บิ๊กTCEBนำDNAไมซ์ไทยโกยโอกาสใหม่ในตลาดโลกปี66โตแรง
ขาใหญ่พาเหรดงานเอ็กซิบิชั่นอินเตอร์ปักลงทุนเมืองไทย14งาน
ข่าวดี!!เม.ย.นี้อินเซนทีฟ“จีน-อินเดีย”กรุ๊ปละหมื่นคนทะลักไทย
“อัยยวัฒน์”เคลียร์หนี้เลสเตอร์คืนคิงเพาเวอร์ชูอนาคตธุรกิจฉลุย
คิงเพาเวอร์จัดช้อปพิเศษวาเลนไทน์รับกิฟโวเชอร์สูงสุด2พันบาท
สมัครSCARLETคิงเพาเวอร์วันนี้รับสิทธิ์เลาจน์&SPACEได้6ครั้ง/ปี
ททท.นำเอกชนบุกขายSATTE2023ปี’66โกยทัวร์อินเดีย1.4ล้านคน
บางจากควงกทม.ปลูกต้นไม้ล้านต้นนำร่องทำกำแพงกรองฝุ่นพิษ
TCEBผนึกกทม.บูมแบงค็อกดีไซน์วีคบูมขายเทศกาลนานาชาติ
พิกัดทัวร์แพร่นั่งรถรางชมตลาดวัฒนธรรมประตูชัยไนท์มาร์เก็ต
8 อาหารลดคอเลสเตอรอลและลดไขมันในเลือดลดโรคได้ชะงัด
ชาย เอี่ยมศิริ"ลั่นนำบินไทยปี66ลุย4เรื่องหวังทำรายได้โต 40 %
ปี’66ออนิกซ์ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ปรุกขยายพอร์ตโรงแรม8.8พันล้าน
วันเสาร์ที่
11 กุมภาพันธ์ 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #เที่ยวแพร่ #ประตูชัยไนท์มาร์เก็ต
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/iCQVHU078U/
ช่วงที่ 1 โอกาสใหม่ไมซ์ไทยในเวทีโลกกับ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” ปี66ตลาดเอ็กซิบิชั่นทั่วโลกเฮลงทุนในไทย
UFI หนุนเอ็กซิบิชั่นฮับเอเชียด้วย 4 ปัจจัยเด่น “เปิดศูนย์ประชุมใหม่เพียบ-โลจิสติกส์สะดวก-ศูนย์รวมอุตพลังงาน/เครื่องสำอาง-รัฐบาลชู
BCG Model” ภาคธุรกิจเตรียมรับข่าวดี เม.ย.66
เป็นต้นไป “ไมซ์อินเซนทีฟ” หลักหมื่นคน ตลาดจีน อินเดีย ทะลักเข้าไทย ชูใช้ 2H สร้างความมั่นใจด้านปลอดภัย
และได้กำลังซื้อคุณภาพไมซ์อินเตอร์เข้ามาเพียบ
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ปี 2566
ได้เห็นโอกาสไมซ์ไทยในตลาดโลกหลังจากเข้าร่วมงานประชุมGlobal
CEO FORUM 2023 ของสมาคมจัดการแสดงสินค้าโลก หรือ UFI : The
Global Association of The Exhibition Industry เมื่อวันที่ 2-4
กุมภาพันธ์ 2566 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปตุเกส
ซึ่งมีตัวแทนระดับบริหารแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องกับงานจัดนิทรรศการแสดงสินค้าหรือ
“Exhibition” ตัวแทนจากประเทศจากทางเอเชียก็จะมี ไทยโดย
TCEB สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง
เข้าร่วมด้วยล้วนต้องการบุกตลาดเอ็กซิบิชั่นซึ่งมีความสำคัญมาก
ตามยุทธศาสตร์ทางสมาคม
UFI ได้กำหนดเกณฑ์ของประเทศที่จะเข้าร่วมด้วยจะต้องอยู่ในอันดับไม่เกิน
8 ของเอเชีย ซึ่งไทยปัจจุบันหมวดเอ็กซิบิชั่นอยู่อันดับ 7
จึงได้เข้าร่วมประชุมด้วยพร้อมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยและได้พบกับผู้บริหารสูงสุดของบริษัทออร์กาไนเซอร์รายใหญ่ของโลกซึ่งมีไม่กี่ราย
เช่น LEED หรือ Informa รายใหญ่สุด
หรือ DMG ของอังกฤษ ต่างก็แสดงความสนใจจะมาลงทุนในเมืองไทย
ตัวอย่าง
มีออร์กาไนเซอร์พร้อมนำเงินลงทุนดึงเอ็กซิบิชั่นทางด้านพลังงานทำอยู่แล้วทุกปีในตะวันออกกลางขยายมาจัดเพิ่มในเมืองไทย
เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางทางเอ็กซิบิชั่นแห่งเอเชีย
เป็นโอกาสที่ดีในฐานะประเทศที่มีศักยภาพ 4 ปัจจัย ประกอบด้วย
ปัจจัยที่
1 ความพร้อมเรื่องศูนย์ประชุมขนาดใหญ่อย่าง
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค
เมืองทองธานี ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ หรือเซ็นทรัล เวิลด์
และไอคอน สยาม
ปัจจัยที่
2 แต่ละศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ มีระบบโลจิสติกส์
บริการเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน และอื่น ๆ
ปัจจัยที่
3 กำลังเป็นจุดสนใจของกลุ่มธุรกิจพลังงาน
และสินค้าคอสเมติกหรือเครื่องสำอางค์ ปัจจุบันจัดอยู่ที่ฮ่องกง
แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเตรียมย้ายฐานนำงานมาจัดในไทย
ปัจจัยที่
4 หลังไทยประสบความสำเร็จการประชุม APEC FORUM
2022 พร้อมกับประกาศเดินหน้ายุทธศาสตร์ BCG MODEL
ทำให้เกิดแรงดึงดูดเรื่องการเป็นโมเดลทางด้านการลดโลกร้อนรักษาสิ่งแวดล้อม
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
การเข้าร่วมประชุม Global CEO FORUM 2023 ยังได้เห็นสัญญาณไมซ์ในภูมิภาคเอเชียหลังสถานการณ์โควิดตั้งแต่ปี
2566 เป็นต้นไป จะแข่งขันกันสูงมาก
เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนกับฮ่องกงประกาศอัดฉีดแคมเปญดึงตลาดไมซ์กันอย่างเข้มข้นตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นไป
แต่ยังคงมีอุปสรรคเรื่อง “ขาดแคลนแรงงานไมซ์” เช่นเดียวกับไทย
ซึ่งต้องวางแผนกับเอกชนทั้งสมาคมจัดแสดงสินค้านานาชาติ (TEA)
กับหน่วยงานภาครัฐ กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ทำงานร่วมกับออร์กาไนเซอร์
รักษางานเอ็กซิบิชั่นขนาดใหญ่ที่จัดต่อเนื่องในไทยมาตลอดไว้ให้ได้
โดยจะใช้โมเดลงานที่ประสบความสำเร็จอย่าง
“THAIFEX” งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม
ซึ่งทางกรมส่งเสริมการส่งออกจับมือกับออร์กาไนเซอร์ต่างชาติขยายจากงานขนาดกลางเป็นขนาดใหญ่ใช้พื้นที่ทั้งหมดในอิมแพคเมืองทองธานี
ประการสำคัญพัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางงานซื้อขายอุตสาหกรรมอาหาร วัตถุดิบอาหาร
และเครื่องดื่ม เต็มรูปแบบ เช่นเดียวกับ “งานแสดงสินค้าเครื่องสำอาง”
ในฮ่องกงใช้ศูนย์แสดงสินค้าแต่ละครั้งทั้งหมด 7-8 ฮอลล์
หรือ
“งานพลังงาน” ซึ่งคนกำลังโหยหาความรู้เรื่อง BCG เศรษฐกิจชีวภาพหมุนเวียนสีเขียว ซึ่งไทยมีสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ภาคเอกชน ดำเนินการอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นโอกาสที่ทีเส็บเองจะเร่งผลักดันดึงงานพลังงานทางเลือก
Renewable Energy มาจัดในไทย
ขณะนี้ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงานนำงานเอ็กซิบิชั่น
สนใจมาตั้งฐานในเมืองไทยเพราะมียุทธศาสตร์ส่งเสริม BCG Model
ปี 2566 ทีเส็บมีงานเอ็กซิบินระดับนานาชาติรายการใหม่ ๆ
ร่วมกับภาคเอกชนเข้ามาจัดในไทยไม่ต่ำกว่า 14-15 งาน
ส่งผลให้ศูนย์ประชุมเต็มยาว
เพียงแต่จะต้องเลือกงานให้เหมาะกับการส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศเต็มที่
ซึ่งทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเอกชนอื่น ๆ
จะต้องเพิ่มความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ผนวกกับข่าวดี ๆ ทางการท่องเที่ยว
มาตรการความปลอดภัย โดยทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันส่งเสริมภาพลักษณ์เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวพอสมควร
นายจิรุตถ์กล่าวว่าตอนนี้มุ่งเจาะไมซ์ตลาด
“สาธารณรัฐประชาชนจีน” ได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
จะเริ่มหลั่งไหลมาไทยเป็นกลุ่มการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล หรือ Incentive จากบริษัทขายตรงด้านสุขภาพและยาต่อเนื่อง 2 เดือน
เริ่มจาก เดือนมิถุนายน 4 กรุ๊ป
มีนักเดินทางกลุ่มขนาดใหญ่รวมกว่า 12,500 คน และขนาดธรรมดา 2
กรุ๊ป มีนักเดินทางรวม 1,200 คน
เดือนกรกฎาคม 5 กรุ๊ป
จำนวน 15,000 คน
ตลอดปี
2566 ยังมีตลาดอินเซนทีฟกลุ่มประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
เดือนเมษายน บริษัท เมจิก (บริทวอยซ์) จำกัด จากอินเดีย จำนวนกว่า 10,000 คน เดือนตุลาคม 2566 จากเอเชีย แปซิฟิก จำนวนกว่า 2,500-3,000
คน เดือนตุลาคม งานประชุมขนาดใหญ่ AFECA AGM 2023 จาก 19 ประเทศ 155 องค์กร
เดือนพฤศจิกายน กลุ่ม APAC 2,800-3,000 คน และระหว่าง 12-15 พฤศจิกายน งานประชุมใหญ่ TCEB ICCA Congress 2023
ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกว่า 1,000 คน
ปี 2567 มีอินเซนทีฟไมซ์ขนาดใหญ่จากตลาดต่างประเทศมาจัดในไทยเบื้องต้น
2 งาน ได้แก่ เดือนพฤษภาคม งานกลุ่ม APAC จำนวน 10,000 คน และเดือนมิถุนายน
จากตลาดเอเชียเหนือและตะวันออก จากเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน สาธารณรัฐประชาชนจีน อีก
10,000 คน
รวมทั้งจะมีอินเซนทีฟทยอยมาจัดเพิ่มทั้งปีนี้และปีหน้าอีกจำนวนมาก
ส่วนแผนงานรองรับตลาดอินเซนทีฟไมซ์กลุ่มขนาดใหญ่
หลังสถานการณ์โควิด-19
พฤติกรรมนักเดินทางเปลี่ยนไปเน้นการดูแลด้านสุขอนามัยมากเป็นพิเศษ
ทางทีเส็บยังคงยึดร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขทำ 2 H คือ Health
กับ Hygene รวมทั้งขณะนี้ทางรัฐบาลไทยเปิดกว้างให้คนเข้ามาโดยไม่ต้องแสดงผลการฉีดวัคซีน
ยกเว้นเรื่องการตรวจ RT-PCR ก่อนกลับเข้าประเทศ
กับการทำประกันสุขภาพในระหว่างการเดินทางอยู่ในไทย
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
พฤติกรรมไมซ์จีนปรับไปสู่ “คุณภาพ” มากขึ้น แบ่งเป็น กรุ๊ปเอ็กเซ็กคลูทีฟ
จะใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ตั้งแต่ซื้อตั๋วเครื่องบินที่นั่งชั้นธุรกิจจะจองเต็มก่อน
รวมทั้งโรงแรมห้องประเภทพิเศษและพูลวิลล่าก็จองเต็มก่อนเช่นกัน
โดยผู้ใช้บริการคาดหวังจะได้รับบริการอย่างคุ้มค่าเงินที่จ่ายสูงมากด้วยเช่น
ดังนั้นโรงแรมจะต้องช่วยกันหาบุคลากรที่มีคุณภาพมาไว้ต้อนรับไมซ์ไฮเอนด์
เพราะตอนนี้จีนเองได้ลงทุนแปลงโฉมเมืองสิบสองปันนา เป็นศูนกลางไมซ์ ซึ่งไทยจะต้องสร้างความแตกต่างให้ได้เพื่อดึงคนมาไทยแทน
ปัจจุบันที่สนามบินนานาชาติของไทยทำงานกันอย่างเต็มที่ด้วย
สำหรับไมซ์จีนปี
2566 เป็นโอกาสของไทยที่จะได้ตลาดคุณภาพพร้อมใช้จ่ายเงินสูงกว่าก่อนโควิด-19
แล้วก็ต้องการทำกิจกรรมสร้างความประทับใจ
โดยไม่กลับไปสู่ทัวร์จีนศูนย์เหรียญเหมือนอดีตอีกต่อไป
จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันส่งเสริมกันเลือกใช้บริษัทตัวแทนจัดงานและต้อนรับที่มีประสิทธิภาพทำให้ไมซ์จนได้รับความประทับใจกลับไป
เพื่อจะได้เลือกมาจัดงานในไทยซ้ำ ๆ
สร้างเศรษฐกิจให้ประเทศเติบโตอย่างมีคุณภาพทุกปี
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 “อัยยวัฒน์”เคลียร์หนี้เลสเตอร์คืนคิงเพาเวอร์ชูอนาคตธุรกิจฉลุย
นายอัยยวัฒน์
ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง
เพาเวอร์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้จัดการ “แปลงหนี้คงค้าง” ของสโมสรเลสเตอร์
ซิตี้ ให้กับ คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทแม่ซึ่งก่อนหน้านี้มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของสโมสรกู้เงินที่เกี่ยวข้องและดอกเบี้ยทั้งหมด
มูลค่า 194 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 7,800
ล้านบาท ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ได้แปลงหนี้เป็นทุนกลับมาที่
บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (KPI) เรียบร้อยแล้ว
ตามที่
บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ให้เงินยืมดังกล่าวสโมสรยืมเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนก่อสร้างสนามฝึกซ้อมระดับโลกแห่งใหม่ที่ซีเกรฟเมื่อ
4 ปีก่อน ในช่วงจังหวะเกิดโควิด 19 ควบคู่กับการลงทุนต่าง ๆ ของสโมสรรวมถึงทีมฟุตบอลหญิง
ซึ่งสามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของสโมสร
รวมทั้งยังทำให้งบดุลการเงินแข็งแกร่งและช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคตด้วย
สะท้อนเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นของบริษัท คิง เพาเวอร์
ในการสนับสนุนสโมสรเลสเตอร์อย่างยั่งยืนในระยะยาวตั้งแต่ “ครอบครัวศรีวัฒนประภา”
ได้เข้ามาเป็นเจ้าของและบริหารสโมสร ปี 2553 (ค.ศ.2010) แล้วปี 2566 ได้แปลงหนี้เป็นทุนครั้งที่
2 ต่อจากเมื่อปี 2557 (ค.ศ.2013) เกิดขึ้นครั้งแรกโดยแปลงหนี้เป็นทุนมูลค่ารวม 103
ล้านปอนด์
นายอัยยวัฒน์
กล่าวว่า การรักษาความมั่นคงของสโมสรในระยะยาวเพื่อทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน
อันเป็นหลักการขั้นพื้นฐานการลงทุนมาตลอด ซึ่งจะต้องแน่ใจเรื่องเส้นทางที่จะก้าวต่อไปอยู่บนพื้นฐานการเงินอย่างมั่นคงและปลอดภัยที่สุด
และเชื่อมั่นในเลสเตอร์ ซิตี้คือสโมสรที่จะทำให้กับแฟนบอลกับชาวเมืองเลสเตอร์รวมถึงแฟนบอลในไทยและทั่วโลก
ทุกคนได้มอบความรักและความศรัทธาในการบริหารสโมสร ด้วยความรับผิดชอบเป็นแนวทางการตัดสินใจครั้งสำคัญซึ่งจะทำให้มีเวลาสร้างประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรต่อไป
ทั้งนี้เมื่อปี
2010 ครอบครัวศรีวัฒนประภา
ได้เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ และทีมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ อย่างรวดเร็ว
ซึ่งส่งผลให้สโมสรเติบโตจากทีมในแชมเปี้ยนชิพจนก้าวขึ้นสู่การแข่งขันในระดับพรีเมียร์
ลีก ซึ่งครอบครัวศรีวัฒนประภา ได้ดูแลและสร้างความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อย่างการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2016, แชมป์เอฟเอ คัพ และ
คอมมูนิตี้ชิลด์ ในปี 2021 และการเข้าไปแข่งขันในยุโรปถึง 3 รายการ
สำหรับศูนย์ฝึกซ้อมแห่งใหม่ที่ทันสมัยของสโมสรในซีเกรฟ
ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตเลสเตอร์เชียร์ เปิดเข้าใช้งานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020
โดยเป็นศูนย์ฝึกซ้อมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก สำหรับทีมชายของเลสเตอร์
และทีมเยาวชนอะคาเดมี่ที่อยู่ในช่วงพัฒนาฝีเท้าของสโมสร
ในปีเดียวกันเลสเตอร์ได้เปิดตัวทีมหญิง ซึ่งสามารถคว้าแชมป์
และการเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฤดูกาลแรกเมื่อทีมก้าวขึ้นสู่ฟุตบอลอาชีพ
ทั้งนี้กลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ ได้นำสโมสรผลักดันและสนับสนุนกิจกรรมในชุมชนทั่วเลสเตอร์เชียร์ โดยเมื่อปี
2555 (ค.ศ.2012) การจัดตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศล
ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิวิชัย ศรีวัฒนประภา” ตามชื่ออดีตประธานสโมสรที่ชาวเลสเตอร์ชื่นชมและรักเป็นอย่างมาก
เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างมีความสุขต่อไป
ข่าวที่
2 คิงเพาเวอร์จัดช้อปพิเศษวาเลนไทน์รับกิฟโวเชอร์สูงสุด2พันบาท
คิง เพาเวอร์
ชวนมาเลือกช้อปของขวัญสุดพิเศษ “วาเลนไทน์” ให้คนพิเศษของทุกคน พร้อมรับโปรโมชันดี
ๆ วันนี้- 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่
คิง เพาเวอร์ รางน้ำ พัทยา ภูเก็ต และศรีวารีทุกวันเสาร์-อาทิตย์ สามารถรับ Gift Voucher จากทุกสาขาสูงสุดวันละ
2,000 บาท/คน ดังนี้
1.รับ
Gift Voucher 400 บาท เมื่อช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ)
หรือ
2.รับ
Gift Voucher 2,000 บาท เมื่อช้อปครบ 30,000 บาทขึ้นไป
(สุทธิ) 3.รับ
2,000 กะรัตรีวอร์ด เมื่อช้อปครบ
50,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ)
ส่วนแบรนด์
“มหานคร MAHANAKHON” มอบความพิเศษด้วยเช่นกันกับแคมเปญ
อHAPPY VALENTINE'S DAY ชวนมาช้อปสินค้าแบรนด์มหานคร
พร้อมโปรโมชันพิเศษ ฉลองเดือนแห่งความรัก ตั้งแต่วันที่
1-28 ก.พ. 66 ที่คิง
เพาเวอร์ทุกสาขา เมื่อซื้อสินค้าครบ
3,500 บาท รับฟรี! Foldable Travel Bag 1
ชิ้น ไปได้เลย
ข่าวที่
3 สมัครSCARLETคิงเพาเวอร์วันนี้รับสิทธิ์เลาจน์&SPACEได้6ครั้ง/ปี
วันนี้
!! เพียงเป็นสมาชิก คิง เพาเวอร์ SCARLET รับความสะดวกสบายขั้นสุด กับสิทธิ์การเข้าใช้บริการที่ KING POWER
LOUNGE และ KING POWER SPACE ได้ถึง 6 สิทธิ์
/ ปี
สมัครง่าย
ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา หรือสมัครทางออนไลน์ผ่าน LINE
Official Account : @KINGPOWER สมัครได้ตลอดทั้งปี ตั้งแต่วันนี้ –
31 ธ.ค. 66
ตรวจสอบการให้บริการก่อนเข้ารับบริการที่
Contact Centre 1631 เนื่องจากตอนนี้ KING POWER
LOUNGE ที่ Downtown Stores และสนามบินดอนเมือง
กับ THE ATLAS CLUB ยังไม่เปิดให้บริการ
ส่วนการใช้สิทธิ์เพื่อรับบริการ
คิง เพาเวอร์ สเปซ จะนับจำนวนทุกครั้งรวมทุกสาขา โดยสมาชิกทุกประเภทใช้ได้สูงสุดไม่เกิน
1 สิทธิ์/ ครั้ง/ วัน พร้อมผู้ติดตามได้อีกครั้งละ 1 คน ไม่เกิน 1 สิทธิ์/ ครั้ง/ วัน
เมื่อสมาชิกที่ใช้สิทธิ์ครบตามเงื่อนไขแล้ว
ยังสามารถใช้กะรัตแลกรับสิทธิ์เข้าใช้บริการได้
โดยเงื่อนไขเป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับกะรัตสะสมที่ได้รับอนุมัติ
“สิทธิประโยชน์อื่น
ๆ ” สมาชิก คิง เพาเวอร์ มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดจากการซื้อสินค้าในร้านค้าปลอดอากร
ร้านจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขาตามสิทธิประโยชน์ที่ระบุ
โดยแสดงหลักฐานทุกครั้ง เพื่อรับส่วนลด และสิทธิพิเศษต่าง ๆ บัตรมีอายุ 2 ปี
รับสิทธิ์ฉลองวันเกิดเป็นเครดิตเงินคืน
25% จำนวน 2 ชิ้น ( สิทธิ์ละ 1 ชิ้น) หรือแยกใช้สิทธิ์วันเกิด รับเครดิตเงินคืน
เข้าบัญชีสมาชิก 25% ของมูลค่าสินค้า เมื่อซื้อสินค้าหนึ่งชิ้นในราคาปกติช่วงเดือนเกิดได้ถึง
2 สิทธิ์ ใช้ซื้อได้ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา สิทธิ์นี้มีอายุ 3 เดือน
นับแต่เดือนเกิดของสมาชิก โดยซื้อครั้งเดียวที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา
อีกทั้ง
“บัตรสมาชิก” ยังใช้ซื้อสินค้า Duty Free, Duty
Paid, Home Delivery ยกเว้นสินค้าแผนกเหล้าและบุหรี่
และสินค้าที่ไม่ร่วมรายการ
ข่าวที่ 4 ททท.นำเอกชนบุกSATTEปี’66หวังโกยทัวร์อินเดีย1.4ล้านคน
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า นำเอกชนไทยกว่า
40 ราย เข้าร่วมมหกรรมขายการท่องเที่ยวในงาน
South Asia Travel and Tourism Exchange
(SATTE) 2023 ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2566 ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
เน้นส่งเสริมตลาดด้วยโครงการ Soft
Power of Thailand ตามแคมเปญการตลาด “Visit Thailand Year
2023 : Amazing New Chapters” ตั้งเป้าหมายปี 2566 จะนำเข้านักท่องเที่ยวอินเดียมาเมืองไทยให้ได้เกินกว่า 1.4 ล้านคน สถิปี 2565 ใช้จ่ายเงินเฉลี่ยรวม 35,240 บาท/คน/ทริป มีวันพำนักเฉลี่ยในไทย
7.23 คืน/คน/ทริป
ด้วยศักยภาพของงาน South Asia Travel and Tourism Exchange (SATTE)
2023 เป็นมหกรรมขายทางการท่องเที่ยวรายการใหญ่และสำคัญที่สุดในอินเดีย ปี 2566 จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่
30 และ ททท.เข้าร่วมเป็นครั้งที่ 14 โดยได้ลงทุนเช่าพื้นที่ตกแต่งคูหาประเทศไทยขนาด
300 ตารางเมตร ร่วมกับสายการบินพันธมิตรทั้งการบินไทย และไทยสมายด์ พร้อมทั้งมีผู้ประกอบการภาคเอกชนไทยร่วมขายอยู่ด้วยกันกว่า
40 ราย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 ธุรกิจโรงแรม 20 ราย
กลุ่มที่ 2 บริษัทนำเที่ยวและการจัดการภาคพื้นดิน (DMC)
12 ราย กลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการ 8 ราย กลุ่มที่ 3 สมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว
5 ราย กลุ่มที่ 4 สมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต 5 ราย แต่ละกลุ่มพร้อมใจกันนำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวเจาะตลาดอินเดียตามเซกเมนท์ที่แตกต่างกันเพื่อเดินทางเข้ามาใช้จ่ายเงินในเมืองไทยให้ได้มากที่สุดตลอดปี
2566
ขณะเดียวกันในงาน
SATTE 2023 มีกิจกรรมไฮไลต์การเปิดเจรจาธุรกิจทางการท่องเที่ยว
(B2B :Business to Business) ระหว่างตัวแทนผู้ซื้อและผู้ขายจากทั่วโลก ททท. ได้ใช้เวทีเจรจาธุรกิจเดินหน้าลุยการตลาดและส่งเสริมการขายร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวอินเดีย
คาดจะมียอดนัดหมายเพื่อจับคู่ธุรกิจ (appointment) ไม่ต่ำกว่า
3,000 นัดหมาย
เมื่อวันที่
8 กุมภาพันธ์ 2566 ททท.
กับพันธมิตรอินเดียและไทย จัดงาน ยังได้จัดงาน “A Million Thanks : Amazing
Thailand Night Reception” ที่โรงแรมลีลาพาเลซ กรุงนิวเดลี เพื่อแสดงความขอบคุณคู่ค้าในอินเดียในฐานะพันธมิตรและผู้สนับสนุนการท่องเที่ยวไทยเติบโตต่อเนื่องมาตลอด
พร้อมกับฉลองโอกาสใหญ่ที่ไทยมีนักท่องเที่ยวได้เดินทางมาเยือนเกิน 1 ล้านคน หลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 จนถึงเดือนมกราคม 2566
ดร.ยุทธศักดิ์
ยืนยันว่า อินเดียเป็นตลาดท่องเที่ยวหลักที่สำคัญของไทยมาโดยตลอด เมื่อปี 2565 มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกรวมทั้งหมด
11.15 ล้านคน ในจำนวนนี้ มีนักท่องเที่ยวอินเดียรวมอยู่ด้วยถึง 997,913 คน ติดอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย อินเดียเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทางอากาศ
(Air Travel) มากที่สุด โดยใช้จ่ายเงินเฉลี่ยรวม 35,240 บาท/คน/ทริป มีวันพำนักเฉลี่ยในไทย 7.23 คืน/คน/ทริป
ตลอดปี
2566 ททท.เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศที่วโลกในภาพรวมด้วย
3 กลยุทธ์หลักได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 ยกระดับอุปทานและมาตรฐานความยั่งยืน
กลยุทธ์ที่ 2 สร้างความตระหนักรู้ในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่นคำนึงถึงความสำคัญของการเป็นเจ้าบ้านมีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้มาเยือนทุกคน
กลยุทธ์ที่ 3 ประชาสัมพันธ์ Soft Power of Thailand แคมเปญ “Visit Thailand Year 2023: Amazing New Chapters” เน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงและยั่งยืนในเมืองไทย
เพื่อนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความหมายแก่นักท่องเที่ยว
(Meaningful Travel)
เพื่อทำให้ปีนี้ทั่วโลกเดินทางเที่ยวเมืองไทยครบตามเป้าหมาย 25 ล้านคน
ข่าวที่ 5 บางจากควงกทม.ปลูกต้นไม้ล้านต้นนำร่องทำกำแพงกรองฝุ่นพิษ
นางกลอยตา ณ ถลาง
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในฐานะประธานสภาคนเมืองเขตพระโขนง ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายโดยนายชาตรี วัฒนเขจร
รองปลัดกรุงเทพมหานคร นางสาววรุณลักษณ์ พลหาญ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพระโขนง ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพระโขนง
ผู้บริหารและพนักงานบางจากฯ เริ่มโครงการ “ปลูกต้นไม้ล้านต้น” ตามนโยบายนายชัชชาติ
สิทธิพันธุ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง
จึงได้ร่วมกันปลูกต้นทองอุไร 100 ต้น
และเทน้ำหมักชีวภาพเพื่อปรับปรุงสภาพน้ำในคลองบางอ้อ และพื้นที่ริมคลองบางอ้อ
ซอยสุขุมวิท 64
ซึ่งกลุ่มบางจากฯ
ได้ตระหนักถึงการเป็นผู้ริเริ่มลดฝุ่นในหลายรูปแบบ พร้อมกับทั้งโครงการต่อเนื่องมาตลอดโดยเฉพาะการเลือกผลิตสินค้าด้านพลังงานที่เน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ
รวมทั้งยังได้ก่อตั้ง Carbon Markets Club เพื่อส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
และร่วมก่อตั้งภาคีเครือข่ายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งอนาคต SynBio Consortium พร้อมกับปูพรมให้ความรู้ในหลายภาคส่วนทั่วประเทศควบคู่กันไปด้วย
สำหรับการนำร่องโครงการ
“ปลูกต้นไม้ล้านต้น” ขานรับนโยบายกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่เขตพระโขนง ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก
นายธรรมรัตน์ ประยูรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมัน
บริษัท บางจากฯ ร่วมหารือเกี่ยวกับ
โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ที่ว่างบริเวณริมคลองบางอ้อ ซอยสุขุมวิท 64 บริเวณด้านหน้าโรงกลั่นน้ำมันบางจากด้วย
ล่าสุดบางจากฯ
ได้พัฒนากลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ เน้นการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านการถือหุ้นใน
OKEA ASA ประเทศนอร์เวย์ โดยได้การยอมรับถึงเรื่องมาตรฐานด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
ผนวกกับมี “สถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ-BiiC” เป็นผู้ลงทุน
Corporate Venture Capital ในธุรกิจใหม่ ๆ
ทั้งในและต่างประเทศ ช่วยขับเคลื่อนสร้างระบบนิเวศนด้วยนวัตกรรมสีเขียว
ส่งเสริมและผลักดันนวัตกรรมสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสีเขียวและผลิตภัณฑ์ชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพต่อประเทศไทยทั้งปัจจุบันและอนาคต
ขณะเดียวกันบางจากฯ
ยังได้รับการประเมินจาก S&P Global ผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี Dow
Jones Sustainability Indices หรือ DJSI โดยได้รับ
S&P Global Sustainability Award 2022 ระดับ Silver
Class และได้รับการประเมิน MSCI ESG Rating ระดับ
AA ถือเป็นระดับสูงสุดขององค์กรธุรกิจพลังงานในไทย ต่อเนื่องตั้งแต่ปี
2561 ภายใต้การตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon
Neutrality) ได้ประสบความสำเร็จภายในปี 2573 (ค.ศ.
2030) และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero
GHG Emission) อย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
ข่าวที่
6 TCEBผนึกกทม.บูมแบงค็อกดีไซน์วีคบูมขายเทศกาลนานาชาติ
ดร.
อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
และประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ทีเส็บ เปิดเผยว่า
ได้นำทีเส็บเข้าร่วมสนับสนุน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2566 หรือ Bangkok Design Week 2023 :BKKDW2023 ตั้งเป้าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 75,000 คน
และสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 100-200 ล้านบาท
การจัดงาน
Bangkok Design Week 2023 เป็นเทศกาลใหญ่หนึ่งในพันธกิจที่ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน)
มุ่งมั่นที่จะช่วยทุกพื้นที่ในเมืองไทยยกระดับงานเทศกาลให้เป็นกิจกรรมส่งเสริมการขายในตลาดระดับนานาชาติ
หรือ International Festival
ส่วนงาน
BKKDW 2023 ยังสามารถไปเยี่ยมได้ช่วงเสาร์ที่ 11–
12 กุมภาพันธ์ นี้ ภายใต้ธีม "Urban 'NICE' zation เมือง – มิตร – ดี"
เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับนักสร้างสรรค์ในการนำเสนอแนวคิดในการ
"ทำเมืองให้ดีขึ้น"
เป็นการสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ทุกคนมาร่วมกันพัฒนากรุงเทพฯ
โดยงานจัดขึ้นในพื้นที่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์กว่า15
ย่านทั่วกรุงเทพฯ อาทิ ย่านเจริญกรุง – ตลาดน้อย อารีย์– ประดิพัทธ์ สามย่าน พร้อมพงษ์ พระนคร บางโพ คลองสาน และพื้นที่อื่น
ๆ
หนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจคือการร่วมมือกับ
Casetify ซึ่งเป็นบริษัทชื่อดังด้านการออกแบบผลิตเคสโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากฮ่องกง
ได้คัดเลือกศิลปินชาวไทยจำนวน 10 คน
ให้ออกแบบเคสโทรศัพท์ลายพิเศษในช่วงงานเทศกาลฯ ที่จะมีขายในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น
ช่วงที่ 2 พิกัดเที่ยวจังหวัดแพร่รับปีเถาะ นั่งรถรางชมตลาดนัดวัฒนธรรม “ประตูชัย
ไนท์มาร์เก็ต” ได้ทุกวันอาทิตย์ วันนี้จนถึง 16 เม.ย.2566 แล้วมาฟัง “8อาหาร” ลดคอเรสเตอรัลและไขมันในเลือด
พร้อมกับข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “ชาย เอี่ยมศิริ” ซีอีโอใหม่บินไทยลั่นปี66ทำรายได้โตอีก 40 % ข่าวที่สอง
“ออนิกซ์ฮอสพิตาลิตี้กรุ๊ป” ขยายพอร์ตโรงแรมเพิ่ม 8,800 ล้านบาท
ท่องเที่ยว-
เปิดพิกัดทัวร์แพร่นั่งรถรางชมตลาดวัฒนธรรมประตูชัยไนท์มาร์เก็ต
เที่ยวเหนือช่วง
3 เดือนนี้ แนะนำพิกัดใจกลางเมืองแพร่ นั่งรถรางชมเมืองกับประสบการณ์ดี
ๆ ที่ตลาดวัฒนธรรม “ประตูชัย ไนท์มาร์เก็ต” ทุกเย็นวันอาทิตย์ ณ กาดเมกฮิม
ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 16 เมษายน 2566 ทางเทศบาลเมืองแพร่
จัดรถรางไว้บริการนักท่องเที่ยวยามเย็นวันละ 4 รอบ รอบละประมาณ
20 นาที เริ่ม 17.30-17.50 น. เวลา
18.00-18.20 น. เวลา 18.30-18.50
น.
เวลา 19.00-19.20 น. โทร.สอบถามได้ที่
054 511 060 ต่อ 302
ตอนนี้ชาวเมืองแพร่ได้เปิด
“ประตูชัย…ไนท์มาร์เก็ต” ปี 2566 ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกวันอาทิตย์ 12 ครั้ง เพื่อให้ได้ชมตลาดสินค้าทางวัฒนธรรม
อาหารพื้นถิ่น เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เฟอร์นิเจอร์ งานคราฟท์ ลานการแสดง
พื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน นิทรรศการภาพเก่า
บ้านเก่าและเมืองเก่าจังหวัดแพร่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาการตลาดอย่างยั่งยืน
ก้าวสู่เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอนาคตอันใกล้นี้
โดยใช้ความรู้และนวัตกรรมผนวกกับจุดแข็งทางด้านความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ
วัฒนธรรม วิถีชีวิต
สร้างคุณค่าให้กับสินค้าและบริการด้านกาการจำหน่ายสินค้าของชุมชน เช่น
อาหารและสินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้า ของฝาก ของที่ระลึก เครื่องเงิน ผักปลอดสาร
งานจักสาน ของตกแต่งบ้าน, การจัดตลาดสินค้าทางวัฒนธรรม
การสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย เช่น การจำหน่ายผ้าซิ่นตีนจก
งานสานกุ๊บ การสาธิตการย้อมผ้า โดยมีบริการรถรางนำชม ได้แก่
เส้นทางที่
1 : กำแพงเมือง กาดเมกฮิมคือ (จุดเริ่มต้น – จุดสิ้นสุด) ประตูชัย -คุ้มเจ้าหนานไชยวงศ์ผ่านกำแพงเมือง
(เมกหวาก) คุ้มวิชัยราชา ศาลหลักเมือง คุ้มเจ้าหลวง วัดหัวข่วง ประตูยั้งม้า
ประตูใหม่ ช่วงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 12 มีนาคม 2 เมษายน 2566
เส้นทางที่
2 : เริ่มที่ ประตูชัย คุ้มเจ้าหนานไชยวงศ์
ผ่านกำแพงเมือง (เมกหวาก) คุ้มวิชัยราชา ศาลหลักเมือง คุ้มเจ้าหลวง วัดพระบาท
กำแพงเมือง สิ้นสุดตรง กาดเมกฮิม วันที่ 26 กุมภาพันธ์,
19 มีนาคม, 9 เมษายน 2566
ส่วนไฮไลต์ในตลาดแต่ละครั้งจะกิจกรรมการประกวดอีกหลากหลาย
ตัวอย่าง วันที่ 5 มีนาคม ประกวดรำวงย้อนยุค วันที่ 26 มีนาคม ประกวด Cover Dance วันที่ 16 เมษายน
ประกวดตีกลองบูชาสร้างทางเลือกของประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับนักท่องเที่ยว
ไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นตลอดงานนี้
คือ เด็กและเยาวชน ศิลปิน เครือข่ายทางวัฒนธรรม จะได้มีพื้นที่สร้างสรรค์ผลงานทำกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ
เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้
รวมทั้งเพิ่มบทบาทในการเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวทุกคน
สุขภาพ
-8 อาหารลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเลือดลดโรคได้ชะงัด
คอเลสเตอรอล
คือ ไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างเองได้ และจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ต่างๆ
ในร่างกาย โดยจะพบได้ตรงผนังของเซลล์ และจัดเป็นไขมันที่สำคัญที่ร่างกายต้องการ
โดยปกติแล้วคอเลสเตอรอลจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.คอเลสเตอรรอลชนิดที่ดี High-Density Lipoprotein (HDL) : ทำหน้าที่ช่วยป้องกันการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่จะมาเกาะตามผนังหลอดเลือด
ทำให้ไม่เป็นหลอดเลือดตีบและช่วยนำคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีเดินทางไปยังตับเพื่อทำลาย
2.คอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี Low-Density Lipoprotein (LDL) : จัดเป็นคอเลสเตอรอลที่อันตรายหากมีมากเพราะจะเกาะตัวตามผนังหลอดเลือด
ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ
ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายทำงานได้ลำบากมากขึ้นและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ
อีกด้วย
การลดระดับคอเลสเตอรอลสำหรับผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงนั้น
สามารถทำได้ทั้งการกินยาและการควบคุมอาหารค่ะ ซึ่งอาหารที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นควรต้องเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี
เพื่อเพิ่มระดับ HDL ให้กับร่างกาย
และควรต้องเป็นอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัว
ซึ่งอาหารที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้นั้น มีดังนี้
1.ถั่วและอาหารที่ทำจากถั่ว เช่น เต้าหู้ จัดเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี
ใยอาหารสูงและมีไขมันน้อย รวมถึงยังมีแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญกับร่างกาย
ช่วยบำรุงหัวใจ ลดไขมันชนิดเลว ลดคอเลสเตอรอลได้ กินถั่วไว้ที่วันละ 1
กำมือไม่ควรเกินกว่านั้น และควรสลับกินถั่วหลาย ๆ ประเภท
2.
อะโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันดีซึ่งจำเป็นต่อการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายและยังเป็นอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัว
ช่วยลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอลได้
รวมถึงยังจัดเป็นอาหารลดน้ำหนักที่คนกินคีโตก็สามารถกินได้ด้วยเนื่องจากมีคาร์บต่ำ
น้ำตาลต่ำ โปรตีนสูง ช่วยลดพุงและลดน้ำหนักได้
3. ผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือก
เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่ จัดเป็นผลไม้ที่เหมาะกับการกินเพื่อลดคอเลสเตอรอล
เนื่องจากในเปลือกผลไม้เหล่านี้นั้นมีกากใยอาหารสูง น้ำตาลต่ำ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบย่อยอาหาร
รวมถึงวิตามินที่มีอยู่มากในเปลือกผลไม้เหล่านี้สามารถช่วยลดระดับไขมันได้ดี
4.
ส้มโอ จัดเป็นผลไม้ที่ช่วยลดไขมันในเลือดและช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
เนื่องจากเอนไซม์ในส้มโอมีส่วนช่วยอย่างมากในการเผาผลาญไขมัน
ทำให้ไขมันถูกกำจัดได้ง่ายขึ้น
5.
กระเทียม -พืชสมุนไพรคู่ครัวคนไทยอย่างกระเทียมนั้น คือตัวช่วยชั้นดีในการลดไขมันในเลือดและลดคอเลสเตอรอล
เนื่องจากสารอัลลิซิน (Allicin) แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและโรคอื่นๆ
ได้
6.
มะเขือยาว -สามารถช่วยลดการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด
โดยทำหน้าที่ช่วยดูดซึมคอเลสเตอรอลค่ะ การกินมะเขือยาวจึงช่วยลดไขมันในเลือด
ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่ควรเลี่ยงมะเขือยาวแบบทอด เพราะจะไปเพิ่มไขมันอิ่มตัวเปลี่ยนเป็นการกินมะเขือยาวย่างจะดีกว่า
7.น้ำชา
-ทั้งชาเขียว ชาอู่หลง ชาดำ
ขอเพียงเป็นชาที่ไม่ผสมน้ำตาลก็สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดไขมันในเลือดได้
เนื่องจากในใบชามีสารคาเทชิน (Catechins) และสารควอซิทิน (Quercetin) ซึ่งช่วยในการลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล
รวมถึงช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบได้ด้วย
8.ปลาทะเล
โอเมก้า-3 ในปลาทะเลมีส่วนช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้ รวมถึงอุดมด้วยไขมันดีที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
ลดไขมันในเลือด แนะนำให้กินเป็นประจำ คือ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน
หรือปลาทูที่กินกับน้ำพริกแบบไทย นั้นก็ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่หลีกเลี่ยงกินปลาทูทอด
แล้วกินแบบ ย่าง-นึ่ง-ต้ม จะดีกว่า
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก -"ชาย เอี่ยมศิริ"ลั่นนำบินไทยปี66ลุย4เรื่องทำรายได้โต40%
นายชาย
เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหนาที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ในฐานะคนทำงานอยู่การบินไทยมานานกว่า 38
ปี
กระทั่งได้รับคัดเลือกเป็นซีอีโอได้ตั้งทีมทำงานระยะเร่งด่วนเเข้ามาเสริมทัพปี 2566
ตั้งเป้าหมายจะนำความสำเร็จด้วยการ "สร้างความมั่นใจ"
ให้กับแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนำการบินไทยก้าวสู่ความยั่งยืน
กลับมาผงาดเป็นสายการบินแห่งชาติในตลาดโลกให้ได้อีกครั้ง
เพราะอุตสาหกรรมการบินหลังสถานการณ์โควิด-19 แอร์ไลน์สนานาชาติรายอื่น
ๆ ยังคงมองการบินไทยเป็นคู่แข่งอยู่ตลอดเวลาด้วยศักยภาพรอบด้าน
เมื่อได้เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอคนใหม่อย่างเป็นทางการจะเดินหน้าสร้างความสำเร็จในปี
2566 ให้ปรากฏชัดเจน 4 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
เรื่องที่ 1 จะสร้างรายได้การบินไทยติบโตเพิ่มขึ้นอีก
40 % จากปี
2565 ซึ่งทำรายได้ไว้รวมที่ 90,000 ล้านบาท
รายได้ตามเป้าหมายใหม่จะมาจาก 3 ปัจจัยหลัก
ได้แก่
ปัจจัยแรก-
เพิ่มที่นั่งฝูงบินอีก 17 ลำ จะทำให้มีฝูงบินเบื้องต้น 58 ลำโดยใช้ 3 ช่องทาง คือ 1.ปรับปรุงเครื่องบินเก่าที่มีอยู่ในฝูงนำการปรับปรุงใช้ใหม่เป็นแอร์บัส
A330 กับ 777-200ER รวม 8 ลำ 2.เช่าดำเนินการ(ไม่ได้ซื้อ)
เครื่องบินแอร์บัสA350 รวม 6 ลำ และ 3.เจรจาเช่าเครื่องลำตัวกว้าง 3 ลำ
จะทยอยรับมอบได้สิ้นปี 2566 ตามขั้นตอนการนำเครื่องบินเข้าฝูงโดยทยอยยื่นให้ทางกระทรวงคมนาคมอนุมัติ
จากนั้นจึงยื่นจดทะเบียนแล้วนำมาใช้บริการผู้โดยสารต่อไป
ปัจจัยที่ 2- พร้อมกับเพิ่มจำนวนที่นั่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
(capicity) ด้วยฝูงบินทั้งหมดตลอดปีนี้ 58 ลำ (ปัจจุบัน 49+กำลังเข้ามาใหม่ 9 ลำ)
ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนด้วยกาปรับปรุงโครงสร้างบุคลากรซึ่งทำมาตั้งแต่แรกที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการคือลดลดบุคลากรลงครึ่งหนึงจากเดิมกว่า
30,000 คน ปัจจุบันเหลือประมาณ 15,000 คน
พร้อมทั้งใช้ศักยภาพทำตลาดการขายตั๋วโดยสารอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่ 3- ขยายเครือข่ายเส้นทางบินในต่างประเทศ
ทั้งระยะใกล้(shorthaul) และบินไกลข้ามทวีป (Intercontinental)
ตั้งเป้าเพิ่มอัตราการบบรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย(Cabin factor) เกิน 80%
ตามที่ นายกรกฏ
ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บมจ.การบินไทย กล่าวว่า ปี 2565 การบินไทยทำอัตราการบรรทุกผู้โดยสารรวมได้สูงถึง 85% หลังจากไทยและทั่วโลกเปิดประเทศเริ่มกรกฎาคม 2566 เที่ยวบินจากทางยุโรป
ออสเตรเลีย ดีมาก ปี 2566 ความต้องการเดินทางหรือดีมานต์หดตัวเล็กน้อย
ทำให้อัตราพักเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80 %
ซึ่งปัจจุบันการบินไทยมีส่วนแบ่งผู้โดยสารจากในเที่ยวบิน
1.ตลาดยุโรป 40 % 2.ตลาด เอเชียเหนือ
30-35 % กรณี สาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดประเทศ
การบินไทยเร่งเปิดบินแล้ว 5 เมืองหลัก
ด้วยจำนวนเที่ยวบินในแต่ละสัปดาห์ ด้แก่ ปักกิ่ง 3 เที่ยว
เซี่ยงไฮ้ 4 เที่ยว กวางโจว คุนหมิง เฉินตู จากเดิมเคยบินรวม 8 เมือง แต่ตอนนี้จะบิน 5 เมือง เน้นเพิ่มความถี่เป็นหลัก ก็จะเท่ากับยุโรป ภายในต้นเดือนมีนาคม 2566 จะเพิ่มึวามถี่เที่ยวบินเข้าสู่จีน
เป็น สัปดาห์ละ 45 เที่ยวขึ้นไป
เช่นเดียวกับการทยอยเพิ่มความถี่เที่ยวบินญี่ปุ่น
และ 3.เอเชียใต้ การบินไทยมีส่วนแบ่งผู้โดยสาร 10%
ในเส้นทาง อินเดีย บังกลาเทศ กับตะวันออกกลาง
ที่จะเป็นพื้นที่เชื่อมเครือข่ายเส้นทางบินต่อไปยังจุดบินอื่น ๆ
เรื่องที่ 2 จะนำการบินไทยทำผลการดำเนินงานดีกว่าในแผนฟื้นฟูกิจการเดิมเคยระบุปี
2565 จะติดลบหรือขาดทุนประมาณ
6,500 ล้านบาท
แต่ผลการดำเนินงานที่จะประกาศภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์ นี้
เป็นตัวเลขที่ดีกว่าในแผนอย่างแน่นอน เป็นรายได้จากการบินโดยตรง (Aero)
90% และกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบิน (Non Aero) อีกประมาณ 10% ( ประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท) จากครัวการบิน บีการขนสัมภาระกระเป๋าผู้โดยสารสนามบิน
โดยไม่รวมบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ (cargo)
ผลจากการหารือร่วมกับหลายฝ่ายแนวโน้มในอุตสาหกรรมการบินโลก
ทางฝั่งดีมานต์หรือผู้โดยสาร เติบโตโดยไม่ทีปัญหา
แต่ฝั่งซัพพลายหรือการเพิ่มฝูงบินของสายการบินต่าง
ๆกำลังเผชิญปัญหาเพราะเครื่องบินในตลาดมีจำนวน้อย รวมทั้งต้นราคาน้ำมันเครื่องบินสูง
ราคาขายตั๋วเครื่องบินจึงต้องขยับสูงตามต้นทุนจริงในแต่ละเส้นทางบิน
เรื่องที่ 3 จะนำการบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูกิจการให้ได้เร็วกว่ากำหนด
อาจจะขยับจากเดิมระบุจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ในปลายปี 2567 แล้วจากนั้นต้นปี 2568
จะนำการบินไทยกลับเข้าไปเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใหม่อีกครั้ง
ตามเงื่อนไขอย่างถูกต้อง โดยสามารถทำกำไรให้ได้เล็กน้อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก
โดยได้เดินหน้าทำตามแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยตอนนี้ดำเนินการได้เข้าเป้าหมาย
70-80 % แผนการขายหุ้น PO กับการแปลงหนี้เป็นทุน (Hair
cut) มีดังนี้
1.ต้องรอทางกระทรวงการคลังตัดสินใจในฐานะผู้ถือหุ้นเดิมถึงแนวทางเรื่องราคาที่
evaluation ขณะนี้ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
เมื่อเพิ่มทุนเสร็จเรียบร้อยแล้วกระทรวงการคลังจะถือหุ้นโดยตรงรวมทั้งหมด 33%
+ กับมีหน่วยงานรัฐอื่นถือร่วมด้วย 10 %
2.การแปลงหนี้เป็นทุน (hair cut) รวม 24.5%
ในราคาขายมูลค่า 2.54 บาท/หุ้น
ส่วนหุ้นที่เหลือจะใช้สิทธิซื้อได้มากกว่านั้นก็ได้ ตัวอย่าง หากยังมีเหลืออยู่ 5,000
ล้านบาท ก็สามารถใช้สิทธิ์ตามาสัดส่วนที่ถืออยู่
ซึ่งทางผู้บริหารการบินไทยเข้าใจเป็นอย่างดีในหลักการดำเนินธุรกิจหากการแปลงหนี้เร็ว
เจ้าหนี้ก็เสียประโยชน์ เพราะไม่ได้ดอกเบี้ย
3.การหาสินเชื่อใหม่เข้ามาเพิ่ม มี 2วิธี คือ
นำหลักทรัพย์ไปค้ำประกันกับการใช้เครดิตไลน์ กับทางสถาบันการเงิน (OD) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีกว่าแบบแรกเพราะหากไม่นำเงินมาใช้ก็จะไม่เสียดอกเบี้ย
ตามไทม์ไลน์
การบินไทยเคยกำหนดจะต้องหาสินเชื่อใหม่รวม 25,000
ล้านบาท แยกเป็น 1.เงินสดจากพันธมิตรเป็นสินเชื่อใหม่หรือ
Term loan 13,000 ล้านบาท ซึ่งวันนี้ไม่ต้องการเงินสดมากนัก
2.เครดิตไลน์ 12,000 ล้านบาท
อีกทั้งตอนนี้การบินไทยมีปัจจัยสนับสนุนเชิงบวก
ประกอบด้วย 1.ยังสภาพคล่องเงินสดอยู่ในมือกว่า 30,000 ล้านบาท
จากเดิมปี 2564 มีเพียง 6,000 ล้านบาทเท่านั้น
2.ยังทรัพย์สินในประเทศมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท คือ สำนักงานใหญ่การบินไทยถนนวิภาวดี
และที่ดินอาคารครัวการบินสนามบินดอนเมือง กับสำนักงานขายในต่างจังหวัดที่ภาคเหนือ 2
แห่ง คือ เชียงใหม่ พิษณุโลก ส่วน "ต่างประเทศ" ยังมีสินทรัพย์เหลืออยู่ใน
ลอนดอน จาร์กาต้า(อินโดนีเซีย) ปีนัง (มาเลเซีย) ฮ่องกง
เรื่องที่ 4 แผนการจัดหาฝูงบิน
จะเดินหน้าทำคู่ขนานกัน 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 จัดหาฝูงบินระยะยาว 3-5 ปีหน้า ระหว่าง 2568-2570 โดยใช้กระบวนการ
"เช่าซื้อ" จะได้ราคาถูกกว่า แต่กรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี
แต่ถ้าบริษัทยังต้องระวังการใช้จ่ายก็จะใช้วิธีเช่าดำเนินการเพื่อให้ได้เครื่องเจนเนอเรชั่นที่สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด
ส่วนที่ 2 เสนอขายฝูงบินที่ไม่สามารถใช้งานได้
เบื้องต้นมี 22 ลำ เช่น แอร์บัส A380 (อายุใช้งาน10-12ปี) 6 ลำ กับ แอร์บัส A340 (อายุใข้งาน
17ปี) 4 ลำ และ โบอิ้งB777-200/300 (อายุใช้งาน 20 ปี) รวมกัน 12 ลำ ปัจตุบัน BOOK VALUE ของรุ่นนี้แทบไม่เหลือแล้วต้องขายตามราคาจริงในตลาด ณ ขณะทำการขายจริง
ข่าวที่ 2 ปี’66ออนิกซ์ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ปรุกขยายพอร์ตโรงแรม8.8พันล้าน
นายยุทธชัย จรณะจิตต์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ปี 2566 วางยุทธศาสตร์ขยายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศในธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม
รีสอร์ท และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ภายใต้แบรนด์อมารี โอโซ่ และชามา ภายใต้กลยุทธ์ Quality
Growth, Quality Partnerships ต้อนรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลาดนักเดินทางมีแนวโน้มกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
ตั้งเป้านำโรงแรมของบริษัทสร้างรายได้ด้วยการลงทุนเองและรับจ้างบริหารมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า
8,800 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 60%
โดยได้วางแผนขับเคลื่อนกลยุทธ์ Quality
Growth ลงทุนเพิ่มการเติบโตอย่างมีคุณภาพในไทย มาเลเซีย ฮ่องกง
และมัลดีฟส์ เพื่อสร้างตลาดและขยายพอร์ตธุรกิจเติบโตควบคู่กันไป
พุ่งเป้าตลาดใหม่มาแรงอย่าง “มาเลเซีย” ขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง ซึ่งมีต่างชาติทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจำนวนมากเดินทางเข้าไปเป็นจำนวนมาก
ตั้งตั้งเป้าจะรุกเข้าไปขยายบริการในพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของมาเลเซียด้วย
3 แบรนด์ ได้แก่ อมารี โอโซ่ และชามา ไม่น้อยกว่า 5 แห่ง
ส่วน “Quality Partnerships” ทาง ออนิกซ์
ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เน้นร่วมมือกับพันธมิตรระยะยาวขานรับเทรนด์ธุรกิจซึ่งกำลังมองหาแบรนด์ที่แข็งแรง
ด้วยจุดเด่นของพอร์ตโฟลิโอครอบคลุมหลากหลายทุกกลุ่มเป้าหมาย
และได้รับการยอมรับมายาวนาน ล่าสุดยังได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
หลัก ๆ 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.บุรีรัมย์
ยูไนเต็ด 2.กลุ่ม SP SETIA นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในมาเลเซีย
3.JR Kyushu จากญี่ปุ่น 4.Tai Hung Fai จากฮ่องกง 5.Panchshil จากอินเดีย พร้อมจะสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่งในช่วงสถานการณ์ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะนี้เครือออนิกซ์ฯ
แต่ละแบรนด์เติบโตอย่างมีคุณภาพ ประกอบด้วย “อมารี” ในเมืองไทยอยู่ระหว่างปรับภาพลักษณ์เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ตอบสนองความต้องการลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนมากขึ้น
ส่วน “ต่างประเทศ” จะเพิ่มอมารีอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย
ในมาเลเซีย 2 แห่ง คือ อมารี กัวลาลัมเปอร์ และ อมารี สไปซ์
ปีนัง” และมัลดีฟส์อีก 1 แห่ง คือ อมารี รายา มัลดีฟส์
ส่วนแบรนด์ “โอโซ่” ในเมืองไทยเปิดแล้ว 3 จังหวัด คื พัทยา สมุย ภูเก็ต ส่วน “ต่างประเทศ” เตรียมเปิดในมาเลเซียคือ
“โอโซ่ เมดินี” เมืองเมดินี อิสกันดาร์ ส่วนแบรนด์ “ชามา” ในไทยเปิดแล้ว 6 แห่ง และฮ่องกงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 10 แห่ง เตรียมเปิดเพิ่มในมาเลเซีย
2 แห่ง คือ เมืองยะโฮร์ บาห์รู และเมืองเมดินี อิสกันดาร์
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น