เปิดใจผอ.ใหม่TCEB“จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา”
ผู้นำมืออาชีพผ่าแผนพัฒนาไทยฮับไมซ์เอเชีย
ชู8ศุกร์หรรษาเซลแหลกที่คิงเพาเวอร์ศรีวารี
TTM+2017ดึงอุตฯทัวร์56ประเทศช้อปสินค้าไทย
ททท.โหมบิ๊กอีเวนต์ไทย-เทศสร้างความสำเร็จ
ขึ้นดอยชมศูนย์ฯปางตอง/ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน
2โปรโมชั่นแรงบางกอกแอร์ตั๋วทัวร์เริ่มพันบาท
“ชนินทร์”นำประชารัฐใช้3กลยุทธ์พลิกท่องเที่ยว
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางได้มือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังในyoutubeทาง www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza
ช่วงที่ 1 “คุณจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการคนใหม่ของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) จะมาเปิดใจในรายการถึง การก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำ TCEB” ยุคใหม่จะโชว์ความสามารถ “บริหารจัดการองค์กร” อย่างมืออาชีพ เน้น “การพัฒนา” ควบคู่กันทั้ง “ภายในและภายนอก” และการปรับโครงสร้างจัดตั้งหน่วยงานใหม่ “MARKETING INTELLIGENT” เข้ามาเป็นหัวหอก ค้นหานวัตกรรม เทคโนโลยี ใช้เครื่องมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนำไมซ์มาเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างมั่งคั่ง ยั่งยืน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์เอเชีย
คุณจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เปิดใจกับทางรายการถึงการเตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็น ผอ.คนใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้ โดยเตรียมวางแผนบริหารจัดการในฐานะที่เป็นลูกหม้อของทีเส็บเข้ามาทำงานตั้งแต่ปี 2546 อยู่กับอุตสาหกรรมไมซ์มานานกว่า 15 ปี ทั้งการจัดประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล งานอีเวนต์ และเมื่อ 3 ปีที่แล้วไปดึงงาน “เมกะอีเวนต์”มาจัดในเมืองไทยด้วย
สิ่งสำคัญที่จะต้องทำประการแรก “พัฒนาโอกาส” ให้เท่าเทียมกัน ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการใกล้ตัว งานส่วนใหญ่จึงกระจุกตัวอยู่กรุงเทพฯ ทั้งที่มีศูนย์ประชุมที่เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกตามความต้องการของผู้จัดการ ดังนั้นทีเส็บมีหน้าที่หลักต้องเข้าไปสร้างโอกาสใหม่ๆ
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาตามนโยบายของรัฐบาลวางเป้าหมายทำให้ “ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์แห่งเอเชีย” จากนั้นในอีก 5-10 ปีต่อมาได้ขยายให้ไมซ์เป็น”อุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ” ด้วย
กลยุทธ์การพัฒนานั้นเป็นไปตามแนวที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวอยู่เสมอว่าการพัฒนานั้นไม่ควรจะดูแลอยู่เพียงกลุ่มเดียว แต่ต้องพาไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นตามเมืองใหญ่ ๆ ที่มีศูนย์ประชุมตั้งอยู่นั้น โดยเฉพา “พัทยา” กำลังจะยกระดับเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Economic Coridor : EEC เป็นโอกาสนำไมซ์เข้าไปช่วยทำให้การพัฒนาเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น
ตัวอย่างในขณะนี้มีความเคลื่อนไหว “สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา” ตกลงจะเป็นสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนล ต่อไปการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่าง การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ก็จะเติบโต จึงสามารถที่จะส่งเสริมพัทยาเป็นสถานที่จัดนิทรรศการแสดงสินค้านานาชาติได้เป็นอย่างดี
หรือนโยบายไทยแลนด์ 4.0 มองในมุมของทีเส็บสามารถเข้าไปยัง 5 อุตสาหกรรมหลักได้ เช่น อุตสาหกรรมโรบ็อต หุ่นยนต์ ก็เข้าไปแล้ว เริ่มจากเล็ก ๆ ด้วยการจัดสัมมนาพบปะพูดคุย ทางทีเส็บมีหน้าที่ต้องเตรียมคนด้วย
ในฐานะที่ผมทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมไมซ์และท่องเที่ยวรวม ๆ แล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 ปี จึงมีเครือข่ายการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยต้องคำนึงถึงหัวใจสำคัญสำคัญที่สุดว่าอะไรเป็นส่วนทำให้ประเทศไทยเกิดความยั่งยืน เพราะเมื่อพูดกันออกไปแล้วต้องไม่ติดกับประโยคสวยหรูต่าง ๆ แต่ไม่สามารถปฎิบัติได้จริง
สำหรับทีเส็บสิ่งแรกคือ “โครงสร้างขององค์กร” หน่วยงานใหม่ที่จะต้องเกิดขึ้นคือ Marketing Intelligent เพื่อเริ่มเดินหน้าการตลาดเชิงรุก ด้วยการนำนวัตกรรมทางการจัดงานเข้ามาใช้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันแต่ละหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศต้องการคือ ความสะดวก ที่ผ่านมาได้พยายามทำให้คนที่จะเดินทางเข้ามาจัดและร่วมงานจากทั่วโลกมีระบบอำนวยความสะดวกอย่างมากที่สุด หรือการปรับแก้กฎระเบียบเพื่อ ให้รองรับกับไมซ์ในระดับสากล แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดียวที่จะทำ
การนำความคิดเชิงสร้างสรรค์ ผนวกกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นภารกิจที่จะต้องเร่งทำต่อไป ตัวอย่างทีเส็บร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ จัดงาน “สานต่องานพ่อสอน” เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 เป็นงานประชุมสัมมนาขนาดใหญ่มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนหลายร้อยคน ได้ทดลองวางระบบการจัด ตั้งแต่วิธีลงทะเบียนล่วงหน้าด้วยดิจิตอล แล้วนำมาคิวอาร์โค้ดมาบริการให้ผู้เข้าร่วมประชุมสแกนข้อมูลที่พูดคุยกันบนเวทีตลอดงาน สามารถติดต่อกันโดยใช้มือถืออย่างเต็มศักยภาพ หรือการประชุมแบบเรียลไทม์ติดต่อกันได้หลายประเทศ
หรืออีกตัวอย่างคือ Economy Exihibition เมื่อก่อนไม่รู้ว่ามีบูธอยู่กว่า 100 บูธ จัดงานแสดงสินค้าจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ยุคที่ผ่านมาจะไม่สามารถรู้คำตอบได้เลยว่าบูธใดได้รับความสนใจมีคนเข้าไปเยี่ยมชมเจรจาธุรกิจมากที่สุด เพราะแต่ละบริษัทเก็บเป็นความลับทางธุรกิจ ต่างจากยุคปัจจุบันสามารถใช้เทคโนโลยี “วัดสีจากอุณหภูมิ” ได้ว่าโซนใดมีคนเข้าไปอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากก็จะเห็นภาพสีเข้มปรากฏชัด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทางทีเส็บจะต้องค้นหาข้อมูล เพื่อมาแนะนำแก่ผู้จัดงานในประเทศไทย ให้ทัดเทียมและก้าวหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับ Maketing Intelligent จะเป็นหน่วยใหม่ในองค์กรโดยใช้บุคลากรที่ทำอยู่แล้ว เข้ามาทำหน้าที่ “คิดค้นเครื่องมือทางเทคโนโลยี” ผนวกเสริมการตลาด เพราะปัจจุบันในฝ่ายเอ็กซิบิชั่นของทีเส็บมีคนทำงานหน่วย intelligent และ innovation อยู่แล้ว หรือฝ่ายตลาดในประเทศเองก็มีหน่วยงานหนึ่งเรียกว่า MICE CITY หน่วยงานนี้มีเจ้าหน้าที่เพียง 1-2 คน ดูถึง 5 เมือง ลำพังเดินทางไปประชุมก็ทำงานไม่ทันแล้ว เพราะคนน้อยเกินไป สิ่งที่ผมปรารถนาเมื่อเข้ามารับตำแหน่งคือ จะแต่งตั้งเป็น “ผู้จัดการไมซ์แต่ละเมือง” หรือ Area base manager สามารถดูแลงานแยกแต่ละจังหวัดที่ได้รับแต่งตั้งเป็นไมซ์ ซิตี้ ส่วนวิธีการทำงานจะไปอยู่ในพื้นที่หรือสำนักงานใหญ่ก็ได้
ขณะนี้ทีเส็บแต่งตั้งไมซ์ ซิตี้ ไว้ 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น และพัทยา ซึ่งต่อไปผู้ที่รับผิดชอบดูแลพัทยาจะต้องมีองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจด้วย เพราะรัฐบาลกำลังยกระดับชายฝั่งตะวันออกเป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ EEC สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาไมซ์ ซิตี้ เมืองลักษณะดังกล่าว
การวางแผนบริหารจัดการทำงาน เรื่องแรก คือการสื่อสารกันภายในองค์กรถึงแผนงานที่จะทำไปด้วยกัน เพราะผมรู้จักคุ้นเคยกับพนักงานเป็นอย่างดี และต้องวางกำลังคนให้เหมาะสมกับงานแล้วก้าวไปพร้อม ๆ กัน
โดยจะลงมือเลือกตามลำดับความสำคัญของพื้นที่ไมซ์ ซิตี้ ในระยะ 4 ปีข้างหน้า ภาคตะวันออกจะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมเส้นทางไปถึงชายฝั่งทะเลตะวันออก พัทยา กับสนามบินอู่ตะเภา ทีเส็บก็ควรจะเริ่มพัฒนาเต็มรูปแบบทั้งทางด้านการตลาด เศรษฐกิจ นำไมซ์เข้าไปขยายผลต่อยอดกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ขณะที่การส่งเสริม “โครงการพระราชดำริ” เพื่อเป็นสถานที่หลักการจัดงานไมซ์ขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ โดยได้พยายามเสนอหน่วยงานราชการ และบริษัทที่มีเครือข่าย ให้ไปทำซีเอสอาร์ พนักงานของทุกหน่วยงานจะได้ทั้งการเรียนรู้และข้อมูลการศึกษาหลายส่วนที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์พัฒนาการเรียนรู้โครงการพระราชดำริ โครงการหลวง โครงการแม่ฟ้าหลวง และอีกหลากหลายโครงการ
อีกทั้งยังมีกิจกรรมการตลาดโครงการ “ประชุมเมืองไทย อิ่มใจ ตามรอยพระราชดำริ” ทางทีเส็บส่งเสริมร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระทำหน้าที่ประสานเพื่อให้เข้าไปจัดงานตามโครงพระราชดำริ โดยมีอินเซ็นทีฟพิเศษให้แก่หน่วยงานที่เข้าไปจัดงาน ตอนนี้ได้คัดเลือกไว้ 19 โครงการ ดิน น้ำ ลม การกำจัดของเสีย ในมิติต่าง ๆ เหล่านี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานองค์ความรู้ให้เราได้นำไปคิดใช้แก้ปัญหา ซึ่งการทำซีเอสอาร์ของบริษัททั้งหลายที่ไปแค่ปลูกต้นไม้แล้วกลับบ้าน คงจะไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไร แตกต่างจากการเข้าไปทำซีเอสอาร์ในโครงการพระราชดำริ มีเรื่องราวแท้จริงให้ศึกษาเรียนรู้ ไปกันครั้งละราว 100 คนก็ถือว่าเป็นคุณแก่บ้านเมือง
ภารกิจในการ “นำรายได้กระจายสู่ชุมชน” ทีเส็บจะทำหน้าที่หลักทางด้านการตลาด โดยได้ไปนำงานระดับโลกขนาดใหญ่มาจัดในประเทศไทย ช่วงปี 2561-2562 เช่น งาน UFI INTERNATIONAL CONGRESS BANGKOK 2019 งาน UFI 2019 ซึ่งเป็นงานของออการ์ไนเซอร์ทั่วโลก หรืองาน SITE ก็มีตลาดมาจากทั่วโลกเช่นกัน หรือ IMEX 2016 ที่เยอรมันตอนนี้ได้ธุรกิจเข้ามายังไทยเกินกว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงาน 10TH Biennail Scientific Meeting of Asia Pacific Paediatric Endocrine , The 8th International Crongress of Asian Society of Toxiology (Asiatox2018)
ตอบได้ว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ เอเชีย” ทีเส็บจึงจะต้องเพิ่มจำนวนงานขนาดใหญ่ดึงเข้ามาจัดในไทยมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้ “ไมซ์” เป็นกลไกการพัฒนา ด้วยกลยุทธ์การรักษาตลาดเดิมเสริมตลาดใหม่ ตามนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล
ผมมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในการเข้ารับตำแหน่ง “ผู้อำนวยการทีเส็บคนใหม่” จะทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจผ่านการสื่อสารกันภายในองค์กร รวบรวมจิตใจทำงานหนักมากขึ้นเพื่อให้ภารกิจงานสำเร็จทั้งกับองค์กรและประเทศ ซึ่งจะต้องติดตามดูต่อไปในปี 2561
แต่ก็ไม่อยาก “นำตัวเลข” มาเป็นเกณฑ์ความคาดหวัง เพราะ “การพัฒนา” ต้องให้น้ำหนักกับการ “รักษา” ให้ตัวเลขไม่ลดลง โดยผู้นำองค์กรจะหันมารักษามาตรฐานยอดรายได้ไมซ์แต่ละปี ควบคู่กับการเดินหน้าขับเคลื่อนการตลาดให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จากตัวเลข IMEX ที่เป็นอานิสงเข้าประเทศหลังจากทีเส็บได้ไปเปิดตลาดเจรจาธุรกิจไว้ ก็เป็นดัชนีสะท้อนถึงความสำเร็จในวันนี้ได้ เพราะยิ่งทำงาน ยิ่งพัฒนา เข้มแข็งมากเท่าไร ผลลัพธ์ก็จะเติบโตเป็นรายได้เพิ่มตามไปด้วย
“จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ได้เปิดใจรูปแบบการเป็นผู้นำทีเส็บคนใหม่ จะเน้น “พัฒนา” ทุกองคาพยพทั้งภายในองค์กร ภายนอกระดับประเทศและนานาชาติ ขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน ในเชิงความคิดสร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีกับนวัตกรรมผสมผสานกันไป ก็จะทำให้เกิดไทยแลนด์ไมซ์ 4.0 ได้นั่นเอง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “8ศุกร์หรรษา ที่ คิง เพาเวอร์ ศรีวารี”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เร่งสานฝันรัฐบาลในการช่วยเพิ่มรายได้จากตลาดนักช้อปต่างชาติและคนไทย ด้วยการจัดมหกรรม Sale พิเศษ “8 ศุกร์หรรษา ลดสูงสุด 30% ขึ้นอีก ที่ คิง เพาเวอร์ ศรีวารี” โดยจะลดพิเศษเฉพาะวันศุกร์เพียง 8 ครั้งเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ 9 มิถุนายน-28 กรกฎาคม 2560 นี้ โดยมีโปรโมชั่นมากมายมามอบให้ลูกค้าคนไทย และสมาชิก คิง เพาเวอร์ ถึง 7 รายการด้วยกัน ได้แก่
1.เพียงแค่ลงทะเบียนซื้อสินค้า รับไปเลยคูปองส่วนลดมูลค่า 800 บาท สำหรับซื้อสินค้าราคา 2,500 บาทขึ้นไป
2.ส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ
3.รับฟรีทันที Gift Voucher 2,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 28,000 บาท พิเศษเมื่อช็อปครบ 28,000 บาทติดต่อกัน 8 สัปดาห์ สัปดาห์สุดท้ายรับ Gift Voucher เพิ่มเป็น 5,000 บาท
4.รับฟรีทันที Gift Voucher มูลค่า 50,000 บาท เมื่อมียอดช็อปสูงสุด ตั้งแต่ 800,000 บาทขึ้นไป (1 รางวัล / สัปดาห์)
5.พิเศษสุดสำหรับลูกค้า Top Spender ลุ้นแพ็กเกจล่องเรือสำราญ Royal Caribbean เส้นทาง สิงคโปร์-มาเลเซีย เมื่อสะสมยอดซื้อสูงสุด ทุกวันศุกร์ตลอดรายการ ตั้งแต่ 1,800,000 บาทขึ้นไป
สอบถามเพิ่มได้ที่ คอล เซ็นเตอร์ 1631 หรือเข้าไปดูที่ www.kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.ยึดเวทีTTM+2017ขายสารพัดสินค้าไทย”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเยว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนพร้อมแล้วกับการเข้าร่วมงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2017 ระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การประชุมและการแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ธีม “Delivering Unique Experiences” โดยมี “ผู้ขาย” ในประเทศ และผู้ประกอบการจากประเทศเพื่อนบ้านแถบลุ่มน้ำโขง รวมทั้งสิ้น 421 บูธ จาก 362 หน่วยงาน ในจำนวนนี้เป็นประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 13 หน่วยงาน ส่วน “ผู้ซื้อ” จากต่างประเทศจาก 56 ประเทศ เข้าร่วม 348 ราย กลุ่มผู้ซื้อติดยอดนิยม 5 อันดับแรก จากตลาดหลักที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ จีน สหราชอาณาจักร อินเดีย ออสเตรเลีย และอิตาลี และปีนี้ยังได้รับความสนใจจากผู้ซื้อรายใหม่จำนวนมาก อาทิ บัลแกเรีย โคโซโว โมรอคโค โปแลนด์ สโลวาเกีย และศรีลังกา
เพื่อเข้าร่วมการเจรจาธุรกิจในแบบ business to business : B 2 B ที่มีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า (pre-appointment) ประมาณ 14,000 นัดหมาย ระหว่างผู้ขาย (Seller) ที่เป็นผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการจากกลุ่มประเทศ GMS (Greater Mekong Subregion) กับผู้ซื้อ (Buyer) ที่เป็นบริษัทนำเที่ยวจากทั่วโลก ส่วนกิจกรรมภายในงาน จะเป็นครั้งแรกที่เปิดให้สาธารณชนเข้าร่วมด้วย โดยการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว (Tourism Seminar & Workshop) เพื่อส่งต่อและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวไปสู่บุคคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแขนงต่าง ๆ
อีกทั้งยังจัดแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว (Local Tourism product showcase) คัดเลือกสินค้าและบริการที่เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในพื้นที่ภาคเหนือ ในกลุ่ม OTOP Premium มานำเสนอกลิ่นอายล้านนา และสินค้านวัตกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นจาก ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT) เปิดให้ซื้อขายกันโดยตรงแบบ B2B ระหว่างเจ้าของสินค้าในท้องถิ่นกับผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าร่วมงาน โรงแรม/รีสอร์ท บริษัทนำเที่ยว สถานประกอบการ Wellness & Spa
โดยได้แบ่งพื้นที่แสดงสินค้าไว้ 7 โซน ซึ่งนำจุดขายของศิลปวัฒนธรรมล้านนามานำเสนอ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ รวมถึงของตกแต่งบ้านและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เซรามิก ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรพื้นถิ่น และผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น (OTOP) ที่มีศักยภาพ รวมถึงการจัดรายการนำเที่ยว Pre-Post tour ให้กับ Buyer และ สื่อมวลชนจากต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าทางการท่องเที่ยวในโครงการใหม่ ๆ ที่สนใจ อาทิ สินค้าท่องเที่ยวในโครงการ The LINK การท่องเที่ยวใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด พลัส ( 12 Hidden Gems )
ททท. คาดการจัดงานครั้งนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับโอกาสการขายท่องเที่ยว ควบคู่กับการเพิ่มประสบการณ์และเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจในระดับสากล ส่วนผู้ประกอบการนำเที่ยวต่างประเทศจะได้สำรวจ ศึกษา และรับข้อมูลสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงกิจกรรมที่หลากหลายของไทยเพื่อนำไปบรรจุในโปรแกรมเสนอขาย
นอกจากนี้ยังสามารถช่วยประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและความหลากหลาย เป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวของกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไปด้วย
ข่าวที่ 3 “บางจากแจงปรับมาร์จินQ2รับมือปตท.ปิดแหล่งS1”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่าคาดการณ์ส่วนต่างกำไรผลประกอบการ (margin) ไตรมาส 2 ปี 2560 อาจถูกกระทบหลังจากที่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หยุดการผลิตน้ำมันดิบที่อยู่ในพื้นที่ส.ป.ก. โครงการ S1 ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย.2560 เนื่องจากบางจากใช้น้ำมันดิบจากแหล่งดังกล่าวราว 5-6% ของปริมาณการกลั่นน้ำมัน จึงต้องหันมานำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งมีราคาสูงกว่าเพื่อทดแทนส่วนที่หายไป
ปัจจุบันบางจากใช้น้ำมันดิบจากแหล่งในประเทศราว 30-40% ส่วนที่เหลืออีก 60% เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบจากแหล่งในประเทศจะมีราคาถูกกว่าการนำเข้าน้ำมันดิบ
ส่วนแนวโน้มทิศทางราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ปี 2560 ประเมินว่ายังคงทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ราว 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ล่าสุดจะมีความขัดแย้งระหว่างชาติอาหรับกับกาตาร์ก็ตาม ขณะที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบทั้งปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ก็ยังเป็นห่วงการผลิตปิโตรเลียมจาก shale oil และ shale gas ในสหรัฐที่เติบโตเร็วกว่าที่คาด
ข่าวที่ 4 “ททท.โหมทำบิ๊กอีเวนต์โกยตลาดไทย-เทศปี’60”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การบริหารจัดการตลาดการท่องเที่ยวตลอดครึ่งปีแรก 2560 ได้จัดกิจกรรมโครงการกระตุ้นกำลังซื้อนักท่องเที่ยวในประเทศและทั่วโลก โดยทยอยออกแคมเปญและจัดมหกรรมส่งเสริมการขาย “ตลาดภายในประเทศ” หนุนคนไทยเที่ยวไทย โดยได้จัดทำคู่มือกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีไว้กว่า 400 กิจกรรม ควบคู่กับทำไฮไลต์กิจกรรมโครงการไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ ซึ่งทยอยจัดมาตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2560 ได้แก่ งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560, จัดมหกรรมท้าเที่ยวข้ามภาค, วันธรรมดาน่าเที่ยว, โอ้โหวันธรรมดา...วันพิเศษ, 12 เมืองต้องห้ามพลาด พลัส, เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ไฮไลต์ 13 พื้นที่ และทั่วประเทศ, เทศกาลเที่ยวเมืองผลไม้, มหกรรมอาหารถิ่น, เที่ยวไทยเท่,อะเมซิ่ง ไทย เทสต์ เฟสติวัล 2017
ส่วนไฮไลต์การขายเพื่อกระตุ้น “ตลาดต่างประเทศ” ช่วงมกราคม-มิถุนายน ปีนี้ ททท.นำทีมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของไทยเข้าร่วมงานแทรเวล เทรด รายการต่าง ๆ ได้แก่ ASEAN Tourism Forum 2017, International Travel Berlin , China Luxury travel mart, Arabian Travel Mart 2017 รวมทั้งยังได้จัดแคมเปญไฮไลต์อีกหลากหลายรูปแบบของ ททท.ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก อาทิ Women Journey 2017 และ Thailand Shopping and Dining Paradise 2017 ซึ่งกำลังจัดอยู่ขณะนี้ไปจนถึง 31 กรกฎาคม 2560 ขยายกลยุทธ์จากการกระตุ้นค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ปีนี้ได้เพิ่มตลาดนักช้อปชาวไทยเข้าไปด้วย
ส่วน ททท.ภูมิภาคยุโรป อเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง ที่ประสบความสำเร็จจัดทำโครงการ THE LINK จับคู่สำนักงาน ททท.ต่างประเทศใน 4 ทวีป กับ ททท.สำนักงานในประเทศ เพื่อนำบริษัทตัวแทนมาสำรวจสินค้าตามพื้นที่ที่จับคู่กันแล้วนำไปทำโปรแกรมขายในตลาดทั่วโลก ผ่านมาเพียงครึ่งปีโครงการนี้กระแสตอบรับดีมาก กำลังจะขยายผลทำ THE LINK ภาค 2 ต่อไป
นายยุทธศักดิ์ย้ำว่า การโหมจัดกิจกรรมโครงการรายการใหญ่ ๆ เพื่อกระตุ้นการรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและทั่วโลกนั้น ก็เพื่อเร่งระดมการสร้างรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายตลอดทั้งปี 2.8 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 1.68 ล้านล้านบาท และคนไทยเที่ยวไทยประเทศไม่ต่ำกว่า 9 แสนล้านบาท
ช่วงที่ 2 สัปดาห์นี้พาขึ้นเหนือไปชม “ปางตอง-ปางอุ๋ง” ศูนย์รวมแห่งความรู้ทั้งสวยและมีเสน่ห์
@ไปเที่ยวศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง
ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดําริ จ.แม่ฮ่องสอน เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามรอยพระบาท ที่โดดเด่นในการนำเสนอ ยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาและ ส่งเสริมอาชีพ ในภาคเหนือ
บนดอยสูงแห่งนี้ช่วงย่ำรุ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับสายหมอกยามเช้า ที่ป่าสนริมอ่างเก็บน้ำปางอุ๋ง คือกิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของคนที่ได้มาเยือนแม่ฮ่อนสอน ซึ่งปางอุ๋งนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดําริ แต่ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ปางอุ๋งเท่านั้น
เพราะที่ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดำริหรือศูนย์ปางตอง ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่โดยแบ่งเป็น โครงการพระราชดำริปางตอง 1 (ห้วยมะเขือส้ม)โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) โครงการ พระราชดำริปางตอง 3 (แม่สะงา-หมอกจำแป่) และโครงการพระราชดำริปางตอง 4 (พระตำหนักปางตอง) พัฒนาเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้บนพื้นที่สูง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามรอยพระบาทแห่งสำคัญ
ศูนย์ปางตอง คือแหล่งเรียนรู้สู่การขยายผล เพื่อชุมชน คน และป่าในพื้นที่เป้าหมาย ประกอบไปด้วยศูนย์การวิจัยเชิงพัฒนาส่งเสริมอาชีพบนพื้นที่สูงหลายแขนง สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่า ตลอดจนศูนย์อนุรักษ์และจัดการพื้นที่ป่า และการพัฒนาระบบไฟฟ้าพลังน้ำ เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติ ที่นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังมีความรู้มากมายติดตัว กลับไปเต็มกระเป๋า
เส้นทางท่องเที่ยวปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) จ.แม่ฮ่องสอน
วันแรก : เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน “ช่วงเช้า” ชมวิวที่จุดชมวิวดอยกิ่วลม “ช่วงบ่าย” เยี่ยมชมหลวงพ่ออุ่นเมือง วัดน้ำฮู และเจดีย์อนุสรณ์สถานพระสุพรรณกัลยา พระธาตุแม่เย็น ช็อปปิ้งถนนคนเดินปาย
วันที่สอง : แม่ฮ่องสอน “ช่วงเช้า”เดินทางไปจุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหล บ้านสันติชล แวะจุดชมวิวปางมะผ้า “ช่วงบ่าย” โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) พระตำหนักปางตอง ชมพื้นที่เลี้ยงแกะ ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองพระตำหนักปางตอง เยี่ยมชมพูโคลนคันทรีคลับ “ช่วงเย็น” เยี่ยมชมพระธาตุดอยกองมู เดินเล่นถนนคนเดินแม่ฮ่องสอนชมทัศนียภาพที่วัดจองคำ-วัดจองกลาง ยามค่ำ
วันที่สาม : แม่ฮ่องสอน “ช่วงเช้า” เยี่ยมชมวัดต่อแพ ชมผ้าม่าน 100 ปี เยี่ยมชมอนุสรณ์สถานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น “ช่วงบ่าย” ชมบ้านเมืองปอน และวัดแม่ปาง วัดพระธาตุจอมแจ้ง และศูนย์วัฒนธรรมแม่สะเรียง
สถานที่เที่ยวห้ามพลาด ไปชมพระตำหนักปางตอง ชมเรือนประทับแรมไม้ 6 หลัง ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้บนไหล่เขา สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตอง ชมสัตว์ป่าหาดูยากกว่า 30 ชนิด เช่น เสือลายเมฆ หมีควาย ไก่ฟ้า นกยูง เป็นต้น
สถานีแปลงพันธุ์ไม้ดอก ชมเรือนเพาะชำต้นกล้าไม้เมืองหนาวหลากหลายสายพันธุ์
กิจกรรมห้ามพลาด ลัดเลาะเนินเขา ข้ามลำธารขึ้นไปชมพระตำหนักปางตอง ที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม ชมหิ่งห้อยยามค่ำคืนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติภายในสวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าฯ ชมฝูงแกะและฝูงม้าที่ลานทุ่งหญ้ากว้าง แปลงผักปลอดสารพิษและผักพื้นเมือง
@เลือกกิน5ผลไม้ล้างพิษในร่างกาย
การเลือกรับประทานผลไม้บางชนิด นอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณและคุณประโยชน์ดีๆ แฝงอยู่มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ดีกับร่างกายและสุขภาพของเรามาก อาหารมีทั้งคุณและโทษ การรับประทานอาหารไม่สมดุลกับควาต้องการของร่างกาย รับประทานไม่ถูกวิธี หรือ อาหารที่รับประทานปนเปื้อนสารพิษ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แพ้อาหารซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น สารพิษสะสมยังเป็นตัวการให้เกิดโรคร้าย เช่น โรคมะเร็ง ทางที่ดีควรหันมาใส่ใจดูแลอาหารการกินในชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่วันนี้กันดีกว่า การกินผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยล้างพิษ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพ ไปดูกันเลยว่า 5 ผลไม้นั้นมีอะไรกันบ้าง ที่ช่วยขับล้างพิษของเสียในร่างกายและยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณดีขึ้นอีกด้วย
1. แอปเปิ้ล ผลไม้ที่ดีทีสุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเพคตินในแอปเปิ้ลจะช่วยกำจัดสารพิษและป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้บูดเน่า นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งเปรียบเหมือนไม้กวาดช่วยทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ตับและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
2. สับปะรด มีเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหาร ทำให้ของเสียเป็นโปรตีนแตกตัวเร็วขึ้น สับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร และช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อ
3. องุ่น ผลไม้ลูกเล็กๆ ที่ทำหน้าที่เป็นสารฟอกล้างให้ผิวหนัง ตับ ไต และลำไส้ นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วยเกลือแร่และพลังงานจึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ในร่างกาย
4. แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เท่ากับช่วยฟอกล้างร่างกาย อีกทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต เปลือกของแตงโมอุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ และที่เมล็ดยังมีวิตามินมากมาย น้ำคั้นจากเปลือกและเมล็ดแตงโม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
5. มะละกอ เอนไซม์ปาเปนในกล้ามเนื้อมะละกอมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินกระเพาะอาหาร ดังนั้น มะละกอจึงช่วยให้โปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับสับปะรด อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร การรับประทานมะละกอเป็นประจำยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บางกอกแอร์งัด2โปรกระตุ้นเที่ยวหน้าฝน”
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า สายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้นำเสนอ2 แคมเปญโปรโมชั่น ต้อนรับเที่ยวฤดูฝน
“แคมเปญแรก” แพ็คเกจ “ปั่นเอาม่วน...เชียงรายแต้แต้” ตอนพิชิตดอยตุง ราคาคนละ 9,900 บาท รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงเทพ-เชียงราย พร้อมที่พัก 3 วัน 2 คืน อาหารทุกมื้อ และประกันอุบัติเหตุวงเงิน 100,000 บาท โดยจะมีทีมนักปั่นระดับมืออาชีพ ดีกรีแชมป์ประเทศไทยเป็นผู้นำทางและให้คำแนะนำการปั่นตลอดทริป
กิจกรรมนี้แบ่งเป็น 4 ทริป (รับทริปละไม่เกิน 16 คน) ได้แก่ ทริปแรก วันที่ 17-19 มิถุนายน 2560 ทริปที่สอง วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2560 ทริปที่สาม 26-28 สิงหาคม 2560 และทริปสุดท้าย วันที่ 16-18 กันยายน 2560
แคมเปญที่ 2 ขายบัตรโดยสารภายในประเทศราคาพิเศษโครงการ “Thailand Shopping & Dining Paradise 2017” ระหว่างวันนี้ - 15 กรกฎาคม 2560 โดยขายราคาตั๋วเครื่องบินเริ่มต้นเที่ยวละ 1,190 บาท ในเส้นทางบินภายในประเทศยอดนิยมและให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จองที่ www.bangkokair.com/thailandshopping เพื่อนำไปใช้เดินทางได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 กรกฎาคม 2560
เส้นทางบินที่ร่วมโครงการ ได้แก่ ระหว่างกรุงเทพฯ ไป-กลับ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง สุโขทัย ภูเก็ต กระบี่ และ ตราด โดยราคาพิเศษดังกล่าว ยังไม่รวมภาษีสนามบินแต่ละเส้นทางจะแตกต่างกัน ส่วนสิทธิประโยชน์พิเศษของผู้ซื้อตั๋วโดยสารจากโครงการ Thailand Shopping & Dining Paradise 2017 จะได้ร่วมลุ้นรางวัลตั๋วเครื่องบินในประเทศจากบางกอกแอร์เวย์ส กำหนดจับรางวัลทุกสัปดาห์ตลอดเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2560
สอบถามเพิ่มเติม หรือจองแพ็คเกจได้ที่ตัวแทนจำหน่าย พีบี ทราเวล โทร 081-530-6302 053-712-884 และ 053-742-844 หรือ อีเมล sales1.cei@pb-travelthailand.com
ข่าวที่สอง “
นายชนินทร์ โทณวณิก หัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานสานพลังประชารัฐด้านการท่องเที่ยวและไมซ์ ประธานคณะกรรมการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เปิดเผยว่า โจทก์ของประชารัฐในปัจจุบันและอนาคตต้องร่วมมือกันทำ 3 เรื่องหลักโดยนำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าไปสร้างผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมแก่ชุมชนท้องถิ่น 2 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.กระจายรายได้ 2.สร้างรายได้ 3.สร้างความยั่งยืน
เพราะจากการสำรวจสถิติจำนวนการพักค้างของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาแต่ละปี 300 ล้านคืน จึงตั้งเป้าหมายกระจายรายได้ไปสู่ภาคการเกษตร สิ่งแรกคือ หมวดอาหารและครื่องดื่มตามสถิติตั้งแต่ปี 2558 ประมาณ 500,000 ล้านบาทแต่โดยภาพรวมประเทศยังขาดแคลนบุคลากรทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 17-18% ของจีดีพี
ขณะนี้ทางประชารัฐจึงพยายามผลักดันให้บรรจุหลักสูตรท่องเที่ยวในระดับมัธยม เพิ่มด้านอาชีวศึกษา และจัดตั้งโครงการการเรียนการสอนเพื่อตอบโจทก์การผลิตบุคคลากรสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้วยการนำต้นแบบมาจาก เยอรมัน สวิส ฮอลแลนด์ ออสเตรีย โดยทำให้เด็กจบมัธยมมาเรียนหลักสูตรนี้เพื่อไปสร้างอาชีพแล้วดำรงชีพอยู่ได้ ขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการ กำลังจัดทำนำร่องใน 10 จังหวัด เพื่อบรรเทาปัญหาเด็กมัธยมตกงาน
กลยุทธ์ที่ 1 กระจายรายได้ วางกลยุทธ์ ที่จะทำดังนี้ 1.กระตุ้นกลุ่มบริษัทคอร์ปอเรตช่วยกันเดินทางจัดประชุมในประเทศ 2.นำโครงการเที่ยวไทยเท่สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกในการเดินทางท่องเที่ยว 3.สร้างช้อปปิ้ง พาราไดส์ เพราะระยะหลังนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้เดินทางมาเพื่อซื้อสินค้า จากสถิติปี 2559 นักท่องเที่ยวทั่วโลกมาบริโภคอาหารไทยมากเป็นอันดับ 1 แต่ความฝันของประชารัฐต้องการจะทำให้ไทยเป็นประเทศดิวตี้ฟรีและแท็กซ์ฟรี โดยใช้จุดแข็งของไทย คือเป็นมิตรกับทุกชาติ ค่าเช่าและค่าอื่น ๆ ไทยถูกกว่าแน่นอน
กลยุทธ์ที่ 2 : สร้างรายได้ เตรียมสร้างช่องทางการค้าไปสู่ -digital Tourism
shopping paradise และ Culureal Economy โดยเล็งเห็ฯถึงศักยภาพของเทรนด์ผู้บริโภค โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวผู้สูงอายุ ประชากรสูงอายุ กำลังต้องเจาะขยายฐาน จะผลักดันเป็นฮับการท่องเที่ยวของผู้สูงวัย ขณะนี้กำลังเดินหน้าผลักดันฐบาลออกวีซ่าแก่นักเดินทางทั่วโลกสามารถทำได้ 10 ปี โครงการนี้จะทำให้เสร็จก่อนสิ้นปี 2560
กลยุทธ์ที่ 3 : ความยั่งยืน มุ่งเน้นการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน “การศึกษา” จะเน้นหลักด้านบริการ โดยมีโครงการขึ้นมารองรับได้แก่ Amazing Thai Host, Connectivity, Law & Regurations ซึ่งทางประชารัฐได้เดินหน้าเสนอปรับปรุงกฎหมายไทยที่เป็นอุปสรรคปลดล็อกให้เกิดประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ทางประชารัฐยังได้ระดมทุกภาคส่วนสนับสนุนกิจกรรมอาหารไทย นำร่องด้วย Amazing Thai Taste โดยมีทางสายการบิน สมาคมภัตตาคารไทย โรงแรม และอีกกว่า 30 สมาคม ตามข้อตกลงทุกแห่งจะร่วมมือกันรณรงค์เริ่มภายในเดือนกรกฎาคม 2560 ทุกโรงแรมสั่งซื้อข้าวที่จะนำมาบริการแก่นักท่องเที่ยวโดยเจาะจงลงไปว่าเป็นข้าวชนิดใด เพื่อสร้างผลผลิตของเกษตรกรไทยในแต่ละชุมชนซึ่งมีอัตลักษณ์การผลิตข้าวได้อย่างหลากหลาย สามารถจำหน่ายเข้าถึงตลาดโลกมีรายได้อย่างยั่งยืน
ข่าวที่สาม “ดินเนอร์ซีฟู้ดโลกที่ฮิลตันสุขุมวิท”
นายเอียน แบร์โรว์ ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมฮิลตัน สุขมวิท กรุงเทพฯ กล่าวว่า ได้จัดโปรโมชั่น ‘Seafood in the city’ ที่ห้องอาหารสกาลินี ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 22.30 น.ชวนชิมอาหารทะเลสดที่นำเข้าและอาหารทะเลที่หาได้จากท้องถิ่นเข้ามาร่วมในเมนูชูการประกอบอาหารโดยใช้วัตถุดิบที่มาจากกรรมวิธีจับหรือเพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืนเพื่อสนับสนุนความสมดุลของธรรมชาติตามนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ได้แก่ ล็อบสเตอร์จากอเมริกา นำมาทำไฮไลท์โดยมีเมนูแนะนำ ล็อบสเตอร์ซุปกับบรั่นดีวีเอสโอพี ล็อบสเตอร์ลวก ย่าง คาร์ปาโซ่ล็อบสเตอร์บูรัตตาชีสและไข่ปลาคาเวียร์ ซีฟู้ดย่าง 2 คน ราคา 2,800 บาท++ โทร. 02 620 6666 หรืออีเมล bkksu_scalini@hilton.com
ข่าวที่สี่ “ทำสปาที่ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ”
โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ แนะนำ “เพอร์เพิล แพมเพอริง” (Purple Pampering) ทรีทเมนท์ใหม่ที่เลือกใช้ “เปลือกมังคุด” มาปรณิบัติผิวให้เนียน กระจ่างใส ให้บริการเป็นพิเศษระหว่าง 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2560 เท่านั้น ทรีทเมนท์ “เพอร์เพิล แพมเพอริง” ใช้เวลาทั้งสิ้น 90 นาที ราคาคนละ 3,800++ บาท โทร 02 687 9000 หรือ www.okurabangkok.com
สำหรับ “มังคุด” ราชินีแห่งผลไม้ไทย มีประโยชน์มากมาย อาทิ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่าง ๆ ได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง นอกจากนั้น เปลือกของมังคุดยังมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมานแผลช่วยให้แผลหายเร็ว ยับยั้งการเกิดเชื้อราและใช้รักษาโรคผิวหนังหลายชนิด
พบกันในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น. ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ผู้นำมืออาชีพผ่าแผนพัฒนาไทยฮับไมซ์เอเชีย
ชู8ศุกร์หรรษาเซลแหลกที่คิงเพาเวอร์ศรีวารี
TTM+2017ดึงอุตฯทัวร์56ประเทศช้อปสินค้าไทย
ททท.โหมบิ๊กอีเวนต์ไทย-เทศสร้างความสำเร็จ
ขึ้นดอยชมศูนย์ฯปางตอง/ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน
2โปรโมชั่นแรงบางกอกแอร์ตั๋วทัวร์เริ่มพันบาท
“ชนินทร์”นำประชารัฐใช้3กลยุทธ์พลิกท่องเที่ยว
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังสดทางได้มือถือเลือก FM 97.0 หรืออ่านได้ทาง www.facebook.com/penroong ฟังย้อนหลังในyoutubeทาง www.facebook.com/rauydauykhao) #gurutourza
ช่วงที่ 1 “คุณจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการคนใหม่ของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) จะมาเปิดใจในรายการถึง การก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำ TCEB” ยุคใหม่จะโชว์ความสามารถ “บริหารจัดการองค์กร” อย่างมืออาชีพ เน้น “การพัฒนา” ควบคู่กันทั้ง “ภายในและภายนอก” และการปรับโครงสร้างจัดตั้งหน่วยงานใหม่ “MARKETING INTELLIGENT” เข้ามาเป็นหัวหอก ค้นหานวัตกรรม เทคโนโลยี ใช้เครื่องมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนำไมซ์มาเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างมั่งคั่ง ยั่งยืน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์เอเชีย
จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) |
คุณจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เปิดใจกับทางรายการถึงการเตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็น ผอ.คนใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้ โดยเตรียมวางแผนบริหารจัดการในฐานะที่เป็นลูกหม้อของทีเส็บเข้ามาทำงานตั้งแต่ปี 2546 อยู่กับอุตสาหกรรมไมซ์มานานกว่า 15 ปี ทั้งการจัดประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล งานอีเวนต์ และเมื่อ 3 ปีที่แล้วไปดึงงาน “เมกะอีเวนต์”มาจัดในเมืองไทยด้วย
สิ่งสำคัญที่จะต้องทำประการแรก “พัฒนาโอกาส” ให้เท่าเทียมกัน ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการใกล้ตัว งานส่วนใหญ่จึงกระจุกตัวอยู่กรุงเทพฯ ทั้งที่มีศูนย์ประชุมที่เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกตามความต้องการของผู้จัดการ ดังนั้นทีเส็บมีหน้าที่หลักต้องเข้าไปสร้างโอกาสใหม่ๆ
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาตามนโยบายของรัฐบาลวางเป้าหมายทำให้ “ไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์แห่งเอเชีย” จากนั้นในอีก 5-10 ปีต่อมาได้ขยายให้ไมซ์เป็น”อุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ” ด้วย
กลยุทธ์การพัฒนานั้นเป็นไปตามแนวที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวอยู่เสมอว่าการพัฒนานั้นไม่ควรจะดูแลอยู่เพียงกลุ่มเดียว แต่ต้องพาไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นตามเมืองใหญ่ ๆ ที่มีศูนย์ประชุมตั้งอยู่นั้น โดยเฉพา “พัทยา” กำลังจะยกระดับเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Economic Coridor : EEC เป็นโอกาสนำไมซ์เข้าไปช่วยทำให้การพัฒนาเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น
ตัวอย่างในขณะนี้มีความเคลื่อนไหว “สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา” ตกลงจะเป็นสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนล ต่อไปการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่าง การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ก็จะเติบโต จึงสามารถที่จะส่งเสริมพัทยาเป็นสถานที่จัดนิทรรศการแสดงสินค้านานาชาติได้เป็นอย่างดี
หรือนโยบายไทยแลนด์ 4.0 มองในมุมของทีเส็บสามารถเข้าไปยัง 5 อุตสาหกรรมหลักได้ เช่น อุตสาหกรรมโรบ็อต หุ่นยนต์ ก็เข้าไปแล้ว เริ่มจากเล็ก ๆ ด้วยการจัดสัมมนาพบปะพูดคุย ทางทีเส็บมีหน้าที่ต้องเตรียมคนด้วย
ในฐานะที่ผมทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมไมซ์และท่องเที่ยวรวม ๆ แล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 ปี จึงมีเครือข่ายการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยต้องคำนึงถึงหัวใจสำคัญสำคัญที่สุดว่าอะไรเป็นส่วนทำให้ประเทศไทยเกิดความยั่งยืน เพราะเมื่อพูดกันออกไปแล้วต้องไม่ติดกับประโยคสวยหรูต่าง ๆ แต่ไม่สามารถปฎิบัติได้จริง
สำหรับทีเส็บสิ่งแรกคือ “โครงสร้างขององค์กร” หน่วยงานใหม่ที่จะต้องเกิดขึ้นคือ Marketing Intelligent เพื่อเริ่มเดินหน้าการตลาดเชิงรุก ด้วยการนำนวัตกรรมทางการจัดงานเข้ามาใช้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันแต่ละหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศต้องการคือ ความสะดวก ที่ผ่านมาได้พยายามทำให้คนที่จะเดินทางเข้ามาจัดและร่วมงานจากทั่วโลกมีระบบอำนวยความสะดวกอย่างมากที่สุด หรือการปรับแก้กฎระเบียบเพื่อ ให้รองรับกับไมซ์ในระดับสากล แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดียวที่จะทำ
การนำความคิดเชิงสร้างสรรค์ ผนวกกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นภารกิจที่จะต้องเร่งทำต่อไป ตัวอย่างทีเส็บร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ จัดงาน “สานต่องานพ่อสอน” เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 เป็นงานประชุมสัมมนาขนาดใหญ่มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนหลายร้อยคน ได้ทดลองวางระบบการจัด ตั้งแต่วิธีลงทะเบียนล่วงหน้าด้วยดิจิตอล แล้วนำมาคิวอาร์โค้ดมาบริการให้ผู้เข้าร่วมประชุมสแกนข้อมูลที่พูดคุยกันบนเวทีตลอดงาน สามารถติดต่อกันโดยใช้มือถืออย่างเต็มศักยภาพ หรือการประชุมแบบเรียลไทม์ติดต่อกันได้หลายประเทศ
หรืออีกตัวอย่างคือ Economy Exihibition เมื่อก่อนไม่รู้ว่ามีบูธอยู่กว่า 100 บูธ จัดงานแสดงสินค้าจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ยุคที่ผ่านมาจะไม่สามารถรู้คำตอบได้เลยว่าบูธใดได้รับความสนใจมีคนเข้าไปเยี่ยมชมเจรจาธุรกิจมากที่สุด เพราะแต่ละบริษัทเก็บเป็นความลับทางธุรกิจ ต่างจากยุคปัจจุบันสามารถใช้เทคโนโลยี “วัดสีจากอุณหภูมิ” ได้ว่าโซนใดมีคนเข้าไปอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากก็จะเห็นภาพสีเข้มปรากฏชัด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทางทีเส็บจะต้องค้นหาข้อมูล เพื่อมาแนะนำแก่ผู้จัดงานในประเทศไทย ให้ทัดเทียมและก้าวหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับ Maketing Intelligent จะเป็นหน่วยใหม่ในองค์กรโดยใช้บุคลากรที่ทำอยู่แล้ว เข้ามาทำหน้าที่ “คิดค้นเครื่องมือทางเทคโนโลยี” ผนวกเสริมการตลาด เพราะปัจจุบันในฝ่ายเอ็กซิบิชั่นของทีเส็บมีคนทำงานหน่วย intelligent และ innovation อยู่แล้ว หรือฝ่ายตลาดในประเทศเองก็มีหน่วยงานหนึ่งเรียกว่า MICE CITY หน่วยงานนี้มีเจ้าหน้าที่เพียง 1-2 คน ดูถึง 5 เมือง ลำพังเดินทางไปประชุมก็ทำงานไม่ทันแล้ว เพราะคนน้อยเกินไป สิ่งที่ผมปรารถนาเมื่อเข้ามารับตำแหน่งคือ จะแต่งตั้งเป็น “ผู้จัดการไมซ์แต่ละเมือง” หรือ Area base manager สามารถดูแลงานแยกแต่ละจังหวัดที่ได้รับแต่งตั้งเป็นไมซ์ ซิตี้ ส่วนวิธีการทำงานจะไปอยู่ในพื้นที่หรือสำนักงานใหญ่ก็ได้
ขณะนี้ทีเส็บแต่งตั้งไมซ์ ซิตี้ ไว้ 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น และพัทยา ซึ่งต่อไปผู้ที่รับผิดชอบดูแลพัทยาจะต้องมีองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจด้วย เพราะรัฐบาลกำลังยกระดับชายฝั่งตะวันออกเป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ EEC สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาไมซ์ ซิตี้ เมืองลักษณะดังกล่าว
การวางแผนบริหารจัดการทำงาน เรื่องแรก คือการสื่อสารกันภายในองค์กรถึงแผนงานที่จะทำไปด้วยกัน เพราะผมรู้จักคุ้นเคยกับพนักงานเป็นอย่างดี และต้องวางกำลังคนให้เหมาะสมกับงานแล้วก้าวไปพร้อม ๆ กัน
โดยจะลงมือเลือกตามลำดับความสำคัญของพื้นที่ไมซ์ ซิตี้ ในระยะ 4 ปีข้างหน้า ภาคตะวันออกจะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมเส้นทางไปถึงชายฝั่งทะเลตะวันออก พัทยา กับสนามบินอู่ตะเภา ทีเส็บก็ควรจะเริ่มพัฒนาเต็มรูปแบบทั้งทางด้านการตลาด เศรษฐกิจ นำไมซ์เข้าไปขยายผลต่อยอดกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ขณะที่การส่งเสริม “โครงการพระราชดำริ” เพื่อเป็นสถานที่หลักการจัดงานไมซ์ขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ โดยได้พยายามเสนอหน่วยงานราชการ และบริษัทที่มีเครือข่าย ให้ไปทำซีเอสอาร์ พนักงานของทุกหน่วยงานจะได้ทั้งการเรียนรู้และข้อมูลการศึกษาหลายส่วนที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์พัฒนาการเรียนรู้โครงการพระราชดำริ โครงการหลวง โครงการแม่ฟ้าหลวง และอีกหลากหลายโครงการ
อีกทั้งยังมีกิจกรรมการตลาดโครงการ “ประชุมเมืองไทย อิ่มใจ ตามรอยพระราชดำริ” ทางทีเส็บส่งเสริมร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระทำหน้าที่ประสานเพื่อให้เข้าไปจัดงานตามโครงพระราชดำริ โดยมีอินเซ็นทีฟพิเศษให้แก่หน่วยงานที่เข้าไปจัดงาน ตอนนี้ได้คัดเลือกไว้ 19 โครงการ ดิน น้ำ ลม การกำจัดของเสีย ในมิติต่าง ๆ เหล่านี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานองค์ความรู้ให้เราได้นำไปคิดใช้แก้ปัญหา ซึ่งการทำซีเอสอาร์ของบริษัททั้งหลายที่ไปแค่ปลูกต้นไม้แล้วกลับบ้าน คงจะไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไร แตกต่างจากการเข้าไปทำซีเอสอาร์ในโครงการพระราชดำริ มีเรื่องราวแท้จริงให้ศึกษาเรียนรู้ ไปกันครั้งละราว 100 คนก็ถือว่าเป็นคุณแก่บ้านเมือง
ภารกิจในการ “นำรายได้กระจายสู่ชุมชน” ทีเส็บจะทำหน้าที่หลักทางด้านการตลาด โดยได้ไปนำงานระดับโลกขนาดใหญ่มาจัดในประเทศไทย ช่วงปี 2561-2562 เช่น งาน UFI INTERNATIONAL CONGRESS BANGKOK 2019 งาน UFI 2019 ซึ่งเป็นงานของออการ์ไนเซอร์ทั่วโลก หรืองาน SITE ก็มีตลาดมาจากทั่วโลกเช่นกัน หรือ IMEX 2016 ที่เยอรมันตอนนี้ได้ธุรกิจเข้ามายังไทยเกินกว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงาน 10TH Biennail Scientific Meeting of Asia Pacific Paediatric Endocrine , The 8th International Crongress of Asian Society of Toxiology (Asiatox2018)
ตอบได้ว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ เอเชีย” ทีเส็บจึงจะต้องเพิ่มจำนวนงานขนาดใหญ่ดึงเข้ามาจัดในไทยมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้ “ไมซ์” เป็นกลไกการพัฒนา ด้วยกลยุทธ์การรักษาตลาดเดิมเสริมตลาดใหม่ ตามนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล
ผมมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในการเข้ารับตำแหน่ง “ผู้อำนวยการทีเส็บคนใหม่” จะทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจผ่านการสื่อสารกันภายในองค์กร รวบรวมจิตใจทำงานหนักมากขึ้นเพื่อให้ภารกิจงานสำเร็จทั้งกับองค์กรและประเทศ ซึ่งจะต้องติดตามดูต่อไปในปี 2561
แต่ก็ไม่อยาก “นำตัวเลข” มาเป็นเกณฑ์ความคาดหวัง เพราะ “การพัฒนา” ต้องให้น้ำหนักกับการ “รักษา” ให้ตัวเลขไม่ลดลง โดยผู้นำองค์กรจะหันมารักษามาตรฐานยอดรายได้ไมซ์แต่ละปี ควบคู่กับการเดินหน้าขับเคลื่อนการตลาดให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จากตัวเลข IMEX ที่เป็นอานิสงเข้าประเทศหลังจากทีเส็บได้ไปเปิดตลาดเจรจาธุรกิจไว้ ก็เป็นดัชนีสะท้อนถึงความสำเร็จในวันนี้ได้ เพราะยิ่งทำงาน ยิ่งพัฒนา เข้มแข็งมากเท่าไร ผลลัพธ์ก็จะเติบโตเป็นรายได้เพิ่มตามไปด้วย
“จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ได้เปิดใจรูปแบบการเป็นผู้นำทีเส็บคนใหม่ จะเน้น “พัฒนา” ทุกองคาพยพทั้งภายในองค์กร ภายนอกระดับประเทศและนานาชาติ ขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน ในเชิงความคิดสร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีกับนวัตกรรมผสมผสานกันไป ก็จะทำให้เกิดไทยแลนด์ไมซ์ 4.0 ได้นั่นเอง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “8ศุกร์หรรษา ที่ คิง เพาเวอร์ ศรีวารี”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เร่งสานฝันรัฐบาลในการช่วยเพิ่มรายได้จากตลาดนักช้อปต่างชาติและคนไทย ด้วยการจัดมหกรรม Sale พิเศษ “8 ศุกร์หรรษา ลดสูงสุด 30% ขึ้นอีก ที่ คิง เพาเวอร์ ศรีวารี” โดยจะลดพิเศษเฉพาะวันศุกร์เพียง 8 ครั้งเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ 9 มิถุนายน-28 กรกฎาคม 2560 นี้ โดยมีโปรโมชั่นมากมายมามอบให้ลูกค้าคนไทย และสมาชิก คิง เพาเวอร์ ถึง 7 รายการด้วยกัน ได้แก่
1.เพียงแค่ลงทะเบียนซื้อสินค้า รับไปเลยคูปองส่วนลดมูลค่า 800 บาท สำหรับซื้อสินค้าราคา 2,500 บาทขึ้นไป
2.ส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ
3.รับฟรีทันที Gift Voucher 2,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 28,000 บาท พิเศษเมื่อช็อปครบ 28,000 บาทติดต่อกัน 8 สัปดาห์ สัปดาห์สุดท้ายรับ Gift Voucher เพิ่มเป็น 5,000 บาท
4.รับฟรีทันที Gift Voucher มูลค่า 50,000 บาท เมื่อมียอดช็อปสูงสุด ตั้งแต่ 800,000 บาทขึ้นไป (1 รางวัล / สัปดาห์)
5.พิเศษสุดสำหรับลูกค้า Top Spender ลุ้นแพ็กเกจล่องเรือสำราญ Royal Caribbean เส้นทาง สิงคโปร์-มาเลเซีย เมื่อสะสมยอดซื้อสูงสุด ทุกวันศุกร์ตลอดรายการ ตั้งแต่ 1,800,000 บาทขึ้นไป
สอบถามเพิ่มได้ที่ คอล เซ็นเตอร์ 1631 หรือเข้าไปดูที่ www.kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.ยึดเวทีTTM+2017ขายสารพัดสินค้าไทย”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเยว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนพร้อมแล้วกับการเข้าร่วมงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2017 ระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การประชุมและการแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ธีม “Delivering Unique Experiences” โดยมี “ผู้ขาย” ในประเทศ และผู้ประกอบการจากประเทศเพื่อนบ้านแถบลุ่มน้ำโขง รวมทั้งสิ้น 421 บูธ จาก 362 หน่วยงาน ในจำนวนนี้เป็นประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 13 หน่วยงาน ส่วน “ผู้ซื้อ” จากต่างประเทศจาก 56 ประเทศ เข้าร่วม 348 ราย กลุ่มผู้ซื้อติดยอดนิยม 5 อันดับแรก จากตลาดหลักที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ จีน สหราชอาณาจักร อินเดีย ออสเตรเลีย และอิตาลี และปีนี้ยังได้รับความสนใจจากผู้ซื้อรายใหม่จำนวนมาก อาทิ บัลแกเรีย โคโซโว โมรอคโค โปแลนด์ สโลวาเกีย และศรีลังกา
เพื่อเข้าร่วมการเจรจาธุรกิจในแบบ business to business : B 2 B ที่มีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า (pre-appointment) ประมาณ 14,000 นัดหมาย ระหว่างผู้ขาย (Seller) ที่เป็นผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการจากกลุ่มประเทศ GMS (Greater Mekong Subregion) กับผู้ซื้อ (Buyer) ที่เป็นบริษัทนำเที่ยวจากทั่วโลก ส่วนกิจกรรมภายในงาน จะเป็นครั้งแรกที่เปิดให้สาธารณชนเข้าร่วมด้วย โดยการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว (Tourism Seminar & Workshop) เพื่อส่งต่อและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวไปสู่บุคคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแขนงต่าง ๆ
อีกทั้งยังจัดแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว (Local Tourism product showcase) คัดเลือกสินค้าและบริการที่เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในพื้นที่ภาคเหนือ ในกลุ่ม OTOP Premium มานำเสนอกลิ่นอายล้านนา และสินค้านวัตกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นจาก ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT) เปิดให้ซื้อขายกันโดยตรงแบบ B2B ระหว่างเจ้าของสินค้าในท้องถิ่นกับผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าร่วมงาน โรงแรม/รีสอร์ท บริษัทนำเที่ยว สถานประกอบการ Wellness & Spa
โดยได้แบ่งพื้นที่แสดงสินค้าไว้ 7 โซน ซึ่งนำจุดขายของศิลปวัฒนธรรมล้านนามานำเสนอ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ รวมถึงของตกแต่งบ้านและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เซรามิก ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรพื้นถิ่น และผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น (OTOP) ที่มีศักยภาพ รวมถึงการจัดรายการนำเที่ยว Pre-Post tour ให้กับ Buyer และ สื่อมวลชนจากต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าทางการท่องเที่ยวในโครงการใหม่ ๆ ที่สนใจ อาทิ สินค้าท่องเที่ยวในโครงการ The LINK การท่องเที่ยวใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด พลัส ( 12 Hidden Gems )
ททท. คาดการจัดงานครั้งนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับโอกาสการขายท่องเที่ยว ควบคู่กับการเพิ่มประสบการณ์และเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจในระดับสากล ส่วนผู้ประกอบการนำเที่ยวต่างประเทศจะได้สำรวจ ศึกษา และรับข้อมูลสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงกิจกรรมที่หลากหลายของไทยเพื่อนำไปบรรจุในโปรแกรมเสนอขาย
นอกจากนี้ยังสามารถช่วยประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและความหลากหลาย เป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวของกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไปด้วย
ข่าวที่ 3 “บางจากแจงปรับมาร์จินQ2รับมือปตท.ปิดแหล่งS1”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่าคาดการณ์ส่วนต่างกำไรผลประกอบการ (margin) ไตรมาส 2 ปี 2560 อาจถูกกระทบหลังจากที่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หยุดการผลิตน้ำมันดิบที่อยู่ในพื้นที่ส.ป.ก. โครงการ S1 ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย.2560 เนื่องจากบางจากใช้น้ำมันดิบจากแหล่งดังกล่าวราว 5-6% ของปริมาณการกลั่นน้ำมัน จึงต้องหันมานำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งมีราคาสูงกว่าเพื่อทดแทนส่วนที่หายไป
ปัจจุบันบางจากใช้น้ำมันดิบจากแหล่งในประเทศราว 30-40% ส่วนที่เหลืออีก 60% เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบจากแหล่งในประเทศจะมีราคาถูกกว่าการนำเข้าน้ำมันดิบ
ส่วนแนวโน้มทิศทางราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ปี 2560 ประเมินว่ายังคงทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ราว 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ล่าสุดจะมีความขัดแย้งระหว่างชาติอาหรับกับกาตาร์ก็ตาม ขณะที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบทั้งปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ก็ยังเป็นห่วงการผลิตปิโตรเลียมจาก shale oil และ shale gas ในสหรัฐที่เติบโตเร็วกว่าที่คาด
ข่าวที่ 4 “ททท.โหมทำบิ๊กอีเวนต์โกยตลาดไทย-เทศปี’60”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การบริหารจัดการตลาดการท่องเที่ยวตลอดครึ่งปีแรก 2560 ได้จัดกิจกรรมโครงการกระตุ้นกำลังซื้อนักท่องเที่ยวในประเทศและทั่วโลก โดยทยอยออกแคมเปญและจัดมหกรรมส่งเสริมการขาย “ตลาดภายในประเทศ” หนุนคนไทยเที่ยวไทย โดยได้จัดทำคู่มือกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีไว้กว่า 400 กิจกรรม ควบคู่กับทำไฮไลต์กิจกรรมโครงการไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ ซึ่งทยอยจัดมาตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2560 ได้แก่ งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2560, จัดมหกรรมท้าเที่ยวข้ามภาค, วันธรรมดาน่าเที่ยว, โอ้โหวันธรรมดา...วันพิเศษ, 12 เมืองต้องห้ามพลาด พลัส, เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ไฮไลต์ 13 พื้นที่ และทั่วประเทศ, เทศกาลเที่ยวเมืองผลไม้, มหกรรมอาหารถิ่น, เที่ยวไทยเท่,อะเมซิ่ง ไทย เทสต์ เฟสติวัล 2017
ส่วนไฮไลต์การขายเพื่อกระตุ้น “ตลาดต่างประเทศ” ช่วงมกราคม-มิถุนายน ปีนี้ ททท.นำทีมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของไทยเข้าร่วมงานแทรเวล เทรด รายการต่าง ๆ ได้แก่ ASEAN Tourism Forum 2017, International Travel Berlin , China Luxury travel mart, Arabian Travel Mart 2017 รวมทั้งยังได้จัดแคมเปญไฮไลต์อีกหลากหลายรูปแบบของ ททท.ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก อาทิ Women Journey 2017 และ Thailand Shopping and Dining Paradise 2017 ซึ่งกำลังจัดอยู่ขณะนี้ไปจนถึง 31 กรกฎาคม 2560 ขยายกลยุทธ์จากการกระตุ้นค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ปีนี้ได้เพิ่มตลาดนักช้อปชาวไทยเข้าไปด้วย
ส่วน ททท.ภูมิภาคยุโรป อเมริกา แอฟริกา และตะวันออกกลาง ที่ประสบความสำเร็จจัดทำโครงการ THE LINK จับคู่สำนักงาน ททท.ต่างประเทศใน 4 ทวีป กับ ททท.สำนักงานในประเทศ เพื่อนำบริษัทตัวแทนมาสำรวจสินค้าตามพื้นที่ที่จับคู่กันแล้วนำไปทำโปรแกรมขายในตลาดทั่วโลก ผ่านมาเพียงครึ่งปีโครงการนี้กระแสตอบรับดีมาก กำลังจะขยายผลทำ THE LINK ภาค 2 ต่อไป
นายยุทธศักดิ์ย้ำว่า การโหมจัดกิจกรรมโครงการรายการใหญ่ ๆ เพื่อกระตุ้นการรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและทั่วโลกนั้น ก็เพื่อเร่งระดมการสร้างรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายตลอดทั้งปี 2.8 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 1.68 ล้านล้านบาท และคนไทยเที่ยวไทยประเทศไม่ต่ำกว่า 9 แสนล้านบาท
ช่วงที่ 2 สัปดาห์นี้พาขึ้นเหนือไปชม “ปางตอง-ปางอุ๋ง” ศูนย์รวมแห่งความรู้ทั้งสวยและมีเสน่ห์
@ไปเที่ยวศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง
ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดําริ จ.แม่ฮ่องสอน เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามรอยพระบาท ที่โดดเด่นในการนำเสนอ ยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาและ ส่งเสริมอาชีพ ในภาคเหนือ
บนดอยสูงแห่งนี้ช่วงย่ำรุ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับสายหมอกยามเช้า ที่ป่าสนริมอ่างเก็บน้ำปางอุ๋ง คือกิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของคนที่ได้มาเยือนแม่ฮ่อนสอน ซึ่งปางอุ๋งนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดําริ แต่ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ปางอุ๋งเท่านั้น
เพราะที่ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตอง ตามพระราชดำริหรือศูนย์ปางตอง ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่โดยแบ่งเป็น โครงการพระราชดำริปางตอง 1 (ห้วยมะเขือส้ม)โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) โครงการ พระราชดำริปางตอง 3 (แม่สะงา-หมอกจำแป่) และโครงการพระราชดำริปางตอง 4 (พระตำหนักปางตอง) พัฒนาเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้บนพื้นที่สูง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามรอยพระบาทแห่งสำคัญ
ศูนย์ปางตอง คือแหล่งเรียนรู้สู่การขยายผล เพื่อชุมชน คน และป่าในพื้นที่เป้าหมาย ประกอบไปด้วยศูนย์การวิจัยเชิงพัฒนาส่งเสริมอาชีพบนพื้นที่สูงหลายแขนง สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่า ตลอดจนศูนย์อนุรักษ์และจัดการพื้นที่ป่า และการพัฒนาระบบไฟฟ้าพลังน้ำ เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติ ที่นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังมีความรู้มากมายติดตัว กลับไปเต็มกระเป๋า
เส้นทางท่องเที่ยวปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) จ.แม่ฮ่องสอน
วันแรก : เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน “ช่วงเช้า” ชมวิวที่จุดชมวิวดอยกิ่วลม “ช่วงบ่าย” เยี่ยมชมหลวงพ่ออุ่นเมือง วัดน้ำฮู และเจดีย์อนุสรณ์สถานพระสุพรรณกัลยา พระธาตุแม่เย็น ช็อปปิ้งถนนคนเดินปาย
วันที่สอง : แม่ฮ่องสอน “ช่วงเช้า”เดินทางไปจุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหล บ้านสันติชล แวะจุดชมวิวปางมะผ้า “ช่วงบ่าย” โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) พระตำหนักปางตอง ชมพื้นที่เลี้ยงแกะ ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองพระตำหนักปางตอง เยี่ยมชมพูโคลนคันทรีคลับ “ช่วงเย็น” เยี่ยมชมพระธาตุดอยกองมู เดินเล่นถนนคนเดินแม่ฮ่องสอนชมทัศนียภาพที่วัดจองคำ-วัดจองกลาง ยามค่ำ
วันที่สาม : แม่ฮ่องสอน “ช่วงเช้า” เยี่ยมชมวัดต่อแพ ชมผ้าม่าน 100 ปี เยี่ยมชมอนุสรณ์สถานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น “ช่วงบ่าย” ชมบ้านเมืองปอน และวัดแม่ปาง วัดพระธาตุจอมแจ้ง และศูนย์วัฒนธรรมแม่สะเรียง
สถานที่เที่ยวห้ามพลาด ไปชมพระตำหนักปางตอง ชมเรือนประทับแรมไม้ 6 หลัง ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้บนไหล่เขา สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าปางตอง ชมสัตว์ป่าหาดูยากกว่า 30 ชนิด เช่น เสือลายเมฆ หมีควาย ไก่ฟ้า นกยูง เป็นต้น
สถานีแปลงพันธุ์ไม้ดอก ชมเรือนเพาะชำต้นกล้าไม้เมืองหนาวหลากหลายสายพันธุ์
กิจกรรมห้ามพลาด ลัดเลาะเนินเขา ข้ามลำธารขึ้นไปชมพระตำหนักปางตอง ที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม ชมหิ่งห้อยยามค่ำคืนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติภายในสวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าฯ ชมฝูงแกะและฝูงม้าที่ลานทุ่งหญ้ากว้าง แปลงผักปลอดสารพิษและผักพื้นเมือง
@เลือกกิน5ผลไม้ล้างพิษในร่างกาย
การเลือกรับประทานผลไม้บางชนิด นอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณและคุณประโยชน์ดีๆ แฝงอยู่มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ดีกับร่างกายและสุขภาพของเรามาก อาหารมีทั้งคุณและโทษ การรับประทานอาหารไม่สมดุลกับควาต้องการของร่างกาย รับประทานไม่ถูกวิธี หรือ อาหารที่รับประทานปนเปื้อนสารพิษ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แพ้อาหารซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น สารพิษสะสมยังเป็นตัวการให้เกิดโรคร้าย เช่น โรคมะเร็ง ทางที่ดีควรหันมาใส่ใจดูแลอาหารการกินในชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่วันนี้กันดีกว่า การกินผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยล้างพิษ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพ ไปดูกันเลยว่า 5 ผลไม้นั้นมีอะไรกันบ้าง ที่ช่วยขับล้างพิษของเสียในร่างกายและยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณดีขึ้นอีกด้วย
1. แอปเปิ้ล ผลไม้ที่ดีทีสุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเพคตินในแอปเปิ้ลจะช่วยกำจัดสารพิษและป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้บูดเน่า นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งเปรียบเหมือนไม้กวาดช่วยทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ตับและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
2. สับปะรด มีเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหาร ทำให้ของเสียเป็นโปรตีนแตกตัวเร็วขึ้น สับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร และช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อ
3. องุ่น ผลไม้ลูกเล็กๆ ที่ทำหน้าที่เป็นสารฟอกล้างให้ผิวหนัง ตับ ไต และลำไส้ นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วยเกลือแร่และพลังงานจึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ในร่างกาย
4. แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เท่ากับช่วยฟอกล้างร่างกาย อีกทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต เปลือกของแตงโมอุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ และที่เมล็ดยังมีวิตามินมากมาย น้ำคั้นจากเปลือกและเมล็ดแตงโม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
5. มะละกอ เอนไซม์ปาเปนในกล้ามเนื้อมะละกอมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินกระเพาะอาหาร ดังนั้น มะละกอจึงช่วยให้โปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับสับปะรด อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร การรับประทานมะละกอเป็นประจำยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บางกอกแอร์งัด2โปรกระตุ้นเที่ยวหน้าฝน”
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า สายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้นำเสนอ2 แคมเปญโปรโมชั่น ต้อนรับเที่ยวฤดูฝน
“แคมเปญแรก” แพ็คเกจ “ปั่นเอาม่วน...เชียงรายแต้แต้” ตอนพิชิตดอยตุง ราคาคนละ 9,900 บาท รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงเทพ-เชียงราย พร้อมที่พัก 3 วัน 2 คืน อาหารทุกมื้อ และประกันอุบัติเหตุวงเงิน 100,000 บาท โดยจะมีทีมนักปั่นระดับมืออาชีพ ดีกรีแชมป์ประเทศไทยเป็นผู้นำทางและให้คำแนะนำการปั่นตลอดทริป
กิจกรรมนี้แบ่งเป็น 4 ทริป (รับทริปละไม่เกิน 16 คน) ได้แก่ ทริปแรก วันที่ 17-19 มิถุนายน 2560 ทริปที่สอง วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2560 ทริปที่สาม 26-28 สิงหาคม 2560 และทริปสุดท้าย วันที่ 16-18 กันยายน 2560
แคมเปญที่ 2 ขายบัตรโดยสารภายในประเทศราคาพิเศษโครงการ “Thailand Shopping & Dining Paradise 2017” ระหว่างวันนี้ - 15 กรกฎาคม 2560 โดยขายราคาตั๋วเครื่องบินเริ่มต้นเที่ยวละ 1,190 บาท ในเส้นทางบินภายในประเทศยอดนิยมและให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จองที่ www.bangkokair.com/thailandshopping เพื่อนำไปใช้เดินทางได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 กรกฎาคม 2560
เส้นทางบินที่ร่วมโครงการ ได้แก่ ระหว่างกรุงเทพฯ ไป-กลับ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง สุโขทัย ภูเก็ต กระบี่ และ ตราด โดยราคาพิเศษดังกล่าว ยังไม่รวมภาษีสนามบินแต่ละเส้นทางจะแตกต่างกัน ส่วนสิทธิประโยชน์พิเศษของผู้ซื้อตั๋วโดยสารจากโครงการ Thailand Shopping & Dining Paradise 2017 จะได้ร่วมลุ้นรางวัลตั๋วเครื่องบินในประเทศจากบางกอกแอร์เวย์ส กำหนดจับรางวัลทุกสัปดาห์ตลอดเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2560
สอบถามเพิ่มเติม หรือจองแพ็คเกจได้ที่ตัวแทนจำหน่าย พีบี ทราเวล โทร 081-530-6302 053-712-884 และ 053-742-844 หรือ อีเมล sales1.cei@pb-travelthailand.com
ข่าวที่สอง “
นายชนินทร์ โทณวณิก หัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานสานพลังประชารัฐด้านการท่องเที่ยวและไมซ์ ประธานคณะกรรมการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เปิดเผยว่า โจทก์ของประชารัฐในปัจจุบันและอนาคตต้องร่วมมือกันทำ 3 เรื่องหลักโดยนำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าไปสร้างผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมแก่ชุมชนท้องถิ่น 2 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.กระจายรายได้ 2.สร้างรายได้ 3.สร้างความยั่งยืน
เพราะจากการสำรวจสถิติจำนวนการพักค้างของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาแต่ละปี 300 ล้านคืน จึงตั้งเป้าหมายกระจายรายได้ไปสู่ภาคการเกษตร สิ่งแรกคือ หมวดอาหารและครื่องดื่มตามสถิติตั้งแต่ปี 2558 ประมาณ 500,000 ล้านบาทแต่โดยภาพรวมประเทศยังขาดแคลนบุคลากรทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 17-18% ของจีดีพี
ขณะนี้ทางประชารัฐจึงพยายามผลักดันให้บรรจุหลักสูตรท่องเที่ยวในระดับมัธยม เพิ่มด้านอาชีวศึกษา และจัดตั้งโครงการการเรียนการสอนเพื่อตอบโจทก์การผลิตบุคคลากรสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้วยการนำต้นแบบมาจาก เยอรมัน สวิส ฮอลแลนด์ ออสเตรีย โดยทำให้เด็กจบมัธยมมาเรียนหลักสูตรนี้เพื่อไปสร้างอาชีพแล้วดำรงชีพอยู่ได้ ขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการ กำลังจัดทำนำร่องใน 10 จังหวัด เพื่อบรรเทาปัญหาเด็กมัธยมตกงาน
กลยุทธ์ที่ 1 กระจายรายได้ วางกลยุทธ์ ที่จะทำดังนี้ 1.กระตุ้นกลุ่มบริษัทคอร์ปอเรตช่วยกันเดินทางจัดประชุมในประเทศ 2.นำโครงการเที่ยวไทยเท่สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกในการเดินทางท่องเที่ยว 3.สร้างช้อปปิ้ง พาราไดส์ เพราะระยะหลังนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้เดินทางมาเพื่อซื้อสินค้า จากสถิติปี 2559 นักท่องเที่ยวทั่วโลกมาบริโภคอาหารไทยมากเป็นอันดับ 1 แต่ความฝันของประชารัฐต้องการจะทำให้ไทยเป็นประเทศดิวตี้ฟรีและแท็กซ์ฟรี โดยใช้จุดแข็งของไทย คือเป็นมิตรกับทุกชาติ ค่าเช่าและค่าอื่น ๆ ไทยถูกกว่าแน่นอน
กลยุทธ์ที่ 2 : สร้างรายได้ เตรียมสร้างช่องทางการค้าไปสู่ -digital Tourism
shopping paradise และ Culureal Economy โดยเล็งเห็ฯถึงศักยภาพของเทรนด์ผู้บริโภค โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวผู้สูงอายุ ประชากรสูงอายุ กำลังต้องเจาะขยายฐาน จะผลักดันเป็นฮับการท่องเที่ยวของผู้สูงวัย ขณะนี้กำลังเดินหน้าผลักดันฐบาลออกวีซ่าแก่นักเดินทางทั่วโลกสามารถทำได้ 10 ปี โครงการนี้จะทำให้เสร็จก่อนสิ้นปี 2560
กลยุทธ์ที่ 3 : ความยั่งยืน มุ่งเน้นการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน “การศึกษา” จะเน้นหลักด้านบริการ โดยมีโครงการขึ้นมารองรับได้แก่ Amazing Thai Host, Connectivity, Law & Regurations ซึ่งทางประชารัฐได้เดินหน้าเสนอปรับปรุงกฎหมายไทยที่เป็นอุปสรรคปลดล็อกให้เกิดประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ทางประชารัฐยังได้ระดมทุกภาคส่วนสนับสนุนกิจกรรมอาหารไทย นำร่องด้วย Amazing Thai Taste โดยมีทางสายการบิน สมาคมภัตตาคารไทย โรงแรม และอีกกว่า 30 สมาคม ตามข้อตกลงทุกแห่งจะร่วมมือกันรณรงค์เริ่มภายในเดือนกรกฎาคม 2560 ทุกโรงแรมสั่งซื้อข้าวที่จะนำมาบริการแก่นักท่องเที่ยวโดยเจาะจงลงไปว่าเป็นข้าวชนิดใด เพื่อสร้างผลผลิตของเกษตรกรไทยในแต่ละชุมชนซึ่งมีอัตลักษณ์การผลิตข้าวได้อย่างหลากหลาย สามารถจำหน่ายเข้าถึงตลาดโลกมีรายได้อย่างยั่งยืน
ข่าวที่สาม “ดินเนอร์ซีฟู้ดโลกที่ฮิลตันสุขุมวิท”
นายเอียน แบร์โรว์ ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมฮิลตัน สุขมวิท กรุงเทพฯ กล่าวว่า ได้จัดโปรโมชั่น ‘Seafood in the city’ ที่ห้องอาหารสกาลินี ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 22.30 น.ชวนชิมอาหารทะเลสดที่นำเข้าและอาหารทะเลที่หาได้จากท้องถิ่นเข้ามาร่วมในเมนูชูการประกอบอาหารโดยใช้วัตถุดิบที่มาจากกรรมวิธีจับหรือเพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืนเพื่อสนับสนุนความสมดุลของธรรมชาติตามนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ได้แก่ ล็อบสเตอร์จากอเมริกา นำมาทำไฮไลท์โดยมีเมนูแนะนำ ล็อบสเตอร์ซุปกับบรั่นดีวีเอสโอพี ล็อบสเตอร์ลวก ย่าง คาร์ปาโซ่ล็อบสเตอร์บูรัตตาชีสและไข่ปลาคาเวียร์ ซีฟู้ดย่าง 2 คน ราคา 2,800 บาท++ โทร. 02 620 6666 หรืออีเมล bkksu_scalini@hilton.com
ข่าวที่สี่ “ทำสปาที่ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ”
โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ แนะนำ “เพอร์เพิล แพมเพอริง” (Purple Pampering) ทรีทเมนท์ใหม่ที่เลือกใช้ “เปลือกมังคุด” มาปรณิบัติผิวให้เนียน กระจ่างใส ให้บริการเป็นพิเศษระหว่าง 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2560 เท่านั้น ทรีทเมนท์ “เพอร์เพิล แพมเพอริง” ใช้เวลาทั้งสิ้น 90 นาที ราคาคนละ 3,800++ บาท โทร 02 687 9000 หรือ www.okurabangkok.com
สำหรับ “มังคุด” ราชินีแห่งผลไม้ไทย มีประโยชน์มากมาย อาทิ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่าง ๆ ได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง นอกจากนั้น เปลือกของมังคุดยังมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมานแผลช่วยให้แผลหายเร็ว ยับยั้งการเกิดเชื้อราและใช้รักษาโรคผิวหนังหลายชนิด
พบกันในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น. ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน คอลัมนิสต์ :ท่องเที่ยว/การบิน เจ้าของรายการ รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์ สวท.FM 97.0 MHz. |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น