เจาะลึก!!สถานีวิจัยสะแกราชชีวมณฑลโลกแห่งแรกไทย
โมเดลท่องเที่ยวยั่งยืนต้นแบบป่าดิบแล้งดูดซับคาร์บอน
พร้อมรับทัวร์ธรรมชาติ/เข้าค่ายไทย-ต่างชาติราคาสุดคุ้ม
ช้อปง่าย!!รับคุ้มคลิกคิงเพาเวอร์ออนไลน์ตลอด
พ.ย.66
คิงเพาเวอร์เปิดช้อปดีลดีบิวตี้แฟชั่นกระเป๋าแบรนด์ดัง
ททท.เฮวีซ่าฟรีอินเดียหวังดันรายได้ปี66เพิ่ม7.1พันล้าน
บางจากชูหนังสั้นสรรค์พลังใหม่จิตวิญณาณที่ไม่หยุดนิ่ง
เที่ยวพังงา“เขาหน้ายักษ์”ธรรมชาติโขดหินสวยเรื่องสนุก
6 วิธีแก้เมารถควรรู้ไว้ก่อนออกการเดินทางดีกับทุกทริป
AWCQ3ปี’66ธุรกิจโรงแรมอู้ฟู่9เดือนกำไรอื้อ3.7พันล้าน
ไมเนอร์โฮเทลส์นำNHเข้าบริหารในปารีส3โรงแรมใหม่
วันอาทิตย์ที่
12 พฤศจิกายน 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ
“เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #เขตสงวนชีวมณฑลสะแกราช #มรดกโคราช
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...
ติดตามทาง QFM 97 I NBT Radio Online
ช่วงที่ 1 เปิดพื้นที่ 1 ใน 3 มรดกโลก กับ “สุรชิต แวงโสธรณ์”
ผู้อำนวยการสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อม สะแกราช จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า
สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
แหล่งท่องเที่ยวผืนป่าชีวมณฑลที่ราบสูงเกือบ 50,000 ไร่ โมเดล
“การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน” แหล่งชมพันธุ์พืชและสัตว์ป่าหายาก
พื้นที่ยอดนิยมของ นักเรียน เยาวชน คนไทย นักศึกษาฝึกงานต่างชาติ มีที่พักพร้อมรับ
200 เตียง รวมอาหาร
กิจกรรม สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ราคาคุ้มค่า เข้าค่าย 3 วัน 2 คืน แค่ 1,270 บาท/ นักวิจัย/ฝึกงานอยู่ยาว คนไทย 4,000 บาท/คน/เดือน ต่างชาติ 7,400 บาท/คน/เดือน วอนรัฐช่วยลงทุนถนนอายุกว่า 30
ปี
ปรับใหม่เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
นายสุรชิต แวงโสธรณ์
ผู้อำนวยการสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อม สะแกราช จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า
สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เป็นหน่วยงานในสังกัด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ได้การรับรองจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศษสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็น 1 ใน 3 มรดกโลก
จังหวัดนคราชสีมา ปี 2566ได้รับการประกาศให้เป็น
“เมืองจีโอพาร์ค 3 มรดกโลก : Triple
Heritage City” จากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNESCO )
เฉพาะในส่วนของ
“สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช” แห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 2510 มีพื้นที่ประมาณ 48,750 ไร่ จากนั้นปี 2519 ยูเนสโกให้การรับรองขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
“เขตสงวนชีวมณฑล :Biosphere Reserves”
แห่งแรกของไทย มีพื้นที่ตั้งอยู่บนขอบที่ราบของนครราชสีมซึ่งมีความอ่อนไหวทางชีวภาพสูง
เขตภูมิศาสตร์ ประกอบด้วยพืช
สัตว์ สิ่งมีชีวิตหลากหลายมารวมอยู่ด้วยกัน
โดยมีองค์ประกอบที่ได้รับความสนใจเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ใกล้สูญพันธ์หลายอย่างด้วยกัน
เช่น ต้นกฤษณา ลิ่นชวา และอื่น ๆ แล้วยังพบสัตว์หายากอย่าง พบกระทิง หมาไน หมีควาย
ด้วยศักยภาพความเป็นพื้นที่ “ชีวมณฑล” ของไทย
ที่หน่วยงานยูเนสโกให้การรับรองซึ่งมีระบบนิเวศน์สำคัญคือ
“ป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง” มีต้นไม้อย่างตะเคียนหินอายุกว่า 700 ปี
ภายในพื้นที่สามารถเข้าถึงได้โดยมีบริการถรางขนาดบรรทุกได้คันละ 50 คน เพื่อนำชมพันธุ์ไม้และสัตว์ต่าง ๆ
ใช้เวลาไม่นานระยะทางไม่ไกลมากนัก แล้วสามารถทำกิจกรรมศึกษาทดสอบอายุต้นไม้แต่ชนิด
เช่น ต้นตะเคียนหินเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 10-15 เซนติเมตร จะมีอายุประมาณ 130 ปี ขณะนี้ยังได้พบเส้นผ่าศูนย์กลาง 93 เซนติเมตร อายุ 750 ปี
ส่วนไฮไลต์ปี 2566 ทางสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ขอแนะนำให้ไปชมต้นตะเคียนหินที่มีอายุเก่าแก่เท่ากับอายุของจังหวัดนครราชสีมา ฉลอง 555 มีต้นตะเคียนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 66 เซนติเมตร อายุ 555 ปี ยืนยันถึงการเกิดขึ้นพร้อมจังหวัดนั่นเอง รวมทั้งภายในพื้นที่สถานีวิจัยสะแกราช ยังเป็นแห่งเดียวที่พบพืชหายากอย่าง ว่านตูดหมูบขาว กับพืชอีกหลายชนิดสามารถมาเดินชมและเรียนรู้ธรรมชาติอันหลากหลายได้ สำหรับสัตว์หายาก “ไก่ฟ้าพญาลอ” สามารถนั่งรถรางไปชมได้ ปัจจุบันชาวต่างชาติก็นิยมเดินทางมาดูไก่ฟ้าพญาลอที่นี่ด้วยเช่นกัน
ผอ.สุรชิต
กล่าวว่า ทางสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช
เปิดให้นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทั้งคนไทยและต่างชาติเข้าไปได้
จะมีเจ้าหน้าที่ประจำสามารถติดต่อคุณอรุณวดี 061-102-1707 และคุณพงษ์ศักดิ์ 098-219-5570 เพื่อขอจองที่พัก และบริการกิจกรรมต่าง ๆ
ภายในพื้นที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชได้ โดยพร้อมจะต้อนรับผู้ใช้บริการ
ประกอบด้วย
กลุ่มที่
1 นักท่องเที่ยวเชิงนิเวศซึ่งมาแล้วต้องการได้รับความรู้กลับไป
ก็จะมีค่าใช้จ่ายคนละ 1,000 บาท
รวมอาหาร 2 มื้อ
พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ตอนเช้าดูนกตอนเช้า ตอนเย็นดูชมไก่ฟ้าพญาลอตอนค่ำดูดาว
หรือหากเดินทางไปเดินป่าด้วยจะเก็บคนละ 1,250 บาท
มีบริการเมนูมื้อกลางวันตอนเที่ยงเป็นข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง
กลุ่มที่
2 เพื่อการศึกษาของนักเรียน
สนใจเดินทางมาเป็นหมู่คณะเพื่อเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ แบ่งเป็น ระดับเด็กโตจองพัก 3
วัน 2 คืน 1,270 บาท/คน หรือ 2 วัน 1 คืน 790
บาท/คน หรือ ไปเช้าเย็นกลับ 330
บาท/คน
เป็นราคารวมอาหารและทำกิจกรรมต่าง ๆ เข้าไปด้วยเรียบร้อยแล้ว
กลุ่มที่
3 นักศึกษาฝึกงาน
นักวิจัย คนไทย ราคาคนละ 4,000 บาท/เดือน
รวมอาหารวันละ 3 มื้อ
มีสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นที่พัก เครื่องซักอบผ้า และต่างชาติ ราคาคนละ 7,400
บาท/เดือน รวมที่พักและอาหาร
ค่าซักผ้า อินเตอร์เนต
กลุ่มที่
4 ติดตามนักวิจัยเพื่อศึกษาธรรมชาติ
เดินทางในป่ากลางคืน ราคารวมอาหารและที่พัก คนละ 2,000 บาท/คน/ครั้ง
ส่วนบริการนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับหรือนักทัศนาจรภายในสถานีวิจัยฯ
ได้จัดเตรียม รถรางบริการ อาคารที่พัก 200 เตียง
แบ่งเป็น ห้องพักผู้ใหญ่ 2
คน/ห้อง มีประมาณ 13 ห้อง
หรือห้องพักเด็กเข้าค่าย จะมี 4 หรือ 6
เตียง/ห้อง
สามารถเลือกได้ตามที่ต้องการ ด้วยทำเลที่ตั้งสถานีวิจัยอยู่ห่างปากทางเข้าพื้นที่ 3
กม.จึงได้จัดให้บริการอาหาร
ร้านค้าขนาดเล็กขายของจำเป็นทั่วไป ตามปกติวันธรรมดา วันจันทร์-เสาร์
จะมีนักเรียนมาเข้าค่ายวิทยาศาสตร์เฉลี่ยวันละ 100-200 คน ดังนั้นจึงแนะนำหากต้องการมาท่องเที่ยวควรจะเลือกจองวันเสาร์
อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์
พื้นที่ภายในสถานวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช
มีขีดความสามารถรองรับผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการได้ประมาณวันละรวม 230 คน แบ่งเป็นเด็กวันละ 200 คน ผู้ใหญ่ 30 คน โดยมีระบบคอยดูแลแนะนำเรื่อง “การรักษาสิ่งแวดล้อม”
เนื่องจากขยะส่วนใหญ่จะเป็น “เศษอาหาร” ซึ่งทางสถานีมีบริการบุฟเฟต์ จึงต้องทำระบบ
“แยกขยะ” ทั่วไป แก้ว กระป๋อง ซึ่งแต่ละปีมีขยะเกิดขึ้นในสถานีวิจัยปี 2565
ประมาณ 30 ตัน แยกเป็น ส่วนที่ 1 เป็นเศษอาหารจากการประกอบอาหารกับเหลือจากการรับประทานรวมแล้วประมาณ
60 % นำไปให้หมูป่าที่เลี้ยงไว้ในป่า
ส่วนที่ 2 ขยะรีไซเคิล
มีประมาณ 20 % ได้จัดทำไปให้ราษฎรตามชุมชนรอบพื้นที่มีอบต.วังน้ำเขียว
เข้ามาจัดการนำไปสร้างประโยชน์อย่างชัดเจน
แต่ละปีทางสถานีวิจัยฯ
ปี 2566 มีก๊าซเรือนกระจกประมาณ
164 ตัน ส่วนใหญ่เกิดการไฟฟ้า
84 ตัน คิดเป็น 51
% ที่เหลือเกิดจากพลังงานแก๊สหุงต้ม
กระดาษ เฉลี่ยแล้วคนมาเข้ามาใช้บริการสถานีวิจัยสร้างขยะเกิดก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย 4.3
กิโลกรัม/คน แต่ “ป่า”
สะแกรราชสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 151,000 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วถือได้ว่าน้อยมาก
ๆ จึงเป็นพื้นที่ที่มีส่วนร่วม “ลดโลกร้อน” อย่างเป็นรูปธรรม
อีกทั้งทางสถานีวิจัยยังมีกิจกรรมรณรงค์ให้คนเข้ามาใช้บริการร่วมปลูกต้นไม้โดยใส่ชื่อต้นไม้เพื่อช่วยกันเพิ่มป่ามากขึ้น
ช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อมและสามารถดูดซับคาร์บอนเพิ่ม
หรือจะนำต้นไม้พืชกินได้พืชยืนต้นกลับไปปลูกต่อที่บ้านก็ได้
ผอ.สุรชิตกล่าวว่า
เมื่อแต่ละฝ่ายต้องการประชาสัมพันธ์ให้สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยและนานาชาตินั้น
จะขอให้พิจารณาสนับสนุน เรื่องที่ 1
ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสภาพถนนสร้างมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี พื้นผิวถนนผุกร่อนและขนาดแคบ ทำให้รถบัส
รถต่าง ๆ เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ปัจจุบันต้องใช้วิธีจำกัดความเร็วไว้ไม่เกิน 30
กม./ชั่วโมง เรื่องที่ 2 งบประมาณปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกตามความเหมาะสม
เพื่อรองรับการท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชีวมณฑล 1 ในมรดกโลกของนครราชสีมาไว้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 ช้อปง่าย!!รับคุ้มที่คิงเพาเวอร์ออนไลน์ตลอด
พ.ย.66
รับ
3 คุ้ม
ที่ “King Power
Online” นักช้อปที่ไม่อยากพลาดดีลพิเศษรีบกด Download App King Power Online ไว้รอได้เลย!!
ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2566 ชวนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการช้อปวนได้ไม่รู้จบ
จัดสิทธิประโยชน์ดี ๆ ไว้ต้อนรับ ได้แก่
คุ้มที่
1 : พิเศษ! สมัครสมาชิก KING POWER ONLINE วันนี้
-30 พฤศจิกายน
2566 รับส่วนลดทันที
200 บาท
เมื่อช้อปครบ 1,000บาท พันธมิตรได้นำสินค้าเเบรนด์ดังสุดฮอตมากมายให้ได้เลือกช้อป
พร้อมดีลสุดคุ้มตลอดปี
คุ้มที่
2 : คุ้มสุด! ทุกการช้อปออนไลน์ เมื่อสมัครสมาชิกแล้วผูกบัญชีออนไลน์เรียบร้อยแล้วรับกะรัตรีวอร์ด
100 บาท = 1 กะรัต หรือจะใช้กะรัต แทนเงินสด 1 กะรัต = 1 บาท ก็ได้
คุ้มที่
3 : ผ่อนสบาย ๆ นานสุดถึง 10
เดือน เมื่อนักเดินทางซื้อสินค้าของ คิง เพาเวอร์ แนะนำให้ใช้สิทธิ์ผ่อนหรือแบ่งชำระได้เพื่อความสบายกระเป๋า
เริ่มจากทุกการช้อปครบ 10,000 บาท ผ่อนได้ 6 เดือน และช้อปครบ 15,000 บาท ผ่อนได้นานสุดถึง
10 เดือน รวมทั้งสามารถรับเครดิตเงินคืนสูงสุดจากธนาคารที่เข้าร่วมรายการได้อีก
11,000 บาท
ข่าวที่ 2 คิงเพาเวอร์เปิดช้อปดีลดีบิวตี้แฟชั่นกระเป๋าแบรนด์ดัง
สนุกกับการช้อป
EXPLORE YOUR NEW
JOURNEY ชวนนักเดินทางทุกสไตล์จะเป็น
“สายช้อปก่อนเที่ยว หรือเที่ยวก่อนช้อป” ก็สามารถทำให้ทุกการช้อปเป็นไปได้ง่าย ๆ เสมอ
ที่ “คิง เพาเวอร์ ออนไลน์” พร้อมจัดส่งตรงดีลดีสุดพิเศษมีที่นี่ที่เดียวตลอดเดือนพฤศจิกายน
2566
ทั้งน้ำหอม เครื่องสำอาง แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ กดช้อปเลย พร้อมรอรับสินค้าง่าย ๆ ที่สนามบิน
ขณะนี้ คิง เพาเวอร์
มีสินค้าแนะนำเป็นกระเป๋าสายแบกต้องมีไว้ นำเสนอไอเทมสุดปัง ดีไซน์ และฟังก์ชันใช้งานสุดคุ้มจาก
แบรนด์ระดับแถวหน้าพร้อมใจกันจัดหนักจัดเต็ม คือ MCM, TUMI, FERRAGAMO, FURLA, COCCINELLE, SAMSONITE
, COACH และอื่น ๆ เมื่อช้อปครบ 3,500 บาท
แจกรหัสส่วนลด NOV10
หรือช้อปครบ 8,000
บาท ลดสูงสุด 15%
พ่วงพิเศษ ด้วยส่วนลดเพิ่มเมื่อช้อปครบ 10,000 บาท ลดทันที 5% กดรับรหัสส่วนลด NOV20
ข่าวที่ 3 ททท.ยิ้มร่าวีซ่าฟรีอินเดียดันรายได้ปี66เพิ่ม7.1พันล้าน
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. กับ Mr. Nagesh
Singh เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย นายฉัททันต์
กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ร่วมกันต้อนรับนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มแรกที่ได้วีซ่าฟรีหรือยกเว้นการตรวจลงตรา
(Visa Exemption) เดินทางมากับเที่ยวบิน 6E 1639 เริ่มวันแรก 10 พฤศจิกายน นี้ เนื่องจากอินเดียเป็นตลาดเป้าหมายหลักของไทยในปี
2566 เมื่อเปิดใช้ Visa Exemption จะเพิ่มโอกาสทำให้เกิดการตัดสินใจเลือกเดินทางมาไทยทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่
และกลุ่มนักท่องเที่ยวมาไทยเป็นครั้งแรก (First Visit)
คาดจะช่วยกระตุ้นให้อินเดียเข้าไทยสิ้นสุดปี
2566 สูงถึง 1.6 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 65,600 ล้านบาท
เกินเป้าหมายเดิมปี 2566 ททท.ตั้งไว้ 1.425 ล้านคน เพิ่มขึ้น 42 % จากปี 2565 สร้างรายได้กว่า 58,500 ล้านบาท
เท่ากับวีซ่าฟรีอินเดียครั้งนี้จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียได้มากกว่าเป้าหมายปกติอีกกว่า
1.75 แสนคน ทำรายได้ขยับสูงจากปกติ 7,100 ล้านบาท
สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ที่ได้อนุมัติให้ยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเพิ่มอีก
2 สัญชาติคืออินเดียกับไต้หวัน
เริ่มวันแรก 10 พฤศจิกายน 2566 – 10 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูงพร้อมจะนำเงินเข้ามาใช้จ่ายในไทยช่วงไฮซีซันปลายปี
2566 ถึงต้นปี 2567 โดยจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการของไทยฟื้นตัวอย่างคึกคักมีรายได้เพิ่มขึ้น
นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า วันนี้ 10 พฤศจิกายน 2566 มีพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวอินเดียเป็นวันแรกกับกลุ่มที่ได้รับยกเว้นวีซ่า
ททท. ซึ่งมากับเที่ยวบินนิวเดลี-กรุงเทพฯ 204 คน มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา
16.10 น. ส่วนใหญ่เดินทางมาพักผ่อนมี 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
กลุ่มที่ 1 มิลเลนเนียลส์หรือคนรุ่นใหม่ กลุ่มที่ 2 ครอบครัว พฤติกรรมการเดินทาง มาลำพังด้วยตัวเอง (FIT) สูงถึง 75 % และมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก (First
Visit) ประมาณ 57 % มาอยู่โดยมีวันพักเฉลี่ย 7
- 8 วัน/คน/ทริป ใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 5,500
บาท/คน/วันรวมทั้งตลาดอินเดียยังมีนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง เช่น กลุ่มแต่งงาน
กลุ่มกอล์ฟ กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive)
ปี
2567 ททท. สำนักงานในอินเดียวางแผนจะกระตุ้นตลาดเติบโตอย่างยั่งยืน (High Value and Sustainability) มากขึ้น โดยได้นำเสนอการขายสินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
เดินหน้าจัดส่งเสริมตลาดการขาย 3 กิจกรรม ได้แก่
กิจกรรมที่
1จัด “Special Promotion Scheme” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
และกลุ่มลูกค้าองค์กร (Corporate) กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
(Incentive) กลุ่มที่เดินทางเข้ามาแต่งงานหรือเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษในประเทศไทย
กิจกรรมที่
2 ทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย หรือ Joint/Sale
Promotion ร่วมกับบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ ขายแพ็คเกจท่องเที่ยวไทย
รุกเจาะเป้าหมาย กลุ่มท่องเที่ยวพักผ่อน กลุ่มผู้หญิง กลุ่มสูงวัย และกลุ่มกอล์ฟ
กิจกรรมที่
3 นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายท่องเที่ยว
เพื่อพบปะเจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยวอินเดีย
โดยมีกิจกรรมสาธิตและการเผยแพร่ข้อมูลท่องเที่ยวไทย เบื้องต้น 2 งาน ได้แก่ งานแรก
OTM : Outbound Travel Market วันที่ 8 - 10 กุมภาพันธ์ 2567
ที่เมืองมุมไบ งานที่ 2 SATTE : South Asia's Travel and Tourism Exchange วันที่ 22 - 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่กรุงนิวเดลี
ข่าวที่
4 บางจากทำหนังสั้นพลังใหม่“จิตวิญณาณที่ไม่หยุดนิ่ง”
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ได้ลงทุนผลิตหนังสั้นโฆษณา
“จิตวิญญาณที่ไม่หยุดนิ่ง” #กระจกกับดอกไม้ ความยาวประมาณ 5 นาที สะท้อนจุดยืนตัวตนแบรนด์ แสดงความมุ่งมั่นและความพร้อมก้าวไปสู่อนาคต
สื่อสารผ่านหนังสั้นเพื่อปลุกพลังความคิดและสร้างแรงบันดาลใจ
ถ่ายทอดจิตวิญญาณที่ไม่หยุดนิ่ง สร้างทุกสิ่งให้เป็นไปได้ ภายใต้แนวคิด “Greenovate to Regenerate – สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” สามารถรับขมได้ตั้งแต่
9 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป ผ่านออนไลน์ทาง YouTube: Bangchak Official ,
Facebook: Bangchak และ www.bangchak.co.th
เน้นการจัดทำเนื้อหาด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเด็กชายตัวเล็ก
ๆ คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและลงมือทำตามความฝันของตน
สะท้อนพลังขับเคลื่อนและจิตวิญญาณที่ไม่หยุดนิ่งของบางจากฯ ตลอดระยะเส้นทางการดำเนินธุรกิจมีความมุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อเอาชนะความท้าทายและบริบทแวดล้อม
ไม่เคยหยุดนิ่งในการรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ ผ่านนวัตกรรมสีเขียวและการสร้างสมดุลธรรมชาติด้วยจิตวิญญาณอันมุ่งมั่น
เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ
ทางบางจากฯ มุ่งสื่อสารแบรนด์ไอเดีย “Greenovate to Regenerate สมดุลธรรมชาติ
สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” สะท้อนความเป็นตัวตนของแบรนด์บางจากที่ให้ความสำคัญกับการรักษา
‘สมดุล’ ต่าง ๆ ได้แก่ สมดุลระหว่างมูลค่าการดำเนินธุรกิจกับคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมและสังคม
สมดุลการคำนึงถึงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการกำกับดูแลกิจการอย่างมีความรับผิดชอบ
รักษาสมดุลระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน ซึ่งเป็น “สมดุลธรรมชาติ
สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” เป็นการนำสมดุลธรรมชาติมาต่อยอดสรรค์สร้างสิ่งใหม่
ๆ อย่างไม่รู้จบ ผ่าน 3 เสาหลัก ได้แก่
เสาที่ 1 Regenerative
Power สรรค์พลังใหม่ ๆ เพื่อการเดินทางอย่างยั่งยืน
และพลังงานสะอาด ไปจนถึงพลังที่เติมให้กับชีวิตผ่านเครื่องดื่มต่างๆ
และพลังแห่งความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อร่วมบรรเทาวิกฤตสภาวะภูมิอากาศ
เสาที่ 2 Regenerative
Innovation สรรค์พลังแห่งนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตที่สดใส
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน
เสาที่ 3 Regenerative
Life สรรค์พลังแห่งความสุขที่ยั่งยืนด้วยการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับสิ่งแวดล้อมและสังคม
โดยให้ความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างมูลค่าและคุณค่า
บนรากฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ช่วงที่ 2 เที่ยวใต้พิกัดใหม่แนะนำไปพักผ่อนชมธรรมชาติ “เขาหน้ายักษ์” อุทยานแห่งชาตำปี-หาดท้ายเหมือ
จ.พังงา สวย สงบ มีเรื่องเล่าสนุก แล้วมาฟัง “6
วิธีแก้เมารถ” รู้ก่อนเดินทางดีทุกทริป และข่าวฮ็อต ๆ ข่าวแรก “AWC นำQ3ปี’66ธุรกิจโรงแรมอู้ฟู่”
9เดือนกำไร3.7พันล้าน ข่าวที่สอง “ไมเนอร์โฮเทลส์นำNHเข้าบริหารในปารีส3โรงแรมใหม่
ท่องเที่ยว
–เที่ยวพังงา
“เขาหน้ายักษ์”โขดหินสวยมีเรื่องเล่าสนุก
เมืองไทยมีความหลากหลายให้เลือกท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แนะนำพิกัดใหม่ เดินทางมาค้นหาประสบการณ์ความงามทางธรรมชาติพักผ่อนที่หาดแห่งกาลเวลา
“เขาหน้ายักษ์” บริเวณอำเภอท้ายเหมือง ในอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง
จ.พังงา
“เขาหน้ายักษ์” อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จ.พังงา
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลป.3 (ปาง)
บริเวณหน้าหาดราบเรียบ เม็ดทรายขาวสะอาด เลือกมาพักผ่อนชมทิวทัศน์
และเล่นน้ำทะเลบริเวณหน้าหาดได้ด้วย เป็นชายหาดเงียบสงบ
ได้ยินเสียงคลื่นสาดซัดเข้ามากระทบเวิ้งอ่าวคล้ายดนตรีธรรมชาติ
ลักษณะเด่นอยู่ตรงมีทิวเขาโอบล้อม สลับโขดหินสีสันแปลกตา แถมใต้ท้องทะเลเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์มาก
เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด
รวมทั้งมีลักษณะธรณีวิทยาของโขดหินบริเวณ “เขาหน้ายักษ์”
จัดอยู่ในหมวดหินเกาะเฮ อายุอยู่ในช่วงยุคคาร์บอนิเฟอรัส-ยุคเพอร์เมียน
มีรูปร่างแปลกตา สีสันสวยงาม เป็นลักษณะแถบชั้นบางของหินโคลนสลับกับหินทรายเนื้อละเอียด
สีของหินโดยทั่วไปมีสีเทาขาว เทาจาง เทาอมน้ำตาล เทาอมเหลือง
นํ้าตาลจนถึงน้ำตาลแดง เรียงสลับเป็นแถบอย่างสวยงาม
ชั้นหินมีการวางตัวของแนวระดับเกือบเหนือ-ใต้ และมีมุมเอียง 50-90 องศา
มีรอยเลื่อนตัดและการคดโค้งขนาดเล็กในชั้นหิน
บางจุดมีเหล็กออกไชด์สีน้ำตาลที่แทรกในรอยตัดของหิน ทำให้มีลักษณะคล้ายเปลือกไม้
ตามซอกหินมักพบปูแสมแกละ (MOTTLED CRAB) จำนวนมากเกาะกลุ่มกันปีนป่ายอย่างมีความสุข
“เขาหน้ายักษ์” มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันว่า เมื่อครั้งอดีตภูเขาลูกนี้ฝั่งหนึ่งมีหน้าผารูปร่างเหมือนใบหน้าของยักษ์โกรธเกรี้ยว
ต่อมาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือรบของทหารญี่หลายลำแล่นผ่านบริเวณนี้เกิดอับปางลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทหารญี่ปุ่นเชื่อว่าน่าจะเกิดจากความอาถรรพ์ของหน้าผาคล้ายใบหน้ายักษ์
จึงใช้ปืนใหญ่ยิงส่วนที่เป็นเหมือนหน้ายักษ์จนกองหินกระจัดกระจายพังทลายและจมลงสู่ทะเล
สุขภาพ –6 วิธีแก้เมารถควรรู้ไว้ก่อนออกการเดินทางทุกทริป
คนที่มีอาการเมารถบ่อย
หรือเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเมารถได้ง่ายอาจลองใช้วิธีแก้เมารถต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. ระวังเกี่ยวกับการกินอาหารก่อนเดินทาง
-คือไม่ควรกินอาหารปริมาณมาก อาหารที่มีไขมันสูง และมีรสเผ็ดจัด
เพราะจะทำให้รู้สึกไม่สบายท้องและรู้สึกคลื่นไส้ขณะกำลังเดินทางมากกว่าเดิม
หากรู้สึกหิว ควรกินอาหารเบา ๆ รองท้อง เช่น ซีเรียล แครกเกอร์
โดยกินก่อนการเดินทางประมาณ 1–2 ชั่วโมง
และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนการเดินทาง 24 ชั่วโมง
เพื่อป้องกันอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้
2.
พกยาแก้เมารถติดกระเป๋า -
คนที่เสี่ยงต่อการเมารถหรือประสบปัญหาเมารถเป็นประจำควรเตรียมยาแก้เมารถไว้ทุกครั้งที่เดินทาง
โดยยาแก้เมารถที่สามารถหาซื้อได้เอง เช่น ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate)
และเมคลิซีน (Meclizine) โดยควรกินยาก่อนออกเดินทาง
30–60 นาที
ผู้ที่มีอาการเมารถรุนแรง
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาป้องกันอาการเมารถ ซึ่งแพทย์อาจสั่งจ่ายยากิน เช่น
เมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) และโปรเมทาซีน (Promethazine) หรือยาสโคโปลามีน (Scopolamine) ชนิดแผ่นแปะหลังหู
ยาแก้เมารถทุกชนิดควรใช้ตามที่แพทย์สั่ง
โดยเฉพาะเด็ก ผู้ที่ตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว
เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม ผู้ใช้ยาแก้เมารถไม่ควรขับรถ
เพราะอาจทำให้หลับในและเกิดอุบัติเหตุได้
3.
เลือกที่นั่งให้เหมาะสม - เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้เมารถที่สามารถเตรียมตัวได้ล่วงหน้า
โดยมีเทคนิคเลือกที่นั่งขณะเดินทางด้วยยานพาหนะต่าง ๆ ดังนี้
การเดินทางด้วยรถ
ควรเลือกที่นั่งเบาะหน้า หากนั่งรถโดยสารควรเลือกที่นั่งที่อยู่แถวหน้า ๆ
เพราะเป็นตำแหน่งมีแรงกระเทือนน้อย นอกจากนี้
ควรนั่งหันหน้าไปทางเดียวกับที่รถเคลื่อนตัว สำหรับเด็กเล็กและทารก
ผู้ปกครองควรเตรียมคาร์ซีท (Car Seat) ที่เหมาะสมกับอายุและขนาดตัวของเด็ก
เพื่อความปลอดภัยขณะเดินทาง
การเดินทางด้วยรถไฟ
ควรเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ที่นั่งควรอยู่แถวหน้า
และหันหน้าไปทางเดียวกับที่รถเคลื่อนตัว
การเดินทางด้วยเรือ
เลือกที่นั่งบริเวณหัวเรือหรือกลางลำเรือ
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้กับระดับน้ำและโคลงเคลงน้อย
หลีกเลี่ยงการนั่งใกล้บริเวณที่มีกลิ่นอาหาร น้ำมันเครื่อง และควันจากท่อไอเสีย
การเดินทางด้วยเครื่องบิน
ควรเลือกที่นั่งริมหน้าต่างบริเวณด้านหน้าของปีกเครื่องบิน
และหลีกเลี่ยงการนั่งใกล้ห้องน้ำและบริเวณที่เตรียมอาหาร
4.
ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ -
วิธีแก้เมารถที่หลายคนนึกไม่ถึงคือการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่กังวลไปก่อน โดยหายใจเข้าออกลึก
ๆ ฟังเพลงสบาย ๆ
และพูดคุยกับคนที่เดินทางไปด้วยกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้
และอาเจียนได้
5.
หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอาการเมารถ หากเริ่มมีอาการเมารถ ควรหยุดการอ่านหนังสือ
การเล่นเกม หรือการชมภาพยนตร์ ควรหาจุดโฟกัสโดยมองออกไปไกล ๆ นอกหน้าต่าง
หากมีอาการเมารถมาก ควรนั่งนิ่ง ๆ และหลับตาลงจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
หากได้กลิ่นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
เช่น กลิ่นอาหารและบุหรี่ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ดมยาดม
หรือเดินออกไปสูดอากาศที่ด้านนอก
6.
กินอาหารที่สบายท้อง -ระหว่างเดินทางควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารทอด อาหารรสจัด
เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ควรกินอาหารเบา ๆ เช่น แครกเกอร์ ขนมปัง
ธัญพืชอบ และกล้วยหอม จิบน้ำเย็น น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลม
เพื่อเพิ่มความสดชื่น นอกจากนี้ การกินลูกอมรสขิงก็เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้เมารถที่ได้ผล
เพราะขิงมีสรรพคุณลดการคลื่นไส้และอาเจียน
โดยทั่วไป
อาการเมารถมักดีขึ้นหลังจากที่ลงจากยาพาหนะ
แต่กรณีที่มีอาการเวียนศีรษะอย่างต่อเนื่อง อาเจียนไม่หยุด บ้านหมุน
ได้ยินเสียงในหูหรือการได้ยินลดลง และแน่นหน้าอก ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก – AWCQ3/66ธุรกิจโรงแรมอู้ฟู่9เดือนกำไร3.7พันล้าน
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) “AWC” เปิดเผยว่า
ผลประกอบการ AWC ไตรมาส 3 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4 % จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน มีกำไรสุทธิ
1,136 ล้านบาท เติบโตท่ามกลางโลว์ซีซันอย่างต่อเนื่องแข็งแกร่ง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสามารถผลักดันศักยภาพของทรัพย์สิน
Ramp Up สู่ระดับการดำเนินงานปกติด้วยมูลค่ากว่า 12,500 ล้านบาท สร้างผลตอบแทนกระแสเงินสด (EBITDA Yield) สูงถึง 10.2 %
ตลอดไตรมาส 3 ปี 2566
บริษัทมีทรัพย์สินดำเนินงานที่สร้างรายได้อยู่กว่า 85 %
รวมมูลค่า 125,758 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 52
% เทียบกับช่วงก่อนโควิดปี 2562
สะท้อนศักยภาพการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED Strategy หลังการเปิดตัวโรงแรมและห้องอาหารหลากหลายแห่งตลอดไตรมาส
3 มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท
เมื่อรวมผลประกอบการ 9 เดือนแรก ระหว่างมกราคม-กันยายน 2566 ทุกธุรกิจในเครือ
AWC เติบโตต่อเนื่อง มีกำไรจากการดำเนินงาน
(อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) 7,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9 % เปรียบเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นผลมาจากธุรกิจและกลุ่ม
ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมในและนอกกรุงเทพฯ
ดึงนักท่องเที่ยวเข้าพักเครือ AWC เพิ่มขึ้น สร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก
(RevPAR) 9 เดือนแรกสูงถึง 3,619 บาท เพิ่มขึ้น
87.6 % จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน
เฉพาะไตรมาส 3 ปี 2566 ทำกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) 692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.9 %
เมื่อเปรียบเทียบราคาห้องพักและอัตราเข้าพัก (Revenue
Generation Index หรือ RGI) ภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียง
เช่น โรงแรม คอนยาร์ด บาย แมริออต ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ
254 โรงแรมแบงค็อก แมริออต โฮเทล เดอะ สุรวงศ์ เท่ากับ 218
AWC ยังมุ่งเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอกลุ่มโรงแรมในทําเลยุทธศาสตร์ด้วยการเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก
สร้างทรัพย์สินกับกำไรจากการดำเนินงานเติบโต (EBITDA กลุ่มธุรกิจ)
ต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาทรัพย์สินคุณภาพผ่านการเปิดตัวโรงแรมและห้องอาหารชั้นนำระดับโลกมากมาย
ส่งเสริมไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก
ไตรมาส 3 ปี 2566 AWC มีจำนวนห้องพักรวม 6,034 ห้อง เพิ่มขึ้น 76 % เทียบกับก่อนโควิดปี 2562
โดยเปิดใหม่หลายโครงการ เช่น 1.โรงแรม INNSiDE
by Meliá Bangkok Sukhumvit ออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองมาตรฐานอาคาร
EDGE -Excellence in Design for Greater Efficiency 2.โรงแรม
อิตเตอร์ คอนติเนนตัล เชียงใหม่ เดอะ แม่ปิง เป็นลักซ์ชัวรี่ภายใต้แบรนด์อินเตอร์ติเนนตัลแห่งแรกของภาคเหนือ
และทำเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งแรกของไทยที่จะได้สัมผัสวัฒนธรรมและศิลปะล้านนา และได้การรับรองมาตรฐาน
LEED ด้านการออกแบบและก่อสร้างอาคาร และมาตรฐาน WELL
Pre-certified แห่งแรกในภาคเหนือ มีพื้นที่จัดงานประชุมไมซ์ลักซ์ชัวรี่ใหญ่ที่สุด
รวมทั้งนำเสนอคอนเซ็ปต์เปิดห้องอาหารใหม่ที่มีเอกลักษณ์
ดึงดูดลูกค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เปิดห้องอาหารจีน Yue Restaurant and Bar
ในโรงแรมคอนยาร์ด บาย แมริออต ภูเก็ต ทาวน์ กับห้องอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับระดับพรีเมี่ยม
Kissuisen รวม 4 ร้าน ในโรงแรมแบงค็อก แมริออต
โฮเทล เดอะ สุรวงศ์ ปัจจุบัน AWC เปิดบริการแล้วทั้งหมด 22
โรงแรม
กลุ่มที่ 2 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail, Wholesale and
Commercial) AWC ปรับกลยุทธ์เพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันให้โครงการในพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง
พร้อมตอบสนองความต้องการลูกค้าและนักท่องเที่ยวปัจจุบัน เพื่อเสริมศักยภาพกระแสเงินสดเติบโตได้ระยะยาว
ไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ตามงบการเงิน 963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น124.4 % เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน นำโดย “ธุรกิจรีเทล” ได้ปรับปรุงพัฒนาศูนย์การค้าให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาด
พร้อมทั้งทำศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว เช่น โครงการเอเชียทีค เดอะ
ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ทำเป็นรีเทล-เทนเม้นท์ริมแม่น้ำใหญ่ที่สุด ช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น
ธุรกิจค้าส่ง (Wholesale) AWC ร่วมกับ “Koelnmesse”
ผู้จัดงานแสดงสินค้าชั้นนำระดับโลกจากเมืองโคโลญ เยอรมนี
ร่วมยกระดับอุตสาหกรรมการค้าส่งไทย สร้างเครือข่ายระดับโลกเชื่อมโยงพันธมิตร
ผู้ซื้อและผู้ขายผ่านฐานเครือข่ายของทั้งสองกลุมเพื่อสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางการสรรหาสินค้า
(International Sourcing Hub) ที่แข็งแกร่งยั่งยืนในระดับภูมิภาค
ธุรกิจอาคารสำนักงาน
(Commercial) สามารถสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ปี 2566 ทำค่าเช่าเพิ่มขึ้น 4
% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นผลจากกลยุทธ์การยกระดับอาคารสำนักงานให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับองค์กรและคนทำงานรุ่นใหม่ทั่วโลก
(Global Workforce Destination) เช่น เปิดตัว “Co-Living
Collective: Empower Future” ในเอ็มไพร์ เพิ่มไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่รองรับเทรนด์อนาคตผสมผสานการทำงานและการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน
และได้ต้อนรับ 2C2P บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก
มาเปิดสำนักงานใหม่ในเอ็มไพร์ด้วย ช่วยร่วมขับเคลื่อนดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร
เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดในไตรมาสที่ผ่านมา กลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้าเครือ
AWC กว่า 18 แห่งได้รับประกาศนียบัตร
“ดาวแห่งความยั่งยืน” หรือ STAR” (Sustainable
Tourism Acceleration Rating) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ
สังคม สิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาลที่ดี
รวมทั้ง AWC ได้แสดงความมุ่งมั่นทำธุรกิจตามกลยุทธ์กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERs ผ่านโครงการ “AWC Stay to Sustain” ร่วมกับ ททท.
และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เดินหน้าอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน
เพิ่มความหลากลายทางชีวภาพในระบบนิเวศ สร้างรายได้ในชุมชนผลักดันเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว
พร้อมสนับสนุนไทยสู่เป็นประเทศจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลกต่อไป
ข่าวที่สอง
-ไมเนอร์โฮเทลส์นำNHเข้าบริหารในปารีส3โรงแรมใหม่
มร. ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดเผยว่า
ไมเนอร์ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในฐานะเจ้าของ ผู้บริหาร และผู้ลงทุน ประกาศเตรียมเปิดตัวโรงแรมในเครือครั้งแรกที่ปารีส
เมืองหลวงของฝรั่งเศส ตามแผนจะเปิดบริการโรงแรม NH Hotels ระดับ 4 ดาว 3 แห่ง เริ่มไตรมาส 1 ปี 2567 รวมทั้งมีโครงการรีแบรนด์และปรับปรุงภายใต้แบรนด์ NH
Collection ปี 2568 อีก 1 โรงแรม
ทางกลุ่ม ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท Swiss Life Asset Managers ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมทั้ง 3 แห่ง
เข้าไปการบริหารจัดการโรงแรมเหล่าดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างเติบโตเชิงกลยุทธ์ขยายโรงแรมไปยังเมืองสำคัญต่าง
ๆ แถบยุโรป นำร่องเปิดในปารีส 3 แห่ง รวมทั้งหมด 400
ห้อง ประกอบด้วย โรงแรมแรก NH Paris Gare de l'Est มีห้องพัก 207 ห้อง โรงแรมที่ 2 NH
Opéra Paris Faubourg ห้องพัก 103 ห้อง
โรงแรมที่ 3 NH Paris Beauchamps Champs-Elysées มีห้องพัก 90 ห้อง จากนั้นปี 2568 เมื่อปรับปรุงเสร็จก็จะเข้าบริหารโรงแรมที่ 4 NH
Collection
แต่ละโรงแรมยังจะมี ร้านอาหารและบาร์ ให้ผู้ใช้บริการเพลิดเพลินตามแบบฉบับท้องถิ่น
ทำเลตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านที่มีชื่อเสียงด้านแหล่งช้อปปิ้ง ร้านค้า ร้านอาหาร
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของปารีส เช่นพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ โรงอุปรากรแห่งชาติ
และฌ็องเซลิเซ
มร. ดิลิป ราชากาเรีย กล่าวว่า ไมเนอร์ได้มองหาโอกาสในตลาดนี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
จึงมีความยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ร่วมมือกันระหว่าง ไมเนอร์ โฮเทลส์ กับ Swiss Life Asset Managers เดินหน้าเปิดตัวโรงแรมในปารีสถึง 3 แห่ง
รวมถึงเชื่อเรื่องการนำโรงแรม 2 แบรนด์เข้าไปสู่เมืองที่มีนักเดินทางมาเยือนำนวนมากเป็นอันดับ
2 ของโลก และเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2024 จะยิ่งเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการสร้างธุรกิจเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
โยฮันนา คาโปอานี Head of Hospitality ของบริษัท Swiss
Life Asset Managers ฝรั่งเศส กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างยิ่งเช่นกันที่ได้ทำข้อตกลงการบริหารจัดการกับไมเนอร์
โฮเทลส์ ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ จะช่วยพัฒนาโรงแรมของกลุ่มให้ดียิ่งขึ้น
และได้สนับสนุน ไมเนอร์ขยายธุรกิจสู่ปารีส เมืองมหาอำนาจด้านการท่องเที่ยว
จึงเชื่อมั่นทั้งสองฝ่ายจะทำงานร่วมกันภายใต้แบรนด์ NH Hotels และ NH Collection เป็นโอกาสจะไดมอบสิ่งใหม่ ๆ
และเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่ต่อไป
โรงแรมในปารีสทั้ง 3 แห่ง จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอของไมเนอร์
โฮเทลส์ ปัจจุบันมีโรงแรมในฝรั่งเศสแล้ว 6 แห่ง ตั้งอยู่ในเมืองมาร์แซย์
ลียง ตูลูส และนีซ (Nice) ซึ่งทางแบรนด์โรงแรม NH ยังได้เปิดโรงแรม Collection Milano CityLife และ NH Milano Corso Buenos Aires ในอิตาลี
NH Collection Frankfurt Spin Tower ในเยอรมนี NH
Collection Maldives Havodda Resort ในมัลดีฟส์ NH
Collection Dubai The Palm สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เป็นแบรนด์ครั้งแรกในตะวันออกกลาง โรงแรม NH Marina Portimão
Resort ในโปรตุเกส โรงแรม NH Boat Lagoon Phuket
Resort ภูเก็ต ซึ่งเป็นการเปิดแบรนด์ครั้งแรกในเอเชีย
ในอนาคตอันใกล้นี้ มีแผนเปิดตัวโรงแรม NH
Collection Helsinki Grand Hansa ในฟินแลนด์ NH
Collection Chiang Mai ในเชียงใหม่ และ NH
Collection Luang Prabang ใน สสปป.ลาว
ปัจจุบันไมเนอร์ โฮเทล มีโรงแรมมากกว่า 540 แห่ง ใน 56 ประเทศ ครอบคลุมทั้ง เอเชียแปซิฟิก
ตะวันออกกลาง แอฟริกา มหาสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น