแผนทำกิจกรรม 1.เพิ่มจุดขายกิจกรรมที่รัสเซียแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวและตลาดแถบนี้ชื่นชอบ เพราะคู่แข่งสำคัญคือตุรกี 2.โหมการท่องเที่ยวเรือยอร์ชโดยจับมือกับสมาคมเรือยอร์ช เพราะชาวรัสเซียชอบเที่ยวเรือยอร์ชมาก 3.ขยายฐานตลาดฮันนีมูน เปิดเส้นทางใหม่จากเกาะสมุย ขยายไปยังเกาะพะงัน เน้นเติมเต็มการท่องเที่ยวช่วงนอกฤดูเดินทาง ด้วยการนำกิจกรรมสะดวกง่าย ๆ มานำเสนอขาย ผนวกกับกระตุ้นให้เพิ่มเที่ยวบินแบบประจำ เพราะตอนนี้มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) จากตลาดแถบนี้มากถึง 32 เมือง เข้ามายังไทย
4.ตลาดสุขภาพองค์รวมหรือ Health & Wellness ต้องรีบเข้าไปเจาะร่วมกับเอกชนไทยซึ่งเป็นเจ้าของโปรดักซ์ 5.ผู้หญิงวัยทำงาน 6.กลุ่มสูงวัย ซึ่งเดิมตอนรัสเซียยังปกครองแบบสังคมนิยมคนกลุ่มนี้ฐานะไม่ดี แต่พอเปิดประเทศแล้วทำให้การค้าขายเติบโตกลุ่มคนเหล่านี้กลายเป็นคนรวยรุ่นใหม่ที่พร้อมใช้เงินท่องเที่ยว
สำหรับการใช้จ่ายเงินของรัสเซียและตลาดที่อยู่ในความดูแล เฉลี่ยคนละ 70,000-80,000 บาท/คน/ทริป แต่ถ้าเจาะกลุ่มทัวร์สุขภาพจะทำค่าเฉลี่ยได้ถึง 120,000 บาท/คน/ทริป
ข่าวที่ 3 “ผู้นำบางจากชี้ซื้อหุ้นLACเพิ่มดันรายได้โต”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 บริษัท BCP Innovation Pte. Ltd. (BCPI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน Lithium Americas Corp. หรือ LAC ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต แคนาดา จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 0.85 ดอลลาร์แคนาดา รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 42.50 ล้านดอลลาร์แคนาดา ทำให้ BCPI ถือหุ้นใน LAC รวมเป็น 70 ล้านหุ้นหรือ 16.1 % ของทุนชำระแล้ว เพื่อขยายธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและนวัตกรรมพลังงาน ที่ได้ดำเนินโครงการเหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินาและสหรัฐอเมริกา
โดยสรุปบริษัท บางจากฯ ได้บรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาให้เงินกู้ยืมแก่ LAC ไม่เกิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสัญญาซื้อผลผลิตแร่ลิเทียมจากโครงการ Cauchari Olaroz เหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินาเป็นเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มต้นการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จำนวน 20 % ของกึ่งหนึ่งของผลผลิตแร่ลิเทียมในระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี
ปัจจุบัน Minera Exar อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ Cauchari Olaroz ซึ่งเป็นเหมืองลิเทียมในจังหวัด Jujuy อาร์เจนตินา มีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี ระยะแรกจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็นปีละ 50,000 ตัน ระยะที่ 2 ปี 2562 จะผลิตแร่ลิเทียมจากน้ำเกลือในเชิงพาณิชย์ด้วย รวมทั้ง LAC ได้พัฒนาเหมืองลิเทียมอีกแห่งหนึ่งในรัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกาด้วย
ข่าวที่ 4 “เที่ยวหน้าฝนเขาค้อ2งาน“เรนโค้ดมิวสิก-ปั่นชมหมอก”
นางสาวฐาปนีย์ เกียติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้จัดกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยวหน้าฝนโดยได้จัดชวนปั่นจักรยาน" ปั่นชมหมอก...กอดดอกไม้ " เพื่อชมความสวยงามตลอดเส้นทางเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจะสตาร์ทปล่อยตัวเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2560สามารถเข้าร่วมปั่นฟรีตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันงาน โดยสมัครผ่านทาง https://event.thaimtb.com
ตามกติกาผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นบุคคลผู้มีอายุ15 ปีขึ้นไป พร้อมทั้งจะต้องนำรถจักรยานประเภทใดก็ได้มาเอง แนะนำให้ใช้จักรยานเสือภูเขาซึ่งเหมาะกับสภาพของเนินเขา ระยะทางปั่น 16 กิโลเมตร รับไม่เกิน 1,000 คน แจกเสื้อจักรยานฟรีไซซ์พร้อมของที่ระลึกแก่ผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า 800 คนแรก
โดยจะจัดควบคู่กับกิจกรรมงาน Raincoat Music Fest 2017 ระหว่าง 4-5 สิงหาคม 2560 ที่ Jolly Land เขาค้อ เปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมงานช่วง 15.00 น.-17.30 น. ส่วนวันที่ 6 สิหาคม 2560 เวลา 6.00-8.00น.
ตลอดงานยังมีกิจกรรม RC Rally ลุ้นรางวัลใหญ่จักรยานเสือภูเขา และสนุกสนานกับกิจกรรมอีกมากมาย
“วิธีลงทะเบียนแทน” จะต้องนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้สมัครมาแสดงเท่านั้น ส่วน “รางวัลชนะเลิศชุดแฟนซี” รับไปเลยเงินสด 1,000 บาท และอีก 2 รางวัลรองชนะเลิศ 500 บาท
ติดตามความคืบหน้าก่อนถึงวันงานได้ที่ http://www.tourismthailand.org/thaifest
ข่าวที่ 5 “จิรุตถ์”ผู้นำTCEBคนใหม่ปฏิวัติไมซ์ขึ้นนำอาเซียน
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำองค์กรคนใหม่ได้จัดเตรียมแผนพัฒนาไมซ์ของประเทศตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นไปครอบคลุมทั้งในหลายมิติคือ
เรื่องที่ 1 การยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ (Meeting-Incentive-Convention-Exhibition :MICE) ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์อาเซียน โดยมีโครงการ ASEAN MICE VENUE STANDARD เป็นฐานสำคัญ เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้โดยตรงปี 2560 ทำให้ได้ถึง 1.55 แสนล้านบาท แบ่งเป็นไมซ์ต่างประเทศ 100,000 ล้านบาท ในประเทศ 50,000 ล้านบาท
จากนั้นในปี 2561 เติบโตเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 5 % โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ไมซ์ภายในประเทศให้มีสัดส่วนรายได้เกินกว่า 50 % ขยับขึ้นให้ได้ปีละ 70,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 50,000 ล้านบาท
สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจช่วงปี 2558 มีข้อมูลระบุว่าประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมไมซ์ 150,000 ล้านบาท สร้างงาน 164,000 ตำแหน่ง ทำให้รัฐได้รับภาษี 10,500 ล้านบาท และสร้างจีดีพีต่อหัวแรงงาน สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น 2.1 เท่า
เรื่องที่ 2 การบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องภาครัฐ เอกชน ทั้งภายในประเทศและทั่วโลก
เรื่องที่ 3 การบริหารจัดการงบประมาณที่จะเปลี่ยนแปลงหันมาเน้นใช้ประโยชน์เชิงรวมมากกว่าการสนับสนุนเหมือนอดีตที่ผ่านมา
เรื่องที่ 4 เข้าร่วมประมูลงานระดับนานาชาติแล้วกระจายไปจัดตามจังหวัดระดับรองและเขตเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้น นอกเหนือปัจจุบันยังกระจุกตัวอยู่ใน MICE CITY 5 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น พื้นที่เมืองรองสามารถจะขยายไมซ์ได้เพิ่มจะพิจารณาในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง พิษณุโลก และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อกระจายรายได้ถึงสู่ชุมชน ด้วยการเข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หน่วยงานชุมชน ทำการศึกษาวิจัย นำนวตกรรม เพื่อเพิ่มข้อมูลโดยการทำอีเวนต์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างธุรกิจแล้วเลือกไปจัดไมซ์ในแต่ละท้องถิ่น
โดยจะทำควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กรให้สอดรับกับพฤติกรรมตลาดไมซ์ในประเทศและทั่วโลก จึงเตรียมจัดตั้ง “หน่วยกลยุทธ์ไมซ์-Intelligent Unit” ขึ้นมาภายใน 3 เดือนข้างหน้าจะทยอยสรุปแนวทาง ระหว่างนี้จะร่วมหารือกับฝ่ายบริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากจะต้องเป็นหน่วยบุกนำข้อมูลวิจัยและพัฒนา หลอมรวม M-I-C-E ผนวกกับเป็นหน่วยค้นหาเทคโนโลยีทางนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาแนะนำให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ของไทย นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันร่วมกันนำประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำไมซ์อาเซียนได้
สำหรับการประมูลงานในต่างประเทศ ขณะนี้มีงานไฮไลต์จากตลาดไมซ์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมมาจัดในประเทศไทย ได้แก่
1. ASEAN Site of The DOC 2017- จะต้องคิดใหม่ จัดทำใหม่โดยให้งานนี้จัดประจำในไทยต่อเนื่องกัน 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นทีเส็บควรต้องช่วยหาพันธมิตร และผู้สนับสนุน อย่างมีประสิทธิภาพเข้ามาร่วมมาทำงานร่วมกันเป็นทีม
2.การจัดหาเมกะ อีเวนต์ เข้ามาจัดในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดจากการที่ผู้บริหาร TCEB ไปร่วมแข่งขันประมูลงาน Tour de France แล้วไปพบงานใหม่ของผู้จัดงานการแข่งขัน Mega EVent ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญจัดการแข่งขัน ทางTCEB มองเห็นถึงตลาดที่ใหญ่กว่าคนร่วมแข่งขันเฉพาะคนไทยแต่จะเชิญชวนมาจากทั่วอาเซียน แล้วทำให้เกิดการขยายเครือข่ายสร้างชื่อและรายได้
ขณะเดียวกันการทำ “ตลาดไมซ์ในประเทศ” ผ่านแคมเปญ “D-MICE” ก็ได้เข้าไป ส่งเสริมนโยบายประชารัฐกระจายงานและเงินการจัดงานไมซ์สู่ชุมชน เรื่อยไปจนถึงการทำ Social Age พัฒนาทางด้านการจัดงานไมซ์ด้วยดิจิตอล ทำให้นโยบาย กระจายความร่วมมือถ่ายทอดและส่งต่อเทคนิควิธีการจัดงานโดยลงไปถึงสถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษา ส่วนการสร้างมาตรฐานสถานที่จัดประชุมในประเทศเพื่อเป็นต้นแบบของ ASAEN MICE Venue Standart ปี 2561 มอบรางวัล ASAEN MICE Venue Standart ในงาน Asean Tourism Forum 2018 ที่เชียงใหม่ ด้วย
ปัจจุบันอันดับไทยในตลาดไมซ์นานาชาติ (Working Ranking by ICCA Statistics Report 2015) 1.International Meeting Country ไทยอยู่อันดับ 27 มีจำนวนการจัดประชุมรวม 151 งาน 2. International Meeting City กรุงเทพฯ อันดับ 16 มีจำนวนการจัดงานประชุม 103 งาน เชียงใหม่ติดอันดับ 163 มีจำนวนการจัดงาน 16 งาน พัทยา ติดอันดับ 263 มีจำนวนการจัดงาน 10 งาน
ปี 2559 Thailand Convention Ranking, จัดอันดับโดย ICCA ไทยติดอันดับ 24 มีจำนวนการจัดงาน 174 งาน ทิ้งห่าง “สิงคโปร์” ที่ตกไปอยู่อันดับ 28 มีการจัดงานเพียง 151 งาน
ช่วงที่ 2 ฤดูฝนนี้ตามรอยพระบาท วันธรรมดาวันเดียวเที่ยวได้ทั่ว “ฉะเชิงเทรา” แล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพกับ 3 ป้องกัน 3 เก็บ เลี่ยงไข้เลือดออก และแอร์ไลน์ทั้งไทยและเทศกำลังปรับกลยุทธ์หารายได้กันอุตลุด
@วันเดียวเที่ยวทั่วฉะเชิงเทราเก๋ไก๋ลึกซึ้ง
อากาศช่วงฤดูฝนพรำเย็นสบาย เหมาะจะออกเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา แล้วก็เลือกวางแผนไปชมเส้นทางตามรอยพระบาทใกล้กรุงใน “จังหวัดฉะเชิงเทรา” ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายแล้ว และภายในวันเดียวเที่ยวได้ครบทุกมุม
เริ่มจาก “ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน และโครงการพัฒนาส่วนพระองค์เขาหินซ้อน” อันเกิดขึ้นแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสร้างต้นแบบพื้นที่ทุกตารางนิ้วด้วยการพลิกสภาพพื้นที่แห้งแล้งจากที่ทำการเพาะปลูกพืชไม่ได้ให้ ให้กลายมาสมบูรณ์อีกครั้ง นำธรรมชาติกลับคืนสู่ประเทศชวนให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจแก่ผู้คนที่แวะเข้าไปเยี่ยมชม
จากนั้นก็ไปชม “ค้างคาวแม่ไก่ วัดโพธิ์บางคล้า” คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการดูค้างคาวต้องเป็นช่วงกลางคืน แต่ที่นี่มี “ค้างคาวตัวเป็น ๆ” ให้ชม “ช่วงกลางวัน” จำนวนนับไม่ถ้วนเกาะเกี่ยวห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ มองเห็นชัดเจน เป็นความมหัศจรรย์อีกแห่งของเมืองไทย
พอรู้สึกหิวก็แวะ “ตลาดน้ำบางคล้า” มีอาหารอร่อยในที่ตลาดริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนริมน้ำเรียบง่ายมีความสุข แถมจัดอาหารมาบริการให้นักท่องเที่ยวเลือกครบ อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึก ของฝาก สำหรับซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ด้วย
วันสบาย ๆ ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ออกมาสัมผัสวิถีไทย เก๋ไก๋ลึกซึ้ง ไปด้วยกัน
สนใจท่องเที่ยวเส้นทางตามรอยพระบาท จังหวัดฉะเชิงเทรา สอบถามได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานฉะเชิงเทรา โทร. 038-514-4009 หรือเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.tat8.com
@มาตรการ3ป้องกัน3เก็บปลอดไข้เลือดออก
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนนี้ มีฝนตกอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน เกิดน้ำขังตามภาชนะหรือวัสดุต่างๆ ทำให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามมา ประกอบกับในช่วงฤดูฝนของทุกปีก็เป็นช่วงระบาดของโรคไข้เลือดออกด้วย จึงขอแนะนำให้ประชาชนดูแลตนเองก่อนในเบื้องต้นด้วยการใช้มาตรการ “3 ป้องกัน 3 เก็บ”
3 การป้องกัน ประกอบด้วย
1. การป้องกันการถูกยุงกัด โดยทายากันยุง นอนในมุ้ง กำจัดยุงตัวเต็มวัยด้วยสเปรย์ ไม้ช็อตไฟฟ้า พร้อมกำจัดลูกน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในภาชนะที่มีน้ำใสและนิ่ง เช่น ถาดรองขาตู้ ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้
2. การเฝ้าระวังอาการของโรค เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หน้าแดง ผิวหนังเป็นจุดเลือด อาเจียน ปวดท้อง
3. การไปพบแพทย์เร็วเมื่อป่วยและมีไข้สูง เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรค และเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงไข้ลดหากเกิดอาการช็อกจากไข้เลือดออก ต้องรีบกลับไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หากช้าอาจทำให้เสียชีวิตได้
3 เก็บ ประกอบด้วย
1. เก็บบ้านให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง
2. เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
3. เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “นกสกู๊ตทุ่ม4โปรตลาดผู้หญิงตลอดส.ค.60”
สายการบินนกสกู๊ต รายงานว่าร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนโครงการ "Women's Journey Thailand August 2017" ให้ผู้หญิงทั่วโลกที่ใช้นกสกู๊ตรับส่วนลดและสิทธิพิเศษตลอดเดือนสิงหาคมนี้ ด้วย 4 โปรโมชั่น ประกอบด้วย
1.BUY 2 FOR MORE ซื้อตั๋วได้ราคาพิเศษเฉพาะผู้โดยสารผู้หญิงเท่านั้น ราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท เมื่อซื้อตั๋วอย่างน้อย 2 ใบขึ้นไป ระหว่าง 1 - 6 สิงหาคม 2560 แล้วนำไปใช้เดินทาง 1 สิงหาคม - 20 ธันวาคม 2560
2.FEMALE FREE FIVE ผู้โดยสารหญิงจะได้รับน้ำหนักโหลดกระเป๋าเพิ่มอีก 5 กิโลกรัม เมื่อเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ระหว่าง 11-13 สิงหาคม 2560แล้วซื้อน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัมขึ้นไป
3.MOMMYDAY SPECIAL ใช้ Promo Code "MOMMYDAY" เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแบบ FlyBag หรือ FlyBagEat ผ่านเว็บไซต์ นกสกู๊ต รับส่วนลด 10% ใช้ได้ตั้งแต่ 7 - 31 สิงหาคม 2560 ซื้อแล้วนำไปเดินทาง 7 สิงหาคม - 20 ธันวาคม 2560
4.LADY BOARD FIRST ผู้โดยสารผู้หญิงทุกคนจะได้รับสิทธิพิเศษขึ้นเครื่องก่อน (Priority Boarding) ในทุกเที่ยวบินระหว่าง 11-13 สิงหาคม 2560
สอบถามได้ที่ Call Center โทร 02-021-0000 หรือดูรายละเอียดที่www.womensjourney.tourismthailand.org
ข่าวที่สอง “นกแอร์”เลิกแจกฟรีหันขายขนม-อาหารลดขาดทุน
บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า เปลี่ยนแปลงบริการในเที่ยวบินตั้งแต่ 16 ก.ค. 2560 เป็นต้นไป จะแจกฟรีแต่น้ำดื่มนกชื่นใจและยกเลิกสแน็กทุกเที่ยวบิน พร้อมทั้งเริ่มเสิร์ฟอาหารร้อนพร้อมเสิร์ฟรับประทานบนเครื่อง เฉพาะเที่ยวบินที่บินด้วยเครื่องโบอิ้ง 737 ให้ผู้โดยสารเลือกสั่งในราคาคุณภาพได้จาก 6 เมนู ได้แก่ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ราคา 150 บาท (เมนูยอดนิยม) สปาเก็ตตี้ซอสไก่ 150 บาท ผัดหมี่ฮ่องกงเจ 150 บาท ข้าวเหนียวไก่ย่างสมุนไพร 175 บาท ข้าวผัดชาวเกาะ 190 บาท ข้าวปูผัดผงกะหรี่ 190 บาท
หลังจากยกเลิกเสิร์ฟสแน็กฟรีแล้ว นกแอร์ยังคงขายสแน็ก บะหมี่ โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่มร้อน-เย็น และสินค้าที่ระลึก ตามปกติ
ทั้งนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นกแอร์ประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้คณะกรรมการ (บอร์ด) นกแอร์ มีนโยบายให้ฝ่ายบริหารร่วมกันแก้ปัญหาโดยลดต้นทุนควบคู่กับปรับวิธีบริหารจัดการตลาดเร่งปลดภาระขาดทุนให้ได้เร็วที่สุด
ข่าวที่สาม “บินไทยใช้A350ชิงกำลังซื้อเทรนด์ใหม่ชู2โปรแพง”
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยฯ เปิดเผยว่า การบินไทยทำแผนจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A350 XWB ไว้ 12 ลำ แบ่งเป็นสั่งซื้อ 4 ลำ และเช่าซื้อ 8 ลำ A350 XWB เป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดของโลกในตระกูลลำตัวกว้างที่ทรงประสิทธิภาพ เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2560 เพิ่งจะบินไปรับเครื่องรุ่นนี้ลำที่ 5
โดยได้นำเครื่อง A350 มาบินบริการในเส้นทาง ไป-กลับ “ในประเทศ” จาก กรุงเทพฯ สู่ เชียงใหม่ และภูเก็ต “ต่างประเทศ” จากกรุงเทพฯ ปลายทาง แฟรงก์เฟิร์ต มิลาน โรม ดูไบ และกรุงเทพฯ-ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต
สำหรับฝูงบินแอร์บัส A350 XWB ได้ตกแต่งห้องโดยสารด้วยแนวคิดแบบไทยร่วมสมัย (Thai Contemporary) และมีระบบแสงที่สามารถปรับได้ตามบรรยากาศ (Mood Lighting) ด้วยแสง LED สร้างได้ถึง 16.7 ล้านเฉดสี พื้นที่เหนือศีรษะขยายมากขึ้นเพื่อลดความอึดอัดช่องเก็บสัมภาระ กระจกหน้าต่างกว้างขึ้น และมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในทุกระดับชั้นของการบริการ ขนาดบรรทุก 321 ที่นั่ง ประกอบด้วย
“ที่นั่งรอยัล ซิลค์ คลาส (Royal Silk Class)” หรือชั้นธุรกิจ 32 ที่นั่ง จัดวางให้มีระยะห่างระหว่างแถวที่นั่ง 41-46 นิ้ว แต่ละที่นั่งมีความกว้าง 21 นิ้ว สามารถปรับเอนนอนราบได้ 180 องศา จอโทรทัศน์ระบบสัมผัสขนาด 16 นิ้ว เชื่อมต่อระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย เพื่อฟังเพลง ชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และเล่นเกมส์ รวมถึงบริการ Wi-Fi ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
“ที่นั่งชั้นประหยัด (Economy Class)” 289 ที่นั่ง มีระยะห่างระหว่างแถวที่นั่ง 32 นิ้ว แต่ละที่นั่งมีความกว้าง 18 นิ้ว ติดตั้งจอโทรทัศน์ระบบสัมผัสขนาด 11 นิ้ว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย เพื่อฟังเพลง ชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เล่นเกมส์ รวมถึงบริการ Wi-Fi ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
นอกจากนี้การบินไทย ยังทำแพกเกจโปรโมชั่นในช่วงกรกฎาคม 2560 เปิดให้จองราคาพิเศษ 2 แพกเกจ ราคากว่าคนละแสนบาท คือ 1. The Charmin of Iran 9 วัน 7 คืน ราคาเริ่มต้นที่คนละ 113,000 บาท กำหนดเดินทาง 10-18 สิงหาคม 2560 และ 14-22 กันยายน นี้ 2.อินเดีย มหาราชา เยือนราชสถาน ชมความงดงามอลังการของรัฐราชสถานดินแห่งมหาราชา กับ อ.เผ่าทอง ทองเจือ 8 วัน 6 คืน ราคาเริ่มต้นคนละ 111.900 บาท เดินทาง 23-30 กันยายน 2560 สอบถามที่ 02-288-7335
ข่าวที่สี่ “เตอร์กีสแอร์บินแล้วอิสตัลบูล-ภูเก็ต”4เที่ยว/สัปดาห์
Mr. Bilal Eksi รองประธานกรรมการและซีอีโอของเตอร์กิช แอร์ไลน์ กล่าวว่าได้เปิดปฐมฤกษ์ ในเส้นทางบินแบบประจำ อิสตันบูล-ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป สัปดาห์ละ 4 เที่ยว ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ด้วยเวลาท้องถิ่นและรหัสเที่ยวบิน TK 172 จันทร์, พฤหัสบดี เสาร์ อาทิตย์ ออกจาก อิสตัลบูล 14.30 ถึงภูเก็ต04.00 (+1) และ TK 173 จันทร์, อังคาร ศุกร์, อาทิตย์ ออกจากภูเก็ต 05:30 ถึงอิสตัลบูล 12:00 น.
ค่าตั๋วโดยสารไป-กลับ อิสตันบูล-ภูเก็ต ช่ววโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 569 ดอลลาร์สหรัฐ (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม)
พร้อมกันนี้ เตอร์กิช คาร์โก ยังได้เปิดตัวเที่ยวบินขนส่งสินค้ามายังภูเก็ตด้วย เพื่อช่วยส่งเสริมการส่งออกและนำเข้าสินค้าทางอากาศได้อีกช่องทาง
ติดตามฟังและอ่านข่าวของทางรายการเป็นประจำได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง สวท. FM 97.0 MHz.
ททท.แอลเอปลุกตลาดพันธุ์ใหม่FOMOบุกวิถีไทย
บิ๊กทอท.ย้ำคิงเพาเวอร์จ่ายถูกต้องทุกสัญญา
2หญิงแกร่งททท.“โรม-มอสโก”รุกปั๊มรายได้ปี’61
“จิรุตถ์”ผอ.ใหม่TCEBนำทัพไมซ์ผงาดผู้นำอาเซียน
วันธรรมดาวันเดียวเที่ยวฉะเชิงเทราเก๋ไก๋ลึกซึ้ง
“นกสกู๊ต”รุกตลาดผู้หญิงอัดโปรตั๋วตลอดส.ค.60
“บินไทย”งัดA350ชิงยอดตั๋วชูโปรใหม่2แพกเกจ
สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านใน www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังทาง youtube www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการถึง “อนาคตอันสดใส” ตลาดอเมริกาปี 2561 จะเป็นตลาดระยะไกลข้ามทวีปประเทศแรกที่ทำสถิติมาเที่ยวเมืองไทยทะลุ 1 ล้านคน โดยมีตลาดใหม่มาแรงจากเผ่าพันธุ์ตลาดยุคดิจิตอลที่เรียกว่า FOMO-วัยโจ๋ชาวอเมริกาในยุคมิลเลนเนียล ผู้ไม่สนนโยบายเศรษฐกิจ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะรุ่งหรือร่วง ทว่าพวกเขาพร้อมจะหอบเงินคนละ 70,000 บาท/ทริป มาอุดหนุนวิถีไทยในชุมชน เพื่อร่วมลงมือทำกิจกรรมที่กลัวพลาดไปในชีวิต อย่างลองปลูกข้าวทำนา เลี้ยงควาย เรียนควาญช้าง ทำประมง และนำเทรนด์ Fear of Meeting Opputunity : FOMO โลกของคนยุคใหม่ที่พร้อมสร้างปรากฎการณ์กลัวพลาดร่วมกิจกรรมหนึ่งเดียวในเมืองไทย
![]() |
คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา |
“คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปี 2561 จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวพันธุ์ใหม่ตลาดอเมริการมาท่องเที่ยวไทยทะลุ 1 ล้านคน เพราะโดยพื้นฐานอเมริกาเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งมาก สถานการณ์ปลายปี 2560 เศรษฐกิจยังค่อนข้างดีคนจึงเดินทางท่องเที่ยวตามปกติ ส่วนความกังวลต่อนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้กำลังซื้อชะลอตัวนั้น ผลปรากฏตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวอเมริกามาเมืองไทยทำรายได้ยังเติบโต 19 % เพิ่มเกินเกณฑ์ ทำให้อนาคตการทำตลาดมีอนาคตสดใสในระยะยาว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยจะคุ้นเคยกับ “นักท่องเที่ยวกลุ่มสูงอายุ” หรือ Babyboomer ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจุดขายไปสู่กำลังซื้อกลุ่มใหม่ “วัยรุ่น-มิลเลนเนี่ยม” โดยแสวงหานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จากการศึกษาโครงสร้างประชากรปัจจุบันของสหรัฐอเมริกามีวัยรุ่นถึง 90 ล้านคน นับจากปี 2558 จำนวนคนรุ่นใหม่มากกว่าคนแก่
ขณะนี้ ททท.จึงพยายามหาช่องทางเปลี่ยนไปสู่ตลาดคนรุ่นใหม่ซึ่งนิยมใช้สื่อดิจิตอล สร้างช่องทางตลาดการขายแนวใหม่ วิธีการเข้าถึงก็จะเปลี่ยนไป รูปแบบการลงโฆษณาทางโทรทัศน์อาจจะลดสัดส่วนแต่ยังคงทำอยู่บ้าง “New Media” จะกลายเป็นกระแสหลัก ผนวกกับกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจ ปีที่ผ่านมา ททท.นำร่องแคมเปญ Local Experience สอดคล้องเข้ากับเทรนด์การท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่กลุ่มมิลเลนเนียลอเมริกามีสัดส่วนมากถึง 40 % แนวโน้มจะใช้เงินท่องเที่ยวสูงขึ้น มีลักษณะของการจ่ายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ดังนั้นการจูงใจให้มาเที่ยวเมืองไทยจึงเน้นคุณภาพการใช้เงินอย่างมาก
สินค้าการท่องเที่ยวที่จะนำเสนอในตลาดคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลอเมริกาจึงเน้น สินค้าแปลกใหม่และเกี่ยวพันกับสิ่งที่สนใจ ไม่เน้นรูปแบบการเดินทางเดิมที่มา 14 วัน แล้วพักกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เส้นทางเหล่านี้จะเปลี่ยนมีความสำคัญลดลงตามลำดับ กลุ่มคนรุ่นใหม่จะสนใจเพื่อบอกว่าเคยไปสถานที่แห่งนี้มาแล้ว
ปี 2561 ตามนโยบายของรองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา อเมริกา ตะวันออกกลาง เน้นหนักการใช้โครงการ THE LINK ต่อยอดการท่องเที่ยวเมืองรองในไทย โดย ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส จับคู่กับ ททท.สำนักงานชุมพร เป็นจังหวัดอันดับรอง ซึ่งจะใช้กลยุทธ์นำเสนอเรื่องราวให้จับต้องได้
ขณะนี้ชาวอเมริการุ่นใหม่กำลังฟีเวอร์เกี่ยวกับ “ไม่ต้องการพลาดการมีส่วนร่วมครั้งหนึ่งในชีวิต” เรียกว่า FOMO : Fear of Meeting Opputunity คือพวกคนรุ่นใหม่ชาวอเมริกาจะต้องไม่พลาดโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมทำกิจกรรมในกระแสของโลกอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็น “กิจกรรมที่ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียวในประเทศไทย”
ชาวอเมริการุ่นใหม่จะรีบตัดสินใจเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมทันทีโดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร ต้องการอย่างเดียวเป็นอันดับแรกต้องได้มาสัมผัสพร้อมกับเข้าถึงโดยการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับกิจกรรมดังกล่าว
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือประเทศไทยจะต้องสร้างเนื้อหาเรื่องราวของกิจกรรมในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่านำเสนอขายในตลาดคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียมของอเมริกาให้เข้าใจ เข้าถึง อย่างลึกซึ้ง ททท.สำนักงานลอสเจงลิส จึงปรับแนวคิดเจาะตลาดกลุ่มเดินทางครั้งแรกเข้ามาไทย
แนวโน้มการบริการเดินทางมาไทย จากแนวโน้มเทรนด์เอเชียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้สายการบินแห่เปิดจุดบินพร้อมกับเพิ่มความถี่จากอเมริกาสู่ประเทศแถบเอเชียมากขึ้น กลุ่มผู้นำหลัก ๆ คือ “EVA AIR” ไต้หวัน มาจากอเมริกาเหนือเข้าเอเชียสัปดาห์ละ 90 เที่ยวบิน และจากไทเป (ไต้หวัน) เข้าประเทศไทย สัปดาห์ละ 30 เที่ยวบิน จึงสะท้อนความเพียงพอ เฉพาะอีวีเอแอร์เพียงสายการบินเดียว ยังไม่รวมสายการบินระหว่างประเทศรายอื่น ๆ อาทิ ANA โค้ดแชร์สายการบินต่าง ๆ กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ซึ่งมีจำนวนมากระหว่าง อเมริกา-เอเชีย มากกว่าสัปดาห์ละ 100 เที่ยว ส่วนใหญ่จะต่อจากเมืองหลัก ไทเป (ไต้หวัน) กรุงโซล(เกาหลี) ญี่ปุ่น เข้ามายังไทยด้วย ไม่เฉพาะบินเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น ยังไปทางเชียงใหม่ ภูเก็ต ด้วย เป็นโอกาสของประเทศไทยในการใช้ประโยชน์จากการมีเที่ยวบินเชื่อมโยงจำนวนมาก
แต่สิ่งที่ ททท.รอคือสายการบินแห่งชาติ “การบินไทย” จะกลับมาเปิดบินตรงแบบประจำ อเมริกา-ไทย เพราะสามารถช่วยเติมเต็มในเชิงวิทยาการเดินทางได้ในฐานะประเทศที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวอเมริกา ถ้าหากมีการบินดังกล่าวเกิดขึ้นจะยิ่งช่วยได้ดีมาก ๆ โดยมีโอกาสคุยกับทางตัวแทนผู้ค้าส่งของการบินไทยในอเมริกาเป็นระยะ ๆ แต่ก็ยังต้องรอต่อไป
จุดขายปีท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2561 จะขายในตลาดอเมริกาซึ่งเป็นกำลังซื้อกลุ่มคุณภาพ หันมาเจาะคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลด้วยการ ลบภาพการท่องเที่ยวเมืองไทยในเรื่องเดิม ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะตามปกติอเมริกามาเที่ยวเมืองไทยในรูปแบบดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันคือใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 5,000 บาท/คน/วัน ทริปละประมาณ 70,000 บาท/คน/ทริป แต่รายได้ส่วนใหญ่จะจ่ายผ่านบริษัทตัวกลางจัดการท่องเที่ยว (travel agent)
แผนกลยุทธ์ใหม่ในตลาด “มิลเลนเนียล” จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายเงินโดยไม่ต้องผ่านบริษัทตัวกลางการท่องเที่ยว แต่จ่ายเงินดอลลาร์ไปถึงชุมชนท่องเที่ยวในไทยโดยตรงจึงเท่ากับเพิ่มคุณค่าและมูลค่าดอลลาร์เป็รายได้ให้ท้องถิ่นได้มากกว่า จึงสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล บอร์ดและผู้บริหาร ททท.ในการรณรงค์สำนักงาน ททท.ต่างประเทศ ร่วมมือกันสร้างประโยชน์ในการทำให้เกิดประโยชน์กระจายสู่ฐานรากครอบคลุมทุกมิติจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ชุมชน
การทำตลาดเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวให้เปลี่ยนรูปแบบ “การใช้เงิน” ของอเมริกาคือการตอบโจทก์คืนประโยชน์สู่ชุมชนสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
ส่วนเรื่องการนำเสนอขาย “ท่องเที่ยวเชิงอาหารไทยอาหารถิ่น” ในตลาดอเมริกา โดยเฉพาะเครือข่ายลอสแองเจลิสและภาคตะวันตกของอเมริกา กำลังร่วมมือกันสร้างจุดขาย “อาหารไทย” โดยบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าการมารับประทานอาหารไทย แต่จะเชื่อมโยงไปถึง “วิถีชุมชน” เพื่อทำให้ทุกอย่างย้อนกลับไปสร้างประโยชน์แก่ท้องถิ่นอย่างแท้จริงทั้งหมด
จึงจะนำเสนอนักท่องเที่ยวเรื่อง “อาหารถิ่น” แนะนำเรื่องมุมมองลงลึกถึงถิ่นฐานของแหล่งอาหาร เพราะอาหารไทยตามปกติคนรู้จักอยู่บ้างแล้ว อีกอย่างชาวอเมริกาไม่เคยรู้จักวิถีการเกษตร การปลูกข้าว ขี่ควาย สิ่งเหล่านี้จึงเหมือนกับสร้างความผูกพันให้เกิดการแชร์ไปยังเครือข่าย ไปเป็นเกษตรกร ปลูกข้าว ขี่ควาย 1 วัน หรือไปชมชุมชนเลี้ยงช้าง ไปเป็น “ควาญช้าง” 1 วัน หรือไปเป็นชาวประมง 1 วัน อารมณ์การขายวิถีชีวิตไทยในตลาดคนรุ่นใหม่อเมริกาจะมีลักษณะดังกล่าวนี้ซึ่งเชื่อมโยงมาสู่เรื่องอาหารชุมชนที่ไปใช้ร่วมสัมผัสการชีวิตตลอด 1 วันในแต่ละกิจกรรมโดยเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ปี 2561 ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจทำยอดเป้าหมายรายได้เพิ่มเฉลี่ย 15 % จากปี 2560 ให้ได้อย่างแน่นอน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “ทอท.ยันคิง เพาเวอร์จ่ายค่าตอบถูกต้องทุกสัญญา”
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า เมื่อปี 2547 ที่ลงนามสัญญากับบริษัทผู้ชนะประมูลได้สิทธิสัมปทานพื้นที่ประกอบการในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด (King Power Suvarnabhumi : KPS) เป็นคู่สัญญาเข้าประกอบการบริหาร “พื้นที่เชิงพาณิชย์”(commercial Area) ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กำหนดค่าตอบแทนที่เรียกว่าค่าบริการ 3 % โดยประกอบกิจการให้ “บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร” หรือ pick up counter เป็นส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์
ดังนั้นการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ทอท.ได้ดำเนินการถูกต้องเป็นปกติ โดยเรียกเก็บ 3 % จาก 15 % หรือคิดเป็น 0.45 % ของยอดส่งมอบสินค้าปลอดอากร
ดังนั้น ทอท.จึงพร้อมจะลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้องถึงเรื่อง “การจ่ายผลตอบแทนระหว่าง ทอท.กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด” ในส่วน “การประกอบกิจการให้บริการพื้นที่จุดส่งมอบสินค้า (pick up counter)” จ่ายผลตอบแทนรัฐอย่างถูกต้องทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ
ยุคที่ 1 TOR ช่วงเปิดประมูลระบุอัตราค่าตอบแทน ที่ ทอท.ใช้เรียกเก็บจากโครงการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตาม TOR ตอนเปิดการประมูลนั้นยังไม่มีสัญญา “เรียกเก็บค่าใช้บริการพื้นที่จุดส่งมอบสินค้าสุวรรณภูมิ” ระบุไว้ในสัญญาเข้าบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่การเรียกเก็บมาเกิดขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการประมูล ซึ่ง "ทอท.เขียนระบุเพิ่มจะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 15 ของยอดจำหน่ายสินค้าและค่าบริการ"
นับตั้งแต่วันที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด เริ่มประกอบการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสุวรรณภูมิ จึงได้ชำระค่าตอบแทนจากการประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรให้แก่ ทอท.ในอัตรา 15%ของค่าบริการในการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรแก่ผู้ประกอบการรายย่อยด้วย จำนวน 0.45%ของยอดสินค้าที่ส่งมอบตามจริง
ตามข้อตกลงจ่ายค่าพื้นที่บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรซึ่งเป็นเพียงการ "ให้บริการ"และไม่ได้จำหน่ายสินค้าใด ๆ เกิดขึ้นภายในสุวรรณภูมิ
ยุคที่ 2 ช่วงปี 2554-2555 คณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.มีหนังสือถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยระบุจะขอแยก pick up counter ออกจากสัญญาเชิงพาณิชย์ แล้วให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นร้านดิวตี้ฟรีในเมืองมาทำแทน โดยจะเรียกเก็บ 3 %ของยอดสินค้าที่ส่งมอบแทนการเรียกเก็บ 15%ของค่าบริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร
ดังนั้นทาง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ได้ทำหนังสืออธิบายไปยัง ทอท. ไม่เห็นด้วยกับการแยก pick up counter ออกจากสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์มาตลอด จากนั้นในเดือนตุลาคม 2555 ทอท.มีหนังสือตอบ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ อนุญาตให้ประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรได้ไปพลาง ๆ ก่อน พร้อมทั้งกำหนดเรียกเก็บค่าตอบแทนใหม่อัตรา3%ของสินค้าปลอดอากรที่ส่งมอบ แต่ยังคงสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาแยกการประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาไว้
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทาง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จึงมีหนังสือตอบไปยัง ทอท.ต่อกรณีดังกล่าวระบุว่าบริษัทยินดีให้ปรับขึ้นค่าตอบแทนในการประกอบกิจการพื้นที่บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรเพิ่มเป็น 3 % ของยอดสินค้าส่งมอบสินค้าปลอดอากร แต่ยังคงยืนยันในข้อเท็จจริงทั้งทางเอกสารและทางพฤตินัยว่าการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ บริษัทฯ ได้รับสิทธิ์เพียงรายเดียวจากการเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าว
ยุคที่ 3 ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ทอท.มีหนังสือมาถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยแจ้งว่า “อนุญาตให้ pick up counter ยังคงอยู่ในสัญญาเชิงพาณิชย์ โดย ทอท.จะเรียกเก็บค่าตอบแทนในอัตรา3% ของยอดส่งมอบสินค้าปลอดอากร
นับจากนั้นเป็นต้นมาคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย คือ ทอท.กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จึงได้บรรลุถึงข้อยุติจากการเจรจา ที่ทำให้ ทอท.ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจาก “ค่าตอบแทนอัตราใหม่เพิ่มมากกว่า” จาก 0.45 % เป็น 3 %
ข่าวที่ 2 ททท.“โรม-มอสโก”เปิดแผนปั๊มรายได้ปี’61
หลังจาก “นายยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตอกย้ำภาพรวมแผนการตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยจะต้องเพิ่มทั้งจำนวนและรายได้ตลาดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ได้ไม่ต่ำกว่า 8 % ใช้การท่องเที่ยวในลักษณะค้นพบตัวเอง สร้างแรงงานบันดาลใจ นำเสนอเส้นทางเพื่อทุกกลุ่มเที่ยวได้หรือ tourism for All ซึ่งนำเสนอในสไตล์ NEW SHADE MILLION SHADE และผลักดัน “อาหารถิ่นสู่มิชลินสตาร์” เพื่อทำให้ความต้องการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทยในท้องถิ่นมีช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มรายได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสนองนโยบายรัฐบาลอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะ “ตลาดยุโรป” วางแผนจะจัดทำ The LinK ภาค 2 ขยายการจับคู่ ททท.สำนักงานภูมิภาคยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กับ ททท.สำนักงานในประเทศ เพิ่มจุดขายพื้นที่ท่องเที่ยว 12 เมืองต้องห้ามพลาด เพิ่มเข้าสู่ชุมชนเครือข่ายของสินค้าที่มีความโดดเด่นมากขึ้น ควบคู่กับการทำงานอีกในเวทีโลก โดยททท.ภูมิภาคยุโรปเดินหน้าลงนามความร่วมมือโดย MOU กับสายการบินชั้นนำของโลก เพื่อรักษาฐานการเติบโตของรายได้ไว้ให้มากที่สุด
ททท.-อิตาลีหาช่องพลิกแผนด้วย 3 กลยุทธ์เร่งด่วน
“นางสาวรุ่ง กาญจนวิโรจน์” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.สำนักงานโรม อิตาลี ดูแลพื้นที่ตลาดยุโรปใต้ อิตาลี สเปน โปรตุเกส อิสราเอล ตุรกี กล่าวว่า สถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ค่อนข้างท้าทาย เป็นกลุ่มท่องเที่ยวซ้ำ (repleater) 60 % เดินทางท่องเที่ยวอิสระ (F.I.T.) 40 % แนวโน้มจะเป็น F.I.T.เพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกประเทศที่เข้ามาไทย ตามแผนการตลาดปี 2561 จะต้องพยายามหาทางแก้ปัญหาแล้วเพิ่มทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพและรายได้ตลาดยุโรปใต้เข้ามาตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 5 %
โดยวางกลยุทธ์ทำการตลาดระยะเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่
1.ทำโครงการ Refreshing Thailand นำไทยแลนด์แบรนด์กระจายเข้าไปยังพื้นที่เมืองต่าง ๆ ทั้ง 5 ประเทศ
2.จัด Fam Trip นำตัวแทนบริษัทเอเย่นต์ท่องเที่ยว 100 ราย เข้ามาสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวใหม่และเก่า ระหว่าง 23-26 ตุลาคม 2560
3.เพิ่มส่วนแบ่งตลาดไมซ์อินเตอร์เนชั่นแนลและฮันนีมูน เข้ามาเสริมในช่วงนอกฤดูการเดินทาง (low season)
โดยเฉพาะสเปนสามารถเจาะทำการตลาดแบบไร้พรมแดนได้ ส่วนอิสราเอลต้องเพิ่มความเข้มข้นกลุ่มหลัก ๆ คือ ท่องเที่ยวเชิงกีฬา กลุ่มครอบครัว และฮันนีมูน
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานโรม ยืนยันว่า “อิตาลี”ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องมาหลายปี แต่สถิติปี 2559 จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยยังไม่ลดลงมากนักเพราะเป็นจุดหมายปลายทางคุ้มค่าเงิน สถิติ 2.6 แสนคน ขณะที่ “สเปน” มาไทย 1.68 แสนคน เริ่มผงกหัวพ้นจากหุบเหวมาแล้วผนวกกับเศรษฐกิจและการเมืองมั่นคง เริ่มเห็นสัญญาณคนต้องการเดินทางมากขึ้น “โปรตุเกส” มีประชากรน้อยขาดเที่ยวบินตรง ก็มาไทยประมาณ 4.6 หมื่นคน
สำหรับ “ตะวันออกกลาง” ดาวรุ่งคือ “อิสราเอล” มีจำนวน 1.6 แสนคน ผลพวงจากผลิตภัณฑ์รายได้มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตค่อนข้างแข็งแรง เพราะรายได้ภาคการเกษตรและดิจิตอลสูงมาก เศรษฐกิจขยายตัวสูงมาก โดยบริษัทตัวแทนนำเที่ยวแยกไทยเป็นประเทศเดี่ยว ๆ จำนวนปีที่ผ่านมาเพิ่ม 15 %
ทางด้าน “ตุรกี” เมื่อปีที่ผ่านมาเจอปัญหารุมเร้าร้อบด้าน แต่นักท่องเที่ยวกลุ่มระดับล่างถึงกลางกว่า 7.4 หมื่นคน แม้จะคุณภาพไม่สูงมากแต่ส่วนใหญ่พร้อมเดินทางเข้ามายังไทย หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมาเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางต่างประเทศ
ททท.รัสเซีย ตีปีกปี’61ตลาดโตไร้ขีดจำกัด
นางสาวเอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานมอสโก สาธารณรัฐรัสเซีย ดูแลพื้นที่ รัสเซีย กลุ่มประเทศ CIS มีเบลารูส คาซัคสถาน อุเบกิสถาน ไตกีสถาน อาเซอไบจัน กล่าวว่า ปี 2560 ตั้งเป้าหมายรัสเซียจะมาท่องเที่ยวไทยมากถึง 1.25 ล้าคน สถิติ 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงบวกเพิ่ม 30 % ตามแผนระหว่างวันที่ 20-26 สิงหาคม 2560 จะนำเอกชนไทยไปโร้ดโชว์เจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพในอาเซอไบจัน ส่วนภาพรวมของแต่ละประเทศแถบนี้ล้วนมีอนาคตสดใส
สะท้อนได้จากสภาพเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะคึกคักด้วยการเติบโตทางด้านการบริโภคซึ่งมีเครือซีพีตั้งโรงงานผลิตอาหารและโรงฆ่าสัตว์ในเมืองอาร์ตนาด้าในพื้นที่ 1.2 แสนไร่ และในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ในโรงงานชำแหละไก่จำหน่ายได้ถึงเดือนละ 2 ล้านตัว จากความต้องการบริโภคสูงขึ้นนั่นเอง ชาวรัสเซียมีกำลังการจ่ายสูงขึ้นและเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นอันดับต้น ๆ พื้นที่หลักขวัญใจรัสเซียยังคงเป็น พัทยา และเมืองชายทะเล
ปี 2561 ททท.สำนักงานมอสโก วางแผนทำกิจกรรม 1.เพิ่มจุดขายกิจกรรมที่รัสเซียแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวและตลาดแถบนี้ชื่นชอบ เพราะคู่แข่งสำคัญคือตุรกี 2.โหมการท่องเที่ยวเรือยอร์ชโดยจับมือกับสมาคมเรือยอร์ช เพราะชาวรัสเซียชอบเที่ยวเรือยอร์ชมาก 3.ขยายฐานตลาดฮันนีมูน เปิดเส้นทางใหม่จากเกาะสมุย ขยายไปยังเกาะพะงัน เน้นเติมเต็มการท่องเที่ยวช่วงนอกฤดูเดินทาง ด้วยการนำกิจกรรมสะดวกง่าย ๆ มานำเสนอขาย ผนวกกับกระตุ้นให้เพิ่มเที่ยวบินแบบประจำ เพราะตอนนี้มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) จากตลาดแถบนี้มากถึง 32 เมือง เข้ามายังไทย
4.ตลาดสุขภาพองค์รวมหรือ Health & Wellness ต้องรีบเข้าไปเจาะร่วมกับเอกชนไทยซึ่งเป็นเจ้าของโปรดักซ์ 5.ผู้หญิงวัยทำงาน 6.กลุ่มสูงวัย ซึ่งเดิมตอนรัสเซียยังปกครองแบบสังคมนิยมคนกลุ่มนี้ฐานะไม่ดี แต่พอเปิดประเทศแล้วทำให้การค้าขายเติบโตกลุ่มคนเหล่านี้กลายเป็นคนรวยรุ่นใหม่ที่พร้อมใช้เงินท่องเที่ยว
สำหรับการใช้จ่ายเงินของรัสเซียและตลาดที่อยู่ในความดูแล เฉลี่ยคนละ 70,000-80,000 บาท/คน/ทริป แต่ถ้าเจาะกลุ่มทัวร์สุขภาพจะทำค่าเฉลี่ยได้ถึง 120,000 บาท/คน/ทริป
ข่าวที่ 3 “ผู้นำบางจากชี้ซื้อหุ้นLACเพิ่มดันรายได้โต”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 บริษัท BCP Innovation Pte. Ltd. (BCPI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน Lithium Americas Corp. หรือ LAC ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต แคนาดา จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 0.85 ดอลลาร์แคนาดา รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 42.50 ล้านดอลลาร์แคนาดา ทำให้ BCPI ถือหุ้นใน LAC รวมเป็น 70 ล้านหุ้นหรือ 16.1 % ของทุนชำระแล้ว เพื่อขยายธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและนวัตกรรมพลังงาน ที่ได้ดำเนินโครงการเหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินาและสหรัฐอเมริกา
โดยสรุปบริษัท บางจากฯ ได้บรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาให้เงินกู้ยืมแก่ LAC ไม่เกิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสัญญาซื้อผลผลิตแร่ลิเทียมจากโครงการ Cauchari Olaroz เหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินาเป็นเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มต้นการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จำนวน 20 % ของกึ่งหนึ่งของผลผลิตแร่ลิเทียมในระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี
ปัจจุบัน Minera Exar อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ Cauchari Olaroz ซึ่งเป็นเหมืองลิเทียมในจังหวัด Jujuy อาร์เจนตินา มีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี ระยะแรกจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็นปีละ 50,000 ตัน ระยะที่ 2 ปี 2562 จะผลิตแร่ลิเทียมจากน้ำเกลือในเชิงพาณิชย์ด้วย รวมทั้ง LAC ได้พัฒนาเหมืองลิเทียมอีกแห่งหนึ่งในรัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกาด้วย
ข่าวที่ 4 “เที่ยวหน้าฝนเขาค้อ2งาน“เรนโค้ดมิวสิก-ปั่นชมหมอก”
นางสาวฐาปนีย์ เกียติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้จัดกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยวหน้าฝนโดยได้จัดชวนปั่นจักรยาน" ปั่นชมหมอก...กอดดอกไม้ " เพื่อชมความสวยงามตลอดเส้นทางเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจะสตาร์ทปล่อยตัวเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2560สามารถเข้าร่วมปั่นฟรีตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันงาน โดยสมัครผ่านทาง https://event.thaimtb.com
ตามกติกาผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นบุคคลผู้มีอายุ15 ปีขึ้นไป พร้อมทั้งจะต้องนำรถจักรยานประเภทใดก็ได้มาเอง แนะนำให้ใช้จักรยานเสือภูเขาซึ่งเหมาะกับสภาพของเนินเขา ระยะทางปั่น 16 กิโลเมตร รับไม่เกิน 1,000 คน แจกเสื้อจักรยานฟรีไซซ์พร้อมของที่ระลึกแก่ผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า 800 คนแรก
โดยจะจัดควบคู่กับกิจกรรมงาน Raincoat Music Fest 2017 ระหว่าง 4-5 สิงหาคม 2560 ที่ Jolly Land เขาค้อ เปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมงานช่วง 15.00 น.-17.30 น. ส่วนวันที่ 6 สิหาคม 2560 เวลา 6.00-8.00น.
ตลอดงานยังมีกิจกรรม RC Rally ลุ้นรางวัลใหญ่จักรยานเสือภูเขา และสนุกสนานกับกิจกรรมอีกมากมาย
“วิธีลงทะเบียนแทน” จะต้องนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้สมัครมาแสดงเท่านั้น ส่วน “รางวัลชนะเลิศชุดแฟนซี” รับไปเลยเงินสด 1,000 บาท และอีก 2 รางวัลรองชนะเลิศ 500 บาท
ติดตามความคืบหน้าก่อนถึงวันงานได้ที่ http://www.tourismthailand.org/thaifest
ข่าวที่ 5 “จิรุตถ์”ผู้นำTCEBคนใหม่ปฏิวัติไมซ์ขึ้นนำอาเซียน
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำองค์กรคนใหม่ได้จัดเตรียมแผนพัฒนาไมซ์ของประเทศตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นไปครอบคลุมทั้งในหลายมิติคือ
เรื่องที่ 1 การยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ (Meeting-Incentive-Convention-Exhibition :MICE) ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์อาเซียน โดยมีโครงการ ASEAN MICE VENUE STANDARD เป็นฐานสำคัญ เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้โดยตรงปี 2560 ทำให้ได้ถึง 1.55 แสนล้านบาท แบ่งเป็นไมซ์ต่างประเทศ 100,000 ล้านบาท ในประเทศ 50,000 ล้านบาท
จากนั้นในปี 2561 เติบโตเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 5 % โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ไมซ์ภายในประเทศให้มีสัดส่วนรายได้เกินกว่า 50 % ขยับขึ้นให้ได้ปีละ 70,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 50,000 ล้านบาท
สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจช่วงปี 2558 มีข้อมูลระบุว่าประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมไมซ์ 150,000 ล้านบาท สร้างงาน 164,000 ตำแหน่ง ทำให้รัฐได้รับภาษี 10,500 ล้านบาท และสร้างจีดีพีต่อหัวแรงงาน สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น 2.1 เท่า
เรื่องที่ 2 การบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องภาครัฐ เอกชน ทั้งภายในประเทศและทั่วโลก
เรื่องที่ 3 การบริหารจัดการงบประมาณที่จะเปลี่ยนแปลงหันมาเน้นใช้ประโยชน์เชิงรวมมากกว่าการสนับสนุนเหมือนอดีตที่ผ่านมา
เรื่องที่ 4 เข้าร่วมประมูลงานระดับนานาชาติแล้วกระจายไปจัดตามจังหวัดระดับรองและเขตเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้น นอกเหนือปัจจุบันยังกระจุกตัวอยู่ใน MICE CITY 5 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น พื้นที่เมืองรองสามารถจะขยายไมซ์ได้เพิ่มจะพิจารณาในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง พิษณุโลก และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อกระจายรายได้ถึงสู่ชุมชน ด้วยการเข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หน่วยงานชุมชน ทำการศึกษาวิจัย นำนวตกรรม เพื่อเพิ่มข้อมูลโดยการทำอีเวนต์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างธุรกิจแล้วเลือกไปจัดไมซ์ในแต่ละท้องถิ่น
โดยจะทำควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กรให้สอดรับกับพฤติกรรมตลาดไมซ์ในประเทศและทั่วโลก จึงเตรียมจัดตั้ง “หน่วยกลยุทธ์ไมซ์-Intelligent Unit” ขึ้นมาภายใน 3 เดือนข้างหน้าจะทยอยสรุปแนวทาง ระหว่างนี้จะร่วมหารือกับฝ่ายบริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากจะต้องเป็นหน่วยบุกนำข้อมูลวิจัยและพัฒนา หลอมรวม M-I-C-E ผนวกกับเป็นหน่วยค้นหาเทคโนโลยีทางนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาแนะนำให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ของไทย นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันร่วมกันนำประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำไมซ์อาเซียนได้
สำหรับการประมูลงานในต่างประเทศ ขณะนี้มีงานไฮไลต์จากตลาดไมซ์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมมาจัดในประเทศไทย ได้แก่
1. ASEAN Site of The DOC 2017- จะต้องคิดใหม่ จัดทำใหม่โดยให้งานนี้จัดประจำในไทยต่อเนื่องกัน 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นทีเส็บควรต้องช่วยหาพันธมิตร และผู้สนับสนุน อย่างมีประสิทธิภาพเข้ามาร่วมมาทำงานร่วมกันเป็นทีม
2.การจัดหาเมกะ อีเวนต์ เข้ามาจัดในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดจากการที่ผู้บริหาร TCEB ไปร่วมแข่งขันประมูลงาน Tour de France แล้วไปพบงานใหม่ของผู้จัดงานการแข่งขัน Mega EVent ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญจัดการแข่งขัน ทางTCEB มองเห็นถึงตลาดที่ใหญ่กว่าคนร่วมแข่งขันเฉพาะคนไทยแต่จะเชิญชวนมาจากทั่วอาเซียน แล้วทำให้เกิดการขยายเครือข่ายสร้างชื่อและรายได้
ขณะเดียวกันการทำ “ตลาดไมซ์ในประเทศ” ผ่านแคมเปญ “D-MICE” ก็ได้เข้าไป ส่งเสริมนโยบายประชารัฐกระจายงานและเงินการจัดงานไมซ์สู่ชุมชน เรื่อยไปจนถึงการทำ Social Age พัฒนาทางด้านการจัดงานไมซ์ด้วยดิจิตอล ทำให้นโยบาย กระจายความร่วมมือถ่ายทอดและส่งต่อเทคนิควิธีการจัดงานโดยลงไปถึงสถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษา ส่วนการสร้างมาตรฐานสถานที่จัดประชุมในประเทศเพื่อเป็นต้นแบบของ ASAEN MICE Venue Standart ปี 2561 มอบรางวัล ASAEN MICE Venue Standart ในงาน Asean Tourism Forum 2018 ที่เชียงใหม่ ด้วย
ปัจจุบันอันดับไทยในตลาดไมซ์นานาชาติ (Working Ranking by ICCA Statistics Report 2015) 1.International Meeting Country ไทยอยู่อันดับ 27 มีจำนวนการจัดประชุมรวม 151 งาน 2. International Meeting City กรุงเทพฯ อันดับ 16 มีจำนวนการจัดงานประชุม 103 งาน เชียงใหม่ติดอันดับ 163 มีจำนวนการจัดงาน 16 งาน พัทยา ติดอันดับ 263 มีจำนวนการจัดงาน 10 งาน
ปี 2559 Thailand Convention Ranking, จัดอันดับโดย ICCA ไทยติดอันดับ 24 มีจำนวนการจัดงาน 174 งาน ทิ้งห่าง “สิงคโปร์” ที่ตกไปอยู่อันดับ 28 มีการจัดงานเพียง 151 งาน
ช่วงที่ 2 ฤดูฝนนี้ตามรอยพระบาท วันธรรมดาวันเดียวเที่ยวได้ทั่ว “ฉะเชิงเทรา” แล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพกับ 3 ป้องกัน 3 เก็บ เลี่ยงไข้เลือดออก และแอร์ไลน์ทั้งไทยและเทศกำลังปรับกลยุทธ์หารายได้กันอุตลุด
@วันเดียวเที่ยวทั่วฉะเชิงเทราเก๋ไก๋ลึกซึ้ง
อากาศช่วงฤดูฝนพรำเย็นสบาย เหมาะจะออกเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา แล้วก็เลือกวางแผนไปชมเส้นทางตามรอยพระบาทใกล้กรุงใน “จังหวัดฉะเชิงเทรา” ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายแล้ว และภายในวันเดียวเที่ยวได้ครบทุกมุม
เริ่มจาก “ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน และโครงการพัฒนาส่วนพระองค์เขาหินซ้อน” อันเกิดขึ้นแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสร้างต้นแบบพื้นที่ทุกตารางนิ้วด้วยการพลิกสภาพพื้นที่แห้งแล้งจากที่ทำการเพาะปลูกพืชไม่ได้ให้ ให้กลายมาสมบูรณ์อีกครั้ง นำธรรมชาติกลับคืนสู่ประเทศชวนให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจแก่ผู้คนที่แวะเข้าไปเยี่ยมชม
จากนั้นก็ไปชม “ค้างคาวแม่ไก่ วัดโพธิ์บางคล้า” คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการดูค้างคาวต้องเป็นช่วงกลางคืน แต่ที่นี่มี “ค้างคาวตัวเป็น ๆ” ให้ชม “ช่วงกลางวัน” จำนวนนับไม่ถ้วนเกาะเกี่ยวห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ มองเห็นชัดเจน เป็นความมหัศจรรย์อีกแห่งของเมืองไทย
พอรู้สึกหิวก็แวะ “ตลาดน้ำบางคล้า” มีอาหารอร่อยในที่ตลาดริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนริมน้ำเรียบง่ายมีความสุข แถมจัดอาหารมาบริการให้นักท่องเที่ยวเลือกครบ อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึก ของฝาก สำหรับซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ด้วย
วันสบาย ๆ ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ออกมาสัมผัสวิถีไทย เก๋ไก๋ลึกซึ้ง ไปด้วยกัน
สนใจท่องเที่ยวเส้นทางตามรอยพระบาท จังหวัดฉะเชิงเทรา สอบถามได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานฉะเชิงเทรา โทร. 038-514-4009 หรือเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.tat8.com
@มาตรการ3ป้องกัน3เก็บปลอดไข้เลือดออก
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนนี้ มีฝนตกอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน เกิดน้ำขังตามภาชนะหรือวัสดุต่างๆ ทำให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามมา ประกอบกับในช่วงฤดูฝนของทุกปีก็เป็นช่วงระบาดของโรคไข้เลือดออกด้วย จึงขอแนะนำให้ประชาชนดูแลตนเองก่อนในเบื้องต้นด้วยการใช้มาตรการ “3 ป้องกัน 3 เก็บ”
3 การป้องกัน ประกอบด้วย
1. การป้องกันการถูกยุงกัด โดยทายากันยุง นอนในมุ้ง กำจัดยุงตัวเต็มวัยด้วยสเปรย์ ไม้ช็อตไฟฟ้า พร้อมกำจัดลูกน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในภาชนะที่มีน้ำใสและนิ่ง เช่น ถาดรองขาตู้ ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้
2. การเฝ้าระวังอาการของโรค เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หน้าแดง ผิวหนังเป็นจุดเลือด อาเจียน ปวดท้อง
3. การไปพบแพทย์เร็วเมื่อป่วยและมีไข้สูง เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรค และเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงไข้ลดหากเกิดอาการช็อกจากไข้เลือดออก ต้องรีบกลับไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หากช้าอาจทำให้เสียชีวิตได้
3 เก็บ ประกอบด้วย
1. เก็บบ้านให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง
2. เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
3. เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “นกสกู๊ตทุ่ม4โปรตลาดผู้หญิงตลอดส.ค.60”
สายการบินนกสกู๊ต รายงานว่าร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนโครงการ "Women's Journey Thailand August 2017" ให้ผู้หญิงทั่วโลกที่ใช้นกสกู๊ตรับส่วนลดและสิทธิพิเศษตลอดเดือนสิงหาคมนี้ ด้วย 4 โปรโมชั่น ประกอบด้วย
1.BUY 2 FOR MORE ซื้อตั๋วได้ราคาพิเศษเฉพาะผู้โดยสารผู้หญิงเท่านั้น ราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท เมื่อซื้อตั๋วอย่างน้อย 2 ใบขึ้นไป ระหว่าง 1 - 6 สิงหาคม 2560 แล้วนำไปใช้เดินทาง 1 สิงหาคม - 20 ธันวาคม 2560
2.FEMALE FREE FIVE ผู้โดยสารหญิงจะได้รับน้ำหนักโหลดกระเป๋าเพิ่มอีก 5 กิโลกรัม เมื่อเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ระหว่าง 11-13 สิงหาคม 2560แล้วซื้อน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัมขึ้นไป
3.MOMMYDAY SPECIAL ใช้ Promo Code "MOMMYDAY" เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแบบ FlyBag หรือ FlyBagEat ผ่านเว็บไซต์ นกสกู๊ต รับส่วนลด 10% ใช้ได้ตั้งแต่ 7 - 31 สิงหาคม 2560 ซื้อแล้วนำไปเดินทาง 7 สิงหาคม - 20 ธันวาคม 2560
4.LADY BOARD FIRST ผู้โดยสารผู้หญิงทุกคนจะได้รับสิทธิพิเศษขึ้นเครื่องก่อน (Priority Boarding) ในทุกเที่ยวบินระหว่าง 11-13 สิงหาคม 2560
สอบถามได้ที่ Call Center โทร 02-021-0000 หรือดูรายละเอียดที่www.womensjourney.tourismthailand.org
ข่าวที่สอง “นกแอร์”เลิกแจกฟรีหันขายขนม-อาหารลดขาดทุน
บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า เปลี่ยนแปลงบริการในเที่ยวบินตั้งแต่ 16 ก.ค. 2560 เป็นต้นไป จะแจกฟรีแต่น้ำดื่มนกชื่นใจและยกเลิกสแน็กทุกเที่ยวบิน พร้อมทั้งเริ่มเสิร์ฟอาหารร้อนพร้อมเสิร์ฟรับประทานบนเครื่อง เฉพาะเที่ยวบินที่บินด้วยเครื่องโบอิ้ง 737 ให้ผู้โดยสารเลือกสั่งในราคาคุณภาพได้จาก 6 เมนู ได้แก่ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ราคา 150 บาท (เมนูยอดนิยม) สปาเก็ตตี้ซอสไก่ 150 บาท ผัดหมี่ฮ่องกงเจ 150 บาท ข้าวเหนียวไก่ย่างสมุนไพร 175 บาท ข้าวผัดชาวเกาะ 190 บาท ข้าวปูผัดผงกะหรี่ 190 บาท
หลังจากยกเลิกเสิร์ฟสแน็กฟรีแล้ว นกแอร์ยังคงขายสแน็ก บะหมี่ โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่มร้อน-เย็น และสินค้าที่ระลึก ตามปกติ
ทั้งนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นกแอร์ประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้คณะกรรมการ (บอร์ด) นกแอร์ มีนโยบายให้ฝ่ายบริหารร่วมกันแก้ปัญหาโดยลดต้นทุนควบคู่กับปรับวิธีบริหารจัดการตลาดเร่งปลดภาระขาดทุนให้ได้เร็วที่สุด
ข่าวที่สาม “บินไทยใช้A350ชิงกำลังซื้อเทรนด์ใหม่ชู2โปรแพง”
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยฯ เปิดเผยว่า การบินไทยทำแผนจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A350 XWB ไว้ 12 ลำ แบ่งเป็นสั่งซื้อ 4 ลำ และเช่าซื้อ 8 ลำ A350 XWB เป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดของโลกในตระกูลลำตัวกว้างที่ทรงประสิทธิภาพ เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2560 เพิ่งจะบินไปรับเครื่องรุ่นนี้ลำที่ 5
โดยได้นำเครื่อง A350 มาบินบริการในเส้นทาง ไป-กลับ “ในประเทศ” จาก กรุงเทพฯ สู่ เชียงใหม่ และภูเก็ต “ต่างประเทศ” จากกรุงเทพฯ ปลายทาง แฟรงก์เฟิร์ต มิลาน โรม ดูไบ และกรุงเทพฯ-ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต
สำหรับฝูงบินแอร์บัส A350 XWB ได้ตกแต่งห้องโดยสารด้วยแนวคิดแบบไทยร่วมสมัย (Thai Contemporary) และมีระบบแสงที่สามารถปรับได้ตามบรรยากาศ (Mood Lighting) ด้วยแสง LED สร้างได้ถึง 16.7 ล้านเฉดสี พื้นที่เหนือศีรษะขยายมากขึ้นเพื่อลดความอึดอัดช่องเก็บสัมภาระ กระจกหน้าต่างกว้างขึ้น และมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในทุกระดับชั้นของการบริการ ขนาดบรรทุก 321 ที่นั่ง ประกอบด้วย
“ที่นั่งรอยัล ซิลค์ คลาส (Royal Silk Class)” หรือชั้นธุรกิจ 32 ที่นั่ง จัดวางให้มีระยะห่างระหว่างแถวที่นั่ง 41-46 นิ้ว แต่ละที่นั่งมีความกว้าง 21 นิ้ว สามารถปรับเอนนอนราบได้ 180 องศา จอโทรทัศน์ระบบสัมผัสขนาด 16 นิ้ว เชื่อมต่อระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย เพื่อฟังเพลง ชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และเล่นเกมส์ รวมถึงบริการ Wi-Fi ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
“ที่นั่งชั้นประหยัด (Economy Class)” 289 ที่นั่ง มีระยะห่างระหว่างแถวที่นั่ง 32 นิ้ว แต่ละที่นั่งมีความกว้าง 18 นิ้ว ติดตั้งจอโทรทัศน์ระบบสัมผัสขนาด 11 นิ้ว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย เพื่อฟังเพลง ชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เล่นเกมส์ รวมถึงบริการ Wi-Fi ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
นอกจากนี้การบินไทย ยังทำแพกเกจโปรโมชั่นในช่วงกรกฎาคม 2560 เปิดให้จองราคาพิเศษ 2 แพกเกจ ราคากว่าคนละแสนบาท คือ 1. The Charmin of Iran 9 วัน 7 คืน ราคาเริ่มต้นที่คนละ 113,000 บาท กำหนดเดินทาง 10-18 สิงหาคม 2560 และ 14-22 กันยายน นี้ 2.อินเดีย มหาราชา เยือนราชสถาน ชมความงดงามอลังการของรัฐราชสถานดินแห่งมหาราชา กับ อ.เผ่าทอง ทองเจือ 8 วัน 6 คืน ราคาเริ่มต้นคนละ 111.900 บาท เดินทาง 23-30 กันยายน 2560 สอบถามที่ 02-288-7335
ข่าวที่สี่ “เตอร์กีสแอร์บินแล้วอิสตัลบูล-ภูเก็ต”4เที่ยว/สัปดาห์
Mr. Bilal Eksi รองประธานกรรมการและซีอีโอของเตอร์กิช แอร์ไลน์ กล่าวว่าได้เปิดปฐมฤกษ์ ในเส้นทางบินแบบประจำ อิสตันบูล-ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป สัปดาห์ละ 4 เที่ยว ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ด้วยเวลาท้องถิ่นและรหัสเที่ยวบิน TK 172 จันทร์, พฤหัสบดี เสาร์ อาทิตย์ ออกจาก อิสตัลบูล 14.30 ถึงภูเก็ต04.00 (+1) และ TK 173 จันทร์, อังคาร ศุกร์, อาทิตย์ ออกจากภูเก็ต 05:30 ถึงอิสตัลบูล 12:00 น.
ค่าตั๋วโดยสารไป-กลับ อิสตันบูล-ภูเก็ต ช่ววโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 569 ดอลลาร์สหรัฐ (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม)
พร้อมกันนี้ เตอร์กิช คาร์โก ยังได้เปิดตัวเที่ยวบินขนส่งสินค้ามายังภูเก็ตด้วย เพื่อช่วยส่งเสริมการส่งออกและนำเข้าสินค้าทางอากาศได้อีกช่องทาง
ติดตามฟังและอ่านข่าวของทางรายการเป็นประจำได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง สวท. FM 97.0 MHz.
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ททท.เปิดตัวเลขไตรมาส3ปี60ท่องเที่ยวทำรายได้7แสนล้านบาท
อุตฯท่องเที่ยวกวาดงินไม่ยั้งไตรมาส3ปี'60โกย7แสนล้าน
รายได้ตลาดต่างชาติ4.6แสนล้าน-ในประเทศ2.4แสนล้าาน
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Amazingthailand #thaifest #เที่ยววิถีไทย #thailandproduct
หน่วย Intelligent Unit ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศประเทศไทย (ททท.) ได้จัดทำวิจัยข้อมูลสถานการณ์ท่องเที่ยวภาพรวมไตรมาส 3 ระหว่างเดือนกรกฏาคม-กันยายน 2560 ก่อนปิดปีงบประมาณ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีปัจจัยหนุนที่จะทำให้สร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท
จากตลาดนักท่องตล่างประเทศเที่ยวเมืองไทย 4.6 แสนล้านบาท และ คนไทยเที่ยวในประเทศ อีก 2.4 แสนล้านบาท
รายได้ตลาดต่างชาติ4.6แสนล้าน-ในประเทศ2.4แสนล้าาน
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Amazingthailand #thaifest #เที่ยววิถีไทย #thailandproduct
หน่วย Intelligent Unit ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศประเทศไทย (ททท.) ได้จัดทำวิจัยข้อมูลสถานการณ์ท่องเที่ยวภาพรวมไตรมาส 3 ระหว่างเดือนกรกฏาคม-กันยายน 2560 ก่อนปิดปีงบประมาณ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีปัจจัยหนุนที่จะทำให้สร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท
จากตลาดนักท่องตล่างประเทศเที่ยวเมืองไทย 4.6 แสนล้านบาท และ คนไทยเที่ยวในประเทศ อีก 2.4 แสนล้านบาท
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ทททท.เปิดแผนท่องเที่ยวปี'61 -จีน ฮ่องกง จอเมริกา มาแรง
เจาะลึก! โร้ดแมฟททท.ปี 2561 ต้องโต8%
รวมพลังรัฐ-เอดชนสร้างรายได้น3.1ล้านล้าน
ตลาดพันธุ์ใหม่มาแรง“จีน-ฮ่องกง-อเมริกา”
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Amazingthailand #thiafest #tourismproduct #เที่ยววิถีไทย
ในการประชุมผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อระดมสมองจัดทำแผนกลยุทธ์ตลาดการท่องเที่ยวประจำปี 2561 ที่จะนำมาใช้ระหว่าง 1 ตุลาคม 2560- 30 กันยายน 2561 ทุกฝ่ายพร้อมรวมพลังกันเพิ่มรายได้ท่องเที่ยวไหลลงสู่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศรวม 3.1 ล้านล้านบาท จากตลาดต่างประเทศ 2.1 ล้านล้านบาท และคนไทยเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท สร้างคุณค่าและมูลค่า ตามนโยบาย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
2561ปีท่องเที่ยว 4.0กับเป้าท้าทาย 3.1 ล้านล้าน
“นายยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าพร้อมเป็นผู้นำองค์กรร่วมมือกับหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนปฏิบัติตามนโยบาย “พลเอกธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร” รองนายกรัฐมนตรี และ “นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ผลักดันการท่องเที่ยวของไทยเข้าถึงเป้าหมายนำรายได้สู่เศรษฐกิจท้องถิ่นกระจายเม็ดเงินถึงชุมชนให้ได้ 3.1 ล้านล้านบาท สร้างความยั่งยืนไทยแลนด์ 4.0 ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม
โดยเตรียมบริหารจัดการทำงานตามคอนเซ็ปต์ “THINK BIG-คิดนอกกรอบภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ” ตามแผนแม่บท 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับ 12 (พ.ศ.2560-2564) นำศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากทำ “การตลาด” ให้เติบโตแล้วยังเน้น “เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน” ให้อยู่อันดับต้น ๆ ในเวทีโลก
ขณะนี้ได้ปลุกพลัง ททท.ทุกสำนักงานหลอมความคิดร่วมมือประสานกับภาครัฐและเอกชนสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ใช้ THINK BIG ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศด้วยนวัตกรรมความคิดสร้างสรรด้านผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวและเครื่องมือใหม่ทางการตลาด เพิ่มรายได้ตลอดปี 2561 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันได้ไม่ต่ำกว่า 10 %
ผ่ากลยุทธ์ THINK BIG ตลาดไทย-เทศดูดทัวร์คุณภาพสู่ชุมชน
เริ่มจาก “ตลาดต่างประเทศ” ปี 2561 ททท.ทุกสำนักงานทั่วโลก จะต้องมุ่ง 4 ภารกิจ ประกอบด้วย 1. “เพิ่มรายได้ต่อคนต่อทริป” รุกหาตลาดกำลังซื้อสูงเข้ามาพักนานวันขึ้น 2.เร่งขยายฐานนักท่องเที่ยวเดินทางครั้งแรก (first visit) โดยรักษาตลาดหลักอย่างจีนไว้ซึ่งมาไทยประมาณปีละ 1 ใน 3 ของต่างชาติทั้งหมด 3.ให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียน ผนวกเพิ่มเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง 1 เส้นทาง 2 ประเทศ (2 Countries 1 Destination) ส่งเสริมให้วันหยุดของไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของเพื่อนบ้าน weekend destination 4.สร้างจุดขายเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่จังหวัดรองทางการท่องเที่ยวเพิ่มมากที่สุด
ด้าน “ตลาดในประเทศ” สำนักงาน ททท.ทั่วไทยจะต้องใช้กลยุทธ์ “เพิ่มความถี่การท่องเที่ยว” ตลอดทั้งปี โดยผนวกส่งเสริมการท่องเที่ยวผสมผสานทั้ง “การจัดประชุมสัมมนา” และ “การท่องเที่ยวเชิงการศึกษา” ไฮไลต์การพัฒนาตลาดจะต้องทำให้คนไทยเที่ยวในประเทศ สร้างประโยชน์แก่ท้องถิ่นให้ความสำคัญกับ “ชุมชน” เพื่อ “สร้างคุณค่า “กระจายรายได้-สร้างงาน สู่ท้องถิ่น” เต็มที่
ปี 2561 เมื่อรัฐบาลประกาศเป็น “ปีการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ททท.ยิ่งต้องทำงานหนักอีก 6 เรื่อง ได้แก่ 1.เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 2.คำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดทางสังคมเชิงคุณภาพ ผสมผสานเข้ากับมาตรการตลาดที่คำนึงถึงเศรษฐกิจและชุมชนเป็นสำคัญ ใช้งบประมาณอย่างความคุ้มค่า 3. ทำให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือการพัฒนาความยั่งยืนทางทรัพยากรธรรมชาติ เที่ยวไทยใจต้องถึงถิ่น เที่ยวอย่างเข้าใจ เข้าถึง 4.นำ “ศาสตร์พระราชา” มาปรับใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรู้คุณค่าในระยะยาว 5.เตรียมความพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดี 6.สร้างการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอาเซียน 2 ประเทศ 1 เส้นทาง 2 Countries 1 destination อย่างจริงจัง รวมทั้งการส่งเสริม “ท่องเที่ยวชายแดน” ให้คนเดินทางข้ามไปมาช่วงวันหยุดแต่ละสัปดาห์สร้าง good neighbor อย่างชัดเจน
ควบคู่การต่อยอด “ท่องเที่ยว วิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร” และ “ท่องเที่ยวเมืองไทย เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง : Local Experience” ต้องส่งเสริมต่อเนื่องลงลึกรายละเอียดมากขึ้น กำลังคิดชื่อแคมเปญใหม่ ให้ลงลึกถึงการท่องเที่ยวระดับรากหญ้า รากแก้ว เพื่อให้การท่องเที่ยวใกล้ชิดกับชุมชนมากขึ้น
ส่วน “ผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว” กลุ่มโอท็อปและสินค้าประชารัฐต่าง ๆ ททท.จะทำงานใกล้ชิดกับ “องค์การพัฒนาชุมชน-อพช.” คัดเลือกชุมชนที่จะพัฒนามีความพร้อมผลิตสินค้าป้อนนักท่องเที่ยว โดยใช้ “การตลาด” เป็นตัวนำเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าชุมชนเป็นหลัก
จีน 3 มณฑลใหญ่ให้ยาแรงปั๊ม 4 ตลาดคุณภาพโต10%
“นายจรัญ ชื่นในธรรม” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเฉินตู สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ดูแลพื้นที่ทางภาคตะวันตกแถบมณฑล เฉินตู เสฉวน ส่านซี ปี 2561 วางกลยุทธ์เพิ่มรายได้กว่า 10 % โดยมีสายการบินสนับสนุนให้บริการบินไป-กลับ สัปดาห์ละกว่า 100,000 ที่นั่ง ประมาณพฤศจิกายน 2560 จะบินตรงเพิ่มเข้าสมุยอีก 2 สายการบิน คือ บางกอกแอร์เวย์ส และลักกี้แอร์ไลน์ส
ส่วนการทำตลาดเชิงรุกพุ่งเป้าเจาะกลุ่มเซ็กเมนท์เชิงลึก 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
กลุ่มแรก “Luxury-ท่องเที่ยวหรูหรา” ในเฉินตูกับฉงชิ่ง ประชากรมีฐานะดีหรือเศรษฐีจำนวนเพิ่มขึ้น สนใจมาเที่ยวเมืองไทยเพราะแม่เหล็กสำคัญ คือ ราคาเป็นธรรมและระยะเวลาเดินทางไม่ไกลเมื่อเปรียบเทียบกับไปเที่ยวยุโรป ซึ่งตอนนี้เรื่องความปลอดภัยแตกต่างจากไทย
กลุ่มที่สอง “Honeymoon-คู่รักฉลองแต่งงาน” เมืองต่าง ๆ ในจีนมีค่านิยมใหม่เมื่อแต่งงานต้องเดินทางไปฉลองยังต่างประเทศ 1 ครั้ง ปีที่แล้วมีคู่แต่งงานประมาณ 10 ล้านคู่ 80 % นิยมซื้อแพกเกจต่างประเทศจึงเป็นโอกาสของไทยด้วย
กลุ่มที่สาม “ครอบครัว” ขณะนี้จีนมีปัญหามลพิษสูง จึงนิยมพาลูกหลานมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเพื่อหนีหนาวและมลพิษ
กลุ่มที่สี่ “นักท่องเที่ยวเชิงกีฬา” โดยเฉพาะในเฉินตู ฉงชิ่ง นิยมร่วมวิ่งมาราธอนเป็นจำนวนมากเหมาะจะเชิญชวนมาวิ่งในไทย
ส่วน “แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม” ยังคงเป็นเมืองชายทะเล ทั้ง ภูเก็ต กระบี่ พัทยา เกาะช้าง (ตราด) และสมุย (สุราษฎร์ธานี) และจะกระจายตัวจากเมืองหลัก ภูเก็ต กระบี่ ไปสู่เมืองรอง เกาะหลีเป๊ะ ตรัง ด้านทะเลตะวันออก เริ่มกระจายจากพัทยา ไปเกาะเสม็ด และเกาะช้างจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวตลาดหรูของจีน ทางภาคเหนือเชียงใหม่ยังได้อานิสงจากภาพยนตร์ Lost in Thailand บวกกับวัฒนธรรมและสภาพภูมิภาอากาศไม่ได้ร้อนมากจีนจึงชอบมาเที่ยว
“การส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวชุมชน” มุ่งเจาะตลาด “ครอบครัวคนจีน” ประชากรแถบตะวันตกอาศัยอยู่ในเมืองนิยมพาเด็กเล็กไปเรียนรู้ชนบท ททท.จึงเสนอขายวิถีไทย ได้แก่ เส้นทางที่ 1 หมู่บ้านไทยที่ สามพราน ริเวอร์ไซต์ นครปฐม พาไปทดลองปลูกข้าวชมวิถีชีวิตการเกษตรไทย ต่อไปถึงอัมพวา หัวหิน เส้นทางที่ 2 เรียนรู้วัฒนธรรมเมืองเก่า พระนครศรีอยุธยา และอยู่แคมปที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เชิญชวนเด็กเล็กไปเรียนรู้การทำฟาร์มวัวนม เส้นทางที่ 3 ฝั่งทะเลตะวันออก พัทยา แวะนครนายก พาเด็ก ๆ จีแต่ละครอบครัวได้สัมผัสวิถีไทยในอีกรูปแบบ
อเมริกานักเที่ยวมิลเลนเนียมพันธุ์ใหม่ FOMO โตไม่ยั้ง
รวมพลังรัฐ-เอดชนสร้างรายได้น3.1ล้านล้าน
ตลาดพันธุ์ใหม่มาแรง“จีน-ฮ่องกง-อเมริกา”
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Amazingthailand #thiafest #tourismproduct #เที่ยววิถีไทย
ในการประชุมผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อระดมสมองจัดทำแผนกลยุทธ์ตลาดการท่องเที่ยวประจำปี 2561 ที่จะนำมาใช้ระหว่าง 1 ตุลาคม 2560- 30 กันยายน 2561 ทุกฝ่ายพร้อมรวมพลังกันเพิ่มรายได้ท่องเที่ยวไหลลงสู่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศรวม 3.1 ล้านล้านบาท จากตลาดต่างประเทศ 2.1 ล้านล้านบาท และคนไทยเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท สร้างคุณค่าและมูลค่า ตามนโยบาย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
2561ปีท่องเที่ยว 4.0กับเป้าท้าทาย 3.1 ล้านล้าน
![]() |
ยุทธศักดิ์สุภสร ผู้ว่าการ ททท. |
“นายยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าพร้อมเป็นผู้นำองค์กรร่วมมือกับหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนปฏิบัติตามนโยบาย “พลเอกธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร” รองนายกรัฐมนตรี และ “นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ผลักดันการท่องเที่ยวของไทยเข้าถึงเป้าหมายนำรายได้สู่เศรษฐกิจท้องถิ่นกระจายเม็ดเงินถึงชุมชนให้ได้ 3.1 ล้านล้านบาท สร้างความยั่งยืนไทยแลนด์ 4.0 ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม
โดยเตรียมบริหารจัดการทำงานตามคอนเซ็ปต์ “THINK BIG-คิดนอกกรอบภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ” ตามแผนแม่บท 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับ 12 (พ.ศ.2560-2564) นำศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากทำ “การตลาด” ให้เติบโตแล้วยังเน้น “เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน” ให้อยู่อันดับต้น ๆ ในเวทีโลก
ขณะนี้ได้ปลุกพลัง ททท.ทุกสำนักงานหลอมความคิดร่วมมือประสานกับภาครัฐและเอกชนสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ใช้ THINK BIG ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศด้วยนวัตกรรมความคิดสร้างสรรด้านผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวและเครื่องมือใหม่ทางการตลาด เพิ่มรายได้ตลอดปี 2561 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันได้ไม่ต่ำกว่า 10 %
ผ่ากลยุทธ์ THINK BIG ตลาดไทย-เทศดูดทัวร์คุณภาพสู่ชุมชน
เริ่มจาก “ตลาดต่างประเทศ” ปี 2561 ททท.ทุกสำนักงานทั่วโลก จะต้องมุ่ง 4 ภารกิจ ประกอบด้วย 1. “เพิ่มรายได้ต่อคนต่อทริป” รุกหาตลาดกำลังซื้อสูงเข้ามาพักนานวันขึ้น 2.เร่งขยายฐานนักท่องเที่ยวเดินทางครั้งแรก (first visit) โดยรักษาตลาดหลักอย่างจีนไว้ซึ่งมาไทยประมาณปีละ 1 ใน 3 ของต่างชาติทั้งหมด 3.ให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียน ผนวกเพิ่มเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง 1 เส้นทาง 2 ประเทศ (2 Countries 1 Destination) ส่งเสริมให้วันหยุดของไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของเพื่อนบ้าน weekend destination 4.สร้างจุดขายเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่จังหวัดรองทางการท่องเที่ยวเพิ่มมากที่สุด
ด้าน “ตลาดในประเทศ” สำนักงาน ททท.ทั่วไทยจะต้องใช้กลยุทธ์ “เพิ่มความถี่การท่องเที่ยว” ตลอดทั้งปี โดยผนวกส่งเสริมการท่องเที่ยวผสมผสานทั้ง “การจัดประชุมสัมมนา” และ “การท่องเที่ยวเชิงการศึกษา” ไฮไลต์การพัฒนาตลาดจะต้องทำให้คนไทยเที่ยวในประเทศ สร้างประโยชน์แก่ท้องถิ่นให้ความสำคัญกับ “ชุมชน” เพื่อ “สร้างคุณค่า “กระจายรายได้-สร้างงาน สู่ท้องถิ่น” เต็มที่
ปี 2561 เมื่อรัฐบาลประกาศเป็น “ปีการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ททท.ยิ่งต้องทำงานหนักอีก 6 เรื่อง ได้แก่ 1.เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 2.คำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดทางสังคมเชิงคุณภาพ ผสมผสานเข้ากับมาตรการตลาดที่คำนึงถึงเศรษฐกิจและชุมชนเป็นสำคัญ ใช้งบประมาณอย่างความคุ้มค่า 3. ทำให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือการพัฒนาความยั่งยืนทางทรัพยากรธรรมชาติ เที่ยวไทยใจต้องถึงถิ่น เที่ยวอย่างเข้าใจ เข้าถึง 4.นำ “ศาสตร์พระราชา” มาปรับใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรู้คุณค่าในระยะยาว 5.เตรียมความพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดี 6.สร้างการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอาเซียน 2 ประเทศ 1 เส้นทาง 2 Countries 1 destination อย่างจริงจัง รวมทั้งการส่งเสริม “ท่องเที่ยวชายแดน” ให้คนเดินทางข้ามไปมาช่วงวันหยุดแต่ละสัปดาห์สร้าง good neighbor อย่างชัดเจน
ควบคู่การต่อยอด “ท่องเที่ยว วิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร” และ “ท่องเที่ยวเมืองไทย เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง : Local Experience” ต้องส่งเสริมต่อเนื่องลงลึกรายละเอียดมากขึ้น กำลังคิดชื่อแคมเปญใหม่ ให้ลงลึกถึงการท่องเที่ยวระดับรากหญ้า รากแก้ว เพื่อให้การท่องเที่ยวใกล้ชิดกับชุมชนมากขึ้น
ส่วน “ผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว” กลุ่มโอท็อปและสินค้าประชารัฐต่าง ๆ ททท.จะทำงานใกล้ชิดกับ “องค์การพัฒนาชุมชน-อพช.” คัดเลือกชุมชนที่จะพัฒนามีความพร้อมผลิตสินค้าป้อนนักท่องเที่ยว โดยใช้ “การตลาด” เป็นตัวนำเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าชุมชนเป็นหลัก
จีน 3 มณฑลใหญ่ให้ยาแรงปั๊ม 4 ตลาดคุณภาพโต10%
นายจรัญ ชื่นในธรรม” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเฉินตู สาธารณรัฐประชาชนจีน |
“นายจรัญ ชื่นในธรรม” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเฉินตู สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ดูแลพื้นที่ทางภาคตะวันตกแถบมณฑล เฉินตู เสฉวน ส่านซี ปี 2561 วางกลยุทธ์เพิ่มรายได้กว่า 10 % โดยมีสายการบินสนับสนุนให้บริการบินไป-กลับ สัปดาห์ละกว่า 100,000 ที่นั่ง ประมาณพฤศจิกายน 2560 จะบินตรงเพิ่มเข้าสมุยอีก 2 สายการบิน คือ บางกอกแอร์เวย์ส และลักกี้แอร์ไลน์ส
ส่วนการทำตลาดเชิงรุกพุ่งเป้าเจาะกลุ่มเซ็กเมนท์เชิงลึก 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
กลุ่มแรก “Luxury-ท่องเที่ยวหรูหรา” ในเฉินตูกับฉงชิ่ง ประชากรมีฐานะดีหรือเศรษฐีจำนวนเพิ่มขึ้น สนใจมาเที่ยวเมืองไทยเพราะแม่เหล็กสำคัญ คือ ราคาเป็นธรรมและระยะเวลาเดินทางไม่ไกลเมื่อเปรียบเทียบกับไปเที่ยวยุโรป ซึ่งตอนนี้เรื่องความปลอดภัยแตกต่างจากไทย
กลุ่มที่สอง “Honeymoon-คู่รักฉลองแต่งงาน” เมืองต่าง ๆ ในจีนมีค่านิยมใหม่เมื่อแต่งงานต้องเดินทางไปฉลองยังต่างประเทศ 1 ครั้ง ปีที่แล้วมีคู่แต่งงานประมาณ 10 ล้านคู่ 80 % นิยมซื้อแพกเกจต่างประเทศจึงเป็นโอกาสของไทยด้วย
กลุ่มที่สาม “ครอบครัว” ขณะนี้จีนมีปัญหามลพิษสูง จึงนิยมพาลูกหลานมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเพื่อหนีหนาวและมลพิษ
กลุ่มที่สี่ “นักท่องเที่ยวเชิงกีฬา” โดยเฉพาะในเฉินตู ฉงชิ่ง นิยมร่วมวิ่งมาราธอนเป็นจำนวนมากเหมาะจะเชิญชวนมาวิ่งในไทย
ส่วน “แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม” ยังคงเป็นเมืองชายทะเล ทั้ง ภูเก็ต กระบี่ พัทยา เกาะช้าง (ตราด) และสมุย (สุราษฎร์ธานี) และจะกระจายตัวจากเมืองหลัก ภูเก็ต กระบี่ ไปสู่เมืองรอง เกาะหลีเป๊ะ ตรัง ด้านทะเลตะวันออก เริ่มกระจายจากพัทยา ไปเกาะเสม็ด และเกาะช้างจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวตลาดหรูของจีน ทางภาคเหนือเชียงใหม่ยังได้อานิสงจากภาพยนตร์ Lost in Thailand บวกกับวัฒนธรรมและสภาพภูมิภาอากาศไม่ได้ร้อนมากจีนจึงชอบมาเที่ยว
“การส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวชุมชน” มุ่งเจาะตลาด “ครอบครัวคนจีน” ประชากรแถบตะวันตกอาศัยอยู่ในเมืองนิยมพาเด็กเล็กไปเรียนรู้ชนบท ททท.จึงเสนอขายวิถีไทย ได้แก่ เส้นทางที่ 1 หมู่บ้านไทยที่ สามพราน ริเวอร์ไซต์ นครปฐม พาไปทดลองปลูกข้าวชมวิถีชีวิตการเกษตรไทย ต่อไปถึงอัมพวา หัวหิน เส้นทางที่ 2 เรียนรู้วัฒนธรรมเมืองเก่า พระนครศรีอยุธยา และอยู่แคมปที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เชิญชวนเด็กเล็กไปเรียนรู้การทำฟาร์มวัวนม เส้นทางที่ 3 ฝั่งทะเลตะวันออก พัทยา แวะนครนายก พาเด็ก ๆ จีแต่ละครอบครัวได้สัมผัสวิถีไทยในอีกรูปแบบ
อเมริกานักเที่ยวมิลเลนเนียมพันธุ์ใหม่ FOMO โตไม่ยั้ง
![]() |
นายกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง” |
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
“นายกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า อเมริกาเป็นตลาดสำคัญจะมาเที่ยวเมืองไทยปี 2561 มากถึง 1 ล้านคน ทำให้รายได้เติบโตเพิ่มกว่า 15 % จากเดิมเคยหวั่นนโยบายผู้นำสหรัฐคือโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งโลกนั้นตลอด 6 เดือนปีนี้ได้พิสูจน์ชัดโดยนักท่องเที่ยวอเมริกามาไทยเพิ่มสูงกว่าเกณฑ์ทำรายได้เติบโต 19 % อนาคตจะสดใสในระยะยาว ปี 2561 เป้ารายได้ก็ยังจะเพิ่มอีก 15 %
โดยเจาะกลุ่ม “อเมริการุ่นใหม่” (Millenial ) จากการศึกษาโครงสร้างประชากรปัจจุบันของสหรัฐอเมริกามีกลุ่มวัยคนรุ่นใหม่มากถึง 90 ล้านคน 40 % ชอบเดินทางท่องเที่ยวแนวโน้มยังใช้เงินสูงขึ้น เป็นเทรนด์ที่เรียกว่า “FOMO : Fear of Meeting Opputunity” พฤติกรรมคนอเมริการุ่นใหม่กลัวพลาดโอกาสและห้ามขาดร่วมทำกิจกรรมของโลก โดยเฉพาะกิจกรรมที่ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียวในประเทศไทย
อีกทั้งสายการบินอินเตอร์ยังเพิ่มความถี่จากอเมริกาสู่ประเทศแถบเอเชียมากขึ้นหลัก ๆ คือ “EVA AIR” ไต้หวัน มาจากอเมริกาเหนือเข้าเอเชียสัปดาห์ละ 90 เที่ยวบิน และจากไทเป (ไต้หวัน) เข้าไทย สัปดาห์ละ 30 เที่ยวบิน ไม่รวมสายการบินระหว่างประเทศรายอื่น ๆ อาทิ ANA โค้ดแชร์สายการบินต่าง ๆ กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ซึ่งมีจำนวนมากระหว่าง อเมริกา-เอเชีย สัปดาห์ละกว่า 100 เที่ยวบิน ส่วนใหญ่จะบินต่อจากเมืองหลัก ไทเป กรุงโซล และญี่ปุ่น เข้าไทย ไม่เฉพาะกรุงเทพฯ เท่านั้น ยังบินไปเชียงใหม่ ภูเก็ต ด้วย จึงเป็นโอกาสของไทยจะใช้ประโยชน์จากเที่ยวบินเชื่อมโยงจำนวนมากอย่างเต็มที่
ส่วนปีการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2561 ททท.ลอสแองเจลิสจะรุกหนักเพิ่มตลาดคนรุ่นใหม่อเมริกาซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงินโดยไม่ต้องผ่านบริษัทตัวกลางการท่องเที่ยว (travel Agency) เหมือนอดีต แต่ละคนจ่ายทริปละ 70,000 บาท ต่อไปนี้เงินดอลลาร์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในชุมชนท่องเที่ยวไทยโดยตรงจึงเท่ากับเพิ่มคุณค่าและมูลค่าสู่ท้องถิ่นได้มากกว่า
ตลาดฮ่องกงเฮเพิ่ม“ผู้หญิง-วัยรุ่น-เมาเท่นมาราธอน”
นางสาวสาริมา ทองจินดามาตย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานฮ่องกง เปิดเผยว่าสถานการณ์ 5 เดือนแรก มกราคม-พฤษภาคม 2560 ชาวฮ่องกงมาท่องเที่ยวเมืองไทยกว่า 3 แสนคน เพิ่มขึ้น 6.4 % จากประชากรรวม 7.3 ล้านคน ปี 2559 มาเที่ยว 7.5 แสนคน คิดเป็น 10 % ของประชากรฮ่องกงทั้งหมด เป็นตลาดระยะใกล้ใช้เวลาบินราว 3 ชั่วโมง
พฤติกรรมของชาวฮ่องกงชอบท่องเที่ยว แต่พื้นที่ในเกาะมีจำกัด และเมืองไทยเป็นสถานที่ยอดนิยมมาซ้ำ ๆ ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา ถึง 80 % และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียง 20 % ดังนั้นจะเสนอจุดขายใหม่ ๆ ทั้งในเมืองหลักที่มาซ้ำและจังหวัดใหม่ ๆ ปีนี้มีสายการบินตรง เช่น เอ็กซ์เพรสแอร์ไลน์ บินตรง ฮ่องกง-เชียงราย กระจายเส้นทางไปภาคเหนือ ซึ่งสามารถขยายให้ไปยังเมืองท่องเที่ยวรองและเมืองย่อยในไทยได้
วัยนักท่องเที่ยวกลุ่มมิลเลนเนียล นับเป็นกลุ่มใช้จ่ายสูง จากฐานเงินเดือนจ้างงานระดับปริญญา มีรายได้คนละ 60,000 บาท/เดือน ส่วนค่าครองชีพสูง คนวัยทำงานจึงนิยมท่องเที่ยวตักตวงความสุข สถิติการใช้จ่ายเงินเที่ยวในไทยเฉลี่ย 6,120 คนต่อวัน วันพักเฉลี่ย 6.4 วัน ชอบพักโรงแรม 5 ดาว
เทรนด์การเดินทางระยะสั้น 2-3 ชั่วโมง จึงเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์ราคาประหยัด แล้วนำเงินมาใช้จ่ายเกี่ยวกับห้องพักหรูและกินอาหารแพง ๆ ในพื้นที่ซึ่งมีรสชาติอร่อย และทำสปาเพื่อการผ่อนคลายและสวยงามสามารถใช้เงินทำสปาได้ทุกวัน เป็นการให้รางวัลแก่ชีวิต โดยเฉพาะศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาวก็มาเมืองไทย
ททท.ฮ่องกงมีโปรแกรม Galsaway Application เป็นภาษากวางตุ้ง เจาะกลุ่มผู้หญิงโดยเฉพาะ ด้วยการนำโปรโมชั่นจาก ททท.ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก อัพเดทต่อเนื่อง เพราะผู้หญิงมี 54 % ผู้ชาย 46 % ผู้หญิงจึงเป็นกลุ่มศักยภาพและมีอำนาจเป็นผู้นำการตัดสินใจทั้งในกลุ่มเพื่อนและผู้ชาย ใช้เครื่องดังกล่าวเจาะกลุ่มนี้ แล้วก็นำเสนอให้แก่โรงแรมและสปาของไทย เชิญชวนให้มาร่วมโดยนำเสนอแพกเกจใหม่เข้าไปอยู่ตลอดกระตุ้นกำลังซื้อผู้หญิง
ปี 2561 เป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ ฮ่องกงจะต้องเพิ่มตลาดกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวครั้งแรก first visit กลุ่มนักเรียน 14 ปีขึ้นไป แต่ทำอย่างไรจะทำให้ไทยเข้าไปอยู่ในใจเด็ก ๆ เพราะตอนนี้คู่แข่งดาหน้าเข้าปักหลักในฮ่องกง โดยเข้าไปตั้งสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว National Tourism Organization :NTOs เกือบ 60 ประเทศ ทั้งที่เป็นประเทศเกาะเล็ก ๆ มีประชากรเพียง 7 ล้านคน
ปีนี้ญี่ปุ่นรุกตลาดฮ่องกงหนักมากทุ่มงบทำแผนที่ชวนเที่ยวโอกินาวา ให้เดินทางกับรถไฟใต้ดิน ทาง ททท.ไทยถ้าจะทำอย่างนั้นได้ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีจึงไม่เหมาะจะลงทุนในลักษณะเดียวกับญี่ปุ่น แต่จะทำโดยอาศัยความขยันร่วมกับเอกชน ทั้งโรงแรม สวนสนุก และอื่น ๆ ให้ทำก่อนล่วงหน้าก่อนฤดูเดินทาง 2 เดือน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางอิสระตามลำพัง F.I.T.มีบริษัทขายท่องเที่ยวบริการ 80 % ต้องทำล่วงหน้าเพราะเป็นตลาดไปเร็วมาเร็วและเอเย่นต์ท่องเที่ยวฮ่องกงขายเร็วมาก จากากรทำงานร่วมกับเขาได้รับความร่วมมือดีมาก
สำหรับ “ปีท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” เตรียมตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ททท.สำนักงานฮ่องกง ร่วมกับ Action Asia เป็นบริษัทผู้นำการจัดทำวิ่งมาราธอนขึ้นเขา หรือ Mountain Marathon จัดในหลายประเทศรวมทั้งในฮ่องกง ทาง ททท.ได้รับความร่วมมือดีมากจาก อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ทำทดสอบการวิ่งมาราธอนขึ้นเขา โดยไปประชุมกับชุมชนรอบอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เพื่อให้ชุมชนเห็นชอบและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบใด ๆ และต้องได้รับฉันทามติจากชุมชนเหล่านั้นด้วย ไม่ใช่เฉพาะเอเย่นต์หรือท่องเที่ยวกอบโกยเงินกลับมาอย่างเดียว
โครงการ Mountain Marathon อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะนำร่องให้นักกีฬาที่สมัครเข้าร่วมวิ่งมาราธอนตั้งเป้าไว้ 1,000 คน ทั้งคนไทยและต่างชาติจำนวนละ 500 คน การแข่งขันจริงจะจัดขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม 2560 (แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 10 กม.30 กม. และ 50 กม.) วิธีทำจะซื้อต้นไม้มาปลูกป่าและทำลงไปทำฝายกั้นน้ำให้ชุมชนด้วย ซึ่งหารือกับทางผู้เกี่ยวข้องแล้วกำหนดจะจัดทำเป็นกิจกรรมประจำปีในโอกาสต่อไป
ส่วนกลยุทธ์การขายทำเส้นทางเชื่อมต่อโดย ททท.สำนักงานฮ่องกง จับมือกับการบินไทยท่องเที่ยวต่อในเชียงใหม่ ทำแพกเกจการท่องเที่ยวคืนสู่ธรรมชาติ สอดคล้องกับพฤติกรรมของฮ่องกงชอบทำกิจกรรมการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะมาราธอนดังกล่าว
ผู้นำ ททท.และทุกฝ่ายพร้อมแล้วที่จะทำให้ พ.ศ.2561 เป็นปีการท่องเที่ยวยั่งยืน กระจายรายได้สู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากสอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลอย่างแท้จริง
“นายกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า อเมริกาเป็นตลาดสำคัญจะมาเที่ยวเมืองไทยปี 2561 มากถึง 1 ล้านคน ทำให้รายได้เติบโตเพิ่มกว่า 15 % จากเดิมเคยหวั่นนโยบายผู้นำสหรัฐคือโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งโลกนั้นตลอด 6 เดือนปีนี้ได้พิสูจน์ชัดโดยนักท่องเที่ยวอเมริกามาไทยเพิ่มสูงกว่าเกณฑ์ทำรายได้เติบโต 19 % อนาคตจะสดใสในระยะยาว ปี 2561 เป้ารายได้ก็ยังจะเพิ่มอีก 15 %
โดยเจาะกลุ่ม “อเมริการุ่นใหม่” (Millenial ) จากการศึกษาโครงสร้างประชากรปัจจุบันของสหรัฐอเมริกามีกลุ่มวัยคนรุ่นใหม่มากถึง 90 ล้านคน 40 % ชอบเดินทางท่องเที่ยวแนวโน้มยังใช้เงินสูงขึ้น เป็นเทรนด์ที่เรียกว่า “FOMO : Fear of Meeting Opputunity” พฤติกรรมคนอเมริการุ่นใหม่กลัวพลาดโอกาสและห้ามขาดร่วมทำกิจกรรมของโลก โดยเฉพาะกิจกรรมที่ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียวในประเทศไทย
อีกทั้งสายการบินอินเตอร์ยังเพิ่มความถี่จากอเมริกาสู่ประเทศแถบเอเชียมากขึ้นหลัก ๆ คือ “EVA AIR” ไต้หวัน มาจากอเมริกาเหนือเข้าเอเชียสัปดาห์ละ 90 เที่ยวบิน และจากไทเป (ไต้หวัน) เข้าไทย สัปดาห์ละ 30 เที่ยวบิน ไม่รวมสายการบินระหว่างประเทศรายอื่น ๆ อาทิ ANA โค้ดแชร์สายการบินต่าง ๆ กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ซึ่งมีจำนวนมากระหว่าง อเมริกา-เอเชีย สัปดาห์ละกว่า 100 เที่ยวบิน ส่วนใหญ่จะบินต่อจากเมืองหลัก ไทเป กรุงโซล และญี่ปุ่น เข้าไทย ไม่เฉพาะกรุงเทพฯ เท่านั้น ยังบินไปเชียงใหม่ ภูเก็ต ด้วย จึงเป็นโอกาสของไทยจะใช้ประโยชน์จากเที่ยวบินเชื่อมโยงจำนวนมากอย่างเต็มที่
ส่วนปีการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2561 ททท.ลอสแองเจลิสจะรุกหนักเพิ่มตลาดคนรุ่นใหม่อเมริกาซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงินโดยไม่ต้องผ่านบริษัทตัวกลางการท่องเที่ยว (travel Agency) เหมือนอดีต แต่ละคนจ่ายทริปละ 70,000 บาท ต่อไปนี้เงินดอลลาร์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในชุมชนท่องเที่ยวไทยโดยตรงจึงเท่ากับเพิ่มคุณค่าและมูลค่าสู่ท้องถิ่นได้มากกว่า
ตลาดฮ่องกงเฮเพิ่ม“ผู้หญิง-วัยรุ่น-เมาเท่นมาราธอน”
![]() |
นางสาวสาริมา ทองจินดามาตย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานฮ่องกง |
นางสาวสาริมา ทองจินดามาตย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานฮ่องกง เปิดเผยว่าสถานการณ์ 5 เดือนแรก มกราคม-พฤษภาคม 2560 ชาวฮ่องกงมาท่องเที่ยวเมืองไทยกว่า 3 แสนคน เพิ่มขึ้น 6.4 % จากประชากรรวม 7.3 ล้านคน ปี 2559 มาเที่ยว 7.5 แสนคน คิดเป็น 10 % ของประชากรฮ่องกงทั้งหมด เป็นตลาดระยะใกล้ใช้เวลาบินราว 3 ชั่วโมง
พฤติกรรมของชาวฮ่องกงชอบท่องเที่ยว แต่พื้นที่ในเกาะมีจำกัด และเมืองไทยเป็นสถานที่ยอดนิยมมาซ้ำ ๆ ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา ถึง 80 % และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียง 20 % ดังนั้นจะเสนอจุดขายใหม่ ๆ ทั้งในเมืองหลักที่มาซ้ำและจังหวัดใหม่ ๆ ปีนี้มีสายการบินตรง เช่น เอ็กซ์เพรสแอร์ไลน์ บินตรง ฮ่องกง-เชียงราย กระจายเส้นทางไปภาคเหนือ ซึ่งสามารถขยายให้ไปยังเมืองท่องเที่ยวรองและเมืองย่อยในไทยได้
วัยนักท่องเที่ยวกลุ่มมิลเลนเนียล นับเป็นกลุ่มใช้จ่ายสูง จากฐานเงินเดือนจ้างงานระดับปริญญา มีรายได้คนละ 60,000 บาท/เดือน ส่วนค่าครองชีพสูง คนวัยทำงานจึงนิยมท่องเที่ยวตักตวงความสุข สถิติการใช้จ่ายเงินเที่ยวในไทยเฉลี่ย 6,120 คนต่อวัน วันพักเฉลี่ย 6.4 วัน ชอบพักโรงแรม 5 ดาว
เทรนด์การเดินทางระยะสั้น 2-3 ชั่วโมง จึงเลือกใช้สายการบินโลว์คอสต์ราคาประหยัด แล้วนำเงินมาใช้จ่ายเกี่ยวกับห้องพักหรูและกินอาหารแพง ๆ ในพื้นที่ซึ่งมีรสชาติอร่อย และทำสปาเพื่อการผ่อนคลายและสวยงามสามารถใช้เงินทำสปาได้ทุกวัน เป็นการให้รางวัลแก่ชีวิต โดยเฉพาะศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาวก็มาเมืองไทย
ททท.ฮ่องกงมีโปรแกรม Galsaway Application เป็นภาษากวางตุ้ง เจาะกลุ่มผู้หญิงโดยเฉพาะ ด้วยการนำโปรโมชั่นจาก ททท.ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก อัพเดทต่อเนื่อง เพราะผู้หญิงมี 54 % ผู้ชาย 46 % ผู้หญิงจึงเป็นกลุ่มศักยภาพและมีอำนาจเป็นผู้นำการตัดสินใจทั้งในกลุ่มเพื่อนและผู้ชาย ใช้เครื่องดังกล่าวเจาะกลุ่มนี้ แล้วก็นำเสนอให้แก่โรงแรมและสปาของไทย เชิญชวนให้มาร่วมโดยนำเสนอแพกเกจใหม่เข้าไปอยู่ตลอดกระตุ้นกำลังซื้อผู้หญิง
ปี 2561 เป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ ฮ่องกงจะต้องเพิ่มตลาดกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวครั้งแรก first visit กลุ่มนักเรียน 14 ปีขึ้นไป แต่ทำอย่างไรจะทำให้ไทยเข้าไปอยู่ในใจเด็ก ๆ เพราะตอนนี้คู่แข่งดาหน้าเข้าปักหลักในฮ่องกง โดยเข้าไปตั้งสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว National Tourism Organization :NTOs เกือบ 60 ประเทศ ทั้งที่เป็นประเทศเกาะเล็ก ๆ มีประชากรเพียง 7 ล้านคน
ปีนี้ญี่ปุ่นรุกตลาดฮ่องกงหนักมากทุ่มงบทำแผนที่ชวนเที่ยวโอกินาวา ให้เดินทางกับรถไฟใต้ดิน ทาง ททท.ไทยถ้าจะทำอย่างนั้นได้ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีจึงไม่เหมาะจะลงทุนในลักษณะเดียวกับญี่ปุ่น แต่จะทำโดยอาศัยความขยันร่วมกับเอกชน ทั้งโรงแรม สวนสนุก และอื่น ๆ ให้ทำก่อนล่วงหน้าก่อนฤดูเดินทาง 2 เดือน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางอิสระตามลำพัง F.I.T.มีบริษัทขายท่องเที่ยวบริการ 80 % ต้องทำล่วงหน้าเพราะเป็นตลาดไปเร็วมาเร็วและเอเย่นต์ท่องเที่ยวฮ่องกงขายเร็วมาก จากากรทำงานร่วมกับเขาได้รับความร่วมมือดีมาก
สำหรับ “ปีท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” เตรียมตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ททท.สำนักงานฮ่องกง ร่วมกับ Action Asia เป็นบริษัทผู้นำการจัดทำวิ่งมาราธอนขึ้นเขา หรือ Mountain Marathon จัดในหลายประเทศรวมทั้งในฮ่องกง ทาง ททท.ได้รับความร่วมมือดีมากจาก อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ทำทดสอบการวิ่งมาราธอนขึ้นเขา โดยไปประชุมกับชุมชนรอบอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เพื่อให้ชุมชนเห็นชอบและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบใด ๆ และต้องได้รับฉันทามติจากชุมชนเหล่านั้นด้วย ไม่ใช่เฉพาะเอเย่นต์หรือท่องเที่ยวกอบโกยเงินกลับมาอย่างเดียว
โครงการ Mountain Marathon อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะนำร่องให้นักกีฬาที่สมัครเข้าร่วมวิ่งมาราธอนตั้งเป้าไว้ 1,000 คน ทั้งคนไทยและต่างชาติจำนวนละ 500 คน การแข่งขันจริงจะจัดขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม 2560 (แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 10 กม.30 กม. และ 50 กม.) วิธีทำจะซื้อต้นไม้มาปลูกป่าและทำลงไปทำฝายกั้นน้ำให้ชุมชนด้วย ซึ่งหารือกับทางผู้เกี่ยวข้องแล้วกำหนดจะจัดทำเป็นกิจกรรมประจำปีในโอกาสต่อไป
ส่วนกลยุทธ์การขายทำเส้นทางเชื่อมต่อโดย ททท.สำนักงานฮ่องกง จับมือกับการบินไทยท่องเที่ยวต่อในเชียงใหม่ ทำแพกเกจการท่องเที่ยวคืนสู่ธรรมชาติ สอดคล้องกับพฤติกรรมของฮ่องกงชอบทำกิจกรรมการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะมาราธอนดังกล่าว
ผู้นำ ททท.และทุกฝ่ายพร้อมแล้วที่จะทำให้ พ.ศ.2561 เป็นปีการท่องเที่ยวยั่งยืน กระจายรายได้สู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากสอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลอย่างแท้จริง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ททท.จัด“Maha Songkran World Fest2025”ดันไทยติด1ใน10สุดยอดเฟสติวัลโลก
ททท.จัดสุดอลังการ“ Maha Songkran WorldFest 2025” ดันไทยติด 1 ใน 10 สุดยอดเฟสติวัลโลก-โกย 2.6 หมื่นล้าน กระทรวงการท่องเที่ยว กับ ททท...

-
“ คิง เพาเวอร์”จัดโปโลคัพการกุศลในลอนดอนปี’62 รำลึกเจ้าสัววิชัยระดม1ล้านปอนด์มอบ15องค์กรอังกฤษ เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน : บล็อกเ...
-
นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท.นำภาคเหนือ Q1/67 รับรายได้ฉ่ำๆ แตะ 6 หมื่นล้าน...
-
เปิดใจ “พศิน ลาทูรัส”ทายาท”นารายา”พลิกโมเดลแบรนด์ไทย ถอดบทเรียนโควิดปรับมุมคิดธุรกิจรุ่งปั้นสินค้าใหม่บุกทั่วโลก คิงเพาเวอร์ชวนช้อปออน...