ผู้นำทอท.เดินหน้า2โปรเจ็กต์บูมเศรษฐกิจชาติ
ข่าวที่ 1 “แรงไม่หยุดช้อป Pop Up Storeพูลแมนคิงเพาเวอร์”
ข่าวที่ 2 “ดอนเมืองขึ้นค่ารถขสมก.2สายใหม่เป็น50บาท”
ข่าวที่สอง “TCEBนำไทยหนุนธุรกิจยุคใหม่ทำSMART MICE”
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ ทีเส็บ เปิดเผยว่า ในช่งครึ่งปีหลัง ได้นำกลยุทธ์ “SMART MICE” มายกระดับงานสร้างความยั่งยืนส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจไมซ์ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานไมซ์จากแบบเดิมไปสู่การจัดงานแบบ SMART MICE อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยจะเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมศักยภาพทางการแข่งขันให้ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของไมซ์ทั่วโลก
คลี่ปมPick up Counter-ปลุกลงทุนพื้นที่รอบสนามบิน
ททท.ควงไทยสไมล์ปั๊มยอดทัวร์เชียงราย-พะเยา
ตามรอยพ่อชมศูนย์เกษตรหลวงขุนวางเชียงใหม่
จับตาล้มสรรหาดีดีบินไทยหลังสัมภาษณ์ 4 คน
สวัสดีเช้าเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น. พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong และ gurutourza.blogspot.com ฟังย้อนหลังใน youtubeทาง www.facebook.com/rauydauykhao)
สวัสดีเช้าเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น. พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางมือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong และ gurutourza.blogspot.com ฟังย้อนหลังใน youtubeทาง www.facebook.com/rauydauykhao)
ช่วงที่ 1 ฟังคำตอบชัด ๆ อย่างละเอียดจาก “ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ”
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” คลายปม
“จุดส่งมอบสินค้าดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ” และก้าวใหม่
6 สนามบินเตรียมทะยานสู่แถวหน้าภูมิภาคเอเชีย
และข่าวจากธุรกิจสาขาต่าง ๆ
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย
|
“ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.”
กล่าวในรายละเอียดเรื่องแรกการจัดการ “จุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรในสนามบิน” หรือ Pick
Up Counter ตามท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ
ทอท.ทั้งในสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต
เรื่อยไปจนถึงกรณีให้เอกชนผู้ชนะการประมูลผูกขาดหรือไม่อย่างไร
มีวิวัฒนาการสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการธุรกิจต่อเนื่องมาทุกยุคสมัย
เริ่มจากขั้นตอนการทำ
“จุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรในสนามบิน” หรือ Pick Up Counter นั้นเดิมเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในการลงทุนเปิดธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในเมือง
(Duty free downtown) ซึ่งอาจจะไม่ต้องใช้ Pick
Up Counter สนามบินก็ได้
เนื่องจากศุลกากรมีระเบียบรองรับการนำสินค้าที่ซื้อจากดิวตี้ฟรีออกนอกประเทศได้ในช่องทางอื่น
ๆ ตามกฎหมาย เมื่อเล็งเห็นถึงศักยภาพของผู้ประกอบการรายนั้น ๆ
ทางกรมศุลกากรก็จะออก “ใบอนุญาตประกอบการคลังสินค้าทัณบน”
เพื่อให้ผู้ซื้อสินค้าจากแต่ละร้านนำสินค้าดิวตี้ฟรีออกจากราชอาณาจักรได้
บางส่วนเป็น Pick
Up Counter ตามปกติจะตั้งอยู่ในสนามบินนานาชาติ
บริเวณด้านหลังจากการผ่านเคาน์เตอร์การตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไปเรียบร้อยแล้ว
สร้างความมั่นใจว่าผู้ซื้อได้นำสินค้าดิวตี้ฟรีออกไปต่างประเทศแน่นอน
หรืออีกวิธีทางร้านค้าสามารถให้นักท่องเที่ยวรูดบัตรเครดิตหรือชำระเงินแล้ว
เช่น ซื้อนาฬิกาจากร้านดิวตี้ฟรี จะต้องมีสลิปใช้จ่ายเป็น 2 ใบ คือ ค่านาฬิกา กับ ค่าภาษี เมื่อนำสินค้าที่ซื้อไปสำแดงหลังผ่าน
ตม.แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็จะจัดการยกเลิกค่าเสียภาษีทิ้งไป
เปรียบเทียบได้กับการเช่ารถขับขี่ ตามปกติจะต้องจ่ายค่าเช่ารถกับค่าประกันรถ
เมื่อนำรถมาคืนก็จะไม่ต้องจ่ายค่าประกันดังกล่าว
โดยสรุปแล้วในการไปยื่นขอ
“ใบอนุญาตประกอบกิจการร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง” ในประเทศไทย
ตามระเบียบกรมศุลกากรแล้วจึงไม่จำเป็นจะต้องมี “จุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรในสนามบิน”
หรือ Pick Up Counter เพียงอย่างเดียว
ส่วนกรณีของ
“ทอท.” เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ยังไม่มีดิวตี้ฟรีในเมือง คณะกรรมการ ทอท.ยุคนั้นจึงให้เปิดประมูล
“พื้นที่เชิงพาณิชย์” ทุกประเภท
ตามขอบเขตสัญญาจะต้องตั้งอยู่ในภายในอาคารผู้โดยสาร
ผู้ชนะประมูลได้เสนอข้อมูลประกอบสัญญาคือ Pick Up Counter จากจุดนั้นจึงนับเป็นเงื่อนไขประกอบสัญญาปรากฎชัดเจนนั่นเอง
ผนวกกับยุคนั้น Pick Up Counter ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
จากนั้นในปี 2555
เริ่มมีนักลงทุนสนใจประกอบการร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง
เพิ่มขึ้น แต่บอร์ด ทอท.สมัยนั้น
ซึ่งทั้งบอร์ดกับผู้บริหารชุดปัจจุบันยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่
ตามความเห็นของบอร์ดในอดีตสมัยซึ่งเห็นเงื่อนไขสัญญมีคำว่า pick up counter
แล้ว
ในระหว่างเปิดประมูลทำดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานดอนเมือง
จึงได้เห็นวิวัฒนาการของการประมูลอีกขั้นคือ “เริ่มมีการประมูล pick up
counter”
ซึ่งจะเห็นความแตกต่างของการกำหนดเงื่อนไขเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานดอนเมือง
นั่นคือ ยุคที่ 1 ประมูลพื้นที่ทั้งหมดกำหนดทุกธุรกรรมไว้ในสัญญาเดียว
ต่อมา “ยุคที่ 2” มีดาวเด่น pick
up counter เข้ามาก็เริ่มประมูลแยกพื้นที่
โดยผู้ชนะการประมูลจะได้ประกอบการแต่เพียงผู้เดียว
กระทั่งมาถึง
“ยุคปัจจุบัน” ปี 2558 บอร์ดชุดนี้เข้ารับหน้าที่ก่อนส่วนผมมาทีหลัง
แล้วคำนึงถึงเงื่อนไขการประมูลพื้นที่ pick up counter เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น
ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าในการเปิดประมูลพื้นที่ครั้งต่อไปควรจะต้องปรับวิธีบริการด้วย
เพราะให้สิทธิแก่รายเดียวคงจะไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ดังนั้นในการเปิดประมูลครั้งใหม่ในท่าอากาศยานภูเก็ต
ทอท.จึงกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ชนะการประมูล
จะต้องอนุญาตให้ผู้ประกอบการรายอื่นสามารถใช้ pick up counter ได้ด้วยหรือเรียกตามสากลว่า Common Use อันเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในท่าอากาศยานภูเก็ต
ผมขอสรุปวิวัฒนาการ
pick up counter ในสนามบินของ ทอท.ดังนี้ คือ ยุคแรก
เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
ตอนเปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิครั้งแรก
การประมูลก็เป็นอีกรูปแบบตามยุคสมัยตามขนาดของพื้นที่ ยุคที่ 2 การกลับมาเปิดบริการใหม่ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง การประมูลดิวตี้ฟรี
ก็เปลี่ยนรูปแบบโดยมีการแยกประมูลพื้นที่ pick up counter ให้สิทธิผู้ชนะดำเนินธุรกิจเพียงรายเดียว และยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี 2560
ท่าอากาศยานภูเก็ต ก็ประมูลแยกพื้นที่ pick
up counter ออกจากพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน
แต่เพิ่มเงื่อนไขการใช้งานแบบ Common Use ต้องพร้อมให้บริการผู้ประกอบการรายอื่น
ๆ ได้ด้วย
การประมูลทุกครั้งก็มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั่วไปหลายราย
รวมถึงรายที่ร้องเรียนอยู่ขณะนี้ด้วยก็ร่วมประมูลแข่งกับรายอื่น ๆ
ในท่าอากาศยานดอนเมือง แต่แพ้การประมูลไป
แต่ก็ต้องเข้าใจรายละเอียดตามข้อกำหนดทั้งหมดของ ทอท.เพราะได้เห็นเอกสารในฐานะผู้เข้าร่วมประมูลพื้นที่ดังกล่าว
เรื่องทั้งหมดของ
pick up counter ที่ปรากฎในประเทศไทย ทุกยุคสมัย
ทุกฝ่ายได้ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างมีวิวัฒนาการ
สำหรับแนวทางการประมูล
pick up counter ครั้งใหม่ ก็จะต้องให้บริการ Common
Use นำต้นแบบของท่าอากาศยานภูเก็ต
ซึ่งสถานการณ์เปิดประมูลใน “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ตามสัญญากลุ่มบริษัท คิง
เพาเวอร์ ผู้ชนะจะหมดสัญญาภายในเดือนกันยายน
2563 โดยระหว่างนี้สุวรรณภูมิเฟส 2
กำลังทยอยก่อสร้างกำหนดแล้วเสร็จพฤศจิกายน 2562
ตามขั้นตอนต้องดำเนินการทดสอบการใช้งานทั้งหมด
รวมถึง ทอท.ก็ต้องวางแผนเปิดประมูล “พื้นที่เชิงพาณิชย์” ล่วงหน้า 2 ปี ก่อนจะเปิดบริการเฟสใหม่
ปี 2560
จึงเข้าสู่กระบวนการเตรียมจัดทำข้อเสนอ ทีโออาร์
เปิดประมูลใหม่ จากนั้นประมาณปี 2561 ควรจะได้ “ผู้ประกอบการรายใหม่”
ซึ่งจะต้องมีเวลาเตรียมตัวไปหาสินค้า ร้านค้า มาจำหน่าย
และการออกแบบตกแต่งพื้นที่อาคาร ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี
เพื่อเปิดบริการพร้อมกับสุวรรณภูมิเฟสใหม่เดือนพฤศจิกายน 2562
หมายถึงเหลือเวลาอีกเพียง
200 กว่าวันเท่านั้น ทอท.ก็จะเปิดประมูล
“ร้านค้าดิวตี้ฟรีและ pick up counter ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ”
รอบใหม่แล้ว โดยยังคงย้ำเน้นเรื่อง ความโปร่งใส เป็นธรรม เป็นลำดับแรกทุกขั้นตอน
ขณะเดียวกันขออธิบายเรื่องคาใจของสังคมที่พยายามตั้งคำถามมาตลอดว่า
ทอท.ให้สิทธิกับ “ผู้ชนะการประมูลเพียงรายเดียว”
ผูกขาดการใช้พื้นที่ทั้งอาคารในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิใช่หรือไม่
ต้องบอกว่า
“วันเริ่มประมูล” คือเปิดให้แข่งขันเสรี ต่อเมื่อมี “ผู้ชนะประมูล” แล้ว
จำเป็นจะต้องทำตามกติกาให้สิทธิแก่ผู้ชนะตามข้อตกลงสัญญา
เพราะตามเนื้อหาการประกอบธุรกิจแล้วอาคารเดียวกันจะแบ่งซีกซ้ายซีกขวา
เพื่อยกให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการหลายกลุ่มคงจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย เช่น
หากเครื่องบินต้องไปลงข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไปก็จะต้องถูกร้องเรียนฟ้องร้องถึงความไม่เป็นธรรมอีกเช่นกัน
เนื่องจากการลงทุนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส
1 เน้นเรื่อง Landside ต่อมาเฟส 2 ที่กำลังจะเปิดเพิ่มเรื่องการเชื่อมโยงเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินขุดอุโมงค์ไปอีก
1 กม.เข้าไปสู่บริเวณ Airside หากผู้ประมูลรายหนึ่งชนะได้สิทธิบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ฝั่งแลนด์ไซด์
ทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ด้านหน้าพื้นที่
ต่างจากผู้ที่ชนะได้บริหารบริเวณแอร์ไซด์ก็จะไม่มีคนเข้าไปใช้บริการ
ภาพเหล่านี้จะสร้างความไม่เป็นธรรมได้
ดังนั้นในพื้นที่การเปิดประมูลรอบใหม่
ทอท.จึงต้องกำหนดเงื่อนไขแก่ “ผู้ประกอบการรายเดียว” บริหารทั้งเฟสเก่าและเฟสใหม่
โดยใช้กติกาเปิดประมูลการแข่งขันเสรีทั่วไป
ผู้ชนะก็จะได้สิทธิสัมปทานภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อครบสัญญา
ทอท.ก็เป็นเจ้าของตามเดิม แล้วก็เปิดประมูลใหม่เป็นระยะ ๆ ต่อไป
ส่วนการเปิดประมูลรอบใหม่ช่วงปี
2561 การแข่งขันมีแนวโน้มจะดุเดือด
เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายแสดงความสนใจเข้าร่วมมากขึ้น
เพราะการเสนอผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ ทอท.กำหนดในทีโออาร์นั้นมีทั้ง
การเสนอค่าตอบแทนขั้นต่ำ (minimum Qaurantee) ปัจจุบันกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จ่าย
ทอท.สูงกว่าตอบแทนขั้นต่ำเป็นปกติอยู่แล้ว
ผมเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวผู้ประกอบการรายอื่นต้องเห็นเบรนช์มาร์กหรือตัวเลขขั้นต่ำที่คิง
เพาเวอร์ จ่าย จึงทำให้การประมูลครั้งหน้า ค่าตอบแทนโดยรวมทั้งหมดจะสูงอย่างแน่นอน
ขณะที่ “pick
up counter” ปี 2563 หากสถานการณ์ยังคงมีผู้สนใจจำนวนมาก ทอท.ต้องเปิดประมูลเป็น common
use ผู้ชนะต้องให้รายอื่นเข้ามาใช้บริการเคาน์เตอร์ดังกล่าวได้ด้วย
หรือจะสมมุติหากผู้ประกอบการรายอื่น
สนใจใช้ช่องทางการให้ผู้ซื้อนำสินค้าออกช่องทางอื่นตามระเบียบกรมศุลกากรมากกว่า pick
up counter ก็อาจจะได้รับความสนใจน้อยลงโดยอัตโนมัติ
ดร.นิตินัยอธิบายถึงกรณีที่
“ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ส่งหนังสือวินิจฉัยไปยังนายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ชี้แจงเรื่องปัญหา pick up counter
ตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันเน้นทุกหน่วยงานต้องทำงานอย่างโปร่งใส
และตามขั้นตอนทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มประสิทธิภาพในการสอดส่องดูแลถึงการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐ
โดยได้มีข้อแนะนำกรณี pick up counter ภายในกรอบเวลาให้
ทอท.ชี้แจงตอบข้อซักถามอย่างละเอียด ภายใน 60 วัน ตามหนังสือที่ส่งมาถึงเมื่อเดือนมีนาคม 2560 จะครบกำหนดต้องตอบภายในปลายเดือนพฤษภาคม 2560 เหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือน
ขั้นตอนการชี้แจง
เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนังสือส่งถึง ทอท.แล้วได้รับคำชี้แจง
แต่หากยังไม่ข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจง ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ก็จะต้องทำหนังสือส่งถึง “ผู้บังคับบัญชาของ ทอท.” คือ “กระทรวงคมนาคม” หรือ
“รัฐบาล” ต่อไป
พอถึงขั้นตอนส่งถึงผู้บังคับบัญชาก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองแล้วแจ้งมายังหน่วยงานที่ถูกตรวจสอบ
ซึ่งหากมีข้อท้วงติงหรืออย่างไรก็ตาม ทอท.ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชานั่นเอง
เพราะหาก ทอท.ไม่ทำก็อาจจะถูกร้องไปยัง “ศาลปกครอง” ซึ่งเป็นไปตามกระบวนตามปกติ
ขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับ
ทอท.อยู่ในขั้นตอนที่ 1 เพราะได้ทำตามแนวทางปฏิบัติในระเบียบเป็นปกติมาตลอดทุกเรื่อง
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือภารกิจหลักของ
ทอท.ในช่วงครึ่งปีหลัง การบริหารรัฐวิสาหกิจควรสมดุลในบทบาทของ “รัฐ” กับ
“พาณิชย์” ที่ทำสำเร็จไปแล้วขั้นแรกคือบทบาทของรัฐ “ด้านการลงทุน” ช่วง 10 ปีข้างหน้า จะพัฒนาขยายท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ในวงเงิน 2 แสนล้านบาท
เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มจากปัจจุบันรวมปีละ 83.5 ล้านคน เป็น 185 ล้านคน
ใช้เวลาผลักดันแผนแม่บทจนผ่านทุกขั้นตอน
เมื่อวันที่ 14
กันยายน 2559 ได้รับเกียรติจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เป็นประธานตอกเสาเข็มท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ไปเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้เปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานภูเก็ต
ในเวลาใกล้เคียงกัน
นับจากนี้ไปสิ่งที่เดินหน้าทำคือ
ส่วนที่เป็นรัฐคงทำต่อไปตามแผนแม่บท การขยายสนามบิน สร้างความโปร่งใส
ต่อต้านคอรัปชั่น การจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้นแบบของรัฐวิสาหกิจ
สำหรับภารกิจที่ท้าทายคือ
“การสานต่อกิจกรรมเชิงพาณิชย์” มี 2 ส่วน 1.การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ในที่ดินว่างเปล่ารอบสนามบิน จะต้องมี 2
เงื่อนไขสำคัญ คือ
1.พัฒนาขยายปริมาณการรองรับผู้โดยสารภายในอาคาร
เพราะผู้ที่จะมาลงทุนคงต้องเห็นศักยภาพของสนามบินนั้น ๆ
หากสุวรรณภูมิรองรับได้เพียงปีละ 45 ล้านคน
การลงทุนก็คงอยู่แค่การทำตลาดน้ำ 4 ภาค
ดังนั้นจึงต้องทำแผนขยายอาคารเพื่อเพิ่มปริมาณรองรับผู้โดยสารให้ได้เกินกว่าปีละ 80
ล้านคน ซึ่งทำสำเร็จแล้วอยู่ในแผนแม่บท 10
ปีข้างหน้า
2.ความชัดเจนในการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุว่ากิจกรรมใดทำได้และทำไม่ได้
เมื่อปี 2559 ทอท.ได้จ้างที่ปรึกษาพร้อมกับจัดตั้งคณะกรรมการ
ซึ่งเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมพิจารณามีทั้งตัวแทนจาก กรมธนารักษ์
กรมท่าอากาศยาน กองทัพอากาศ และ ทอท.อยู่ในคณะกรรมการตรวจรับของที่ปรึกษา
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้ไปจัดสัมมนา
และเห็นพ้องถึงกิจกรรมของที่ปรึกษาเสนอมาว่าควรจะทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ซึ่งสามารถทำได้
หลังจากนี้ก็จะนำไปเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุอย่างเป็นรูปธรรม
จะทำควบคู่กับแผนงานของกรมธนารักษ์กำลังเตรียมปรับผลตอบแทนการใช้พื้นที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะได้แก้ไขการใช้ที่ราชพัสดุทั้งระบบว่าจะต้องปรับเพิ่มอะไรอีกบ้าง
อัตราการคิดค่าใช้จ่ายจะเป็นเท่าไร
ภายในไตรมาส 2
แล้วภายในไตรมาส 3 ปี 2560 การแก้เงื่อนไขก็จะได้ข้อยุติพร้อมใช้งาน
ซึ่งข้อตกลงการใช้ที่ราชพัสดุจะ 2 เรื่องหลัก
คือ 1.ครอบคลุมทุกเรื่อง 2.อัตราผลตอบแทนการใช้งาน อันเป็นเงื่อนไขพื้นฐานการใช้ที่ดินว่างเปล่า
จะทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจตรงกันเพื่อแสดงความสนใจเข้ามาพัฒนาพื้นที่รอบสนามบินตามแผนอนาคตอีก
3-5 ปีข้างหน้า
สอดคล้องกับขนาดของสนามบินแต่ละแห่งได้
โดยรู้ทั้งข้อจำกัดและอัตราผลตอบแทนที่ชัดเจน
ตลอดทั้งปี 2560 ถ้า ทอท.สามารถปลดล็อกได้ทั้ง 2 เงื่อนไข คือ 1.เรื่องการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาการลงทุน
ทำสำเร็จผ่านไปแล้วถึง 1.5 ยังเหลือ 2.
ความชัดเจนตามข้อตกลงซึ่งเหลืออีก 0.5 เกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนควรคิดเท่าไร กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา
จากเดือนพฤษภาคมไปจนถึงสิ้นสุดปีงบประมาณเดือนตุลาคม
2560 นี้ จะได้ข้อสรุปทั้งหมด จากนั้นในปี 2561
ก็เดินหน้าทำแต่ละเรื่องได้อย่างราบรื่น
เพราะเอกชนหรือนักลงทุนส่วนใหญ่มีความพร้อม
รอเพียงข้อสรุปของภาครัฐที่จะประกาศแต่ละเงื่อนไขอย่างชัดเจนต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมงข่าวที่ 1 “แรงไม่หยุดช้อป Pop Up Storeพูลแมนคิงเพาเวอร์”
ระหว่างวันนี้-30 มิ.ย.2560
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
ชวนไปช้อปกับกิจกรรมใหม่ กับ Pop-Up Store
คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ที่ยกสินค้าไปวางจำหน่ายชั่วคราว ณ โรงแรม
พูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กรุงเทพฯ เมื่อซื้อครบ 30,000
บาทต่อหนึ่งใบเสร็จรับเงิน รับไปเลยส่วนลดสูงสุด 20 % บวก on-top สูงสุดอีก 10 %
แต่ละเดือนจะมีกิจกรรมส่วนลดมาคืนกำไรนักช้อปไปจนถึงวันที่
30 กันยายน 2560 ณ พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งมีสินค้าให้เลือกจุใจทั้ง 7
หมวด ได้แก่ 1.เครื่องสำอางค์และความสวยความงาม (beauty) 2.นาฬิกาแบรนด์นำของโลก (Watch) 3.ผลิตภัณฑ์การเดินทาง (Jouney) 4.อาหาร(Food) 5.ปาร์ตี้
6.สินค้าไทย 7.แฟชั่นครบวงจร
ข่าวที่ 2 “ดอนเมืองขึ้นค่ารถขสมก.2สายใหม่เป็น50บาท”
นายเพ็ชร ชั้นเจริญ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) “ทอท.” กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่สาธารณะเกี่ยวกับการ
“ปรับขึ้นค่ารถโดยสารสาธารณะเชื่อมต่อสนามบินดอนเมืองสายใหม่” ซึ่งให้บริการตามแวะตามจุดต่าง
ๆ ในเขตเมืองกว่า 10 จุด ได้แก่ รถสาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี และสาย A4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง ปรับขึ้นค่าโดยสารตลอดเส้นทางจากเดิม 30 บาท เป็น 50 บาทต่อเที่ยว
เป็นไปตามเงื่อนไขที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
(ขสมก.) ปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากเส้นทางเดินรถสาย A3 และ A4
มีระยะทางทึ่ไกลกว่าสายเดิมคือ A1 ให้บริการเส้นทาง ท่าอากาศยานดอนเมือง - จตุจักร และ สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงคงราคาตลอดเส้นทางไว้เท่าเดิม
30 บาทต่อเที่ยว
สอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์
ท่าอากาศยานดอนเมือง โทร.0-2535-1192 หรือ AOT Contact Center 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
ข่าวที่ 3 “ททท.ควงไทยสไมล์บูมทัวร์เชียงราย-พะเยา”
นายเลิศชาย
หวังตระกูลดี
ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) สำนักงานเชียงราย เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับสายการบิน
ไทยสมายล์ และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวใน 2 จังหวัด คือ เชียงราย
พะเยา จัดกิจกรรม “กิน ช้อป พัก
เที่ยวที่เชียงราย พะเยา” กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ระหว่างวันนี้- 30
กันยายน 2560 จากการนำบัตรขึ้นเครื่องบิน หรือ Boarding pass ของไทยสมายล์ มาแสดงรับสิทธิพิเศษได้ทันทีในการเลือก
กิน ช้อป พัก เที่ยวที่เชียงราย พะเยา จากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จำนวนมากถึง
50 ร้านค้า
ดูรายละเอียดร้านค้าได้ที่
Facebook : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สำนักงานเชียงราย หรือขอรับคู่มือได้ที่ ททท.สนง.เชียงราย สอบถามเพิ่มที่
ททท.สนง.เชียงราย โทร.053 744674-5
ข่าวที่ 4 “เครือบางจากปลุก4องค์กรเพิ่มไบโอดีเซลรักษ์โลก”
นายธนชิต มกรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด ในเครือ
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้บางจาก
ไบโอฟูเอล ได้ร่วมลงนามใน
“โครงการสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น” เพื่อร่วมมือกันกับอีก
4 หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
(เอ็มเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน
โดยการนำเทคโนโลยี
H-FAME ระดับโรงงานสาธิตในประเทศไทย
ที่สามารถผลิตไบโอดีเซลคุณภาพสูงมาขยายผลให้เป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่สูงขึ้น
สอดรับกับข้อเสนอของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
โดยจะนำร่องโครงการด้วยการโดยนำเชื้อเพลิงไบโอดีเซล B10 ไปทดลองใช้กับรถยนต์ของหน่วยงานรัฐ
ข่าวที่ 5 “700รายร่วมขายเที่ยววันธรรมดา11-14พค.นี้”
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 11-14 พฤษภาคม 2560 ห้ามพลาดไปงาน
“วันธรรมดา น่าเที่ยวแอนด์ Outdoor Fest” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า
700 ราย ครอบคลุมทั้งกลุ่มบริการขนส่ง สายการบิน รถ
เรือ ห้องพักโรงแรมรีสอร์ต บริษัทจัดนำเที่ยว สถาบันการเงิน
หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะในบริเวณ
Outdoor Fest กลุ่มมีบริษัทนำเที่ยวได้จำลองพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทำกิจกรรม
Outdoor & Adventure เช่น ทัวร์ปีนหน้าผา
ทัวร์ล่องแก่ง ทัวร์ผจญภัย และอื่นๆ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย สวนสนุก และ Adventure
Zone โดยมี โรงแรม ที่พัก
เชิงท่องเที่ยวผจญภัย Camping ร่วมลดพิเศษกว่า
50%
ภายในพื้นที่จัดงานตลอด
5 วัน ได้แบ่งโซนกิจกรรมการท่องเที่ยวครบทุกรูปแบบ
จำลองมาให้ผู้เข้างานได้ทดลองสัมผัสประสบการณ์จริงโดยตรง ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อแพกเกจออกไปเที่ยววันธรรมดา
ซึ่งตามเป้าหมาย ททท.ต้องการกระตุ้นทั้งจำนวนและรายได้เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 10 %
ช่วงที่ 2 ตามรอยพ่อสู่ขุนวาง
ไปเยี่ยม “ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่”
แล้วมาดูว่างานวิจัยของลอนดอนที่ว่ากินผักผลไม้ให้ครบวันละ 10 ชนิดชีวิตจะยืนยาว ตามด้วยข่าว 4 ผู้สมัครดีดีการบินไทย
ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
(ขุนวาง) อยู่ที่ ม.12 ต.แม่วิน อ.แม่วาง
จ.เชียงใหม่ เปิดให้เข้าชม : ทุกวัน เวลา 08.00–16.00 น. ตั้งอยู่ ระหว่างหมู่บ้านปกาเกอะญอและหมู่บ้านม้ง
ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง อยู่ในวงล้อมของแนวเทือกเขาอินทนนท์
ตั้งขึ้นภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินมาที่บ้านขุนวางในปี พ.ศ. 2523
ซึ่งพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นการปลูกฝิ่นจำนวนมากของชาวบ้าน
ทรงมีพระราชดำรัสให้กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่แห่งนี้
ให้เป็นสถานที่ทดลอง ขยายพันธุ์ ส่งเสริม
และถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืชเมืองหนาวบนที่ราบสูงให้กับเกษตรกร ทดแทนการปลูกฝิ่น
ปัจจุบันภายในพื้นที่ของโครงการ
คือแหล่งเพาะปลูกและวิจัยพืชพรรณและไม้ผลเมืองหนาว เช่น สาลี่ พลัม แมคคาเดเมีย
เกาลัดจีน สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ยอดนิยม
เพราะมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
จึงนับเป็น " ศูนย์ศึกษา
วิจัยพันธุ์พืชและ ไม้ผลเมืองหนาว เพื่อถ่ายทอด
องค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร "
ส่วนผู้ถวิลหาบรรยากาศของดอกไม้สีชมพูผลิบานท่ามกลางขุนเขาสีเขียว
ที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) เป็นอีกหนึ่งจุดชมต้นนางพญาเสือโคร่ง
หรือซากุระเมืองไทยแห่งสำคัญของเชียงใหม่ เพราะพื้นที่ ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 1,100
เมตร
ทำให้นอกจากจะได้ชื่นชมกับดอกนางพญาเสือโคร่งที่ผลิดอกสวยงามเต็มที่แล้วยังได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายในช่วงฤดูหนาว
ซึ่งเป็นฤดูที่นิยมไปท่องเที่ยวระหว่างเดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปี
การเดินทางไปท่องเที่ยวเชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน
วันแรก “ช่วงเช้า” เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
(ขุนวาง) ดูแปลงดอกไม้ พืชผักเมืองหนาว ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี
ดอยอินทนนท์ มีเพียงแห่งเดียวในโลก “ช่วงบ่าย” ไปพระตำหนักดอยผาตั้ง
ชมเรือนประทับและเรือนทรงงานชมสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ทดลองเลี้ยงแกะ ป้อนหญ้า
ป้อนนม
วันที่สอง “ช่วงเช้า” ไปสำรวจสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมขุนช่างเคี่ยน
ชมซากุระบานสะพรั่งทั้งป่า “ช่วงบ่าย” สวนพฤกษาศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
เดินชมธรรมชาติบนสะพานลอยฟ้ายาวที่สุดของไทย
วันที่สาม “ช่วงเช้า” ขึ้นรถรางชมพรรณไม้ ณ
สวนพฤกษศาสตร์ทวีชล
ชมงานพุทธศิลป์วัดบ้านเด่นสะหรีศรีเมืองแกน “ช่วงบ่าย” พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์
พระตำหนักของเจ้าดารารัศมี ซื้อของฝากกลับบ้านที่กาดวโรรส
สถานที่เที่ยวห้ามพลาด ได้แก่ จุดชมต้นนางพญาเสือโคร่ง ถนนสายซากุระเมืองไทยภายในพื้นที่ของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ไร่กาแฟ
ชมเมล็ดกาแฟอาราบิก้า สายพันธุ์คาติมอร์ สดๆ จากต้น
กิจกรรมห้ามพลาด เดินชมแปลงทดลองการเกษตรภายในศูนย์ เก็บภาพสวยๆ
กับดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่หนึ่งปีจะบานให้เห็น แค่ครั้งเดียว
สนใจท่องเที่ยวศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่
(ขุนวาง) จ.เชียงใหม่ ภายในบริเวณศูนย์มีบ้านพัก 4 หลัง และจุดกางเตนท์ 2 จุด โทร.0-5331-8333
การเดินทาง ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
1009 เลี้ยวขวาที่สามแยกบริเวณหมู่บ้านขุนกลาง
(ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 31) ขับตรงไปประมาณ
18 กม. จนถึงขุนวาง
@กินผักผลไม้วันละ10ชนิดชีวิตยืนยาว
ดร.ดาร์ฟินน์
แอนเน" นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกรุงลอนดอน ได้จัดทำวิจัยเกี่ยวกับระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย
กลุ่มตัวอย่าง 95 รายที่ชอบรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ พบว่า
"พวกเขาจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรน้อยลง คิดเป็นจำนวนประมาณ 7.8 ล้านคนต่อปี
หากกินผักและผลไม้มากกว่าวันละ 10 ชนิด
การวิจัยลักษณะของผักและผลไม้กว่า
10 ชนิด ให้พลังงานราว 800 กรัมต่อวัน และยังพบว่าแอปเปิลลูกขนาดกลางจะให้พลังงาน 182
กรัม
นักวิจัยคาดว่า
ต้องรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 10 ชนิด จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลงได้
24 % ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองลดลง 33 % ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง
28% ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลดลง 13% โดยรวมแล้วการบริโภคผักและผลไม้
จะลดความเสี่ยงทุกโรคที่กล่าวมา ลงได้ 31 %
ผลไม้และผักที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจหากบริโภคบ่อยๆ
ได้แก่ แอปเปิล ส้ม และผักโขม ส่วน "ผักตระกูลกะหล่ำ" เช่น บร็อกโคลี
กะหล่ำปลี พริกไทย และถั่วเขียว จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
ขณะที่ "ผักและผลไม้จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ลดความดันโลหิต เสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ประกอบกับในผักและผลไม้มีกากใยและสารอาหารที่ซับซ้อนอยู่ภายใน
หรืออธิบายได้ว่ากลุ่มอาหารดังกล่าวประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก
จึงช่วยซ่อมแซม DNA ในร่างกายที่เสื่อมลง
จากสิ่งแวดล้อมหรืออายุที่เพิ่มขึ้นให้แข็งแรงได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “จับตาล้มกระดานสรรหาดีดีบินไทย”
บริษัท
การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ทางคณะกรรมการสรรหาผู้ที่จะรับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่
(ดีดี) การบินไทยได้เรียกผู้สมัครที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติมาสอบสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์
4 คน คือ 1.นายดนุช บุนนาค ที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย 2. 4.นายวิสิฐ ตตันติสุนทร
อดีตเลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) 3.นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล อดีตผู้ว่าการ
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ 4.นายธีรวิทย์ จารุวัฒน์
อดีตกรรมกอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)
โดยให้โจทก์สำคัญเรื่องการเสนอแนวทางกับกลยุทธ์ผ่าทางตันวิกฤตปัญหาการเพิ่มรายได้
ซึ่งการบินไทยเผชิญภาวะขาดทุนต่อเนื่องมาถึง 3 ปี
เรื่อยไปจนถึงการบริหารองค์กรให้มีขีดความสามารถท่ามกลางการแข่งขันของแอร์ไลน์ที่ดุเดือดสูงขึ้นทุกปี
ทั้งนี้คณะกรรมการ
(บอร์ด) เพิ่งจะมีมติเมื่อปลายเดือนเมษายน 2560 ให้นางอุษณีย์
แสงสิงห์แก้ว รักษาการดีดีต่อระยะสองอีก 3 เดือน
ซึ่งหลายฝ่ายจับตาการสรรหาอาจจะล้มเพื่อสรรหาใหม่ต่อไป เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ข่าวที่สอง “TCEBนำไทยหนุนธุรกิจยุคใหม่ทำSMART MICE”
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ ทีเส็บ เปิดเผยว่า ในช่งครึ่งปีหลัง ได้นำกลยุทธ์ “SMART MICE” มายกระดับงานสร้างความยั่งยืนส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจไมซ์ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานไมซ์จากแบบเดิมไปสู่การจัดงานแบบ SMART MICE อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยจะเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมศักยภาพทางการแข่งขันให้ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของไมซ์ทั่วโลก
กรอบแนวคิดการจัดงานแบบ
SMART MICE ด้วย 5 องค์ประกอบหลัก
ได้แก่
1.ความยั่งยืน (Sustainable) การจัดงานแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม
สิ่งแวดล้อม และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน
2.ความทันสมัย (Modern) นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้สนับสนุนการจัดงานไมซ์
ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพจัดงานไมซ์ให้ดีขึ้นไป
3.มีศิลปะสร้างสรรค์ (Artistic) พัฒนาแนวคิดและรูปแบบจัดงานโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์
เพื่อให้ได้งานแปลกใหม่ดึงดูดผู้เข้าร่วมงานไมซ์เพิ่มขึ้น
4.การปฏิวัติการจัดงาน (Revolutionary) จากรูปแบบเดิมไปสู่การจัดงานแบบใหม่
โดยนำนวัตกรรมมาใช้ ด้วยการใส่ความคิดสร้างสรรค์ผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
5.การเปลี่ยนแปลง (Transforming) พัฒนาและเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานไมซ์อย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความเข้มแข็งงานไมซ์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
ข่าวที่สาม “KTC-เครือซีอาร์จีนำ140ร้านอาหารลดทั่วไทย”
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต เคทีซี” หรือ บริษัท
บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป
จำกัด (ซีอาร์จี) ผู้นำธุรกิจด้านร้านอาหาร ทำแคมเปญ
“อร่อยไม่ซ้ำสไตล์ จุใจได้ 2 ต่อ
ที่ร้านอาหารในเครือซีอาร์จี กับบัตรเครดิตเคทีซี” ระหว่างวันนี้
– 30 มิถุนายน 2560 เพียงสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี
ณ ร้านอาหารที่ร่วมรายการทั่วประเทศกว่า 140 สาขา รับสิทธิ์พิเศษ 2 ต่อ ดังนี้
ต่อที่ 1
รับทันทีส่วนลด 10% อาทิ ร้านเปปเปอร์
ลันช์ และร้านโคล สโตน ครีมเมอรี่ (ยกเว้นสินค้าใหม่ และสินค้าโปรโมชั่น)
ร้านโยชิโนยะ รับประทานครบ 350 บาทขึ้นไปรับส่วนลดทันที ร้านเทนยะ และร้านคัตสึยะ รับประทานครบ 400 บาทขึ้นไป รับส่วนลดไปเลยเช่นกัน
ต่อที่ 2
เพียงสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ และใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER REWADRS เท่ายอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป รับส่วนลดหรือรับเครดิตเงินคืนเพิ่ม
15% ภายใต้เงื่อนไขต้องส่ง SMS
ลงทะเบียนทุกครั้งเพื่อรับสิทธิ์ภายในวันที่ใช้จ่าย โดยพิมพ์ CRG เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 16 หลัก ตามด้วยเครื่องหมาย # และยอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป ส่งมาที่ 061
384 5000
โดยสมาชิกจะได้รับข้อความตอบกลับ เพื่อยืนยันการลงทะเบียนสำเร็จ ค่าส่งครั้งละ 3 บาท
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน
คอลัมนิสต์-การบิน/ท่องเที่ยว บล็อกเกอร์
ผู้ดำเนินรายการ "รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์" ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น