ททท.ภาคเหนือรุกแรงมัลติเจนเที่ยวยกครัว
เชียงรายหมื่นล้าน-จัดเต็มบั้งไฟเพชรบูรณ์
คิงเพาเวอร์นำผ้าย้อมครามไทยขึ้นชั้นโลก
ปลุกวัยเก๋าร่วมทัวร์3กิจกรรมรับของเพียบ
บีซีพีจีเครือบางจากบุกCODE/สมาร์ทพาร์ค
ทอท.เปิดข้อมูลเช่าบอดี้สแกนโปร่งใสชัวร์
กินเที่ยวปราจีนฯเมืองสุขภาพ-สตรีทฟู้ด
แนะเลือกใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัย
บางกอกแอร์จัดอยู่ดีกินดี4เมืองแค่5.9พัน
สนามบินบุรีรัมย์ส้มหล่นรับงบขยายรันเวย์
อู่ตะเภาเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์มิ.ย.
นกแอร์ฟุ้งQ1ปี’61ขาดทุนไม่ถึง30ล้าน
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 เข้าสู่ฤดู “เที่ยวยกครัว” กับ “สมฤดี จิตรจง” ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมาแนะนำแหล่งท่องเที่ยวมุมใหม่ในภาคเหนือช่วงฤดูฝน เพื่อชวนกลุ่มนักเดินทางกลุ่ม “มัลติ-เจน” เข้าร่วมเป็นสาวกเที่ยวแนวใหม่ สดใส กว่าเดิมทั้งโครงการนำร่อง “เชียงราย แต้ แต้” และการเปิดตำนาน “บั้งไฟเมืองเพชรบูรณ์” วันที่ 19-20 พฤษภาคม นี้ ที่ตำบลพุเตย อำเภอเมือง เทียบชั้นบั้งไฟแถวหน้าแดนอีสาน และต้องไปสักครั้ง 1 ใน 3 เมืองรองต้องห้ามพลาด น่าน แม่ฮ่องสอน อุทัยธานี
สมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ตลาดการท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงฤดูฝนจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมาก ปีนี้จึงได้ปรับแผนการขายเน้นสัมผัสธรรมชาติด้วยการท่องเที่ยวเชิงเกษตรท่องเที่ยวสวนผลไม้ พืชผัก เพื่อดึงกำลังซื้อให้เข้ามาอยู่ในภาคเหนือ ตั้งเป้ากระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดหลักตลอดปี 2561 มัลติ-เจน ประกอบด้วย กลุ่มครอบครัวซึ่งสามารถเดินทางในคราวเดียวพร้อมกันได้ทั้ง 3 เจนเนเรชั่น คือ พ่อแม่-ลูก-ปู่ย่า-ตายาย เบื้องต้นนำร่องคัดสรรแหล่งท่องเที่ยวที่รองรับนักเดินทางกลุ่มมัลติเจน โดยได้นำเพจ “พาลูกเที่ยวดะ” เข้าไปเปิดเส้นทางใหม่ ๆ พร้อมกับนำเสนอโปรดักซ์ที่สอดคล้องกับความต้องการ อาทิ การทำสปา นั่งสมาธิ ท่องเที่ยววัด ช้อปปิ้ง
ไฮไลต์ขณะนี้มีโครงการ “เชียงราย แต้ แต้” จัดทำเป็นแผนแม่บทต้นแบบการดำเนินงานทำให้ชุมชนเมืองรองนำการท่องเที่ยวพัฒนาได้ครบทั้ง 3 ขา คือ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ต้องยั่งยืนเมื่อมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปเป็นจำนวนมากจะต้องรับมือได้ และแนวทางใหม่จะยังช่วยป้องกันปัญหาการกระจุกตัวทั้งจำนวนและรายได้ จึงได้หารือกับผู้ประกอบการพื้นที่และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจัดทำโครงการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
โดยเน้นเรื่องแรก “เศรษฐกิจ” วางกลยุทธ์การหารายได้จากท่องเที่ยวด้วยการสร้างความเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนสร้างมาตรฐานสินค้าแล้วขายให้ได้มูลค่าได้หลากหลายอำเภอ เรื่องที่ 2 “สังคม” มองสองมิติ คือ มิติแรก ผู้คนในท้องถิ่นคือเจ้าบ้านที่ดีมีความสุขที่จะได้รับนักท่องเที่ยว มิติที่สอง ผู้เข้าไปเยือนต้องเคารพวัฒนธรรมวิถีความเป็นอยู่ชุมชน เรื่องที่ 3 สิ่งแวดล้อม ในช่วง 3 ปีแรก อชขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานมีแผนบริหารจัดการขยะได้อย่างลงตัวไม่กลายเป็นภาวะขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว
ดังนั้นในปี 2561 นี้ ททท.กับภาคีพันธมิตรได้ค้นหาโปรดักซ์เพิ่มสำหรับพ่อแม่ในครอบครัว ทำออกมาเป็น 3 หมวด R-A-I ให้สอดคล้องกับชื่อเชียงราย ประกอบด้วย หมวดที่ 1 Relax การท่องเที่ยวเชิงผ่อนคลายแหล่งธรรมชาติ อากาศ อาหาร ความสด สะอาด ของรับประทาน และออร์แกนิก พร้อมทั้งมีแหล่งปฏิบัติธรรมหลายแห่ง หมวดที่ 2 A-ART เปิดชิ้นงานศิลปะจากครูศิลปินในเชียงรายหลายคน เช่น อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นำหอศิลป์ต่าง ๆ มารวมกลุ่ม แล้วทำการตลาด โดยนำเด็ก ๆ สอนทางด้านวาดภาพ ศิลปะ หมวดที่ 3 I-Inspiration ปลุกกระแสก่อให้เกิดแรงบันดาลใจทางธุรกิจ เช่น แหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตร โดยเฉพาะโครงการหลวง ขณะเดียวกันก็มีชุมชนปางห้า พื้นที่เหนือสุดของประเทศเป็นชุมชนสุดท้ายในรอยต่อแนวเขตแดนเมียนมาร์ ทำการเกษตรได้ดีมาก มีการปลูกผลไม้ตามฤดูกาล แล้วสามารถทำ D.I.Y. เช่น ทำน้ำปลาหวานจากหญ้าหวานแทนน้ำตาล หรือการทำกระดาษสา และยังมีไร่เอกชน อาทิ ไร่รื่นรมย์ นำชุมชนรอบ ๆ มาแนะนำให้นักท่องเที่ยวทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างเก็บไข่ในฟาร์ม ซึ่งรองรับกิจกรรมนักท่องเที่ยวครอบครัวทำได้ทั้ง 3 วัย รวมถึงสิงห์ปาร์ค ก็เช่นกัน
ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นโปรดักซ์ท่องเที่ยวของเชียงรายรวมกันเป็นหมวดสินค้าที่ดึงดูดความนิยมได้เป็นอย่างดี และสามารถนักท่องเที่ยว 3 วัย เข้าไปได้ ขณะนี้ก็มีโปรโมชั่นเป็นคูปองส่วนลดที่จะนำไปใช้ท่องเที่ยวในเชียงราย ทั้งที่พัก ร้านอาหาร ของที่ระลึก ซึ่งสามารถไปรับคูปองได้ที่สำนักงาน ททท.เชียงราย ได้ตลอดทั้งปี
สำหรับการเพิ่มรายได้เข้าสู่จังหวัดเชียงรายปี 2561 จะสร้างการเติบโตเพิ่มได้ถึง 7 % ปีนี้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวเข้าสู่เชียงรายอาจจะเฉียด 10,000 ล้านบาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนคือมีสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลเริ่มมีเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศทั้ง จีน เกาหลี สะท้อนถึงการกระจายเที่ยวบินจากเชียงใหม่สู่เชียงราย ทำให้มีเงินจากตลาดต่างประเทศเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวทางรถซึ่งเดิมเคยใช้เส้นทางเชียงของจากจีนเข้าเชียงราย แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว ทว่ายังคงได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานฟื้นฟูการท่องเที่ยวทางรถจากจีนกลับมาบ้างได้แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวสามารถซื้อของกลับประเทศได้ ใช้จ่ายเงินจำนวนเงินมากซื้อสินค้าชุมชน
และโดยภาพรวมการกระตุ้นท่องเที่ยวภาคเหนือโซนอื่น ๆ ช่วงครึ่งปีหลังจะแบ่งพื้นที่คร่าว ๆ ในวัฒนธรรม 2 ส่วน คือ เหนือตอนบน กับเหนือตอนล่าง แถบสุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ พิจิตร เพชรบูรณ์ เป็นศูนย์รวมของคนท้องถิ่นที่มาจาก 3 กลุ่ม คือ คนเหนือ คนภาคกลาง และคนอีสาน จึงเป็นส่วนผสมของการจัดงานประเพณีของอีสาน ไฮไลต์ปีนี้ชูขายกิจกรรม “บุญบั้งไฟเพชรบูรณ์” ณ ตำบลพุเตย อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ มีเสน่ห์แตกต่างจากบั้งไฟพื้นที่อื่น จึงขอเชิญชวนไปชมงานได้ระหว่าง 19-20 พฤษภาคม 2561 ชาวท้องถิ่นต้องการสร้างงานประเพณีให้มีความแข็งแรงเหมือนภาคอีสาน จุดเด่นของประเพณีคือบั้งไฟที่มีความงดงาม ประดับประดาไฟ พร้อมกับขบวนแห่ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2561
นอกจากนี้ในช่วงฤดูฝนภาคเหนือยังมีจังหวัด 1 ใน 3s จังหวัดต้องห้ามพลาด อาทิ อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นถิ่นเพาะปลูกและร้านบริการมีทั้งกาแฟ โก้โก้ เหมาะกับการท่องเที่ยวชีล ๆ ต่อด้วย แม่ฮ่องสอน ตลอดเดือน มิถุนายน-กันยายน จะได้เห็นความเขียวขจีของนาขั้นบันได ตอนนี้มีเที่ยวบินตรงของ 2 สายการบิน ได้แก่ นกแอร์ บินทุกพุธ ศุกร์ อาทิตย์ และบางกอกแอร์เวย์ส บินจากกรุงเทพฯ แวะเปลี่ยนเครื่องที่เชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน เร็ว ๆ นี้กำลังจะมีกิจกรรมวิ่งสู่แม่ฮ่องสอนช่วงหน้าฝน และสุดท้ายจังหวัดอุทัยธานีใกล้กรุงเทพฯ ไปชิมอาหารถิ่นตรอกโรงยา ใกล้แม่น้ำสะแกกรัง มีปลากรอบ สะอาด ย่างด้วยควันไม้อ่อนผสม รสชาติอร่อย
การท่องเที่ยวภาคเหนือหรือ Go North Thailand มีความแปลกใหม่ทุกฤดูให้กลุ่ม “มัลติ-เจน” เที่ยวยกครัวกันได้ในทุกพื้นที่เมืองหลักและเมืองรอง 17 จังหวัด
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์นำผ้าครามนาขามขึ้นชั้นโลก”
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่าได้นำผ้าครามไทย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชุมชนชาวบ้านนาขาม จังหวัดสกลนคร ก้าวสู่เวทีโลก ด้วยการออกแบบผลิตเป็นของที่ระลึกจำหน่ายในสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยได้เปิดคอลเลกชันใหม่พิเศษ INDIGO เป็นครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561 ก่อนการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ณ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม (The City Fanstore at King Power Stadium) เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
คอลเลกชัน INDIGO (อินดิโก้) ได้รับการออกแบบและผลิตเป็นของที่ระลึกสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ พร้อมวางจำหน่าย ณ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ด้วยการนำเอาเสน่ห์ผ้าไทยผ้าย้อมสีย้อมครามมาออกแบบตัดเย็บใหม่ดูนำสมัยและสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งต้นกำเนิดสีย้อมในไทย พร้อมกับมีทีมครูช่างศิลปหัตถกรรม ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ และทีมนักออกแบบของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมมือกันสร้างสรรค์ขึ้น จนได้สินค้าหลากหลายกว่า 7 หมวด ได้แก่ เสื้อที-เชิ้ตลายปัก เสื้อที-เชิ้ตลายสกรีน เสื้อโปโล หมวกแก็ป หมวกไหมพรม กระเป๋าใส่ของอเนกประสงค์ และผ้าพันคอ ซึ่งทุกชิ้นผ่านการย้อมด้วยมือแบบดั้งเดิม คือ ม้วน มัด และจุ่มในสีจนเกิดเป็นลวดลายเอกลักษณ์ที่งดงาม ผสมผสานกับไอเดียการออกแบบสมัยใหม่ และการตัดเย็บที่ประณีต เป็นเอกลักษณ์มีเสน่ห์เฉพาะตัวอวดโฉมสู่สายตาชาวโลก
สำหรับสินค้าคอลเลกชัน INDIGO มีวางจำหน่ายที่ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ คิง เพาเวอร์ สเตเดียม (The City Fanstore at King Power Stadium) เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และในออนไลน์สโตร์ https://shop.lcfc.com/ ได้รับเสียงตอบรับจากแฟน ๆ สโมสรเลสเตอร์เป็นอย่างดี และจะขายเต็มรูปแบบในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้า 2018/19 ครบทั้ง 7 หมวด ได้แก่
1. เสื้อที-เชิ้ตลายปัก (LTC Indigo T-Shirt Logo Embroidery) ขนาด S M L XL XXL ราคา 1,150 บาท
2. เสื้อที-เชิ้ตลายปริ้นท์ (LTC Indigo T-Shirt Logo Printed) ขนาด S M L XL XXL ราคา 1,250 บาท
3. เสื้อโปโล (LTC Indigo Polo – Logo Printed) ขนาด S M L XL XXL ราคา 1,400 บาท
4. ผ้าพันคอ (LTC Indigo Scarf) ขนาด ฟรีไซส์ ราคา 1,200 บาท
5. หมวกแก็ป (LTC Indigo Cap) ขนาด ฟรีไซส์ ราคา 1,100 บาท
6. หมวกไหมพรม (LTC Indigo Beanie) ขนาด ฟรีไซส์ ราคา 1,100 บาท
7. กระเป๋าใส่ของเอนกประสงค์ (LTC Indigo Toiletry Bag) ขนาดเดียว ราคา 1,350 บาท
ทั้งนี้ คิง เพาเวอร์ มุ่งมั่นดำเนินโครงการเพื่อสังคมภายใต้แนวคิด “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ส่งเสริมและขับเคลื่อนประเทศไทยเติบโตครบทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่าน 4 กิจกรรม คือ 1.SPORT POWER-ด้านกีฬา 2.MUSIC POWER-ด้านดนตรี 3.COMMUNITY POWER-ด้านชุมชน 4. EDUCATION & HEALTH POWER-การศึกษา และด้านคุณภาพชีวิต สาธารณสุข นำสังคมไทยยั่งยืนและก้าวไกลสู่เวทีโลก
ข่าวที่ 2 “ททท.ระดมพลคนเก๋าร่วมยกก๊วน3กิจกรรมทัวร์”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยได้ร่วมจัดแคมเปญชวนผู้สูงวัยเที่ยวไทย ภายใต้โครงการ "เก๋ายกก๊วนชวนเที่ยวไทย" กับรายการเก๋าไม่แก่ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 นำผู้สูงวัย ออกเดินทางเที่ยวทั่วไทย 5 ภูมิภาค และจัดให้สมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัยทำกิจกรรมระหว่างวันนี้ – 15 กรกฎาคม 2561 สามารถร่วมสนุกได้ทาง Facebook เก๋าไม่แก่วาไรตี้วัยเก๋า และ Line Official : @kaomikae มีทั้งหมด 3 กิจกรรม ได้แก่
กิจกรรมที่ 1 "เก๋ายกก๊วนชวนชิมทั่วไทย" กติกาง่ายๆ สำหรับผู้ชมวัยเก๋าที่รักการท่องเที่ยวและรักการกิน เพียงแค่ถ่ายรูปตัวเอง หรือถ่ายรูปกับครอบครัว ถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อน พร้อมกับอาหารที่ประทับใจในทุกภูมิภาคทั่วไทย โดยภาพถ่ายต้องมีผู้สูงวัยอยู่ในภาพที่คมชัดเจน สวยงาม สนุกสนานเฮฮา เพื่อร่วมลุ้นเป็นภาพสุดยอดประทับใจ 10 ภาพ จะถูกนำไปออกอากาศทางรายการฯ เพื่อให้ผู้ชมทางบ้านโหวตลุ้นรับ "ขวัญใจมหาชน" ผู้ชนะจะได้รับ Samsung Tablet มูลค่ากว่า 20,000 บาท
กิจกรรมที่ 2 "เก๋ายกก๊วนชวนทัวร์ทั่วไทย" ร่วมกับ นครชัยแอร์ ชวนวัยเก๋าเลือกโดยสารรถนครชัยแอร์ รถโดยสารเดินทางทั่วไทย แฟนรายการ "เก๋าไม่แก่" ต้องซื้อตั๋วผ่านช่องทาง Line @nakhonchaiair อย่างน้อย 2 ที่นั่ง ราคาไม่ต่ำกว่า 350 บาท / ที่นั่ง จะได้รับของที่ระลึกทันที ตั้งแต่ 1 มิ.ย.– 31 ก.ค.นี้
กิจกรรมที่ 3 "เก๋ายกก๊วนชวนพักทั่วไทย" โดยร่วมกับ โรงแรมฮ็อป อินน์ ทุกสาขาทั่วไทย เพียงแค่แฟนรายการเก๋าไม่แก่ สมัครสมาชิก hopinn reward แล้วเข้าพักจริง ตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป เงื่อนไขต้องระบุชื่อบุคคลที่จองต้องเป็นชื่อเดียวกันรับทันทีของที่ระลึกจากโรงแรมฮ็อป อินน์ ตั้งแต่วันนี้- 30 ก.ค.นี้ โดยสำรองห้องพักที่ Inbox Facebook : Hopinnhotel
นอกจากนี้ยังร่วมกับทัวร์ฟ้าใส จัดทัวร์ผู้สูงวัยภายใต้โครงการเก๋ายกก๊วนชวนเที่ยวไทยด้วย สอบถามได้ที่ www.tourfahsai.com หรือ www.facebook.com/tourfahsai และโทร. 081-682-6590
ข่าวที่ 3 “บีซีพีจีเครือบางจากรุกตั้งCODE-Smart Park”
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) ของบริษัท ได้อนุมัติการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อ CODE (Center of Digital Energy) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจพลังงานดิจิตอล ตามที่บีซีพีจีมองเห็นโอกาสการเพิ่มมูลค่าให้กับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานสะอาด ในโลกของ distributed energy ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และผลตอบแทนดี เนื่องจากปัจุบันธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะได้รับผลตอบแทนเรื่องค่าไฟฟ้าลดลง ขณะที่ทิศทางอนาคตประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้เองจากพลังงานหมุนเวียนและจ่ายเข้าสู่ระบบเพื่อขายให้ให้กับผู้อื่นได้เมื่อมีไฟฟ้าส่วนเกิน ดังนั้นบีซีพีจีจึงวางแผนเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าว คาดจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
สำหรับจัดตั้งหน่วยงานใหม่ CODE ขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นการจัดทำโครงสร้างองค์กร และวัตถุประสงค์หลัก ๆ
ขณะเดียวกันบีซีพีจีก็มีความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) ในโครงการ Smart Park ตั้งอยู่ในเขตธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง พื้นที่ 1,500 ไร่ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้า 100-200 เมกกะวัตต์ ตามแผนจะใช้เวลาสร้างประมาณ 2-3 ปี เริ่มสร้างได้ในปลายปี 2561 กำหนดแล้วเสร็จปี 2564 ซึ่งจะใช้พลังงานสะอาด ร่วมพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รองรับกลุ่ม New S-Curve mujใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือมีนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของรัฐบาล
ข่าวที่ 4 “ทอท.ย้ำซื้อบอดี้สแกนโปร่งใสชัวร์”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” กล่าวว่า จากที่มีกระแสโจมตีโครงการเช่าเครื่องตรวจวัตถุตามร่างกายผู้โดยสาร (Body Scanner) เช่าเครื่องสูงกว่าราคาจำหน่ายมากจึงขออธิบายย้ำ ๆ อีกครั้งตั้งแต่ปี 2554 เริ่มเช่าอุปกรณ์ดังกล่าวการพิจารณาเทคโนโลยีที่ผ่านมาตรฐานและการรับรองจาก Transportation Security Administration (TSA) ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยี Body Scanner ที่ได้รับการรับรองมีเพียงผลิตภัณฑ์เดียวในโลก คือ L-3 รุ่น Provision ATD และ Provision 2
ในไทยมีบริษัท เอ็ม ไอ ที โซลูชั่น จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศ ค่าเช่าเครื่องเมื่อรวมค่าบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ ค่าประกันภัย และค่าดอกเบี้ยระยะ 5 ปี บริษัทตัวแทนคิดค่าเช่า 3 ปีแรก เดือนละ 650,000 บาทต่อเครื่อง และเมื่อต่อสัญญา ทอท.ได้ต่อรองราคาลดลงอีก 20 % เหลือเดือนละ 510,000 บาท รวม 5 ปี เป็นเงินทั้งสิ้น 35.64 ล้านบาทต่อเครื่อง ต่อมาการเช่าเครื่องรุ่น Provision ATD ได้ใช้ราคาระดับนี้เป็นมาตรฐานการเช่าเทคโนโลยีใหม่ของรุ่น Provision 2
อีกทั้ง ทอท.ได้สอบถามไปยัง บริษัท L-3 Communication Singapore Pte. Ltd. ผู้ผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว และได้รับหนังสือยืนยันว่า “General Services Administration (GSA) สหรัฐอเมริกามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกิจการของรัฐและเพื่อประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งราคาอุปกรณ์ Body Scanner ราคาเครื่องละ 5.6 ล้านบาทเป็นราคาที่ไม่สามารถซื้อขายให้กับชาวต่างชาตินอกสหรัฐอเมริกาได้ จึงไม่สามารถนำราคาในประเทศอื่น ๆ ไปใช้เทียบเคียงได้ จาก นั้นทอท.ก็เดินหน้าสืบราคาอุปกรณ์ดังกล่าวแล้วพบว่าเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาทต่อเครื่อง ไม่รวมการประกันภัย และการบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ทอท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจ และบริษัทมหาชนมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมทั้งมุ่งมั่นปรับปรุงคุณภาพการให้บริการให้ได้มาตรฐานท่าอากาศยานที่ดีเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
ช่วงที่ 2 พากันไปเช็คอิน-กิน-เที่ยว “ปราจีนบุรี” เที่ยวเชิงสุขภาพจากถิ่นสมุนไพรสู่เมืองออนเซ็น เต็มไปด้วยสตรีทฟู้ด และทัวร์เส้นทางบุญ ส่วนสุขภาพช่วงนี้ต้องแนะนำให้ “เลือกวิธีใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัย” และข่าวสุดแซบเสิร์ฟแบบเต็มร้อย ไม่ว่าจะเป็น แพกเกจ “บินดีอยู่ดี” ของบางกอกแอร์เวย์สใน 4 เมืองทะเลขายแค่ 5,900 บาท อานิสงส์ ครม.สัญจร ส้มหล่นใส่สนามบินบุรีรัมย์ สั่งขยายรันเวย์รับอีเวนต์ใหญ่ปี’63 “สนามบินอู่ตะเภา” จัดคิวประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ มิ.ย.นี้ ส่วน “นกแอร์” ฟุ้งไตรมาสแรกยอดขาดทุนไม่ถึง 30 ล้านบาท
@เที่ยวปราจีนถิ่นสมุนไพรไทยสู่ออนเซน-สตรีทฟู้ด
"ปราจีนบุรี" เป็นถิ่นเมืองเก่าแก่ที่มีรากชุมชนที่เก่งกาจด้าน "สมุนไพรแพทย์แผนไทยโบราณ" อีกแห่งแผ่นดินในพื้นที่เชื่อมโยงอารยธรรมขอมโบราณ ในห้วงกาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงเมืองก็มีเรื่องเล่าน่าสนใจจากดินแดนแห่งสมุนไพรไทยผสมผสานสีสันตะวันออกแนวใหม่กับการกำเนิด “ออนเซน” บ่อน้ำแร่แช่น้ำร้อนเพื่อสุขภาพตามรากวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น
การเช็คอินกินเที่ยว “ปราจีนบุรี” ภายในเมืองเล็ก ๆ มีสีสันความแตกต่างให้นักเดินทางได้ร่วมสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ได้ตลอดทั้งวัน
เริ่มจาก "โรงพยาบาลอภัยภูเบศร์" สถาปัตยกรรมตึกโรงพยาบาลสวยงามที่สุดของเมืองไทย ซึ่งทำให้ปราจีนบุรีมีชื่อเสียงบรรลือโลกทางด้านต้นแบบแพทย์แผนไทย และการทำตำรับยาสมุนไพรสูตรโบราณ ทั้งยาชนิดปรุงบรรจุแคปซูล เรื่อยไปจนถึงผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และความงาม ชื่อเสียงของแบรนด์อภัยภูเบศร์เทียบชั้นชนแบรนด์แพทย์แผนปัจจุบันในระดับประเทศและอินเตอร์ได้สบาย ๆ
ภายในอาคารจัดแสดงสมุนไพรจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้น 1 จะเป็นห้องเล่าเรื่องความเป็นมา กับจัดแสดงยาสมุนไพรชนิดต่าง ๆ รวมถึงด้านยังมีมุมให้ทำ D?I.Y. ด้วยนำสมุนไพรมาปรุงเป็นยดม ยาหม่อง เป็นต้น ชั้น 2 ตอนนี้เพิ่มห้องจัดแสดงยาจีน มีเรื่องราวที่น่าสตใจมากมาย ส่วนชั้น 3 จะมีห้องสำหรับให้เทอราปิสต์ท่กำลังจะจบหลักสูตรนวดแผนไทย ใช้เป็นที่ฝึกการนสดบริการให้แก่ผู้ที่สนใจ
ภายในฝั่งโรงพยาบาลมีช้อปจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปสมุนไพร เป็นตำรับยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายชนิด ภายใต้แบรนด์อภัยภูเบศร์
เช็คอินที่พักต้องห้ามพลาดที่สะท้อนถึงพัฒนาการของแผ่นดินสมุนไพรและแม่เหล็กดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
“ซิรินิตี้ โฮเต็ล สปา ออนเซ็น กบินบุรี “ ออกแบบเก๋ ๆ เป็นปูนเปลือย ตึกรูปตัวยูมีบริการห้องพัก 75 ห้อง พร้อมห้องอาหารไลน์บุฟเฟต์มื้อเช้าระรานตา ด้วยอาหารสุขภาพ และมาตรฐานการบริการแบบอินเตอร์สแตนดาร์ด
ไฮไลต์ในซิรินิตี้ โฮเต็ลฯ คือ บ่อน้ำ “ออนเซ็น” เพื่อสุขภาพ ที่นำต้นแบบมาจากญี่ปุ่น โดยได้ซื้อน้ำแร่คุณภาพดีมาไว้ในบ่อแบ่งเป็น 2 บ่อ อุณหภูมิบ่อแรก 38 องศาเซลเซียส และบ่อที่สอง 42 องศาเซลเซียส มีบริการครบทั้งจุดเปลี่ยนชุดก่อนลงแช่ออนเซนเพื่อสุขภาพ ภายใต้ธรรมชาติโอบล้อมด้วยสวนไผ่ขนาดย่อม สบายตา ออนเซ็นจะเปิดตั้งแต่ 7.00-19.00 น. บริเวณใกล้กันจะมีบริการสปาเพื่อสุขภาพด้วยเช่นกัน เปิดตั้งแต่ 10.00-22.00 น.
@สุขสวัสดิ์ริเวอร์วิวรีสอร์ตไอเย็นริมแม่น้ำ
ส่วนที่พักตรงเส้นทางเข้าไปยังบ้านหมอแสง เจ้าของตำรับยาไทยแก้มะเร็ง ที่ผู้คนแห่แหนไปรับยา มีรีสอร์ตในพื้นที่ 2 ไร่ติดถนน เป็นของ "คุณป๋อง-ธีรพล" อยู่ติดริมแม่น้ำ สร้างสไลต์บ้านปูนรีสอร์ตแยกเป็นหลังท่ามกลางร่มไมเขียวขจี จำนวน 18 หลัง ขนาด1- 2 ห้องนอน และมีวิลล่า 2 หลังใหญ่ติดแม่น้ำ พร้อมห้องนั่งเล่น ภายในรีสอร์ตมีห้องประชุม ร้านกาแฟติดแม่น้ำ วิวเก๋ ๆ ทั้งหมดสร้างไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกวัย สนนราคาคืนละ 2,000 บาท/ห้อง/คืน
มาถึงเรื่อง ถนนสายกินทั่วอำเภอเมืองปราจีนบุรี ที่ต้องห้ามพลาด มีให้เลือกทั้งแบบกลางตลาดสด ริมถนนใหญ่ และร้านสุดฮิปเก๋ ๆ
@บ้านเล่าเรื่องร้อยเรียงรากชีวิตขอมโบราณ
เริ่มต้นสัมผัสบรรยากาศเมืองช่วงเช้าที่ "บ้านเล่าเรื่อง" อายุกว่า 70 ปี เป็นแหล่งรวมความมีชีวิตตั้งอยู่ใกล้ศาลหลักเมือง ในอำเภอเมืองปราจีนบุรี บ้านชั้นเดียวทรงสีขาวสไตล์เก๋ถูกดัดแหลงเป็นสถานที่แฮงเอาต์ทั้งแบบเปิดโล่งอยู่บนสนามหญ้ากับระเบียงด้านหลัง และในห้องแอร์
คุณป้อม- ผู้จัดการ "บ้านเล่าเรื่อง" ของมูลนิธิโรงพยาบาลอภัยภูเบศร์ นำเสนอเรื่องราวภายในบ้านหลังนี้ว่า มีความสุขมอบพร้อมจะให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ต้อนรับกันด้วย ของว่าง น้ำดื่มสูตรเฉพาะต้นตำรับสมุนไพรพื้นบ้าน อาทิ สามเกลอโซดา-ลดไขมัน แก้หวัด สามดอกไม้โซดา-ป้องกันวุนจอตาเสื่อม ส่วนเมนูอาหาร ทุกอย่างที่นำเข้าสู่ร่างกายเราล้วนมีส่วนผสมของสมุนไพรไทยที่เป็นประโยชน์ ต่อทุกวัย อาทิ ไข่เจียวสมุนไพรรวมสารพัดผักสวนครัว
อีกทั้งบ้านเล่าเรื่อง ยังใช้ห้องเป็นสถานที่จัดประชุม ทำ Wedding เก๋ ๆ ได้ สามารถรองรับได้ครั้งละ 100 คน หรือจะมานั่งรับประทานอาการสุขภาพหลากหลายสมุนไพรพื้นบ้าน และสามารถทำ D.I.Y.น้ำดื่ม ซิกเนเจอร์ อาทิ น้ำสามทหารเสือ โซดาอัญชัน เพื่อรับประทานคู่กับขนมไทยรสเลิศ เช่น ขนมมัน ขนมตาล
@เดอย่าคาเฟ่ร้านกาแฟชิคสุดชิค
สำหรับ “เดย่า คาเฟ่” เป็นร้านกาแฟสุดฮิป นำต้นแบบมาจากโครเอเชีย เนื่องจากเจ้าของคือครอบครัวธุรกิจท้องถิ่นเติบโตมาจากร้านยางรถยนต์ Cockpit นำที่ดินทั้งหมดมาขยายผลสร้างร้านกาแฟสไตล์คนรุ่นใหม่ ที่มีเมนูซิกเนเจอร์ "Dirty Dirty" เป็นกาแฟเย็นที่มีความพิเศษ ชงในแก้วทรงกลมเล็ก ปากแก้วทำให้เลอะอย่างมีศิลปะ ส่วนเนื้อกาแฟไล่เรียงชั้นจากนม ครีม กาแฟ ก่อนดื่มคนให้เข้ากัน รสเข้มขม หวาน มัน
ส่วนของหวานที่รับประทานคู่กับกาแฟ เป็นฟิวชั่นไทยผสม มีทั้งกล้วยไข่ราดกระทิ จาวตาลเชื่อม ข้าวเหนียวอัญชัน และไอศรีม และอีกมากมาย ส่วนเค้กก็หายห่วงมีทุกแนวให้เลือกชิม
@กินแหลกที่ร้านข้าวเหนียวแม่สายหยุดตลาดสด
ร้านข้าวเหนียวมะม่วงแผงลอยตั้งอยู่กลางตลาดสดเมืองปราจีนบุรี เป็นร้านบอกกันปากต่อปาก อร่อยสไตล์สตรีทฟู้ด ด้วยข้าวเหนียวมูลใส่กระละมังละ 10 กก.แพ็กใส่กลองโปะหน้ามะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนมะม่วงอกร่องต้องกินตามฤดูกาลมีเฉพาะช่วงเมษายนของทุกปีเท่านั้น ข้าวเหนียวรสนุ่มอร่อยลิ้น กลมกล่อมครบทุกรส หวาน มัน เค็ม และวิถีความเป็นท้องถิ่นอย่างแรงกล้า
@ทุเรียนนมสดลุงสำเภาแห่งเดียวในเมืองไทย
เมื่อมาถึงอำเภอเมืองปราจีนบุรี ต้องลัดเลาะเข้าสวนไปยังหมู่บ้านเพื่อชิมทุเรียนนมสดจากสวนชาวบ้านหนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่ "สวนลุงสำเภา" ลุงสำเภาวัยกว่า 72 ปี เล่าว่าเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ได้นำทุเรียนเมืองนนท์ทั้งพันธุ์ชะนีและหมอนทองมาปลูกในที่ดินอยู่อาศัยกว่า 10 ไร่ โดยใส่ความพิเศษเข้าไปโดยนำนมสดตราหมีกระป๋องเล็ก ๆ ปีละกว่า 30,000 กระป๋อง มาผสมน้ำเปล่า 6 กระป๋องต่อน้ำ 200 ลิตร ฉีดเมื่อทุเรียนเริ่มออกลูกอ่อน ฉีดตามใบ ลำต้น ทุกต้น ทำอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันจนกว่าทุเรียนจะแก่เก็บขายได้
ทำให้ทุเรียนสวนนี้มีรสชาติแตกต่างจากทุเรียนสวนในประเทศไทย คือ รส หวาน มัน เนื้อแน่น อายุการเก็บไว้ได้นาน
ทุเรียนนมสดของลุงสำเภาจะเก็บผลผลิตได้ทุกเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี ชื่อเสียงโด่งดังจากการบอกปากต่อปาก จนทุกปีพอทุเรียนเริ่มออกจะมีคนโทรศัพท์มาจองกันไม่หยุด ทันทีที่ถึงฤดูเก็บผลผลิตจะขายหมดภายในเวลา 1 เดือน รายได้จากการขายทุเรียนประมาณปีละล้านกว่าบาท
นักท่องเที่ยวที่ต้องการแวะไปกินทุเรียนในสวนก็ได้ แต่ขอให้โทรไปสั่งก่อนจึงจะได้กินชัวร์ ๆ เพราะทุเรียนสวนลุงสำเภาจะสุกไม่พร้อมกัน โทรไปจองได้กับป้าแอ๋ว 089-603-6726
รอบพื้นที่อำเภอเมืองมีร้านอาหารเก่าแก่สไตล์ Street Food มีสูตรเด็ด เปิดบริการอยู่ในท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน แนะนำว่าต้องห้ามพลาด ร้านข้าว 2-3 หน้า "หมูแดง-หมูกรอบ--ไก่" ของป้านา อยู่ติดริมถนน มีสาวโสด 3 พี่น้อง ช่วยกันเสิร์ฟ ทั้งข้าว 2-3 หน้า และเกี๊ยวน้ำสูตรดั้งเดิม ที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้เมื่อ 70 ปีที่แล้วเป็นสูตรผสมผสานแบบกวางตุ้ง ที่ปรับให้เข้ากับวิถีไทยจากอดีตสู่ปัจจุบัน วิวัฒนาการยาวนานถึง 70 ปี ทั้งกรรมวิธีการอบ-รมควันเนื้อหมู ไก่ และการทำน้ำซอสราดข้าว โดยไม่มีส่วนผสมของผงชูรส สนนราคาจานละ 35-50 บาท
ทริปหน้าจะนำเรื่องราวดีดีของ “อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” หรือ “เขื่อนห้วยโสมง ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี กับ “วัดรัตนเนตตาราม” มาชวนไปชมความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์หนึ่งเดียวในแผ่นดิน
@แนะวิธีใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัยไร้กังวล
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพผิวของตัวเอง แต่อาจขาดความเข้าใจรวมถึงศึกษาข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถ่องแท้ ทำให้หลงเชื่อคำโฆษณาจากสื่อ หรือคนดังที่มาแนะนำ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังส่วนใหญ่เป็นเวชสำอาง ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียน เพียงแต่ใช้วิธีจดแจ้ง ระบุสถานที่ผลิตและรายละเอียดที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด จากนั้นสามารถผลิตและวางขายได้ ซึ่งข้อมูลจาก อย.แจ้งว่ามีข้อมูลกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์ที่จดแจ้งทางอินเทอร์เน็ต หรือ e-Submission มีการผลิตที่ไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ ดังนั้น การจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องศึกษาให้ดีอย่างถ่องแท้
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวพรรณที่ใช้ประจำอาจเกิดการแพ้ขึ้นได้ โดยขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่เป็นสาเหตุกลไกในการเกิดผื่นและลักษณะพื้นฐานผิวของแต่ละบุคคล การแพ้ผลิตภัณฑ์หรือเวชสำอาง อาจเกิดผื่นผิวหนังอักเสบแบ่งเป็น การระคายเคืองอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แสบร้อน อาการยุบยิบบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอาง อาการคันเป็นต้น ถ้ามีอาการมากขึ้นอาจเป็นผิวหนังอักเสบซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย การแพ้ส่วนมากจะมีอาการคันก่อนอาการอื่น ๆ
ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังถ้าสงสัยและมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นควรหยุดใช้ทันที และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บางกอกแอร์จัดบินดีอยู่ดี4เมืองแค่5.9พัน”
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดเต็มแพกเกจ "บินดี อยู่ดี Sea Lover 2018" ตั๋วโดยสารพร้อมที่พัก 3 วัน 2 คืนรวมอาหารเช้า บริการทัวร์ 1 วัน ชวนบินไปพักผ่อนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลยอดนิยมของไทย 4 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ภูเก็ต เกาะสมุย และตราด ราคาเริ่มต้นคนละ 5,900 บาท เลือกพักโรงแรมชั้นนำเข้าร่วมโครงการกว่า 35 แห่ง จองได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2561 ดูรายละเอียดเพิ่ม www.facebook.com/BindeeUdee
ข่าวที่สอง “ส้มหล่นหลังครม.จ่อขยายสนามบินบุรีรัมย์”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้เร่งศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายสนามบินบุรีรัมย์ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ตามข้อเสนอของทางจังหวัดที่จะให้ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ขนาด 2 ชั้น และขยายรันเวย์ เป็น 3,000 จากเดิม 2,100 เมตร เพื่อให้เครื่องบินขนาดใหญ่หรือจัมโบ้มาลงได้ในการทำตลาดเปิดอีเวนต์ระดับอินเตอร์ ในปี 2563 เช่น กรณีมีการแข่งขันรถฟอร์มูล่า วัน ก็สามารถขนส่งรถส่งรถแข่ง มาลงที่สนามบินบุรีรัมย์ได้ทันทีขณะนี้สนามบินบุรีรัมย์รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 1.7 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีเพียง 230,000 คน
ทางด้านหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ก็ได้เสนอของบประมาณศึกษาการก่อสร้างสนามบินพาณิชย์ในจังหวัดสุรินทร์ แต่ทางกระทรวงคมนาคมขอรับไปพิจารณาก่อน เพราะสนามบินบุรีรัมย์ อยู่ห่างจากสุรินทร์เพียง 80 ก.ม. เบื้องต้นจะใช้วิธีเร่งขยายถนนช่วงที่เป็นคอขวดจากสุรินทร์มาถึงบุรีรัมย์เป็นถนน 4 ช่องทาง
ข่าวที่สาม “สนามบินอู่ตะเภาเปิดประมูลเชิงพาณิชย์มิ.ย.”
พลเรือตรีลือชัย ศรีเอี่ยมกูล ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่าตามแผนการเปิดประมูลบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท กำลังจัดรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ให้เปิดประมูลได้ภายใน มิ.ย.นี้ ตามรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ PPP ขนาดเล็ก คือ 1. กิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทร้านค้าและบริการ และประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งตอนนี้ได้ลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ทำพื้นที่เพื่อให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Pick-up Counter) โดยสนามบินอู่ตะเภาจะเป็นผู้ดำเนินการ และเป็นเจ้าของเอง ทำเป็นเคาน์เตอร์ส่วนกลาง ให้ทุกฝ่ายใช้ได้ และ 2. กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ซึ่งแต่ละกิจกรรมจะเปิดประมูลเป็นสัญญาเดียว มีอายุสัญญา 10 ปี ในส่วนพื้นที่เชิงพาณิชย์จะเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือนจากการประกอบกิจการไม่ต่ำกว่า 12% ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย หรือตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือน
คาดพื้นที่เชิงพาณิชย์จะเปิดบริการได้พร้อมอาคาร 2 แบบใช้งานเต็มรูปแบบช่วงมกราคม 2562 และตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ตั้งเป้าจะมีผู้โดยสารใช้บริการปีละ 2 ล้านคน
ข่าวที่สี่ “นกแอร์ฟุ้งQ1ปี61ลดขาดทุนได้อื้อ”
นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก ระหว่างมกราคม-มีนาคม 2561 เปรียบเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนลดการขาดทุนรวมลงจาก 295.57 ล้านบาท เหลือเพียง 26.88 ล้านบาท ท่ามกลางปัจจัยต้นทุนเชื้อเพลิงจะเพิ่มสูงขึ้น แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 5.6 % คิดเป็น 4,320 ล้านบาท เพราะ 3 ส่วน คือ 1.ต้นทุนเฉลี่ยต่อที่นั่งลดลง 2.อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวดีขึ้น 3.จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำเวลา 11.00-12.00 น. ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
เชียงรายหมื่นล้าน-จัดเต็มบั้งไฟเพชรบูรณ์
คิงเพาเวอร์นำผ้าย้อมครามไทยขึ้นชั้นโลก
ปลุกวัยเก๋าร่วมทัวร์3กิจกรรมรับของเพียบ
บีซีพีจีเครือบางจากบุกCODE/สมาร์ทพาร์ค
ทอท.เปิดข้อมูลเช่าบอดี้สแกนโปร่งใสชัวร์
กินเที่ยวปราจีนฯเมืองสุขภาพ-สตรีทฟู้ด
แนะเลือกใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัย
บางกอกแอร์จัดอยู่ดีกินดี4เมืองแค่5.9พัน
สนามบินบุรีรัมย์ส้มหล่นรับงบขยายรันเวย์
อู่ตะเภาเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์มิ.ย.
นกแอร์ฟุ้งQ1ปี’61ขาดทุนไม่ถึง30ล้าน
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 เข้าสู่ฤดู “เที่ยวยกครัว” กับ “สมฤดี จิตรจง” ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมาแนะนำแหล่งท่องเที่ยวมุมใหม่ในภาคเหนือช่วงฤดูฝน เพื่อชวนกลุ่มนักเดินทางกลุ่ม “มัลติ-เจน” เข้าร่วมเป็นสาวกเที่ยวแนวใหม่ สดใส กว่าเดิมทั้งโครงการนำร่อง “เชียงราย แต้ แต้” และการเปิดตำนาน “บั้งไฟเมืองเพชรบูรณ์” วันที่ 19-20 พฤษภาคม นี้ ที่ตำบลพุเตย อำเภอเมือง เทียบชั้นบั้งไฟแถวหน้าแดนอีสาน และต้องไปสักครั้ง 1 ใน 3 เมืองรองต้องห้ามพลาด น่าน แม่ฮ่องสอน อุทัยธานี
สมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการ กภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย |
สมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ตลาดการท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงฤดูฝนจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมาก ปีนี้จึงได้ปรับแผนการขายเน้นสัมผัสธรรมชาติด้วยการท่องเที่ยวเชิงเกษตรท่องเที่ยวสวนผลไม้ พืชผัก เพื่อดึงกำลังซื้อให้เข้ามาอยู่ในภาคเหนือ ตั้งเป้ากระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดหลักตลอดปี 2561 มัลติ-เจน ประกอบด้วย กลุ่มครอบครัวซึ่งสามารถเดินทางในคราวเดียวพร้อมกันได้ทั้ง 3 เจนเนเรชั่น คือ พ่อแม่-ลูก-ปู่ย่า-ตายาย เบื้องต้นนำร่องคัดสรรแหล่งท่องเที่ยวที่รองรับนักเดินทางกลุ่มมัลติเจน โดยได้นำเพจ “พาลูกเที่ยวดะ” เข้าไปเปิดเส้นทางใหม่ ๆ พร้อมกับนำเสนอโปรดักซ์ที่สอดคล้องกับความต้องการ อาทิ การทำสปา นั่งสมาธิ ท่องเที่ยววัด ช้อปปิ้ง
ไฮไลต์ขณะนี้มีโครงการ “เชียงราย แต้ แต้” จัดทำเป็นแผนแม่บทต้นแบบการดำเนินงานทำให้ชุมชนเมืองรองนำการท่องเที่ยวพัฒนาได้ครบทั้ง 3 ขา คือ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ต้องยั่งยืนเมื่อมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปเป็นจำนวนมากจะต้องรับมือได้ และแนวทางใหม่จะยังช่วยป้องกันปัญหาการกระจุกตัวทั้งจำนวนและรายได้ จึงได้หารือกับผู้ประกอบการพื้นที่และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจัดทำโครงการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
โดยเน้นเรื่องแรก “เศรษฐกิจ” วางกลยุทธ์การหารายได้จากท่องเที่ยวด้วยการสร้างความเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนสร้างมาตรฐานสินค้าแล้วขายให้ได้มูลค่าได้หลากหลายอำเภอ เรื่องที่ 2 “สังคม” มองสองมิติ คือ มิติแรก ผู้คนในท้องถิ่นคือเจ้าบ้านที่ดีมีความสุขที่จะได้รับนักท่องเที่ยว มิติที่สอง ผู้เข้าไปเยือนต้องเคารพวัฒนธรรมวิถีความเป็นอยู่ชุมชน เรื่องที่ 3 สิ่งแวดล้อม ในช่วง 3 ปีแรก อชขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานมีแผนบริหารจัดการขยะได้อย่างลงตัวไม่กลายเป็นภาวะขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว
ดังนั้นในปี 2561 นี้ ททท.กับภาคีพันธมิตรได้ค้นหาโปรดักซ์เพิ่มสำหรับพ่อแม่ในครอบครัว ทำออกมาเป็น 3 หมวด R-A-I ให้สอดคล้องกับชื่อเชียงราย ประกอบด้วย หมวดที่ 1 Relax การท่องเที่ยวเชิงผ่อนคลายแหล่งธรรมชาติ อากาศ อาหาร ความสด สะอาด ของรับประทาน และออร์แกนิก พร้อมทั้งมีแหล่งปฏิบัติธรรมหลายแห่ง หมวดที่ 2 A-ART เปิดชิ้นงานศิลปะจากครูศิลปินในเชียงรายหลายคน เช่น อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นำหอศิลป์ต่าง ๆ มารวมกลุ่ม แล้วทำการตลาด โดยนำเด็ก ๆ สอนทางด้านวาดภาพ ศิลปะ หมวดที่ 3 I-Inspiration ปลุกกระแสก่อให้เกิดแรงบันดาลใจทางธุรกิจ เช่น แหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตร โดยเฉพาะโครงการหลวง ขณะเดียวกันก็มีชุมชนปางห้า พื้นที่เหนือสุดของประเทศเป็นชุมชนสุดท้ายในรอยต่อแนวเขตแดนเมียนมาร์ ทำการเกษตรได้ดีมาก มีการปลูกผลไม้ตามฤดูกาล แล้วสามารถทำ D.I.Y. เช่น ทำน้ำปลาหวานจากหญ้าหวานแทนน้ำตาล หรือการทำกระดาษสา และยังมีไร่เอกชน อาทิ ไร่รื่นรมย์ นำชุมชนรอบ ๆ มาแนะนำให้นักท่องเที่ยวทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างเก็บไข่ในฟาร์ม ซึ่งรองรับกิจกรรมนักท่องเที่ยวครอบครัวทำได้ทั้ง 3 วัย รวมถึงสิงห์ปาร์ค ก็เช่นกัน
ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นโปรดักซ์ท่องเที่ยวของเชียงรายรวมกันเป็นหมวดสินค้าที่ดึงดูดความนิยมได้เป็นอย่างดี และสามารถนักท่องเที่ยว 3 วัย เข้าไปได้ ขณะนี้ก็มีโปรโมชั่นเป็นคูปองส่วนลดที่จะนำไปใช้ท่องเที่ยวในเชียงราย ทั้งที่พัก ร้านอาหาร ของที่ระลึก ซึ่งสามารถไปรับคูปองได้ที่สำนักงาน ททท.เชียงราย ได้ตลอดทั้งปี
สำหรับการเพิ่มรายได้เข้าสู่จังหวัดเชียงรายปี 2561 จะสร้างการเติบโตเพิ่มได้ถึง 7 % ปีนี้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวเข้าสู่เชียงรายอาจจะเฉียด 10,000 ล้านบาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนคือมีสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลเริ่มมีเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศทั้ง จีน เกาหลี สะท้อนถึงการกระจายเที่ยวบินจากเชียงใหม่สู่เชียงราย ทำให้มีเงินจากตลาดต่างประเทศเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวทางรถซึ่งเดิมเคยใช้เส้นทางเชียงของจากจีนเข้าเชียงราย แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว ทว่ายังคงได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานฟื้นฟูการท่องเที่ยวทางรถจากจีนกลับมาบ้างได้แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวสามารถซื้อของกลับประเทศได้ ใช้จ่ายเงินจำนวนเงินมากซื้อสินค้าชุมชน
และโดยภาพรวมการกระตุ้นท่องเที่ยวภาคเหนือโซนอื่น ๆ ช่วงครึ่งปีหลังจะแบ่งพื้นที่คร่าว ๆ ในวัฒนธรรม 2 ส่วน คือ เหนือตอนบน กับเหนือตอนล่าง แถบสุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ พิจิตร เพชรบูรณ์ เป็นศูนย์รวมของคนท้องถิ่นที่มาจาก 3 กลุ่ม คือ คนเหนือ คนภาคกลาง และคนอีสาน จึงเป็นส่วนผสมของการจัดงานประเพณีของอีสาน ไฮไลต์ปีนี้ชูขายกิจกรรม “บุญบั้งไฟเพชรบูรณ์” ณ ตำบลพุเตย อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ มีเสน่ห์แตกต่างจากบั้งไฟพื้นที่อื่น จึงขอเชิญชวนไปชมงานได้ระหว่าง 19-20 พฤษภาคม 2561 ชาวท้องถิ่นต้องการสร้างงานประเพณีให้มีความแข็งแรงเหมือนภาคอีสาน จุดเด่นของประเพณีคือบั้งไฟที่มีความงดงาม ประดับประดาไฟ พร้อมกับขบวนแห่ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2561
นอกจากนี้ในช่วงฤดูฝนภาคเหนือยังมีจังหวัด 1 ใน 3s จังหวัดต้องห้ามพลาด อาทิ อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นถิ่นเพาะปลูกและร้านบริการมีทั้งกาแฟ โก้โก้ เหมาะกับการท่องเที่ยวชีล ๆ ต่อด้วย แม่ฮ่องสอน ตลอดเดือน มิถุนายน-กันยายน จะได้เห็นความเขียวขจีของนาขั้นบันได ตอนนี้มีเที่ยวบินตรงของ 2 สายการบิน ได้แก่ นกแอร์ บินทุกพุธ ศุกร์ อาทิตย์ และบางกอกแอร์เวย์ส บินจากกรุงเทพฯ แวะเปลี่ยนเครื่องที่เชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน เร็ว ๆ นี้กำลังจะมีกิจกรรมวิ่งสู่แม่ฮ่องสอนช่วงหน้าฝน และสุดท้ายจังหวัดอุทัยธานีใกล้กรุงเทพฯ ไปชิมอาหารถิ่นตรอกโรงยา ใกล้แม่น้ำสะแกกรัง มีปลากรอบ สะอาด ย่างด้วยควันไม้อ่อนผสม รสชาติอร่อย
การท่องเที่ยวภาคเหนือหรือ Go North Thailand มีความแปลกใหม่ทุกฤดูให้กลุ่ม “มัลติ-เจน” เที่ยวยกครัวกันได้ในทุกพื้นที่เมืองหลักและเมืองรอง 17 จังหวัด
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์นำผ้าครามนาขามขึ้นชั้นโลก”
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่าได้นำผ้าครามไทย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชุมชนชาวบ้านนาขาม จังหวัดสกลนคร ก้าวสู่เวทีโลก ด้วยการออกแบบผลิตเป็นของที่ระลึกจำหน่ายในสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยได้เปิดคอลเลกชันใหม่พิเศษ INDIGO เป็นครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561 ก่อนการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ณ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม (The City Fanstore at King Power Stadium) เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
คอลเลกชัน INDIGO (อินดิโก้) ได้รับการออกแบบและผลิตเป็นของที่ระลึกสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ พร้อมวางจำหน่าย ณ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ด้วยการนำเอาเสน่ห์ผ้าไทยผ้าย้อมสีย้อมครามมาออกแบบตัดเย็บใหม่ดูนำสมัยและสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งต้นกำเนิดสีย้อมในไทย พร้อมกับมีทีมครูช่างศิลปหัตถกรรม ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ และทีมนักออกแบบของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมมือกันสร้างสรรค์ขึ้น จนได้สินค้าหลากหลายกว่า 7 หมวด ได้แก่ เสื้อที-เชิ้ตลายปัก เสื้อที-เชิ้ตลายสกรีน เสื้อโปโล หมวกแก็ป หมวกไหมพรม กระเป๋าใส่ของอเนกประสงค์ และผ้าพันคอ ซึ่งทุกชิ้นผ่านการย้อมด้วยมือแบบดั้งเดิม คือ ม้วน มัด และจุ่มในสีจนเกิดเป็นลวดลายเอกลักษณ์ที่งดงาม ผสมผสานกับไอเดียการออกแบบสมัยใหม่ และการตัดเย็บที่ประณีต เป็นเอกลักษณ์มีเสน่ห์เฉพาะตัวอวดโฉมสู่สายตาชาวโลก
สำหรับสินค้าคอลเลกชัน INDIGO มีวางจำหน่ายที่ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ คิง เพาเวอร์ สเตเดียม (The City Fanstore at King Power Stadium) เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และในออนไลน์สโตร์ https://shop.lcfc.com/ ได้รับเสียงตอบรับจากแฟน ๆ สโมสรเลสเตอร์เป็นอย่างดี และจะขายเต็มรูปแบบในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้า 2018/19 ครบทั้ง 7 หมวด ได้แก่
1. เสื้อที-เชิ้ตลายปัก (LTC Indigo T-Shirt Logo Embroidery) ขนาด S M L XL XXL ราคา 1,150 บาท
2. เสื้อที-เชิ้ตลายปริ้นท์ (LTC Indigo T-Shirt Logo Printed) ขนาด S M L XL XXL ราคา 1,250 บาท
3. เสื้อโปโล (LTC Indigo Polo – Logo Printed) ขนาด S M L XL XXL ราคา 1,400 บาท
4. ผ้าพันคอ (LTC Indigo Scarf) ขนาด ฟรีไซส์ ราคา 1,200 บาท
5. หมวกแก็ป (LTC Indigo Cap) ขนาด ฟรีไซส์ ราคา 1,100 บาท
6. หมวกไหมพรม (LTC Indigo Beanie) ขนาด ฟรีไซส์ ราคา 1,100 บาท
7. กระเป๋าใส่ของเอนกประสงค์ (LTC Indigo Toiletry Bag) ขนาดเดียว ราคา 1,350 บาท
ทั้งนี้ คิง เพาเวอร์ มุ่งมั่นดำเนินโครงการเพื่อสังคมภายใต้แนวคิด “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ส่งเสริมและขับเคลื่อนประเทศไทยเติบโตครบทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่าน 4 กิจกรรม คือ 1.SPORT POWER-ด้านกีฬา 2.MUSIC POWER-ด้านดนตรี 3.COMMUNITY POWER-ด้านชุมชน 4. EDUCATION & HEALTH POWER-การศึกษา และด้านคุณภาพชีวิต สาธารณสุข นำสังคมไทยยั่งยืนและก้าวไกลสู่เวทีโลก
ข่าวที่ 2 “ททท.ระดมพลคนเก๋าร่วมยกก๊วน3กิจกรรมทัวร์”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยได้ร่วมจัดแคมเปญชวนผู้สูงวัยเที่ยวไทย ภายใต้โครงการ "เก๋ายกก๊วนชวนเที่ยวไทย" กับรายการเก๋าไม่แก่ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 นำผู้สูงวัย ออกเดินทางเที่ยวทั่วไทย 5 ภูมิภาค และจัดให้สมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัยทำกิจกรรมระหว่างวันนี้ – 15 กรกฎาคม 2561 สามารถร่วมสนุกได้ทาง Facebook เก๋าไม่แก่วาไรตี้วัยเก๋า และ Line Official : @kaomikae มีทั้งหมด 3 กิจกรรม ได้แก่
กิจกรรมที่ 1 "เก๋ายกก๊วนชวนชิมทั่วไทย" กติกาง่ายๆ สำหรับผู้ชมวัยเก๋าที่รักการท่องเที่ยวและรักการกิน เพียงแค่ถ่ายรูปตัวเอง หรือถ่ายรูปกับครอบครัว ถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อน พร้อมกับอาหารที่ประทับใจในทุกภูมิภาคทั่วไทย โดยภาพถ่ายต้องมีผู้สูงวัยอยู่ในภาพที่คมชัดเจน สวยงาม สนุกสนานเฮฮา เพื่อร่วมลุ้นเป็นภาพสุดยอดประทับใจ 10 ภาพ จะถูกนำไปออกอากาศทางรายการฯ เพื่อให้ผู้ชมทางบ้านโหวตลุ้นรับ "ขวัญใจมหาชน" ผู้ชนะจะได้รับ Samsung Tablet มูลค่ากว่า 20,000 บาท
กิจกรรมที่ 2 "เก๋ายกก๊วนชวนทัวร์ทั่วไทย" ร่วมกับ นครชัยแอร์ ชวนวัยเก๋าเลือกโดยสารรถนครชัยแอร์ รถโดยสารเดินทางทั่วไทย แฟนรายการ "เก๋าไม่แก่" ต้องซื้อตั๋วผ่านช่องทาง Line @nakhonchaiair อย่างน้อย 2 ที่นั่ง ราคาไม่ต่ำกว่า 350 บาท / ที่นั่ง จะได้รับของที่ระลึกทันที ตั้งแต่ 1 มิ.ย.– 31 ก.ค.นี้
กิจกรรมที่ 3 "เก๋ายกก๊วนชวนพักทั่วไทย" โดยร่วมกับ โรงแรมฮ็อป อินน์ ทุกสาขาทั่วไทย เพียงแค่แฟนรายการเก๋าไม่แก่ สมัครสมาชิก hopinn reward แล้วเข้าพักจริง ตั้งแต่ 2 คืนขึ้นไป เงื่อนไขต้องระบุชื่อบุคคลที่จองต้องเป็นชื่อเดียวกันรับทันทีของที่ระลึกจากโรงแรมฮ็อป อินน์ ตั้งแต่วันนี้- 30 ก.ค.นี้ โดยสำรองห้องพักที่ Inbox Facebook : Hopinnhotel
นอกจากนี้ยังร่วมกับทัวร์ฟ้าใส จัดทัวร์ผู้สูงวัยภายใต้โครงการเก๋ายกก๊วนชวนเที่ยวไทยด้วย สอบถามได้ที่ www.tourfahsai.com หรือ www.facebook.com/tourfahsai และโทร. 081-682-6590
ข่าวที่ 3 “บีซีพีจีเครือบางจากรุกตั้งCODE-Smart Park”
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) ของบริษัท ได้อนุมัติการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อ CODE (Center of Digital Energy) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจพลังงานดิจิตอล ตามที่บีซีพีจีมองเห็นโอกาสการเพิ่มมูลค่าให้กับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานสะอาด ในโลกของ distributed energy ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และผลตอบแทนดี เนื่องจากปัจุบันธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะได้รับผลตอบแทนเรื่องค่าไฟฟ้าลดลง ขณะที่ทิศทางอนาคตประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้เองจากพลังงานหมุนเวียนและจ่ายเข้าสู่ระบบเพื่อขายให้ให้กับผู้อื่นได้เมื่อมีไฟฟ้าส่วนเกิน ดังนั้นบีซีพีจีจึงวางแผนเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าว คาดจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
สำหรับจัดตั้งหน่วยงานใหม่ CODE ขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นการจัดทำโครงสร้างองค์กร และวัตถุประสงค์หลัก ๆ
ขณะเดียวกันบีซีพีจีก็มีความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) ในโครงการ Smart Park ตั้งอยู่ในเขตธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง พื้นที่ 1,500 ไร่ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้า 100-200 เมกกะวัตต์ ตามแผนจะใช้เวลาสร้างประมาณ 2-3 ปี เริ่มสร้างได้ในปลายปี 2561 กำหนดแล้วเสร็จปี 2564 ซึ่งจะใช้พลังงานสะอาด ร่วมพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รองรับกลุ่ม New S-Curve mujใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือมีนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของรัฐบาล
ข่าวที่ 4 “ทอท.ย้ำซื้อบอดี้สแกนโปร่งใสชัวร์”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” กล่าวว่า จากที่มีกระแสโจมตีโครงการเช่าเครื่องตรวจวัตถุตามร่างกายผู้โดยสาร (Body Scanner) เช่าเครื่องสูงกว่าราคาจำหน่ายมากจึงขออธิบายย้ำ ๆ อีกครั้งตั้งแต่ปี 2554 เริ่มเช่าอุปกรณ์ดังกล่าวการพิจารณาเทคโนโลยีที่ผ่านมาตรฐานและการรับรองจาก Transportation Security Administration (TSA) ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยี Body Scanner ที่ได้รับการรับรองมีเพียงผลิตภัณฑ์เดียวในโลก คือ L-3 รุ่น Provision ATD และ Provision 2
ในไทยมีบริษัท เอ็ม ไอ ที โซลูชั่น จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศ ค่าเช่าเครื่องเมื่อรวมค่าบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ ค่าประกันภัย และค่าดอกเบี้ยระยะ 5 ปี บริษัทตัวแทนคิดค่าเช่า 3 ปีแรก เดือนละ 650,000 บาทต่อเครื่อง และเมื่อต่อสัญญา ทอท.ได้ต่อรองราคาลดลงอีก 20 % เหลือเดือนละ 510,000 บาท รวม 5 ปี เป็นเงินทั้งสิ้น 35.64 ล้านบาทต่อเครื่อง ต่อมาการเช่าเครื่องรุ่น Provision ATD ได้ใช้ราคาระดับนี้เป็นมาตรฐานการเช่าเทคโนโลยีใหม่ของรุ่น Provision 2
อีกทั้ง ทอท.ได้สอบถามไปยัง บริษัท L-3 Communication Singapore Pte. Ltd. ผู้ผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว และได้รับหนังสือยืนยันว่า “General Services Administration (GSA) สหรัฐอเมริกามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกิจการของรัฐและเพื่อประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งราคาอุปกรณ์ Body Scanner ราคาเครื่องละ 5.6 ล้านบาทเป็นราคาที่ไม่สามารถซื้อขายให้กับชาวต่างชาตินอกสหรัฐอเมริกาได้ จึงไม่สามารถนำราคาในประเทศอื่น ๆ ไปใช้เทียบเคียงได้ จาก นั้นทอท.ก็เดินหน้าสืบราคาอุปกรณ์ดังกล่าวแล้วพบว่าเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาทต่อเครื่อง ไม่รวมการประกันภัย และการบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ทอท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจ และบริษัทมหาชนมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมทั้งมุ่งมั่นปรับปรุงคุณภาพการให้บริการให้ได้มาตรฐานท่าอากาศยานที่ดีเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
ช่วงที่ 2 พากันไปเช็คอิน-กิน-เที่ยว “ปราจีนบุรี” เที่ยวเชิงสุขภาพจากถิ่นสมุนไพรสู่เมืองออนเซ็น เต็มไปด้วยสตรีทฟู้ด และทัวร์เส้นทางบุญ ส่วนสุขภาพช่วงนี้ต้องแนะนำให้ “เลือกวิธีใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัย” และข่าวสุดแซบเสิร์ฟแบบเต็มร้อย ไม่ว่าจะเป็น แพกเกจ “บินดีอยู่ดี” ของบางกอกแอร์เวย์สใน 4 เมืองทะเลขายแค่ 5,900 บาท อานิสงส์ ครม.สัญจร ส้มหล่นใส่สนามบินบุรีรัมย์ สั่งขยายรันเวย์รับอีเวนต์ใหญ่ปี’63 “สนามบินอู่ตะเภา” จัดคิวประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ มิ.ย.นี้ ส่วน “นกแอร์” ฟุ้งไตรมาสแรกยอดขาดทุนไม่ถึง 30 ล้านบาท
@เที่ยวปราจีนถิ่นสมุนไพรไทยสู่ออนเซน-สตรีทฟู้ด
"ปราจีนบุรี" เป็นถิ่นเมืองเก่าแก่ที่มีรากชุมชนที่เก่งกาจด้าน "สมุนไพรแพทย์แผนไทยโบราณ" อีกแห่งแผ่นดินในพื้นที่เชื่อมโยงอารยธรรมขอมโบราณ ในห้วงกาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงเมืองก็มีเรื่องเล่าน่าสนใจจากดินแดนแห่งสมุนไพรไทยผสมผสานสีสันตะวันออกแนวใหม่กับการกำเนิด “ออนเซน” บ่อน้ำแร่แช่น้ำร้อนเพื่อสุขภาพตามรากวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น
การเช็คอินกินเที่ยว “ปราจีนบุรี” ภายในเมืองเล็ก ๆ มีสีสันความแตกต่างให้นักเดินทางได้ร่วมสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ได้ตลอดทั้งวัน
เริ่มจาก "โรงพยาบาลอภัยภูเบศร์" สถาปัตยกรรมตึกโรงพยาบาลสวยงามที่สุดของเมืองไทย ซึ่งทำให้ปราจีนบุรีมีชื่อเสียงบรรลือโลกทางด้านต้นแบบแพทย์แผนไทย และการทำตำรับยาสมุนไพรสูตรโบราณ ทั้งยาชนิดปรุงบรรจุแคปซูล เรื่อยไปจนถึงผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และความงาม ชื่อเสียงของแบรนด์อภัยภูเบศร์เทียบชั้นชนแบรนด์แพทย์แผนปัจจุบันในระดับประเทศและอินเตอร์ได้สบาย ๆ
ภายในอาคารจัดแสดงสมุนไพรจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้น 1 จะเป็นห้องเล่าเรื่องความเป็นมา กับจัดแสดงยาสมุนไพรชนิดต่าง ๆ รวมถึงด้านยังมีมุมให้ทำ D?I.Y. ด้วยนำสมุนไพรมาปรุงเป็นยดม ยาหม่อง เป็นต้น ชั้น 2 ตอนนี้เพิ่มห้องจัดแสดงยาจีน มีเรื่องราวที่น่าสตใจมากมาย ส่วนชั้น 3 จะมีห้องสำหรับให้เทอราปิสต์ท่กำลังจะจบหลักสูตรนวดแผนไทย ใช้เป็นที่ฝึกการนสดบริการให้แก่ผู้ที่สนใจ
ภายในฝั่งโรงพยาบาลมีช้อปจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปสมุนไพร เป็นตำรับยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายชนิด ภายใต้แบรนด์อภัยภูเบศร์
เช็คอินที่พักต้องห้ามพลาดที่สะท้อนถึงพัฒนาการของแผ่นดินสมุนไพรและแม่เหล็กดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
“ซิรินิตี้ โฮเต็ล สปา ออนเซ็น กบินบุรี “ ออกแบบเก๋ ๆ เป็นปูนเปลือย ตึกรูปตัวยูมีบริการห้องพัก 75 ห้อง พร้อมห้องอาหารไลน์บุฟเฟต์มื้อเช้าระรานตา ด้วยอาหารสุขภาพ และมาตรฐานการบริการแบบอินเตอร์สแตนดาร์ด
ไฮไลต์ในซิรินิตี้ โฮเต็ลฯ คือ บ่อน้ำ “ออนเซ็น” เพื่อสุขภาพ ที่นำต้นแบบมาจากญี่ปุ่น โดยได้ซื้อน้ำแร่คุณภาพดีมาไว้ในบ่อแบ่งเป็น 2 บ่อ อุณหภูมิบ่อแรก 38 องศาเซลเซียส และบ่อที่สอง 42 องศาเซลเซียส มีบริการครบทั้งจุดเปลี่ยนชุดก่อนลงแช่ออนเซนเพื่อสุขภาพ ภายใต้ธรรมชาติโอบล้อมด้วยสวนไผ่ขนาดย่อม สบายตา ออนเซ็นจะเปิดตั้งแต่ 7.00-19.00 น. บริเวณใกล้กันจะมีบริการสปาเพื่อสุขภาพด้วยเช่นกัน เปิดตั้งแต่ 10.00-22.00 น.
@สุขสวัสดิ์ริเวอร์วิวรีสอร์ตไอเย็นริมแม่น้ำ
ส่วนที่พักตรงเส้นทางเข้าไปยังบ้านหมอแสง เจ้าของตำรับยาไทยแก้มะเร็ง ที่ผู้คนแห่แหนไปรับยา มีรีสอร์ตในพื้นที่ 2 ไร่ติดถนน เป็นของ "คุณป๋อง-ธีรพล" อยู่ติดริมแม่น้ำ สร้างสไลต์บ้านปูนรีสอร์ตแยกเป็นหลังท่ามกลางร่มไมเขียวขจี จำนวน 18 หลัง ขนาด1- 2 ห้องนอน และมีวิลล่า 2 หลังใหญ่ติดแม่น้ำ พร้อมห้องนั่งเล่น ภายในรีสอร์ตมีห้องประชุม ร้านกาแฟติดแม่น้ำ วิวเก๋ ๆ ทั้งหมดสร้างไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกวัย สนนราคาคืนละ 2,000 บาท/ห้อง/คืน
มาถึงเรื่อง ถนนสายกินทั่วอำเภอเมืองปราจีนบุรี ที่ต้องห้ามพลาด มีให้เลือกทั้งแบบกลางตลาดสด ริมถนนใหญ่ และร้านสุดฮิปเก๋ ๆ
@บ้านเล่าเรื่องร้อยเรียงรากชีวิตขอมโบราณ
เริ่มต้นสัมผัสบรรยากาศเมืองช่วงเช้าที่ "บ้านเล่าเรื่อง" อายุกว่า 70 ปี เป็นแหล่งรวมความมีชีวิตตั้งอยู่ใกล้ศาลหลักเมือง ในอำเภอเมืองปราจีนบุรี บ้านชั้นเดียวทรงสีขาวสไตล์เก๋ถูกดัดแหลงเป็นสถานที่แฮงเอาต์ทั้งแบบเปิดโล่งอยู่บนสนามหญ้ากับระเบียงด้านหลัง และในห้องแอร์
คุณป้อม- ผู้จัดการ "บ้านเล่าเรื่อง" ของมูลนิธิโรงพยาบาลอภัยภูเบศร์ นำเสนอเรื่องราวภายในบ้านหลังนี้ว่า มีความสุขมอบพร้อมจะให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ต้อนรับกันด้วย ของว่าง น้ำดื่มสูตรเฉพาะต้นตำรับสมุนไพรพื้นบ้าน อาทิ สามเกลอโซดา-ลดไขมัน แก้หวัด สามดอกไม้โซดา-ป้องกันวุนจอตาเสื่อม ส่วนเมนูอาหาร ทุกอย่างที่นำเข้าสู่ร่างกายเราล้วนมีส่วนผสมของสมุนไพรไทยที่เป็นประโยชน์ ต่อทุกวัย อาทิ ไข่เจียวสมุนไพรรวมสารพัดผักสวนครัว
อีกทั้งบ้านเล่าเรื่อง ยังใช้ห้องเป็นสถานที่จัดประชุม ทำ Wedding เก๋ ๆ ได้ สามารถรองรับได้ครั้งละ 100 คน หรือจะมานั่งรับประทานอาการสุขภาพหลากหลายสมุนไพรพื้นบ้าน และสามารถทำ D.I.Y.น้ำดื่ม ซิกเนเจอร์ อาทิ น้ำสามทหารเสือ โซดาอัญชัน เพื่อรับประทานคู่กับขนมไทยรสเลิศ เช่น ขนมมัน ขนมตาล
@เดอย่าคาเฟ่ร้านกาแฟชิคสุดชิค
สำหรับ “เดย่า คาเฟ่” เป็นร้านกาแฟสุดฮิป นำต้นแบบมาจากโครเอเชีย เนื่องจากเจ้าของคือครอบครัวธุรกิจท้องถิ่นเติบโตมาจากร้านยางรถยนต์ Cockpit นำที่ดินทั้งหมดมาขยายผลสร้างร้านกาแฟสไตล์คนรุ่นใหม่ ที่มีเมนูซิกเนเจอร์ "Dirty Dirty" เป็นกาแฟเย็นที่มีความพิเศษ ชงในแก้วทรงกลมเล็ก ปากแก้วทำให้เลอะอย่างมีศิลปะ ส่วนเนื้อกาแฟไล่เรียงชั้นจากนม ครีม กาแฟ ก่อนดื่มคนให้เข้ากัน รสเข้มขม หวาน มัน
ส่วนของหวานที่รับประทานคู่กับกาแฟ เป็นฟิวชั่นไทยผสม มีทั้งกล้วยไข่ราดกระทิ จาวตาลเชื่อม ข้าวเหนียวอัญชัน และไอศรีม และอีกมากมาย ส่วนเค้กก็หายห่วงมีทุกแนวให้เลือกชิม
@กินแหลกที่ร้านข้าวเหนียวแม่สายหยุดตลาดสด
ร้านข้าวเหนียวมะม่วงแผงลอยตั้งอยู่กลางตลาดสดเมืองปราจีนบุรี เป็นร้านบอกกันปากต่อปาก อร่อยสไตล์สตรีทฟู้ด ด้วยข้าวเหนียวมูลใส่กระละมังละ 10 กก.แพ็กใส่กลองโปะหน้ามะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนมะม่วงอกร่องต้องกินตามฤดูกาลมีเฉพาะช่วงเมษายนของทุกปีเท่านั้น ข้าวเหนียวรสนุ่มอร่อยลิ้น กลมกล่อมครบทุกรส หวาน มัน เค็ม และวิถีความเป็นท้องถิ่นอย่างแรงกล้า
@ทุเรียนนมสดลุงสำเภาแห่งเดียวในเมืองไทย
เมื่อมาถึงอำเภอเมืองปราจีนบุรี ต้องลัดเลาะเข้าสวนไปยังหมู่บ้านเพื่อชิมทุเรียนนมสดจากสวนชาวบ้านหนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่ "สวนลุงสำเภา" ลุงสำเภาวัยกว่า 72 ปี เล่าว่าเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ได้นำทุเรียนเมืองนนท์ทั้งพันธุ์ชะนีและหมอนทองมาปลูกในที่ดินอยู่อาศัยกว่า 10 ไร่ โดยใส่ความพิเศษเข้าไปโดยนำนมสดตราหมีกระป๋องเล็ก ๆ ปีละกว่า 30,000 กระป๋อง มาผสมน้ำเปล่า 6 กระป๋องต่อน้ำ 200 ลิตร ฉีดเมื่อทุเรียนเริ่มออกลูกอ่อน ฉีดตามใบ ลำต้น ทุกต้น ทำอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันจนกว่าทุเรียนจะแก่เก็บขายได้
ทำให้ทุเรียนสวนนี้มีรสชาติแตกต่างจากทุเรียนสวนในประเทศไทย คือ รส หวาน มัน เนื้อแน่น อายุการเก็บไว้ได้นาน
ทุเรียนนมสดของลุงสำเภาจะเก็บผลผลิตได้ทุกเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี ชื่อเสียงโด่งดังจากการบอกปากต่อปาก จนทุกปีพอทุเรียนเริ่มออกจะมีคนโทรศัพท์มาจองกันไม่หยุด ทันทีที่ถึงฤดูเก็บผลผลิตจะขายหมดภายในเวลา 1 เดือน รายได้จากการขายทุเรียนประมาณปีละล้านกว่าบาท
นักท่องเที่ยวที่ต้องการแวะไปกินทุเรียนในสวนก็ได้ แต่ขอให้โทรไปสั่งก่อนจึงจะได้กินชัวร์ ๆ เพราะทุเรียนสวนลุงสำเภาจะสุกไม่พร้อมกัน โทรไปจองได้กับป้าแอ๋ว 089-603-6726
รอบพื้นที่อำเภอเมืองมีร้านอาหารเก่าแก่สไตล์ Street Food มีสูตรเด็ด เปิดบริการอยู่ในท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน แนะนำว่าต้องห้ามพลาด ร้านข้าว 2-3 หน้า "หมูแดง-หมูกรอบ--ไก่" ของป้านา อยู่ติดริมถนน มีสาวโสด 3 พี่น้อง ช่วยกันเสิร์ฟ ทั้งข้าว 2-3 หน้า และเกี๊ยวน้ำสูตรดั้งเดิม ที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้เมื่อ 70 ปีที่แล้วเป็นสูตรผสมผสานแบบกวางตุ้ง ที่ปรับให้เข้ากับวิถีไทยจากอดีตสู่ปัจจุบัน วิวัฒนาการยาวนานถึง 70 ปี ทั้งกรรมวิธีการอบ-รมควันเนื้อหมู ไก่ และการทำน้ำซอสราดข้าว โดยไม่มีส่วนผสมของผงชูรส สนนราคาจานละ 35-50 บาท
ทริปหน้าจะนำเรื่องราวดีดีของ “อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” หรือ “เขื่อนห้วยโสมง ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี กับ “วัดรัตนเนตตาราม” มาชวนไปชมความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์หนึ่งเดียวในแผ่นดิน
@แนะวิธีใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัยไร้กังวล
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพผิวของตัวเอง แต่อาจขาดความเข้าใจรวมถึงศึกษาข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถ่องแท้ ทำให้หลงเชื่อคำโฆษณาจากสื่อ หรือคนดังที่มาแนะนำ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังส่วนใหญ่เป็นเวชสำอาง ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียน เพียงแต่ใช้วิธีจดแจ้ง ระบุสถานที่ผลิตและรายละเอียดที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด จากนั้นสามารถผลิตและวางขายได้ ซึ่งข้อมูลจาก อย.แจ้งว่ามีข้อมูลกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์ที่จดแจ้งทางอินเทอร์เน็ต หรือ e-Submission มีการผลิตที่ไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ ดังนั้น การจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องศึกษาให้ดีอย่างถ่องแท้
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวพรรณที่ใช้ประจำอาจเกิดการแพ้ขึ้นได้ โดยขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่เป็นสาเหตุกลไกในการเกิดผื่นและลักษณะพื้นฐานผิวของแต่ละบุคคล การแพ้ผลิตภัณฑ์หรือเวชสำอาง อาจเกิดผื่นผิวหนังอักเสบแบ่งเป็น การระคายเคืองอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แสบร้อน อาการยุบยิบบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอาง อาการคันเป็นต้น ถ้ามีอาการมากขึ้นอาจเป็นผิวหนังอักเสบซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย การแพ้ส่วนมากจะมีอาการคันก่อนอาการอื่น ๆ
ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังถ้าสงสัยและมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นควรหยุดใช้ทันที และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บางกอกแอร์จัดบินดีอยู่ดี4เมืองแค่5.9พัน”
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดเต็มแพกเกจ "บินดี อยู่ดี Sea Lover 2018" ตั๋วโดยสารพร้อมที่พัก 3 วัน 2 คืนรวมอาหารเช้า บริการทัวร์ 1 วัน ชวนบินไปพักผ่อนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลยอดนิยมของไทย 4 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ภูเก็ต เกาะสมุย และตราด ราคาเริ่มต้นคนละ 5,900 บาท เลือกพักโรงแรมชั้นนำเข้าร่วมโครงการกว่า 35 แห่ง จองได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2561 ดูรายละเอียดเพิ่ม www.facebook.com/BindeeUdee
ข่าวที่สอง “ส้มหล่นหลังครม.จ่อขยายสนามบินบุรีรัมย์”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้เร่งศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายสนามบินบุรีรัมย์ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ตามข้อเสนอของทางจังหวัดที่จะให้ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ขนาด 2 ชั้น และขยายรันเวย์ เป็น 3,000 จากเดิม 2,100 เมตร เพื่อให้เครื่องบินขนาดใหญ่หรือจัมโบ้มาลงได้ในการทำตลาดเปิดอีเวนต์ระดับอินเตอร์ ในปี 2563 เช่น กรณีมีการแข่งขันรถฟอร์มูล่า วัน ก็สามารถขนส่งรถส่งรถแข่ง มาลงที่สนามบินบุรีรัมย์ได้ทันทีขณะนี้สนามบินบุรีรัมย์รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 1.7 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีเพียง 230,000 คน
ทางด้านหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ก็ได้เสนอของบประมาณศึกษาการก่อสร้างสนามบินพาณิชย์ในจังหวัดสุรินทร์ แต่ทางกระทรวงคมนาคมขอรับไปพิจารณาก่อน เพราะสนามบินบุรีรัมย์ อยู่ห่างจากสุรินทร์เพียง 80 ก.ม. เบื้องต้นจะใช้วิธีเร่งขยายถนนช่วงที่เป็นคอขวดจากสุรินทร์มาถึงบุรีรัมย์เป็นถนน 4 ช่องทาง
ข่าวที่สาม “สนามบินอู่ตะเภาเปิดประมูลเชิงพาณิชย์มิ.ย.”
พลเรือตรีลือชัย ศรีเอี่ยมกูล ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่าตามแผนการเปิดประมูลบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท กำลังจัดรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ให้เปิดประมูลได้ภายใน มิ.ย.นี้ ตามรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ PPP ขนาดเล็ก คือ 1. กิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทร้านค้าและบริการ และประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งตอนนี้ได้ลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ทำพื้นที่เพื่อให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Pick-up Counter) โดยสนามบินอู่ตะเภาจะเป็นผู้ดำเนินการ และเป็นเจ้าของเอง ทำเป็นเคาน์เตอร์ส่วนกลาง ให้ทุกฝ่ายใช้ได้ และ 2. กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ซึ่งแต่ละกิจกรรมจะเปิดประมูลเป็นสัญญาเดียว มีอายุสัญญา 10 ปี ในส่วนพื้นที่เชิงพาณิชย์จะเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายเดือนจากการประกอบกิจการไม่ต่ำกว่า 12% ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย หรือตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือน
คาดพื้นที่เชิงพาณิชย์จะเปิดบริการได้พร้อมอาคาร 2 แบบใช้งานเต็มรูปแบบช่วงมกราคม 2562 และตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ตั้งเป้าจะมีผู้โดยสารใช้บริการปีละ 2 ล้านคน
ข่าวที่สี่ “นกแอร์ฟุ้งQ1ปี61ลดขาดทุนได้อื้อ”
นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก ระหว่างมกราคม-มีนาคม 2561 เปรียบเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนลดการขาดทุนรวมลงจาก 295.57 ล้านบาท เหลือเพียง 26.88 ล้านบาท ท่ามกลางปัจจัยต้นทุนเชื้อเพลิงจะเพิ่มสูงขึ้น แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 5.6 % คิดเป็น 4,320 ล้านบาท เพราะ 3 ส่วน คือ 1.ต้นทุนเฉลี่ยต่อที่นั่งลดลง 2.อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวดีขึ้น 3.จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำเวลา 11.00-12.00 น. ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน ผู้ดำเนินรายการ และบล็อกเกอร์gurutourza |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น