“TCEB”’งัดโปรเจกต์ใหม่BIZ CONNECTปั๊มเศรษฐกิจไมซ์ปี66 ปลุกไมซ์30,000งานเร่งใช้ไฮเทคนำร่องร่วมเทรนด์ลดโลกร้อน เพิ่ม7ThemeMICE Plusโหมขายเส้นทางไมซ์เชิงสุขภาพ-ชุมชน
“TCEB”’งัดโปรเจกต์ใหม่BIZ CONNECTปั๊มเศรษฐกิจไมซ์ปี66
ปลุกไมซ์30,000งานเร่งใช้ไฮเทคนำร่องร่วมเทรนด์ลดโลกร้อน
เพิ่ม7ThemeMICE Plusโหมขายเส้นทางไมซ์เชิงสุขภาพ-ชุมชน
“คิง
เพาเวอร์”กระหน่ำลด3โปรสุดฮ็อตสัปดาห์ส่งท้ายก.ย.65
ช้อปKING POWER CLICK&COLLECTก่อนบินทัวร์เวียดนาม
ททท.รุกเทรดTEJ:TourismEXPOJapanโกยญี่ปุ่น1.25ล้านคน
TCEBภาคใต้ดันถือศีลกินผักภูเก็ตสู่จุดขายเทศกาลนานาชาติ
บางจากปลื้มนำหนังโฆษณาชุดข้าวแกงคว้ารางวัลสื่อปลอดภัย
ทริปถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ตสายศรัทธาห้ามพลาดร่วม13พิธีดีงาม
รพ.ศิริราชแนะนำ13 แนวทางควรจะต้องกินยาอย่างไรให้ถูกวิธี
ททท.ดัน“ISAN in Love”ฟื้นศก.อีสาน20จังหวัดชูสุรินทร์โมเดล
ทัพเรือ-UTAลุยMOUสนามบินอู่ตะเภาปั้นเมืองการบินตะวันออก
วันอาทิตย์ที่
25 กันยายน
2565
ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง
ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM
97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋
#KingPower #TAT
#TCEB #บางจาก #ถือศีลกินผักภูเก็ต
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...
ช่วงที่
1 เคลื่อนทัพใหญ่ไฮเทคไมซ์กับ
“ศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้ว่าการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB”
งัดเครื่องมือใหม่ บิ๊กโปรเจ็กต์ “Biz Connect”
โกยตลาดไมซ์ไทยและทั่วโลกปี’66 ปลุกผู้จัดไมซ์กลุ่มหลักที่ทีเส็บสนับสนุนปีละกว่า
30,000 งาน
ตื่นรับเทรนด์ไมซ์ลดโลกร้อน ซื้อขายคาร์บอนฟุตปริ๊นท์เพิ่ม 20 %
เพิ่มฟีเจอร์รูป วิธีใช้ดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมเพิ่มจุดขายใหม่ MICE Plus 2
เส้นทางยอดฮิต “ไมซ์เฮลท์&เวลเนส+ไมซ์ชุมชน”
นางศุภวรรณ
ตีระรัตน์ รองผู้ว่าการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB”
เปิดเผยว่า ได้วางกลยุทธ์พัฒนานวัตกรรมกับเทคโนโลยีปีงบประมาณ
2566 ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทีเส็บมุ่งมั่นให้อุตสาหกรรมไมซ์นำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจไมซ์ได้มากขึ้นทั้งการจัดประชุม
และจัดเทศกาลต่าง ๆ โครงการหลัก คือ แอพลิเคชั่น BizConnect
ใช้งานได้บนมือถือ ที่จะให้กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้จัดการประชุมสัมมนา
และผู้เข้าร่วมงาน สามารถลงทะเบียนแต่ละงานเพื่อดูรายละเอียดทั้งหมดเป็นการนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้แทนกระดาษช่วยลดการใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
ขณะนี้ทีเส็บได้พัฒนาแอพลิเคชั่น
BizConnect เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องกับไมซ์ได้ใช้ฟรีในรูปแแบบ
All inclusive ประกอบด้วย
1.งานสัมมนา
ทุกคนสามารถเปิดดูข้อมูลรายละเอียดงาน วิทยากร หัวข้อประชุมสัมมนา 2.งานประชุมวิชาการต่าง
ๆ สามารถทำเป็นคำถามแลกเปลี่ยนระหว่างคนฟังกับวิทยากร ส่งเป็น Chat ให้วิทยากรทราบได้
พอจบงานยังสามารถทำสรุปจำนวนคนเข้าร่วมงาน ความชื่นชอบหัวข้อสัมมนาแต่ละโปรแกรม
หัวข้อ วิทยากร และการจัดงานโดนใจอย่างไร 3.งานแสดงสินค้าก็จะลงลึกไปถึงรายชื่อผู้นำสินค้ามาร่วมงาน
โชว์ที่ตั้งบูธต่าง ๆ ไฮไลต์ภายในงาน เวทีกลางมีกิจกรรมสำคัญ ๆ ได้แบบครบวงจร
โดยตั้งเป้าหมายปี
2565
กำหนดให้การจัดไมซ์ทั่วประเทศจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดทั้งปี 200,000 ตัน
จากนั้นปี 2566 จะขยับเพิ่มลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้อีก
10-20 % หรือประมาณ
220,000-240,000 ตัน
เล็งไปยัง กลุ่มแรก คือกลุ่มจัดงานไมซ์ที่ทีเส็บให้การสนับสนุนเข้ามาร่วมใช้เครื่องมือ
BizConnect ซึ่งแต่ละปีจัดไมซ์ระดับท้องถิ่นและระดับประเทศรวมแล้วกว่า
30,000 งาน
จำนวนงานมากที่สุดซึ่งเป็นงานสำคัญที่ทีเส็บสนับสนุนปีละ 300-500 งาน
ตอนนี้ทุกแห่งสนใจเข้าร่วมลดโลกร้อนจำนวนมากขึ้น
ทางสถานที่จัดประชุม โรงแรมทั่วประเทศ
ขอให้ทีเส็บไปจัดอบรมเรื่องการจัดงานไมซ์อย่างไรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ลดโลกร้อน เพราะลูกค้ากำหนดเป็นเงื่อนไขที่จะเลือกใช้สถานที่จัดงานซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก
เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้ไฟฟ้า พลังงาน อาหาร การตกแต่ง สถานที่
ซึ่งทุกฝ่ายให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม
ปี 2566 เครื่องมือใหม่แอพลิเคชั่น
BizConnect จะเพิ่มความพิเศษมากขึ้น
อีกอย่างน้อย 3 ส่วน
ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 สร้างเมนู “เครื่องมือคำนวณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กับคาร์บอนฟุตปริ๊นท์”
การจัดไมซ์ ทั้งการจัดงานประชุม แสดงสินค้าและนิทรรศการ
เปิดให้ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศใช้งานฟรี โดยจะเพิ่มเครื่องมือใหม่
“การคำนวณคาร์บอนฟุตปริ๊นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สนับสนุนการจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืน
นอกจากจะช่วยลดมลภาวะและความสูญเสียทางเศรษฐกิจเรื่องการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองแล้ว
ปีหน้าในวงการอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งในประเทศและทั่วโลกยังเล็งเห็นถึงการใช้เครื่องมือ
“วัดและประเมินผลคาร์บอนฟุตปริ๊นท์” อย่างมีนัยสำคัญด้วย
เพื่อจัดงานเพื่อลดโลกร้อนให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นทางทีเส็บจึงพยายามร่วมมือกับ
“องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) “อวก./TGO :Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization) คิดโมเดลคำนวณสูตรคาร์บอนฟุตปริ๊นท์แบบง่าย
ๆ
เข้ามาใช้ประเมินผลการจัดไมซ์แต่ละงานถึงการใช้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์กี่ตันต่องาน
เท่ากับการปลูกต้นไม้กี่ต้น หากต้องการให้การจัดงานเป็นการลดขยะเป็นศูนย์หรือ Zero Waste รวมทั้งลดการใช้พลังงาน
และลดละการปล่อยมลพิษ ควบคู่กันไปทั้งหมดนั้น ก็ใช้เครื่องมือดังกล่าวได้
ผู้รับผิดชอบจัดไมซ์แต่ละงานที่ใช้เครื่องมือคำนวณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กับคาร์บอนฟุตปริ๊นท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็สามารถที่จะทำความดีด้วยการ “ลงทุนซื้อหรือชดเชยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์”
เรียกว่า Carbon offset
เพื่อช่วยนำออกซิเจนกลับคืนสู่ธรรมชาติ เช่น โครงการปลูกป่า
การลดมลพิษหรือลดการสร้างขยะแก่โลก
วิธีที่จะช่วยให้ไมซ์แต่ละงานเข้าร่วมโครงการลดโลกร้อนหรือลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ลดขยะให้เป็นศูนย์ ลดพลังงาน ได้ ซึ่งแอพลิเคชั่น BizConnect
จะมีสูตรสำเร็จให้ผู้เกี่ยวข้องกับงานไมซ์สามารถใส่ข้อมูลเข้าไปก็จะได้ผลลัพธ์เป็นคำตอบออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
4
เรื่องด้วยกัน คือ
เรื่องที่ 1 ผู้เข้าร่วมงานลงทะเบียนผ่านแอพลิเคชั่น
BizConnect ใส่รายละเอียดเพิ่มให้มากขึ้นได้แก่
เดินทางมางานด้วยระบบขนส่งใด ทางเครื่องบิน ทางรถ ทางเรือ เดินทางมาจากโซนไหน
ในประเทศหรือประเทศใด
เพราะการเดินทางโดยเครื่องบินตอนนี้สายการบินสามารถบอกได้ว่าแต่ละคนเดินทางมาระยะทางกี่กิโลเมตร
นอกเหนือจากลงทะเบียนปกติทั่วไป จะใส่เพียง ชื่อ-สกุล ตำแหน่ง หน่วยงาน
ความสนใจแต่ละหัวข้อเท่านั้น
เรื่องที่ 2 การเลือกใช้อาหารที่นำมาบริการภายในงาน
ได้เลือกใช้วัตถุดิบจากภายในท้องถิ่น ลดพลังงานการขนส่ง และอื่น ๆ
เรื่องที่ 3 โรงแรมที่จัดงานสามารถนำข้อมูลการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอส
รถไฟฟ้าใต้ดิน
ของผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดมาคำนวณเรื่องการลดคาร์บอนไดออกไซด์รวมเป็นเท่าไร
เรื่องที่ 4
ผู้จัดได้เลือกใช้พลังงานไฟฟ้าภายในแต่ละงานไมซ์
ได้นำเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์/โซลาร์เซลมาใช้ด้วยหรือไม่
ส่วนที่
2 เตรียมเพิ่มฟีเจอร์
“รูปการเข้าร่วมงานไมซ์” ทั้งจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ อีเวนต์ระดับนานาชาติ
และงานอื่น ๆ เนื่องจากผู้จัดและผู้เข้าร่วมงานไมซ์ยุคปัจจุบันเป็นกลุ่มเจนเอ็กซ์
วาย มิลเลนเนียล จึงต้องเพิ่มฟีเจอร์เป็นแกลอรี่รูปเข้าไปด้วย
ส่วนที่
3 เพิ่มข้อมูลความรู้ทักษะความสามารถทางดิจิทัล
: Digital Literacy ในการจัดสัมมนา
จัดประชุม ได้คัดเลือกผู้มีอิทธิพลหรือ Influencer ซึ่งมีรายชื่ออยู่ใน
Tech Firm
หรือบริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงระดับประเทศเข้าร่วมสัมภาษณ์ผลิตสื่อ youtube หรือ Portcase Media หรือช่องทีวีดิจิทัลเพิ่มเติม
และใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คนได้เข้าถึงมากที่สุด
ทีเส็บวางแผนจัดมหกรรมงาน
“TECH MART” ปี 2565
นำร่องจัดแล้วผู้ประกอบการผลตอบรับดีมาก
เพราะต้องการรู้สถานการณ์เชิงลึกถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ของกลุ่ม Tech Firm มีเครื่องมือพร้อมนำไปใช้งานได้อย่างไรบ้าง
ปี 2566
เตรียมจัดงาน “TECH MART 2023” ระดมบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี
กับผู้ประกอบการเข้ามาจับคู่เจรจาธุรกิจร่วมกัน รวมทั้งจะเชิญ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช./NIA :National Innovation Agency สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA :Digital Economy Promtion Agency) สมาคมเทคแห่งประเทศไทย
เข้าร่วมนำเสนอเรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งเมืองไทยยังมีจำนวนไม่มาก
จึงต้องไประดมเทคเฟิร์มจากธุรกิจท่องเที่ยวเข้ามาขยายผลในอุตสาหกรรไมซ์ควบคู่กันไป
นางศุภวรรณ
กล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย
(สทอ./TEATA :Thai Ecotourism & Adventure
Association)
ได้เข้ามาขอการสนับสนุนจากทีเส็บเพื่อจัดเส้นทางท่องเที่ยวพร้อมทำกิจกรรมไมซ์ที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และทำคาร์บอนฟุตปริ๊นท์ด้วย
ขณะเดียวกันทีเส็บจะปลุกกระแสผู้จัดงานไมซ์ทั่วประเทศให้หันมาวัดและประเมินผลการลดโลกร้อนโดยมีตัวชี้วัดอย่างชัดเจน
รวมทั้งปัจจุบันทีเส็บได้รับงบประมาณปี
2566
ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยในการจัดทำ โครงการที่ 2 “7 Theme MICE Plus หรือไมซ์ชุมชน
:Community Base MICE”
ขยายผลจากชุมชนท่องเที่ยวมาตอบโจทย์ไมซ์โดยการสกรีนมาตรฐานรองรับงานไมซ์ได้ด้วย
เพราะตอนนี้ไมซ์ที่เป็นกลุ่ม Incentive :การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
ตลาดทั้งในประเทศและนานาชาติมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพราะเจ้าของกิจการยุคนี้พฤติกรรมของผู้บริหารเป็นเจนเอ็กซ์หรือมิลเลนเนียลคนรุ่นใหม่สนใจสร้างประสบการณ์โดยนิยมให้รางวัลพนักงานและเจ้าของกิจการเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนใหม่
ๆ เพิ่มมากขึ้น เป็นกลยุทธ์ใช้รางวัลการเดินทางแก่ทุกคนเพื่อให้องค์กรภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือสังคมนอกเหนือจากการแจกโบนัสทั่วไป
ขณะนี้จึงมีเส้นทาง
“ไมซ์ชุมชนรองรับการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล”
ทั่วประเทศพัฒนามาตรฐานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยมีกลุ่มบริษัท องค์กร
เดินทางมาใช้สถานที่ จึงเกิดการแข่งขันสูง ทั้งในประเทศไทยและนานาชาติ
หลายประเทศหันมาสร้างเมืองและชุมชนให้ได้มาตรฐานรองรับตลาดไมซ์ซึ่งมีศักยภาพใช้จ่ายเงินสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปซึ่งได้รับเงินรางวัลเดินทางฟรี
กลุ่มอินเซ็นทีฟจึงคาดหวังสูงจากแต่ละสถานที่ที่จะไป
ปี 2566
ทีเส็บจะเพิ่มจุดหมายปลายทางให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นอีก 2 เส้นทาง
ได้แก่
เส้นทางที่ 1 “ไมซ์เชิงสุขภาพองค์รวม
หรือ Health &Wellness” ปัจจุบันในเมืองไทยมีชุมชนเด่น
ๆ ซึ่งเป็นตัวชูโรงโดนใจตลาดคนไทยและต่างชาติทั่วโลก ชุมชนหันมาทำกิจกรรมเรื่องการฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน
(mindfulness) การทำสมาธิ (meditaion)
และการป้องกันดูแลรักษาสุขภาพ จะคัดเลือกหลายพื้นที่เข้าร่วมโครงการ ตัวอย่าง
ไมซ์ในเกาหลี ญี่ปุ่น หันมาเร่งทำโครงการ Duel City ส่งเสริมการขายไมซ์ไปยังเมืองหลักกับเมืองใกล้เคียง
เช่นเดียวกับไทยก็เตรียมทำแบบเดียวกัน จะไม่ได้อยู่เพียงแค่จังหวัดเดียว
จะเชื่อมการเดินทางไปยังพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เช่น มากรุงเทพฯ กระตุ้นให้เดินทางต่อไปหัวหิน
หรือเชียงใหม่ต่อไปยังสุโขทัย พิษณุโลก หรือภูเก็ตต่อไปยังอันดามันคลัสเตอร์
เส้นทางที่ 2 “ไมซ์ล่องเรือสำราญ”
ขณะนี้ทีเส็บเดินหน้าศึกษาวิจัยแล้วจะเริ่มขายปี 2566 โดยได้สำรวจความพร้อมท่าเรือสำราญแล้วขยายเส้นทางดังกล่าวไปยัง
เกาะสมุย กับพัทยา เพิ่มขึ้นจากภูเก็ตนั่นเอง
ส่วนปี 2565 ทีเส็บเปิดเส้นทางไฮไลต์รองรับตลาดอินเซ็นทีฟและไมซ์อื่น
ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ 1.ท่องเที่ยวเชิงอาหารหรือ
Gastronomy 2.บรรยากาศริมทะเล
3.ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
4.พื้นที่เชิงผจญภัย
5.กิจกรรมหรูหรา 6.สร้างทีมเวิร์ค
Team Building 7.การประชุมเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติสีเขียว
(green meeting)
นางศุภวรรณ กล่าวว่า
การพัฒนานวัตกรรมกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีหรือ Tech Firm ปี 2566 เน้นให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้เครื่องมือแอพลิเคชั่น
ซึ่งจะเป็นปีที่คนเริ่มออกมาจัดงานเพิ่มขึ้นจำนวนมากหลังจากต้องประชุมผ่านเวทีเสมือนจริง Virtual meeting
มาตลอดสถานการณ์โควิด-19
จึงจะเน้นให้น้ำหนัก “สถานที่จัดงานจริง” 3
ประเภท 1.ศูนย์ประชุม 2.ห้องประชุมในโรงแรม
3.Specail Venue
หรือสถานที่พิเศษเทรนด์ใหม่กลางธรรมชาติ เช่น ร้านอาหาร สถานที่สำคัญของจังหวัดต่าง
ๆ ซึ่งต้องหาวิธีโชว์ศักยภาพการใช้เทคโนโลยี
ให้พนักงานกับเจ้าของสถานที่เรียนรู้อย่างทันสถานการณ์
จึงต้องหาเทคเฟิร์มไปจับคู่กับผู้ประกอบการที่จะเข้าสู่ระบบไมซ์ไฮเทคในอนาคตตั้งแต่ปีหน้า
2566 เป็นต้นไป
โดยให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้เทคโนโลยีทำการตลาด
ตัวอย่าง ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เปิดเป็นตึก 4 ชั้น
พลิกโฉมโครงสร้างอาคารทันสมัยรองรับไมซ์ได้หลากหลายมากขึ้น
ภายใต้ดีไซน์ที่ยังคงความเป็นอัตลักษณ์ไทย เช่น โลกกุตระ หน้ายักษ์
นำมาตกแต่งอาคาร ทางทีเส็บร่วมกับทางศูนย์ประชุมสิริกิติ์ทำ “ป้ายอัจฉริยะ”
ทำหน้าที่ให้ข้อมูลทั้งหมดภายในศูนย์และชุมชนรอบพื้นที่
และจุดดึงดูดความสนใจการท่องเที่ยว บริการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินกับบีทีเอส
และคนที่เดินทางเข้าร่วมงานทั้งคนไทยและต่างชาติสามารถคลิกดูข้อมูลทั้งหมดได้ กับการแท็กสรุปยอดจำนวนคนเข้าร่วมแต่ละงานที่อยู่ในศูนย์ได้ทุกวัน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิง เพาเวอร์”กระหน่ำลด3โปรสุดฮ็อตสัปดาห์ส่งท้ายก.ย.65
คิง
เพาเวอร์สมนาคุณเหล่านักช้อป ทุกองศาของการช้อปสินค้าแบรนด์ระดับโลก
และผลิตภัณฑ์ไทยคุณภาพสูง จะมีไฟลต์บินหรือไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปฟินตลอดเดือน วันนี้– 28 กันยายน 2565 ลดเร็วแรงสุด ๆ 3
โปรโมชั่นดังต่อไปนี้
โปรโมชั่นที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 3,000 บาท วันนี้ -28 กันยายน 2565 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ พัทยา ภูเก็ต
และคิง เพาเวอร์ ศรีวารี เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) / ใบเสร็จ นักช้อปรับได้ทันที 2 คุ้มค่า คือ “คุ้มที่
1” ช้อปครบ
10,000
บาทขึ้นไป(สุทธิ)/ใบเสร็จ ลดทันที 1,000
บาท “คุ้มที่
2” ช้อปครบ
20,000
บาทขึ้นไป(สุทธิ)/ใบเสร็จ รับเพิ่มคูปองส่วนลด 2,000 บาท สำหรับช้อป 4,000
บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ
สำหรับ
คูปองส่วนลด 1,000
บาท และ 2,000 บาท รับได้ทันทีคนละ 1
สิทธิ์ /วัน โดยนับรวมสิทธิ์ทุกสาขาและช่องทางการช้อปผ่าน Call to Shop กับ
Chat to Shop รับแล้วรีบใช้คูปองส่วนลดทันที
เพราะจะหมดอายุภายในวันที่แลกรับเท่านั้น นักช้อปสามารถใช้คูปองส่วนลดร่วมกับส่วนลดบัตรสมาชิก
คิง เพาเวอร์ รวมทั้งผ่อนชำระ 0%
ได้ตามสิทธิ์ยอดซื้อตามที่กำหนด กับมีบัตรเครดิตร่วม คิง เพาเวอร์ สามารถใช้ได้คือ
บัตรธนาคารไทยพาณิชย์ บัตรกสิกรไทย แต่ก็มีสินค้าไม่เข้าร่วมรายการคือ
เหล้า บุหรี่ รวมทั้งไม่สามารถใช้
Cash Card และ
Gift Card ได้
โปรโมชั่นที่
2 KING POWER CLICK & COLLECT
มีไฟลต์ต้องช้อป คลิก ช้อปง่ายเที่ยวสบายได้เต็มที่ จัดเต็มให้กับนักช้อปที่มีไฟลต์บิน
ต้องห้ามพลาดช้อปได้ง่าย ๆ กับบริการ King Power Click & Collect
ตั้งแต่ตัวยังไม่ถึงสนามบิน พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษทั้งขาเข้า –
ขาออก คือ
1.ช้อปเต็มที่
รับขาออก กรอกรหัสลด : FLY1000 ลดทันที 1,000 บาท เมื่อช้อป 5,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ 2.ช้อปไม่ต้องหิ้ว รับขาเข้า กรอกรหัสลด : FLY2000 ลดทันที
2,000 บาท เมื่อช้อป 8,000
บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ พิเศษสุด! ช้อปสินค้า Travel Exclusive จากแบรนด์ดังมากมาย เฉพาะช้อปที่ King Power Application หรือ www.kingpower.com
โปรโมชั่นที่ 3 สมาชิกบัตรคิง ทุกประเภทคือ
VEGA, CROWN, ONYX, SCARLET และ
NAVY เพาเวอร์
ซื้อแพกเกจท่องเที่ยวต่างประเทศ รับส่วนลดแบบไม่ยั้ง 1,000-2,000 บาท/คน/ทริป ก่อนเดินทางแวะช้อป คิง เพาเวอร์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ได้ทุกวัน ขณะนี้เปิดบริการเต็มรูปแบบแล้ว ตอนนี้ได้จับมือกับพันธมิตรบริษัทท่องเที่ยวแถวหน้าของเมืองไทย
2 ค่าย ให้สิทธิสมาชิกคิง เพาเวอร์ ซื้อทัวร์แล้วรับส่วนลด
เลือกได้เส้นทางที่ชอบในยุโรป เอเชีย อาเซียน ได้ถึง 8 แพกเกจ ดังต่อไปนี้
“บริษัท
ยูนิตี้ 2000 ทัวร์ จำกัด”
คัดสรรมาให้เลือกท่องเที่ยว โดยต้องจองล่วงหน้าก่อนเดินทางอย่างน้อย
30
วัน เพื่อเดินทางท่องเที่ยวหรูกับ
4 แพกเกจคุ้มสุด ๆ แพกเกจที่ 1 คริสต์มาสในยุโรป
10
วัน พักห้องคู่ราคาเริ่มต้น 132,000 บาท /คน /ทริป 26
พฤศจิกายน – 5
ธันวาคม 2565
และ 3
ธันวาคม – 12
ธันวาคม 2565
แพกเกจที่
2 โครเอเชียของยุโรป
10
วัน พักห้องคู่ราคาเริ่มต้น 135,000
บาท /คน/ทริป ระหว่าง 6-15
, 14-23
และ 21-30
ตุลาคม 2565
แพกเกจที่
3 Snow Mobile – Ice Breaker B 10
วัน พักห้องคู่ราคาเริ่มต้น
218,000
บาท /คน/ทริป
24
ธันวาคม 2565 – 2
มกราคม 2566
แพกเกจที่
4 แกรนด์สวิสเซอร์แลนด์
3 10
วัน พักห้องคู่ราคาเริ่มต้น
218,000
บาท /คน/ ทริป ระหว่าง 24 ธันวาคม 2565 – 2
มกราคม 2566 นำ
โดยเข้าไปรับรหัสส่วนลดในบัญชี
King Power LINE @King Power หรือ
member.kingpower.com
เมื่อจองแพกเกจทัวร์กับบริษัทให้แจ้งรหัสส่วนลดที่ได้รับตั้งแต่วันนี้จนถึง
8
มกราคม 2566
“บริษัท
ควอลิตี้ เอ็กซ์เพรส จำกัด” ให้สิทธิ์ซื้อแพกเกจท่องเที่ยวโดยแสดงบัตรสมาชิก
คิง เพาเวอร์ ประเภท VEGA, CROWN, ONYX, SCARLET และ
NAVY รับส่วนลดสูงสุด
1,000 บาท มีโปรแกรมท่องเที่ยวเด่น ๆ ให้เลือกเดินทางอย่างหลากหลายถึง 5 แพกเกจ ดังนี้
แพกเกจที่
1 ท่องยุโรป
ทริปสุดโรแมนติกที่ทุกคนต้องหลงรัก
ราคาเริ่มต้น96,900 บาท/คน/ทริป วันนี้-11 ธันวาคม 2565
แพกเกจที่
2 เที่ยวฟิน เช็คอินยุโรป 8 วัน 5 คืน
ราคาเริ่มต้น 58,900 บาท
ส่วนแพกเกจล่องเรือสำราญในมาเลเซีย
สิงคโปร์ ลด 500 บาท/คน/ทริป ได้แก่ แพกเกจที่ 3 ล่องเรือสำราญ
4 วัน 3 คืน
วันนี้-26 เมษายน 256 ราคาเริ่มต้น 12,500
บาท/คน/ทริป เส้นทาง สิงคโปร์-กัวลาลัมเปอร์-ปีนัง-สิงคโปร์ และแพกเกจที่ 4 ล่องเรือสำราญ
3 วัน 2 คืน
ราคาเริ่มต้น 11,900 บาท/คน/ทริป
สิงคโปร์-กัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์ วันนี้ -26 เมษายน 2566
ข่าวที่ 2 ช้อปKingPowerCLICK&COLLECTก่อนบินทัวร์เวียดนาม
คิง
เพาเวอร์ แนะนำช้อปก่อนเดินทาง พร้อมพบกับ KING POWER
CLICK & COLLECT บริการพิเศษจาก คิง เพาเวอร์
ที่ช่วยให้ช้อปสินค้า ดิวตี้ ฟรี กับ คิง เพาเวอร์ ออนไลน์
รับของง่ายขึ้นที่สนามบินทั้งขาเข้า-ขาออก
ทุกครั้งก่อนออกเดินทางแนะนำให้ตรวจสอบวัน-เวลาเปิดให้บริการ
และมาตรการทางด้านสาธารณสุขอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป
การเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย ยกเลิกระบบ Test & Go แล้ว ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวทำได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ทริปนี้ชวนไปเที่ยว
“เวียดนาม” 3 วัน 2 คืน ในเวียดนาม 6 เมืองยอดนิยม ได้แก่ 1.ฮอยอัน 2.ดานัง 3.เว้ 4.ฮานอย 5.ฮาลองเบย์ 6.ดาลัด ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางแห่งอาเซียนเสมอ ด้วยภูมิประเทศทอดยาวตั้งแต่ทางเหนือที่ติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทางทิศตะวันตกติดกับ สสป.ลาว และกัมพูชา ทิศตะวันออกไล่ลงมาถึงทางใต้เป็นอ่าวตังเกี๋ย
ทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย ทำให้เวียดนามมีความหลากหลายทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม
สภาพอากาศ ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยงทางธรรมชาติครบทุกอารมณ์ คนไทยชอบไปเที่ยวใช้เวลาเดินทางไม่เกิน
4 ชั่วโมง มีสายการบินจำนวนมากให้บริการอย่างสะดวกสบาย
ข่าวที่ 3 ททท.รุกเทรดTEJ:TourismEXPOJapanโกยญี่ปุ่น1.25ล้านคน
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร
ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย 10 ราย เข้าร่วมมหกรรมการขายในงาน Tourism EXPO Japan 2022 (TEJ) จัด ระหว่างวันที่ 22-25 กันยายน 2565 ที่ศูนย์นิทรรศการ Tokyo Big Sight กรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไทยนำเสนอจุดขายภายใต้แนวคิด
“THAILAND GREEN TOURISM – Amazing New Chapters” เน้นการใช้กลยุทธ์
5 New เพื่อเร่งฟื้นตลาดระยะใกล้
ควบคู่กับเปิดตลาดศักยภาพใหม่ Boy
Love / Oya-Rich กระตุ้นชาวญี่ปุ่นกลับมาเดินทางมาไทยให้ได้ 70 % ของปี
2562 คิดเป็นประมาณ 1,250,000 คน
ส่วนผู้ประกอบการไทยที่เดินทางไปเจรจาธุรกิจในงาน TEJ ครั้งนี้ ประกอบด้วย โรงแรม 7 ราย บริษัทท่องเที่ยว 3 ราย เข้าร่วม 3 กิจกรรมหลัก คือ 1. Business Meeting 2.International Tourism Forum 3.Travel
Showcase ททท.ได้ตกแต่งบูธตามคอนเซปต์ THAILAND GREEN
TOURISM – Amazing New Chapters
พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้เอกชนจับคู่เจรจารวม 21 นัดหมาย และให้ข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย
เป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมสาธิต การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย และไฮไลต์ข้อมูลการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมหรือ
RT : Responsible Tourism ด้วยการทำเวิร์กชอปกระเป๋าอวน
และทำกระดาษจากมูลช้าง Elephant POO POO Paper นั่นเอง
สำหรับ TEJ เป็นงานส่งเสริมการท่องเที่ยวรายการใหญ่ที่สุดในเอเชีย
ปีนี้กลับมาจัดในรอบกว่า 2 ปีหลังสถานการณ์โควิด-19 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 34 ททท.จึงได้นำเสนอสินค้าและบริการของเมืองไทยเร่งกระตุ้นตลาดญี่ปุ่นให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
เริ่มจากวันที่ 22-23 กันยายน 2565 เอกชนไทยเข้าร่วมเจรจาธุรกิจหรือTrade
& Press Day จากนั้นวันที่ 24-25 กันยายน นี้ เปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมงานเพื่อเลือกซื้อสินค้าท่องเที่ยวของแต่ละประเทศคาดจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า
200,000 คน
ผู้ว่าฯ ยุทธศักดิ์กล่าวว่า
ททท.ยังคงส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2565
ต่อเนื่องปี 2566 ด้วยจุดขายตามแนวคิด “Amazing
Thailand, Amazing New Chapters” ตั้งเป้าฟื้นอุตสาหกรรท่องเที่ยวอย่างสมดุลสู่หรือ
High Value & Sustainable Tourism
นายธเนศวร์
เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า ททท. วางแผนกระตุ้นการขายเจาะกลุ่มตลาดระยะใกล้ด้วยกลยุทธ์
5 New ได้แก่ 1.New Segment เจาะกลุ่มตลาดใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี 2.New Area แสวงหากลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพในพื้นที่ศักยภาพใหม่ 3.New Partner
ร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรายใหม่ 4.New
Infrastructure ใช้ประโยชน์จากเส้นทางการคมนาคมใหม่ให้เกิดการกระจายนักท่องเที่ยว
และ 5.New Way นำเสนอการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ชูเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม
ตั้งเป้าเพิ่มและขยายฐานลูกค้าตลาดหลักและกระตุ้นความต้องการของกลุ่มคุณภาพ
5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มคนรุ่นใหม่มิลเลเนเนียล เจนเอ็กซ์
2.กลุ่มผู้สูงวัย (Siler Age) 3.กลุ่มความสนใจพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์รวม (Health
& Wellness) 4.กลุ่มท่องเที่ยวเชิงกีฬา 5.กลุ่มตลาดเฉพาะอย่าง Digital Nomad และ Telework
โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ททท.ให้ความสำคัญกับทุกกลุ่มตลาดคุณภาพหลักซึ่งสามารถเดินทางมาเที่ยวซ้ำได้
(Re-visit) คือ 1. นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพร้อมกับทำธุรกิจหรือBleisure
(Business+Leisure) 2.กลุ่มนักกอล์ฟ 3.กลุ่มผู้หญิงทำงาน
(Lady Worker) 4.กลุ่มผู้สูงอายุ เรื่อยไปจนถึงการให้ความสำคัญกับกลุ่มตลาดศักยภาพใหม่
เช่น 5.กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบละครไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Boy
Love และกลุ่ม Oya-rich
นายธเนศวร์กล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างนัยยะสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทย
ตามสถิติปี 2562 มาเที่ยวเมืองไทยมากถึง 1,787,185 คน สร้างรายได้ 93,759 ล้านบาท ขณะนี้มีสัญญาณบวกหลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศลดระดับการเตือนภัย
(Travel Advisory) ให้ไทย อยู่ในระดับ 1 นั่นคือชาวญี่ปุ่นเดินทางมาได้อย่างระมัดระวัง โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องวัคซีน
และการกักตัวหลังเดินทางกลับ รวมทั้งได้ผ่อนปรนมาตรการเดินทางเข้าญี่ปุ่น
ส่งผลทำให้ตั้งแต่ 7 กันยายน 2565 มีผู้เดินทางเพิ่มขึ้นวันละ 50,000 คน ผนวกปลายปีนี้ไทยจะมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น
เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน วันหยุดเทศกาล ช่วงกันยายน - ตุลาคม 2565 ตรงกับฤดูหนาวปลายปี และไทยแอร์เอเชียกลับมาบินตรง
ไป-กลับ ไทย-ญี่ปุ่น เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2565 เส้นทาง นาริตะ-สุวรรณภูมิ 4 เที่ยว/สัปดาห์ เดือนสิงหาคม
2565 เส้นทาง ฟูกูโอกะ-ดอนเมือง 3 เที่ยว/สัปดาห์ เดือนตุลาคม 2565 เตรียมเปิดเส้นทาง
ชิโตเสะ (ฮอกไกโด) – สุวรรณภูมิ จำนวน 4 เที่ยว/สัปดาห์ และคันไซ-สุวรรณภูมิ 7
เที่ยว/สัปดาห์
ข่าวที่ 4
TCEBภาคใต้ดันถือศีลกินผักภูเก็ตสู่จุดขายเทศกาลนานาชาติ
นายพัฒนชัย
สิงหะวาระ ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการภาคใต้ หรือ “TCEB” ภาคใต้
เปิดเผยว่า ทีเส็บภาคใต้ร่วมกับพันธมิตรในจังหวัดภูเก็ต ยกระดับงาน “ถือศีลกินผัก
จังหวัดภูเก็ต” ระหว่างวันที่ 26
กันยายน - 4 ตุลาคม 2565 สู่งานประเพณี และเทศกาลนานาชาติ
ซึ่งโดดเด่นเทศกาลท้องถิ่นที่มีความพิเศษครบทุกมิติ สิ่งน่าสนใจมากที่จะชวนมาสัมผัสซึ่งรอคนทั่วโลกเข้ามาค้นพบและทำความรู้จักคือ
“ความพิเศษคือ”อาหารเจี๊ยะจ่ายและชุมชนอ๊ามโบราณ”
ล่าสุดทีเส็บได้ทำการศึกษาภาพลักษณ์และการรับรู้ของภูเก็ตและประเพณีถือศีลกินผักปี
2565 พบว่า
ภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางที่รู้จักมาอย่างยาวนานในฐานะเมืองจัดงานเทศกาลถือศีลกินผัก
แต่ด้วยสภาพแวดล้อมทางการตลาด และความต้องการของนักเดินทางในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่
(New World Travelers) ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การเดินทาง
จึงทำให้ทีเส็บมองหาแนวทางสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และการพัฒนาเนื้อหา โดยยึดหลัก branded
customer experience เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายเมื่อได้มาสัมผัสประเพณีการจัดงานดั้งเดิม
ที่ร่วมสมัย แตกต่างจากเดิม และทำให้ตัดสินใจมาร่วมงานง่ายขึ้น
โดยวางกลยุทธ์เน้นกระตุ้นตลาด
4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศรัทธา/Faith
Wanderers 2.กลุ่มการเดินทางเพื่อเดินเมือง/City
Hoppers 3.กลุ่มการเดินทางเพื่ออาหาร/Food Lovers) 4.กลุ่มการเดินทางเพื่อสุขภาพ (Healthy Addicts)
ควบคู่กับการสนับสนุนภาคเอกชนในภูเก็ตจัดกิจกรรม
“Gastronomy Chef's Table” เพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์และความโดดเด่นงานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ตในมุมมองใหม่ที่น่าสนใจผ่านอาหารเพื่อสุขภาพ
จัดทำเป็น Gastronomy Chef's Table โดยได้เชฟที่ชื่อเสียงของภูเก็ต
มาทำ Chef’s Table 2 ครั้ง ครั้งแรกจะจัดในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2565 ที่เทศบาลเมืองกระทู้ โดย Chef Noi จากร้าน Suay
ครั้งที่ 2 จะจัดในวันอังคารที่ 27 กันยายน 2565 ที่ลานมังกร โดย Chef Mond,
Chef Korn, Mixologist Wyn จากร้าน Royd
สำหรับกิจกรรมดังกล่าวนี้จะช่วยแนะนำอาหารเจซึ่งสามารถตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่ผู้ใส่ใจสุขภาพได้เป็นอย่างดี
ซึ่งทางทีเส็บได้ประชาสัมพันธ์งานประเพณีถือศีลกินผักปี 2565 ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพื่อกระตุ้นนักเดินทางเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์งานประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน
ข่าวที่ 5 บางจากฯปลื้มนำหนังโฆษณาชุดข้าวแกงคว้ารางวัลสื่อปลอดภัย
นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นตัวแทนบางจากฯ รับมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ
สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ด้วยผลงานสื่อโฆษณา / ประชาสัมพันธ์ เรื่อง
“ความสุขที่ยั่งยืนคือกำไรที่มั่นคง” หรือ “ข้าวแกง” จากนายอิทธิพล คุณปลื้ม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รองประธานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
ในพิธีประกาศรางวัลสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
รางวัลนี้ทางสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
พิจารณา เป็นผู้จัดขึ้นโดยมีคณะกรรมการและผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานฯ
ร่วมกับภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ จากผลงานทั้งสิ้นกว่า 600 ชิ้น
ภายใต้แนวคิดในการดำเนินการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ในเชิงบวก
มุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุน สร้างกำลังใจกระตุ้นให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ
ผู้ผลิตสื่อ และบุคลากรในวงการสื่อ
เกิดความภาคภูมิใจที่ได้สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อคนในสังคม
อันเป็นฟันเฟืองโดยเป็นรางวัลที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้เกิดนิเวศสื่อที่ดี
นางกลอยตา กล่าวว่าผลงานโฆษณา
"ความสุขที่ยั่งยืน คือกำไรที่มั่นคง" ของบางจากนั้น เล็งเห็นถึงสถานการณ์โลกทุกวันนี้ค่อนข้างล่อแหลมหลายเรื่อง
ทำให้ผู้คนต้องพบเห็นสิ่งที่ไม่ควรพบเห็นหลายอย่าง ดังนั้นหน้าที่ขององค์กรในฐานะสมาชิกหนึ่งของสังคม
คือสะท้อนสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์การดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมไทย
รางวัลที่ บมจ.บางจากได้รับครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึง
DNA ขององค์กรมุ่งให้ความสำคัญกับมูลค่าและคุณค่า
เป็นการทำธุรกิจที่ไม่ได้คิดถึงผลกำไรเพียงอย่างเดียว ทว่ายังหวังผลสร้างสิ่งดี ๆ
สู่สังคมไปพร้อมกันด้วย จึงขอเชิญชวนให้องค์กรต่าง ๆ หันมาช่วยกันสะท้อนสิ่งดีที่เกิดขึ้นรอบตัว
เพื่อสร้างสรรค์ความสวยงามให้สังคมและโลกของเรา ผ่านการผลิตและเผยแพร่สื่อที่ดีมีความปลอดภัยและสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะให้เดินหน้าต่อไปอย่างมีความสุขร่วมกัน
ช่วงที่ 2 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนเที่ยวเมืองไทยงาน “ถือศีลกินผักภูเก็ต”
เพิ่มประสบการณ์สำคัญ 13 พิธีอันดีงาม ส่วนโรงพยาบาลศิริราชแนะ
“12 แนวการกินอย่างไรให้ถูกวิธี” ฟังข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก
“ททท.จัดISAN In Love” ฟื้นท่องเที่ยว 20จังหวัด ข่าวที่สอง “ทัพเรือผนึกMTAทำMOUยกอู่ตะเภาสู่เมืองการบินตะวันออก
ท่องเที่ยว-ทริปถือศีลกินผัก
จ.ภูเก็ตสายศรัทธาห้ามพลาดร่วม13พิธีดีงาม
สายศรัทธา เตรียมตัวให้พร้อมกับการออกเดินทาง ร่วมเทศกาล
“ถือศีลกินผัก/เทศกาลกินเจ” ประจำปี 2565 เริ่มตั้งแต่ 25 กันยายน
-4 ตุลาคม 2565 ไฮไลต์การเดินทางเพิ่มประสบการณ์เจในเมืองท่องเที่ยว
“ภูเก็ต” ได้ชื่อว่าสวรรค์แห่งอันดามันที่มีธรรมชาติงานประเพณีน่าสนใจ กินเจตามปฏิทินจีนทุกปีตรงกับเดือน 9 ขึ้น 1 ค่ำ ผู้คนมุ่งละเว้นเนื้อสัตว์ ผักมีกลิ่นฉุน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุล
ทั้งคนไทยเชื้อสายจีนและคนทั่วไปนิยมร่วมเทศกาลนี้ด้วยเช่น
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เชิญชวนร่วมสัมผัสบรรยากาศเทศกาลกินเจภูเก็ต ซึ่งประเพณีกินผักภูเก็ต ชาวจีนที่อยู่ในภูเก็ตเรียกประเพณีกินผักด้วยภาษีท้องถิ่นว่า “เจี๊ยะฉ่าย” ส่วนวันประกอบพิธีตามปฏิทินจีนทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ
“ประเพณีเจี๊ยะฉ่าย”
เริ่มขึ้นครั้งแรก ณ หมู่บ้าน “ไล่ทู” อันอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ดีบุกทำใหคนจีนจำนวนมากอพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยนั้นมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าประจำตระกูลคอยคุ้มครองหมู่บ้านที่ตนพำนักอาศัยให้อยู่เย็นเป็นสุข
ต่อมามีคณะงิ้วเดินทางจากสาธาณรัฐประชาชนจีนเข้ามาแสดงยังหมู่บ้าน “ไล่ทู”
กระทั่งกลายเป็นเศรษฐกิจการค้าที่สร้างรายได้ กระทั่งเกิดจุดเปลี่ย เพราะ “มีโรคระบาด”
ทำให้ผู้คนล้มป่วยเป็นไข้ ทางคณะงิ้วนึกได้ว่าพวกตนไม่ได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายหรือกินผักปฎิบัติมาตลอดตอนอยู่เมืองจีน
จึงริเริ่มทำพิธีเจี๊ยะฉ่ายขึ้นในโรงงิ้วเพื่อขอขมาโทษจนกระทั่งต่อมาโรคภัยไข้เจ็บหมดสิ้นไป
สร้างความประหลาดใจให้ชาวไล่ทูอย่างมาก จึงสอบถามถึงการทำพิธี “เชิญเทพเจ้า” มาปกป้องตนเองและครอบครัวรวมถึงท้องถิ่นทำให้อยู่เย็นเป็นสุขจึงได้ถือปฏิบัติกันมานานแล้ว
แต่จะให้ดียิ่งขึ้นควรถือศีลควบคู่ไปด้วย
“การกินผัก” ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติให้ครบทั้ง 9 วัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว
นับจากนั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านไล่ทูเลื่อมใสจึงได้ถือปฎิบัติตามคำแนะนำของคณะงิ้วซึ่งถือเป็นประเพณีดีงามของชาวภูเก็ตมาจนถึงปัจจุบันนี้
ช่วงเทศกาลถือศีลกินผักในภูเก็ต บรรดาศาลเจ้าหรืออ๊าม ซึ่งมีกว่า 40 ศาลเจ้า แต่ละอ๊ามได้เตรียมพร้อมผู้เข้าไปเยือน มีนักเรียนนักศึกษา
และจิตอาสามาช่วยกันทำความสะอาด ช่วยกันล้างทำความสะอาด โต๊ะ ตะเกียง ตั่วเหลียน
เสลี่ยงพระ เครื่องทองเหลืองทุกชนิด อุปกรณ์ภายในโรงครัว
เพื่อเตรียมความพร้อมประกอบพิธีกรรมก่อนเข้าสู่ประเพณีกินเจ ปีนี้คือ 26 กันยายน – 4 ตุลาคม 2565ป
ประเพณีถือศีลกินผักในภูเก็ตอย่างสมบูรณ์นั้นมีถึง
13 พิธีด้วยกัน ได้แก่
1.พิธีชำระล้างสถานที่ (เจ่งตั๋ว) ชำระล้างบริเวณอ๊าม
และโรงครัวให้สะอาด
2.พิธี ยกเสาโก้เต้ง เด็กตีฆ้องร้องบอกประชาชนให้ไปช่วยขึ้นเสาเทวดาก่อน
5
โมงเย็น
3.พิธีโก้ยเช่งเหี้ยว (เครื่องหอม) ศาลเจ้า การจัดเตรียมสิ่งของที่ใช้ในพิธีการและสักการะบูชาทุกหน้าพระ
4.พิธีเชิญยกอ๋องส่งเต่ (พระอิศวร) เมื่อถึงเวลา 00.15 น. วันขึ้น 1
ค่ำ (ตามปฏิทินจีน)
คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่เลอไททำพิธีไหว้เทพเจ้าในศาลเจ้าให้รับทราบถึงขั้นตอน
และอัญเชิญเทวดายกอ๋องส่งเต่มาเป็นประธานใหญ่ในพิธีกรรมกินเจ
5.พิธีเชิญกิ้วอ๋องต่ายเต่ (พระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์) เชิญเทวดามาเป็นประธานในพิธีเสร็จแล้วให้จุดตะเกียงทั้ง
9
ดวงขึ้นไว้เพียงครึ่งเสาเก้าโง๊ยโช่ยอื๊ด วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 จีน และพิธีบูชาเทพเจ้าตามทิศต่าง
6.พิธีเชิญล่ำเต้าปักเต้า (ผู้ถือบัญชีคนเกิดและคนตาย) จำในวันเดียวกันตอน 19.30 น.
เจ้าหน้าที่ฮวดกั้ว (เลอไท) อัญเชิญ ล่ำเต้าและปั๊กเต้า (บัญชีคนเกิดคนตาย) มาร่วมพิธีกรรมด้วย
7.พิธีโก้ยชิดแฉ้ (บูชาเทวดาดาวพระเคราะห์) ทำตอน 20.30 น. ด้วยการสวดมนต์อ่านรายชื่อผู้เข้าร่วมกินเจทั้งชายและหญิง
รวมทั้งกล่าวถึงจำนวนข้าวสารที่ใช้ไปในงานและอวยพรให้ประเพณีกินผักอยู่ยืนยาว
8.พิธีเชี้ยเหี้ยวโห้ย คือ (เชิญธูปจุดไฟจากประเทศจีน) ทำเช้ามืดของวันแห่เคลื่อนขบวนแห่ไปยังสะพานหิน
การจัดขบวนแห่ที่ใหญ่โตตามลำดับดังนี้ 1. ค่ายโหล (ฆ้องเบิกทาง) 2. ตั๋วกี๋
(ธงใหญ่)
3. เถ๋ากี๋ (ธงนำหน้า) 4. ป้ายชื่อพระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์เสด็จ
(กิ้วอ๋องต่ายเต่) เสด็จผ่านและป้ายให้เงียบและสงบ 5. โฉ้ย
(ปี่ยาว) 6. เฉ่งตัวโหล (ฆ้องใหญ่) 7. ไท่เผีย
หรือ เก่ว (เกี้ยวเล็ก) 8. เทพเจ้าต่างๆ ประทับทรง9. โฉ้ย (ปี่สวรรค์) 10. เหี้ยวเต่า (เครื่องหม้อไฟหอม)
11. เหนี่ยวซั่ว (ร่ม กระถางธูปมือถือ) 12. ตั่วเลี้ยน (เกี้ยวใหญ่) ที่ประทับสำหรับกิ้วอ่องต่ายเต่
ประทับเมื่อขบวนแห่ไปถึงสะพานหิน เจ้าหน้าที่ฮวดกั้ว (เลอไท)
และคณะกรรมการบริหารได้ร่วมทำพิธีเชิญเหี้ยวโห้ย ของ
(พระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์) โดยการเสี่ยงทาย (ปั๊วะโป้ย)
เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงอันเชิญนำขบวนแห่กลับศาลเจ้าตามเดิม
9.พิธีโก้ยโห้ย (พิธีลุยไฟ) จะต้องมีการลุยไฟทุกครั้งเพื่อกำจัดสิ่งเลวร้ายไปกับเปลวไฟ
10.พิธีโก้ยห่าน (พิธีสะเดาะเคราะห์) ผู้ที่ไม่กล้าลุยไฟทั้งชาย
หญิงหรือเด็กจะเข้ามาทำการโก้ยห่านเพื่อกำจัดสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ
11.พิธีส่งยกอ๋องส่งเต่ (ส่งพระอิศวร) ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9
จีน ก่อนเที่ยงคืนหรือเที่ยงคืน
ทางศาลเจ้าจะจัดโต๊ะทำพิธีส่งเก้งส่างยกอ๋องส่งเต่ คือ
เชิญพระอิศวรกลับขึ้นสรวงสวรรค์
12.พิธีส่างกิ้วอ๋องต่ายเต่ (พระราชาธิราชทั้ง 9 พระองค์) ก่อนเที่ยงคืนหรือหลังเที่ยงคืน
สวดมนต์อ่านรายชื่อคณะกรรมการ ผู้ที่มาช่วยเหลือ พร้อมประชาชนทุกคน
รวมถึงข้าวสารให้กิ้วอ๋องต่ายเต่ได้รับทราบและขอให้ศาลเจ้า จงอยู่เป็นหมื่นปี
และขอให้ประชาชนทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน
13.พิธีลงเสาเทวดาและกิ้วอ๋องต่ายเต่ (เซียโก่เต้ง ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 จีน) ในวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9
ตามปีปฎิทินจีนทุกศาลเจ้าเมื่อเสร็จจากพิธีจะต้องเขียนเลี่ยนตุ่ย
(กระดาษแดง) นำไปติดตามประตูทุกแห่ง ฝ่ายโรงครัวจัดทำอาหารคาวพอ 5 โมงเย็น ประชาชนจะมาช่วยกันลงเสาเทวดา หลังจากนั้นเริ่มพิธีเลี้ยงอาหารเป็นอันสิ้นสุดพิธีกินผักโดยสมบูรณ์
มาร่วมเที่ยวเมืองไทยในเทศกาล “ถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต” กับประเพณีอันดีงาม
ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
สุขภาพ
-รพ.ศิริราชแนะนำ13 แนวทางจะต้องกินยาอย่างไรให้ถูกวิธี
ฝ่ายวิชาการเภสัชสนเทศ โรงพยาบาลศิริราช ให้ข้อมูล “กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี”
ยา หรือ Medicine มีวัตถุประสงค์ใช้เพื่อการรักษา
บรรเทา หรือใช้เพื่อป้องกันโรคและความเจ็บป่วย รวมถึงความผิดปกติต่าง ๆ ในร่างกาย
หลักการรับประทานยาก่อน
หลัง หรือพร้อมอาหาร
1.ยาก่อนอาหาร คือ
ยาที่ควรรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที หากลืมรับประทานยาก่อนอาหาร อาจรอประมาณ 2
ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหาร
เพื่อรอให้ท้องว่างแล้วค่อยรับประทานยาเม็ดที่ลืม
หากเวลาที่ต้องรับประทานยาใกล้กับมื้อถัดไปให้ข้ามยามื้อที่ลืม แล้วรับประทานยามื้อต่อไปตามขนาดปกติโดยไม่ต้องรับประทานยาซ้ำ
ทั้งนี้ไม่รวมถึงกลุ่มยาก่อนอาหารที่ใช้สำหรับลดระดับน้ำตาลในเลือด หากไม่แน่ใจในวิธีรับประทานยาควรปรึกษาเภสัชกร
2.ยาหลังอาหาร คือ
ยาที่ควรรับประทานยาหลังอาหาร โดยอาจรับประทานหลังอาหารทันทีหรือหลังอาหารประมาณ 15
- 30 นาทีก็ได้ หากลืมรับประทานยาหลังอาหาร สามารถรับประทานยาได้ทันทีที่นึกได้
หากนึกได้ในเวลาที่ใกล้มื้อถัดไปควรรอรับประทานหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน
หากไม่แน่ใจในวิธีรับประทานยาควรปรึกษาเภสัชกร
3.ยาหลังอาหารทันที คือ
ยาที่ควรรับประทานยาหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที
เนื่องจากยาบางตัวอาจมีฤทธิ์ระคายเคืองทางเดินอาหาร
4.ยาก่อนนอน คือ
ยาที่ควรรับประทานยาก่อนนอน 15 - 30 นาที
5.ยาพร้อมอาหาร คือ ยาที่ควรรับประทานยาพร้อมอาหารคำแรก
หรือหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วครึ่งหนึ่ง
6.ยาที่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน เคี้ยวหรือบดยาให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อการแตกตัวที่ดีของยา
ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
7.ยาที่อาจทำให้ง่วงซึม ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักรกล หรือระวังพลัดตกหกล้ม
8.ยาที่ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นหรือลดโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงจากยา
9.ยาที่แนะนำให้รับประทานซ้ำ ทุก 4 - 6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ ห้ามรับประทานยานี้ซ้ำก่อน 4 - 6 ชั่วโมง
เพราะจะทำให้ระดับยาในกระแสเลือดสูงจนเกินไปและอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้
10.ยาที่ต้องรับประทานติดต่อกันจนหมด รับประทานติดต่อกันจนครบตามแพทย์สั่งเพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการรักษา เช่น
ยาฆ่าเชื้อ (ป้องกันการดื้อยา)
11.ยาที่รับประทานแล้วไม่ควรนอนทันที เนื่องจากยาสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหลอดอาหารได้
หลังจากรับประทานยาไปแล้ว ต้องอยู่ในท่าตั้งตรงไม่น้อยกว่า 30 - 60 นาที (นั่งตัวตรงหรือยืนตัวตรง ห้ามเอน ห้ามนอน)
12.ยาที่รับประทานตามอาการ คือ ยาที่รับประทานเฉพาะเวลามีอาการ ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่อง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
-ททท.ดัน“ISAN in Love”ฟื้นศก.อีสาน20จังหวัดชูสุรินทร์โมเดล
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ ททท.ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดกิจกรรมคาราวาน
ISAN in Love : หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน”
กระตุ้นและส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวทั่วอีสานทั้งหมด 20 จังหวัด โดยได้ต้อนรับผู้ร่วมเดินทางกว่า
150 คน ลงพื้นที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยวพร้อมสินค้าและบริการต่อเนื่องกันในช่วงเดือนกันยายนนี้รวม
10 วัน 9 คืน
ททท.ได้กำหนดเส้นทางให้ผู้เข้าสำรวจพื้นที่ตามคอนเซ็ปต์
“หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน” แบ่งเป็น 2 รายการ ได้แก่ รายการแรก ร่วมพิชิตแหล่งท่องเที่ยวให้ครบ
20 จังหวัด เริ่มต้นจากจังหวัด
เลย-ชัยภูมิ-นครราชสีมา-บุรีรัมย์-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-กาฬสินธุ์-ขอนแก่น-หนองบัวลำภู-อุดรธานี-หนองคาย-บึงกาฬ-สกลนคร-นครพนม-มุกดาหาร-อำนาจเจริญ-อุบลราชธานี-ยโสธร-ศรีสะเกษ-สุรินทร์
รายการพิเศษที่ 2 ขับรถวันเดียวเที่ยว 2 ประเทศ แบบไปเช้า-เย็นกลับ
จากจังหวัดสุรินทร์ เมืองไทย) ไปยัง นครวัดและนครธม
กัมพูชา 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ซึ่งสามารถเชื่อมเส้นทางสร้างแม่เหล็กดึงดูดการขายท่องเที่ยวเพิ่มทั้งรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน
ททท.เปิดสร้างการรับรู้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้ร่วมงานจัดทำไฮไลต์เพื่อเพิ่มวันพักเฉลี่ยให้จังหวัดสุรินทร์ด้วย
2 กิจกรรม
ประกอบด้วย กิจกรรมที่ 1 “สุรินทร์โมเดล” ครั้งที่ 2 เน้นเรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดนไทย
– กัมพูชา บริเวณด่านช่องจอม อำเภอกาบเชิง กิจรรมที่ 2 จัดเทศกาลเนื้ออีสาน
& สุรินทร์ สะเร็น Beef เพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารลิ้มรสชาติอาหารซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดคือ
“เนื้อวากิวสุรินทร์ หรือสะเร็น Beef” โดยได้นำมาเสิร์ฟในงานระหว่าง 23 – 25 กันยายน
2565
ข่าวที่สอง
-ทัพเรือผนึกUTAลุยMOUอู่ตะเภาปั้นเมืองการบินตะวันออก
พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย
ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดเผยว่า ในฐานะผู้แทนจากกองทัพเรือ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง
MOU กับ นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร ผู้แทนบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ว่าด้วยการใช้ประโยชน์
“สนามบินอู่ตะเภา” กองทัพเรือ กับ “สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา”
ตามโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกัน หรือ JUA :Joint Use Agreement: JUA ที่อาคารราชนาวิกสภา
กองทัพเรือ
รายละเอียดการทำบันทึก JUA ถือเป็นส่วนหนึ่งตามข้อกำหนดในสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
ระหว่าง 3 องค์กร คือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(สกพอ.) คู่สัญญาฝ่ายรัฐ กับบริษัท
อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (บริษัท UTA) คู่สัญญาฝ่ายเอกชน
ตามปกติทางวิ่ง (runway) ที่ 1
สนามบินอู่ตะเภา กองทัพเรือได้ใช้ประโยชน์ด้านความมั่นคงมาตลอด แต่เพื่อสนับสนุนการใช้งานในเชิงพาณิชย์ควบคู่กันไป
เพื่อการพัฒนาประเทศและเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศตามนโยบายรัฐบาลเรื่องการยกระดับสร้างเมืองการบินภาคตะวันออก
ทางกองทัพเรือจึงเจรจากับ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA)
จนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่จะสร้างการเติบโตไปด้วยกัน
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด กล่าวว่า
การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง JUA ครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญเพื่อช่วยกันยกระดับอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก
แห่งที่ 3 ทำให้บริษัทสามารถใช้รันเวย์
1 สนามบินอู่ตะเภา ในเชิงพาณิชย์ควบคู่กับการเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกรวมถึงสิทธิอื่น
ๆ ที่กำหนดไว้ในบันทึกข้อตกลงโดยไม่กระทบกับพันธกิจและการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือแต่อย่างใด
ปัจจัยสำคัญด้านการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกันของรัฐกับเอกชนเรื่องการช่วยยกระดับความสามารถของอุตสาหกรรมการบินเมืองไทยเติบโตขึ้นและเป็นที่รู้จักทั่วโลก
สร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีให้เอกชนในประเทศและต่างประเทศให้ขยายเข้ามายังพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ
EEC
: Eastern Economic Corridor ทำให้เกิด “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
และ Logistics & Aviation" รวมถึงศูนย์กลางของ
“มหานครการบินภาคตะวันออก" ทำให้เกิดรายได้และการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นในอนาคตต่อไป
ขณะที่ นายธาริศร์ อิสสระยั่งยืน
รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
(Public-Private Partnership: PPP) ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(สกพอ.) ได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น
จำกัด (UTA) ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 19 มิถุนายน 2563 เพื่อขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ยกระดับอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพ โดยมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง
สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา
รายละเอียดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
จะมี 2 รันเวย์ ปัจจุบันรันเวย์ที่ 1 ทางกองทัพเรือเป็นผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ รันเวย์ที่
2 และทางขับ (taxi way) ที่เกี่ยวข้อง
รัฐจะรับผิดชอบการก่อสร้างเพื่อให้เอกชนร่วมลงทุนใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ แล้วเอกชนจะต้องพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารปีละ
60 ล้านคน
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น