ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
“สุวรรณภูมิ”นำไทยคว้า2ข่าวดี“สนามบินหรูโลก-ปลอดภัยสุด”
ถกแอร์ไลน์สทำเลาจน์หรู-ดิวตี้ฟรีดึงแบรนด์เพิ่มไอเทมช้อป
แผนสงกรานต์จัดเต็มรับ2หมื่นคน/วัน-เพิ่มใหม่SmartCarPark
คิงเพาเวอร์ชวนช้อปซัมเมอร์ดับร้อนลดออนท้อป2,500บาท
EsteeLauderเปิดPop-UpStoreแจกที่คิงเพาเวอร์สุวรรณภูมิ
ททท.บูมเทศกาลโฮลีดึงทัวร์อินเดียปี67เที่ยวไทย2.5ล้านคน
บางจากผนึกEnvironmanเพิ่มทุกทางสื่อสารต้านโลกเดือด
สุขทันทีที่เที่ยวมหาสงกรานต์ท้องสนามหลวง11-15เม.ย.นี้
7 อาหารใช้แก้ท้องอืดอาจไม่เคยรู้มาก่อนหาได้ใกล้ตัวเรา
ก.ท่องเที่ยวลุยทำเวิร์คช้อป5โจทย์ใหญ่ดันไทยฮับท่องเที่ยว
พาณิชย์-ททท.งัดแคมเปญเที่ยวฟินกินฟื้นแบรนด์ไทยซีเลค
วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ #มหาสงกรานต์ท้องสนามหลวง
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... .https://fb.watch/qSauCQsKO6/?mibextid=UyTHkb
ช่วงที่ 1 สัมภาษณ์ “นายกิตติพงศ์ กิตติขจร” ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” ต้นปี 67 นำสุวรรณภูมิรับ 2 ข่าวดี “คว้าสนามบินหรูติดอันดับ 7 ของโลก” หารือแอร์ไลน์สเพิ่มจุดขายเลาจน์กับร้านค้าดิวตี้ฟรีแบรนด์ดัง ต่อยอดขยับอันดับปี’68 พร้อมโชว์ผลงาน “จับนักจรกรรมทรัพย์สินบนเครื่องบิน” เปิดแผนรับมือผู้โดยสารเทศกาลสงกรานต์แน่น 5 วัน คาด 2 หมื่นคน/วัน กำชับจัดระบบบริการขนกระเป๋า เปิดใช้บริการใหม่ลานจอดรถไฮเทค Smart Carpark รองรับ 9,000 คัน/วัน จัดแถวจราจรเต็มรูปแบบ หลังสายการบินยืนยันยอดจองตั๋วในและทั่วโลกเต็ม 100 %
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” สุวรรณภูมิใจที่ได้ข่าวดีตั้งแต่ต้นปี 2 เรื่อง คือ เรื่องแรกคว้าตำแหน่ง “สนามบินนานาชาติหรู” ติดอันดับ 7 ของโลก เทียบเท่ากับฮีทโธรว ของสหราชอาณาจักร/อังกฤษ จากนิตยสาร Travel & Leisure อายุกว่าแปดทศวรรษ โดยมีทีมเข้าไปสำรวจแล้วให้คะแนนสูง ส่วนที่ 1 พื้นที่เลาจน์อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ SAT-1 อันโอ่โถง โอ่อ่า ทางสุวรรณภูมิจึงวางแผนต่อยอดการขยับอันดับความหรูหราของโลกให้ได้ปีถัดไป 2568 โดยหารือกับทางผู้ประกอบการสายการบินนานาชาติทุกรายให้ช่วยกันรักษามาตรฐานเลาจน์และบริการที่ดีไว้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส กับเอมิเรตส์ กำลังเร่งการก่อสร้างและตกแต่งเลาจน์ในอาคาร SAT-1
ส่วนที่ 2 พื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (duty free) ซึ่งมีแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกเข้ามาเปิดบริการโดยลงทุนตกแต่งอย่างงดงาม เนื่องจากช่วงปิดบริการตอนเกิดโควิด-19 ทางผู้ประกอบการร่วมมือกันปรับปรุงโฉมใหม่ดึงดูดความสนใจนักเดินทาง นักท่องเที่ยว ผ่านเข้าออกสุวรรณภูมิ สามารถช้อปไอเทมสินค้าแบรนด์เนมที่มีมากกว่าสนามบินอื่น ๆ สร้างรายได้ช้อปปิ้งเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กรณีประกาศใหม่ของกรมศุลกากร ปี 2567 กำหนดให้นักท่องเที่ยวที่ซื้อของร้านค้าดิวตี้ฟรีรับสินค้าได้เฉพาะขาออกเท่านั้น หมายถึงนักท่องเที่ยวที่มีตั๋วโดยสารบินต่างประเทศแล้วไปซื้อสินค้าปลอดอากรจากร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง ตามเงื่อนไขจะไม่สามารถนำออกจากร้านได้ จะต้องมารับของที่ซื้อเรียบร้อยแล้วตรงจุดรับสินค้า ซึ่งทางสุวรรณภูมิ และสนามบินอื่น ๆ มีหน้าที่ต้องเปิดเคาน์เตอร์ pick up counter ไว้บริการกับผู้เดินทางออกต่างประเทศ ตอนนี้ใช้งานแล้วมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี
เรื่องที่
2 มาตรการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการเดินทางผ่านเข้า-ออก
สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
ได้ทำสำรวจจุดอับทั้งหมดแล้วติดตั้งกล้องวงจรปิดเกือบ 8,000 ตัว
โดยมีห้องปฏิบัติการศูนย์กลางควบคุมกล้องทุกตัวโดยมีเจ้าหน้าที่มอนิเตอร์ติดตามได้ทุกซอกทุกมุม
จากเหตุการณ์ที่สามารถทำงานอย่างรวดเร็วกรณีนักท่องเที่ยวอินเดียถูกชาวจีนขโมยทรัพย์สินบนเครื่องบิน
เป็นเหตุการณ์ยืนยันได้ถึงทุกวันนี้การโจรกรรมทรัพย์สินเกิดขึ้นได้ทุกแห่ง
ปัจจุบันจะเริ่มเห็นสายการบินเริ่มติดตั้งกล้องวงจรปิดด้วยเช่นกัน
กรณีดังกล่าวทางลูกเรือสายการบินได้รับแจ้งจากผู้โดยสารเดินทางมาด้วย
ประสานแจ้งข้อมูลลงมายังภาคพื้นดินที่สุวรรณภูมิ
แล้วเจ้าหน้าที่สนามบินก็ตรวจดูกล้องวงจรปิดจนกระทั่งพบคนร้ายเดินทางเข้าออกมกราคม-กุมภาพันธ์
2567 มากถึง 24 ครั้ง
เป็นความผิดปกติแล้วยังรู้ช่องทางการเลือกขึ้นแท็กซี่ไม่ใช้บริการตรงคิวอัตโนมัติ
ซึ่งสุวรรณภูมิมีระบบเก็บข้อมูลทั้งหมด เพื่อติดตามของหายด้วย
แต่ใช้วิธีเรียกจากชานชลาชั้น 4 แทน
ซึ่งได้รับความร่วมมือจากแท็กซี่สังเกตุเห็นพฤติกรรมจึงร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กระทั่งจับกุมได้พร้อมของกลางนำไปคืนผู้โดยสารชาวต่างชาติได้
ดังนั้นจึงขอเตือนนักท่องเที่ยวหรือผู้โดยสารที่ใช้สนามบินทุกคน
เพราะการลักขโมยเกิดขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ
ชาร์จไว้กับปลั๊กบริการฟรีแล้วหลับไปก็จะมีขโมยแอบหยิบไป แต่เผชิญบริเวณต่าง ๆ
จะมีเจ้าหน้าที่ในและนอกเครื่องแบบมาร์กจุดที่มีปัญหาเป็นประจำ
จึงจับกุมได้ทุกครั้ง ด้วยพื้นที่ของสุวรรณภูมิมีขนาดใหญ่
จึงขอความร่วมมือกับทุกคนระมัดระวังทรัพย์สินของตนเองด้วย
เพราะทางสนามบินเองจัดเจ้าหน้าที่ไว้สอดส่องดูแลอย่างเต็มประสิทธิภาพ
สร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้ แต่ผู้โดยสารก็ต้องช่วยกันด้วยอีกช่องทาง
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางผ่านสุวรรณภูมิช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขณะนี้ได้หารือกับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งสายการบิน บริษัทที่ได้รับสัมปทานดูแลวางแผนให้บริการนำสัมภาระบนกระเป๋าขึ้นลงตามสายพานจะต้องทำให้ตรงเวลาทุกเที่ยวบิน บวกกับสุวรรณภูมิเตรียมเจ้าหน้าที่ในและนอกเครื่องแบบประจำตามจุดสำคัญ ๆ วางกำลังเรียบร้อยแล้ว
คาดการณ์ผู้โดยสารเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์จะประมาณ
190,000 คน/วัน
จากปัจจุบันมี 170,000 คน/วัน เพิ่ม 20,000 คน/วัน กับ “จุดจอดรถในสนามบิน” ก็เป็นอีกปัญหาใหญ่วันหยุดเทศกาล
ล่าสุดเพิ่งเปิดพื้นที่ใหม่เพิ่มลานจอดรถประชิดอาคารผู้โดยสารได้อีก 1,000 คัน ตอนนี้จอดได้รวม 9,000 คัน ตั้งแต่ 11 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ได้เปิดใช้ Smart
Carpark สามารถจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชั่นได้อย่างสะดวกผ่านระบบโอนจ่ายอัตโนมัติ
ไม่ต้องแลกหรือทอนเงินอีกต่อไป แล้วสามารถออกจากลานจอดได้ทันที
ได้ทดลองระบบใช้เต็มประสิทธิภาพตอนนี้เต็มทุกอาคารโดยมีเสียงตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อย
ๆ ทำให้การเข้าออกไหลรื่นมากขึ้นด้วย
ขณะที่ “เที่ยวบิน” ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศจะประมาณ 900 เที่ยว/วัน สูงสุด 1,000 เที่ยว/วัน แต่ “จำนวนที่นั่งโดยสาร” ตอนนี้สายการบินยืนยันตลอดเทศกาลมียอดจองเต็มเกือบ 100 % แล้ว
ส่วนการจัดการจราจรสนามบินเชื่อมโยงจากภายในอาคารผู้โดยสารกับหน้าชานชลาด้านขาเข้าเมือง ซึ่งมีรถยนต์ส่วนบุคคลมาจอดส่งญาติจอดซ้อนคัน 3 แถว จนแทบรถอื่น ๆ เหลือวิ่งได้เพียง 1 เลน จึงวิงวอนขอความร่วมมือด้วย ทางเจ้าหน้าที่พร้อมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่
ทั้งนี้เพื่อความสะดวกสงกรานต์ปีนี้ขอให้ผู้โดยสาร
“เผื่อเวลาเดินทาง” ล่วงหน้าก่อนขึ้นเครื่องบินอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อความมั่นใจและเดินทางได้ทันเวลาขึ้นเครื่องตามตารางบินที่จองล่วงหน้าไว้
เนื่องจากปริมาณผู้โดยสารช่วงเทศกาลดังกล่าวจะคับคั่งหนาแน่นอย่างแน่นอน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์ชวนช้อปซัมเมอร์ดับร้อนลดออนท้อป2.5พัน
ซัมเมอร์นี้ชวนมาช้อปสนุกกับ “คิง เพาเวอร์” ช้อปกระหน่ำดับร้อน ส่วนลดแรง แลกกะรัตสุดคุ้มละลานตากับสิทธิประโยชน์ปัง ๆ พิเศษสำหรับสมาชิก วันนี้ - 31 มีนาคม 2567 ที่ดิวตี้ฟรีในเมือง 4 สาขา คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต
สิทธิที่
1 รับเลยส่วนลดเพิ่มช้อปดับร้อนตามสถานะสมาชิกสูงสุด 20% แถมด้วยส่วนลด ON TOP อีกสูงสุด 2,500 บาท
1.รับส่วนลดทันที 600 บาท เมื่อช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) / ใบเสร็จ
2.รับส่วนลดทันที 2,500 บาท เมื่อช้อปครบ 30,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) / ใบเสร็จ
สิทธิที่
2 แลกกระหน่ำดับร้อน เมื่อช้อปครบ 50,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ)แลก 500 กะรัต รับ GIFT
VOUCHER 2,500 บาท คนละ 1 สิทธิ์ /วัน แล้วเก็บไว้ใช้ช้อปครั้งถัดไปแบบสบายกระเป๋า
ข่าวที่ 2 EsteeLauderเปิดPop-UpStoreแจกที่คิงเพาเวอร์สุวรรณภูมิ
ESTEE LAUDER เนรมิต Pop-Up Store ต้อนรับซัมเมอร์ ตั้งแต่วันนี้
– 30 เม.ย. 67 ที่ “คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ”
ฝั่งผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ โซน West
ได้รวบรวมผลิตภัณฑ์เซตบำรุงผิวยอดนิยมของ เอสเต ลอเดอร์ 1.Advanced Night
Repair 2.Revitalizing Supreme+ Youth Power Soft Crème 3.Revitalizing Supreme+
Youth Power Eye Balm และ 4.Double
Wear Stay-In-Place Makeup
พิเศษ!! นักช้อปนักเดินทางทุกคนเมื่อแวะซื้อผลิตภัณฑ์ใดก็ได้ของเอสเต
ลอเดอร์ ครบ 12,000 บาท ขึ้นไป รับของขวัญพิเศษสุดเอกซ์คลูซิฟแวะชมและช้อปได้ที่ Estee
Lauder Pop-Up Store มาช้อปก่อนรับสิทธิ์ก่อนใคร
“ซัมเมอร์ช้อปมันส์”
ที่ คิง เพาเวอร์ ด้วยบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เพื่อรับเครดิตเงินแบบกระหน่ำฉ่ำสุด
ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2567
เพื่อรับสบาย ๆ ดังนี้ 1.รับ
เครดิตเงินคืนสูงสุด 17% 2.แบ่งชำระ นานสูงสุด 10 เดือน
สำหรับบัตรของธนาคารที่เข้าร่วมรายการมีดังนี้
1.เครดิตไทยพาณิชย์ และคาร์ดเอกซ์ 2.บัตรกสิกรไทย 3.อเมริกัน เอ็กซ์เพรส 4.ออมสิน 5.ซิตี้แบงก์ 6.กรุงศรี 7.กรุงศรี
เฟิร์สช้อย วีซ่า 8.KTC 9.บัตรเครดิตทีทีบี
ทีเอ็มบี และธนชาต 10.บัตรเครดิตยูโอบี 11.บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ
ข่าวที่ 3 ททท.บูมเทศกาลโฮลีดึงอินเดียปี67เที่ยวไทย2.5ล้านคน
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า นำ
ททท.ร่วมกับสมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย ต้อนรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวอินเดีย 120 ราย นำงานเทศกาล “โฮลี (Holi) กาลา ไนท์” มาจัดในเมืองไทย ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอมารี
กรุงเทพฯ
จากนั้นจะจัดเทศกาลโฮลิต่อเนื่องระหว่างวันที่ 22-24 มีนาคม
นี้ 2 พื้นที่หลักในกรุงเทพฯ และพัทยา
ตลอดเทศกาลปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมกว่า 10,000 คน รวมถึงตลาดนี้มีความสำคัญต้องเร่งกระชับความสัมพันธ์ช่วยเผยแพร่เป็นวงกว้างตามเป้าหมายปี
2567 จะชวนอินเดียเข้ามาเที่ยวเมืองไทยให้ได้กว่า 2.5
ล้านคน เป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ 5 ของต่างชาติทั้งหมดที่มาไทย
สถิติตั้งแต่ 1 มกราคม-12 มีนาคม 2567
เข้ามาเที่ยวเมืองไทยแล้ว 373,910 คน
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม
ทางสมาคมอินเดียแห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ (B2B) ระหว่างตัวแทนขายของไทยคือกลุ่มบริษัทบริหารจัดการโปรแกรมนำเที่ยวให้กับคู่ค้าจากอินเดียรวม
120 ราย เช่น โรงแรมที่พัก สายการบิน เอนเตอร์เทนเมนท์
และอื่น ๆ ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจนำเสนอขายสินค้าบริการเจาะลึกตลาดอินเดียได้หลากหลายมากขึ้น
ททท.และพันธมิตรพร้อมจะใช้งานเทศกาลโฮลิในเมืองไทย
ปลุกกระแสการท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟท์ เพาเวอร์ ตามนโยบายหลักของรัฐบาลผลักดันให้เกิดการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ
สร้างการรับรู้ทางวัฒนธรรม ส่งมอบคุณภาพสินค้าและบริการ ความปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มสร้างประสบการณ์ทรงคุณค่าได้ด้วย
สำหรับการต้อนรับผู้ประกอบการอินเดียเริ่มต้นงานเทศกาล
โฮลี กาลา ไนทร์ มีบุคคลชั้นนำในวงการท่องเที่ยวภาครัฐและเอกชนให้เกียรติเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
ที่โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ นำโดย นายกิตติ เชาวน์ดี
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน นายสุรยุทธ ทวีกุลวัฒน์
ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายสุพจน์ วงศ์จรัสรวี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ทึ่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม Mr. Dharmendra Singh เลขาธิการ คนที่
1 ด้านเศรษฐกิจและการค้า สถานฑูต อินเดีย ประจำประเทศไทย เยาวลักษณ์
พิมพ์พะนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร วรพจน์
พงษ์พาลี ที่ปรึกษานายกเมืองพัทยา ผู้ประกอบการท่องเที่ยว สื่อมวลชนไทยและอินเดีย
ข่าวที่
4 บางจากผนึกEnvironmanเพิ่มทุกทางสื่อสารต้านโลกเดือด
นางกลอยตา ณ ถลาง รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธาน Carbon Markets Club เปิดเผยว่า ได้นำ คาร์บอน มาร์เก็ตส์ คลับ
ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับ Environman สื่อพันธมิตรของบางจาก
เดินหน้าเผยแพร่เนื้อหา ข้อมูล และความรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เช่น
ความสำคัญของคาร์บอนฟุตพริ้นท์การวางแผนเพื่อจัดการกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การตั้งเป้าหมายสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์หรือ Net
Zero ในระดับองค์กรและแนวทางปฏิบัติ
การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ส่วนบุคคล การซื้อขายคาร์บอนเครดิต นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
และอื่น ๆ อีกหลากหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
โดยจัดทำแต่ละภารกิจผ่านกิจกรรมและการดำเนินงานต่างๆ เช่น
สัมมนารายเดือน (Webinar) บทความ การถ่ายทอดความรู้ กิจกรรมอื่น ๆ
เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤตสภาวะภูมิอากาศ และความสำคัญของสังคมคาร์บอนต่ำ
สร้างการรับรู้เต็มรูปแบบสู่ภาคประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ทำให้เกิดการรับรู้เป็นวงกว้าง
แล้วหันมาร่วมป้องกันและลดผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งรุนแรงขึ้นทุกวันจนถึงขณะนี้เข้าสู่ภาวะโลกเดือดแล้ว
ถือเป็นประเด็นเร่งด่วนระดับโลกที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมป้องกันได้ เริ่มจากการ “ลด ละ เริ่ม - ลดรอยเท้าคาร์บอน ละการสร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเริ่มได้วันนี้และทุก
ๆ วัน
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่
โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ระหว่าง นางกลอยตา ณ ถลาง ประธาน คาร์บอน มาร์เก็ตส์
คลับ กับ นายพีรพล เหมศิริรัตน์ กรรมการ บริษัท เอ็นไวรอนแมน จำกัด ผู้สร้างสรรค์เพจ Environman สื่อออนไลน์แถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งได้นำเสนอประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง
โดยมีเป้าหมายต้องการมีส่วนทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น ตอนนี้กำลังทำอยู่
แล้วจะทำต่อไปอย่างเข้มข้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยต้องรอไปงานแห่งปี
“มหาสงกรานต์ เวิลด์ วอเตอร์ เฟสติวัล” ท้องสนามหลวง ตระการตากับวัฒนธรรม ประเพณี
การแสดงมากมายทั่วไทย ขบวนรถสวยงาม 11-15 เม.ย.นี้ ตามดูแลสุขภาพด้วย
“7อาหารกินแก้ท้องอืด” ได้ชะงัด และข่าวฮ็อต ๆ ข่าวแรก
“นายกฯเร่ง ก.ท่องเที่ยวเวิร์คช้อป5ประเด็น”
เข็นไทยฮับท่องเที่ยว ข่าวที่สอง “กระทรวงพาณิชย์-ททท.” ฟื้นจัดใหญ่แบรนด์ร้านThai
Select
ท่องเที่ยว
–สุขทันทีที่เที่ยวมหาสงกรานต์ท้องสนามหลวง11-15เม.ย.นี้
เตรียมชมการท่องเที่ยวแห่งปีงาน “มหาสงกรานต์
เวิลด์ วอเตอร์ เฟสติวัล” รัฐบาลเปิดพื้นที่ถนนราชดำเนินกลางและท้องสนามหลวง
ระหว่าง 11 – 15 เมษายน 2567 นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินกับไฮไลท์ วันที่
11 เมษายน
2567 ชมขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์
จะเริ่มต้นเคลื่อนขบวนจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศผ่านบริเวณถนนราชดำเนินกลางและสิ้นสุดที่ท้องสนามหลวง
มีรถพาเหรดกว่า 20
ขบวน ได้แก่ ขบวนรถพระพุทธรูป
ขบวนรถเทพีสงกรานต์ ประจำปี 2567 "มโหธรเทวี"
เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรเหนือหลังนกยูง ขบวนรถพาเหรด 16
จังหวัด พบกับความยิ่งใหญ่ตระการตา 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก 5
จังหวัดที่มีอัตลักษณ์การจัดเทศกาลสงกรานต์ที่โดดเด่น ตอนนี้ประเทศไทยเตรียมนำเสนอเพื่อขอขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช
กลุ่มสอง 5
จังหวัดนำร่อง ได้แก่ เชียงราย หนองคาย พิษณุโลก สงขลา บุรีรัมย์
กลุ่มสาม จังหวัดอื่นๆ
ที่มีศักยภาพและมีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ที่มีเอกลักษณ์ อีก 6
จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นครพนม ลำปาง เลย สุโขทัย และภูเก็ต
แต่ละกลุ่มจังหวัด พร้อมใจกันตกแต่งขบวนรถพาเหรดที่แสดงถึงประเพณีวัฒนธรรม
บ่งบอกถึงสัญลักษณ์หรือของดีประจำจังหวัด
พร้อมด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมโดยนักแสดงและผู้ร่วมขบวนแห่กว่าพันคน
ตื่นตากับ “ขบวนรถพาเหรด ซอฟท์
พาวเวอร์ 4 สาขา ทั้ง แฟชั่น เกม ภาพยนตร์และซีรีส์
เฟสติวัล แห่กันสร้างสรรค์ผลงานมาโชว์เอกลักษณ์ซอฟท์ พาวเวอร์ ของไทยในแต่ละสาขาอย่างน่าสนใจ เช่น
1.ธีม “สยามบีแอล” ในชุดไทยประยุกต์ร่วมสมัย
จะมีนักแสดงจากค่ายผู้ผลิตซีรีส์วายชั้นนำร่วมขบวนรถพาเหรด
2.การแสดงทางวัฒนธรรม 4
ภาค สะท้อนเทศกาลและงานประเพณีต่าง ๆ ของไทย
อยากชม “ขบวนรถพาเหรดมหาสงกรานต์”
ต่อจากวันแห่อลังการแล้ว ก็ยังมาชมอย่างใกล้ชิดได้จนถึงวันที่ 15 เมษายน
เมื่อแห่เสร็จก็จะนำไปจอดแสดงโชว์กลางท้องสนามหลวง
สงกรานต์ปีนี้ รัฐบาลเปิดบริเวณท้องสนามหลวง
ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับ ศิลปวัฒนธรรมไทย อัตลักษณ์ประเพณีสงกรานต์ และซอฟท์
พาวเวอร์ไทย ด้วยนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ อย่างเต็มอิ่ม
พิกัดที่ 1 ตรงเวทีจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม
เช่น การแสดงโขน รำมโนราห์ การแสดงร่วมสมัยผสมผสาน
การแสดงดนตรีออเครสต้าร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก
พิกัดที่ 2 สงกรานต์อัตลักษณ์
5 ภาค นำเสนอความสวยงามของวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น
ได้แก่ เวณีปี๋ใหม่เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ประเพณีสงกรานต์กรุงเก่า
จ.พระนครศรีอยุธยา ประเพณีแห่ต้นดอกไม้ จ.เลย ประเพณีก่อพระทรายวันไหล จ.ชลบุรี
และประเพณีแห่นางดาน จ.นครศรีธรรมราช
พิกัดที่ 3 โซน
ซอฟท์ พาวเวอร์ นำเสนอเอกลักษณ์ในแต่ละสาขาได้แก่ กีฬา อาหาร ท่องเที่ยว หนังสือ
และการออกแบบ
สาขาแรก “กีฬา” นำเสนอภายใต้แนวคิด Muaythai
Maha Songkran จะจัดการแสดงไหว้ครูมวยไทย
การแสดงนาฏยุทธ์มวยไทย การแข่งขันมวยไทย โดยมีนักกีฬามวยไทยที่มีชื่อเสียงร่วมงาน ชมการสาธิตมวยโบราณ
สาขาที่ 2 “อาหาร”
โชว์แนวคิด “อาหารหน้าร้อนเย็นชื่นใจ มหาสงกรานต์” สาธิตอาหารไทยโบราณ
อาหารไทยชาววัง และขายอาหารไทยหน้าร้อนรูปแบบฟู้ดทรัค
สาขาที่ 3 ท่องเที่ยว
เชิญสัมผัสประสบการณ์ 365 วัน มหัศจรรย์เที่ยวเมืองไทย
เสนอขายแพคเกจท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึง มีลานเล่นน้ำ การแสดงน้ำพุประกอบดนตรี
อุโมงค์น้ำ ถังน้ำล้นยักษ์ สถานีน้ำ บริการนักท่องเที่ยวร่วมเล่นน้ำ
พิกัดที่ 4 โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์
และสุดยอดของดีโอท็อปจากทั่วประเทศ
ในวันที่ 13 เมษายน 2567 ในโอกาสวันปีใหม่ไทยจะมีกิจกรรมพิเศษ ทำบุญตักบาตร
กิจกรรมสรงน้ำพระเพื่อขอพรเสริมสิริมงคล รดน้ำผู้สูงอายุ ร่วมอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยอันดีงามร่วมกัน
สุขภาพ
–7 อาหารแก้ท้องอืดอาจไม่เคยรู้มาก่อนหาได้ใกล้ตัวเรา
อาหารหลายชนิดอาจมีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้
ซึ่งอาหารแก้ท้องอืดส่วนใหญ่สามารถหารับประทานได้ง่าย ๆ ใกล้ตัว
โดยตัวอย่างอาหารที่สามารถช่วยขับลมในกระเพาะอาหารได้มี 7 ชนิด ดังนี้
1. โยเกิร์ต อุดมไปด้วยโพรไบโอติก
ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ดีและมีประโยชน์ต่อลำไส้
โดยโพรไบโอติกมีส่วนช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร
และช่วยดูแลระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรง
การรับประทานโยเกิร์ตจึงอาจช่วยแก้อาการท้องอืดได้ แนะนำควรเลือกกินโยเกิร์ตสูตรไม่มีน้ำตาล
ซึ่งน้ำตาลอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้
2. สับปะรด จะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าโบรมีเลน
(Bromelain) ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการช่วยย่อยสลายโปรตีน
ทำให้อาหารที่รับประทานเข้าไปนิ่มขึ้น
จึงมีส่วนช่วยในกระบวนการย่อยอาหารของร่างกาย
อีกทั้งสับปะรดเป็นผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก
การรับประทานสับปะรดจึงสามารถช่วยแก้ท้องอืดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. กล้วย เป็นหนึ่งในอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
ซึ่งโพแทสเซียมมีคุณสมบัติในการช่วยรักษาสมดุลของของเหลวภายในร่างกาย
ช่วยลดการกักเก็บน้ำโดยการควบคุมระดับโซเดียมภายในร่างกาย จึงอาจช่วยลดอาการท้องอืดที่เกิดจากการสะสมของโซเดียมได้
อีกทั้งกล้วยยังมีใยอาหารสูง ซึ่งใยอาหารมีส่วนช่วยในกระบวนการขับถ่าย
จึงอาจช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย
4. แตงกวา มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 96%
การรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากจะช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีช่วยลดปริมาณแก๊สในกระเพาะอาหาร
และส่งผลให้อาการท้องอืดบรรเทาลงได้ แล้วแตงกวายังมีสารสารฟลาโวนอยด์ชื่อว่าเควอซิทิน
(Quercetin) มีคุณสมบัติต้านอักเสบ
จึงอาจสามารถช่วยลดอาการบวมบริเวณท้องได้ด้วย
5. น้ำขิง ในขิงจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าซิงกิเบน (Zingibain) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยย่อยสลายโปรตีน ช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หากมีอาการท้องอืดเกิดขึ้น
การดื่มน้ำขิงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการได้ แล้วขิงยังอาจมีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการท้องผูกด้วย
6. ชาสะระแหน่ การดื่มชาสะระแหน่ จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร
ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้
ทำให้แก๊สที่อยู่ในกระเพาะสามารถระบายออกมาได้ ส่งผลให้อาการท้องอืดบรรเทาลง การดื่มชาสะระแหน่ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
ไม่สบายท้อง แก้ท้องผูกด้วย
7. อาหารหมักดอง อย่างผักดองหรือกิมจิ ชาหมัก (Kombucha) คีเฟอร์ (Kefir) อาจเป็นอาหารแก้ท้องอืดที่หลายคนนึกไม่ถึง
ในอาหารเหล่านี้จะมีโพรไบโอติกช่วยปรับปรุงการทำงานของลำไส้
และสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาหมักที่อยู่ในรูปแบบของเครื่องดื่มอัดลม เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดเพิ่มขึ้นได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
–ก.ท่องเที่ยวทำเวิร์คช้อป5โจทย์ใหญ่ดันไทยฮับท่องเที่ยว
นางสาวสุดาวรรณ
หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เปิดเผยว่า นายเศรษฐา
ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ให้เกียรติเป็นประธานเวทีระดมสมอง “WORKSHOP IGNITE THAILAND’S TOURISM” โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำทุกภาคส่วน
ทั้งหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน
ระดมสมองกำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์นำศักยภาพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เต็มที่
สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
เพิ่มรายได้ในทุกมิติตามเป้าปี 2567
รัฐบาลตั้งไว้ 3.5
ล้านล้าน สูงกว่าปี 2566 ทำได้
2.13 ล้านล้านบาท
รายได้การท่องเที่ยวปี 2567 จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากสุดถึง
18.64 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(GDP) ทั้งหมด ปี 2566 ทำได้ประมาณ
12.80 % จึงจำเป็นต้องผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทำเป้าหมายให้ชัดเจน
โดยปรับเกณฑ์การพัฒนาให้ท้าทายมากขึ้น ปรับกลยุทธ์กระตุ้นนักท่องเที่ยวเพิ่มรายจ่ายต่อทริปและเพิ่มวันพักกระจายอย่างทั่วถึงทั้งเมืองหลักและเมืองรอง
สำหรับการทำเวิร์คช็อปครั้งแรกวันที่
15 มีนาคม
2567
ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะร่วมกับทุกหน่วยระดมสมองผลักดัน 5
ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ThingsMustDoInThailand ประเทศไทยมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรมทรัพยากรธรรมชาติ
ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตที่น่าสนใจจนเกิดเป็นแบรนด์ อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แม่เหล็กดึงดูดคนทั่วโลกมาเยือนไทย
ได้แก่ อาหารไทย มวยไทย ผ้าไทย วัดไทย และไทยโชว์
เฟ้นหาวิธีช่วยกันผลักดันสินค้าอยู่ในใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกนึกถึงไทยเป็นประเทศแรก
ใช้ความทรงพลังเอกลักษณ์ไทยมีรอยยิ้ม เก็บความประทับใจติดใจกลับไปบอกต่อแล้วเลือกมาเที่ยวซ้ำ
ๆ
ประเด็นที่ 2
จุดพลังเมืองหลักชูเมืองรอง ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยว
ประเพณี วัฒนธรรม หลากหลาย ด้วยอัตลักษณ์เฉพาะแต่ละพื้นที่กับภูมิประเทศต่างกัน
มีศักยภาพและความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ช่วยให้เกิดการค้นหา
สัมผัสประสบการณ์ เดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วประเทศ
ก็จะวิธีผลักดันทุกเมืองท่องเที่ยวได้ทั้ง 365
วัน “มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน”
เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่เมืองรอง
ส่งต่อและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เข้าไปสัมผัสประสบการณ์
ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตเมืองรองใหม่ ๆ โดยพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
ยกระดับมาตรฐานที่พัก ร้านอาหาร กิจกรรมการท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ สร้างรายได้
ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนให้เกิดความยั่งยืน
ประเด็นที่ 3
ยกระดับเวิลด์ คลาส อีเวนต์ เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกลุ่มไมซ์
เพราะไทยมีศักยภาพความพร้อมจะพัฒนาสู่เมืองแห่งอีเวนต์โลกได้
โดยเตรียมความพร้อมสนามกีฬาขนาดใหญ่ ศูนย์การประชุม ศูนย์จัดการแสดงสินค้าที่มีมาตรฐานรองรับงานนานาชาติได้ โดยจะหาวิธีทำให้ไทยเป็น “เมืองศูนย์กลางมหกรรมความบันเทิงระดับโลก
ก้าวสู่เมืองศูนย์กลางงานเทศกาล งานศิลปะ งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ
การประชุมระดับนานาชาติ และมหกรรมคอนเสิร์ต โดยนำศิลปินอินเตอร์เข้ามาดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
และจัดงานเมกะอวีเวนต์ยกระดับเทศกาลไทยLocal to Global เช่น
มหาสงกรานต์ ลอยกระทง
ประเด็นที่ 4 ประสานพลัง ASEANConnectivity เชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ โดยจะหาวิธีเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ
ผ่านเส้นทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน จับมือกับพันธมิตรระดับภูมิภาค
ใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยด้านโครงข่ายคมนาคมทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ ผนึกรวมการท่องเที่ยวในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว
โดยตั้งเป้าให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางหลัก ดึงจุดแข็งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเพื่อนบ้านมารวมเป็นแพกเกจดึงดูดนักท่องเที่ยว
สนใจเข้ามาค้นหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิม ต่อจิ๊กซอว์เส้นทางที่ทำได้
รวมทั้งผลักดันให้เกิด Single Visa พร้อมกับนำเทคโนโลยีมายกระดับการบริหารจัดการพิธีการข้ามแดน
ปลดล็อคอุปสรรคการข้ามแดน เชื่อมโยงล้อ ราง เรือ อย่างเป็นระบบ โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางก้าวสู่เป็น
“อาเซียน วัน เดสติเนชั่น”
ประเด็นที่ 5
การสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว
เมื่อจะเป็นฮับการท่องเที่ยวต้องให้ความสำคัญกับ
ปัจจัยแรกคือประสบการณ์ความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในการตัดสินใจเลือกเป็นจุดหมายของโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว
โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ความสะดวก ความสะอาด ปัจจัยที่สอง สิ่งแวดล้อม
ต้องบูรณาการความร่วมมือกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ใช้เสน่ห์
ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของคนไทย ดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว
ร่วมกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยเพิ่มความอุ่นใจให้นักท่องเที่ยว ควบคู่กับอัพเกรดมาตรฐานการให้บริการเพิ่มคุณภาพมากขึ้น
ใส่ใจความสะอาด ตระหนักความสำคัญของสิ่งแวดล้อม นำเทคโนโลยีมาใช้สร้างประสบการณ์ที่ดีกับภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ
ให้เกิดกระแสกลับมาท่องเที่ยวซ้ำและบอกต่อเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองอันอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้กลับมาพักผ่อน
รมว.สุดาวรรณ ย้ำว่า
หลังเสร็จสิ้นการเวิร์คช็อปแล้วระดมสมองบรรลุตามเป้าหมายครบทั้ง 5 ประเด็นแล้ว
ก็จะนำมากำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ ร่วมมือกันส่งเสริม สนับสนุน สร้างจุดเด่น
ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน มองและใช้ศักยภาพผู้นำทางโอกาสเป็นเครื่องมือนำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยก้าวสู่ความสำเร็จเป็นเครื่องจักรหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างมั่นคงแข็งแรงยั่งยืน
ข่าวที่สอง -พาณิชย์-ททท.งัดแคมเปญเที่ยวฟินกินฟื้นแบรนด์ไทยซีเลค
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นำกระทรวงพาณิชย์เปิดแคมเปญ “เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT” ใช้พลังอาหารไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยขยายโอกาสผู้ประกอบร้านอาหารไทยที่ได้รับเครื่องหมาย
Thai SELECT ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสร้างการรับรู้แก่นักท่องเที่ยว
การันตีมาตรฐานอาหารไทยเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่ดี ร้านสะอาดถูกสุขอนามัย สะท้อนวัฒนธรรมอันโดดเด่น
บริการแบบมืออาชีพ โดยมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่งเสริมร่วมกับ
3 พันธมิตร คือ บัตรกรุงไทย ไลน์แมน
และแม็คโคร เชื่อมโยงการท่องเที่ยวพร้อมกับกระตุ้นยอดขายให้ร้านอาหาร Thai SELECT ทั่วประเทศ
ล่าสุดจัดมหกรรมงาน
เที่ยว ฟิน กิน ไทย ซีเลค เพื่อแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการ 8 ราย ได้แก่ 1 ร้าน R-HAAN
ร้านพลู ร้านม่านเมือง ร้าน นอร์ธ ร้านส่งเสริมโภชนา
ร้านเป็นลาว ร้านขมิ้น และร้านบ่อทองบุรี ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์มีพันธมิตรร่วมสนับสนุนอีกทาง ได้แก่ เดอะมอลล์ นิตยสารกูร์เมท์แอนด์ควีซีน
ช่วยประชาสัมพันธ์และโปรโมทร้านอาหารให้เข้าถึงนักชิมได้มากขึ้น รวมทั้งวิทยาลัยดุสิตธานี
วิทยาลัยเทคโนโลยีครัววันดี แม็คโครโฮเรก้า อคาเดมี ครัวการบินไทย สมาคมเชฟประเทศไทย จะเข้ามายกระดับความรู้ให้ผู้ประกอบการไทย
เสริมแกร่งธุรกิจร้านอาหาร และลงพื้นที่ให้คำปรึกษาแบบใกล้ชิด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวเสริมว่า แคมเปญนี้ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 ร้านอาหาร Thai SELECT จะจัดโปรโมชันส่วนลดและมอบสิทธิพิเศษ
รวมกว่า 700,000 บาท ได้แก่
กิจกรรมอร่อยลุ้นโชค 2 ต่อ เพียงทานอาหารที่ร้านอาหารไทย ซีเลค ครบ 1,000
บาทขึ้นไป รับของสมนาคุณสุดพรีเมียม 500 รางวัล และส่งใบเสร็จลุ้นรับบัตรกำนัลทานอาหารฟรี
มูลค่า 10,000 บาท 5 รางวัล และ 2,000 บาท 50 รางวัล กิจกรรมรีวิวดีมีรางวัล
เพียงโพสต์รูปภาพหรือวิดีโอ พร้อมรีวิวความประทับใจต่อร้านอาหารดังกล่าว
ติดแฮชแท็ก #เที่ยวฟินกินthaiselect #อาหารไทยต้องthaiselect ทางเฟซบุ๊ค หรือ Tiktok ของตนเอง พร้อมเปิดโพสต์เป็นสาธารณะ
ลุ้นรับคูปองเงินสดฟรี 1,000 บาท 100 รางวัล และเที่ยวฟินกินเมืองรอง ทานอาหารที่ร้านไทยซีเลคในเมืองรอง
ลุ้นรับของที่ระลึก 100 รางวัล รวมทั้งรับสิทธิพิเศษจากพันธมิตร เช่น
ส่วนลดจากบัตรเครดิต KTC สูงสุด 10% โค้ดส่วนลด 50 บาท
เมื่อสั่งอาหารจากร้านอาหารไทยซีเลคผ่านไลน์แมน LINEMAN
กิจกรรมที่ 2 ประกวดคลิปสั้นภายใต้สโลแกน
อาหารไทย ต้อง Thai SELECT เหล่า Creator
ต้องห้ามพลาด ชิงเงินรางวัลรวม 300,000 บาท
พร้อมเกียรติบัตรและโล่รางวัล
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ททท. ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ทำแคมเปญ เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT
เป็นจุดเริ่มต้นเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับร้านอาหารไทยซีเลคทั่วประเทศ ส่งผ่านกระแสอาหารและร้านไทย
ประชาสัมพันธ์เพิ่มการรับรู้ตามช่องทางและสื่อต่าง ๆ ของ ททท. และยังได้ออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวสู่ร้านไทยซีเลคนำร่องจังหวัดนครราชสีมาและร่วมกับผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรฐานรางวัลทางการท่องเที่ยว
3 โครงการ ได้แก่
โครงการแรก รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยหรือรางวัลกินรีที่รับรองคุณภาพสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวด้วยมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
รับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม
ผลักดันให้ผู้ประกอบการยกระดับสินค้าให้มีคุณภาพ
โครงการที่ 2 มาตรฐานดาวหรือ STAR : Sustainable Tourism Acceleration Rating เน้นสร้างมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขับเคลื่อนภาคธุรกิจให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน
โครงการที่ 3 มิชลิน ไกด์ ไทยแลนด์ ยกระดับร้านอาหารไทย สร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ผลสรุปล่าสุดเมื่อ 14 มีนาคม 2567 มีร้านอาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 370 ร้าน แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 59 ร้าน ภาคเหนือ 68 ร้าน ภาคกลาง 81 ร้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 69 ร้าน ภาคใต้ 67 ร้าน และภาคตะวันออก 26 ร้าน
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น