ททท.ชูTHE LINKบิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่ปี’60
จับคู่10สนง.ไทย-เทศจัดทัพท่องเที่ยวเชื่อมโลก
เปิด5สนง.ททท.ในประเทศจัดหนักภาคเหนือ
70เส้นทางตามรอยพระบาทไปม่อนเงาะเชียงใหม่
ช่วงแรกเวลา 11.15 น.
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา แอฟริกาและตะวันออกกลาง |
“คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา
แอฟริกาและตะวันออกกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการถึง “The LINK” บิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่ทางการท่องเที่ยว
ตามคอนเซ็ปต์ที่หันมาเน้นยุทธศาสตร์ “การเชื่อมโยง” กับเครือข่ายการท่องเที่ยว
เริ่มต้นจากอักษรตัวแรก L มีความหมายตรงตามวัตถุประสงค์ของ
ททท.ในปีงบประมาณ 2560 นั่นคือ
Local
Tourism Experience :
ท่องเที่ยวไทยเก๋สไตล์ลึกซึ้ง
โดยเฉพาะตลาดระยะไกล
อักษรตัวที่สอง I มาจาก innovation นวัตกรรมการท่องเที่ยว
ทำงานต่อยอดแบบใหม่ของพนักงานและผู้บริหาร ททท.
อักษรตัวที่สาม N มาจาก Networking สำคัญมากในการพัฒนาท่องเที่ยวโดยเน้นความเชื่อมโยงของ
ททท.ในประเทศและต่างประเทศ ชุมชนทุกจังหวัด
ส่วนอักษรตัวที่สี่ K มาจาก Keeping your Chalactor เป็นตัวตนเองในแหล่งท่องเที่ยววิถีชีวิตทั่วประเทศ
โดยจะนำตัวตนของชุมชนนำไปสู่ตลาดต่างประเทศ ที่เชื่อมไปสู่การท่องเที่ยว 4.0 ด้วย
บิ๊กโปรเจ็กต์ The LINK ทั้งหมดนั้นรองธเนศวร์ ย้ำว่าเป็นผลมาจากผู้ว่าการ
ททท.มอบนโยบายให้เดินหน้าทำในปีงบประมาณ 2560 นำแหล่งท่องเที่ยวชุมชนใหม่ไปสู่ตลาดนานาชาติ
สิ่งที่ชัดเจนคือ
ททท.จะไม่ได้ทำหน้าที่เพียงผู้โปรโมตตลาดการท่องเที่ยวเท่านั้น
แต่จะเพิ่มบทบาทการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง เป็นโค้ช เป็นครู และผู้เตือนภัย
แนะนำสิ่งที่ชุมชนต้องทำเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่นและประเทศต่อไป
จะเป็นการทำงานในมิติใหม่ของ
ททท.ครอบคลุมทุกเรื่อง
สำหรับพื้นที่นำร่องในการจับคู่
ททท.สำนักงานในประเทศและต่างประเทศ ริเริ่มทำโครงการ The Link ให้เกิดเป็นรูปธรรมภายในปี 2560 นั้น
ในฐานะที่เป็นรองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง
จึงมอบหมายให้สำนักงานต่างประเทศ 10 แห่ง เลือกจับคู่กับ ททท.สำนักงานในประเทศมาเป็นบัดดี้กัน
แนวคิดคือใช้ศักยภาพของ
ททท.ทุกรูปแบบทำงานกันอย่างเต็มที่ทั้งสองซีกโลกมาเชื่อมต่อกันเป็น The Link เฟสแรก
เริ่มตั้งแต่ตุลาคมปีนี้เป็นต้นไป ลอนดอนคู่กับแม่ฮ่องสอน
ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงหรือโค้ชตลอดทั้งปี
เพื่อให้การท่องเที่ยวพัฒนาอย่างมีทิศทางเกิดความมั่นใจได้ว่า “แม่ฮ่องสอน” มีตลาดต่างประเทศจากลอนดอนกับยุโรปมาเที่ยวอย่างแน่นอน
ลักษณะการทำงานจะเป็นไปในแบบ Pushและ
Pull ทั้งดึงและลาก โดยมี ททท.เป็นหัวรถจักร
ส่วน ททท.พื้นที่คอยผลักดันไปด้วย โดยมีเอกชนในแม่ฮ่องสอนอยู่ตรงกลาง
กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ก็จะทำให้การพัฒนามี “พลัง” เดินไปอย่างถูกทาง
ทีมที่ 2 เยอรมัน ททท.แฟรงเฟิรตจับคู่กับพังงา
มีหน้าที่ดูแลการท่องเที่ยวพังงาและจังหวัดใกล้เคียง ททท.ปารีส (ฝรั่งเศส)
คู่กับจังหวัดเลย โดยภาพรวมโครงการนี้จะไม่ยุ่งกับเมืองท่องเที่ยวหลัก
แต่เน้นพื้นที่ใหม่
มอสโก (รัสเซีย)
ขอดูจับคู่กับเพชรบุรี แล้วขยายไปราชบุรี กาญจนบุรี ททท.สต็อกโฮม (สวีเดน)
จับคู่กับ ททท.จังหวัดนครศรีธรรมราช น้องใหม่ล่าสุด ททท.กรุงปราก (สาธารณรัฐเชค)
จับคู่กับ ททท.จังหวัดตรัง
ททท.โรม (อิตาลี)
จับคู่ ททท.สุโขทัย ททท.ดูไบจับคู่กับ กรุงเทพฯ
ซึ่งเน้นความสะดวกสบายและมีชุมชนที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น เยาวราช
รอบเกาะรัตนโกสินทร์ และ จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งได้รับความเป็นพิเศษ
ในอเมริกามี 2 สำนักงาน ททท.นิวยอร์ก จับคู่
จังหวัดตราด เน้นเกาะช้าง เกาะกูด ททท.ลอสแองเจลิส จับคู่ ททท.ชุมพร
ภาพที่เกิดขึ้นในการจับคู่จะเป็นโอกาสของแต่ละพื้นที่
ที่จะพัฒนาการเติบโตของเส้นทางท่องเที่ยวอย่างถูกทิศทางมากกว่าในอดีตกว่า 50 ปีที่ผ่านมา
ส่วนโปรดักซ์ไฮไลต์ที่จะรองรับตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล
ตามปกติพื้นที่ท่องเที่ยวในประเทศจะมีสินค้า เช่น การท่องเที่ยวขนอม
หรือชุมชนคีรีวงศ์ นักท่องเที่ยวแสกนดิเนเวียเข้าไปแล้ว เมื่อเห็นโอกาสทาง
ททท.นครศรีธรรมราชจะเข้าไปขยายผลทันที พร้อมกับส่งสัญญาณไปยัง ททท.สต็อกโฮม
ซึ่งขั้นตอนเชื่อมโยงการทำงานลักษณะดังกล่าวได้เริ่มทำกันไปบ้างแล้ว ตอนนี้จึงมีความชัดเจนตกผลึกสำหรับกลยุทธ์การจับคู่
ททท.ในและต่างประเทศทำงานร่วมกัน
จะช่วยยืนยันได้ว่า
ปี 2560 ชื่อของจังหวัดนครศรีธรรมราชจะติดอยู่แผนที่การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของชาวสแกนดิเนเวีย
ซึ่งมีประเทศต่างๆ ทั้งสวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ส ฟินแลนด์ นอร์ดิก จะทำให้
ททท.นครศรีธรรมราชพูดกับท้องถิ่นได้ว่าการตลาดท่องเที่ยวจะเติบโตอย่างเข้มแข็งได้
เพราะมี ททท.สต็อกโฮมเป็นพี่เลี้ยงที่ดี ซึ่งจะเป็นบทบาทการทำตลาดซึให้สมบูรณ์แบบนั่นเอง
ส่วนมิติของการพัฒนานั้น
ททท.มีโอกาสและบทบาทอย่างมากที่จะเห็นช่องทางการพัฒนาสินค้าท่องเที่ยวป้อนตลาดต่างประเทศ
ควบคู่กับการนำความรู้ป้อนกลับไปให้ท้องถิ่นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวด้วยในการส่งโนฮาวน์และความรู้ไปกับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงคำแนะนำต่างๆ ที่จะมอบให้ชุมชน
แนวคิดทั้งหมดจึงเป็นผลดีในการพัฒนารูปแบบการทำงานเชิงบูรณาการให้
ททท.ก้าวเข้าสู่มิติที่ลึกมากกว่าเดิมทั้งทางด้านการเป็นครูและโค้ช นำความรู้ใหม่
ๆ ไปเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทำให้การท่องเที่ยวในชุมชนแข็งแรง มั่นคง ยั่งยืน
และเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างแท้จริง
การเชื่อมโยงเข้าไปสู่ท่องเที่ยว 4.0 จะใช้ออนไลน์ผนวกกับดิจิตอล
มาร์เก็ตติ้ง
ททท.ต้องนำเครื่องมือผ่านช่องทางเหล่านี้เข้าไปให้ผู้ประกอบการหรือชุมชน
ตัวอย่างเช่น ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดตราด เติบโตอย่างแข็งแรงมาก
แต่ช่องทางออนไลน์อาจจะยังไม่แข็งแรงมาก ททท.นิวยอร์ก สามารถใช้ออนไลน์ มีเดีย
จำนวนมาก อาจจะนำออนไลน์เข้ามาส่งเสริมให้เป็นรูปธรรม หรือเกาะช้าง ก็ดี
เข้าถึงการเชื่อมโยงขายการท่องเที่ยวไปถึงนิวยอร์กได้
โดย ททท.จะชี้เป้า
ทำให้เกิดมิติการตลาดท่องเที่ยวแบบครบวงจร
ขณะนี้โครงการ The LINK กำลังก้าวเข้าสู่เฟส 2 หลังจากเมื่อเดือนตุลาคม
ทำเฟสแรกทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์กันจนลงตัวชัดเจน ขั้นตอนในเฟส 2 ต่อไป ทางคุณสุจิตรา จงชาณสิทโธ
รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ จะนำคอนเซ็ปต์ The LINK ไปทำความเข้าใจกับสำนักงาน ททท.ในประเทศ 10 พื้นที่ ให้ข้อมูลกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดทำความเข้าใจร่วมมือกันในฐานะซัพลลายเออร์
นอกเหนือจากผู้ว่าการจังหวัดแล้ว
ททท.ในพื้นที่ยังต้องแสวงหาภาคีพันธมิตรเพิ่มเติมซึ่งมีเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ
อีกเยอะมาก ที่จะต้องช่วยผนึกกำลังกันทำให้โครงการ The LINK ผนวกเข้ากับ “ประชารัฐ”
เสริมพลังก้าวไปเป็นทีมเดียวกันอย่างมีมิติและพลังอย่างถูกทิศทาง โดยมีทีม
ททท.เป็นเซลแมนและนักการตลาดที่จะนำลูกค้าเข้าไปสู่พื้นที่
โดยจะนำร่อง 10 พื้นที่ มีความกลมกล่อมทางการตลาดมากยิ่งขึ้น
เพราะเมื่อมองย้อนไปในอดีตอาจจะยังไม่ได้เชื่อมโยงการทำงานเข้าด้วยกัน
แต่ละพื้นที่ก็ต่างเดินต่างเติบโต ทำให้พื้นที่ท่องเที่ยวจังหวัดรองขยายตัวไม่ได้
แต่ตอนนี้จะใช้ระบบพี่เลี้ยงและโค้ชพากันไปให้ได้
เป้าหมายความสำเร็จจากโครงการนี้
มีความมั่นใจว่าจะมีชื่อ 10 จังหวัดของไทย
ปรากฏเพิ่มอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของตลาดระยะไกลทั้ง 4 ทวีป
และบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ เช่น นครศรีธรรมราช
ปรากฏอยู่ในสแกนดิเนเวียกับสหราชอาณาจักร
หรือวิถีชีวิตจังหวัดตราดปรากฏอยู่ในสื่ออเมริกา
ทำให้การขับเคลื่อน “ตลาดใหม่” ถูกบรรจุไว้ในตลาดระยะไกล
เพราะที่ผ่านมาทั่วโลกอาจจะยังไม่รู้ แม่ฮ่องสอน เลย
หรืออีกหลายจังหวัดในประเทศไทยตามที่ ททท.นำร่องทำในโครงการ The LINK ปี 2560
ติดตามฟังการพูดคุยสัมภาษณ์ทุกประเด็นให้ได้ทาง
สวท.FM 97.0 MHz.
ข่าวที่ 1 “พ.ย.นี้ช้อปด้วยแอร์พอร์ตคูปองได้ที่คิงเพาเวอร์”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
แนะนำทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าตลอดเดือนพฤศจิกายน 2559 สำหรับนักช้อปและสมาชิกบัตรคิง
เพาเวอร์ ที่มีโปรแกรมต้องเดินทางต่างประเทศและใช้บริการผ่านเข้า-ออก
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สามารถแวะไปซื้อสินค้าในร้านคิง เพาเวอร์ ซึ่งมีทั้งสินค้าปลอดอากรและสินค้าชุมชนสนับสนุนนโยบายประชารัฐของรัฐบาล
ด้วยวิธีการช้อปง่าย ๆ และคุ้มค่าเงิน คือ
รับ “แอร์พอร์ต ช้อปปิ้ง คูปอง” มูลค่า 1,500
บาท
300 บาท และ 200 บาท มีเพียงแสดงคูปองในร้านค้าที่ร่วมรายการ
ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำไปใช้สิทธิซื้อสินค้าได้ตลอดเดือนจนถึง 30 พฤศจิกายน 2559
ซื้อสินค้า แผนกเครื่องหนังไทย, เครื่องประดับ รับส่วนลดไปเลย 15
% ที่
คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับโปรโมชั่นนี้ไม่ได้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1631
ข่าวที่ 2 “เลื่อนคอนเสิร์ตหนีกรุง”ไปจัด25มี.ค.60
นิตยสารหนีกรุง ประกาศ 'เลื่อน' การจัด “คอนเสิร์ต กาลครั้งสามหนีกรุง” จากกำหนดเดิม วันที่ 19 พฤศจิกายน 2559 เลื่อนไปเป็น วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม 2560 สถานที่จัดยังคงเป็น “เลควิว รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟคลับ
หัวหิน-ชะอำ” สำหรับเนื้อหาของคอนเสิร์ตยังคงมีเรื่องราวมากมายให้ติดตาม
สำหรับคนที่มีบัตรแล้วสามารถใช้บัตรเดิมร่วมงานคอนเสิร์ตได้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Call Center
08 4714 0000
ข่าวที่ 3 “ททท.เพิ่มใหม่5แห่งในประเทศ-เหนือจัดทัพใหม่”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2560 เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม ปีนี้เป็นต้นมา ททท.ได้เปิดสำนักงานในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 5 แห่ง ส่งผลให้นับจากนี้เป็นต้นไปจะมี
ททท.สำนักงานในประเทศดูแลด้านการท่องเที่ยวขยายจาก 35 แห่ง
เป็น 40 แห่ง อันจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาทางด้านการตลาด
สินค้าท่องเที่ยว และการให้ความช่วยเหลือดูแลชุมชน
เดินหน้าแผนกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มรายได้กระจายสู่ทั่วประเทศให้ในปีหน้าให้ได้ตามเป้า
9.5 แสนล้านบาท
สำหรับสำนักงาน ททท.ทยอยเปิดบริการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2559 ประกอบด้วย ภาคกลาง 1
แห่ง คือฉะเชิงเทรา ภาคเหนือ 2 แห่ง คือ นครสวรรค์ ลำปาง ภาคใต้
ได้ยกระดับศูนย์การท่องเที่ยวเป็นสำนักงาน 2 แห่ง คือ เกาะสมุย และ พังงา
นายวิบูลย์ นิมิตวานิช ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า
ได้วางแผนพร้อมขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการของสำนักงานเปิดใหม่และเก่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน
เนื่องจากภาคเหนือได้จัดแบ่งความรับผิดชอบใหม่ดูแลพื้นที่ละ 2 จังหวัด
ประกอบด้วย สำนักงาน ททท.นครสวรรค์ เป็นน้องใหม่สุดจะเปิดวันที่
1 ธันวาคม 2559
ดูแล จังหวัดพิจิตร สำนักงาน
ททท.พิษณุโลก ดูแลจังหวัดเพชรบูรณ์
สำนักงาน ททท.สุโขทัย ดูแล จังหวัดอุตรดิตถ์ สำนักงาน ททท.อุทัยธานี ดูแล
กำแพงเพชร
โดยได้วางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ
เนื่องจากพื้นที่ภาคเหนือมีโครงการ 70 เส้นทางตามรอยพระบาท โครงการพระราชดำริ
และโครงการหลวงอยู่เป็นจำนวนมาก
จึงจะเน้นส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้คนไทยและนานาชาติเดินทางเข้าไปเยี่ยมชม
ศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุดอย่างต่อเนื่องทุกปี
รวมถึงส่งเสริมการเดินทางแลกเปลี่ยนข้ามภาคไปชมโครงการด้วยเช่นกัน
ข่าวที่ 4 “บางจากรับซื้อข้าวขายในปั๊มกว่า100แห่ง
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า บางจากฯ
ได้ร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรจากภาวะราคาข้าวตกต่ำโดยเร่งด่วน
ด้วยการรับซื้อข้าวหอมมะลิเกรดดีจากกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยตรงมาจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจากในกรุงเทพฯ
และปริมณฑล เบื้องต้นกว่า 100
แห่ง
โดยบางจากฯ
รับซื้อข้าวจากเกษตรกรกิโลกรัมละ 32 - 35 บาท
แต่นำมาจำหน่ายลดราคาให้ประชาชนเพียงกิโลกรัมละ 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป
สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในต่างจังหวัดสามารถติดต่อนำข้าวมาจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจากในพื้นที่ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
และยังเปิดให้สมาชิกบัตรบางจากสามารถใช้คะแนนสะสม 300 คะแนน (รวมค่าจัดส่งให้ถึงบ้าน)
ต่อการแลกข้าวหอมมะลิ 1 กิโลกรัม สมาชิกบัตรบางจากที่สนใจร่วมช่วยเหลือเกษตรกรติดต่อผ่าน call center ได้ที่โทร. 1651
ข่าวที่ 5 “ศาสตร์พระราชา70ปีโครงการพระราชดำริ”
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) หรือ TCEB ภูมิใจที่ได้จัดทำโครงการพิเศษร่วมเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ
70 ปี มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2559
จนถึงปัจจุบันในการกิจกรรมศึกษาดูงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 70
ปีครองราชย์
ในช่วงตั้งแต่เดือนมีนาคม
2559 ทางสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กับ TCEB ได้ดำเนินโครงการพิเศษกำหนดจัดกิจกรรมศึกษาดูงานโครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นกิจกรรมหลักตลอดปี
2559
เพื่อสร้างการรับรู้และเผยแพร่แนวพระราชดำริไปสู่ประชาชนทั่วประเทศ
ผ่านการศึกษาดูงาน
เนื่องจาก 70 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก
ตามวิถีแห่งการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจและสังคมจากสังคมเกษตรมาเป็นอุตสาหกรรม ชนบทเป็นเมือง
วัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเอื้ออาทรกันฉันญาติมิตร
แปรเปลี่ยนเป็นการแก่งแย่งแข่งขัน ต่างคนต่างอยู่กันมากขึ้น
ผลพวงที่มาพร้อมกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงมีทั้งความขัดแย้งและปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนต่างๆหลากหลายรูปแบบให้กับผู้คน
หากแต่สิ่งที่ “ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยมาตลอด
70 ปี คือ “พระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในการขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กับประชาชนของพระองค์
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย ระหว่างปี 2484-2488 ส่งผลกระทบรุนแรงเกิดคาดคิด
ประชาชนบางส่วนต้องทิ้งที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเพื่อหนีภัยสงคราม
ที่ดินถูกทิ้งร้าง ข้าวปลาอาหารขาดแคลน อีกทั้งกรุงเทพฯ
ยังถูกซ้ำเติมจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 2485 สร้างความเสียหายอย่างยิ่งต่อสถานที่ราชการ
บ้านเรือน รวมถึงพื้นที่การเกษตรสำคัญของประเทศ เสียหายอย่างหนัก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 หนึ่งปีถัดจากการสิ้นสุดสงครามโลก ขณะที่ประชาชนอยู่ในภาวะทุกข์เข็ญ
ประเทศไทยอยู่ในสภาพบอบช้ำ อ่อนแอ ครั้งเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรในปลายปี
2494 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์
ต่างทรงงานนานัปการเพื่อบรรเทาความทุกข์ของประชาชนอย่างต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ทรงย่อท้อ
พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปในทุกพื้นที่ของประเทศไทย
เพื่อทรงรับทราบปัญหาและความทุกข์ของคนไทย แล้วทรงนำมาศึกษา ค้นคว้า ทดลอง
หาแนวทางและวิธีแก้ไขที่เหมาะสม
พระราชทานเป็นองค์ความรู้และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ครอบคลุมในทุกด้าน
เฉพาะที่รวบรวมไว้ได้มากกว่า 4,447 โครงการ ในช่วงปี 2495-2556
มีการประมวลและกล่าวขานกันด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่ายว่า “ศาสตร์พระราชา”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงพระราชทานเพียงความรู้เท่านั้น
แต่ยังทรงเป็นแบบอย่างในการทำงานที่มีเป้าหมายมุ่งมั่นชัดเจนในการทำให้คนไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้
และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนส่วนรวมอย่างยั่งยืน
แบบอย่างในการทำงานที่ต้องทำความเข้าใจ
ให้เข้าถึง เพื่อให้การพัฒนาที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างเหมาะสม
สอดคล้องกับภูมิสังคม แก้ปัญหาและพัฒนาได้ตรงกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริง
ข่าวที่ 6 “ไทยแอร์บินเพิ่มฮานอย2เที่ยว/วันตั๋วแค่990บ.”
นายธรรฐพล แบเลเวลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ-ฮานอย เวียดนาม เป็นวันละ 2 เที่ยว ตั้งแต่ วันนี้-13 พฤศจิกายน 2559 จึงทำโปรโมชั่นบินประหยัดสำหรับเที่ยวบินใหม่ราคาเริ่มต้นที่
990 บาทต่อ เพื่อนำตั๋วโดยสารไปใช้เดินทางตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่
28 ตุลาคม
2560เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกสบายและเพิ่มตัวเลือกด้านเวลาให้กับผู้โดยสารมากยิ่งขึ้นในช่วงฤดูการท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงปลายปีนี้
ปัจจุบันไทย แอร์เอเชีย บินตรงสู่ เวียดนาม 2
เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ –
ฮานอย วันละ 2 เที่ยว และกรุงเทพฯ – โฮจิมินห์ วันละ 3 เที่ยว สำรองผ่านทางออนไลน์ได้ที่ www.airasia.com
ช่วงที่ 2 เวลา 11.45 น.
ขอแนะนำ 70 เส้นทางตามรอยพระบาทที่ม่อนเงาะ
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เปิดทุกวัน
เวลา 08.00-18.00 น. มีสภาพพื้นที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงของหมู่บ้านม่อนเงาะ
ม.4 ต.เมืองก๋าย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ แต่เดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขา เผ่าม้ง
ซึ่งมักจะดำรงชีพด้วยการปลูกฝิ่นและมีฐานะยากจน โครงการหลวงจึงเริ่มพัฒนาและส่งเสริมการปลูกผัก
เป็นลำดับแรก โดยเน้นแก้ปัญหาพื้นที่สูงชัน ยากต่อการเพาะปลูก
พืชผักที่เลือกปลูกจึงต้องเหมาะสมที่สุดกับพื้นที่เนินเขา เช่น ผักกาดสายพันธุ์ต่างๆ
กะหล่ำปลี นานาชนิด ฟักทองญี่ปุ่น หัวไชเท้าญี่ปุ่น ฯลฯ วิธีการปลูก ที่ผ่านการวิจัยมาแล้วนั้น
ทางโครงการหลวงได้ส่งต่อให้กับเกษตรกร
เนรมิตพื้นที่เทือกเขาแห้งแล้งให้กลับกลายเป็นอีกหนึ่งวิวงดงามให้ได้เยี่ยมชม
หลังจากได้รับการฟื้นฟูผืนป่าทำให้ดอยม่อนเงาะกลับมา
เขียวชอุ่มและงดงามขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นจุดท่องเที่ยวในฝันของนักท่องไพร
ทางโครงการจัดเตรียมบ้านพักแสนสบายให้บริการ
พร้อมร้านอาหารที่จัดเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองคุณภาพดี
แขกที่มาเยือนจะได้ความรู้เกี่ยวกับการเกษตรไปด้วยจากแปลงไม้ดอก และพืชผักต่างๆ
รวมไปถึงไร่ชา ไร่กาแฟ ที่เรียงรายอย่างงดงาม
" เมื่อเผชิญปัญหา
พื้นที่ราบมีน้อย ทั่วบริเวณล้วนเป็น เทือกเขา ยากต่อการ เพาะปลูก
นักวิชาการเกษตรของโครงการหลวงจึงต้องทำงานหนัก
เพื่อค้นหาทางแก้ไขปัญหาด้านพื้นที่ทำกินของม่อนเงาะ "
ทริปตัวอย่าง 3 วัน 2 คืน เส้นทางท่องเที่ยวโครงการหลวง
จ.เชียงใหม่
วันแรก
ช่วงเช้า เยี่ยมชม “โครงการหลวงม่อนเงาะ”
สัมผัสวิถีชาวม้ง ชมแปลงปลูกชาลุงเดช โรงเพาะเห็ดระบบปิด แปลงกล้วยไม้ซิมบิเดียม
ภูมิปัญญาการทำเหมี้ยงแบบดั้งเดิม ช่วงบ่าย ไปดอยหลวงเชียงดาว
ชมพรรณไม้หายากที่เดียวในไทย เช่น ค้อเชียงดาว สิงโตเชียงดาว
วันที่สอง ช่วงเช้า เยี่ยมชมโครงการหลวงห้วยลึก ช่วงบ่าย เข้าชมเรียนรู้วิถีพอเพียงที่
ดารา ดาเล บ้านดินฟาร์ม เดินเล่นถนนคนเดินท่าแพ
เชียงใหม่
สถานที่เที่ยวต้องห้ามพลาด
•หมู่บ้านเหล่าพัฒนาชุมชนท่องเที่ยว
สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมือง •ไร่ชาสวนลุงเดช จิบชาพร้อมชมวิวสวย
ที่เน้นปลูกชา และยังมีสวนเงาะ ส้ม มะขามให้เข้าชมด้วย
•แปลงส่งเสริมไม้ดอก สารพันดอกไม้แปลกตาอย่าง
ไม้ใบวานิลลา ซิมบิเดียม และกล้วยไม้นานาพรรณ
กิจกรรมห้ามพลาด •กางเต็นท์ค้างคืน
และตื่นขึ้นมา ชมความงดงามยามพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวดอยม่อนเงาะ
การเดินทางไปเยี่ยมชม “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ”
และสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่ สอบถามได้ที่ โทร.08-1025-1002
การเดินทาง : วิ่งเส้นทางหลวงสาย 107 มุ่งหน้า
ไปทางแม่ริม ตรงไปราว 30 กม.
เมื่อถึงอำเภอแม่แตงให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงสาย 1095 วิ่งตรงไปประมาณ
13 กม. ให้เลี้ยวขวา ตามป้ายของโครงการ วิ่งตามทาง
มาอีกประมาณ 7 กม. ให้เลี้ยวซ้าย
ไปก็จะถึงที่หมายคือบ้านม่อนเงาะ ถนนปลายทางค่อนข้างแคบควร
ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง
@โครงการหลวงแหล่งปลูกพืชสุขภาพ
' โครงการหลวง ' เป็นแหล่งผลิตพืช ผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ ที่นำมาผลิตอาหารสุขภาพให้คนไทยและนานาประเทศมาอย่างยาวนาน โดยได้ดำเนินงานอยู่ภาคเหนือใน 5 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา
และแม่ฮ่องสอน รวมทั้งหมด 38 แห่ง โครงการหลวงยังมีสถานีวิจัยหลัก 4 สถานี สถานีส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่นซึ่งเรียกว่า
ศูนย์พัฒนาโครงการ 21 ศูนย์ และหมู่บ้านพัฒนาอีก 6 หมู่บ้าน
รวมหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการทั้งสิ้น 267 หมู่บ้าน
ประการสำคัญที่สุด 'โครงการหลวงเป็นโครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นแห่งแรกของโลก
'
ผลผลิตจากโครงการหลวงในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย
ผักปลอดภัยสารพิษ สมุนไพร ธัญพืช ผลไม้ เห็ด ดอกไม้เมืองหนาว ผลิตผลปศุสัตว์
ผลิตผลประมง ผลิตผลป่าไม้ ดอกไม้แห้ง ไม้กระถาง และผลิตภัณฑ์แปรรูปในชื่อการค้า
โครงการหลวง และดอยคำที่หลายคนอาจจะคุ้นๆ ชื่อ ซึ่งผลผลิตเหล่านี้นี่เอง
ที่ทำให้เกิด ' อาหารโครงการหลวง ' ตัวอย่างเมนูอาหารที่ทรงคุณค่าของโครงการหลวง
ชมผลผลิตจากโครงการที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทย
โดยเฉพาะ สตรอว์เบอร์รี่พันธุ์พระราชทาน 80 เป็นเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ
ถูกนำเข้ามาเพาะและปลูกทดสอบ ในปี พ.ศ. 2545 ที่แปลงทดลองของสถานีวิจัยดอยปุย
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
และต่อมาได้ถูกขยายต้นพันธุ์ในพื้นที่แปลงทดลองของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2547
ต่อมาเมื่อการขยายพันธุ์สำเร็จจึงได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในปี 2552
จนถึงปัจจุบัน
สามารถรับประทานสดและแปรรูปเป็นผลิตอาหารคาวหวานได้
ดูรายละเอียดเพิ่ม www.thairoyalprojecttour.com
สำหรับช่วงท้ายชั่วโมงฟังข่าวฮ็อตในรอบสัปดาห์
ข่าวแรก “ธุรกิจไทยเดี้ยงหนักจากพิษทัวร์จีน”
ผู้ประกอบการวงการบริษัทตัวแทนนำเที่ยวตลาดจีนมาไทย รายงาน
ผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว
หลังรัฐบาลไทยประกาศกวาดล้างบริษัทที่เกี่ยวข้องกับทัวร์จีน
มาตั้งตั้งแต่เดือนกันยายน
รวมทั้งประเทศไทยได้จัดระเบียบนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่
มีสถิติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวตลอดปี 2559
แนวโน้มจะมีจำนวนมากถึง 10 ล้านคน รัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้รวมกว่า 500,000 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่นิยมใช้เงิน
“ช้อปปิ้ง”
กระจายรายได้ผลิตภัณฑ์ของไทยในระดับฐานรากจากการกวาดซื้อสินค้าชุมชนแปรรูปทั้งบริโภคและอุปโภคกลับไปเป็นของฝาก อุดหนุนร้านค้า ร้านอาหาร
ในเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ รวมถึงการใช้บริการรถคมนาคมขนส่งทางรถ เรือ สายการบิน พาหนะท้องถิ่น
และค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายประเภท
ที่ธุรกิจไทยได้รับอานิสงส์จากตลาดจีนเติบโตมากเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน
ในจังหวะเศรษฐกิจการท่องเที่ยวตลาดจีนแห่กันมาท่องเที่ยวไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้น
จู่ ๆ รัฐก็ มีนโยบายจัดระเบียบทัวร์จีนในเวลาไล่เลี่ยกัน 2 เรื่อง ประกอบด้วย
เรื่องแรก นโยบายกวาดล้างเครือข่าย
“ผู้ประกอบการธุรกิจ”
ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหมู่คณะ (Group inclusive tour :
G.I.T.)
โดยวิธีซื้อรายการนำเที่ยวผ่านบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวระหว่างจีนกับไทย
ซึ่งล่าสุดเครือบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ดำเนินธุรกิจหลักให้บริการ “รถบัส”
นำเที่ยวทัวร์จีนมากที่สุดกว่า 2,000 คัน ถูกดำเนินคดีและระงับบริการทั้งหมด
ทำให้บริษัทตัวแทนในไทยรายย่อยที่ทำตลาดทัวร์จีนซึ่งเป็นเครือข่ายผู้ใช้รถบัสของโอเอฯ
เกือบ 300 บริษัท ต้องประสบปัญหาตามไปด้วย
ทั้งไม่สามารถรับลูกค้าเพราะหวั่นจะเกิดความผิดร่วม
ขณะเดียวกันก็ขาดแคลนรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยวคณะใหญ่ ๆ ส่งผลให้ “วงจรการท่องเที่ยวตลาดจีน”
ปกติสะดุดลง
เรื่องที่สอง นโยบายประกาศขึ้นค่า VISA ON ARRIVAL
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยรวมถึงนักท่องเที่ยวจีนด้วย
เพิ่มเป็น 2 เท่า จากเดิมคนละ 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2559 เป็นต้นมา
ขณะนี้ธุรกิจท่องเที่ยวที่เคยเฟื่องฟูจากรองรับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในไทย
ทั้งบริษัทนำเที่ยวรายย่อย โรงแรม และสายการบิน ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
ทั่วประเทศกำลังเผชิญวิกฤตอย่างรุนแรงจากผลกระทบการกวาดล้างทัวร์จีน
โดยเฉพาะสายการบินโลว์คอสต์ที่เปิดบินตรง รายงานสถิติผู้โดยสารจีนยกเลิกตั๋วเดินทางช่วงฤดูเดินทางปลายปีมาเริ่มตั้งแต่
15 ตุลาคม 2559
เฉลี่ยเดือนละกว่า64,000 ที่นั่ง และแนวโน้มจะยกเลิกต่อไปเรื่อย ๆ
จนกว่านโยบายของรัฐบาลไทยจะชัดเจน
ข่าวที่สอง “ไทยหนุนอุตSMEs5กลุ่มบุกเมียนมาร์”
นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศเดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการ
SMEs ในภาคตะวันตก
เตรียมรับการเติบโตเศรษฐกิจของเมียนมาร์ หลังพบจีดีพีปีที่ผ่านมาขยายตัวกว่าร้อยละ
7.8 ไทยจึงเตรียมส่งเสริม 5
กลุ่มอุตสาหกรรมที่เมียนมาร์ต้องการจากทางภาคตะวันตกของไทยอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย
อุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างและสาธารณูปโภค
อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร
และอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
โดยจะใช้ข้อได้เปรียบจากความหลากหลายทางทรัพยากร
ความเพียบพร้อมในระบบคมนาคมขนส่ง มาพัฒนาเพื่อการส่งออกและขยายการลงทุน
พร้อมนำร่องจัด “มหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการ” เพื่อเป็นการสร้างความรู้และพัฒนาขีดความสามารถให้ผู้ดำเนินธุรกิจมีความพร้อมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม
4.0
พร้อมทั้งก่อให้เกิดการเชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม
ข่าวที่สาม “รร.รอบเกาะรัตนโกสินทร์ลดรับคนตจว.”
ตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ธุรกิจห้องพักโรงแรมรอบเกาะรัตนโกสินทร์กว่า 3,000 ห้อง
ซึ่งมีทั้งแบบประหยัดและบูติก โรงแรมรอยัล รัตนโกสินทร์ กลายเป็นสถานที่รองรับคนไทยที่หลั่งไหลจากทั่วประเทศมุ่งหน้าเข้ามาถวายพระบรมศพ
โดยผู้ประกอบการโรงแรมได้จัดทำราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์มีราคาให้เลือกตั้งแต่ 600 บาท/ห้อง/คืนขึ้นไป แตกต่างจากในช่วงเหตุการณ์ปกติจะตั้งราคาขายนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้เฉลี่ย
1,200-2,500 บาท ในทำเลหลัก ๆ อาทิ
ใกล้วัดพระแก้ว : โรงแรมแอท สไมล์ เฮาส์
ขนาด 30 ห้อง โปรโมชั่นลดราคาห้องพัก
30% จากปกติขาย 900 บาทต่อคืน เหลือ 700 บาท และถ้ามาเป็นกรุ๊ปใหญ่ เข้าพักหลายคนหลายห้อง
จะลด 40-50%
ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย : โรงแรมแนวบูติก "บ้านดินสอ" ขายเพียง 600 บาท/คืน จากปกติ 600 บาท
ส่วนห้องราคาแพงสุด 2,000 บาท จากปกติ 2,500 บาท
ถนนราชดำเนินกลาง : โรงแรมดินสอมนต์ สไตล์วินเทจ ลดค่าห้องพัก 10% รวมอาหารเช้า ซึ่งขายต่ำกว่าใน
www.booking.com ตั้งราคาขายไว้สูงถึง 1,500 บาท/คืน
ถนนมหาราช : โรงแรมเดอะ รอยัล ท่าเตียน วิลเลจ ขนาด 12 ห้อง ลดราคาพิเศษให้ลูกค้าคนไทยที่เดินเข้าไปจองราคาเหลือ
900 บาท/คืน จากปกติ
1,200 บาท/คืน
ถนนข้าวสาร : โรงแรมข้าวสารพาเลซ เริ่มต้นที่ 800-900 บาท/คืน
ถนนพระอาทิตย์ : โรงแรมแฮปปีโอ ทำโปรโมชั่นราคาห้องพักคนไทยและต่างชาติ
710 บาท/คืน
ดำเนินรายการโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน และ นฤมล พุกยม
ติดตามฟังรายการย้อนหลังเข้าไปที่ www.google.com พิมพ์คำว่า รวยด้วยข่าว97.0 หรือทาง www.facebook.com/rauydauykhao
และ ข่าววิเคราะห์เจาะลึกทางบล็อกเกอร์ :gurutourza.blogspot.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น