ทอท.เปิดบ้านต้อนรับผู้นำคนใหม่ปี
2558
“ดร.นิตินัย
ศิริสมรรถการ”โชว์จุดเปลี่ยนการบิน
เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง
ใยสามเสน
(อีเมล์:rakdeethai@gmial.com, blogger :gurutourza.blogspot.com)
ผู้นำใหม่-ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ |
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.”
ที่กำลังได้รับความสนใจจากทุกฝ่ายเมื่อ “ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ” เข้ามารับตำแหน่ง
“กรรมการผู้อำนวยการใหญ่” ตั้งแต่วันที่ 21
เมษายน 2558
เป็นต้นไป โดยได้สร้างประวัติศาสตร์การเป็นผู้นำ
ทอท.อายุน้อยที่สุดในวัยเพียง 40 ปีต้น ๆ เท่านั้น
ทางรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานี FM 97.0 MHz มีโอกาสสัมภาษณ์เป็นรายการรแรก
ๆ ถึง”วิสัยทัศน์” ของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ ทอท.ที่อายุน้อยที่สุดมานำเสนอในประเด็นที่น่าสนใจ
ดร.นิตินัย อธิบายว่า สถานภาพและบทบาทของ ทอท.ว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
จึงต้องรักษาสมดุลทั้งทางด้านการให้บริการสังคมและเชิงพาณิชย์ซึ่งสามารถทำพร้อมกันได้
โดยศักยภาพของสุวรรณภูมิซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติประตูเศรษฐกิจบานใหญ่ของประเทศ ในขณะนี้มีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ
45 ล้านคน
หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยจะมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอีกมาก
ดังนั้นต้องเตรียมวางแผนการขยายแผนพัฒนาการก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกในเฟสที่สอง
ว่าจะทำอย่างไรทั้งเรื่องการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและพื้นที่เชิงพาณิชย์
เพื่อให้รองรับกับวัตถุประสงค์ในเชิงสังคม เพราะจะมุ่งเพียงด้านเดียวเฉพาะพัฒนาเพื่อให้ผู้โดยสารใช้เพียงอย่างเดียวคงจะเป็นไปไม่ได้
ตามหลักการประเมินตัวเลขขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิตามสถิติที่ระบุว่ารับผู้โดยสารเต็มที่ตอนนี้ปีละ
45 ล้านคน
นั้น คำนวณตามหลักการจากช่วงชั่วโมงที่มีผู้โดยสารใช้บริการเดินทางหนาแน่น (peak hour)
ก่อนและหลังในแต่ละวัน 3 ชั่วโมง ซึ่งสุวรรณภูมรองรับได้ชั่วโมงละ 11,000 คน เมื่อนำมาคำนวณโดยคูณด้วย 3 ชั่วโมง
ส่วนที่เหลืออีก 21 ชั่วโมงนั้นจะคิดค่าเฉลี่ยมีผู้โดยสารใช้บริการเพียง 40 %
โชว์วิสัยทัศน์ใช้พื้นที่สุวรรณภูมิเฟส2ปั๊มเงินแนวใหม่
แจกอินเซ็นทีพ-เกลี่ยเที่ยวบิน-เพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์
ดังนั้นหลักปฏิบัติสำหรับการวางแผนลงทุนขยายสุวรรณภูมิเฟสสอง
จึงต้องมุ่งเน้นเรื่อง “บริการ” เป็นหลัก
เรื่องการจัดการปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารหนาแน่นในช่วง 3 ชั่วโมงของแต่ละวัน
ให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนมีจำนวนผู้โดยสารไม่หนาแน่นมากนัก
ปริมาณจราจรทางอากาศและผู้โดยสารจะมีความคับคั่งตอนช่วงเช้า 11.00 น. จากปริมาณเที่ยวบินขึ้น-ลงกว่า 50 เที่ยว/ชั่วโมง
มากกว่าช่วงเวลาปกติถึง 3 เท่า โดยช่วงปกติจะมีเที่ยวบินขึ้นลงประมาณ 20 เที่ยว/ชั่วโมง
แนวทางการบริหารจัดการจะใช้กลยุทธ์การเกลี่ยจำนวนเที่ยวบินไปอยู่กลางคืนเพิ่มมากขึ้นด้วยกลยุทธ์
“การเพิ่มแรงจูงใจ” หรือ Incentive ควบคู่กันไปในเบื้องต้น
กลยุทธ์นี้เป็นการ “เพิ่มรายได้”
โดยดูแลมาตรฐาน “บริการ” ไว้โดยไม่ได้ลดคุณภาพลงแต่อย่างใด
ในสถานการณ์ที่ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณตอนนี้เต็มแล้ว
ดร.นิตินัยอธิบายถึงแผนงานการบริหารสนามบินที่อยู่ในความดูแลของ
ทอท.ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ เชียงราย โดยเฉพาะในปี
2558 ที่กำลังขยายพื้นที่แล้วเรื่องรายได้ที่จะมาจาก 3 สนามบินหลัก
สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต
ในยุคที่ผมเข้ามารับตำแหน่งจะขอแบ่งรายได้ของ
ทอท.จากการประกอบธุรกิจสนามบินนานาชาติเป็น 3
ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 รายได้ส่วนแรกมาจากการบิน (Aero) ประกอบด้วย ค่าลงจอด (landing) ค่าจอด (parking) และ
ค่าธรรมเนียมการใช้บริการสนามบิน (Passenger
Service Charge: PSC) ทอท.มีส่วนแบ่งรายได้อยู่ประมาณ
60 %
ส่วนที่ 2 รายได้เชิงพาณิชย์ (Non Aero) แบ่งเป็นเชิงพาณิชย์ที่ผูกมากับการบิน จากผู้ประกอบการร้านค้าในพื้นที่สนามบิน
ทอท.มีส่วนแบ่งรายได้อยู่ประมาณ 40 %
ส่วนที่ 3 พาณิชย์อย่างเดียวโดยตรง เนื่องจากบางสนามบินมีสนามกอล์ฟ
หรือมีแนวคิดที่จะทำเป็น Airport City เป็นเมืองแห่งการช็อปปิ้งรอบ ๆ สนามบิน ปัจจุบัน ทอท.ยังไม่มีรายได้จากส่วนนี้
ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะต้องทำเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันเรื่องรายได้ หากเกิดกรณีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตกต่ำจากปัญหาโรคระบาดที่ต้องจำกัดหรือควบคุมการเดินทาง
หรือ เกิดปัญหาการเมืองภายในประเทศ ไม่ว่าจะมีปัจจัยภายในประเทศหรือต่างประเทศเกิดขึ้นรายได้ของสนามบินในส่วนที่
1 และ
ส่วนที่ 2 จะลดฮวบลงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นการพัฒนารายได้จากสนามบินทั้งในระยะกลางและระยะไกล ทอท.จึงต้องวางแผนหารายได้เชิงพาณิชย์
หรือ Non Aero ทั้งที่ผูกมากับการบินและเชิงพาณิชย์โดยตรง เพื่อนำมาเป็นรายได้ค้ำยันให้องค์กรเกิดเสถียรภาพมากที่สุด
ในทางกลับกันรายได้ที่จากาการบินหรือ Aero นั้นเป็นแกนหลักสำคัญ (Cor-Business)
ของ ทอท.ที่จะทิ้งไม่ได้โดยเด็ดขาด
ดังนั้นจึงต้องกลับมาดูรายละเอียดเรื่องการบริหารจัดการเที่ยวบินขึ้นลง
ในช่วงที่เช้าหนาแน่น แต่จะทำอย่างไรให้สายการบินใช้สนามบิน ทอท.มากขึ้น
“สมัยผมเคยเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาธุรกิจ
ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนพูดคุยกับผู้บริหารสายการบินซึ่งต้องการจะมาลงจอดประจำช่วงเวลา
14.00-15.00 น. จากนั้นต้องจอดเครื่องไว้นานกว่า 10 ชั่วโมงกว่าจะได้บินกลับ ทางสายการบินจึงเสนอขอเปลี่ยนเวลาไปบินช่วงที่มีเที่ยวบินขึ้น-ลง
ไม่หนาแน่น แต่มีเงื่อนไขขอให้ ทอท.ลดค่าจอดเครื่องได้หรือไม่”
“ตอนนี้ผมเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่แล้ว
ก็จะเข้าไปทำเรื่องการกระจายความถี่เที่ยวบินเพื่อเพิ่มปริมาณการจราจรจากสายการบินให้ได้มากที่สุด
โดยจะต้องดูข้อจำกัดว่าต้องแก้ไขหรือปลดล็อกอะไรได้บ้าง โดยสายการบินกลุ่มเป้าหมายมีทั้งที่ต้องการเปลี่ยนตารางเวลาบินเข้า-ออก
เป็นช่วงหลังตีหนึ่งหรือตีสองก็มีอีกเป็นจำนวนมาก”
ดร.นิตินัยยืนยันว่ากลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะช่วยเพิ่มรายได้จากการบินเข้า
ทอท.เติบโตมากขึ้น
ทอท.งัดกลยุทธ์ใหม่ลงทุนทำตลาดโหมโฆษณา
ช่วยธุรกิจในทุกสนามบินขายของเพิ่มส่วนแบ่ง
สำหรับรายได้เชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจร้านค้าในสนามบินแต่ละแห่งมีความพร้อมเรื่องเงินทุนทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ก็ไม่เดือดร้อน แต่ผมจะต้องดูแลผู้ประกอบการรายเล็กที่อยู่ในสนามบินภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะมีรายได้ตามยถากรรม นักท่องเที่ยวไม่มาก็รายได้น้อยหรือขาดทุน
สิ่งที่ต้องทำคือ
ทอท.ต้องเข้าไปช่วยทำการตลาด ทำโฆษณาให้กับผู้ประกอบการรายเล็กตามสนามบินต่าง ๆ เพราะผลที่จะตามมาหากผู้ประกอบการร้านค้ามีรายได้เพิ่ม
ทอท.จะก็จะได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มตามขึ้นไปด้วย
จึงเป็นอีกกลยุทธ์ที่จะสร้างความเข้มแข็งทางรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในสนามบินทั้ง
6 แห่ง
จับเข่าคุยธนารักษ์หนุนดอนเมืองแนวใหม่
หลังอยู่กับเงื่อนไขการค้าแบบเก่ามา100ปี
ส่วนพื้นที่ภายในสนามบินนานาชาติดอนเมือง
ที่อยู่ระหว่างเสนอใช้พื้นที่คลังสินค้า (Cargo) ก่อนหน้านี้เมื่อช่วง5-6 ปีก่อนหลายฝ่ายพยายามผลักดันให้ปรับอาคารผู้โดยสารเป็น
ฟรีโซน ศูนย์การแสดงสินค้าและศูนย์ซ่อมอากาศยานของประเทศ
เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลขณะนั้นประกาศให้ปิดใช้สนามบินดอนเมือง
แต่วันนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปแล้วเมื่อรัฐบาลอีกยุคให้นำดอนเมืองกลับมาใช้เป็นสนามบินบริการเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำ
(low cost) จนกระทั่งขีดความสามารถในการรองรับขณะนี้มีผู้โดยสารใช้บริการเกือบเต็มศักยภาพแล้วปีละ
20
ล้านคน
สิ่งที่ผมจะทบทวนการใช้พื้นที่ที่ยังว่างอยู่ในสนามบินดอนเมือง
เรื่องแรก ทบทวนการใช้ประโยชน์เพื่อทำให้เกิดมูลค่ากับประเทศ
เพราะที่ดินดอนเมืองเป็นที่ราชพัสดุเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา ในทางกฎหมายการเวนคืนได้ระบุไว้ชัดเจนว่าจะนำมาทำสนามบินและกิจการเกี่ยวเนื่องกับสนามบิน
ประเด็นนี้สำคัญมากต้องขีดเส้นการพัฒนาให้ชัดด้วยว่ากิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสนามบินนั้นมีอะไรบ้าง
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อจำกัดของสนามบิน
จากนั้นผมจะไปเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อตกลงการลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์ให้ตรงกันก่อนจะลงมือทำ
เช่น โรงแรมซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามบินจะเข้าข่ายธุรกิจหรือเงื่อนไขใดต้องทำให้โปร่งใสชัดเจนทั้งหมด
ลุยดีไซน์พื้นที่ค้าขายเชิงรุกสุวรรณภูมิเฟส2
เทียบชั้น “อินชอน”
เกาหลีใต้ใช้พื้นที่คุ้มค่า
ดร.นิตินัยกล่าวถึง แนวทางการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
เฟส 2 ที่ได้รับอนุมัติให้เริ่มเดินหน้าได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไปนั้น
ประเด็นการออกแบบพื้นที่จำหน่าย ซึ่งมีทั้งร้านค้าพาณิชย์ ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม
ร้านค้าปลอดอากรต่าง ๆ ในอนาคต ทอท.มุ่งเน้นเปิดบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กอาจจะทำไม่ได้เต็มที่
แตกต่างจากผู้ประกอบการรายใหญ่มีความพร้อมให้บริการเต็มที่ จึงต้องพิจารณาว่า
ทอท.ควรจะจัดสรรสัมปทานให้รายใดบนพื้นฐานของความโปร่งใสตรวจสอบได้ด้วยตามหลักธรรมมาภิบาล
โดยจะให้น้ำหนักความสำคัญมากกับเรื่องการออกแบบอาคารผู้โดยสารในสนามบินที่กำลังอยู่ระหว่างขยายลงทุน
ทั้งที่สุวรรณภูมิและภูเก็ต การออกแบบมีความสำคัญมากตั้งแต่แรก จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดระหว่างการออกแบบใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ระหว่างสนามบิน
2 แห่ง
แห่งแรก สุวรรณภูมิ ของประเทศไทย มีพื้นที่รวม
560,000 ตารางเมตร แต่มีพื้นที่เชิงพาณิชย์ 36,000 ตารางเมตร ใช้ประโยชน์เพื่อการค้าจริง ๆ เพียง 20,000 กว่าตารางเมตร
แห่งที่ 2 สนามบินนานาชาติอินชอน เกาหลีใต้มีพื้นที่ 496,000 ตารางเมตร เล็กกว่าสุวรรณภูมิ
แต่อินชอนมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ถึง 166,000 ตารางเมตร
มากกว่าไทยถึง 5 เท่า
นั่นคืออินชอนออกแบบสนามบินโดยทำเป็นสนามบิน Open Gate ส่วนสุวรรณภูมิออกแบบสนามบินทำเป็น
Close Gate คือใช้พื้นที่เพื่อผู้โดยสารผ่านจุดตรวจตามมาตรฐานการเข้า-ออก โดยมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ไม่มาก
ส่วนที่เหลือก็ทำเป็นเดินตรงไปขึ้นเครื่องบินอย่างเดียว
จนผู้โดยสารรู้สึกเบื่อเพราะไม่มีอะไรระหว่างทางเดินไปยังห้องพักโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง
ในขณะที่สนามบินอินชอน
ออกแบบให้นำจุดตรวจผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบินไปไว้ตรงประตูก่อนทางขึ้นเครื่องบิน
จึงสามารถนำพื้นที่มาทำเป็นร้านค้าให้ผู้โดยสารได้เดินอย่างเพลิดเพลินเจริญตาไปด้วย
เป็นการออกแบบอาคารผู้โดยสารของอินชอนที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้จากร้านค้าเชิงพาณิชย์ได้มากมายกว่า
50 % แตกต่างจาก ทอท.มีรายได้เชิงพาณิชย์ไม่ถึง 40 %
ดังนั้นสิ่งที่ผมจะต้องหารือกับคณะกรรมการ
ทอท.และฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เกี่ยวกับการเสนอแผนขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 และ
สนามบินอื่น ๆ นั้นจะต้องเห็นตรงกันถึงการออกแบบขยายอาคารผู้โดยสารและการใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้ความรอบคอบที่จะไม่ต้องกระทบกับมาตรฐานความปลอดภัยในชีวิตของผู้ใช้บริการทุกภาคส่วนทั้งเรื่อง
Safety และ Security ของสนามบินที่จะต้องปฏิบัติตามหลักสากลควบคู่กันไปด้วย
ไม่ใช่จะเอาแต่ขายของเพียงอย่างเดียว
ส่วนการจัดพื้นที่ภายในสนามบินของไทยในอดีตที่ผ่านมา การจัดสรรพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการอาจจะไม่เหมาะสมบ้าง
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำจากนี้ไปคือประเมินผลก่อนว่าภายใต้พื้นที่ใช้สอยที่มีข้อจำกัดนั้น
ทอท.ควรจะดูด้วยว่าธุรกิจประเภทไหนมีผลตอบแทนสูง คุ้มค่า มีมูลค่าสูง และ
ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมาตรการความปลอดภัย
ควรจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีผู้โดยสารอยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนกิจการประเภทที่ให้ผลตอบแทนต่ำมีมูลค่าไม่มากนักควรจะอยู่ในที่สงบแล้วใช้วิธีทำป้ายโฆษณา
บอกทางแก่ผู้ที่ต้องการใช้บริการก็ได้
เป้าหมายซึ่งเป็นความท้าทายที่จะทำให้
ทอท.เป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโต
ต้องพึ่งพาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนาการบินด้วย
หัวใจสำคัญคือวางกลยุทธ์เพิ่มรายได้ทั้งจากการบินและเชิงพาณิชย์ให้ได้เต็มศักยภาพ
“กรณีรายได้เชิงพาณิชย์ ช่วงชั่วโมงหนาแน่นมีเที่ยวบินใช้บริการมากถึง
50 เที่ยว/ชั่วโมง
หากเกลี่ยจำนวนเที่ยวบินขึ้น-ลงในสุวรรณภูมิให้มีประสิทธิภาพแล้ว
จะสามารถเพิ่มการรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้นได้อีกถึงปีละ 75,000 เที่ยว ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้เกี่ยวเนื่องด้วยนั่นคือ
ค่าบริการนำเครื่องขึ้น-ลง ค่า PSC และ ค่าลานจอด ยังไม่รวมรายได้จากการจำหน่ายสินค้า
อาหาร ช็อปปิ้ง ภายในสนามบิน และ การท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศ ที่
ทอท.สามารถช่วยเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตควบคู่กับการขยายสนามบินนานาชาติได้”
ทั้งหมดเป็นวิสัยทัศน์ของผู้นำ “ทอท.” คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่จะเปลี่ยนแปลงประตูเข้า-ออก
ของประเทศให้มีทั้งคุณค่าและมูลค่ากับเศรษฐกิจ รวมถึงการทำให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการบินภูมิภาคเอเชียอย่างเข้มแข็งเพื่ออนาคตความเป็นอยู่ที่มั่นคงของคนไทย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น