นิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ททท.ผ่าแผนใหม่“สื่อสารการตลาด”ไทย/ต่างชาติดึง3ล้านล้าน“บิ๊กค้าปลีก/ดิจิทัล/แพลตฟอร์มดัง”ดาหน้าบูมซอฟท์เพาเวอร์
ลุยขาย55เมืองรอง/ทัวร์อาเซียนเอเชีย-เข้มบริหารความเสี่ยง
คิงเพาเวอร์ฉลอง34ปีแจกนักช้อปลุ้นรับรถหรูLEXUSRZ450e
คิงเพาเวอร์รุกคอลเลคชั่นใหม่LCFCบ้านเขาเต่าบุกตลาดโลก
“ททท.-ญี่ปุ่นTwoWayTourism”เร่งขายเที่ยว2ประเทศปี66-67
บางจากร่วมESG
Symposiumgสู่คาร์บอนต่ำชูเศรษฐกิจยั่งยืน
“TCEB”เปิดโพลล์ปี66ไทยอันดับ1ไมซ์โลกเร่งขยายตลาด4เรื่อง
ทัวร์บุญพนมนาคาไหลเรือไฟนครพนมออกพรรษา11วัน11คืน
ตรวจสุขภาพประจำปีแพทย์แนะนำควรเลือกให้ดีใน5ช่วงวัย
ไทย-CitySightseeingเปิดรายแรกรถนำเที่ยวชมทั่วกทม./พัทยา
ไมเนอร์โฮเทลส์จัดถ่ายภาพ/VDOลุ้นที่พักเครือNHตั๋วฟรียุโรป
วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #QFMสถานีข่าวคุณภาพ #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #KingPower #TAT #TCEB #บางจาก #ไหลเรือไฟนครพนม
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...
เกาะติดภารกิจใหญ่กับ “นิธี สีแพร”
รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดโลกสื่อสารตลาดทำรายได้
3 ล้านล้านบาท ในยุคดิจิทัลไร้รอยต่อ
“ตลาดในประเทศ” หลังพิง “สุขทันทีที่ได้เที่ยว” เร่งขายเที่ยว 55 เมืองรอง เที่ยววันธรรมดา
จับมือพันธมิตรเครือข่ายใหญ่ AIS ค้าปลีก
เครือซี.พี.นำเที่ยวไทยยืนหนึ่ง ด้าน “ตลาดต่างประเทศ” เดินหน้าลุย Meaningful
Relationship สร้างความผูกพันและการมีส่วนร่วมประสบการณ์ใหม่
ๆ ในไทย เอาใจลูกค้ารายใหญ่ อาเซียน เอเชีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
เพิ่มกำลังซื้อเศรษฐี ซาอุดิอาระเบีย คู่ขนานแผน “สื่อสารยามวิกฤต :Crisis
Management”
และแผนบริหารความเสี่ยง Risk Management” เครื่องมือใหม่มาเต็ม รับตลาด Fandom ทั้ง Pop และSub Culture อินฟลูเอนเซอร์ โซเชียลปัง เว็บดัง สตรีมมิ่งหนัง
เทเลคอมมิวนิเคชั่น
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.จะเร่งสร้างการรับรู้ทั้งกับคนไทยและต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทยด้วยแคมเปญต่าง ๆ ผนวกเข้ากับกิจกรรม ททท.จัดขึ้นทั้งของด้านตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับทุกสำนักงานแล้วเผยแพร่ให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้อย่างกว้างขวาง ขณะนี้มีธีมหลัก Amazing Thailand เชื่อมโยงกับ “ตลาดในประเทศ” คือแคมเปญ Amazing ยิ่งกว่าเดิม กับ สุขทันทีที่ได้เที่ยว กระตุ้นคนไทยซึ่งมีเรื่องกวนใจหลายอย่างก็ให้นึกถึงการท่องเที่ยวผ่อนคลายให้เกิดความสุขได้ทันทีกับคนรู้ใจ เลือกสถานที่ตามแหล่งเป้าหมาย “ตลาดต่างประเทศ” เน้นส่งมอบประสบการณ์ในเมืองไทยมากกว่ามาท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวจึงเชื่อมโยงกับ Meaningful Relationship ท่องเที่ยวโดยมีความผูกพันกับเมืองไทยเกิดขึ้นด้วย สร้างการมีส่วนร่วมเข้าถึงวิถีชีวิตชุมชน ธรรมชาติ วัฒนธรรม และกิจกรรมต่าง ๆ
โดยจะใช้ความพร้อมของสินค้าไทยไฮไลต์คือ
“ซอฟท์ เพาเวอร์” 5F+1F มีทั้ง Food
อาหารการกิน Festival เทศกาลท่องเที่ยว Fashion เครื่องแต่งกายแฟชั่นผ้าไทย
โยงกับการใช้จ่ายเงินช้อปปิ้ง Fight ศิลปะการต่อสู้
Film ท่องเที่ยวตามรอยละครและภาพยนตร์ดัง
เสริมเพิ่มด้วยเทศกาลท่องเที่ยวงานมิวสิคดนตรีและสปอร์ตกีฬาต่าง ๆ
รวมทั้งมีแผน “สื่อสารยามวิกฤต : Crisis Communication” เพราะ ททท.คงไม่สามารถโปรโมตด้านเดียวแต่จะต้องเน้นให้เกิดความเชื่อมั่นทางด้าน “มาตรฐานความปลอดภัย” เพื่อขยายฐานการเดินทางพร้อมกับใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวอย่างมีความสุขได้ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดต้องสื่อสารออกสู่สาธารณะด้วยข้อเท็จจริง ซึ่งบางเรื่องเกิดขึ้นฉับพลันและได้รับการแก้ไขทันทีแล้วผ่านไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้เกิดความรุนแรงอย่างที่คิด
นายนิธีกล่าวว่าวางแผนทำแคมเปญสื่อสารการตลาดเกี่ยวข้องกับสินค้าท่องเที่ยวซอฟท์ เพาเวอร์ ที่ทำให้มากกว่าเดิมผ่านเครื่องมือใหม่ “Fandom Marketing” ซึ่งเป็นการทำตลาดรองรับกลุ่มคนที่หลงใหลในสิ่งเดียวกันโดยมีศิลปิน ดารา ที่ชื่นชอบ เข้ามาร่วมโปรโมตโดยใช้ Pop Culture กับเซลิบริตี้ influencer ต่าง ๆ เข้ามาเสริมทัพ ขณะนี้ได้พูดคุยกับตลาดที่มีความพร้อมอย่างทางเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน เลือกแพลตฟอร์มสื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย แล้วโฟกัสตลาดเด่นมีศักยภาพจริง ๆ ตลาดต่างประเทศ “ระยะใกล้” โดยรับฟังพันธมิตรในตลาดแถบประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน อาเซียน เอเชียตะวันออก ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงโดยไม่ได้ยึดอยู่เพียงตลาดเดียว แต่จะกระจายทำให้ครอบคลุมพื้นที่ตลาดหลักของไทย
เลือกทำ
“กิจกรรม” ที่ทำแล้วได้ผลอย่าง Amazing Festival ได้ไปจัดงานออนไลน์ ออนกราวนด์ อีเวนต์
ตามประเทศต่าง ๆ ทำร่วมกับซอฟท์ เพาเวอร์ ของไทย เช่น ทิฟฟานี่
ซึ่งมีคนรู้จักทั่วโลกสามารถขยายผลดึงความสนใจแล้วดึงกลุ่มตลาดใหม่ ๆ
เข้ามาเพิ่มอีกได้ หรือศิลปิน K-Pop แล้วตอนนี้
T-Pop
ก็เริ่มโด่งดังไปทั่วโลกแล้วเหมือนกัน ททท.จะทำร่วมเดินสายไปกับศิลปินร่วม Fan
Meet ต่าง ๆ
นอกเหนือจากสร้างการรับรู้แล้วจะตัดสินใจเลือกมาท่องเที่ยวจริงในเมืองไทย และจัด Fan
Meet ในไทย
เบื้องต้นมีศิลปินที่จะชวนมาร่วมกับการท่องเที่ยว เช่น เน็ตกับเจมส์
หรือหากมีงบประมาณมากเพียงพอจะขยับไปถึง “พีพีบิวกิ้น”
คาดจะเป็นแมกเน็ตใหญ่สร้างการรับรู้เที่ยวเมืองไทยได้
สำหรับ
“เครื่องมือสื่อสารการตลาดท่องเที่ยว” จะทำให้ครบ 360 องศา ออฟไลน์ในรูปแบบออนกราวนด์อีเวนต์
หรือในสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจจะต้องทำโซเชียล มีเดียต่าง ๆ อย่าง โต่วอิน เว็บไซต์
ไป่ตู้ และอื่น ๆ อย่าง facebook, TikTok รวมทั้งสตรีมมิ่งหนัง
Netfix ในจีนก็มี IQiyi,
Youku หรือเทเลคอมมิวนิเคชั่น
หัวเหว่ย ไชน่าโมบาย และเรื่องของ NFT นำมาใช้ทำ
Smart Vourcher สมาร์ตคูปอง
จะนำมากลไกและกิมมิกผสมผสานสนับสนุนการตลาดโดยใช้หนึ่งใน Sub Culture กระตุ้นความสนใจคนรุ่นใหม่
ต่อเนื่องไปจนถึงเกมส์ใหม่ ๆ ที่คนสนใจและมีส่วนร่วมเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยได้
นายนิธีกล่าวว่า
แนวทางการสื่อสารตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
มุ่งกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อเที่ยวได้โดยไม่มีฤดูกาลอีกต่อไป
เที่ยวได้ทั้ง 365 วัน นั้น
จะแยกสื่อสารการตลาดแบ่งเป็น “ตลาดต่างประเทศ” ต่อไปจะไม่มี High หรือ Lowseason อีกต่อไป จะต้องใช้วิธีบริหารความเสี่ยง
“หาตลาดอื่นมาทดแทน”
ตามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางเข้าไปยังพื้นที่นั้น ๆ
เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวไม่ต้องเผชิญกับปัญหาตกท้องช้างหรือคนเข้าไปเที่ยวน้อยมากบางช่วง
ตลาดที่ทำได้คือ Digital Nomad “ตลาดในประเทศ” สุขทันทีที่ได้เที่ยว
เมื่อมีเวลาก็สามารถเลือกใช้เวลาใน 365 วัน
ตัดสินใจไปเมื่อไรก็ได้ตามความพร้อมของแต่ละคน เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น
โดยจะใช้กลยุทธ์การทำงานร่วมกับ
“ตลาดในประเทศ” ซึ่งจัดทำแคมเปญ เที่ยว 55 เมืองรอง
ท่องเที่ยววันธรรมดา ซึ่งจะต้องหารือกันต่อไป โดยใช้ธีมหลัก
“สุขทันทีที่ได้เที่ยว” จากนั้นก็จะทำแคมเปญร่วมกับพันธมิตร อย่าง AIS หรือทำไปบ้างแล้วกับ บริษัท นิชชิน จำกัด
ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขยายต่อไปยังเครือซีพี เจ้าของแบรนด์ 7-11
ส่วน “ตลาดต่างประเทศ”
ตลาดระยะไกล ยังคงรักษาฐานไว้ทั้งสหภาพยุโรป อเมริกา
แล้วเพิ่มตลาดใหม่จากยุโรปตะวันออก ซาอุดิอาระเบีย
เร่งกระตุ้นสร้างการรับรู้มากขึ้น ผนวกกับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันจะเร่งเพิ่มรายได้ “ตลาดระยะใกล้” จาก
สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง อาเซียน
ตอนนี้มีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น
จะต้องแยกรูปแบบการสื่อสารให้สอดคล้องกับนักท่องเที่ยว
เน้นจุดขายท่องเที่ยวเมืองไทยด้านอาหารการกิน ความสนุกสนาน
และการมีส่วนร่วมกับคนในท้องถิ่น อย่างปลอดภัย และการเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ
ทั้งนี้
ททท.ขอฝากให้คนไทยทั่วประเทศซึ่งมีความพร้อมและรัฐบาลใหม่สนับสนุนเรื่องท่องเที่ยว
โดยเปิดนโยบายวีซ่าฟรี คนไทยควรจะได้ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี
มีมาตรฐานความปลอดภัย แล้วหันมาท่องเที่ยวในประเทศ เพราะเมืองไทยมีธีม
“สุขทันทีที่ได้เที่ยว” ครบทั้ง 365 วัน
สามารถเดินทางได้ตลอดทุกวัน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์ฉลอง34ปีแจกนักช้อปลุ้นรับรถหรูLEXUS
RZ 450e
มีไฟลต์บินสิ้นปี 2566 และวันหยุดยาวเดือนตุลาคมนี้
ต้องรีบช้อป! ที่ คิง เพาเวอร์ เพราะได้ลุ้น! เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า LEXUS
RZ 450e พร้อมรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงลุ้นรางวัล 1 สิทธิ์ เพียงช้อปครบทุก 50,000 บาท (สุทธิ) หรือลุ้นรางวัล
2 สิทธิ์ เพียงสมัครสมาชิกใหม่ SCARLET แล้วภายในวันที่สมัครมียอดช้อปด้วย
คิง เพาเวอร์ ฉลอง 34 ปี
เริ่มช้อปได้เลยตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2566ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต ตอนนี้เฉพาะสาขารางน้ำ
เปิดให้บริการ 10.00 - 21.00 น. แนะนำช้อปสบาย ๆ
โดยเลือกใช้สิทธิ์ได้ดังนี้
1.ซื้อ CASH CARD 150,000 บาท ได้รับ
GIFT CARD เพิ่ม 12,000 บาท ได้บินฟรี!
กรุงเทพฯ – ญี่ปุ่น จำนวน 1 ที่นั่ง ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ได้รับ! สถานะ ONYX + ส่วนลดทุกการช้อป 15%
2.ซื้อ CASH CARD 50,000 บาท ได้รับ
GIFT CARD เพิ่ม 5,000 บาท ได้บินฟรี!
กรุงเทพฯ – ฮ่องกง จำนวน 1 ที่นั่งยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ได้รับ! สถานะ SCARLET + ส่วนลดทุกการช้อป 10%
3.ซื้อ CASH CARD 20,000 บาท ได้รับ
GIFT CARD เพิ่ม 3,000 บาท* ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ได้รับ! สถานะ SCARLET + ส่วนลดทุกการช้อป 10%
พิเศษสุด! เมื่อซื้อ CASH CARD สามารถผ่อนชำระ
0% นานสูงสุด 10 เดือน
กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
ข่าวที่ 2 คิงเพาเวอร์รุกคอลเลคชั่นใหม่LCFCบ้านเขาเต่าบุกตลาดโลก
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ล่าสุดกลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ นำโครงการคืนประโยชน์สู่สังคม “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ร่วมกับ สโมสรฟุตบอล เลสเตอร์
ซิตี้ (LCFC)
เปิดตัวคอลเลกชั่นประจำปี 2023 เป็นคอลเลกชันที่
6 ภายใต้ชื่อ “LCFC BAN
KHAO TAO COLLECTION : แอลซีเอฟซี
บ้านเขาเต่า คอลเลกชัน”
เป็นครั้งแรกที่นำลายสุนัขจิ้งจอกกับผ้าขาวม้าทอมาประชันกัน สานต่อภูมิปัญญาผ้าทอเอกลักษณ์จากฝีมือและภูมิปัญญาซึ่งตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของ
“ศูนย์หัตถกรรมทอผ้าบ้านเขาเต่า” อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ส่งเสริมสินค้าภูมิปัญญาไทยก้าวสู่ตลาดโลกเต็มรูปแบบ
พร้อมเปิดโอกาสให้ได้อวดโฉมแฟชั่นเสื้อผ้ากีฬาวางขายอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วตั้งแต่
7 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา กระจายสินค้าไปตามสาขาร้านยอดนิยมของคิง
เพาเวอร์ ทุกช่องทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุมททั้งที่ Foxes Fanstore เมืองเลสเตอร์
ประเทศอังกฤษ Shop.lcfc.com ร้าน LCFC ของคิง
เพาเวอร์ ทุกสาขา ออนไลน์ที่ www.kingpower.com และ Facebook : Leicestershop_th
“LCFC BAN KHAO TAO COLLECTION” เป็นผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองของศูนย์หัตถกรรมทอผ้าบ้านเขาเต่า
อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทางชุมชนได้เลือกใช้โลโก้หรือตราสัญลักษณ์ “สุนัขจิ้งจอก”
ของ “สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้” ดีไซน์คอลเลกชันเสื้อผ้าแอคเซสซอรี รวมทั้งเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์แนวสตรีทแวร์
นำแนวคิดความงดงามของผ้าทอฝีมือคนไทยสะท้อนความเชื่อถึง
“พลังคนไทย และพลังแห่งความเป็นไปได้” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “พลังชุมชน -Community Power”
มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากชุมชนไทยสู่เวทีโลกอย่างทรงพลังตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
คอลเลกชันนี้ตั้งใจให้เห็นถึงเสน่ห์และความงดงามการทอผ้าขาวม้า
9 เส้น กับการทอผ้ายกดอกเป็นรูปกระดองเต่าด้วยกี่กระตุก
เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านเขาเต่า อันเกิดจากการร่วมกับทีมดีไซเนอร์ MULTIPLY BY EIGHT ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านออกแบบชั้นนำในกลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ พัฒนาลายผ้าให้ยังคงความงดงามของภูมิปัญญาชาวบ้าน
ทว่าผสมผสานความเป็นสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เข้าด้วยกันตามรูปแบบใหม่ โดยใช้เทคนิคการต่อผ้า
PATCH WORK เพื่อให้คอลเลกชันนี้มีความร่วมสมัยและเป็นงานคราฟท์มากยิ่งขึ้น
จุดเด่นเป็นการออกแบบลวดลายพิเศษ “สุนัขจิ้งจอกที่กำลังกระโดด”
เพื่อสะท้อนเรื่องราวการข้ามผ่านยุคสมัยของหมู่บ้านเขาเต่า
จากหมู่บ้านประมงสู่หมู่บ้านหัตถกรรม
สะท้อนถึงสุนทรียภาพหลากมิติของวัฒนธรรมท้องถิ่นและศิลปะที่ส่งต่อผ่านสตรีทแวร์คอลเลกชั่นอันแสนงดงามนี้ที่จะได้เผยแพร่สู่สายตาคนทั่วโลก
รวมถึงจะช่วยให้เกิดการ “ต่อยอดแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน” และสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ชุมชนได้อย่างยั่งยืน
สำหรับผลิตภัณฑ์ LCFC BAN KHAO TAO COLLECTION ได้ออกแบบวางขายมีทั้งเสื้อผ้า
แอคเซสซอรี และไลฟ์สไตล์ไอเทมต่าง ๆ เลือกใช้โทนสีอันเป็นเอกลักษณ์ของ คิง
เพาเวอร์ และสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ คือ สีน้ำเงิน สีคราม และสีฟ้า
โดยมีลายสุนัขจิ้งจอก และโลโก้สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด
100% ลักษณะนุ่ม สวมใส่สบาย ดูนำสมัย สามารถ Mix & Match กับการแต่งตัวได้หลากหลายสไตล์ ไม่น้อยกว่า 6
สไตล์ ได้แก่ 1.เสื้อแจ็คเก็ต
2.เสื้อ T-shirt 3.Bucket Hat 4.หมวกแก๊ป
5.กระเป๋าสะพายข้างและสะพายไหล่ 6.ลูกฟุตบอลผ้าฝ้าย
นายอัยยวัฒน์ กล่าวว่า
คิง เพาเวอร์ เชื่อมั่นในศักยภาพคนไทยเสมอมา ซึ่งทุกความตั้งใจและทุกความมุ่งมั่น
จะก่อให้เกิดพลังแห่งความเป็นไปได้ การเปิดตัวคอลเลคชั่น LCFC BAN KHAO TAO COLLECTION ครั้งนี้
เป็นกิจกรรมพลังชุมชนหรือ Community
Power ที่มีความสำคัญจึงต้องการสนับสนุนความสามารถของคนไทยให้ต่างชาติเข้าใจเข้าถึง
จากการนำความทันสมัยผสานกับวัฒนธรรมไทย ก่อเกิดเป็นสินค้าดีมีคุณภาพอย่างลงตัว
เหมาะสมกับยุคสมัย สวมใส่ได้ทุกวัน สามารถวางตลาดโลกได้ โครงการนี้ยังช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้ชุมชนด้วย
คิง เพาเวอร์ กับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้
และชุมชน ร่วมมือกันทำกิจกรรมนี้ขึ้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความเป็นไปได้
โดยทุกภาคส่วนผนึกความร่วมมือเข้าด้วยกันนำสินค้าไทยไปสู่เวทีโลก เป็นอีกช่องทางที่จะช่วยสืบสานวิถีชีวิต
และอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้านภูมิภาคต่างๆ ให้อยู่อย่างยั่งยืน
เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
ข่าวที่ 3 “ททท.-ญี่ปุ่นTwoWayTourism”เร่งขายเที่ยว2ประเทศปี66-67
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ได้ต้อนรับ Mr. TASAKA Takuro อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
พร้อมคณะในโอกาสที่ได้เดินทางมาแสดงความยินดีพร้อมกับร่วมหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
ครอบคลุมมิติการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจ
การค้าการลงทุนร่วมกันในอนาคต โดยได้ขอบคุณไปยังรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อเนื่องมาเป็นอย่างดีระหว่าง
2 ประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับนางสาวสุดาวรรณ
หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการการะทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
มุ่งผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านไทยแลนด์ ซอฟท์ เพาเวอร์
ปัจจุบัน ททท.
ให้ความสำคัญกับตลาดญี่ปุ่นอย่างมากในฐานะนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ จึงเน้นส่งเสริมการตลาดทำให้เกิดประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ดีในเมืองไทย
สถิติ 9 เดือนแรก
ปีนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางมาไทยแล้ว
574,740 คน ททท. คาดภายในสิ้นปี 2566 ญี่ปุ่นจะมาเที่ยวเมืองไทยสูงสุดถึง
870,000 คน และตามข้อมูลขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น
(JNTO :Japan National
Tourism Organization ) ระบุระหว่างมกราคม-สิงหาคม 2566 มีคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น580,600
คน
ขณะนี้
ททท. พยายามนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวในตลาดญี่ปุ่น
ตั้งแต่ปลายปี 2566 เป็นต้นไป
เดินหน้าเพิ่มไฮไลต์จุดขาย 3
ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1
มุ่งส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่เมืองรอง เช่น
เมืองโบราณศรีเทพ ยูเนสโก้เพิ่งได้รับประกาศให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นชื่นชอบจะได้เดินทางมาท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในไทยด้วย
ส่วนที่ 2 เร่งผลักดันส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวสองทาง
หรือ Two Way Tourism ระหว่างไทยและญี่ปุ่น ควบคู่กับการให้ความสำคัญร่วมกันเรื่องแลกเปลี่ยนทางการค้า
วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อทำให้เกิดการกระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองรองของทั้งไทยและญี่ปุ่น
ผ่านการออกแบบเส้นทางให้ครอบคลุมพื้นที่ใกล้เคียง
ส่วนที่ 3 เพิ่มช่องทางการเดินทางเข้าถึงพื้นที่ของ
2 ประเทศ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ได้แก่
เปิดเที่ยวบินตรงจากญี่ปุ่นเข้าสู่ยังสนามบินตามเมืองท่องเที่ยวหลักของไทย โดยเฉพาะสนามบินเชียงใหม่
เตรียมเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง จะสะดวกในการเดินทางและนักท่องเที่ยวกระจายตัวได้ยิ่งขึ้น
ขานรับตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยซึ่งต้องการให้นำเสนอจุดขายเมืองไทยเที่ยวได้ทุกวันทั้ง
365 วัน
ข่าวที่ 4 บางจากร่วมESG Symposiumgสู่คาร์บอนต่ำชูเศรษฐกิจยั่งยืน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ได้เข้าร่วมงาน “ESG Symposium 2023: Accelerating Changes
towards Low Carbon Society ร่วม เร่ง เปลี่ยน สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จัดขึ้นด้วยแนวคิดผนึกกำลังทุกภาคส่วน
ร่วมแก้ปัญหาโลกเดือด สร้างอนาคตน่าอยู่เพื่อคนทุกวัย
โดยได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากพันธมิตรหลัก ๆ ทั้งหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเอสซีจี
ภายในงานบางจากฯได้นำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำและดำเนินธุรกิจตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน
โดยลงทุนตกแต่งบูธนิทรรศการโครงการทอดไม่ทิ้งของ บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ จำกัด ผู้รับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเพื่อผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน
หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) เชื้อเพลิงอนาคตที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรมการบินลงได้
ตอบโจทย์โลกที่กำลังมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
รวมทั้งยังได้จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ
Carbon Markets Club คลับรักษ์โลกแห่งแรกของไทย โดยบางจากฯ
ริเริ่มก่อตั้งขึ้น ขณะนี้มีสมาชิกทั้งองค์กรและบุคคลกว่า 600 ราย ร่วมจัดแสดงเกี่ยวกับการทำกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้เรื่องภาวะโลกร้อน
ส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และณรงค์ทุกภาคส่วนสมัครสมาชิกด้วย
ระหว่างได้รับเกียรติจากผู้นำคนสำคัญเยี่ยมชมบูธบางจาก
ทั้งนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) คณะผู้เชี่ยวชาญและคณะผู้บริหาร
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา
ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย โดยมี นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) ต้อนรับและนำชมนิทรรศการ
นางกลอยตา กล่าวว่า เป็นผู้แทนบางจาก เข้าร่วม CEO
Forum ระดมสมองหัวข้อ Energy Transition
หรือการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แลกเปลี่ยนมุมมอง หาแนวทางร่วมกัน
เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว
เปลี่ยนผ่านประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
เพื่ิอช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ เพื่อนำเสนอภาครัฐเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศต่อไป
ข่าวที่
5 “TCEB”เปิดโพลล์ปี’66ไทยอันดับ1ไมซ์โลกเร่งขยายตลาด4เรื่อง
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” รายงานว่า ล่าสุดไทยได้รับการจัดเป็นประเทศ 1 จากนักเดินทางไมซ์ทั่วโลก
ในฐานะประเทศที่มีศักยภาพด้านการจัดงานไมซ์ ซึ่งมีมุมมองต่อ MICE Destination ประจำปี 2566 โดยมีผลการศึกษาพฤติกรรมกับความคาดหวัง
โดยมีเสียงโหวตจากของนักเดินทางไมซ์ในทวีปอเมริกา ยุโรป เอเชีย
ออสเตรเลีย กว่า 600 ตัวอย่าง จึงเป็นข้อมูลสำคัญกับผู้ประกอบการไมซ์ไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เตรียมความพร้อม
สร้างความสำเร็จ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีน่าประทับใจให้ตลาดเป้าหมายได้
สถิติตลอดปี 2565
การจัดประชุมและนิทรรศการได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในประเทศรวมกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท
คาดจะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต รวมทั้งมุ่งหวังจะยกระดับและพัฒนาให้ไทยกลายเป็นประเทศศูนย์กลางการจัดการประชุม
การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลและการจัดนิทรรศการระดับโลก และภูมิภาคเอเชีย
หลังผลสำรวจยืนยันชัดเจนเพื่อนำมาขยายผลตลาดไมซ์ 4 เรื่อง คือ
เรื่องที่ 1 ไทยได้รับเลือกอันดับ 1 เป็นประเทศที่มีศักยภาพจัดงานไมซ์ โดยมีพร้อมครบ
3 ด้าน
ได้แก่ 1.สถานที่จัดงาน 2.ความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง 3.ความคุ้มค่าราคาที่พักและการบริการเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
เรื่องที่ 2 อนาคตอีก 7 ปีข้างหน้า คาดการณ์กลุ่มนักเดินทางไมซ์ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดคือกลุ่ม
Generation Z มีประมาณ 26-30 % ของประชากรโลก โดยมีความคาดหวังและพฤติกรรมต่างกันไป
เช่น คาดหวังกิจกรรมไมซ์ที่มีคุณค่าและมองหาโอกาสเติบโตอย่างมืออาชีพ
ไม่ตอบสนองกลยุทธ์แบบหว่าน หรือ One-size-fit-all ต้องการประสบการณ์ที่แท้จริงและเฉพาะบุคคลมากขึ้น
เรื่องที่ 3 รูปแบบการจัดงานจะเปลี่ยนไป
มุ่งเน้นจัดงานแบบผสมผสานกันมากขึ้นตามพฤติกรรมของนักเดินทางไมซ์
เช่น งานสัมมนาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ (Convention) ผนวกเข้ากับส่วนงานแสดงสินค้า (Exhibition)
เพิ่มเติมการประชุม (Conference)
เข้าไป ซึ่งผู้จัดควรออกแบบงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
เรื่องที่ 4 ระยะเวลาเข้าร่วมงานของนักเดินทางไมซ์ต่างชาติไปยังประเทศจุดหมายปลายทางก็มีลักษณะแตกต่างกัน
เช่น กลุ่ม Conventions, Exhibition: Exhibitor และ Exhibition : Visitor
ต้องการเข้าร่วมงานไม่นานมาก
กลุ่ม Meeting & Incentive
ต้องการเข้าร่วมงานยาวนานมากขึ้น
ดังนั้นหากผู้ประกอบการไมซ์สามารถนำเสนอระยะเวลาจัดงานที่สอดคล้องกับความต้องการของนักเดินทางไมซ์ก็จะสร้างความน่าสนใจให้กับงานนั้น
ๆ ได้
การสำรวจครั้งนี้ได้แบ่งหมวดหมู่ธีมเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1.ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม 2.ธีมเพลินเพลินกับกิจกรรมบนชายหาด 3.ท่องเที่ยวผจญภัย 4.ท่องเที่ยวเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) และการจัดประชุมสีเขียว (Green Meetings) 5.ท่องเที่ยวสุดหรู 6.ท่องเที่ยวสร้างทีมสัมพันธ์ 7.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร ซึ่งนักเดินทางไมซ์ต่างชาติให้ความสนใจมากที่สุด
3 ธีม
ได้แก่
1. ธีมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (Fascinating History and Culture) เช่น
การเยี่ยมชมสถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคม เช่น โบราณสถาน
พิพิธภัณฑ์ แหล่งท่องเที่ยว
2. ธีมเพลินเพลินกับกิจกรรมบนชายหาด (Beach Bliss) เช่น การจัดกีฬาบนชายหาด การจัดปาร์ตี้บนชายหาด
3.การท่องเที่ยวในธีมการผจญภัย (Exhilarating Adventures) เช่น การปีนเขา ดำน้ำลึก ล่องแก่ง
เป็นต้น
ช่วงที่ 2 สายมู สายบุญ ต้องจัดคิวให้พร้อมเที่ยวงานประเพณี “ไหลเรือไฟนครพนม”
ดูพนมนาคา ลงพื้นที่ไปร่วมงานบุญใหญ่ออกพรรษา 15 ค่ำ เดือน 11
เที่ยวต่อเนื่องอย่างจุใจ 11 วัน 11 คืน เริ่ม 20-31 ต.ค.นี้ แล้วอย่าลืม
“ตรวจสุขภาพประจำปีตามเวลา 5 วัย” พร้อมฟังข่าวฮ็อต ข่าวแรก
“ไทยผนึกCity Sightseeing” รายแรกเปิดเอเลเฟ่นท์ บัส ทัวร์ นำชมทั่วกรุงเทพฯ
และพัทยา ข่าวที่สอง “ไมเนอร์โฮเทลส์” งัดเทรนด์แจกรางวัลถ่ายรูปทำVDO โปรโมทโรงแรมเครือ NH ลุ้นรับฟรีที่พักตั๋วบินยุโรป
ท่องเที่ยว –เที่ยวพนมนาคาไหลเรือไฟนครพนมออกพรรษา11วัน11คืน
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) นครพนม ชวนสายมูเตรียมตัวให้พร้อมออกเดินทางท่องเที่ยวตามความเชื่อและศรัทธา
(Faith) งานประเพณียิ่งใหญ่แห่งปี “เทศกาลออกพรรษา” ชม “งานไหลเรือไฟ”
และงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 ตั้งแต่
20 - 30ตุลาคม นี้ ต่อเนื่องตลอด 11 วัน 11 คืน บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง
เขตเทศบาลเมืองนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
ดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทยและนานาชาติร่วมชมเป็นประทีปพุทธบูชาตามความเชื่อและความศรัทธาของคนในลุ่มแม่น้ำโขงช่วงออกพรรษา
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์เที่ยวนพมนาคา
“ไหลเรือไฟนครพนม” ในคืนวันออกพรรษา ตื่นตากับ 5
ไฮไลต์ ได้แก่
ไฮไลต์แรก ขบวนไหลเรือไฟของ
12 อำเภอ 12 ลำ ปัจจุบันศิลปินเรือไฟทำเรือไฟความยาวกว่า
80 เมตร ประดับไฟตะเกียงนับหมื่นดวง
ส่องสว่างโดดเด่นงดงามกลางลำน้ำโขง
ไฮไลต์ที่ 2 การปล่อยกระทงสาย 5,000 ดวง กลางลำน้ำโขง
ไฮไลต์ที่ 3 การจัดกิจกรรมพาข้าวแลง
ไฮไลต์ที่ 4 ความยิ่งใหญ่ขบวนแห่อัญเชิญไฟพระฤกษ์
ไฮไลต์ที่ 5 พิธีรำบูชาพระธาตุพนม ได้กำหนดให้มีพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเริ่มงานวันที่
19 ตุลาคม 2566 บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช เวลา 17.00 น. โดยมี
"กรีน อัษฎาพร " และ “ญิ๋ง ญิ๋ง ศรุชา” นางเอกและนักแสดงนำจากละคร พนมนาคา
ช่อง One31 ร่วมรำบวงสรวงครั้งนี้ด้วย
ในแต่ละคืนนักท่องเที่ยวยังสามารถชมงานประเพณีอย่างต่อเนื่องอีก
7 กิจกรรม ได้แก่ 1.การไหลเรือไฟโชว์ วันละ 1 - 2
ลำ 2.การปล่อยกระทงสายวันละ
2,000 ดวง 3.การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ชนเผ่า 4.การจัดทำเรือไฟโบราณ
5.การแสดงซุ้มวิถีการทำเรือไฟของ 12
อำเภอ 6.มหกรรมสินค้า
OTOP ของที่ระลึก คาราวานสินค้า และ 7.กิจกรรมอื่น
ๆ ชมความหลากหลายต้อนรับนักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ความประทับใจทั้ง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯ
การแสดงบินโดรนแปรอักษร การทำบุญตักบาตรเทโว รวมถึงจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรม ประเพณี
อันเป็นเอกลักษณ์อันล้ำค่าของชาวนครพนม
ตอนนี้มีละครดัง “พนมนาคา”
ออนแอร์ให้ชมปูพื้นความรู้ก่อนท่องเที่ยว ทำขึ้นภายใต้แนวคิด “ศรัทธานำทาง
เส้นทางนำเที่ยว” ออกอากาศช่วงงานประเพณีไหลเรือไฟ มุ่งปลุกกระแสงานประเพณีสร้างแรงบันดาลใจให้คนออกเดินทางท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์จริงในพื้นที่ได้ด้วย
ทาง
ททท.ภูมิภาคภาคอีสานได้จัดเตรียมการท่องเที่ยว “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” ไว้ต้อนรับเพื่อให้ได้ตามรอยพญานาค
ความเชื่อ ความศรัทธา และ วัฒนธรรม สร้างกระแสและแรงบันดาลใจให้กลุ่มแฟนคลับละครออกเดินทางท่องเที่ยวตามรอยละคร
ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วอีสาน ซึ่งเป็นโลเคชั่นถ่ายทำละคร เกี่ยวเนื่องตามความเชื่อเรื่องพญานาคในกลุ่มจังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง โดยได้สอดแทรกเผยแพร่งานประเพณีของจังหวัดเข้าไปด้วย
เช่น ประเพณีออกพรรษางานไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม
สำหรับ “งานไหลเรือไฟ” เป็นประเพณีที่ชาวนครพนมทำสืบทอดเรื่อยมาตั้งแต่อดีถึงปัจจุบันช่วงวันออกพรรษา
ต่อมาได้พัฒนาสร้างสรรค์ทำเรือไฟมีความสวยงามและยิ่งใหญ่ตระการตามากขึ้น ทางศิลปินเรือไฟได้ทำเรือไฟมีความยาวกว่า
80 เมตร ประดับไฟตะเกียงนับหมื่นดวง
ส่องสว่างโดดเด่นงดงามกลางลำน้ำโขง แฝงไว้ด้วยความเชื่อถึงการบูชาด้วยประทีปโคมไฟจะนำความรุ่งโรจน์
สว่างสดใสมาสู่ชีวิต กระทั่งวันนี้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ช่วงวันออกพรรษาของจังหวัดนครพนม
เลือกท่องเที่ยวงานประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม
ตามรอยละคร “พนมนาคา” เป็นหนึ่งในเส้นทางตามรอยพญานาค ตามแนวคิด “ศรัทธานำทาง
เส้นทางนำเที่ยว” สอดแทรกการเผยแพร่งานประเพณีของนครนมช่วงเทศกาลออกพรรษา สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวชมความงดงามยิ่งใหญ่ของเรือไฟกลางแม่น้ำโขงคืนวันออกพรรษา
29 ตุลาคม 2566 จุใจ เต็มรูปแบบ เที่ยวเมืองไทย
สุขภาพ –ตรวจสุขภาพประจำปีแนะนำควรเลือกให้ดีใน
5 ช่วงวัย
การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญและถือว่ามีความจำเป็นที่ต้องตรวจตั้งแต่แรกเกิด
เพราะในแต่ละช่วงวัยไม่ว่าจะเป็นเด็กทารก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยชรา ร่างกายก็จะมีการเปลี่ยนแปลง
คือทั้งการเจริญเติบโต การสร้างเสริม
และความเสื่อมถอยที่แตกต่างกันไปตามอายุที่มากขึ้น
เราจึงควรได้รับการตรวจสุขภาพที่เหมาะสมตามช่วงวัย
วัยแรก
“วัยเด็ก” ช่วงอายุ 0-13 ปี ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 13 ปี
ควรได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และตรวจหาความเสี่ยงโรคต่างๆ
รวมถึงการมองเห็น การได้ยิน สุขภาพฟันและช่องปาก
ตรวจพัฒนาการตามช่วงวัยทั้งทางร่ายกาย อารมณ์ และสังคม
ว่าเด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมเป็นไปตามวัยหรือไม่ ทั้งยังต้องดูค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือไม่ให้อ้วนหรือผอมจนเกินไป
วัยที่สอง
“วัยรุ่น” ช่วงอายุ 13-18 ปี
เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
และมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในด้านพัฒนาการทางเพศ
แม้ส่วนใหญ่คนวัยนี้จะไม่ค่อยมีปัญหาด้านสุขภาพ
ควรตรวจร่างกายที่เหมาะกับวัยตามสุขภาพพื้นฐานโดยรวม เช่น
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจระดับไขมันในเลือด ตรวจระบบการทำงานของตับและไต
หรือตรวจปัสสาวะและเอกซเรย์ปอด เพราะหากพบความผิดปกติใด ๆ
จะได้รีบรักษาหรือหาทางป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม และให้ความสำคัญกับค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
เนื่องจากการมีน้ำหนักเกินเกณฑ์จะนำไปสู่ความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังเมื่ออายุมากขึ้นได้ง่าย
วัยที่
3 “วัยเริ่มทำงาน” ช่วงอายุ 18-40 ปี จะสิ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
อันเกิดจากไลฟ์สไตล์ เช่น ความเครียดจากการทำงาน การกินอาหารไม่ตรงเวลา
ไม่ถูกหลักโภชนาการ การขาดการออกกำลังกายเพราะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทไปกับการทำงาน
หรือการเป็นพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แทบจะตลอดเวลา
ส่งผลให้คนวัยนี้เกิดการความเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะหลังอายุ 30 ปีเป็นต้นไป
ร่างกายก็จะค่อย ๆ เข้าสู่สภาวะถดถอย จึงควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยตรวจระดับไขมันในเลือด
น้ำตาลในเลือด กรดยูริก การทำงานของตับและไต ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด
ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และฉีดวัคซีน
วัยที่
4 “วัยทำงานตอนปลาย” ช่วงอายุ 40-60 ปี
เป็นช่วงที่สภาวะร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลงค่อนข้างมาก ร่างกายต้องการการดูแลอย่างจริงจัง
บางคนอาจมีอาการของโรคที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นที่เริ่มออกอาการ
นอกจากการตรวจสุขภาพเช่นเดียวกับช่วงอายุ 18-40 ปีแล้ว ยังควรตรวจสุขภาพหัวใจ เช่น
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เนื่องจากเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากขึ้น ตรวจสุขภาพดวงตา
ตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน หรือตรวจหาโรคมะเร็งต่างๆ ตามความเสี่ยง
สำหรับผู้หญิงควรตรวจเต้านมโดยแพทย์ปีละครั้ง
ตรวจภายในทุกปี ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุก 3 ปี
และผู้ชายควรตรวจหาความเสี่ยงมะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
วัยที่
5 “วัยสูงอายุ” ช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป
ควรตรวจแบบเจาะลึก เพื่อหาโรคที่อาจแฝงอยู่โดยไม่แสดงอาการ
ซึ่งหากรอให้เกิดอาการก่อนจะเข้าสู่ระยะลุกลามรุนแรงแล้ว
ทำให้รักษายากขึ้นทั้งตัวโรคและสภาพร่างกายที่อายุมากแล้ว
ซึ่งคนวัยนี้ควรตรวจคัดกรองโรคอย่างครอบคลุม เช่น หัวใจ ไต สมอง ช่องท้อง ตรวจตา
คัดกรองมะเร็งต่างๆ โรคเบาหวาน และมวลกระดูก
“ผู้หญิง”
ควรตรวจเต้านม ตรวจภายใน ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามคำแนะนำของแพทย์
“ผู้ชาย”ควรตรวจหาความเสี่ยงมะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก
เหมือนในช่วงอายุที่ผ่านมา
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ
1.พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ
2.งดการทานอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง
ก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ (สามารถจิบน้ำเปล่าได้เล็กน้อย)
3.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
ก่อนเข้ารับการตรวจ
สามารถทานยาโรคประจำตัวได้
แต่ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับการตรวจ
4.หากมีโรคประจำตัวหรือประวัติสุขภาพ
ควรนำเอกสารรายงานจากแพทย์มาด้วยเพื่อประกอบการวินิจฉัยเลือกสวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย
และสะดวกต่อการเจาะเลือด
5.หากมีการตรวจปัสสาวะ ควรปัสสาวะในช่วงต้นทิ้งและเก็บปัสสาวะในช่วงกลาง
6.หากผู้หญิงสงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับการตรวจ
7.ควรให้ข้อมูลของตนเองแก่แพทย์อย่างถูกต้องตรงไปตรงมา
เพื่อผลวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
-ไทย-CitySightseeingเปิดรายแรกรถนำชมทั่วกทม./พัทยา
นายกฤษณ์
วิทยสัมฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเลเฟ่นท์ โกโก จำกัด
เปิดเผยว่า บริษัทได้จับมือกับ “City Sightseeing”
ผู้บุกเบิกบริการรถบัสชมเมืองครอบคลุมทั่วโลก 6 ทวีป 150
เมือง เปิดบริการ Elephant Bus Tours ขึ้นเป็นครั้งแรกและรายแรกในเมืองไทย
เปิดให้บริการท่องเที่ยวแนวใหม่แบบ Hop-On Hop-Off รองรับตลาดคนไทยและต่างชาติได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสเปิดประทุน
2 ชั้น มีโซนติดแอร์และโอเพ่นแอร์ นำเสนอเส้นทางเดินรถครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อทั้งทางวัฒนธรรม
ย่านช้อปปิ้งชื่อดัง ย่านของกินขึ้นชื่อ
พร้อมบรรยายข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวตลอดเส้นทางโดยมีให้เลือกฟังได้ถึง 7 ภาษา ได้แก่ ไทย จีน เกาหลี อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน รวมถึงมีเทคโนโลยี
GPS ช่วยให้เสียงบรรยายตรงพิกัดรถ ซึ่งถือเป็นมาตรฐานการบริการเทียบเท่ากับรถบัสซิตี้ทัวร์เช่นเดียวกับเมืองดัง
ๆ ทั่วโลก
ปี 2566
เอเลเฟ่นท์ โกโก วางแผนขับเคลื่อนธุรกิจหลังประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเรียบร้อยแล้ว
ก็เดินหน้าทำ 2 แผนงาน ประกอบด้วย
แผนงานแรก
เปิดเพิ่มเส้นทางนั่งรถชมแหล่งท่องเที่ยวในไทยใน “พัทยา” เมืองท่องเที่ยวชื่อเสียงโด่งดังติดอันดับโลก
โดยเปิดเต็มรูปแบบไปแล้วตั้งแต่สิงหาคม 2566 รวมทั้งตั้งเป้าปี
2567 จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวใช้บริการเฉลี่ยเดือนละ 1
แสนคน หรือปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
จากปัจจุบันมีปีละ 1.2 แสนคน และอีก 3 ปีข้างหน้าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมาใช้บริการให้ถึงปีละ
3 ล้านคนขึ้นไป
แผนงานที่
2 ภายใน 5 ปีข้างหน้า จะขยายบริการครอบคลุมเมืองท่องเที่ยวทั่วไทย สร้างธุรกิจรถบัสชมเมืองเติบโตแบบก้าวกระโดด
แล้วช่วยส่งเสริมระบบนิเวศการท่องเที่ยวของไทยแข็งแกร่งมากขึ้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม
ไปพร้อมกับสร้างรายได้ให้ชุมชนซึ่งเป็นสถานที่จุดจอดของรสบัสชมเมืองด้วย
สำหรับจุดเด่นของบริการรถบัสชมเมือง
Hop-On Hop-Off ของ เอเลเฟ่นท์ โกโก ร่วมกับ City
Sightseeing ในเมืองไทย คือตั๋วโดยสารสามารถใช้ขึ้นรถกี่ครั้งก็ได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ซื้อ
ตั๋วจะมีอายุการใช้งานได้ 3 แบบ คือ แบบ 1 วัน 24 ชั่วโมง แบบ 2 วัน 48 ชั่วโมง และแบบ 3 วัน 72 ชั่วโมง
มร.กอนซาโร่
รูอีส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ กล่าวว่า
ได้รับมอบหมายจากผู้ก่อตั้ง เป็นตัวแทนเดินทางมาไทยเพื่อเปิดตัว City
Sightseeing เพราะเห็นไทยเป็นประเทศมีศักยภาพสูงด้านธุรกิจท่องเที่ยว
โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเติบโตเร็วที่สุดในโลก
จึงเป็นหนึ่งในหมุดหมายใหขยายบริการเข้ามายังเอเชีย โดยได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Elephant
Bus Tours ถือเป็นก้าวสำคัญที่ได้ยกระดับประสบการณ์และปักธงสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวชมเมือง
สร้างความนิยมท่องเที่ยวแนวใหม่แบบ Hop-On Hop-Off เช่นเดียวกับที่ได้สร้างปรากฏการณ์นี้มาแล้วทั่วโลก
ส่วนความร่วมมือกันระหว่าง
Elephant Bus Tours และ City Sightseeing จะเร่งเสริมจุดแข็งระหว่างกัน ซึ่งทาง City Sightseeing จะเข้ามาช่วยพัฒนามาตรฐานให้บริการที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น สร้างโอกาสเพิ่มช่องทางการตลาดและเครือข่ายบริษัทออนไลน์
OTA : Online Travel Agency และตัวแทนการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก
สายการบิน เรือสำราญ ซึ่งเป็นพันธมิตรทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากกว่า
200 ราย รวมถึงสร้างโอกาสพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ
เพื่อให้การท่องเที่ยวบนรถบัสชมเมืองมีความน่าสนใจยิ่งขึ้นต่อไป
ทั้งนี้การท่องเที่ยวแบบ
Hop-On Hop-Off ในภาษาไทยหมายถึงการ “ขึ้นรถ-ลงรถ” เป็นเทรนด์และไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวยอดนิยมแนวใหม่ของนักท่องเที่ยวในเมืองสำคัญทั่วโลก
ที่ต้องการใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดเดินทางเที่ยวชมเมืองพร้อมฟังคำบรรยายสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
แบบรวดเร็วและเห็นบรรยากาศจริงก่อนตัดสินใจลงรถเพื่อไปเที่ยวในจุดที่ตัวเองสนใจได้ทั่วเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย
ปัจจุบันในโลกมีเจ้าตลาดคือ
“City Sightseeing” จากประเทศสเปน เป็นผู้บุกเบิกและขยายบริการได้แล้วทั่วโลก
6 ทวีป ใน 150 เมือง ซึ่งการท่องเที่ยวรูปแบบนี้กำลังได้รับนิยมอย่างมากจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ต้องการใช้เวลาว่างท่องเที่ยวแนวใหม่กับประสบการณ์การนั่งรถบัสเปิดประทุนชมเมือง
เพื่อสัมผัสประสบการณ์แตกต่างไม่เหมือนใคร ในราคาจับต้องได้
ข่าวที่สอง -ไมเนอร์โฮเทลส์ชวนถ่ายภาพ/VDOลุ้นที่พักเครือNHตั๋วฟรียุโรป
กลุ่มไมเนอร์ โฮเทลส์ รายงานว่า ได้นำที่พักโรงแรมในเครือ เอ็นเอช โฮเทลส์ แอนด์
รีสอร์ท ของกลุ่มไมเนอร์ ซึ่งให้บริการที่พักชั้นนำกระจายทั่วยุโรป 20 ประเทศ กว่า 220 โรงแรม
จัดกิจกรรมประกวดภาพถ่ายหรือวีดีโอ NH Hotels Europe
& You เริ่มตั้งแต่ 15 ตุลาคม-
26 พฤศจิกายน 2566 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางไปสัมผัสเสน่ห์และประสบการณ์พักผ่อนได้ทั่วยุโรป
เพียงร่วมถ่ายภาพหรือวีดีโอโดยใช้ AR Filter ของ NH Hotels แล้วแชร์บนอินสตาแกรม หรือ เฟซบุ๊ก ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลที่พักตามโรงแรมในเครือเอ็นเอชทั่วยุโรปได้มาก
5 คืน ส่วนรางวัลใหญ่เป็นที่พัก 7 คืน พร้อมตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป
เอ็นเอช โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท เชิญชวนร่วมกิจกรรม Europe & You สนุกกับถ่ายภาพหรือผลิตคลิปวีดีโออย่างสร้างสรรค์
โดยเลือกใช้ AR Filter ของ NH Hotels มีให้เลือกต่างกันถึง
4 ธีม ได้แก่ ธีมประเทศอิตาลี สเปน เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส
โดยผู้เล่นจะได้จินตนาการถึงประเทศนั้น ๆ
ทั้งการล่องเรือกอนโดลาสุดโรแมนติกที่เวนิส
การเต้นรำฟลาเมงโกในค่ำคืนที่แสนครึกครื้น เพิ่มความสดใสด้วยการสวมมงกุฎดอกทิวลิป
หรือแต่งตัวเสมือนชาวปารีเซียงที่เก๋ไก๋
นักเดินทางสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม Europe & You เพื่อลุ้นรางวัลได้ 2 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 รางวัลรายสัปดาห์รวม 4 รางวัล : มอบที่พักในโรงแรมเอ็นเอช โฮเตลส์ แอนด์ รีสอร์ต ในยุโรป 1 แห่ง พักฟรี ได้ 2 คน รวม 5 คืน
ประเภทที่ 2 ลุ้นรับ
1 รางวัลใหญ่ มอบที่พักในโรงแรมเอ็นเอช
โฮเตลส์ แอนด์ รีสอร์ต ในยุโรปแห่งใดก็ได้ 7
คืน พักฟรีได้ 2 คน โดยสามารถเลือกเข้าพักได้ถึง 3 โรงแรม พร้อมตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ ไป-กลับ จากเมืองเดิม
วิธีการร่วมสนุกกิจกรรม Europe & You :ด้วย 3 ขั้นตอนง่าย ๆ คือ
ขั้นตอนที่
1 เสิร์ช AR Filter
‘NH Hotels’ ใน Browse Effect Page ของ Instagram หรือ Facebook Story หรือเปิด
Filter ผ่าน ลิ้งก์ในเว็บไซต์ https://world.nh-hotels.com/en/europe-and-you
ขั้นตอนที่ 2 เลือก AR Filter ประเทศที่ชอบ
จะมีให้เลือก 4 แบบ แล้วใช้ Filter
นั้นถ่ายภาพหรือ Video Reels เน้นความสนุก สร้างสรรค์ และไม่เหมือนใคร
สามารถเสริมการสร้างคอนเทนต์ ด้วยเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์
หรือสถานที่ที่ช่วยให้คอนเทนต์มีความน่าสนใจ ได้ด้วย
ขั้นตอนที่ 3 โพสต์ Video Reels หรือภาพถ่ายที่ใช้ Filter ‘NH Hotels’ ลงในหน้าโปรไฟล์ Instagram Reels หรือ Facebook Reels ของคุณ พร้อมเขียนคำบรรยายใน Caption ถึงเหตุผลที่อยากไปเที่ยวยุโรปกับโรงแรม NH Hotels & Resorts แล้วแท็ก @nhhotels #NHEuropeAndYou เพื่อส่งโพสต์ของคุณเข้าร่วมการแข่งขัน
เมื่อทำครบทั้ง 3 ขั้นตอนแล้ว ให้นักท่องเที่ยวเจ้าของคอนเทนท์ เปิดโปรไฟล์และโพสต์นั้น ๆ เป็นสาธารณะ เพื่อแชร์ใหนักเดินทางคนอื่น ๆ ได้รู้จักที่พักโรงแรมในเครือ เอ็นเอช โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท ภูมิภาคยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยด้วย
สำหรับรางวัลจะมีคณะกรรมการลงคะแนนให้กับผู้ชนะร่วมสนุกอย่างสร้างสรรค์ที่สุด กำหนดจะประกาศผลแต่ละสัปดาห์ทุกวันพุธเวลา 17.00 น. (GMT+7) เริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 และรางวัลใหญ่จะประกาศผลวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 เวลา 17.00 น. (GMT+7) บนหน้าเว็บไซต์ เอ็นเอช โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น