ททท.ปรับ“รายได้ใหม่”รอบ3รับท่องเที่ยวฟื้นเร็วเกินคาดปี66
กวาดล็อตใหญ่ตลาด“เอเชียแปซิฟิก+จีน”เป้าใหม่18ล้านคน
12ม.ค.เพิ่ม4กลยุทธ์“ChinaBack+7Digit+ConsumerFair+RT
มูลนิธิ“วิชัย ศรีวัฒนประภา”มอบสุขแจกตู้อบเด็กทุนเรียนปี’66
“คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์”แจกลูกบอลแสนลูกวันเด็ก14ม.ค.
ด่วน!!ช้อปคิงเพาเวอร์ทุกแห่งรับรวดเดียว3คุ้มวันนี้-18ม.ค.นี้
“อนุทิน”ผนึก4กระทรวงเคาะแผนรับทัวร์จีน5มาตรการ+4เรื่อง
บางจากชวนร่วมโครงการช้อปดีมีคืนแวะปั๊มรับสิทธิพิเศษ2ต่อ
เที่ยวหุบเขานางพญาเสือโคร่ง6พิกัดสุดปังเชียงใหม่
เลย น่าน
บอกลาปวดเมื่อยเรื้อรังด้วย 4 เคล็ดลับเพื่อดูแลสุขภาพ“หลัง”
นายกฯแอตต้ายันจีนเที่ยวไทยไตรมาส1ปี66ไม่เกิน3แสนคน
คมนาคมปรับใหม่3ท่าเรือโดยสารท่องเที่ยวเจ้าพระยาปี’66
วันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0
และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์
#gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋
#KingPower #TAT
#TCEB #บางจาก #เที่ยวหุบเขานางพญาเสือโคร่ง
#กกสะทอน #ขุนช่างเคี่ยน
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/hV9AJ_ng-g/
ช่วงที่
1 ฟังข่าวใหญ่กับ
“ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ท่องเที่ยวฟื้นเร็วเกินคาดได้จีนเพิ่มด้วย ขยับแน่เป้าใหม่ปี’66 กวาดตลาดระยะใกล้โกยเอเชีย
18 ล้านคน
งัด 4
กลยุทธ์ “China is
Back จีนกลับมาแล้ว-Seven Digit Target นำทัวร์7หลักยอดทะลุล้านคนเที่ยวไทย-Consumer Fair onsite
บุกจัดคอนซูเมอร์แฟร์ทุกประเทศ-RT ปลุกกระแสเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
รีบอร์น เนเจอร์” ตลุยขายบิ๊กมาร์เก็ต 5 ชาติ มาเลเซีย
อินเดีย จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น โฟกัสตลาดคุณภาพตัวชี้วัด KPI
ตามสัญญากับทริสต์ 4 ตลาด
“กีฬา-สุขภาพ-คู่แต่งงานฮันนีมูน-หรูหรา”
นายธเนศวร์
เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า เปิดศักราชใหม่ปี 2566 การท่องเที่ยวในตลาดระยะใกล้ (shorthaul)
จากเอเชียและแปซิฟิกใต้ฟื้นเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
และครบทุกประเทศแล้วเมื่อรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศเปิดประเทศให้คนจีนเข้าออกต่างประเทศได้ตั้งแต่
8
มกราคม 2566
เป็นต้นไป รวมทั้งรัฐบาลไทยต้องการให้ ททท.ปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวเมืองไทยปี
2566
ใหม่ขยับจาก 18 เป็น 20
ตอนนี้รวมจีนแล้วจะต้องปรับให้ถึง 25 ล้านคน
โดยตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้
ททท. ยังคงรับภารกิจหนักต่อไป
ด้วยการทำตามเป้าหมายจะต้องนำนักท่องเที่ยวเข้ามาให้ได้มากกว่า 72 % ของจำนวนทั้งหมด
หรือประมาณ 18
ล้านคน ซึ่งจะใช้ศักยภาพ ททท.ที่อยู่ในความดูแล 18 สำนักงาน
ทำให้เกิดความสำเร็จจนได้อย่างแน่นอน
วันที่ 12 มกราคม
2566 ดร.ยุทธศักดิ์
สุภสร ผู้ว่าการ ททท.จะนำรองผู้ว่าการทั้งหมดและผู้บริหารแถลงเปิดตัวโครงการ Visit Thailand Year 2023 ในส่วนของตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้
ได้วางแนวทางกระตุ้นตลาดเข้ามาท่องเที่ยวไว้ 4 กลยุทธ์ ดังนี้
กลยุทธ์ที่
1 China is Back การกลับมาของจีน
เริ่มเดินทางต่างประเทศ 8
มกราคม
2566
ทำให้ตลาดระยะใกล้ (shorthaul
market) เติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาก
ซึ่งจีนจะขยับแบบค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติจะเป็นผลดีมากที่สุด เริ่มเดือนมกราคม 60,000 คน
กุมภาพันธ์ 90,000 คน
มีนาคม 150,000 คน
สาเหตุที่จีนมาเที่ยวเมืองไทยขยับไม่มากด้วยข้อจำกัด
3 ปัจจัย
คือ 1.
“เที่ยวบินเข้า-ออก” ระหว่างจีนกับไทย ยุคเฟื่องฟูปี มีสัปดาห์ละ 600-700 เที่ยว
แต่ปัจจุบันมีเพียง 30 เที่ยว/สัปดาห์ 2.หนังสือเดินทาง/Passport จีนยังอยู่ในช่วงการเริ่มต่ออายุใหม่ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า
10 วัน 3.ทางการจีนยังไม่ได้ประกาศให้บริษัทนำเที่ยวขายให้กลุ่มเดินทางเป็นหมู่คณะ
(G.I.T.-Group
International Travel)
ซึ่งจะเป็นผลดีให้ฝ่ายต่าง
ๆ ในไทยได้ตั้งตัวเตรียมความพร้อม เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ นี้ จึงเป็นช่วง
“เปลี่ยนผ่าน” ทั้งในส่วนสนามบินเข้าออกประเทศ โรงแรมที่พัก รถแท็กซี่ รถสาธารณะ
ร้านอาหาร และอื่น ๆ เนื่องจากตอนนี้ “กำลังคน” กับ “มัคคุเทศก์ทัวร์จีน”
ตอนเกิดโควิด-19
หายไปจากระบบจนเกิดภาวะขาดแคลนอย่างหนัก กว่าจะฟื้นฟูคนภาคบริการกลับมาต้องใช้เวลา
ซึ่งจะพอดีกับช่วงมีนาคมนี้เมื่อจีนจะมาเกินหลักแสนคนขึ้นไป
กลยุทธ์ที่
2 Seven Digit
Target โดยจะให้ความสำคัญกับตลาดเป้าหมายที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศละหลัก
1 ล้านคนขึ้นไป
5 ประเทศหลัก
ได้แก่ “มาเลเซีย” ทางผู้ประกอบการนำเที่ยวมาเลเซียกลุ่ม บัส โอเปอเรเตอร์ ทั้งหมด
รับปากจะช่วยนำคนมาเที่ยวตลอดปีนี้ถึง 4 ล้านคน “สาธารณรัฐประชาชนจีน” แนวโน้มจะถึง 5 ล้านคน
“เกาหลีใต้” เริ่มปีใหม่เป็นต้นมาเดินทางมาไทยวันละ 6,000-7,000 คน
“อินเดีย” จำนวนจะทะลุ 1 ล้านคน
เพราะระหว่างเมษายน-ธันวาคม 2565 มียอดรวม 9.6 แสนคน “ญี่ปุ่น” ก็น่าจะทำได้ถึง 1 ล้านคน
กลยุทธ์ที่
3 Consumer Fair
onsite การเดินสายจัดมหกรรมการขายตรงกับท่องเที่ยวตามประเทศเป้าหมาย
เมื่อพฤศจิกายน 2565
จัดครั้งที่ 1 ในนิวเดลีมีฑูตประเทศต่าง
ๆ เข้ามาร่วมงานพร้อมชื่นชม ททท.อย่างมากในการนำเสนอซอฟท์ เพาเวอร์ 5F -Food/Fashion/Film/Fight/Fun ได้อย่างมีสีสันลงตัว
ดังนั้นไตรมาส 1 ปี 2566 จะจัดอีก
3 ครั้ง
ภายใต้ชื่อ Amazing
Thailand Festival2023 เริ่มเดือนกุมภาพันธ์ นี้
เตรียมนำเอกชนเดินทางไปร่วมขายที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ต่อด้วยกรุงโฮจิมินห์
เวียดนาม เดือนมีนาคม กลับไปจัดอีกครั้งที่มุมไบ อินเดีย
ภายในงานแต่ละครั้ง
จะนำเสนอบูธซึ่งประกอบด้วย การเลือกช้อปแพกเกจท่องเที่ยว ได้ชิมอาหารไทย
มีบริษัทนำเที่ยว โรงแรม/รีสอร์ต สายการบิน จากประเทศไทยไปวางขายอย่างเต็มที่
เพราะชีวิตหลังโควิด-19
นักท่องเที่ยวทุกคนในต่างประเทศก็อยากกลับมาสัมผัสประสบการณ์จริงอีกครั้ง
กลยุทธ์การจัด Amazing Thailand Festival2023
จะขยายผลจัดใน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมออสเตรเลีย ด้วย
ส่วนการทำโร้ดโชว์
เทรดโชว์ จังหวัดท่องเที่ยวของไทยพร้อมแล้วที่จะลงทุนร่วมเดินทางไปกับ
ททท.เพื่อรุกขายการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ต กระบี่ พัทยา กรุงเทพฯ ทั้งงาน ATF :Asean Tourism Fair 2023 งาน SATE อินเดีย
และจะจัดโร้ดโชว์พิเศษบุกตลาดจีนครั้งใหม่เริ่มเดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป
กลยุทธ์ที่
4 RT -Responsible
Tourism กระตุ้นท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นำร่องด้วยโครงการไฮไลต์ Reborn
the Nature จังหวัดพังงา
เพื่อปลุกกระแสท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
ด้วยการระดมนักดำน้ำจากทั่วภูมิภาคเอเชียที่เคยเรียนดำน้ำในทะเลไทยกลับมาช่วยกันดำน้ำที่เกาะเต่า
จังหวัดพังงา ทำกิจกรรมโลกใต้ทะเล เก็บขยะ สร้างบ้านปลา ปลูกปะการัง ทำให้เป็น Explosure Thailand
นายธเนศวร์
กล่าวว่า ททท.จะรณรงค์ภาค supply
size กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหันมาใช้มาตรฐาน
SHA Plus และบุคลากรทั้งหมดในทุกธุรกิจควรเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการบูสเตอร์ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
สร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ตามนโยบาย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
มีนโยบายชัดเจนให้สร้างสมดุลระหว่างมาตรการทางสาธารณสุขควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยปรับให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยววิถีใหม่
ขั้นต่อไป ททท.
เตรียม “ปรับฐานเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป”
โดยทำโฟกัสการตลาดมากขึ้นเน้นกลุ่มคุณภาพพุ่งเป้าไปยังตลาดสนใจเฉพาะหรือ Niche Market ได้แก่
1.การท่องเที่ยวเชิงกีฬา/Sport Tourism 2.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์รวม/health & Wellness 3.การท่องเที่ยวของคู่แต่งงาน/Wedding&Honeymoon 4.การท่องเที่ยวหรูหรา/Luxury ซึ่งได้ตกผลึก
ททท.ตกลงกับ TRIS เพื่อใช้เป็น
KPI การวัดผลงานให้การท่องเที่ยวปีนี้สอบผ่านได้
ดังนั้นภาพรวม
“ตลาดต่างประเทศ” ทั้งเอเชียแปซิฟิกใต้กับตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง
และอเมริกา ต่างก็เห็นตรงกันที่จะทะลวงตลาดศักยภาพดังกล่าว
นายธเนศวร์กล่าวว่า
ไฮไลต์เดือนมกราคม 2566 มีงานท่องเที่ยวอีกรายการตามข้อตกลงความร่วมมือของสมาชิกอาเซียน
คือ ATF 2023 -Asean
Travel Fair กำหนดจัดระหว่าง 2-5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่เมืองยอกยาการ์ตา
(ดินแดนแห่งบูโร พุทโธ) อินโดนีเซีย
ททท.จะใช้เวทีนี้สร้างความเชื่อถือเสริมแบรนดิ้งโครงการ Amazing Thailand New Chapters ให้แข็งแรงมากขึ้น
ด้วยการทำ TRAVEX โดยมีเอกชนไทย
บริษัทนำเที่ยว โรงแรม สนใจเข้าร่วมจับคู่เจรจาธุรกิจประมาณ 10 ราย
และสายการบินไทยสมายล์ จะเข้าร่วมด้วยเพื่อเปิดตัวเส้นทางบิน ยอกยาการ์ตา-กรุงเทพฯ
เพื่อร่วมมือกันขยายตลาดอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น จากจำนวนประชากรนับ 100 ล้านคน
เดินทางมาไทยให้ได้ปีละไม่น้อยกว่า 500,000 คน
ขณะนี้
ททท.ได้หารือกับสายการบินพันธมิตรทั้ง การูด้าแอร์ อินโดนีเซีย ไทยไลออนแอร์
และอีกหลายสายการบิน เตรียมเดินหน้าส่งเสริมตลาดทำโปรโมชั่นแพกเกจผ่านงาน ATF 2023
ส่วนงานเทรดแฟร์
ATF ตอนนี้เริ่มจะคลายมนต์ขลังลงมาก
ผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมน้อยลง
ดังนั้นโอกาสทางการตลาดจะขยายตัวได้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศพากันพัฒนาจัดงานแฟร์ต่าง
ๆ ระดับนานาชาติขึ้น เช่น TTF
-Taiwan Tourism Fair ของไต้หวัน ไทยก็มี TTM -Thailand Travel Mart สิงคโปร์จัดงาน
NATAS :National
Association of Travel Agents Singapore ส่วนอินเดียจัดงาน
SATTE ที่กรุงเดลี
และสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเปิดประเทศแต่ละมณฑลจะจัดงานท่องเที่ยวดึงคนเข้าพื้นที่ด้วยงานผสมผสานระหว่าง
Trade +Consumer Fair
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 มูลนิธิ“วิชัย
ศรีวัฒนประภา”มอบสุขแจกตู้อบเด็กทุนเรียนปี’66
“มูลนิธิ วิชัย
ศรีวัฒนประภา” ต้อนรับปีใหม่ 2566 ด้วยการส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม ด้วยการทยอยมอบ “ตู้อบเด็กทารกแรกเกิด”
ซึ่งริเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันให้กับโรงพยาบาลประจำอำเภอต่าง
ๆ ทั่วประเทศแล้วกว่า 70 โรงพยาบาล 70 เครื่อง
ตามเจตนารมณ์ของ “คุณวิชัย
ศรีวัฒนประภา” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ต้องการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ด้วยการส่งมอบตู้อบเด็กทารกแรกเกิดให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน เพื่อสร้างโอกาสรอดชีวิต
ต่อลมหายใจให้ทารก พร้อม ๆ กับมอบทุนการศึกษาให้เด็กผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับโอกาสทางการศึกษา
เรียนหนังสือและนำความรู้ความสามารถไปใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว
และสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคมต่อไป
“มูลนิธิ วิชัย
ศรีวัฒนประภา” เห็นถึงความสำคัญด้านการแพทย์และสาธารณสุขต่อเนื่องมาตลอด
โดยเฉพาะอย่างการสร้าง “โอกาส”
ให้เด็กทารกแรกเกิดที่มีความเสี่ยงได้มีชีวิตอยู่รอดมากขึ้น เมื่อโรงพยาบาลที่ขาดแคลนได้รับตู้อบเด็กทารกแรกเกิดนำใช้ในการรักษา
รวมถึงเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ทารกเมื่อต้องส่งต่อไปรักษายังโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมด้านเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์มากกว่า
ปี 2566
ตัวแทนที่ได้รับโอกาสจาก “มูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา”
รวมตัวกันถ่ายทอดเรื่องราวไว้อย่างน่าสนใจทั้งทาง 2 ด้าน คือ
การแพทย์สาธารณสุข และการศึกษา
ด้านที่ 1
“การแพทย์สาธารณสุข” ทางแพทย์หญิงที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาเด็กคลอดใหม่จากโรงพยาบาลที่ได้รับ
“ตู้อบเด็กทางรกแรกเกิด” นำเสนอประโยชน์ที่ได้รับดังนี้
พญ.ศศินิภา สิริสุทธิสุวรรณ
กุมารแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลหลังสวนมีปริมาณเด็กคลอดประมาณเดือนละ
120 คน ทางมูลนิธิฯ บริจาคเครื่องอบเด็กทารกให้โรงพยาบาลจะช่วยเด็กวิกฤต
เด็กคลอดก่อนกำหนด ได้อยู่ในพื้นที่มีอุณหภูมิเหมาะสม
เพิ่มความสำเร็จในการดูแลทารกแรกเกิด ลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น
อุณหภูมิร่างกายต่ำเกินไปอาจจะติดเชื้อได้ ตู้นี้ก็จะเป็นการจำลองการอยู่ในท้องแม่
เป็นบ้านให้เด็ก ทางโรงพยาบาลจะได้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวดูแลทารกได้มากขึ้น โดยไม่ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลจังหวัด
หรือโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลออกไป
พญ.กอบกาญจน์ ชามพูนท สูตินารีแพทย์
โรงพยาบาลพรหมพิราม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กล่าวว่า เป็นอีกแห่งที่ได้รับบริจาคตู้อบเด็กจากมูลนิธิฯ
สนับสนุนให้โรงพยาบาลทำงานได้มากขึ้น
เพราะการส่งเด็กที่มีน้ำหนักน้อยหากเราไม่ใช้ตู้อบเด็กจะควบคุมอุณหภูมิไม่ได้
เราต้องควบคุมอุณหภูมิและการหายใจให้ดีก่อนส่งต่อไปโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่า
ก่อนหน้านี้ทางโรงพยาบาลยังไม่มีตู้อบเด็กเครื่องใหม่
ก็จำเป็นต้องใช้ถุงถั่วเขียวเอาไปเวฟมาให้ความอบอุ่นเด็ก
ทำให้มีความเสี่ยงเรื่องความร้อนที่มีมากเกินไป เพราะวิธีนี้ควบคุมอุณหภูมิไม่ได้มากนัก
และถ้าเด็กตัวเย็นเกินไปจะทำให้เด็กหยุดหายใจได้
บางครั้งเด็กคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย อายุครรภ์น้อย
จำเป็นจะต้องส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลพุทธชินราช ถ้าไม่มีตู้อบเด็กทารกใช้ระหว่างการเคลื่อนย้ายจะค่อนข้างเสี่ยงเพราะระยะทางไกล
เด็กมีโอกาสจะเสียชีวิตระหว่างส่งตัวได้
ด้านที่ 2
“การศึกษา” มีนักเรียน เด็ก เยาวชน
ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับโอกาสจาก “มูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา” ให้ทุนสนับสนุนการศึกษาแก่เยาวชนเหล่านี้สามารถเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ,ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือ
ปวช. 1 พร้อมทั้งจะมอบทุนการศึกษาให้จนจบระดับปริญญาตรี
ช่วยติดอาวุธทางการศึกษาเป็นใบเบิกทางให้เด็กเติบโตและเพิ่มโอกาสพัฒนาทักษะวิชาชีพ
เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยมูลนิธิฯ เริ่มให้ทุนการศึกษามาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันมีนักเรียนได้รับทุนไปแล้วทั้งสิ้น 41
คน นักเรียนที่ได้รับทุนจากมูลนิธิฯ 2 คน เป็นตัวแทนถ่ายทอดความรู้สึกออกมาถึงประโยชน์จากทุนที่นำไปใช้ศึกษาจนประสบความสำเร็จ
ดังนี้
ด.ช. ระพีภัทร จันคำ หรือ “น้องอ้น”
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนหนองแวงวิทยาคม อ.หนองสูง
จ.มุกดาหาร เป็นตัวแทนนักเรียนทุนรุ่นแรกของมูลนิธิฯ กล่าวว่า
อาศัยอยู่กับยายอายุ 72 ปี
ไม่มีรายได้อื่นนอกจากเบี้ยผู้สูงอายุ เมื่อทางมูลนิธิฯ มอบทุนให้รู้สึกดีใจมาก
เพราะสามารถนำไปใช้เรียนต่อเรียนจบปริญญาตรี ด้วยทางบ้านฐานะยากจน
แต่ไม่ได้รับคนก็คงจะเรียนแค่ชั้น ม.6 เท่านั้น
ตอนเรียนเมื่อจบ ม.3 ตั้งใจจะสอบเข้าโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
เพราะมีความฝันอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ ต่อเมื่อมูลนิธิฯ
ให้โอกาสได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี จึงขอขอบคุณและพร้อมจะตั้งใจเรียน
ทำความฝันให้เป็นจริง เพื่อนำวิชาความรู้ที่ได้มาประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัวให้มีความสุข
ทำให้สังคมน่าอยู่ควบคู่กันไปด้วย
นางสาวดรุณี พลศร หรือ “น้องไอซ์”
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม
อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร อีกหนึ่งในนักเรียนทุนรุ่นแรก
กล่าวว่า ตอนมูลนิธิฯ มอบทุนให้นั้นรู้สึกดีใจมาก เพราะตอนจบ ม.3 คิดว่าคงไม่ได้เรียนต่ออีกแล้ว เนื่องจากปู่กับย่าไม่มีรายได้ ทุนที่ได้รับสามารถพลิกชีวิตสร้างความหวังและโอกาสใหม่ขึ้นมาทันที
เพราะฝันอยากเป็นพยาบาล ตั้งใจและวางแผนไว้เมื่อเรียนจบแล้วจะได้กลับมาทำงานเป็นพยาบาลดูแลคนในชุมชน
ดูแลปู่กับย่าที่อายุมากแล้วร่างกายไม่แข็งแรง ได้มีชีวิตที่ดีต่อไป
ข่าวที่
2 “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์”แจกลูกบอลแสนลูกวันเด็ก14ม.ค.66
“คิง เพาเวอร์” มอบความสุขน้อง ๆ
เยาวชนทั่วไทย รับวันเด็กเสาร์ 14 ม.ค.66 นำโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทยเพาเวอร์
พลังคนไทย” แจกบิ๊กล็อตลูกฟุตบอล 100,000 ลูก 11 พื้นที่ กระจาย 5 ภาค ภาคกลาง/กรุงเทพฯ เหนือ ใต้
ตะวันออก และอีสาน
กลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ มอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2566 ในโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย”
ร่วมกระจายความสุขให้เยาวชนไทยทั่วเมืองไทยอีกครั้ง
เป็นของขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2566
โดยได้จัดเตรียมพาเหรดทัพลูกฟุตบอลมาตรฐานระดับสากล!!! กว่า 100,000 ลูก มอบถึงมือน้อง ๆ
ทั่วประเทศ 11 พื้นที่เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยมีสุขภาพที่แข็งแรงจากการออกกำลังงกาย
พร้อมทั้งจัดให้มีกิจกรรมการแข่งขัน Thai Power Challenge เดาะฟุตบอลลุ้นรับของรางวัล
ทางคิง
เพาเวอร์ จะเปิดโอกาสให้น้อง ๆ สามารถรับลูกฟุตบอลได้คนละ 1 ลูก ในวันเสาร์ที่ 14
มกราคม 2566 ตั้งแต่เวลา 8.00 -16.00 น. หรือจนกว่าลูกฟุตบอลจะหมด
โดยสามารถรับลูกฟุตบอลได้ตามสถานที่ ดังต่อไปนี้
“ภาคกลาง” 5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 4 พื้นที่ คือ 1.ทำเนียบรัฐบาล 2.กองบิน 6 ฝูงบิน 601
ท่าอากาศยานดอนเมือง 3.กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (สนามเป้า) 4.กรมพลศึกษา
ลานอเนกประสงค์หน้าอาคารนิมิบุตร รอบปริมณฑล รับได้ที่ 5.องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
รังสิตคลอง 5 (อพวช.) จ.ปทุมธานี
“ภาคเหนือ”
2 พื้นที่ คือ 1.กองบิน 41
จ.เชียงใหม่ 2.กองบิน 46 จ.พิษณุโลก
“ภาคใต้”
2 พื้นที่ คือ 1.คิง เพาเวอร์
ภูเก็ต จ.ภูเก็ต 2.กองทัพเรือภาคที่ 2 จ.สงขลา
“ภาคตะวันออก” 1 พื้นที่ คือ ท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
อีก 1 พื้นที่ คือ
กองบิน 1 จ.นครราชสีมา
น้อง
ๆ เยาวชนทั่วประเทศที่ ต้องการรับลูกฟุตบอลวันเด็ก เสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 ในโครงการ “คิง
เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ Facebook
King Power Thai Power พลังคนไทย ได้ด้วย
ข่าวที่
3 ด่วน!!ช้อปคิงเพาเวอร์ทุกแห่งรับรวดเดียว3คุ้มวันนี้-18ม.ค.นี้
ช้อปที่
คิง เพาเวอร์ คุ้มค่าทุกการเดินทาง ได้ตั้งแต่วันนี้ -18 มกราคม 2566 ที่ คิง เพาเวอร์
รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต
คุ้มที่
1 รับ Gift Voucher สูงสุด 2,000 บาท คนละ 1 สิทธิ์/วัน โดย 1.รับ
Gift Voucher 400 บาท เมื่อช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) หรือ 2.รับ Gift Voucher
2,000 บาท เมื่อช้อปครบ 30,000 บาทขึ้นไป
คุ้มที่
2 รับฟรี! กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ
เมื่อช้อปครบ 40,000 บาทขึ้นไป ได้ถึง -31 มกราคม 2566 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด
คุ้มที่
3 รับ 2,000 กะรัตรีวอร์ด
เมื่อช้อปครบ 50,000 บาทขึ้นไป คนละ 1
สิทธิ์/วัน
ข่าวที่
4“อนุทิน”ผนึก4กระทรวงเคาะแผนรับทัวร์จีน5มาตรการ+4เรื่อง
นายอนุทิน
ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า
ผลการประชุมเมื่อวันที่ 5
มกราคม
2566 เรื่องมาตรการเตรียมรับนักท่องเที่ยวจีน
ตามนโยบายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมกัน 4
กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงต่างประเทศ
ได้ข้อสรุปตรงกันควรปฏิบัติตามแนวทางโรคติดต่อต้องเฝ้าระวังโดยไม่กีดกันทุกประเทศรวมทั้งจีนด้วย
โดยกำหนดให้มีแผนติดตามประเมินสถานการณ์ไตรมาส 1 ปี 2566 เพื่อปรับมาตรการตามความเสี่ยงซึ่งสามารถลดหลั่นได้ตามเหมาะสมของสถานการณ์
และจะเดินทางไปติดตามสถานการณ์จริงยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเมื่อมผู้โดยสารจากเซี่ยงไฮ้มากับเที่ยวบินปฐมฤกษ์วันที่
9 มกราคม
2566
สำหรับความเห็นชอบในที่ประชุมเตรียมความพร้อมรับมือนักท่องเที่ยวจีนของ
4 กระทรวง
เบื้องต้นสรุปได้ 5 มาตรการ
พร้อมเฝ้าระวังเพิ่ม 4 เรื่อง
ดังนี้
มาตรการที่
1
ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศจะต้องฉีดวัคซีนโควิด-19
อย่างน้อย 2 เข็ม
หากเกิดมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ควรเลื่อนการเดินทางและรักษาโรคให้หายก่อน
เพื่อลดการแพร่เชื้อโรค
มาตรการที่
2 ต้องซื้อประกันสุขภาพการเดินทางโดยครอบคลุมการตรวจรักษาโรคโควิด-19
เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหากตรวจพบเชื้อหรือป่วย
มาตรการที่
3 ขณะพำนักอยู่ในประเทศ
แนะนำให้นักท่องเที่ยวต้องป้องกันตนเองตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองไทยด้วยการ
สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ รถขนส่งสาธารณะ ต้องล้างมือบ่อย ๆ
หากมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจคัดกรองด้วย ATK และหากป่วยรุนแรงจะต้องเข้าตรวจรักษาที่สถานพยาบาลทันที
มาตรการที่
4 กรณีเดินทางออกจากประเทศไทยและประเทศปลายทาง
มีนโยบายให้ตรวจคัดกรองก่อนเข้าประเทศ โดยแนะนำให้โรงแรมที่ให้บริการห้องพัก
ต้องนำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA+ กลับมาใช้อีกครั้ง
เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19
กับนักท่องเที่ยวจีน
โดยมีสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานห้องปฏิบัติการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์คอยดูแล
มาตรการที่
5 ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการตามจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศ
เตรียมความพร้อมเปิด Hospitel
กับโรงพยาบาล
ไว้รองรับผู้ที่มีผลตรวจพบเชื้อโควิด-19
และขอ “ผู้ให้บริการท่องเที่ยว” ทุกคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกับคมนาคม
เพื่อความปลอดภัยขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ครบ 4 เข็ม
เพราะหากได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ก็อาจจะเป็นกลุ่มเสี่ยงได้
นายอนุทินย้ำว่า
วางแผนเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้เพิ่มอีก 4 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 ตั้งทีมติดตามและประเมินผลสถานการณ์รับนักท่องเที่ยวเข้าไทยไตรมาสแรกปี
2566
อย่างใกล้ชิด
เพื่อจะได้ปรับมาตรการรองรับได้ทันเหตุการณ์ตามความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เช่น
อัตราการติดเชื้อสูง หรือพบเชื้อกลายพันธุ์
โดยจะเฝ้าระวังกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศที่มีอาการทางเดินหายใจ
เรื่องที่
2 จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์โรคและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีของผู้เดินทางต่างประเทศ
เรื่องที่
3 เพิ่มกลไกการรายงานสถานการณ์ผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค
เน้นติดตามจำนวนนักท่องเที่ยวและผลการตรวจคัดกรองผู้ที่มีการป่วยซึ่งตรวจพบที่สนามบิน
เรื่องที่
4 เฝ้าระวังและตรวจเชื้อโควิด-19
ในน้ำเสียจากเครื่องบิน เพื่อดูแลป้องกันทุกช่องทางอย่างรัดกุม
ทุกมาตรการข้างต้นจะสื่อสารถึงนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางต่างประเทศเข้าไทย
เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ และให้ความร่วมมือกับประเทศไทยลดความเสี่ยงแพร่โรคโควิด-19
เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยเดินหน้าได้อย่างราบรื่นต่อไป
นายพิพัฒน์
รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับนายอนุทินและกระทรวงเกี่ยวข้อง
พร้อมคาดการณ์จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทยไตรมาสแรกประมาณ 300,000 คน
จำนวนจะเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลตรุษจีน 2566 เริ่มจากเดือนมกราคม 60,000 คน
กุมภาพันธ์ 90,000 คน
และมีนาคม 150,000 คน
ส่วนเที่ยวบินปฐมฤกษ์จะเริ่มมาถึงไทยวันที่ 9 มกราคม 2566
จากกรุงเซี่ยงไฮ้ แล้วจากนั้นสายการบินโลว์คอสต์ของไทยและจีนจะขอ Slot หรือตารางเวลาบินเข้าออกระหว่างไทย-จีน
แต่ตอนนี้มีปัญหาเรื่อง“ขาดแคลนแรงงานภาคบริการ”
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะให้บริการนักท่องเที่ยวจีนและต่างชาติที่กลับเที่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ต้องร่วมกับเอกชนหาวิธีแก้ไขให้เร็วที่สุด
ข่าวที่ 5บางจากชวนร่วมโครงการช้อปดีมีคืนแวะปั๊มรับสิทธิพิเศษ2ต่อ
บริษัท บางจาก
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ต้อนรับปีใหม่ 2566 ชวนร่วมโครงการ
"ช้อปดีมีคืน" มอบสิทธิพิเศษ!! รับสุดคุ้ม 2 ต่อ
ได้ที่สถานีน้ำมันบางจาก ระหว่างวันนี้ – 15 กุมภาพันธ์ 2566
ต่อที่ 1
ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท
ตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด
ต่อที่ 2
สมาชิกบางจากกรีนไมลส์
สะสมคะแนน และรับสิทธิ์ประโยชน์สุดคุ้มอีกมากมาย
สมัครสมาชิกใหม่และใช้บัตรสะสมพิเศษมูลค่า 20 บาท
ได้ถึง 31 ธันวาคม 2566
โดยสมัครผ่านแอพลิเคชั่น หรือผ่านเว็บไซต์
วิธีขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบได้ง่าย ๆ
1.แจ้งขอใบกำกับภาษีแบบเต็มสำหรับบุคคลธรรมดากับพนักงานหน้าลาน
2.ถ้าไม่สะดวกก็ให้ใช้บัตรประชาชน กรอกชื่อ-สกุล เลขที่บัตรประชาชน ที่อยู่
เบอร์มือถือ ทะเบียนรถ ตามแบบฟอร์มที่ขอได้จากพนักงาน
3.พนักงานจะออกใบกำกับภาษีในรูปแบบกระดาษระบุตามที่สรรพากรกำหนด
4.แจ้งยื่นภาษีบุคลธรรมดาปี 2567 โดยลูกค้าต้องเก็บเอกสารไว้จนกว่าจะยื่นภาษี
โดยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นสำเนา
ตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่ หรือ call center โทร. 1651
ช่วงที่ 2 เปิดจุดหมายท่องเที่ยวหลังเทศกาลปีใหม่
ในหุบเขา “ดอกนางพญาเสือโคร่ง” หรือ “ซากุระเมืองไทย” 6 พิกัด
3 จังหวัด เชียงใหม่ เลย น่าน แล้วดูแลสุขภาพด้วย “4เคล็ดลับบอกหลังเดี้ยง” และข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “แอตต้า”
ฟันธงจีนเที่ยวไทยQ1ปี66ไม่เกิน 3 แสนคน ข่าวที่สอง “คมนาคมปรับใหม่3ท่าเรือ”
โดยสารท่องเที่ยวเจ้าพระยา
ท่องเที่ยว-
เที่ยวหุบเขานางพญาเสือโคร่ง6พิกัดสุดปังเชียงใหม่ เลย น่าน
กลับมาวางแผนเดินทางหลังเทศกาลปีใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ชวนออกเดินทางท่องเที่ยวหลังปีใหม่
ด้วยคอนเทนต์พื้นที่สีชมพูเต็มหุบเขาของ “นางพญาเสือโคร่ง” หรือ
“ทุ่งซากุระเมืองไทย” ยาว ๆ ในภาคเหนือ 3 จังหวัด เชียงใหม่ เลย น่าน ท่ามกลางไอเย็นของลมหนาวเย็นสบาย
ๆ ทำให้ดอกไม้สีชมพูนางพญาเสือโคร่งบานสะพรั่งเต็มพื้นที่
ชวนเลือกปักหมุดเช็คอินเที่ยวธรรมชาติชมทุ่งนางพญาเสือโคร่งด้วยกัน
6
แห่ง
พิกัดที่ 1
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง (ดอยอ่างขาง) อำเภอฝาง กำลังชูช่อบานเต็มต้นแล้ว
80% ไปจนถึงปลายเดือนมกราคม 0 5396 9476 พิกัด https://goo.gl/maps/yRndrw9XX46f74rh7
พิกัดที่ 2
สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน อำเภอแม่ริม เพิ่งจะเริ่มผลบานได้ประมาณ
10-15% ช่วงกลางถึงปลายมกราคม จะบานเต็มที่อย่างงดงามทั้งหุบเขา
โทร.0 5394 4052, 0 5322 2014 พิกัด https://goo.gl/maps/95m42LuxVQWxi6iV9
พิกัดที่ 3
ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) อำเภอแม่วาง เพิ่งจะเริ่มบานเหมือนกันประมาณ
10% ช่วงกลางถึงปลายเดือนมกราคม
ได้เห็นกันแบบเต็มพื้นที่อย่างแน่นอน โทร.09 8111 8478
พิกัด https://goo.gl/maps/goicejg41mhrLfeB6
พิกัดที่ 4
อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อำเภอเมือง เป็นอีกแห่งที่เพิ่งจะเริ่มบานได้ราว
10 % รออีกสักไม่กี่สัปดาห์
นักท่องเที่ยวเดินทางไปช่วงกลางถึงปลายเดือนมกราคมนี้
ก็จะได้เห็นซากุระเมืองไทยเต็มตา โทร. 0 5321 0244 พิกัด https://goo.gl/maps/UXPzNZUkfEg5qD8SA
พิกัดที่ 5
ภูลมโล บ้านกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เริ่มบานได้ 10
% ดอกนางพญาเสือโคร่งที่กกสะทอน
จะบานยาวนานไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ นี้ โทร.06 2557 0912
พิกัด https://goo.gl/maps/LuEHYm5h6e7bMrQ97
พิกัดที่ 6
สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถาน อุทยานแห่งชาติขุนสถาน อำเภอนาน้อย
จังหวัดน่าน เริ่มบานแล้วประมาณ 10% โทร.08 7173 9549, 09 5148 1645 พิกัด https://goo.gl/maps/LjcF4bbGxgz1HKsX9
สุขภาพ -บอกลาปวดเมื่อยเรื้อรัง ด้วย4เคล็ดลับดูแลสุขภาพ“หลัง”
เคยปวดหนึบ ๆ บริเวณ “หลังและคอ” จนทำให้พาลหงุดหงิดไปทั้งวัน ซึ่งอาการเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับคนหนุ่มสาวไปจนถึงผู้สูงอายุ
มีสาเหตุหลักมาจากการใช้หลังไม่ถูกต้อง
หรือมีการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปขณะปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ทั้งยืน เดิน นั่ง
หรือแม้กระทั่งนอน
อาการปวดหนึบ ๆ นั้นอาจหายไปได้เอง
เมื่อกล้ามเนื้อได้รับการผ่อนคลาย แต่ใช่ว่าหายแล้วจะแล้วกัน การเดิน นอน นั่ง
ยกของ ลากของ
และสารพัดท่าทางไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันจะคอยบั่นทอนสุขภาพกล้ามเนื้อให้อ่อนแอลงเรื่อย
ๆ โดยตัวคุณเองก็ไม่รู้ตัว และจะสำแดงเดชอีกครั้งเมื่อคุณมีอาการปวดเรื้อรัง
หรือปวดเฉียบพลัน ก่อนอาการเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้เรา
มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝาก 4
วิธีดังนี้
1.ยกของ ประคองหลัง : ย่อเข่าลงให้ใกล้ของที่จะยกมากที่สุด
จับสิ่งของนั้นให้มั่นคง เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องขณะยกของขึ้น
ห้ามก้มและบิดเอี้ยวขณะยก
2.รถเข็น เซฟหลัง : ใช้รถเข็นช่วยในการเคลื่อนย้ายและหลีกเลี่ยงการก้มตัว
แต่ให้ดันรถเข็นโดยใช้แรงจากกล้ามเนื้อขาและแขน
พร้อมรักษาแนวของหลังให้ตรงขณะดันรถไปข้างหน้า
3.หยิบของในที่สูง : เลี่ยงการเอื้อมหยิบของสุดปลายมือ
ควรใช้เก้าอี้ช่วยเสริมความสูงและเขยิบเข้าไปให้ใกล้กับของที่จะหยิบมากที่สุด
พร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องขณะยก
4.นั่งสบาย คลายปวดหลัง : ควรเลือกนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับแผ่นหลังทั้งหมด
และมีความโค้งรองรับแนวของกระดูกสันหลังช่วงเอว หรือหาหมอนเล็ก ๆ มาหนุนหลัง
ขณะทำงานควรเลื่อนเก้าอี้เข้าใกล้โต๊ะทำงานมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการก้มตัว
และเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
ข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก -นายกฯแอตต้ายันจีนทัวร์ไทยQ1ปี66ไม่เกิน3แสนคน
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว
(ATTA)เปิดเผยว่า
ในฐานะสมาคมที่ดูแลสมาชิกบริษัทตัวแทนนำนักท่องเที่ยวเข้าไทย (inbound)
ได้เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญ เมื่อปี 2562
ก่อนเกิดโควิด-19
นำเงินเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 เมื่อรัฐบาลจีนประกาศให้ชาวจีนกลับมาเดินทางต่างประเทศได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่
8 มกราคม
2566 เป็นต้นไป ระยะแรกจำนวนคนและรายได้อาจจะยังไม่เพิ่มตามกระแส
ประเมินสถานการณ์ไตรมาส 1 ปีนี้ระหว่างมกราคม-มีนาคม 2566
ไม่น่าจะเกิน 300,000
คน ใช้จ่ายเงินเฉลี่ยประมาณ 50,000
บาท/คน/ทริป
ตลอดปีนี้นักท่องเที่ยวจีนอยู่ระหว่าง 5-7
ล้านคน
ทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าเมืองไทยน่าเป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ขึ้นอยู่กับหากจีนเดินทางเข้ามาได้รวดเร็วก็จะได้ถึง 25-27 ล้านคน
ซึ่งทางบริษัทนำเที่ยวของไทยจำนวนหลายร้อยบริษัท
ได้พยายามเพิ่มนำแรงงานเข้าสู่ระบบ จึงขอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือบ้าง
โดยเฉพาะกฎหมายหลายส่วนเป็นเงื่อนไขส่งผลกับบริษัททัวร์ทำงานไม่คล่องตัวเท่าที่ควร
ข่าวที่สอง -คมนาคมปรับใหม่3ท่าเทียบเรือโดยสารท่องเที่ยวเจ้าพระยาปี’66
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์
รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่า เดินหน้าพัฒนาปรับปรุงท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
เพื่อประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้สัญจรทางน้ำ ได้รับความสะดวกสบาย เชื่อมต่อระบบ
ล้อ ราง เรือ ได้อย่างสะดวกและทันสมัย
หลังจากเปิดท่าเรือราชินี – บางโพ
มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนปี 2566 แล้วยังคงเร่งพัฒนาท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา
ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ขณะนี้มีท่าเรือที่คาดจะแล้วเสร็จปี 2566 อีก
3 ท่าเรือ ได้แก่ 1.ท่าเรือพระราม
7 2. ท่าเรือท่าเตียน และ 3. ท่าเรือเกียกกาย
เมื่อแล้วเสร็จเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยโครงสร้างท่าเรือ
ความสะอาดท่าเรือ ความสวยงาม ภาพลักษณ์ที่ดี แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวคนไทยและนานาชาติไปพร้อม
ๆ กัน
ปัจจุบันในแม่น้ำเจ้าพระยามีท่าเรือโดยสารรวม
29 ท่า เป็นอีกช่องการเดินทางสาธารณะที่สามารถช่วยลดปัญหาการคับคั่งทางบก
ลดเวลาการเดินทาง อำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารเชื่อมโยงโดยใช้ทางเรือกับทางบกอย่างสะดวก
เพิ่มศักยภาพการเดินทางหรือท่องเที่ยวแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเชื่อมต่อระบบ รถ ราง เรือ
ด้านคมนาคมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00
น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น