ผู้นำสามพรานระดมทั่วไทยโหมเทรนด์เกษตร์อินทรีย์
“TCEBไมซ์-บีกริม-ชีวจิต”กอดคอดันไทยผงาดเอเชีย
คิงเพาเวอร์สร้างสนามบอลมวกเหล็กปั้นนักเตะไทย
คิงเพาเวอร์ลดรับปีใหม่กับMagic Winter
Sale
ททท.ลั่นปี’63โกยอินเดียทัวร์ไทยใช้เงิน5หมื่น/ทริป
บางจากชวนเติมน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร5ช่วยโลก
ตะลอนเที่ยวตลุยกินอาหารถิ่นในหาดใหญ่ สงขลา
จุลินทรีย์”ที่ดีต่อร่างกายในอาหารหมักดอง/เปรี้ยว
อโกด้าโพลล์ชี้เป้า3เทรนด์แรงเที่ยวไทย-เอเชียปี63
รัฐโหมสตรีทฟู้ดดันยอดทัวร์อาหารพุ่ง3.4แสนล้าน
เข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์”
ในวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม
2563
เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางมือถือ
และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza # #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เที่ยวกับกู๋ #สามพรานโมเดล # #
#
ช่วงที่ 1
เปิดศักราชใหม่กับ
“อรุษ นวราช” กรรมการผู้จัดการ สวนสามพราน ประกาศต่อยอด “อาหารยั่งยืน” สร้างวงจร
“เกษตรอินทรีย์ไทย” ดึงอุตสาหกรรมไมซ์ผุดจุดขายเทรนด์ใหม่ได้ 3 เด้ง “สุขภาพ-รักษาสิ่งแวดล้อม-เกื้อกูลสังคมเกษตร”
โหม Low Carbon FootPrint Event ดันไมซ์ไทยผงาดเหนือคู่แข่งอาเซียนขึ้นนำตลาดอินเตอร์
พร้อมดึงขาใหญ่พลังงาน “บี-กริม เพาเวอร์” TCEB ร่วมวงต่อยอดผลผลิตข้าวสู่กาแฟ
วัตถุดิบอาหารเพื่อการท่องเที่ยวและคนทั้งมวล
อรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ สวนสามพราน เจ้าของสนามพรานโมเดล |
นายอรุษ
นวราช กรรมการผู้จัดการ สวนสามพราน นครปฐม ผู้ก่อตั้งสามพรานโมเดล เปิดเผยว่า ปี 2563 ตั้งเป้านำประเทศไทยเข้าสู่เทรนด์การท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ครบวงจร
โดยวางแผนพัฒนาขับเคลื่อนเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมเพื่อขยายผลต่อเนื่องจากปี
2562 มีภาคีเครือข่ายร่วมเดินหน้าด้านอาหารจะมีนิตยสารชีวิตกลุ่มผู้นำสื่อด้านสุขภาพมาเสริมทัพ
นอกเหนือจากกลุ่มปัจจุบันมีโรงแรม ร้านอาหาร ทั่วประเทศแล้ว และจะมีภาครัฐอย่าง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เอกชนในธุรกิจอื่นจะนำร่องร่วมโครงการเป็นครั้งแรก
ได้แก่ กลุ่มบริษัท บีกริม เพาเวอร์ ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ
ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่
เพราะฉนั้นจึงสามารถเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์
เป้าหมายในการดึงองค์กรภาครัฐ
องค์การมหาชน และบริษัทขนาดใหญ่ระดับประเทศ
เข้ามาเชื่อมโยงนั้นก็เพื่อต้องการสร้าง “วิสัยทัศน์” ไปทิศทางเดียวกันก่อน
เพราะทุกคนก็ต้องการจะมีสุขภาพที่ดีบริโภควัตถุดิบอาหารปลอดสารพิษ ตัวอย่าง การดึง
TCEB/สสปน.เข้ามาเมื่อ 4 ปีก่อนได้ทำโครงการ
Farm to Funtion รวมทั้งกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ศูนย์ประชุม
รวมตัวกัน ซื้อข้าวเกษตรอินทรีย์จากผู้ผลิตในจังหวัดสุรินทร์ ภาคอีสาน ผ่านมา 4
ปี กระแสตอบรับดีมากทุกกลุ่มสั่งซื้อข้าวปีละ 300 ตัน พวกเราเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ
ปี 2563 ตั้งเป้าจะดึง TCEB มาร่วมกิจกรรมโครงการเกษตรอินทรีย์อีกครั้ง
เพื่อรณรงค์ให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์เลือกสั่งซื้อวัตถุดิบจากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์
แล้วทำให้เกิดจุดขายของประเทศไทยได้เมื่อผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละครั้งรู้สึกมีส่วนร่วมส่งเสริมเกษตรกรสร้างเปลี่ยนแปลงเป็นจุดขายอย่างยั่งยืน
ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีใครต้องลงทุนเพิ่ม เพียงแค่ปรับวิธีการทำงานร่วมกัน
ปีนี้จะเริ่มจากเรื่องข้าวมาแล้ว 4 ปี นับจากปี 2563 จะขยายผลิตภัณฑ์ต่อยอดไปสู่ “กาแฟ”
โดยหาแนวร่วมที่มีเป้าหมายในวิสัยทัศน์เดียวกัน
สำหรับการทำโครงการ
Farm to Funtion จากข้าวสู่กาแฟ จะยังคงใช้ชื่อเดิม
เพราะความหมายมาจากฟาร์มแล้วไปสู่ฟังก์ชั่น คือการประชุม จัดอีเวนต์ ร้านอาหาร
โรงแรม เมื่อขยายผลิตภัณฑ์เพิ่มกาแฟซึ่งมีผู้บริโภคเฉลี่ยใกล้เคียงกันกับข้าว
จากนั้นก็จะมีผัก ผลไม้ แต่จะบริหารจัดการยากกว่าเพราะต้องเก็บรักษาให้ดีพอสมควร
โครงการต่อยอดผลิตภัณฑ์กาแฟเข้าสู่อุตสาหกรรมไมซ์
ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือ ชวนผู้ประกอบการกลุ่มผู้ซื้อมาพูดคุยเพื่อรับซื้อกาแฟ
แนวโน้มไม่น่าจะซื้อขายยาก เพราะได้ผ่านประสบการณ์เจรจาในจุดยากสุดมาแล้ว
เพราะต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกัน เพียงแค่มาตกลงกันเรื่องราคาให้สมเหตุผล สเปค
การจัดส่ง ภายในครึ่งปีแรก 2563 น่าจะเริ่มซื้อขายจากเกษตรกรซึ่งตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูและจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป
นายอรุษกล่าวว่าการใช้ศักยภาพบนพื้นฐานของประเทศใช้เกษตรอินทรีย์เป็นจุดขายยกระดับการแข่งขันทางด้านไมซ์กับประเทศต่าง
ๆ ในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ หากมีทางเลือกระหว่างสิงคโปร์ซึ่งสามารถโฆษณาความไฮเทค Sea Sand Sun หรือ Manmade แต่ไทยพอยกเรื่องมีวัตถุดิบอาหารเป็นเกษตรอินทรีย์
เช่น ข้าว กาแฟ ผัก ผลไม้ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพผู้บริโภคส่วนใหญ่
อีกทั้งยังให้ประโยชน์ทางอ้อมสามารถปลดหนี้เกษตรกร เลิกทำลายป่า เลิกใช้สารเคมี
ดังนั้นคนที่เลือกมาประชุมเมืองไทยจ่ายในราคาไม่ได้แพงกว่าปกติแต่กลับได้ประโยชน์มากถึง
3 เด้ง ได้แก่ 1.ได้การดูแลรักษาสุขภาพตนเอง
2.ได้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากทำการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี 3.ได้เกื้อกูลสังคมช่วยเกษตรกรมีรายได้ประหยัดค่าซื้อสารเคมี
สาเหตุที่เมืองไทยทำเกษตรอินทรีย์แล้ว
แต่กลับสามารถขายได้ในราคาไม่แพง
ก็เพราะเกษตรกรปัจจุบันมีเครือข่ายเชื่อมโยงการขายตรงกับกลุ่มผู้ซื้อจากธุรกิจโรงแรม
ร้านอาหาร และอื่น ๆ สามารถช่วยดูแล สุขภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม
ทุกฝ่ายได้ช่วยกันเกื้อกูลประโยชน์จริง ๆ ต่อโลก เมื่อนั่งเครื่องบินข้ามทวีปทำให้เกิดคาร์บอน
ฟรุตปริ๊นท์ แล้ว เมื่อมาถึงเมืองไทยก็มาอุดหนุนเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ต้องใช้สารเคมี
แต่เน้นการรักษาสมดุลของธรรมชาติไว้ให้โลก โดยใช้วัตถุดิบใกล้ตัว
จึงทำให้ต้นทุนคาร์บอน ฟุตปริ๊นท์ ที่ต่ำกว่ามาก
เพียงแค่คิดตามหลักการอย่างง่ายก็สามารถทำ “Low Carbon
Events” ได้แล้ว
เป็นจุดขายสำคัญของการสร้างเทรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ให้เป็นผู้นำตลาดโลกได้
นายอรุษกล่าวว่า
ปลายเดือนธันวาคม 2562 ได้เริ่มจัดทำ
ดิจิทัล แพลตฟอร์ม
เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับเครือข่ายระหว่างผู้ขายในกลุ่มผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์กับผู้ขายในกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม
ร้านอาหาร และอื่น ๆ ทุกฝ่ายก็จะเห็นข้อมูลซึ่งกันและกัน
ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นธรรม คาดจะสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ดิจิทัล
แพลตฟอร์ม เต็มรูปแบบได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2563
สำหรับการนำดิจิทัล
แพลตฟอร์ม เข้ามาทำให้เกิดกระแสหรือเทรนด์การบริโภคเกษตรอินทรีย์
ทุกฝ่ายเริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้น สามารถเป็นทางเลือกของทั้งผู้บริโภคและผู้บริโภค
เมื่อประเมินผลทางการตลาดตามตัวเลขอย่างเป็นทางการนั้นส่วนใหญ่ข้อมูลจะมาจากผู้ค้าอินทรีย์กับผู้ขายในตลาดสุขใจซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่แถวหน้าของเมืองไทย
พบว่าตอนนี้การบริโภควัตถุดิบอินทรีย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 20 % นอกเหนือจากการส่งออก แต่ฐานการบริโภคในประเทศเริ่มตื่นตัวแต่ยังไม่สูงมากปีละไม่กี่พันล้านบาท
จึงสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ไฮไลต์ปี
2563 ตั้งเป้าที่จะปลุกกระแสด้าน “อาหารยั่งยืน”
มากกว่า ขณะที่เกษตรอินทรีย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาหารเท่านั้น
โดยมีผู้ผลิตกับผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันเพิ่มมากขึ้น
กรณีกลุ่ม บีกริม เพาเวอร์ หรือบริษัทอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีงบประมาณจัดทำ CSR
สามารถนำมาพัฒนาด้านอาหารได้ องค์ประกอบเหล่านี้ถือเป็นโซลูชั่น
หาทางออก และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ ปรับวิธีการทำงาน ไม่ใช่เรื่องการลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด
เพียงแค่ปรับวิธีการทำงาน
ก็สามารถจะเดินหน้าอาหารยั่งยืนและการเกื้อกูลสังคมเกษตรกรให้ปลดหนี้ปลอดเคมีสารพิษได้แล้ว
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เปิดเผยว่าได้ลงนาม MOU
กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย
เพื่อสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ “KING
POWER NATIONAL FOOTBALL TRAINING CENTRE” ในพื้นที่
150 ไร่ ของการกีฬาแห่งประเทศไทย อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
วางแผนจะนำประสบการณ์
องค์ความรู้และเทคโนโลยีจากต้นแบบสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ เข้ามาวางรากฐานและพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ใช้ประโยชน์จากศูนย์แห่งนี้ฝึกนักกีฬาที่สนใจทางด้านฟุตบอลทั้ง
เด็ก เยาวชน ผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน
นักกายภาพบำบัด นักเวชศาสตร์ ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์การกีฬาฟุตบอล
อีกทั้งในอนาคตยังจะพัฒนาเป็นจุดหมายปลายทางของรายการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์ในระดับประเทศ
เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ฟุตบอล ที่มีการนำเสนอแบบร่วมสมัย รวมถึงเป็นสถานที่สัมมนา
ให้หน่วยงานภายนอก และให้บุคคคลทั่วไปสามารถใช้เป็นสถานที่พักผ่อนได้ด้วย
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
เปิดมหกรรมช้อปลดกระหน่ำต้อนรับศักราชปีหนู 2563 กับแคมเปญ Magic Winter Sale ระหว่างวันนี้-22 มกราคม
2563 ที่ร้านคิง
เพาเวอร์ สาขาในเมือง ได้แก่ รางน้ำ มหานคร ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต
เมื่อซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไขรับเงินคืนสูงสุดถึง 3,000 บาท หรือจ่ายด้วยบัตรเครดิตที่เข้าร่วมทั้ง
ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย เคทีซี กรุงศรี ทีเอ็มบี ธนชาติ ซิตี้แบงก์ กับส่วนลด 15 % และสามารถผ่อน
0 % ได้นาน 10 เดือน
โดยเฉพาะที่คิง
เพาเวอร์ รางน้ำ ยังสามารถเข้าไปท่องเที่ยวใน Winter Village แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงได้จนถึง
12 มกราคม
นี้ แล้วช้อปปิ้งกับเพลิดเพลินในการทำกิจกรรมในโซน Little Pier เช่น ซื้อตั๋ว 100
บาท ร่วมทำสร้อยข้อมือลูกปัดเพียงชิ้นเดียวในโลก ทำแล้วใส่กลับบ้านได้เลย
หรือจะเพ้นแฟนซีใบหน้าและร่างกาย สไตล์ Winter Glitter
นายกฤษฎา รัตนพฤกษ์
ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ปี 2563
พุ่งเป้าขยายนักท่องเที่ยวตลาดอินเดียซึ่งกำลังมาแรงเติบโตดีมากทั้งจำนวนและรายได้ตลอดปี
2562
มาไทย1.9 ล้านคน เพิ่ม 19% ปัจจุบันมาไทยเฉลี่ย 5,500 คน/วัน ช่วง 11 เดือนแรกช่วงมกราคม-พฤศจิกายน มาแล้ว 1.8 ล้านคน เพิ่ม
26.31% สร้างรายได้ 77,600
ล้านบาท เพิ่มมากถึง 30.11% ปัจจุบันใช้จ่ายเงินเฉลี่ยต่อคนต่อทริป
50,000 บาทบาท
เพิ่มขึ้นกว่า 30 %
ปี 2563 วางกลยุทธ์บุกเจาะอินเดีย 3
กลุ่มหลัก คือ 1.กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่
2.กลุ่มแต่งงาน
3.กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง โดยจะร่วมกับพันธมิตรทำโปรโมชั่น มีทั้ง
สายการบิน บริษัทวางแผนแต่งงาน รวมพร้อมกับภาคเอกชนเดินทางไปร่วมเจรจาซื้อขายท่องเที่ยวรายการใหญ่ในอินเดียคืองาน
South Asia Travel and Tour 2020 : SATTE2020
ระหว่าง 8-11 มกราคม 2563 ณ กรุงเดลี
เนื่องจกาขณะนี้สายการบินทยอยเปิดจุดใหม่และเพิ่มเที่ยวบิน
ไป-กลับ ระหว่างอินเดียกับไทยอย่าง ไทย แอร์เอเชีย เปิดใหม่ 2 เส้นทาง กรุงเทพฯ-อาห์เมดาบาด
4 เที่ยว/สัปดาห์ กรุงเทพฯ-พาราณสี 4 เที่ยว/สัปดาห์ ส่วนไทยสมายล์มีเที่ยวบินตรง
7 เมือง รวม 38 เที่ยว/สัปดาห์ ได้แก่ คยา พาราณสี
ชัยปุระ ลัคเนา มุมไบ กัลกัตตา อาห์เมดาบาด รวมทั้งหมดราว เสริมทัพการบินไทยสายการบินแห่งชาติที่บินประจำ
ระหว่างไทย-อินเดีย มากว่า 50
เที่ยว/สัปดาห์ ไปยัง เดลี มุมไบ ไฮเดอราบาด เชนไนบังกาลอร์
ล่าสุดนักลงทุนอินเดียตัดสินใจมาปักธงลงทุนโรงแรมแบรนด์
“โอโย” ประกาศขยายบริการห้องพักตามเมืองท่องเที่ยวหลักในไทยอย่าง พัทยา หัวหิน
ภูเก็ต และอื่น ๆ เบื้องต้นจะเปิดให้ครบ 13 พื้นที่ รวมกว่า 8,000 ห้อง
เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางเข้ามาปีละจำนวนมาก
ข่าวที่
4 “บางจากชวนเติมน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5”
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เชิญชวนให้หันมาเติมน้ำมันดีเซลทุกชนิดที่ได้การรับรองมาตรฐานยูโร 5 โดยสามารถจ่ายในราคาเท่าเดิมตั้งแต่วันนี้
- 16 มกราคม 2563 เพื่อช่วยลดมลภาวะในกรุงเทพฯ
และลดมลภาวะจากฝุ่น PM 2.5 ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของทุกคน
โดยมาจากโรงกลั่นน้ำมันบางจากที่ทันสมัยเป็นแบบ
Complex
Refinery มีกำลังการผลิต 120,000 บาร์เรล/วัน สามารถผลิตน้ำมันกลุ่มเบนซินและกลุ่มดีเซลซึ่งเป็นน้ำมันที่มีมูลค่าสูงได้คุณภาพตามข้อกำหนดมาตรฐานยูโร
4 ของภาครัฐ รวมทั้งเป็นโรงกลั่นรายแรกในเอเชีย
ที่ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 มาตรฐานยูโร 5 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้ผู้คนได้ใช้ของดีมีประสิทธิภาพในระยะยาวต่อไป
ช่วงที่
2 ชวนลงใต้ไป “หาดใหญ่ สงขลา”
ตะลอนเที่ยวตลุยกินอาหารถิ่นข้ามภาค จากอีสานปักหมุดในแดนใต้สุดแซบเวอร์
อร่อยแบบผสมผสานวัฒนธรรม 2 ภาค แล้วขอบอกต่อว่า
“จุลินทรีย์ในอาหารหมักดองรสเปรี้ยว” ดีต่อสุขภาพจริง ๆ ตามติดข่าว
“อโกด้าโพลล์เปิด3เทรนด์ร้อน” ท่องเที่ยวปี 2563 “รัฐบาลลุงตู่เปิดเฟชบุ๊ควาร์ฟ” กระพือจุดขายสตรีทฟู้ดทั่วไทยดันรายได้ทัวร์อาหารริมทางพุ่ง
3.4 แสนล้านบาท
@ตะลอนเที่ยวตลุยกินอาหารถิ่นในหาดใหญ่ สงขลา
หลังเทศกาลปีใหม่ใครที่ยังไม่ได้ออกเดินทางไปพักผ่อน
อยากบอกว่า ลองบินลัดฟ้าไปท่องเที่ยวเส้นทาง “ตลุยกินของอร่อยหาดใหญ่” สงขลา
สักครั้ง รับรองจะประทับใจกับประสบการณ์แปลกใหม่อย่างแน่นอน
“สงขลา”
เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม แถมขึ้นชื่อเรื่อง “อาหารถิ่นภาคใต้” อร่อยจริง ๆ
ร้านแนวอร่อยแซ่บเวอร์จากอีสานลงไปปักหลักอยู่แดนใต้สงขลาในแบบประยุกต์สไตล์มินิมัลต้องที่นี่
“ร้าน ส้มตำ ลาว ลาว ต้นตำรับ” อยู่ตรงถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 ซอย 15 ทุกเมนูเน้นเสิร์ฟแบบจัดเต็มด้วยการใช้น้ำปลาร้าหมักจากแซลมอน
ไส้กรอกอีสานหมักวาซาบิ ตำถาดรวมมิตรทะเล ลาบปลาตะเพียนเกร็ดกรอบ หมูสามชั้นตกครก
หมุดสุดท้ายมาอยู่ที่
“ไก่ใต้น้ำ” ตรงถนนนสาครมงคล 2 ต้นตำรับอาหารใต้ ดัดแปลงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดพองาม มีของเก่าให้เดินชม
ระหว่างรอเมนูอาหาร พอมาถึงต้องสั่งด่วน ๆ แบบห้ามพลาด คือ ต้มยำซาไกกุ้งแม่น้ำ
แกงส้มปลาขี้ตังลูกเขาคันหัวมันขี้หนู ปูไข่ต้มขมิ้น ไก่ใต้น้ำ
น้ำพริกแมงดาสะตอเขา
ถึงเวลาชีพจรลงเซาท์
“ตลุยกินอาหารถิ่นใต้” ในมหานครหาดใหญ่ เมืองแห่งสีสันสนุกทั้งกลางวันและยามค่ำคืน
ลองมาแล้วจะรู้ว่า “หาดใหญ่ More Inspire-มากด้วยจิตวิญญาณแห่งการดึงดูดนักท่องเที่ยว”
เชื้อจุลินทรีย์ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเราเสมอไป
ยังมีจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพที่เราควรรักษาเอาไว้ให้อยู่ในลำไส้ของเราไปนาน ๆ
โดยบริโภคอาหารที่มีจุลินทรีย์เหล่านี้เข้าไปในท้องเป็นประจำ
จุลินทรีย์ดี
ๆ ที่มากับอาหารอร่อย ๆ ไม่ได้มาพร้อมกับรสชาติอาหารที่ดีเท่านั้น
แต่ยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และช่วยในการทำงานของระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น
อาหารหมักดอง (บางประเภท) อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกาย ที่เราควรรักษาเอาไว้ในลำไส้
เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยวถั่วหมัก (นัตโตะ) มิโซะ กิมจิ ผักเสี้ยนดอง ชาหมัก
(คอมบูชา) ซาวเคราท์ (กะหล่ำปลีเปรี้ยวของเยอรมัน)
โพรไบโอติก
(Probiotic) จุลินทรีย์ที่ต่อร่างกาย - อาหารหมักดองหลายชนิดมีโพรไบโอติกที่ดีต่อร่างกาย
ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ แล็กโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่สามารถพบได้ในนมเปรี้ยว โยเกิร์ต และอื่น ๆ โดยจุลินทรีย์เหล่านี้นอกจากจะช่วยเรื่องย่อยอาหาร
ดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย และช่วยในการทำงานของระบบขับถ่ายแล้ว
ยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคอันตรายเหล่านี้ได้อีกด้วย เช่น อุจจาระร่วง ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบ
ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ฮอร์โมนผิดปกติ
เพราะจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลั่งสารสื่อประสาท
ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายของเราอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในแง่ของการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ของเราได้อีกด้วย
ข้อควรระวังในการรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ - ส่วนใหญ่แล้วอาหารที่มีโพรไบโอติกส์มักเป็นอาหารหมักดองที่มีรสชาติเปรี้ยว
เช่น นมเปรี้ยว กิมจิ กะหล่ำดองเปรี้ยว ดังนั้นจึงมีข้อควรระวังคือ
1.ไม่ควรรับประทานอาหารหมักดองรสชาติเปรี้ยวมากจนเกินไป
เพราะอาจทำให้เสาะท้องแล้วเกิดอาการท้องเสียได้
2.รสชาติของอาหารหมักดองบางชนิด อาจมีโซเดียมมากเกินไป
ควรจำกัดปริมาณในแต่ละวันที่รับประทาน มื้อละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
ก็เพียงพอแล้ว
3.การรับประทานอาหารรสเปรี้ยวมาก อาจเสี่ยงผิวเคลือบฟันกร่อนได้
จึงควรดื่มน้ำ หรือบ้วนน้ำหลังกิน หากชอบแปรงฟันหลังรับประทานอาหาร
ควรเว้นระยะเวลาสัก 30 นาทีก่อนค่อยแปรงฟัน
เพราะการแปรงฟันหลังรับประทานอาหารรสเปรี้ยวทันที อาจเสี่ยงผิวเคลือบฟันกร่อน
จนเสี่ยงต่ออาการเสียวฟัน หรือฟันผุได้เช่นกัน
การรับประทานวันละนิด
และหลากหลายประเภทอาหาร เช่น วันนี้กินโยเกิร์ต พรุ่งนี้กินชาหมัก จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างหลากหลายนั่นเอง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “อโกด้าโพลล์ชี้เป้า3เทรนด์เที่ยวไทย-เอเชียปี63”
อโกด้าเปิดโพลล์อนาคตการท่องเที่ยวปี 2563 โฟกัสตลาดเอเชียจะเดินทางด้วย 3 เทรนด์ดิจิทัลยอดนิยม |
นายทิโมธี ฮิวจ์ส
รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กรของอโกด้า กล่าวว่า
ได้จัดทำผลสำรวจ เทรนด์การท่องเที่ยวของชาวเอเชียในปี 2563
ผู้คนต้องการเดินทางมากขึ้น
แต่ก็ยังต้องการตัวเลือกในการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยในเวลาเดียวกันนักเดินทางทั่วโลกมีความต้องการที่จะท่องเที่ยวมากขึ้น
โดย 40% ของผู้ตอบแบบสอบถาม อยากเที่ยวในประเทศของตนเองให้มากขึ้น และ 35%
อยากเที่ยวในต่างประเทศให้มากขึ้น
อโกด้าแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เปิดผลสำรวจ ยอดนิยม 3 อย่าง ได้แก่
1.แอปพลิเคชันเดียวสำหรับทุกความต้องการในการเดินทาง
2.การเดินทางโดยไม่ใช้พาสปอร์ต และ 3.การเช็คอินผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ
เป็นคำตอบที่มาจากนักเดินทางชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดในอินโดนีเซีย 56% สิงคโปร์ 54 % มาเลเซีย 53%
ไต้หวัน 50 % ฟิลิปปินส์ 48% และไทย 48% เห็นตรงกันว่าวิถีการท่องเที่ยวทั้ง 3
อย่างข้างต้น จะกลายเป็นเรื่องปกติในการเดินทางในทศวรรษหน้า
ต่างจากในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกามีเพียง 1 ใน 3 หรือ 33%เท่านั้นที่เห็นด้วย
1.เทรนด์ใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ
มีนักเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1 ใน 2 หลัก ๆ จาก 4 ชาติ คือ สิงคโปร์ ไทย
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ต้องการจะเช็คอินเข้าที่พัก ดาวน์โหลดคีย์การ์ด ได้ทันที
2.เทรนด์การเดินทางโดยไม่ใช้พาสปอร์ต
มี 5 ชาติ คาดหวังจะเห็นมากที่สุด คือ สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน
ออสเตรเลีย
3.เทรนด์ท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนักเดินทางมากกว่า
1 ใน 4 กระตือรือร้นใส่ใจในเรื่องดังกล่าว เช่น ไทยปิดอ่าวมาหยา
ฟิลิปปินส์ปิดฟื้นฟูเกาะโบราไกย์ (Boracay island) ทำให้นักเดินทางอยากมีส่วนร่วมช่วยรักษ์โลกขณะท่องเที่ยวมากขึ้น
ปี 2563
ท่องเที่ยวจะสนใจเที่ยวในประเทศของตนเอง แบ่งเป็น 1.กลุ่มนักเดินทางอายุ 35-44 ปี
40 % และอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป มี 42% โดยมีนักท่องเที่ยว 1 ใน 3
ของแต่ละประเทศต้องการเลือกเที่ยวในประเทศตามจุดหมายที่อยากไปก่อนอันดับแรก ก็มี
จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ไทย เวียดนาม
ส่วนเกาหลีและญี่ปุ่น
มีแนวโน้มจะเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมากขึ้น ไต้หวันและอินโดนีเซีย
มีแนวโน้มจะเดินทางช่วงจบการศึกษาเพื่อค้นหาตัวเองก่อนศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือวางแผนทำเรื่องอื่น
ๆ
ทั้งนี้ แชมป์เรื่องต่าง ๆ ปี 2563
คือ 1.เมืองเกียวโตคนอยากไปเยือนมากที่สุดในโลก 2.ทวีป เอเชียgxHoจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก
เพราะนักเดินทางทั้งจากเอเชียและตะวันตก
ต่างอยากมาสัมผัสและสำรวจเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นดั่งสมบัติของเอเชีย เช่น
เกียวโตในญี่ปุ่นที่มีศาลเจ้าชินโต วัฒนธรรม อาหาร และประวัติศาสตร์อันเลื่องชื่อ
กรุงเทพมหานคร ของไทยเป็นเมืองน่าค้นหามีสีสันสนุกครบทุกอย่าง
และเกาะบาหลีอินโดนีเซีย
ขณะที่นักเดินทางจากไทย ฟิลิปปินส์
ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย
ต้องการไปเที่ยวที่อื่นมากกว่าที่เมืองหลวงของประเทศตัวเอง ส่วนมาเลเซีย
อินโดนีเซียอยากไปกรุงมักกะฮ์ให้ได้ก่อนปี 2573 (คศ.2030)
ส่วนเกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร
ออสเตรเลีย เป็น 3
ประเทศที่ไม่ได้เลือกที่เที่ยวในประเทศเป็นจุดหมายปลายทางในทศวรรษหน้า
ส่วนฝั่งตะวันตก
ชาวอเมริกันและอังกฤษต่างอยากไปท่องเที่ยวที่มหานครนิวยอร์กมากที่สุดเป็นตัวเลือกอันดับต้น
ๆ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โชว์การผัดไทย พร้อมกับเปิดมหกรรม Thailand Street Food กระตุ้นรายได้และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงอาหารปี 2563 |
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเฟซบุ๊ควาร์ฟ “เริ่มปักหมุดเดินกินชิมเที่ยว” ในกรุงเทพฯ และทุกจังหวัดผ่านรูปแบบถนนคนเดิน Walking Street ตามที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศร่วมกับเอกชน และเชฟระดับโลก เดินหน้าโครงการ “Thailand Street Food Festival 2020” ยกระดับสตรีตฟู้ดไทย กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
ตามแผนปี 2563 จะนำร่อง 6 พื้นที่แรก วันที่ 1-2 ก.พ.นี้
ถนนสีลม / วันที่ 29 ก.พ.-1 มี.ค.พระนครศรีอยุธยา / วันที่ 3-6 เม.ย. ที่พัทยา /วันที่
25- 26 เม.ย. ที่เชียงใหม่ /วันที่ 1- 3 พ.ค. ที่ขอนแก่น /วันที่ 30-31 พ.ค. ที่
จ.ภูเก็ต เพื่อขยายฐานการใช้จ่ายด้านอาหารเพิ่มขึ้น ตามรายงานของยูโรมอนิเตอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุปี 2560 ภาพรวมตลาดอาหารสตรีตฟู้ดส์ของไทยมีมูลค่า 2.7
แสนล้านบาท คาดการณ์ปี 2564
จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.40 แสนล้านบาท
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM
97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น