ตะลึง !ผลวิจัยไมซ์เทรนด์โลกใหม่ถอดด้าม
ไทยทุบสถิติโกยเงินจริงปีละกว่า2แสนล้าน
ททท.หลังพิง“หญิงวายเก๋า”เข้าเป้า2.84ล้านล.
เช้าวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2559 เวลา 11.00-12.00
น.พบกันทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย” FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์”
รู้ทันข่าวและสารคดีท่องเที่ยวอัพเดททุกสถานการณ์
ช่วงแรกเวลา 11.15 น.
ศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ TCEB |
คุณศุภวรรณ
ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB พร้อมแล้วที่จะเปิดผลวิจัยฉบับล่าสุด 2 โครงการที่ได้ทำในเรื่อง
“การศึกษาผลกระทบของอุตสาหกรรมต่อการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจประเทศไทย” โดยได้นำต้นแบบการทำวิจัยตามมาตรฐานเทรนด์โลกที่เรียก
Economic impact Study
เข้ามาประยุกต์ใช้กับการจัดทำสถิติและตัวเลขในอุตสหกรรม MICE ในเมืองไทย ซึ่งพบข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจว่า “ไมซ์ไทยทำรายได้”
เข้าระบบเศรษฐกิจประเทศหรือ Thailand Ecomomic impact สูงเกินกว่าสถิติจริงในปัจจุบันเกือบ
3 เท่า จากปกติที่คิดเฉพาะค่าที่พัก ห้องประชุมจัดงาน
ซื้อสินค้า และใช้บริการอื่น ๆ ที่เน้นหนักไปทางท่องเที่ยวนั้น
จึงมีตัวเลขออกมาเพียงปีละเกือบ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น
ทั้งที่ความจริงแล้ว การจัดงาน
นิทรรศการแสดงสินค้า ประชุมนานาชาติ ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และสัมมนา
นั้นเป็นมากกว่าท่องเที่ยว ตามที่ได้นำสูตรสากลของโลกมาคำนวณแล้ว
ผลปรากฎว่ารายได้จริงจากไมซ์ที่ไทยนำเข้ามาจัดวัดผลทั้งทางตรงและทางอ้อมทำรายได้พุ่งทะยานสูงถึงปีละกว่า
2.2 แสนล้านบาท
จ้างงาน 164,000 งาน ภาษีที่เข้ารัฐได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาท
“การวัดผลทางตรง”
รวมไปถึงสถานที่และคนเกี่ยวข้องกับการจัดงาน “วัดผลทางอ้อม” โดยเพิ่มผลวิจัยลงลึกตัวเลขซึ่งมีมากกว่าท่องเที่ยวเฉพาะงาน
ทั้งเรื่องการจ้างงานและการจ่ายภาษี โดยเฉพาะการจ้างงานในการจัดประชุมองค์กร (corporate meeting)กว่า 12,000
งาน เอ็กซิบิชั่น 43,000 งาน
คอนเว็นชั่นสร้างงานได้ถึงเกือบ 50,000 งาน
ส่วนการเดินทางของผู้เข้าร่วมงานมีมูลค่ามากกว่าท่องเที่ยวทั่วไป 4-5 เท่า
ปี2560 จะนำไปขยายผลในกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียกับไมซ์ TCEB ได้มีเวทีประชุมร่วมกับผู้ประกอบการและกลุ่มเกี่ยวข้อง
เน้นดึงกลุ่มนักธุรกิจทั้งผู้ซื้อและขายคุณภาพเข้าประเทศจากตลาดจัดประชุมและจัดนิทรรศการแสดงสินค้าที่มีการซื้อขายจริงมากกว่ามาเยี่ยมเยือน
ไทยติดอันดับหนึ่ง การเป็นศูนย์กลางการจัดงานประชุมวงการแพทย์
รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร
รวมถึงการเชื่อมโยงสนับสนุนยุทธศาสตร์รัฐบาลทำไทยแลนด์ 4.0 เพราะในเอเชียมีหลายประเทศก้าวข้ามผ่านไปแล้วเป็น
Innovation โดยสร้างรายได้สูงขึ้น กระจายเศรษฐกิจ
เลือกพัฒนาส่งเสริมอุตสาหกรรมดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
ทาง TCEB ได้คุยกันถึงการขยายผลสร้างการเติบโตตลาดไมซ์ใน 5
อุตสาหกรรม ได้แก่ เกษตร พลังงาน ยานยนต์ โครงสร้างพื้นฐาน
และสุขภาพองค์รวม ส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ เกษตรเทคโนโลยี สาธารณสุข
เครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ ตัวใหม่คืออุตสาหกรรมดิจิตอล อินเตอร์เน็ต
สุดท้ายสำคัญมากเกี่ยวข้องทั้งท่องเที่ยวและไมซ์คือ กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
รวมถึงวัฒนธรรมที่มีอยู่จะสร้างให้เกิดคุณค่ากับมูลค่าควบคู่กันไป
สำหรับกลยุทธ์ที่จะสนับสนุนให้เกิดความสำเร็จในปีงบประมาณ
2560
พุ่งเป้าเชื่อมโยงกับการสร้างการเติบโต 5 อุตสาหกรรม
อาหารและเกษตรเน้นเทคโนโลยี สาธารณสุข
ยานยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมากที่ใช้โรบอต ดิจิตอลหรืออินเตอร์เน็ตออฟธิง
อี-มาร์เก็ตติ้ง และสร้างสรรค์คือ เพาเวอร์เทค ดีไซน์เทค
โดยมองถึงความเป็นรูปธรรมในการดำเนินงาน เพราะไมซ์จะต้องทำให้เกิดการประชุมและซื้อขายกันจริง
แบ่งการใช้เครื่องมือใหม่โดยเน้นส่งเสริมสนับสนุน 4 ประเภท
ได้แก่
1.เลือกงานที่ยกระดับ
อยู่ในประเทศแล้วด้วยการเพิ่มจำนวนแรงกระตุ้นการจัด 2.รวมงานย่อย
ๆ ที่จัดแต่ละช่วงมารวมเป็นงานจัดในช่วงเดียวกัน 3.กำหนดสเป็กงานเพราะเทรนด์โลกจะเป็นงานเฉพาะขนาดเล็กลง
เช่น หมวดอาหารเฉพาะสาขามากขึ้น 4.การพัฒนางาน Cloaning
แยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก
พิจารณางานที่ประสบความสำเร็จในกรุงเทพฯ กระจายไปจัดตามหัวเมืองคลัสเตอร์
เขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนที่ 2 งานใหม่ที่พัฒนาโดยประมูลงานที่มีชื่อเสียงของโลกหรือเอเชียมาจัดเป็นรายการประจำในประเทศไทย
แล้วฟังข่าวความเคลื่อนไหวในวงการท่องเที่ยว
ข่าวที่1 “คิงเพาเวอร์จัดเต็มต.ค.นี้ช้อปบินฟรีไทยแอร์”
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่าภายในเดือนตุลาคม 2559 จะเริ่มเดินหน้าควบรวมกลยุทธ์การตลาด
นำร่องจัดมหกรรมการขายด้วยแคมเปญ “ช้อปดิวตี้ฟรี บินฟรีซูเปอร์เซฟ”
ให้กับแฟนคลับของนักช้อปดิวตี้ฟรี คิง เพาเวอร์ และ ผู้โดยสารของไทยแอร์เอเชีย
วางกลยุทธ์ช่องทางการขาย ทั้งแบบขายตรงหน้าร้านและออนไลน์ในเว็บไซต์ซึ่งได้รับความนิยมสูงมากของทั้ง
2 ธุรกิจคือคิง เพาเวอร์ และ แอร์เอเชีย รวมทั้งจะเปิดกลยุทธ์ “ไตรแบรนด์”
ในบัตรเดียวโดยคัดเลือกธนาคารหลัก 1 แบรนด์
มาทำการตลาดกับคิง เพาเวอร์ และ ไทยแอร์เอเชีย
เพิ่มความเข้มข้นทางการตลาดคืนประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าของทั้ง 3 แบรนด์ โดยใช้โปรดักซ์ที่แข็งแกร่งของแบรนด์มาผนวกรวมเข้าด้วยกัน
ขณะเดียวกันก็จะใช้โอกาสนี้ “ขยายฐานลูกค้า” ซึ่งปัจจุบันคิง เพาเวอร์
จะเน้นสมาชิกกลุ่มตลาดระดับที่มีอยู่กว่า 5 แสนสมาชิก
ต่อไปจะเพิ่มลูกค้ากลุ่มทั่วไปจำนวนมากซึ่งเป็นฐานผู้ใช้บริการสายการบินไทยแอร์เอเชียเข้ามารวมด้วย
แต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน
ข่าวที่ 2“ท้าเที่ยวข้ามภาค5กิจกรรมใหญ่”
บริษัท แบงค์คอกไรเตอร์ แอนด์
พาร์ทเนอร์ส จำกัด ในฐานะผู้ดำเนินการจัดทำประชาสัมพันธ์เผยแพร่แผนตลาดในประเทศปี 2560 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) รายงานว่าตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ 1 ตุลาคม 2559
เป็นต้นไป ททท. ขอท้าคนไทย ทุกคนออกเดินทางไปสัมผัสสุดยอด “กิจกรรมท้าเที่ยวข้ามภาค
5 กิจกรรมใหญ่” ซึ่งจะจัดขึ้นในทุกภาคของประเทศไทยตลอดทั้งปี
ประกอบด้วย MUSIC
ARTS TALK RUN และ FOOD (อาหารถิ่น) ทุกพื้นที่พร้อมแล้วที่จะให้ออกมาท้าเที่ยวข้ามภาคกันตลอดทั้งปี
ด้วยการออกไป PLUS ความสุขเพิ่มโดยเปลี่ยนวันธรรมดาเป็นวันเศรษฐกิจใน
“เมืองต้องห้ามพลาด พลัส” เพิ่มจาก 12 เป็น 24 จังหวัด โครงการเขาเล่าว่า กันอย่างเต็มอิ่ม
ข่าวที่ 3 “ททท.ฝากเป้า2.84ล.ล้านไว้ที่3วัย-หญิง-วาย-เก๋า”
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร”
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อธิบายว่าปี 2560
ใส่เกียร์เดินหน้าแผนการตลาดเข้าสู่โหมด “ท่องเที่ยว 4.0”
โดยได้เลือกแล้วที่จะพึ่งลูกค้ารายใหญ่ทั้งในประเทศและทั่วโลกใช้จ่ายเงินตลอดปีให้เข้าเป้า
2.84 ล้านล้านบาท จาก 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก “ผู้หญิง-Women powerment” ซึ่งเป็นผู้คุมการใช้จ่ายเงินทุกหย่อมหญ้าทั้งส่วนตัว
และในครอบครัว กลุ่มที่สอง “Gen Y” มีบุคลิกไร้ข้อจำกัดสามารถเดินทางและทำงานได้ในทุกที่ทุกเวลา
นิยมเที่ยวได้งานได้เงิน กลุ่มที่สาม “วัยเก๋า-Silver Aging” ซึ่งมีอายุเป็นเพียงตัวเลขส่วนใจเกินร้อยแถมเงินในกระเป๋าเพียบพร้อม
สำหรับโครงการส่งเสริมการขายปี 2560 “ตลาดในประเทศ” จะต้องทำเงินให้เข้าเป้า 9.5 แสนล้านบาท ด้วยโครงการไฮไลต์ “ท้าเที่ยวข้ามภาค”
หลัก ๆ เรื่อง อาหารถิ่นไทย เที่ยวธรรมชาติผจญภัยหัวใจสีเขียว
ผนวกกับขยายผลต่อยอดเส้นทาง “เมืองท่องเที่ยวรอง” จาก 12 เมืองต้องห้ามพลาด เป็น “เมืองต้องห้ามพลาด พลัส” 24 จังหวัด โครงการเขาเล่าว่า 24 เป็น 48 แห่ง และเพิ่มสัดส่วน “วันธรรมดาน่าเที่ยว” เป็น 25-30 % จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ไม่เกิน 20 %
ส่วน “ตลาดต่างประเทศ” จะต้องทำเงินให้เข้าเป้า1.89 ล้านล้านบาท
สถานที่ท่องเที่ยวเน้นขยายการขายเมืองต้องห้ามพลาด พลัส
ผนวกการขายไทยเชื่อมโยงอาเซียน กับประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มใหม่ ๆ ในแถบ CLMV กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม พร้อมกับการบุกเจาะ “กำลังซื้อ กลุ่มนิยมความหรูหรา” แต่ละคนใช้เงินทริปละ 20,000
เหรียญสหรัฐขึ้นไป ใน 4
กลุ่ม ได้แก่ คู่แต่งงานฮันนีมูน
ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติและผจญภัย (Green)
ท่องเที่ยวเชิงกีฬา และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์รวม ควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าตลาดเดิมอย่าง จีน เอเชียตะวันออก/เอเชียใต้
อาเซียน ตะวันออกกลาง รัสเซีย สหภาพยุโรป อเมริกา
ข่าวที่ 4“เติมบางจากลุ้นส่งใจเชียร์นักกีฬาไทยไปกีฬาโลก”
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
จัดแคมเปญ “เติมพลังเชียร์เพื่อชาติ” รณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันร่วมส่งแรงใจเชียร์นักกีฬาไทย
ในกีฬาระดับโลก 2016 ด้วยการเลือก “เติมน้ำมันบางจากครบ 600 บาท” รับฟรี "แก้วแรงใจ" 1 ใบ มูลค่า 15 บาท สะสมให้ครบ 4 แบบก่อนใคร
ที่ปั๊มบางจากที่ร่วมรายการ ได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2559 หรือจนกว่าของจะหมด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.bangchak.co.th
ข่าวที่ 5 “เล็งขยายไมซ์
ซิตี้ รวม9
พื้นที่”
“ภูริพันธ์ บุนนาค”
ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) หรือ TCEB เปิดเผยว่า
ทีเส็บพร้อมใช้ MICE
CITY ให้สอดคล้องตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศใช้ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมการประชุม
และแสดงสินค้านานาชาติของไทยให้เป็นกลไกหลักในการสร้างเศรษฐกิจ
หนุนธุรกิจภาคบริการมุ่งกระจายการค้าการลงทุนสู่ภูมิภาค ประเทศไทยพัฒนาเป็นประเทศรายได้สูง
จากฐานเศรษฐกิจด้านองค์ความรู้ ที่มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม
เป็นศูนย์กลางด้านการค้าและบริการของภูมิภาค ขณะนี้เตรียมขยายพื้นที่ไมซ์ ซิตี้ จากปัจจุบัน 5 พื้นที่ จะทยอยเพิ่มใหม่ในเมืองศักยภาพรองอีก
4 พื้นที่
รวมเป็น 9 พื้นที่
ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน-1 กรกฏาคม 2559 ในการจัดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ
MICE City Summit 2016 ทีเส็บได้กระตุ้นและตอกย้ำภาครัฐและเอกชนรวมถึงองค์กรเกี่ยวข้องตื่นตัวกับการนำพาไมซ์
ซิตี้ ก้าวสู่ระดับนานาชาติ ตามที่ทีเส็บได้เร่งส่งเสริมให้เกิดไมซ์ ซิตี้ 5 เมืองหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และขอนแก่น และพื้นที่เป้าหมายเมืองไมซ์รองที่มีศักยภาพเป็น
ไมซ์ ซิตี้ ได้แก่ เชียงราย อุดรธานี ระยอง
และสงขลา โดยจัดให้มี “เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดำเนินงานไมซ์
ซิตี้” ในระดับผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติการ
สร้างเครือข่ายเชิงธุรกิจด้านไมซ์ในพื้นที่เป้าหมาย
ข่าวที่
6 “สุวรรณภูมบริการจอดรถฟรีช่วงเข้าพรรษา”
“ศิโรตม์ ดวงรัตน์”
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า สนามบินสุวรรณภูมิได้ยกเว้นค่าบริการจอดรถยนต์ให้แก่ผู้โดยสารในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา
สามารถนำรถมาจอดที่ลานจอดรถระยะยาว โซน C รองรับได้ 718 คัน เริ่มวันที่ 16 ก.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา
00.01 น. และวันที่20 ก.ค.ขอนำรถออกภายในเวลา 00.00 น. ของ รวมทั้งได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการลานจอดรถระยะยาว
โดยจัดเตรียมรถ Shuttle Bus สายพิเศษ วิ่งให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างบริเวณลานจอดรถระยะยาว
โซน C กับ อาคารผู้โดยสารทุกๆ 15 นาที ซึ่งจุดจอดรถ Shuttle
Bus จะอยู่ที่อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 5และผู้โดยสารขาเข้า
ชั้น 2 ประตู 5 โดยผู้ใช้บริการรถ Shuttle Bus ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ข่าวที่ 7“กลุ่มแอร์เอเชียซื้อฝูงบินเพิ่มล็อตใหญ่100ลำ”
“โทนี่ เฟอร์นานเดส”
ประธานบริหารกลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย กล่าวว่าล่าสุดได้ลงนามยืนยันสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส
เอ321นีโอ จำนวน 100 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินในตระกูลแอร์บัส เอ320 ที่สั่งจำนวนที่มากที่สุดครั้งแรกของสายการบินแอร์เอเชีย
โดยแอร์บัส รุ่นเอ321นีโอ สามารถติดตั้งที่นั่งสำหรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง
240
คนเพิ่มความสามารถในการบรรทุกผู้โดยสารและสร้างผลกำไรจากต้นทุนในการปฏิบัติการที่ต่ำที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องบินทางเดินเดี่ยวทั้งหมด
ปัจจุบัน
กลุ่มสายการบินแอร์เอเชียปฏิบัติการบินราว 1,000
เที่ยวบินต่อวันไปยังจุดหมายปลายทางกว่า 120 แห่งใน 24 ประเทศ เราสร้างสถิติอัตราการบรรทุกผู้โดยสารที่แข็งแกร่งที่อัตราร้อยละ 85 ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีพ.ศ.2559 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 8
จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ช่วงที่ 2 เวลา 11.45 น.จะท้าไปเติมเต็มประสบการณ์ความสุข ที่ “ศูนย์วิจัยเกษตรเชียงใหม่
(ขุนวาง) แล้วมารู้เท่าทันโรคหูดับซึ่งเกิดจากการเลือกรับประทานสุก ๆ ดิบ ๆ และ
ข่าวฮ็อตในรอบสัปดาห์
ท้าเที่ยวดอยที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
ทริปนี้ขอ “ท้าขึ้นดอยสูงเที่ยวข้ามภาค” จากกรุงเทพฯ
ไปแอ่วเมืองเหนือ ที่ “ศูนย์ศึกษาวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
(ขุนวาง)” ที่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วิน
จังหวัดเชียงใหม่
แหล่งเพาะพันธุ์พืชและไม้ผลเมืองหนาวซึ่งถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร
ความโรแมนติกของ “ศูนย์ศึกษาวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)”
อยู่ตรง “ผืนป่าสีชมพูบนดอยสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,100 เมตร อากาศเย็นสบายทำให้ “นางพญาเสือโคร่ง” หรือ “ซากุระเมืองไทย” ขึ้นและบานสะพรั่งเต็มหุบเขา
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ระหว่างทางขึ้นไปยังศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)
จะได้ชมวิถีชีวิตชาวเขาตลอดการเดินทางซึ่งจะต้องผ่าน “หมู่บ้านปะกากะญอและหมู่บ้านม้ง”
ในอ้อมกอดของแนวเทือกเขาดอยอินทนนท์ ในอดีตชาวเขานิยมปลูกฝิ่นจำนวนมาก
เมื่อ36 ปีที่ผ่านมา ช่วงพ.ศ. 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินมายังบ้านขุนวาง
แล้วทรงมีพระราชดำริให้กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ปรับปรุงพื้นที่เสียใหม่ให้เป็น
สถานที่ทดลอง ขยายพันธุ์ ส่งเสริม
และถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืชเมืองหนาวบนที่ราบสูงให้ชาวบ้านแทนการปลูกฝิ่น
ทุกวันนี้ชาวเขาก้าวหน้าไปไกลสามารถเพาะปลูกและวิจัยพืชพรรณไม้ผลเมืองหนาวอย่าง
สาลี่ พลัม แมคคาเดเมีย เกาลัดจีน สตรอว์เบอร์รี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย
รวมถึงกลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” ที่ได้เปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติด้วยอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
จึงขอท้าให้ “เที่ยวข้ามภาค”
ไปเปิดประสบการณ์ “เที่ยวเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง” ที่
“ศูนย์ศึกษาวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) อ.แม่วิน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น สำหรับจุดชมที่ต้องห้ามพลาด ได้แก่ ถนนสายซากุระเมืองไทย
ไร่กาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์คาติมอร์ และกิจกรรมชมแปลงทดลองการเกษตร กับ
เก็บภาพสวยตลอดการเดินทางสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.053-318-333
จะยิ่งดีกว่าถ้าเลือกไป “เที่ยววันธรรมดา” แนะนำให้ไปพักผ่อนครั้งละ 3 วัน 2 คืน
“วันแรก” ช่วงเช้า ชมศูนย์ศึกษาวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
(ขุนวาง) ให้ชุ่มปอด “ช่วงบ่าย” ขึ้นไปชมพระตำหนักดอยผาตั้ง
และเรือนประทับกับเรือนทรงงาน
วันที่ 2 ช่วงเช้า ออกไปดูสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมขุนช้างเคี่ยนและดอกซากุระบานสะพรั่งทั้งป่า
ช่วงบ่าย ไปสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
เดินชมธรรมชาติบนสะพานยาวที่สุดของเมืองไทย
วันที่ 3 “ช่วงเช้า” ขึ้นรถรางไปดูพรรณไม้ที่สวนพฤกษศาสตร์ทวีชล
ต่อด้วยงานพุทธศิลป์บ้านเด่นสะหรีศรีเมืองแกน “ช่วงบาย” เข้าพิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์
พระตำหนักของเจ้าดารารัศมี ปิดท้ายด้วยการแวะซื้อของฝากที่กาดวโรรสและกาดอื่น ๆ
นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำว่า
ในช่วงหยุดยาววันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาที่จะถึงนี้
ประชาชนจำนวนมากจะเดินทางกลับภูมิลำเนา และมีการพบปะญาติพี่น้อง
ซึ่งอาจมีการจัดเลี้ยงหรือทำอาหารรับประทานร่วมกัน
ดังนั้นจึงควรระวังในเรื่องการบริโภคสุกๆดิบๆ
โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ชำแหละกันเองในหมู่บ้าน และนำมากินดิบๆ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ
หลู้หมูดิบ หมูกระทะปิ้งย่างไม่สุก จิ้มจุ่มที่ต้มไม่สุก เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับ
หรือโรคติดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส และอาจทำให้หูหนวกถาวรหรือเสียชีวิตได้
“อาการ” ของผู้ที่ได้รับเชื้อสเตร็บโตค็อกคัส ซูอิส
เข้าไปในร่างกาย จะป่วยหลังติดเชื้อประมาณ3-5 วัน อาการที่พบ คือไข้สูง
ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูดับ ท้องเสีย
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
“วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด” คือ 1.กินหมูสุกเท่านั้น
โดยปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึงด้วยความร้อนหรือทำให้สุกจนเนื้อไม่มีสีแดง
ไม่กินสุกๆ ดิบๆ และควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้า
ซึ่งจะผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ
2.ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์
ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบู๊ทยาง สวมถุงมือ
รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด
และล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง
“วิธีรักษา” ผู้ที่มีอาการป่วยหลังสัมผัสหมูที่ป่วยหรือหลังกินอาหารที่ปรุงมาจาก
เนื้อหมู เลือดดิบๆ หรือปรุงสุกๆ ดิบๆ
ให้รีบพบแพทย์ทันทีและต้องบอกประวัติการกินหมูดิบให้ทราบด้วย
เพราะหากมาพบแพทย์เร็วจะช่วยลดอัตราการหูหนวกและเสียชีวิตได้
เนื่องจากโรคนี้รักษาหายและมียารักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ
หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422
สำหรับข่าวฮ็อตในรอบสัปดาห์
ข่าวแรก
“โซเชียลกิ๊ฟเวอร์เปิดรหัสลับธุรกิจทัวร์เติมบุญ”
“อาชว์ วงศ์จินดาเวช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริษัท
โซเชียลกิ๊ฟเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจ Start Up ท่องเที่ยวสายพันธุ์ใหม่
ซึ่งเน้นบริการขายบัตรของขวัญท่องเที่ยวทั่วประเทศเพื่อนำกำไรที่ได้ไปช่วยเหลือสังคมทั้งคนและสัตว์
ตามมูลนิธิและศูนย์คนด้อยโอกาสในเครือข่ายกว่า 20 แห่ง
โดยมีแบรนด์บริการท่องเที่ยวทุกประเภทเข้าร่วมวางขายกว่า 100 แบรนด์ ขณะนี้ได้เปิดพื้นที่ออนไลน์ www.socialgiver.com ให้เข้าไปเลือก “ช้อป” สินค้าในราคาสุดพิเศษ พร้อมกับ “ช่วย” ระดมทุนให้โครงการเพื่อสังคมไปพร้อมกัน
โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถร่วมโครงการระดมทุนให้กับ “โครงการปันน้ำใจช่วยค่าน้ำมัน”เพื่อช่วยเหลือค่าเดินทางให้กับน้องที่มีอาการป่วยให้ได้รับการบำบัดรักษา
และเปิดให้เข้าไปร่วมงานนี้ด้วยกันในวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2559 เวลา 14.30-17.30
น. ณ ร้านอาหาร Crêpes & Co. ซอยหลังสวน ซึ่งจะจัดกิจกรรม Ocean
/ Art / Heart Therapy
ให้กับบ้านคามิลเลียนเพื่อเด็กพิการให้ความช่วยเหลือดูแลเด็กที่มีอาการป่วยและพิการซํ้าซ้อน
โครงการนี้โซเชียลกิ๊ฟเวอร์จับมือกับ
เกาะมันนอกไพรเวท (Koh Munnork Private
Island) ซึ่งให้บริการที่พักบนเกาะมันนอก จังหวัดระยอง
เกาะส่วนตัวแสนสงบและใกล้ชิดกับธรรมชาติที่สุด
ภายในงานจะทำกิจกรรมร่วมกับ
“น้องผู้พิการซ้ำซ้อนบ้านคามิลเลี่ยน” ทั้งกิจกรรมศิลปะบำบัดเพื่อความสร้างสรรค์และการระบายสีบนแก้วน้ำ
ติดตามรายละเอียดโครงการเพิ่มได้ที่ www.Socialgiver.com หรือสอบถามจากคุณ ปูมนุรี ศุภจรรยา บริษัท
โซเชียลกิ๊ฟเวอร์ จำกัด โทร: +66 86 506 5574 อีเมล์: poomnuree@socialgiver.com
“นาฬิกอติภัค แสงสนิท” ผู้อำนวยการ
องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)
หรือ อพท. เปิดเผยว่า ได้ทำเรื่องเสนอของแก้ไข กฎหมาย
พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ
เพื่อขอขยายบทบาทการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ให้ครอบคลุมกับ 8 คลัสเตอร์ ประกอบไปด้วย
1.เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง
2.เขตพัฒนาการท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม
3.เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำโขง
4.เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา 5.เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน
6.เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอีสานใต้ 7.เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก
8.และเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
จะทำให้ อพท. จะสามารถเข้าไปจัดการ จัดตั้งพื้นที่พิเศษ
ในพื้นที่คลัสเตอร์ดังกล่าวได้เลย โดยครอบคลุมถึง 41 จังหวัดของประเทศไทย
ส่วนปัจจุบันพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว
ที่ อพท. ดำเนินงานอยู่มีด้วยกัน 6 แห่ง คือ หมู่เกาะช้าง, เลย, น่าน, เมืองโบราณอู่ทอง, อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย, เมืองพัทยา
แผนกอาหารไทย
โรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม
รับสมัครนักเรียนรุ่นที่ 6 “เรียนเชฟอาหารไทย”
เปิดสอนภาควันธรรมดา ซึ่งจะเริ่มเรียนวันจันทร์ที่ 1
สิงหาคม 2559
นี้ โดยนักเรียนจะได้เรียนทำอาหารคาว 30
อย่าง และของหวาน 15 อย่าง รวมหลักสูตรอื่นๆ
อาทิการแกะสลักผักและผลไม้เพื่อตกแต่งจาน การบริหารจัดการห้องอาหารไทย และครัวไทย
เรียนจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 3 ช.ม. สัปดาห์ละ 15
ช.ม. รวมตลอดหลักสูตร 60 ช.ม. ภายใน 4
สัปดาห์ หรือ 1 เดือนเท่านั้น เมื่อจบแล้ว นักเรียนจะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
รับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ สามารถไปประกอบอาชีพเชฟอาหารไทย
และเปิดร้านอาหารไทยได้ สอบถามได้ที่คุณภรัณยู โทร.081 805 0581
ข่าวที่สี่
“ธุรกิจเตรียมโกยเงินหมื่นล้านช่วงเข้าพรรษา”
“ธนวรรธน์ พลวิชัย”
ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า
ได้สำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
พร้อมทั้งวันหยุดยาว 5 วัน (16-20 ก.ค.) พบว่าจะมีเงินสะพัดถึง 5,773.21 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 7.6% นับว่าสูงสุดในรอบ 5 ปี หากรวมการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวด้วย เชื่อว่าจะถึง 10,000 ล้านบาท
หรือคิดเป็น 0.05% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แม้จะยังไม่มาก
แต่นับเป็นสัญญาณที่ดีที่สะท้อนว่าประชาชนมั่นใจว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว
จึงพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอย
สำหรับเทศกาลอาสาฬหาบูชาและเข้าพรรษา
ชาวพุทธศาสนิกชนยังคงใช้จ่ายเพื่อทำบุญมากขึ้นกว่าเดิม
หรือเฉลี่ยใช้เงินคนละ 4,571 บาท ทั้งด้านปริมาณ
และมูลค่าการใช้จ่าย โดยใช้เงินเพื่อซื้อของตักบาตรมากสุด เฉลี่ยคนละ 436 บาท
รองลงมา ทำบุญ 793 บาท ถวายเทียน 534 บาท ท่องเที่ยวในประเทศ 4,156 บาท ทำทาน 352
บาท เวียนเทียน 277 บาท ปล่อยนก ปล่อยปลา 253 บาท เสี่ยงโชค ซื้อสลาก ซื้อหวย 986
บาท กลับบ้านต่างจังหวัด 2,842 บาท ทานอาหารนอกบ้าน 1,257 บาท เที่ยวห้าง 1,460
บาท
พบกับสาระข่าวดี ๆ ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.
ดำเนินรายการโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน และ นฤมล พุกยม
ติดตามฟังรายการย้อนหลังเข้าไปที่ www.google.com พิมพ์คำว่า รวยด้วยข่าว97.0 หรือทาง www.facebook.com/rauydauykhao
และ ข่าววิเคราะห์เจาะลึกทางบล็อกเกอร์ :gurutourza.blogspot.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น