ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ททท.นำนักท่องเที่ยวอเมริกาเข้าไทยปี61ทะลุ1ล้านคน-วันเดียวเที่ยวทั่วฉะเชิงเทรา

ปี’61ทัวร์มะกันไม่สนทรัมป์แห่มาไทยทะลุ1ล้านคน
ททท.แอลเอปลุกตลาดพันธุ์ใหม่FOMOบุกวิถีไทย
บิ๊กทอท.ย้ำคิงเพาเวอร์จ่ายถูกต้องทุกสัญญา
2หญิงแกร่งททท.“โรม-มอสโก”รุกปั๊มรายได้ปี’61
 “จิรุตถ์”ผอ.ใหม่TCEBนำทัพไมซ์ผงาดผู้นำอาเซียน
วันธรรมดาวันเดียวเที่ยวฉะเชิงเทราเก๋ไก๋ลึกซึ้ง
 “นกสกู๊ต”รุกตลาดผู้หญิงอัดโปรตั๋วตลอดส.ค.60
 “บินไทย”งัดA350ชิงยอดตั๋วชูโปรใหม่2แพกเกจ

สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านใน www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังทาง youtube www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand


ช่วงที่ 1 คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการถึง “อนาคตอันสดใส” ตลาดอเมริกาปี 2561 จะเป็นตลาดระยะไกลข้ามทวีปประเทศแรกที่ทำสถิติมาเที่ยวเมืองไทยทะลุ 1 ล้านคน โดยมีตลาดใหม่มาแรงจากเผ่าพันธุ์ตลาดยุคดิจิตอลที่เรียกว่า FOMO-วัยโจ๋ชาวอเมริกาในยุคมิลเลนเนียล ผู้ไม่สนนโยบายเศรษฐกิจ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะรุ่งหรือร่วง ทว่าพวกเขาพร้อมจะหอบเงินคนละ 70,000 บาท/ทริป มาอุดหนุนวิถีไทยในชุมชน เพื่อร่วมลงมือทำกิจกรรมที่กลัวพลาดไปในชีวิต อย่างลองปลูกข้าวทำนา เลี้ยงควาย เรียนควาญช้าง ทำประมง และนำเทรนด์ Fear of Meeting Opputunity : FOMO โลกของคนยุคใหม่ที่พร้อมสร้างปรากฎการณ์กลัวพลาดร่วมกิจกรรมหนึ่งเดียวในเมืองไทย
คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา


“คุณกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง” ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปี 2561 จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวพันธุ์ใหม่ตลาดอเมริการมาท่องเที่ยวไทยทะลุ 1 ล้านคน เพราะโดยพื้นฐานอเมริกาเป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งมาก สถานการณ์ปลายปี 2560 เศรษฐกิจยังค่อนข้างดีคนจึงเดินทางท่องเที่ยวตามปกติ ส่วนความกังวลต่อนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้กำลังซื้อชะลอตัวนั้น ผลปรากฏตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวอเมริกามาเมืองไทยทำรายได้ยังเติบโต 19 % เพิ่มเกินเกณฑ์ ทำให้อนาคตการทำตลาดมีอนาคตสดใสในระยะยาว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยจะคุ้นเคยกับ “นักท่องเที่ยวกลุ่มสูงอายุ” หรือ Babyboomer ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจุดขายไปสู่กำลังซื้อกลุ่มใหม่ “วัยรุ่น-มิลเลนเนี่ยม” โดยแสวงหานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จากการศึกษาโครงสร้างประชากรปัจจุบันของสหรัฐอเมริกามีวัยรุ่นถึง 90 ล้านคน นับจากปี 2558 จำนวนคนรุ่นใหม่มากกว่าคนแก่
ขณะนี้ ททท.จึงพยายามหาช่องทางเปลี่ยนไปสู่ตลาดคนรุ่นใหม่ซึ่งนิยมใช้สื่อดิจิตอล สร้างช่องทางตลาดการขายแนวใหม่ วิธีการเข้าถึงก็จะเปลี่ยนไป รูปแบบการลงโฆษณาทางโทรทัศน์อาจจะลดสัดส่วนแต่ยังคงทำอยู่บ้าง “New Media” จะกลายเป็นกระแสหลัก ผนวกกับกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจ ปีที่ผ่านมา ททท.นำร่องแคมเปญ Local Experience สอดคล้องเข้ากับเทรนด์การท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่กลุ่มมิลเลนเนียลอเมริกามีสัดส่วนมากถึง 40 % แนวโน้มจะใช้เงินท่องเที่ยวสูงขึ้น มีลักษณะของการจ่ายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ดังนั้นการจูงใจให้มาเที่ยวเมืองไทยจึงเน้นคุณภาพการใช้เงินอย่างมาก
สินค้าการท่องเที่ยวที่จะนำเสนอในตลาดคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลอเมริกาจึงเน้น สินค้าแปลกใหม่และเกี่ยวพันกับสิ่งที่สนใจ ไม่เน้นรูปแบบการเดินทางเดิมที่มา 14 วัน แล้วพักกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เส้นทางเหล่านี้จะเปลี่ยนมีความสำคัญลดลงตามลำดับ กลุ่มคนรุ่นใหม่จะสนใจเพื่อบอกว่าเคยไปสถานที่แห่งนี้มาแล้ว
ปี 2561 ตามนโยบายของรองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา อเมริกา ตะวันออกกลาง เน้นหนักการใช้โครงการ THE LINK ต่อยอดการท่องเที่ยวเมืองรองในไทย โดย ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส จับคู่กับ ททท.สำนักงานชุมพร เป็นจังหวัดอันดับรอง ซึ่งจะใช้กลยุทธ์นำเสนอเรื่องราวให้จับต้องได้
ขณะนี้ชาวอเมริการุ่นใหม่กำลังฟีเวอร์เกี่ยวกับ “ไม่ต้องการพลาดการมีส่วนร่วมครั้งหนึ่งในชีวิต” เรียกว่า FOMO : Fear of Meeting Opputunity คือพวกคนรุ่นใหม่ชาวอเมริกาจะต้องไม่พลาดโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมทำกิจกรรมในกระแสของโลกอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็น “กิจกรรมที่ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียวในประเทศไทย”
ชาวอเมริการุ่นใหม่จะรีบตัดสินใจเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมทันทีโดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร ต้องการอย่างเดียวเป็นอันดับแรกต้องได้มาสัมผัสพร้อมกับเข้าถึงโดยการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับกิจกรรมดังกล่าว
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือประเทศไทยจะต้องสร้างเนื้อหาเรื่องราวของกิจกรรมในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่านำเสนอขายในตลาดคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียมของอเมริกาให้เข้าใจ เข้าถึง อย่างลึกซึ้ง ททท.สำนักงานลอสเจงลิส จึงปรับแนวคิดเจาะตลาดกลุ่มเดินทางครั้งแรกเข้ามาไทย
แนวโน้มการบริการเดินทางมาไทย จากแนวโน้มเทรนด์เอเชียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้สายการบินแห่เปิดจุดบินพร้อมกับเพิ่มความถี่จากอเมริกาสู่ประเทศแถบเอเชียมากขึ้น กลุ่มผู้นำหลัก ๆ คือ “EVA AIR” ไต้หวัน มาจากอเมริกาเหนือเข้าเอเชียสัปดาห์ละ 90 เที่ยวบิน และจากไทเป (ไต้หวัน) เข้าประเทศไทย สัปดาห์ละ 30 เที่ยวบิน จึงสะท้อนความเพียงพอ เฉพาะอีวีเอแอร์เพียงสายการบินเดียว ยังไม่รวมสายการบินระหว่างประเทศรายอื่น ๆ อาทิ ANA โค้ดแชร์สายการบินต่าง ๆ กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ซึ่งมีจำนวนมากระหว่าง อเมริกา-เอเชีย มากกว่าสัปดาห์ละ 100 เที่ยว ส่วนใหญ่จะต่อจากเมืองหลัก ไทเป (ไต้หวัน) กรุงโซล(เกาหลี) ญี่ปุ่น เข้ามายังไทยด้วย ไม่เฉพาะบินเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น ยังไปทางเชียงใหม่ ภูเก็ต ด้วย เป็นโอกาสของประเทศไทยในการใช้ประโยชน์จากการมีเที่ยวบินเชื่อมโยงจำนวนมาก
แต่สิ่งที่ ททท.รอคือสายการบินแห่งชาติ “การบินไทย” จะกลับมาเปิดบินตรงแบบประจำ อเมริกา-ไทย เพราะสามารถช่วยเติมเต็มในเชิงวิทยาการเดินทางได้ในฐานะประเทศที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวอเมริกา ถ้าหากมีการบินดังกล่าวเกิดขึ้นจะยิ่งช่วยได้ดีมาก ๆ โดยมีโอกาสคุยกับทางตัวแทนผู้ค้าส่งของการบินไทยในอเมริกาเป็นระยะ ๆ แต่ก็ยังต้องรอต่อไป
จุดขายปีท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2561 จะขายในตลาดอเมริกาซึ่งเป็นกำลังซื้อกลุ่มคุณภาพ หันมาเจาะคนรุ่นใหม่วัยมิลเลนเนียลด้วยการ ลบภาพการท่องเที่ยวเมืองไทยในเรื่องเดิม ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะตามปกติอเมริกามาเที่ยวเมืองไทยในรูปแบบดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันคือใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 5,000 บาท/คน/วัน ทริปละประมาณ 70,000 บาท/คน/ทริป แต่รายได้ส่วนใหญ่จะจ่ายผ่านบริษัทตัวกลางจัดการท่องเที่ยว (travel agent)

แผนกลยุทธ์ใหม่ในตลาด “มิลเลนเนียล” จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายเงินโดยไม่ต้องผ่านบริษัทตัวกลางการท่องเที่ยว แต่จ่ายเงินดอลลาร์ไปถึงชุมชนท่องเที่ยวในไทยโดยตรงจึงเท่ากับเพิ่มคุณค่าและมูลค่าดอลลาร์เป็รายได้ให้ท้องถิ่นได้มากกว่า จึงสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล บอร์ดและผู้บริหาร ททท.ในการรณรงค์สำนักงาน ททท.ต่างประเทศ ร่วมมือกันสร้างประโยชน์ในการทำให้เกิดประโยชน์กระจายสู่ฐานรากครอบคลุมทุกมิติจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ชุมชน
การทำตลาดเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวให้เปลี่ยนรูปแบบ “การใช้เงิน” ของอเมริกาคือการตอบโจทก์คืนประโยชน์สู่ชุมชนสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ส่วนเรื่องการนำเสนอขาย “ท่องเที่ยวเชิงอาหารไทยอาหารถิ่น” ในตลาดอเมริกา โดยเฉพาะเครือข่ายลอสแองเจลิสและภาคตะวันตกของอเมริกา กำลังร่วมมือกันสร้างจุดขาย “อาหารไทย” โดยบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าการมารับประทานอาหารไทย แต่จะเชื่อมโยงไปถึง “วิถีชุมชน” เพื่อทำให้ทุกอย่างย้อนกลับไปสร้างประโยชน์แก่ท้องถิ่นอย่างแท้จริงทั้งหมด

จึงจะนำเสนอนักท่องเที่ยวเรื่อง “อาหารถิ่น” แนะนำเรื่องมุมมองลงลึกถึงถิ่นฐานของแหล่งอาหาร เพราะอาหารไทยตามปกติคนรู้จักอยู่บ้างแล้ว อีกอย่างชาวอเมริกาไม่เคยรู้จักวิถีการเกษตร การปลูกข้าว ขี่ควาย สิ่งเหล่านี้จึงเหมือนกับสร้างความผูกพันให้เกิดการแชร์ไปยังเครือข่าย ไปเป็นเกษตรกร ปลูกข้าว ขี่ควาย 1 วัน หรือไปชมชุมชนเลี้ยงช้าง ไปเป็น “ควาญช้าง” 1 วัน หรือไปเป็นชาวประมง 1 วัน อารมณ์การขายวิถีชีวิตไทยในตลาดคนรุ่นใหม่อเมริกาจะมีลักษณะดังกล่าวนี้ซึ่งเชื่อมโยงมาสู่เรื่องอาหารชุมชนที่ไปใช้ร่วมสัมผัสการชีวิตตลอด 1 วันในแต่ละกิจกรรมโดยเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ปี 2561 ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจทำยอดเป้าหมายรายได้เพิ่มเฉลี่ย 15 % จากปี 2560 ให้ได้อย่างแน่นอน

ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “ทอท.ยันคิง เพาเวอร์จ่ายค่าตอบถูกต้องทุกสัญญา”
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า เมื่อปี 2547 ที่ลงนามสัญญากับบริษัทผู้ชนะประมูลได้สิทธิสัมปทานพื้นที่ประกอบการในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด (King Power Suvarnabhumi : KPS) เป็นคู่สัญญาเข้าประกอบการบริหาร “พื้นที่เชิงพาณิชย์”(commercial Area) ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กำหนดค่าตอบแทนที่เรียกว่าค่าบริการ 3 %  โดยประกอบกิจการให้ “บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร” หรือ pick up counter เป็นส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์

 ดังนั้นการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ทอท.ได้ดำเนินการถูกต้องเป็นปกติ โดยเรียกเก็บ 3 %  จาก 15 % หรือคิดเป็น 0.45 % ของยอดส่งมอบสินค้าปลอดอากร

ดังนั้น ทอท.จึงพร้อมจะลำดับเหตุการณ์ที่ถูกต้องถึงเรื่อง “การจ่ายผลตอบแทนระหว่าง ทอท.กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด” ในส่วน “การประกอบกิจการให้บริการพื้นที่จุดส่งมอบสินค้า (pick up counter)” จ่ายผลตอบแทนรัฐอย่างถูกต้องทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ

ยุคที่ 1  TOR ช่วงเปิดประมูลระบุอัตราค่าตอบแทน ที่ ทอท.ใช้เรียกเก็บจากโครงการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตาม TOR ตอนเปิดการประมูลนั้นยังไม่มีสัญญา “เรียกเก็บค่าใช้บริการพื้นที่จุดส่งมอบสินค้าสุวรรณภูมิ” ระบุไว้ในสัญญาเข้าบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่การเรียกเก็บมาเกิดขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการประมูล ซึ่ง "ทอท.เขียนระบุเพิ่มจะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 15 ของยอดจำหน่ายสินค้าและค่าบริการ"

นับตั้งแต่วันที่ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด เริ่มประกอบการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสุวรรณภูมิ จึงได้ชำระค่าตอบแทนจากการประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรให้แก่ ทอท.ในอัตรา 15%ของค่าบริการในการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรแก่ผู้ประกอบการรายย่อยด้วย จำนวน 0.45%ของยอดสินค้าที่ส่งมอบตามจริง

ตามข้อตกลงจ่ายค่าพื้นที่บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรซึ่งเป็นเพียงการ "ให้บริการ"และไม่ได้จำหน่ายสินค้าใด ๆ เกิดขึ้นภายในสุวรรณภูมิ

ยุคที่ 2 ช่วงปี 2554-2555 คณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.มีหนังสือถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยระบุจะขอแยก pick up counter ออกจากสัญญาเชิงพาณิชย์ แล้วให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นร้านดิวตี้ฟรีในเมืองมาทำแทน โดยจะเรียกเก็บ 3 %ของยอดสินค้าที่ส่งมอบแทนการเรียกเก็บ 15%ของค่าบริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร

ดังนั้นทาง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ได้ทำหนังสืออธิบายไปยัง ทอท. ไม่เห็นด้วยกับการแยก pick up counter ออกจากสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์มาตลอด จากนั้นในเดือนตุลาคม 2555 ทอท.มีหนังสือตอบ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ อนุญาตให้ประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรได้ไปพลาง ๆ ก่อน พร้อมทั้งกำหนดเรียกเก็บค่าตอบแทนใหม่อัตรา3%ของสินค้าปลอดอากรที่ส่งมอบ แต่ยังคงสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาแยกการประกอบกิจการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาไว้

 เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทาง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จึงมีหนังสือตอบไปยัง ทอท.ต่อกรณีดังกล่าวระบุว่าบริษัทยินดีให้ปรับขึ้นค่าตอบแทนในการประกอบกิจการพื้นที่บริการจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรเพิ่มเป็น 3 % ของยอดสินค้าส่งมอบสินค้าปลอดอากร แต่ยังคงยืนยันในข้อเท็จจริงทั้งทางเอกสารและทางพฤตินัยว่าการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากรเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ บริษัทฯ ได้รับสิทธิ์เพียงรายเดียวจากการเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าว
ยุคที่ 3 ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ทอท.มีหนังสือมาถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยแจ้งว่า “อนุญาตให้ pick up counter ยังคงอยู่ในสัญญาเชิงพาณิชย์ โดย ทอท.จะเรียกเก็บค่าตอบแทนในอัตรา3% ของยอดส่งมอบสินค้าปลอดอากร
นับจากนั้นเป็นต้นมาคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย คือ ทอท.กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จึงได้บรรลุถึงข้อยุติจากการเจรจา ที่ทำให้ ทอท.ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจาก “ค่าตอบแทนอัตราใหม่เพิ่มมากกว่า” จาก 0.45 % เป็น 3 %

ข่าวที่ 2 ททท.“โรม-มอสโก”เปิดแผนปั๊มรายได้ปี’61
หลังจาก “นายยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตอกย้ำภาพรวมแผนการตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยจะต้องเพิ่มทั้งจำนวนและรายได้ตลาดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ได้ไม่ต่ำกว่า 8 % ใช้การท่องเที่ยวในลักษณะค้นพบตัวเอง สร้างแรงงานบันดาลใจ นำเสนอเส้นทางเพื่อทุกกลุ่มเที่ยวได้หรือ tourism for All ซึ่งนำเสนอในสไตล์ NEW SHADE MILLION SHADE และผลักดัน “อาหารถิ่นสู่มิชลินสตาร์” เพื่อทำให้ความต้องการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทยในท้องถิ่นมีช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มรายได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสนองนโยบายรัฐบาลอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะ “ตลาดยุโรป” วางแผนจะจัดทำ The LinK ภาค 2 ขยายการจับคู่ ททท.สำนักงานภูมิภาคยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กับ ททท.สำนักงานในประเทศ เพิ่มจุดขายพื้นที่ท่องเที่ยว 12 เมืองต้องห้ามพลาด เพิ่มเข้าสู่ชุมชนเครือข่ายของสินค้าที่มีความโดดเด่นมากขึ้น  ควบคู่กับการทำงานอีกในเวทีโลก โดยททท.ภูมิภาคยุโรปเดินหน้าลงนามความร่วมมือโดย MOU กับสายการบินชั้นนำของโลก เพื่อรักษาฐานการเติบโตของรายได้ไว้ให้มากที่สุด

ททท.-อิตาลีหาช่องพลิกแผนด้วย 3 กลยุทธ์เร่งด่วน
“นางสาวรุ่ง กาญจนวิโรจน์” ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.สำนักงานโรม อิตาลี ดูแลพื้นที่ตลาดยุโรปใต้ อิตาลี สเปน โปรตุเกส อิสราเอล ตุรกี กล่าวว่า สถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ค่อนข้างท้าทาย เป็นกลุ่มท่องเที่ยวซ้ำ (repleater) 60 % เดินทางท่องเที่ยวอิสระ (F.I.T.) 40 % แนวโน้มจะเป็น F.I.T.เพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกประเทศที่เข้ามาไทย ตามแผนการตลาดปี 2561 จะต้องพยายามหาทางแก้ปัญหาแล้วเพิ่มทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพและรายได้ตลาดยุโรปใต้เข้ามาตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 5 %
โดยวางกลยุทธ์ทำการตลาดระยะเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่
1.ทำโครงการ Refreshing Thailand นำไทยแลนด์แบรนด์กระจายเข้าไปยังพื้นที่เมืองต่าง ๆ ทั้ง 5 ประเทศ
2.จัด Fam Trip นำตัวแทนบริษัทเอเย่นต์ท่องเที่ยว 100 ราย เข้ามาสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวใหม่และเก่า ระหว่าง 23-26 ตุลาคม 2560
3.เพิ่มส่วนแบ่งตลาดไมซ์อินเตอร์เนชั่นแนลและฮันนีมูน เข้ามาเสริมในช่วงนอกฤดูการเดินทาง (low season)
โดยเฉพาะสเปนสามารถเจาะทำการตลาดแบบไร้พรมแดนได้ ส่วนอิสราเอลต้องเพิ่มความเข้มข้นกลุ่มหลัก ๆ คือ ท่องเที่ยวเชิงกีฬา กลุ่มครอบครัว และฮันนีมูน
ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานโรม ยืนยันว่า “อิตาลี”ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องมาหลายปี แต่สถิติปี 2559 จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยยังไม่ลดลงมากนักเพราะเป็นจุดหมายปลายทางคุ้มค่าเงิน สถิติ 2.6 แสนคน ขณะที่ “สเปน” มาไทย 1.68 แสนคน เริ่มผงกหัวพ้นจากหุบเหวมาแล้วผนวกกับเศรษฐกิจและการเมืองมั่นคง เริ่มเห็นสัญญาณคนต้องการเดินทางมากขึ้น “โปรตุเกส” มีประชากรน้อยขาดเที่ยวบินตรง ก็มาไทยประมาณ 4.6 หมื่นคน

สำหรับ “ตะวันออกกลาง” ดาวรุ่งคือ “อิสราเอล” มีจำนวน 1.6 แสนคน ผลพวงจากผลิตภัณฑ์รายได้มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตค่อนข้างแข็งแรง เพราะรายได้ภาคการเกษตรและดิจิตอลสูงมาก เศรษฐกิจขยายตัวสูงมาก โดยบริษัทตัวแทนนำเที่ยวแยกไทยเป็นประเทศเดี่ยว ๆ จำนวนปีที่ผ่านมาเพิ่ม 15 %

ทางด้าน “ตุรกี” เมื่อปีที่ผ่านมาเจอปัญหารุมเร้าร้อบด้าน แต่นักท่องเที่ยวกลุ่มระดับล่างถึงกลางกว่า 7.4 หมื่นคน แม้จะคุณภาพไม่สูงมากแต่ส่วนใหญ่พร้อมเดินทางเข้ามายังไทย หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมาเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางต่างประเทศ

ททท.รัสเซีย ตีปีกปี’61ตลาดโตไร้ขีดจำกัด
นางสาวเอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานมอสโก สาธารณรัฐรัสเซีย ดูแลพื้นที่ รัสเซีย กลุ่มประเทศ CIS มีเบลารูส คาซัคสถาน อุเบกิสถาน ไตกีสถาน อาเซอไบจัน กล่าวว่า ปี 2560 ตั้งเป้าหมายรัสเซียจะมาท่องเที่ยวไทยมากถึง 1.25 ล้าคน สถิติ 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงบวกเพิ่ม 30 % ตามแผนระหว่างวันที่ 20-26 สิงหาคม 2560 จะนำเอกชนไทยไปโร้ดโชว์เจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพในอาเซอไบจัน ส่วนภาพรวมของแต่ละประเทศแถบนี้ล้วนมีอนาคตสดใส
 สะท้อนได้จากสภาพเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะคึกคักด้วยการเติบโตทางด้านการบริโภคซึ่งมีเครือซีพีตั้งโรงงานผลิตอาหารและโรงฆ่าสัตว์ในเมืองอาร์ตนาด้าในพื้นที่ 1.2 แสนไร่ และในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ในโรงงานชำแหละไก่จำหน่ายได้ถึงเดือนละ 2 ล้านตัว จากความต้องการบริโภคสูงขึ้นนั่นเอง ชาวรัสเซียมีกำลังการจ่ายสูงขึ้นและเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นอันดับต้น ๆ พื้นที่หลักขวัญใจรัสเซียยังคงเป็น พัทยา และเมืองชายทะเล
ปี 2561 ททท.สำนักงานมอสโก วางแผนทำกิจกรรม 1.เพิ่มจุดขายกิจกรรมที่รัสเซียแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวและตลาดแถบนี้ชื่นชอบ เพราะคู่แข่งสำคัญคือตุรกี 2.โหมการท่องเที่ยวเรือยอร์ชโดยจับมือกับสมาคมเรือยอร์ช เพราะชาวรัสเซียชอบเที่ยวเรือยอร์ชมาก 3.ขยายฐานตลาดฮันนีมูน เปิดเส้นทางใหม่จากเกาะสมุย ขยายไปยังเกาะพะงัน เน้นเติมเต็มการท่องเที่ยวช่วงนอกฤดูเดินทาง ด้วยการนำกิจกรรมสะดวกง่าย ๆ มานำเสนอขาย ผนวกกับกระตุ้นให้เพิ่มเที่ยวบินแบบประจำ เพราะตอนนี้มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) จากตลาดแถบนี้มากถึง 32 เมือง เข้ามายังไทย
 4.ตลาดสุขภาพองค์รวมหรือ Health & Wellness ต้องรีบเข้าไปเจาะร่วมกับเอกชนไทยซึ่งเป็นเจ้าของโปรดักซ์ 5.ผู้หญิงวัยทำงาน 6.กลุ่มสูงวัย ซึ่งเดิมตอนรัสเซียยังปกครองแบบสังคมนิยมคนกลุ่มนี้ฐานะไม่ดี แต่พอเปิดประเทศแล้วทำให้การค้าขายเติบโตกลุ่มคนเหล่านี้กลายเป็นคนรวยรุ่นใหม่ที่พร้อมใช้เงินท่องเที่ยว
สำหรับการใช้จ่ายเงินของรัสเซียและตลาดที่อยู่ในความดูแล เฉลี่ยคนละ 70,000-80,000 บาท/คน/ทริป แต่ถ้าเจาะกลุ่มทัวร์สุขภาพจะทำค่าเฉลี่ยได้ถึง 120,000 บาท/คน/ทริป

ข่าวที่ 3 “ผู้นำบางจากชี้ซื้อหุ้นLACเพิ่มดันรายได้โต”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 บริษัท BCP Innovation Pte. Ltd. (BCPI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน Lithium Americas Corp. หรือ LAC ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต แคนาดา จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 0.85 ดอลลาร์แคนาดา รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 42.50 ล้านดอลลาร์แคนาดา ทำให้ BCPI ถือหุ้นใน LAC รวมเป็น 70 ล้านหุ้นหรือ 16.1 % ของทุนชำระแล้ว เพื่อขยายธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและนวัตกรรมพลังงาน ที่ได้ดำเนินโครงการเหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินาและสหรัฐอเมริกา
โดยสรุปบริษัท บางจากฯ ได้บรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาให้เงินกู้ยืมแก่ LAC ไม่เกิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสัญญาซื้อผลผลิตแร่ลิเทียมจากโครงการ Cauchari Olaroz เหมืองลิเทียมในอาร์เจนตินาเป็นเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มต้นการจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จำนวน 20 % ของกึ่งหนึ่งของผลผลิตแร่ลิเทียมในระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี
ปัจจุบัน Minera Exar อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ Cauchari Olaroz ซึ่งเป็นเหมืองลิเทียมในจังหวัด Jujuy อาร์เจนตินา มีกำลังการผลิต 25,000 ตันต่อปี ระยะแรกจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็นปีละ 50,000 ตัน ระยะที่ 2 ปี 2562 จะผลิตแร่ลิเทียมจากน้ำเกลือในเชิงพาณิชย์ด้วย รวมทั้ง LAC ได้พัฒนาเหมืองลิเทียมอีกแห่งหนึ่งในรัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกาด้วย

ข่าวที่ 4 “เที่ยวหน้าฝนเขาค้อ2งาน“เรนโค้ดมิวสิก-ปั่นชมหมอก”
นางสาวฐาปนีย์ เกียติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้จัดกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยวหน้าฝนโดยได้จัดชวนปั่นจักรยาน" ปั่นชมหมอก...กอดดอกไม้ " เพื่อชมความสวยงามตลอดเส้นทางเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจะสตาร์ทปล่อยตัวเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2560สามารถเข้าร่วมปั่นฟรีตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันงาน โดยสมัครผ่านทาง https://event.thaimtb.com
ตามกติกาผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นบุคคลผู้มีอายุ15 ปีขึ้นไป พร้อมทั้งจะต้องนำรถจักรยานประเภทใดก็ได้มาเอง แนะนำให้ใช้จักรยานเสือภูเขาซึ่งเหมาะกับสภาพของเนินเขา  ระยะทางปั่น 16 กิโลเมตร รับไม่เกิน 1,000 คน แจกเสื้อจักรยานฟรีไซซ์พร้อมของที่ระลึกแก่ผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า 800 คนแรก
โดยจะจัดควบคู่กับกิจกรรมงาน Raincoat Music Fest 2017 ระหว่าง 4-5 สิงหาคม 2560 ที่ Jolly Land เขาค้อ เปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมงานช่วง 15.00 น.-17.30 น. ส่วนวันที่ 6 สิหาคม 2560 เวลา 6.00-8.00น.
  ตลอดงานยังมีกิจกรรม RC Rally ลุ้นรางวัลใหญ่จักรยานเสือภูเขา และสนุกสนานกับกิจกรรมอีกมากมาย
“วิธีลงทะเบียนแทน” จะต้องนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้สมัครมาแสดงเท่านั้น ส่วน “รางวัลชนะเลิศชุดแฟนซี” รับไปเลยเงินสด 1,000 บาท และอีก 2 รางวัลรองชนะเลิศ 500 บาท
ติดตามความคืบหน้าก่อนถึงวันงานได้ที่ http://www.tourismthailand.org/thaifest

ข่าวที่ 5 “จิรุตถ์”ผู้นำTCEBคนใหม่ปฏิวัติไมซ์ขึ้นนำอาเซียน
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำองค์กรคนใหม่ได้จัดเตรียมแผนพัฒนาไมซ์ของประเทศตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นไปครอบคลุมทั้งในหลายมิติคือ
เรื่องที่ 1 การยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ (Meeting-Incentive-Convention-Exhibition :MICE) ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์อาเซียน โดยมีโครงการ ASEAN MICE VENUE STANDARD เป็นฐานสำคัญ เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้โดยตรงปี 2560 ทำให้ได้ถึง 1.55 แสนล้านบาท แบ่งเป็นไมซ์ต่างประเทศ 100,000 ล้านบาท ในประเทศ 50,000 ล้านบาท
จากนั้นในปี 2561 เติบโตเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 5 % โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ไมซ์ภายในประเทศให้มีสัดส่วนรายได้เกินกว่า 50 % ขยับขึ้นให้ได้ปีละ 70,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 50,000 ล้านบาท
สำหรับตัวเลขที่น่าสนใจช่วงปี 2558 มีข้อมูลระบุว่าประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมไมซ์ 150,000 ล้านบาท สร้างงาน 164,000 ตำแหน่ง ทำให้รัฐได้รับภาษี 10,500 ล้านบาท และสร้างจีดีพีต่อหัวแรงงาน สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น 2.1 เท่า
เรื่องที่ 2 การบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องภาครัฐ เอกชน ทั้งภายในประเทศและทั่วโลก
เรื่องที่ 3 การบริหารจัดการงบประมาณที่จะเปลี่ยนแปลงหันมาเน้นใช้ประโยชน์เชิงรวมมากกว่าการสนับสนุนเหมือนอดีตที่ผ่านมา
เรื่องที่ 4 เข้าร่วมประมูลงานระดับนานาชาติแล้วกระจายไปจัดตามจังหวัดระดับรองและเขตเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขึ้น นอกเหนือปัจจุบันยังกระจุกตัวอยู่ใน MICE CITY 5 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น พื้นที่เมืองรองสามารถจะขยายไมซ์ได้เพิ่มจะพิจารณาในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง พิษณุโลก และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อกระจายรายได้ถึงสู่ชุมชน ด้วยการเข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หน่วยงานชุมชน ทำการศึกษาวิจัย นำนวตกรรม เพื่อเพิ่มข้อมูลโดยการทำอีเวนต์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างธุรกิจแล้วเลือกไปจัดไมซ์ในแต่ละท้องถิ่น
โดยจะทำควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กรให้สอดรับกับพฤติกรรมตลาดไมซ์ในประเทศและทั่วโลก จึงเตรียมจัดตั้ง “หน่วยกลยุทธ์ไมซ์-Intelligent Unit” ขึ้นมาภายใน 3 เดือนข้างหน้าจะทยอยสรุปแนวทาง ระหว่างนี้จะร่วมหารือกับฝ่ายบริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากจะต้องเป็นหน่วยบุกนำข้อมูลวิจัยและพัฒนา หลอมรวม M-I-C-E ผนวกกับเป็นหน่วยค้นหาเทคโนโลยีทางนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาแนะนำให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ของไทย นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันร่วมกันนำประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำไมซ์อาเซียนได้
สำหรับการประมูลงานในต่างประเทศ ขณะนี้มีงานไฮไลต์จากตลาดไมซ์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมมาจัดในประเทศไทย ได้แก่
1. ASEAN Site of The DOC 2017- จะต้องคิดใหม่ จัดทำใหม่โดยให้งานนี้จัดประจำในไทยต่อเนื่องกัน 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นทีเส็บควรต้องช่วยหาพันธมิตร และผู้สนับสนุน อย่างมีประสิทธิภาพเข้ามาร่วมมาทำงานร่วมกันเป็นทีม
2.การจัดหาเมกะ อีเวนต์ เข้ามาจัดในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดจากการที่ผู้บริหาร TCEB ไปร่วมแข่งขันประมูลงาน Tour de France แล้วไปพบงานใหม่ของผู้จัดงานการแข่งขัน Mega EVent ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญจัดการแข่งขัน ทางTCEB มองเห็นถึงตลาดที่ใหญ่กว่าคนร่วมแข่งขันเฉพาะคนไทยแต่จะเชิญชวนมาจากทั่วอาเซียน แล้วทำให้เกิดการขยายเครือข่ายสร้างชื่อและรายได้
ขณะเดียวกันการทำ “ตลาดไมซ์ในประเทศ” ผ่านแคมเปญ “D-MICE” ก็ได้เข้าไป ส่งเสริมนโยบายประชารัฐกระจายงานและเงินการจัดงานไมซ์สู่ชุมชน เรื่อยไปจนถึงการทำ Social Age พัฒนาทางด้านการจัดงานไมซ์ด้วยดิจิตอล ทำให้นโยบาย กระจายความร่วมมือถ่ายทอดและส่งต่อเทคนิควิธีการจัดงานโดยลงไปถึงสถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษา ส่วนการสร้างมาตรฐานสถานที่จัดประชุมในประเทศเพื่อเป็นต้นแบบของ  ASAEN MICE Venue  Standart  ปี 2561 มอบรางวัล ASAEN MICE Venue  Standart  ในงาน Asean Tourism Forum 2018 ที่เชียงใหม่ ด้วย
ปัจจุบันอันดับไทยในตลาดไมซ์นานาชาติ (Working Ranking by ICCA Statistics Report 2015) 1.International Meeting Country ไทยอยู่อันดับ 27 มีจำนวนการจัดประชุมรวม 151 งาน 2. International Meeting City กรุงเทพฯ อันดับ 16 มีจำนวนการจัดงานประชุม 103 งาน เชียงใหม่ติดอันดับ 163  มีจำนวนการจัดงาน 16 งาน พัทยา ติดอันดับ 263 มีจำนวนการจัดงาน 10 งาน
ปี 2559 Thailand Convention Ranking, จัดอันดับโดย ICCA ไทยติดอันดับ 24 มีจำนวนการจัดงาน 174 งาน ทิ้งห่าง “สิงคโปร์” ที่ตกไปอยู่อันดับ 28 มีการจัดงานเพียง 151 งาน

ช่วงที่ 2 ฤดูฝนนี้ตามรอยพระบาท วันธรรมดาวันเดียวเที่ยวได้ทั่ว “ฉะเชิงเทรา” แล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพกับ 3 ป้องกัน 3 เก็บ เลี่ยงไข้เลือดออก และแอร์ไลน์ทั้งไทยและเทศกำลังปรับกลยุทธ์หารายได้กันอุตลุด

@วันเดียวเที่ยวทั่วฉะเชิงเทราเก๋ไก๋ลึกซึ้ง
อากาศช่วงฤดูฝนพรำเย็นสบาย เหมาะจะออกเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา แล้วก็เลือกวางแผนไปชมเส้นทางตามรอยพระบาทใกล้กรุงใน “จังหวัดฉะเชิงเทรา” ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายแล้ว และภายในวันเดียวเที่ยวได้ครบทุกมุม
เริ่มจาก “ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน และโครงการพัฒนาส่วนพระองค์เขาหินซ้อน” อันเกิดขึ้นแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสร้างต้นแบบพื้นที่ทุกตารางนิ้วด้วยการพลิกสภาพพื้นที่แห้งแล้งจากที่ทำการเพาะปลูกพืชไม่ได้ให้ ให้กลายมาสมบูรณ์อีกครั้ง นำธรรมชาติกลับคืนสู่ประเทศชวนให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจแก่ผู้คนที่แวะเข้าไปเยี่ยมชม
จากนั้นก็ไปชม “ค้างคาวแม่ไก่ วัดโพธิ์บางคล้า” คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการดูค้างคาวต้องเป็นช่วงกลางคืน แต่ที่นี่มี “ค้างคาวตัวเป็น ๆ” ให้ชม “ช่วงกลางวัน” จำนวนนับไม่ถ้วนเกาะเกี่ยวห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ มองเห็นชัดเจน เป็นความมหัศจรรย์อีกแห่งของเมืองไทย
พอรู้สึกหิวก็แวะ “ตลาดน้ำบางคล้า” มีอาหารอร่อยในที่ตลาดริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนริมน้ำเรียบง่ายมีความสุข แถมจัดอาหารมาบริการให้นักท่องเที่ยวเลือกครบ อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึก ของฝาก สำหรับซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ด้วย
วันสบาย ๆ ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ออกมาสัมผัสวิถีไทย เก๋ไก๋ลึกซึ้ง ไปด้วยกัน
สนใจท่องเที่ยวเส้นทางตามรอยพระบาท จังหวัดฉะเชิงเทรา สอบถามได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานฉะเชิงเทรา โทร. 038-514-4009 หรือเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.tat8.com

@มาตรการ3ป้องกัน3เก็บปลอดไข้เลือดออก
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนนี้ มีฝนตกอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน เกิดน้ำขังตามภาชนะหรือวัสดุต่างๆ ทำให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามมา ประกอบกับในช่วงฤดูฝนของทุกปีก็เป็นช่วงระบาดของโรคไข้เลือดออกด้วย จึงขอแนะนำให้ประชาชนดูแลตนเองก่อนในเบื้องต้นด้วยการใช้มาตรการ “3 ป้องกัน 3 เก็บ”
3 การป้องกัน ประกอบด้วย
1. การป้องกันการถูกยุงกัด โดยทายากันยุง นอนในมุ้ง กำจัดยุงตัวเต็มวัยด้วยสเปรย์ ไม้ช็อตไฟฟ้า พร้อมกำจัดลูกน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในภาชนะที่มีน้ำใสและนิ่ง เช่น ถาดรองขาตู้ ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้
  2. การเฝ้าระวังอาการของโรค เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หน้าแดง ผิวหนังเป็นจุดเลือด อาเจียน ปวดท้อง
3. การไปพบแพทย์เร็วเมื่อป่วยและมีไข้สูง เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรค และเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงไข้ลดหากเกิดอาการช็อกจากไข้เลือดออก ต้องรีบกลับไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หากช้าอาจทำให้เสียชีวิตได้
       3  เก็บ ประกอบด้วย
1. เก็บบ้านให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง
2. เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
3. เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “นกสกู๊ตทุ่ม4โปรตลาดผู้หญิงตลอดส.ค.60”
สายการบินนกสกู๊ต รายงานว่าร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนโครงการ "Women's Journey Thailand August 2017" ให้ผู้หญิงทั่วโลกที่ใช้นกสกู๊ตรับส่วนลดและสิทธิพิเศษตลอดเดือนสิงหาคมนี้ ด้วย 4 โปรโมชั่น ประกอบด้วย
1.BUY 2 FOR MORE ซื้อตั๋วได้ราคาพิเศษเฉพาะผู้โดยสารผู้หญิงเท่านั้น ราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท เมื่อซื้อตั๋วอย่างน้อย 2 ใบขึ้นไป ระหว่าง 1 - 6 สิงหาคม 2560 แล้วนำไปใช้เดินทาง 1 สิงหาคม - 20 ธันวาคม 2560
2.FEMALE FREE FIVE ผู้โดยสารหญิงจะได้รับน้ำหนักโหลดกระเป๋าเพิ่มอีก 5 กิโลกรัม เมื่อเดินทางออกจากสนามบินดอนเมือง ระหว่าง 11-13 สิงหาคม 2560แล้วซื้อน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัมขึ้นไป
3.MOMMYDAY SPECIAL ใช้ Promo Code "MOMMYDAY" เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแบบ FlyBag หรือ FlyBagEat ผ่านเว็บไซต์ นกสกู๊ต รับส่วนลด 10% ใช้ได้ตั้งแต่ 7 - 31 สิงหาคม 2560 ซื้อแล้วนำไปเดินทาง 7 สิงหาคม - 20 ธันวาคม 2560

4.LADY BOARD FIRST ผู้โดยสารผู้หญิงทุกคนจะได้รับสิทธิพิเศษขึ้นเครื่องก่อน (Priority Boarding) ในทุกเที่ยวบินระหว่าง 11-13 สิงหาคม 2560
สอบถามได้ที่ Call Center โทร 02-021-0000 หรือดูรายละเอียดที่www.womensjourney.tourismthailand.org  

ข่าวที่สอง “นกแอร์”เลิกแจกฟรีหันขายขนม-อาหารลดขาดทุน
บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า เปลี่ยนแปลงบริการในเที่ยวบินตั้งแต่ 16 ก.ค. 2560 เป็นต้นไป จะแจกฟรีแต่น้ำดื่มนกชื่นใจและยกเลิกสแน็กทุกเที่ยวบิน พร้อมทั้งเริ่มเสิร์ฟอาหารร้อนพร้อมเสิร์ฟรับประทานบนเครื่อง เฉพาะเที่ยวบินที่บินด้วยเครื่องโบอิ้ง 737 ให้ผู้โดยสารเลือกสั่งในราคาคุณภาพได้จาก 6 เมนู ได้แก่ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ราคา 150 บาท (เมนูยอดนิยม) สปาเก็ตตี้ซอสไก่ 150 บาท ผัดหมี่ฮ่องกงเจ 150 บาท ข้าวเหนียวไก่ย่างสมุนไพร 175 บาท ข้าวผัดชาวเกาะ 190 บาท ข้าวปูผัดผงกะหรี่ 190 บาท
หลังจากยกเลิกเสิร์ฟสแน็กฟรีแล้ว นกแอร์ยังคงขายสแน็ก บะหมี่ โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่มร้อน-เย็น และสินค้าที่ระลึก ตามปกติ
ทั้งนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นกแอร์ประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้คณะกรรมการ (บอร์ด) นกแอร์ มีนโยบายให้ฝ่ายบริหารร่วมกันแก้ปัญหาโดยลดต้นทุนควบคู่กับปรับวิธีบริหารจัดการตลาดเร่งปลดภาระขาดทุนให้ได้เร็วที่สุด


ข่าวที่สาม “บินไทยใช้A350ชิงกำลังซื้อเทรนด์ใหม่ชู2โปรแพง”
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยฯ เปิดเผยว่า การบินไทยทำแผนจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A350 XWB ไว้ 12 ลำ แบ่งเป็นสั่งซื้อ 4 ลำ และเช่าซื้อ 8 ลำ A350 XWB เป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดของโลกในตระกูลลำตัวกว้างที่ทรงประสิทธิภาพ เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2560 เพิ่งจะบินไปรับเครื่องรุ่นนี้ลำที่ 5
โดยได้นำเครื่อง A350 มาบินบริการในเส้นทาง ไป-กลับ “ในประเทศ” จาก กรุงเทพฯ สู่ เชียงใหม่ และภูเก็ต “ต่างประเทศ” จากกรุงเทพฯ ปลายทาง แฟรงก์เฟิร์ต มิลาน โรม ดูไบ และกรุงเทพฯ-ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต
สำหรับฝูงบินแอร์บัส A350 XWB ได้ตกแต่งห้องโดยสารด้วยแนวคิดแบบไทยร่วมสมัย  (Thai Contemporary) และมีระบบแสงที่สามารถปรับได้ตามบรรยากาศ (Mood Lighting) ด้วยแสง LED สร้างได้ถึง 16.7 ล้านเฉดสี พื้นที่เหนือศีรษะขยายมากขึ้นเพื่อลดความอึดอัดช่องเก็บสัมภาระ กระจกหน้าต่างกว้างขึ้น และมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในทุกระดับชั้นของการบริการ ขนาดบรรทุก 321 ที่นั่ง ประกอบด้วย
“ที่นั่งรอยัล ซิลค์ คลาส (Royal Silk Class)” หรือชั้นธุรกิจ  32 ที่นั่ง จัดวางให้มีระยะห่างระหว่างแถวที่นั่ง 41-46 นิ้ว แต่ละที่นั่งมีความกว้าง 21 นิ้ว สามารถปรับเอนนอนราบได้ 180 องศา จอโทรทัศน์ระบบสัมผัสขนาด 16 นิ้ว เชื่อมต่อระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย เพื่อฟังเพลง ชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และเล่นเกมส์ รวมถึงบริการ Wi-Fi ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
“ที่นั่งชั้นประหยัด (Economy Class)” 289 ที่นั่ง มีระยะห่างระหว่างแถวที่นั่ง 32 นิ้ว แต่ละที่นั่งมีความกว้าง 18 นิ้ว ติดตั้งจอโทรทัศน์ระบบสัมผัสขนาด 11 นิ้ว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย เพื่อฟังเพลง ชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เล่นเกมส์ รวมถึงบริการ Wi-Fi ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
นอกจากนี้การบินไทย ยังทำแพกเกจโปรโมชั่นในช่วงกรกฎาคม 2560 เปิดให้จองราคาพิเศษ 2 แพกเกจ ราคากว่าคนละแสนบาท คือ 1. The Charmin of Iran 9 วัน 7 คืน ราคาเริ่มต้นที่คนละ 113,000 บาท กำหนดเดินทาง 10-18 สิงหาคม 2560 และ 14-22 กันยายน นี้ 2.อินเดีย มหาราชา เยือนราชสถาน ชมความงดงามอลังการของรัฐราชสถานดินแห่งมหาราชา กับ อ.เผ่าทอง ทองเจือ 8 วัน 6 คืน ราคาเริ่มต้นคนละ 111.900 บาท เดินทาง 23-30 กันยายน 2560 สอบถามที่ 02-288-7335

ข่าวที่สี่ “เตอร์กีสแอร์บินแล้วอิสตัลบูล-ภูเก็ต”4เที่ยว/สัปดาห์
Mr. Bilal Eksi รองประธานกรรมการและซีอีโอของเตอร์กิช แอร์ไลน์ กล่าวว่าได้เปิดปฐมฤกษ์ ในเส้นทางบินแบบประจำ อิสตันบูล-ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2560  เป็นต้นไป สัปดาห์ละ 4 เที่ยว  ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ด้วยเวลาท้องถิ่นและรหัสเที่ยวบิน TK 172 จันทร์, พฤหัสบดี เสาร์ อาทิตย์ ออกจาก อิสตัลบูล 14.30   ถึงภูเก็ต04.00 (+1) และ TK 173  จันทร์, อังคาร ศุกร์, อาทิตย์ ออกจากภูเก็ต 05:30  ถึงอิสตัลบูล 12:00 น.
ค่าตั๋วโดยสารไป-กลับ อิสตันบูล-ภูเก็ต ช่ววโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 569 ดอลลาร์สหรัฐ (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม)
พร้อมกันนี้ เตอร์กิช คาร์โก ยังได้เปิดตัวเที่ยวบินขนส่งสินค้ามายังภูเก็ตด้วย เพื่อช่วยส่งเสริมการส่งออกและนำเข้าสินค้าทางอากาศได้อีกช่องทาง
ติดตามฟังและอ่านข่าวของทางรายการเป็นประจำได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง สวท. FM 97.0 MHz.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ททท.คุนหมิงดึงจีน3มณฑลเที่ยวไทยทางบก4ด่านเงินสะพัด

ททท.ปั๊มทัวร์จีนคุนหมิงแบบโอเวอร์แลนด์เงินสะพัดไทย 4 ด่าน ส.ค. 66- ปี ’67 กระหน่ำขาย “ New Ways to Amazing to Thailand” ล็อกเป้าจีน 4 ตลาดใช้จ่ายแสนบาท/ทริป-ดันอีสานอู้ฟู่ 20 จังหวัด ช้อป!!ของขวัญวันแม่ที่คิงเพาเวอร์ลด20%- Firster9 หมื่นไอเท็ม ฉลองวันแม่!พูลแมนคิงเพาเวอร์จัดบุฟเฟต์พรีเมี่ยมกลางวัน/ค่ำ กินฟินที่คิงเพาเวอร์มหานคร-รร.เดอะสแตนดาร์ดตลอดส.ค. 66 ททท.จัดแข่งผัดกะเพราโลก“ World Kaphrao 2023”ชิงเงินล้าน กลุ่มบริษัทบางจากโชว์ครึ่งปีแรก66กวาดรายได้1.48 แสนล้าน TCEB บุกจีนจัด Thailand MICE in China 2023 โกยไมซ์ 990 ล้าน เที่ยววันแม่ใกล้กรุงได้ที่อุทยานเบญจสิริ/ดรีมเวิลด์/สวนนงนุช เคล็ดลับ!!การรักษาแผลให้หายไวด้วยขั้นตอนง่ายๆทำได้เอง บินไทยฟื้นเร็ว!!ครึ่งแรกปี’66กำไร329%พกเงินสด5.1หมื่นล้าน เปิดขายแล้ว!!บัตรชม“โขน”สุดยิ่งใหญ่แห่งดูได้ 5 พ.ย.- 5 ธ.ค. 66   วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ

TCEB นำงานวิจัยMICE for Sightแนะธุรกิจปรับตัวรับไมซ์10ปีหน้า

  นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) "TCEB" “ TCEB ”เปิดคัมภีร์ MICE for Sight ปลุกไมซ์จัดทัพใหม่ 10 ปีหน้า รับมือ Gen Z ผงาดผู้ทรงอิทธิพลไมซ์โลกเขย่าตลาดครั้งใหญ่ ปี 67 เร่งโกย 1.4 แสนล้านโหมซอฟท์เพาเวอร์/ไมซ์ซิตี้/ไมซ์ชุมชน รีบช้อป!!คิงเพาเวอร์เป็นไปได้5รายการรางวัลสูงสุดกว่า 4 ล้าน ด่วน 4 วันสุดท้าย!คิงเพาเวอร์อัดโปร SurpriseOnlineSale ลด 50% คิงเพาเวอร์ช้อปวนไปแจกทันที 3 ฟรี คูปอง/ตั๋ว/รถยนต์ LEXUS ท่องเที่ยวรุกเจรจาธุรกิจ TEJ 2023ฉลุย300นัดโกยญี่ปุ่น9ตลาด บางจาก-กรุงไทยเปิดแอปเป๋าตังจองซื้อหุ้นกู้ดิทัลดีเดย์ 30 ต.ค. เที่ยวประจวบนอนแคมป์ทะเลหมอกบ้านป่าหมาก-วิ่งปราณบุรี บินไทยโชว์ยูนิฟอร์มใหม่ลูกเรือแฟชั่นผ้าลดโลกร้อนเริ่ม1ม.ค.67 คาเธ่ย์ กรุ๊ปทุ่มลงทุนฝูงบินใหม่ A 320 neo เพิ่ม32ลำบินจีน/เอเชีย   วันเสาร์ที่  28 ตุลาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97

ททท.ภาคเหนือ7เดือนปี66โกยแล้ว1.08แสนล้าน

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ททท.ภาคเหนืออู้ฟู่ 7 เดือนแรกโกยได้แล้ว 1 แสนล้าน ต.ค.-ธ.ค. 66 ลุยขายเที่ยวไฮซีซัน 4 เทรนด์ใหม่มาแรง นำ The Link จับคู่ทัวร์ข้ามภาคสำเร็จ 3 เส้นทางสุดฮ็อต คิง เพาเวอร์แจกมันส์แจกฟินที่รางน้ำเสาร์16ก.ย.นี้ ช้อป KingPowerOnline รับแบบไม่ยั้ง2สุดคุ้มถึง24ก.ย. ช้อป DUTY FREE SALE นำบิวตี้แบรนด์โลกมาเต็ม ททท.ใช้ฟรีวีซ่าปั๊ม1.4แสนล้านชาเตอร์จีนเฮเข้าไทย บางจากโชว์อุตฯไทย-ไต้หวันชูนวัตกรรมธุรกิจสีเขียว TCEB ผนึก EECAutoPark หนุนไมซ์เอ็กซิบิชั่นอินเตอร์ เที่ยว Unseen “พิพิธภัณฑ์ป่าสัก-วัดขุนอิน-วัดปัญญา” 4วิธี“ปิดล้างเลี่ยงหยุด”ป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกพันธุ์ “สุดาวรรณ”รมว.ใหม่ท่องเที่ยวดึงต่างชาติ40ล้านคน กพท.-สมาคมแอร์ไลน์สไทยแบไต๋ตั๋วบินราคาแพง วันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyai