ททท.เอเชียตะวันออกQ2โกยความสำเร็จโรด&เทรดโชว์5ประเทศ
เอกชนท่องเที่ยวตีปีกลุยขายไต้หวัน/ฮ่องกง3วันฟันรายได้พันล้าน
เม.ย.บุกจีน3เมืองพ.ค.รุกญี่ปุ่น-โลว์ซีซันดึงเอเชีย5ตลาดแทนยุโรป
คิงเพาเวอร์เตือนเช็กให้ชัวร์ก่อนช้อป5ช่องทางออนไลน์/โซเชียล
คิงเพาเวอร์-SCBอัดแคมปญ“FIRSTER TOGETHER”ถึง-31ธ.ค.66
ช้อปดีลสุดฮ็อตคิงเพาเวอร์ออนไลน์“HEAT THE DEAL”ลด15+5%
ททท.ผนึก18สนง.นำเอเชีย18ชาติร่วมเมกะแฟรมทริปขายทัวร์ปี66
บางจาก-กทม.รุกรณรงค์ปิดไฟลดโลกร้อนพร้อมโลก1ชม.25มี.ค.นี้
TCEBหนุนก.พลังงานจัดFutureEnergyAsia2023กระหึ่ม17-19พ.ค.
เที่ยวปอยส่างลองแม่ฮ่องสอนรับหน้าร้อนมี.ค.-เม.ย.6พิกัด6อำเภอ
4
เครื่องดื่มธาตุเหล็กสูงน้ำผักผลไม้สุดปังเสริมสุขภาพสุมดุลทุกวัย
การบินไทยเอาใจสมาชิกROPยืดไมล์หมดอายุปี’66เพิ่มให้ถึงปี’67
วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #TCEB #บางจาก #ทททภูมิภาคเอเชียตะวันออก #เที่ยวปอยส่างลองแม่ฮ่องสอน
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/jubY3oasgv/
ช่วงที่ 1
ผ่าตลาดท่องเที่ยวกับ
“ชูวิทย์ ศิริเวชกุล” ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) งัดกลยุทธ์แห่งปีบุก“โรดโชว์” มี.ค.นำร่อง 2
ตลาด
“ไต้หวัน-ฮ่องกง” ไทยโกยรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท 8 แอร์ไลน์สจัดคิวบินฤดูร้อนเข้าไทย จากไต้หวัน 1.5
ล้านที่นั่ง
ฮ่องกง 1.2 ล้านที่นั่ง
ขายซอฟท์เพาเวอร์ละครไทยฮ็อตสุด ๆ เม.ย.บุกจีนรอบสอง 3 เมืองใหญ่ “ปักกิ่ง-ฉงชิ่ง-หนานจิง” พ.ค.เจาะญี่ปุ่น
2 เมือง
“โตเกียว-โอซาก้า” พักนาน 10
วัน/คน/ทริป ใช้เงินเทียบชั้นยุโรป “มิ.ย.” ตลุยกรุงโซล
ดึงเมืองดังทั่วเกาหลีร่วมซื้อขายทัวร์ไทย ชี้เป้าโลว์ซีซันนี้ยุโรปน้อยลง
เอกชนไทยเร่งมือเพิ่มด่วนเอเชีย 5 ตลาด
ไต้หวัน ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
นายชูวิทย์
ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดเผยว่า วางกลยุทธ์ทำตลาดเอเชียโดยเน้นนำเอกชนไทยเดินทางไปโร้ดโชว์ล่าสุดจำนวน 41
ราย บุก 2 ตลาด คือ ไทเป/ไต้หวัน กับฮ่องกง
ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พูดภาษาจีนสถานการณ์ดีขึ้นมากขณะนี้คาดจะสร้างรายได้ท่องเที่ยวเข้าสู่เศรษฐกิจไทยรวมกว่า
1,000 ล้านบาท เฉลี่ยประเทศละ 500 ล้านบาท รวมทั้งปัจจุบันมีเที่ยวบินจาก 2 ประเทศ กลับมาให้บริการมาไทยฟื้นเร็วมากถึง 90 % โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างมกราคม-20 มีนาคม 2566 ฮ่องกงมาไทยแล้ว 150,000 คน ไต้หวัน 120,000 คน
การทำโร้ดโชว์ครั้งนี้เน้นเจาะตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาพักผ่อน
(Leisure) พื้นที่แรก
เมืองไทเป ไต้หวัน เปิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับเอเย่นต์รายใหญ่ไต้หวัน 45 บริษัท บรรยากาศดีมากเพราะเป็นครั้งแรกที่กลับมาพบกับคู่ค้าไทยในรอบ
3 ปี
ส่วนฮ่องกงเอกชนไทยมีนัดเจรจากับเอเย่นต์กว่า 40 บริษัท มากถึง 1,000 นัดหมาย
เป็นแรงผลักดันถึงอนาคตการท่องเที่ยวสดใสอย่างแน่นอน
ประเมินสถานการณ์
“ตารางบินฤดูร้อน” จะเริ่ม 26 มีนาคม
-ปลายตุลาคม 2566
รายงานจากสถาบันการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ยืนยัน “ไต้หวัน”
มีจำนวนที่นั่งเข้าไทยรวมกว่า 1.5 ล้านที่นั่ง มาจากพื้นที่ 3 เมืองหลัก ได้แก่ ไทเป เกาสง ไถหนาน
(อยู่ทางตอนใต้) เชื่อมโยงด้วยเครือข่ายเที่ยวของ 8 สายการบิน เช่น การบินไทย ไทยเวียตเจ็ท
ไชน่แอร์ไลน์ส อีวาแอร์ ไทเกอร์แอร์ ไทยสมายล์ ไทยไลออนแอร์
โดยกระจายบินตรงเข้าสู่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต
และเที่ยวบินเช่าเหมาลำเข้าเกาะสมุย (สุราษฏร์ธานี) เร็ว ๆ
นี้จะเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินประจำ
“พฤติกรรมไต้หวัน”
สไตล์นักท่องเที่ยวกึ่งตะวันตกกลุ่มคุณภาพพำนักในไทยนาน 7 วัน/คน/ทริป ชื่อชอบที่พักโรงแรมลักชัวรี่หรูหรา
โครงสร้างตลาดเปลี่ยนไปค่อนข้างมากตอนนี้โดยกระจายตัวไปตามจังหวัดยอดนิยม ไฮไลต์ 4
กลุ่มตลาด ได้แก่ กลุ่มที่ 1 วัยรุ่น Young Generation เศรษฐีอายุน้อย
เป็นลูกหลานนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ กลุ่มที่ 2 ท่องเที่ยวเชิงเอนเตอร์เทนดื่มกิน ในกรุงเทพฯ
ชอบสถานที่ร้านอาหารเครื่องดื่มสไตล์ รูฟ ท็อป บาร์ กลุ่มที่ 3 ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นิยมซื้อแพกเกจเวลเนส สปา
เช่น หัวหิน พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ กลุ่มที่ 4 ชอบมีส่วนร่วมทำกิจกรรมกับท้องถิ่นหรือ D.I.Y.
ส่วน
“ฮ่องกง” 1.2 ล้านที่นั่ง
ซึ่งเป็นจำนวนใกล้เคียงกับปีปกติ 2562 พฤติกรรมนักท่องเที่ยวมองไทยเป็น
Weekend Destination สามารถบินมาได้ตลอดทั้งปีหรือ
All Year Round ด้วยพื้นที่เป็นเกาะขนาดเล็กจึงมีแรงขับอยากเดินทางมาไทย
แต่จะพักไม่ยาว เดินทางมาบ่าย ๆ วันศุกร์
แล้วบินกลับเย็นวันอาทิตย์หรือเช้าวันจันทร์ โดยพำนักเฉลี่ยสั้น ๆ 2-3
วัน/คน/ทริป ใช้จ่าย 6,400 บาท/คน/วัน
สูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวเอเชียในไทยประมาณ 5,200 บาท/คน/วัน
ททท.วางกลยุทธ์เพิ่มความถี่ให้นักธุรกิจฮ่องกงเดินทางมาไทยได้บ่อยครั้ง
ด้วยการจับมือพันธมิตรจัดโปรโมชั่น พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะชอบดื่มกินในโรงแรม
ร้านอาหารรูฟ ท็อป บาร์ นวดสปา
เพราะส่วนใหญ่รู้จักไทยเป็นอย่างดีเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มซ้ำถึง 85 % ปี 2566
ททท.พยายามจะขยายฐานตลาดกลุ่มใหม่ “มิลเลนเนียล” นักเดินทางอายุน้อย ๆ
ชาวฮ่องกงเข้ามาใช้จ่ายเงินเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น
นายชูวิทย์กล่าวว่า
สินค้าท่องเที่ยวใหม่ New Chapters พร้อมนำเสนอขายในตลาดไต้หวัน
ฮ่องกง จะชู Soft Power 5F ได้แก่
Film/ละครไทย
ซึ่งนักท่องเที่ยวสองประเทศนี้ชื่นชอบมากพร้อมแต่งชุดไทยไปเดินเที่ยวตามสถานที่ต่าง
ๆ เช่น วัดอรุณราชวราราม วัดพระแก้ว และ “ดนตรี” ขณะนี้มี “เสี่ยวจู-โชว์ หลัว
จื้อเสียง” ศิลปินนักร้องไต้หวันโด่งดังมาก ทำมิวสิคชื่อชุด “ไม่มี ไม่ใช่
ไม่ต้องกลัว (หม่าย ตอง กัว หมายถึงการซื้อแตงกวา)” เป็นเพลงแดนซ์มีคนติดตามหลายล้านวิว
ปลายเดือนมีนาคม 2566 จะเดินทางมาถ่ายทำมิวสิคชุดใหม่ในเมืองไทย
ททท.เตรียมต้อนรับเพราะมีแฟนคลับติดตามนับ 10 ล้านราย
ซึ่งจะสามารถช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวของไทยได้อีกช่องทาง
รวมทั้ง
ททท.ได้ใช้ผู้มีอิทธิพล/Influencer และกลุ่มผู้นำทางความคิด/KOL
:Key Opinion Leader จากหลายประเทศ
เข้ามาเสริมทัพ จึงเหมาะกับการทำตลาดไต้หวันซึ่งก้าวหน้าไปค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะเทรนด์ใหม่ผู้นำทางความคิดในโลกเสมือนจริง Virtual KOL ตอนนี้กำลังมาแรงมากในตลาดเกาหลีด้วย
ซึ่งสามารถสร้างแคแลกเตอร์ตามที่นักท่องเที่ยวต้องการได้
สำหรับ
“ไต้หวัน-ฮ่องกง” ชื่นชอบการพักผ่อนติดอันดับ 3 เห็นศักยภาพตลาดเซกเมนท์ใหม่ คือ 1.กลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ
โดยมีสมาคมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม
เพื่อให้สมาชิกมีพื้นที่ได้ร่วมกิจกรรมดูแลรักษาโลกอย่างยั่งยืน
เดือนเมษายน
2566 ททท.ร่วมกับสมาคมอนุรักษ์เกาะเต่า
จัดมหกรรม “Reborn the Nature”
ที่เกาะเต่า การดูแลรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติบนฝั่งและโลกใต้ทะเลเกาะเต่า พะงัน
สมุย เน้นกิจกรรมเก็บขยะทะเล อนุรักษ์สัตว์ทะเล และทำความสะอาดชายหาด
ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีได้รับความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่จากไต้หวันด้วย
นายชูวิทย์กล่าวว่า
ททท.ช่วงครึ่งหลังปี 2566 ตั้งแต่ไตรมาส
2 เริ่มเมษายน-กันยายน
นี้จะเดินหน้าลุยนำเอกชนไปโร้ดโชว์ต่อเนื่องในต่างประเทศ ตั้งแต่ “เดือนเมษายน”
จะทำโร้ดโชว์ตลาดสาธารณรับประชาชนจีนรอบ 2 หลังจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้รอบแรกไปแล้ว
ครั้งใหม่ ททท.จับมือกับทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดอันดามัน ภูเก็ต กระบี่
พังงา รุกเจาะตลาดจีน 3 เมือง ได้แก่ 1.เมืองฉงชิ่ง อยู่ทางฝั่งตะวันตก 2.ปักกิ่ง เมืองหลวงขนาดใหญ่ มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นเป็นจำนวนมาก 3.หนานจิง เมืองเก่าอยู่ใกล้ ๆ เซี่ยงไฮ้
มีเส้นทางเชื่อมโยงการบินจากเมืองรอบ ๆ เข้ามายังมากพอสมควร
“เดือนพฤษภาคม”
โร้ดโชว์ญี่ปุ่น 2 เมือง โตเกียว
โอซาก้า ระหว่าง 16-18 พฤษภาคม
ต่อเนื่องด้วยการจัดงานอินเตอร์ในไทย “Thailand Travel Mart 2023” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ กรุงเทพฯ
ระหว่าง 31 พฤษภาคม -2มิถุนายน นี้
“เดือนมิถุนายน”
เดินทางโร้ดโชว์ต่อไปยังตลาด “เกาหลีใต้” กรุงโซล
โดยจะดึงผู้ประกอบการจากเมืองต่าง ๆ เข้ามาร่วมเจรจาการค้า เช่น เมืองฟูซาน
และเมืองอื่น ๆ มารวมตัวกัน
นายชูวิทย์กล่าวว่า
ปี 2566
“โครงสร้างตลาดท่องเที่ยวโลกเปลี่ยน”
นักเดินทางจะอยู่ทางฝั่งตลาดเอเชียจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
ไต้หวัน ฮ่องกง
ททท.และประเทศไทยตั้งเป้าจะเพิ่มกลุ่มนักเดินทางคุณภาพเพื่อเพิ่มทั้งรายได้และจำนวนคน
ตลาดที่มีความโดดเด่นชัดเจน ได้แก่ “ญี่ปุ่น” พำนักอยู่ในไทย 10 วัน
ยาวที่สุดในเอเชียและมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินคล้ายคลึงตลาดยุโรป
เน้นสินค้าดื่มกินเป็นหลัก จึงขอให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทยเตรียมรับมือสถานการณ์โลว์ซีซันของตลาดระยะไกล
จะมีตลาดเอเชียดังกล่าวข้างต้นเข้ามาทดแทนได้ดี
นักท่องเที่ยวเอเชียที่พร้อมเข้ามาไทยช่วงโลว์ซีซันปีนี้
พฤษภาคม-ตุลาคมนี้ จะมี กลุ่มที่ 1นักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนหรือเลเชอร์
กลุ่มที่ 2 ไมซ์
โดยเฉพาะอินเซ็นทีฟ เดินทางเพื่อเป็นรางวัล
จะต้องเน้นเรื่องการดูแลบริการอย่างปลอดภัย กลุ่มที่ 3 นักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จีน ช่วง
ททท.เดินทางไปโร้ดโชว์รอบแรกเดือนกุมภาพันธ์ได้พบปะกันระหว่าง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายพิพัฒน์
รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของไทย
ได้รับการแนะนำจากจีนเพื่อให้ช่วยดูแลนักท่องเที่ยว 3 คำ คือ “คุณภาพ/Qaulity-ความปลอดภัย/Safety-การส่งมอบประสบการณ์ที่ดี/Experience”
จึงขอฝากให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยทั้งประเทศร่วมด้วยช่วยกันดูแลทั้ง 3
เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์เตือนเช็กให้ชัวร์ก่อนช้อป5ช่องทางออนไลน์/โซเชียล
กลุ่มบริษัท
คิง เวอร์ แจ้งเตือน เช็กให้ชัวร์ก่อนช้อป!!! ด้วยขณะนี้ได้ “มีผู้แอบอ้างนำชื่อทางการค้า
รูปภาพเครื่องหมายการค้า” ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
ไปหลอกลวงเพื่อจำหน่ายสินค้าหรือชักชวนให้ร่วมลงทุนในลักษณะทำการภารกิจเพื่อรับผลกำไรหรือให้สิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งทางบริษัทฯ ไม่เคยมีนโยบายและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด
เพื่อให้ทุกคนมั่นใจเมื่อใช้บริการ
คิง เพาเวอร์ (กลุ่มบริษัทฯ) ทุกช่องทาง
กรุณาตรวจสอบข้อมูลจากช่องทางอย่างเป็นทางการ 5 ช่องทางหลัก ดังนี้
1.เว็บไซต์ www.kingpower.com
2.King Power
Application ดาวน์โหลดได้ทั้ง App Store / Google
Play / App Gallery
3.บริการ King Power Call to Shop : โทรศัพท์
02-338-7870
4.บริการ King Power Chat to Shop : LINE @KP_ChatToShop
5.ช่องทางโซเชียลมีเดีย คิง เพาเวอร์ อีก 6 ช่องทางย่อย
ได้แก่
5.1 Facebook https://www.facebook.com/Kingpowerofficial
5.2 Instagram
https://www.instagram.com/kingpowerofficial
5.3 https://www.instagram.com/kingpowerbeautyclub
5.4 LINE OA
@kingpower
5.5 Twitter
https://twitter.com/KingPowerhq
5.6 TikTok https://www.tiktok.com/@kingpower_official
หากพบเจอสื่อโซเชียลมีเดีย
หรือได้รับ SMS ข้อความทางโซเชียลมีเดียโดยมีการแอบอ้างมาจาก
คิง เพาเวอร์ (กลุ่มบริษัทฯ)
หรือมีข้อสงสัยกรุณาตรวจสอบ กับเจ้าหน้าที่โดยตรงที่ King Power
Contact Centre 1631
ข่าวที่
2 คิงเพาเวอร์-SCBอัดแคมปญ“FIRSTER TOGETHER”ถึง-31ธ.ค.66
คิง เพาเวอร์
คลิก นำทัพ มัลติแบรนด์ “FIRSTER” ควง SCB พันธมิตรรายใหญ่อัดฉีดแคมเปญ
“FIRSTER TOGETHER”
วันนี้-31 ธ.ค.66 ช้อปทุกช่องทางรับสิทธิพิเศษชุดใหญ่
3 คุ้ม
เมื่อจ่ายผ่านบัตรบัตรเดบิต และบัตร Planet SCB “ออนไลน์/แอพลิเคชั่น”
ไม่ต้องมียอดซื้อขั้นต่ำลดทันที 250 บาท “หน้าร้าน” ช้อปครบปุ๊บ 2,500 บาท รับปั๊บส่วนลด 250 บาท “สมาชิก FIRSTER” ช้อปคิง เพาเวอร์ มหานคร และสยามสแควร์ซอย7 รับคะแนนคูณ 2 ได้ถึง 30 มิ.ย.นี้
“ศิรดา
ศรีธงชัย” ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด FIRSTER
บริษัท คิง เพาเวอร์ คลิก จำกัด กับ “สรรค์สุดา เสงี่ยมบุตร”
ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Issuing Product ธนาคารไทยพาณิชย์
ร่วมเปิดตัวแคมเปญ “FIRSTER TOGETHER”
ระหว่างวันนี้ -31 ธันวาคม 2566
ทั้งสองพันธมิตรกอดคอกันสร้างสีสันกระตุ้นตลาดด้วยมัลติแบรนด์สโตร์เฟิร์สเตอร์/FIRSTER
ช้อปรูปแบบใหม่ได้รวมบิวตี้ไอเทมและแกดเจ็ตไว้ในที่เดียว
แล้วเดินหน้ามอบประสบการณ์ช้อปปิ้งได้แบบเต็มคาราเบล
รับทันที !! สิทธิพิเศษที่นำมามอบให้ลูกค้าช้อปผ่านแต่ละช่องทางอย่างสะดวกสบายทั้ง
“หน้าร้านและออนไลน์” เพียงแค่เลือกซื้อสินค้าแล้วจ่ายเงินผ่านบัตรธนาคารไทยพาณิชย์
2 ประเภท
1.บัตรเดบิต
SCB Mastercard และ 2.บัตร Planet SCB เริ่มช้อปแล้วจ่ายผ่านบัตรได้เลยตั้งแต่วันนี้-
31 ธันวาคม 2566 พิเศษยิ่งกว่า
หากสมาชิก FIRSTER เดินทางไปช้อปหน้าร้านรับคะแนนสะสม FIRSTER
POINT คูณ 2 ได้ด้วย
ผู้ถือบัตรเดบิต
SCB Mastercard และ บัตร Planet SCB ธนาคารไทยพาณิชย์ ช้อป Firster ของ บริษัท คิง เพาเวอร์ คลิก จำกัด เพื่อรับไปเลยสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องถึง 9
เดือน ตั้งแต่วันนี้มีนาคม จนถึง
สิ้นปี 31 ธันวาคม 2566
มากถึง 3
ความคุ้มค่า ประกอบด้วย
คุ้มที่
1 เลือกช้อปออนไลน์ ทั้งทางเว็บไซต์
WWW.FIRSTER.COM หรือ FIRSTER APPLICATION รับส่วนลด
10% โดยไม่ต้องมียอดซื้อขั้นต่ำ จะได้รับส่วนลดสูงสุด
250 บาท / ใบเสร็จ แต่ละเดือนช้อปก่อนรับก่อน 300
สิทธิ์ ตลอดรายการมีทั้งหมด 3,000
สิทธิ์
เพียงใส่ข้อมูลตาม 2 ขั้นตอน
คือ ขั้นตอนที่ 1 กรอกโค้ด SCBDEBIT10 เพื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต
SCB Mastercard ขั้นตอนที่ 2 กรอกโค้ด
PLANET10 เพื่อใช้จ่ายผ่านบัตร Planet SCB
คุ้มที่
2 ช้อปหน้าร้าน
รับส่วนลด 250 บาท โดยมียอดช้อปให้ครบ 2,500
บาทขึ้นไป แต่ละเดือนช้อปก่อนรับก่อน 300 สิทธิ์ ตลอดรายการมีทั้งหมด 3,000 สิทธิ์
คุ้มที่
3 สมาชิก FIRSTER รับคะแนน
FIRSTER POINT คูณ 2 ตั้งแต่ 1
เมษายน – 30 มิถุนายน 2566 เมื่อไปช้อปถึงหน้าร้าน
FIIRSTER ทุกสาขา ทั้งที่ FIRSTER คิง
เพาเวอร์ มหานคร และ FIRSTER สยามสแควร์ซอย 7
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นำเสนอไอเท็มสินค้า “FIRSTER” แบ่งเป็น 2
หมวดหลัก คือ หมวด BEAUTY และ LIFESTYLE เอาใจนักช้อปแต่ละวัย แต่ละสไตล์ ในโมเมนต์ ที่ใช่ต้องห้ามพลาดเลือกซื้อ
หมวดแรก “FIRSTER
BEAUTY” มีสินค้าให้เลือกช้อปทั้งแบรนด์ไทยและระดับโลกรวมกว่า 320
แบรนด์ดัง ทั้ง เครื่องสำอาง
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ของใช้ส่วนตัวอุปกรณ์เสริมความงาม ของใช้ในบ้าน และอะโรมา โดยเฉพาแบรนด์โลก
เช่น 111skin, Evidens de Beaute, Rodial, Dr. Barbara Sturm, Royal Fern,
Pure Altitude, Mesoestetic, Luxes, Boy Smells, Amoln, Chand, Akins, Foreo และอื่น ๆ
หมวดที่สอง “FIRSTER LIFESTYLE” ช้อปคุ้มค่ารวมกว่า 500 แบรนด์ ครอบคลุมทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า
สินค้าประเภทกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง แกดเจ็ตและไอที เกมมิ่ง เครื่องใช้ในบ้าน
และผลิตภัณฑ์ของใช้ผู้ชาย เช่น Garmin, Devialet, Anda Seat, AKRacing,
Steelseries, Keen, Converse, Poc, Dometics, Coravin และอื่น ๆ
สร้างจุดขายเป็น “วันสต็อปแห่งจุดหมายปลายทางจบครบที่เดียว : One Stop Destination” จึงได้รวบรวมแบรนด์ดังสุดคูลในใจของกลุ่มลูกค้าสายช้อปครบทุกมิติ
พร้อมทั้งมีเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์วางจำหน่ายเฉพาะที่ FIRSTER เท่านั้น
เช่น L:a Bruket, Chantecaille, Balmain Paris Hair Couture, Culti Milano
ข่าวที่
3 ช้อปดีลสุดฮ็อตคิงเพาเวอร์“HEAT
UP THE DEAL”ลด15+5%
กลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ รับซัมเมอร์ไม่ต้องมีไฟลต์บิน !! ! เช็คด่วน ดีลสุดฮอต ช้อปได้ กับแคมเปญ “HEAT UP THE DEAL” ดีลสุดฮอต “สินค้าส่งบ้าน-Home Delivery ลดสูงสุด
15 % และเมื่อช้อปครบ 5,000 บาทลดเพิ่มทันทีอีก 5%
ช้อปผ่านช่องทาง
“คิง เพาเวอร์ ออนไลน์” ไม่ต้องใส่เที่ยวบิน! ใส่เพียงแค่รหัสส่วนลด HEAT15 คลิกเลือกสินค้าได้เลยตั้งแต่วันนี้
- 31 มีนาคม 2566
สำหรับ
สินค้า Home Delivery ไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปได้ ส่งฟรี! ทั่วประเทศ เมื่อช้อปครบ 699 บาท
(สุทธิ) สามารถแบ่งชำระ 0%* นานสูงสุดถึง 10 เดือน เมื่อมียอดซื้อตามเงื่อนไขที่กำหนด พร้อมรับเครดิตเงินคืนสูงสุด
8,000 บาท รับเลย! ส่วนลด 200 บาท เมื่อสมัครสมาชิกออนไลน์ และรับสิทธิ์สมัครสมาชิก คิง เพาเวอร์ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท(สุทธิ)
ข่าวที่ 4 ททท.ผนึก18สนง.นำเอเชีย18ชาติร่วมเมกะแฟรมทริปขายทัวร์ปี66
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย
และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ได้นำทีมตลาดเอเชีย แปซิฟิก ททท. ในต่างประเทศ 18 สำนักงาน เชิญผู้แทนบริษัทนำเที่ยว
12 ประเทศ 144 ราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เมืองไทยอย่าง มาเลเซีย
อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เข้าร่วม Amazing Thailand Mega FAM Trip to Phangnga 2023
ที่จังหวัดพังงา ระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม 2566 โดยนายพิพัฒน์
รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานเปิด
Welcome Reception :
Amazing Thailand Mega FAM Trip to Phangnga 2023 พร้อมด้วยนายเอกรัฐ หลีเส็น
ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ททท.ต้องการเร่งผลักดันเสนอขายสินค้าและบริการท่องเที่ยวไทยแต่ละพื้นที่ตลาดช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เมษายน
2566 เป็นต้นไป ให้บรรลุเป้าหมายนักท่องเที่ยวระยะใกล้ปี 2566 ทำจำนวนนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ให้ได้
72 % ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
และสร้างรายได้รวม 62 %
ตลอดงานจะเน้นนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในรูปแบบ
New Chapters มุ่งกระจายการเดินทางและรายได้สู่ท้องถิ่น
เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนโครงการ
“Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters” ให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว (The Great Resumption) ตอบโจทย์ตลาดระยะใกล้ตาม
5 Approaches ได้แก่
เรื่องแรก China is Back-การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนคุณภาพ
เรื่องที่สอง 7 Digits Target -เน้นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง
เรื่องที่สาม Color Your Life by
Amazing Thailand -ให้แบรนด์ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของนักท่องเที่ยว เรื่องที่สี่ Responsible
Tourism -สนับสนุนการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
และ เรื่องที่ห้า Second Tier, Second to None -ขยายพื้นที่เป้าหมายไปยังเมืองรองของประเทศไทย
รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในต่างประเทศเข้าร่วมสำรวจและทดสอบสินค้าท่องเที่ยวในพังงาควบคู่ไปด้วย ททท.ได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา
ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมในพังงา จัดทำขึ้น เริ่มจากวันที่19-20 มีนาคม 2566 นำชมอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา เกาะปันหยี
ถ้ำพุงช้าง ล่องแก่งสองแพรก และอีกหลาย เพื่อนำให้เห็นโปรดักซ์เป้าหมายแต่ละพื้นที่จะนำไปเสนอขายโดยเร็วที่สุด
โดย ททท. ได้เปิดเวทีจับคู่ธุรกิจหรือ B2B เชิญผู้แทนบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศกว่า 100 ราย
จากเอเชียตะวันออก และอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ เจรจากับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวพังงากว่า
50 ราย ที่โรงแรมอวานี พลัส เขาหลัก รีสอร์ต พังงา ทำให้กิจกรรม Amazing
Thailand Mega FAM Trip to Phangnga 2023 ผลักดันพังงาได้แสดงศักยภาพความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้
และสามารถยกระดับเป็นจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพิ่มการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน
ตลอดจนสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ของไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม
ข่าวที่
5 บางจาก-กทม.รุกรณรงค์ปิดไฟลดโลกร้อนพร้อมโลก1ชม.25มี.ค.นี้
นายสุวัฒน์ มีมุข
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาองค์กรดิจิทัล บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ร่วมกับนางสาววรุณลักษม์ พลหาญ
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพระโขนง และตัวแทนผู้บริหารอาคารเอ็ม ทาวเวอร์ รณรงค์ประชาสัมพันธ์ทำกิจกรรม
"ปิดไฟ 1 ชั่วโมง
ลดโลกร้อน (60+ Earth Hour 2023)" ในวันเสาร์ที่ 25 มีนาคม 2566
เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 20.30 – 21.30 น. ซึ่งทางกรุงเทพมหานครสนับสนุนพร้อมทั้งเข้าร่วมปิดไฟลดการใช้พลังงาน
นำร่องในอาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท บางจากฯ อาคารเอ็ม ทาวเวอร์ และตลอดถนนสุขุมวิท ในเขตพื้นที่พระโขนง
ซึ่งจะทำพร้อมกันกับเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า
190 ประเทศ กว่า 7,000 เมือง
อีกทั้งบางจากฯ ยังได้ประสานความร่วมมือกระตุ้นเครือข่ายทั่วประเทศร่วมโครงการปิดไฟครั้งนี้ด้วย
3 กลุ่มหลัก
ได้แก่ กลุ่มที่ 1 สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศกว่า
1,300 แห่ง ร่วมปิดไฟบริเวณป้าย Highway Sign กลุ่มที่ 2 อาคารปฏิบัติการต่าง ๆ
ของกลุ่มบริษัทบางจาก กลุ่มที่ 3 ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้พนักงานและประชาชนร่วมปิดไฟในวันและเวลาดังกล่าว
ล่าสุดกรุงเทพมหานครมีข้อมูลระบุว่าผลจากการจัดกิจกรรม
"ปิดไฟ 1 ชั่วโมง
เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour)" เมื่อปี 2565 ทำให้พื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ
สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ 78 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
20 ตัน คิดเป็นมูลค่า 176,172 บาท
และจากการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง 14 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2551-2565 สามารถลดกระแสไฟฟ้าได้แล้วถึง 22,476 เมกะวัตต์
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 12,255 ตัน คิดเป็นมูลค่า
81 ล้านบาท
สำหรับโครงการ "ปิดไฟ 1 ชั่วโมง
ลดโลกร้อน -60+ Earth Hour 2023" ในวันที่ 25 มีนาคม นี้
เพื่อสร้างความตระหนักกับคนทั้งประเทศ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานลดน้อยลง โดยใช้เท่าที่จำเป็น
ประหยัดพลังงานโดยลดการใช้ไฟฟ้า ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ทางกลุ่มบริษัทบางจาก
พร้อมเดินหน้าดำเนินมาตรการลดการใช้พลังงานต่อเนื่องในระยะยาว
สนับสนุนการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Winnonie
และรถไฟฟ้า (EV)
ลดการใช้ไฟฟ้าและลดการใช้พลังงานในอาคารสำนักงานและกระบวนการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันบางจาก
ควบคู่การปลูกต้นไม้ตามพื้นที่ต่าง ๆ และปลูกพืชผักสวนครัวในสวนลอยฟ้าบนอาคารสำนักงานใหญ่บางจากฯ
รวมทั้งพื้นที่ปฏิบัติการอื่น ๆ และการรณรงค์คัดแยกขยะให้ถูกประเภท
รวมถึงขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เพื่อนำไปจัดการให้เหมาะสม
ข่าวที่
6 TCEBหนุนก.พลังงานจัดFutureEnergyAsia2023กระหึ่ม17-19พ.ค.
“นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ทีเส็บร่วมกับกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพจัดงาน
Future Energy Asia and Future Mobility Asia 2023 ควบคู่กันการการประชุมระดับรัฐมนตรี ถือเป็นการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและหน่วยงานเอกชนจัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค
ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของโลกซึ่งจะเติบโตอย่างรวดเร็วปีนี้จะมีประเด็นสำคัญในเวทีประชุมสะท้อนเรื่องดังกล่าวด้วย
ซึ่งทางทีเส็บได้ริเริ่มแนวคิด
“หนึ่งกระทรวง หนึ่งการประชุม :
One Ministry One Convention” จนกระทั่งนำมาสู่ความร่วมมือจัดการประชุม
Inaugural Ministerial Energy Forum ขึ้นในไทย
ตลอดงานนอกจากจะจัดประชุมระดับรัฐมนตรี
หรือ Ministerial Energy Forum แล้วยังไฮไลต์อีก
5 กิจกรรม
ได้แก่
กิจกรรมที่ 1 การประชุมและนิทรรศการเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
พร้อมนวัตกรรมเด่น เช่น การดักจับไฮโดรเจนและคาร์บอน รวมเทคโนโลยีการดักจับ
การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญทำให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
กิจกรรมที่ 2 จัดแสดงนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
สถานีชาร์จรถไฟฟ้า
รวมไปถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยียานยนต์พลังงานสะอาดจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก
ผนวกรวมการนำเสนอนวัตกรรมด้านพลังงานร่วมกับนวัตกรรมยานยนต์
นำสู่สุดยอดประชุมและการจัดแสดงแบบบูรณาการอย่างครบวงจร
ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและยานยนต์พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กิจกรรมที่ 3 นิทรรศการจัดแสดงนวัตกรรมจากบริษัทชั้นนำจาก
70 ประเทศ กว่า 300 แห่ง
ตอบโจทย์ความสำคัญสนองความต้องการพลังงานโลก และโซลูชั่นปลดล็อกศักยภาพการลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในอนาคต
กิจกรรมที่ 4 การประชุมเชิงกลยุทธ์ระดับสูงเกี่ยวกับพลวัตของตลาด
และนวัตกรรมใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมพลังงาน รวมถึงศักยภาพdkiใช้ไฮเดรเจนเพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงาน การลดคาร์บอนในกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
การเร่งลงทุนในโปรเจคใหม่ การปลดล็อคเทคโนโลยีใหม่ในภาคพลังงาน
การบุกเบิกการเปลี่ยนแปลงในตลาดก๊าซหุงต้ม รวมไปถึงความสำคัญการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมพลังงานยุคใหม่
กิจกรรมที่ 5 ประชุมด้านเทคนิคกว่า 100 การประชุม ด้วยการรวมตัววิศวกรและผู้จัดการโครงการทั่วโลก จะมาร่วมแบ่งปันเทคนิคและความรู้ที่จำเป็นในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
พร้อมนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคืบหน้าที่สำคัญในการลดคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าพลังงาน
ตามเป้าหมายปี 2573
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดอันดับ
4 ของโลก คาดความต้องการพลังงานในภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นเป็น 3
เท่า ระหว่างปี 2556 - 2583 ส่งผลให้กลายเป็นศูนย์กลางการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ช่วงที่ 2 สายบุญเตรียมตัวให้พร้อมขึ้นเหนือร่วมงานประเพณี
“ปอยส่างลอง” แม่ฮ่องสอน เริ่มแล้วปลายเดือนมี.ค.-8 เม.ย.นี้
6 พิกัด 6 อำเภอ แล้วฟัง “4เครื่องดื่มน้ำผักผลไม้” ธาตุเหล็กสูง และข่าวเจาะลึก ข่าวแรก “การบินไทย”
ใจป้ำยืดไมล์หมดอายุปี66ให้ถึงปี67 ข่าวที่สอง
“CAAS เปิดเวทีถกมาตรการปลอดภัยการบินเอเชีย”
สิงคโปร์ฟื้นเร็วปี66เข้ม6เรื่อง
ท่องเที่ยว
-เที่ยวปอยส่างลองแม่ฮ่องสอนรับหน้าร้อนมี.ค.-เม.ย.
6พิกัด6อำเภอ
เตรียมตัวให้พร้อมเดินทางไป
“แม่ฮ่องสอน” เปิดพิกัดท่องเที่ยวงาน “ประเพณีปอยส่างลอง” ในเมืองสามหมอกตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.-8 เม.ย.2566 ในจังหวัดต้นแบบการจัดงานชาติพพันธุ์ไทยใหญ่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์หนึ่งปีมีครั้งเดียว
ที่จะได้สัมผัสความงดวามทางธรรมชาติ พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งในงานบุญซึ่งเปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธาอันทรงคุณค่า
ซึ่งตอนนี้งานปอยส่างลองขยายจัดไปถึงเชียงใหม่ เชียงราย ด้วยเช่นกัน
“ปอยส่างลอง” คือการบวชลูกแก้ว
หรือบรรพชาสามเณรช่วงฤดูร้อน จะจัดขึ้นทุกปี ๆ ละ 1
ครั้ง ระหว่างเดือน มีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงว่างเว้นจากการทำนา ในท้องถิ่นมีอาหารอุดมสมบูรณ์
แล้วก็เป็นช่วงเด็กเยาวชนปิดเทอม เพื่อให้บุตรหลานได้ “ศึกษาเรียนรู้พระธรรม
เจริญจิตภาวนา ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์” ชาวไทยใหญ่จึงจัดบวชส่างลองตามความเชื่อที่ได้ยึดถือปฏิบัติและสืบทอดต่อกันมาช้านาน
ซึ่งเชื่อว่าการบวชจะได้รับอานิสงส์ “ผลบุญสูงสุด”
ทุกวันนี้จึงทำให้ “แม่ฮ่องสอน” มีชื่อเสียงโด่งดัง
ถือคติการบวชเณรที่จำลองแบบมาจาก “พุทธประวัติของพระพุทธเจ้า” ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช
จึงต้องแต่งกายส่างลองกันให้สง่างาม ตามแบบกษัตริย์พม่าโบราณ นุ่งโจงกระเบน
สวมเสื้อมีชายเชิงงอนปักดิ้นไหม ประดับด้วยเพชรนิลจินดา ทั้งสร้อย กำไล และแหวน
ศรีษะโพกด้วยผ้าแพรและประดัฐด้วยดอกไม้ มีคนคอยกางร่มทองคำกันแดด มีพี่เลี้ยงส่วนตัวคอยดูแลส่างลองอย่างใกล้ชิด
การจัดงานทุกปีแสดงถึงความศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนาของชาวไทยใหญ่
ตลอดจนเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเป็นเอกลักษ์ให้คงอยู่สืบไป
โดยเฉพาะ “ขบวนแห่ส่างลอง หรือแห่ครัวหลู่”
มีความสวยงามตามแบบโบราณของชาวไทยใหญ่หรือชาวไตอย่างแท้จริง
มีพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่นักท่องเที่ยวคนไทยและทั่วโลกเดินทางมาแม่ฮ่องสอน
พร้อมกับร่วมทำบุญสืบสานงานประเพณี ซึ่งแต่ละวันมีความความหมายต่างกัน คือ
“วันแรก” เรียกว่า “วันรับส่างลอง” เจ้าภาพจะทำพิธีกรรม “ส่างลอง”
ตอนเช้า นำบรรดาเด็กชายไปวัด
เพื่อแต่งชุดด้วยการนุ่งโจงกระเบนสีสดปล่อยชายด้านหลังยาวจับกลีบ
คาดเข็มขัดนาคหรือเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกโค้งงอน เสื้อปักฉลุลายดอกไม้สีต่าง ๆ
ศีรษะโพกผ้าแพรเกล้ามวยเสียบด้วยดอกไม้ เช่น ดอกเอื้องคำ หรือดอกไม้อื่น แต่งหน้าด้วยการ เขียนคิ้ว ทาปาก สีแดง
สวมถุงเท้าสีขาว ถือเป็นการแต่งส่างลองเต็มตัว
แล้วพระสงฆ์จะให้ศีลให้พรอบรมสั่งสอน
จากนั้น “ตะแป ส่างลอง”
หรือผู้ให้ขี่คอ ก็จะนำส่างลองไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลหลักเมือง เจ้าคณะจังหวัด ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ
ในขบวนจะมี “ทีคำ” หรือ “ร่มทองคำ” กางกั้นบังแดดให้ส่างลอง
วันที่ 2
เรียกว่า วันแห่ครัวหลู่” เป็นวันแห่งเครื่องไทยทาน
เพื่อแห่ส่างลองกับเครื่องไทยทานจากวัดปางล้อไปตามถนนสายต่าง ๆ ตลอดช่วงเช้าผู้มีจิตศรัทธาจะเข้าร่วมขบวนมากมายช่วยกันแบกหามเครื่องอัฐบริขาร
เครื่องไทยธรรม ทั้งเล็กและใหญ่ ขบวนแห่ จีเจ่หรือกังสดาล ม้าเจ้าเมือง
ต้นตะเป่ส่าพระพุทธ ต้นตะเป่ส่าพระสงฆ์ ปุ๊กเข้าแตก เทียนเงินเทียนทอง
พุ่มเงินพุ่มทองอู่ต่องปานต่อง หม้อน้ำต่า อัฐบริขาร ดนตรีประโคมและขบวนแห่ส่างลอง
โดยให้ส่างลองขี่คอพี่เลี้ยงเรียกว่า
“ตะแปส่างลอง” มีกลดทองหรือ “ทีคำ” แบบพม่าไว้บังแดด ตอนเย็นจะจัดการแสดงมหรสพสมโภชตามประเพณีไตตามวัดต่าง
ๆ
วันที่ 3 เรียกว่า “วันข่ามส่างหรือวันหลู่” เป็นวันบรรพชาสามเณรและถวายเครื่องไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์
เลี้ยงอาหารไต แก่ผู้ที่มาร่วมงาน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
ปี 2566 “แม่ฮ่องสอน” จัดงานประเพณี “ปอยส่างลอง”
จะมีการจัด “วันแห่คัวหลู่” ช่วงวันที่สองของงาน
โดยจะเปิดโอกาสช่วงเช้าให้ผู้มีจิตศรัทธา หรือนักท่องเที่ยว ชมหรือเข้าร่วมแห่ส่างลองเครื่องไทยทานช่วยกันแบกหามเครื่องอัฐบริการจาก
“วัดปางล้อ” ไปตามถนนสายต่าง ๆ ส่วนงานประเพณีนี้เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.-เม.ย.2566 ใน 6 อำเภอ
6
พิกัด 13
วัด ดังนี้
พิกัดที่
1 อำเภอเมือง จัดวันที่ 24,30 มี.ค. และ 4,23 เม.ย.เวลา 7.00 น. ใน 4 วัด เริ่ม 22-25 มี.ค. วัดแม่สะกึ๊ด 26-31 มี.ค.วัดนาป่าแปก 3 – 5 เม.ย.วัดปางล้อ และวัดห้วยขาน
22-24 เม.ย.วัดในสอย
พิกัดที่
2 อำเภอปาย
จัดวันที่ 4,6 เม.ย.
และ1
พ.ค. เวลา 16.00 น.ใน
3
วัด เริ่ม 3 – 5 เม.ย.วัดป่าขาม 5
– 7 เม.ย.วัดแม่นาเติงใน 29 เม.ย.
– 2 พ.ค.วัดม่วงสร้อย
พิกัดที่
3 อำเภอแม่สะเรียง จัดวันที่ 3,8 เม.ย. เวลา 16.00 น. ใน 2 วัด 2
– 4 เม.ย.วัดศรีบุญเรือง 7 – 9 เม.ย. วัดสุพรรณรังษี
พิกัดที่
4 อำเภอปางมะผ้า จัดวันที่ 27 มี.ค. เวลา 7.00 น.ใน 1 วัด 25-28 มี.ค.ที่สำนักสงฆ์ถ้ำพญางู
พิกัดที่
5 อำเภอขุนยวม
จัดวันที่ 31 มี.ค.และ 4 เม.ย. เวลา 15.00 น. ใน 2 วัด เริ่ม 29 มี.ค.
– 1 เม.ย.วัดต่อแพ และ3-5 เม.ย.วัดคำใน
พิกัดที่
6 อำเภอแม่ลาน้อย จัดวันที่ 7 เม.ย. เวลา 16.00 น. ใน 1
วัด 5 – 8 เม.ย.2566 วัดดอยแก้ว
ททท. แม่ฮ่องสอน ชวนนักท่องเที่ยวทั่วประเทศมาร่วมชมวัฒนธรรมไทยใหญ่และขบวนแห่ส่างลองสุดตระการตาในงานประเพณีปอยส่างลองปี
2566 โทร.สอบถามได้ที่ 0 5361 2982 อีเมล์
tatmhs@tat.or.th Facebook : TAT Maehongson
สุขภาพ
– 4 เครื่องดื่มธาตุเหล็กสูงน้ำผักผลไม้สุดปังเสริมสมดุลสุขภาพทุกวัย
ถ้าไม่อยากเสี่ยงขาดธาตุเหล็ก แนะนำ 4 เครื่องดื่มมีธาตุเหล็ก
จากผักผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงตามนี้เลย
แม้ว่าธาตุเหล็กในผักผลไม้จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม (non-heme iron) ซึ่งร่างกายจะดูดซึมได้ไม่ดีเท่าเหล็กฮีม (heme iron) ที่พบในอาหารจำพวกสัตว์ ดังนั้นหากอยากเติมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
ไม่ควรพึ่งพืชผักจนเกินไป แนะนำให้กินเนื้อสัตว์ไปด้วยอย่างสมดุลกัน
1. น้ำลูกพรุน ผลลูกพรุน หรือ
ลูกพลัมแห้ง มีธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม (non-heme iron) สามารถกินเพื่อเติมธาตุเหล็กในร่างกายได้
ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปแล้วข้างต้นว่าร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีมได้ไม่ดีเท่าเหล็กฮีมที่พบในอาหารจำพวกสัตว์
ดังนั้นอย่าลืมเติมธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ไปด้วยนะ
2. น้ำบีทรูท ทั้งมีธาตุเหล็ก แล้วก็ยังมีโฟเลต
แมงกานีส โพแทสเซียม วิตามินซี และบีเทน (betaine) กินแล้วมีส่วนช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากตับ
พร้อมด้วยแร่ธาตุที่มาช่วยซ่อมแซมเซลล์เม็ดเลือด
ซึ่งถือเป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
3. น้ำผัก – จากผักต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็น ปวยเล้ง ขึ้นฉ่ายฝรั่ง พาร์สลีย์ สวิสชาร์ด เทอร์นิพ (turnip) และผักเบี้ยใหญ่
(purslane) ก็มีธาตุเหล็กเช่นกัน แต่จะเป็นเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม
ใครอยากหาแหล่งธาตุเหล็กจากพืช ผักเหล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเลย
โดยแนะนำให้เติมผลไม้ที่มีวิตามินซีอย่าง เลมอน เกรปฟรุต และส้มไปด้วยก็จะช่วยใหนการดูดซึมธาตุเหล็กให้ดีขึ้นได้
4. น้ำมัลเบอร์รี่ -ผลมัลเบอร์รี่
อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก พร้อมด้วยวิตามินซี
ซึ่งวิตามินซีนั้นจะช่วยให้สามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากแหล่งอาหารอื่นๆ ได้ดีขึ้นอีก
เรียกได้ว่าถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเติมธาตุเหล็กให้กับร่างกายได้ดีไม่แพ้ผักต่างๆ
เลย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก-การบินไทยเอาใจสมาชิกROPยืดไมล์หมดอายุปี66เพิ่มถึงปี67
บริษัท การบินไทย (มหาชน) รายงานว่าได้ขยายอายุไมล์สะสมใน
“รอยัล ออร์คิด พลัส :
ROP-Royal Orchid Plus” ที่จะหมดอายุในปี
2566
ทางสมาชิกไม่จำเป็นต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการ
เพราะจะได้รับสิทธิ์ขยายเวลาโดยอัตโนมัติ
ดังนี้
เรื่องแรก
การบินไทยจะขยายไมล์สะสมรอยัล
ออร์คิด พลัส ของสมาชิกที่จะหมดอายุสิ้นไตรมาส 1-3 ออกไปเป็นระยะเวลา 12 เดือน ได้แก่
1.ไมล์สะสมหมดอายุ 31
มีนาคม 2566 ขยายไปเป็น 31 มีนาคม 2567
2.ไมล์สะสมหมดอายุ 30
มิถุนายน 2566 ขยายไปเป็น 30 มิถุนายน 2567
3.ไมล์สะสมหมดอายุ 30
กันยายน 2566 ขยายไปเป็น 30 กันยายน 2567
เรื่องที่ 2 ขยายไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส
หมดอายุสิ้นไตรมาส 4 จะเพิ่มเวลาใหม่ไปอีก 9 เดือนได้แก่ ไมล์สะสมหมดอายุ 31 ธันวาคม 2566 ขยายวันหมดอายุถึง 30 กันยายน 2567
ทางการบินไทยได้ขยายอายุสถานภาพสมาชิก “บัตรแพลทินัมและบัตรทอง”
รอยัล ออร์คิด พลัส ที่จะหมดอายุปี 2566 ขยายอัตโนมัติไปอีก 1 ปี จนถึงปี 2567
สมาชิกสามารถดูวันบัตรหมดอายุบัตรซึ่งจะเป็นไปตามรอบบัตรของแต่ละคน
อีกทั้งการบินไทยยังแนะนำให้สมาชิกมีทางเลือกใช้สิทธิ์ได้อีก
โดยใช้ไมล์สะสมร่วมชำระเงินซื้อตั๋วโดยสารการบินไทยอย่างสะดวกในรูปแบบ Cash Plus Miles ผ่านทางเว็บไซต์ thaiairways.com สมาชิกจะได้รับคะแนนด้วยเมื่อใช้บริการดังกล่าว
ดูรายละเอียดเพิ่มที่ thaiairways.com/rop
ข่าวที่สอง
–CAASถกความปลอดภัยการบินเอเชีย-สิงคโปร์ฟื้นเร็วเข้ม6เรื่อง
CAAS เปิดเวทีถก “สุดยอดผู้นำความปลอดภัยด้านการบินเอเชีย
: AP-SAS 20023” โชว์แผนเสริมแกร่งแล้ว 4 ส่วน
“ระบบ-วัฒนธรรม-ความเป็นผู้นำ-จัดทัพอนาคต” ปี’65
สิงคโปร์ฟื้นเร็วแซงปี’62 แล้วโกยลูกค้า 95 แอร์ไลน์ส ปี’66 ประกาศพลิกโฉมใหม่อย่างเข้ม 6 เรื่อง ดูแลคน แอร์ไลน์ สุขภาพจิต กำกับดูแล จัดทำคู่
เพิ่มข้อแนะนำทางเทคนิคใช้สนามบิน
สถาบันองค์กรการบินพลเรือนสิงคโปร์
(CAAS : Civil Aviation Authority of Singapore) รายงานว่า
ในการจัดการประชุม “ประชุมสุดยอดผู้นำด้านความปลอดภัยการบินแห่งเอเชียแปซิฟิก :
AP-SAS 2023 หรือ INAUGURAL ASIA-PACIFIC AVIATION SAFETY
SUMMIT” วันแรก 22 มีนาคม 2566 โดยมีผู้เข้าร่วม400 องค์กรรัฐและเอกชน
หารือกันถึงเรื่องโควิด-19 ทำให้เกิดความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อความปลอดภัยในการบิน
รวมถึงความสามารถของบุคลากร ความสมควรเดินอากาศเครื่องบินของสายการบิน ภายใต้การจัดทำขั้นตอนใหม่รูปแบบสนามบินและระเบียบความปลอดภัย
วัฒนธรรม ความเป็นผู้นำของบริษัทการบินต่าง ๆ ภายใต้แรงกดดันทางการเงินซึ่งจะต้องนำบริการที่ดีกลับมาโดยเร็ว
โดยทาง
CAAS ให้ความสำคัญอันดับแรกกับ “ความปลอดภัยในการบิน”
ในเอเชีย แปซิฟิก สิงคโปร์จึงได้เดินหน้าทำแล้ว 4 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 เสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบความปลอดภัย เพื่อระบุ ตรวจสอบ และลดความเสี่ยงเชิงรุกล่วงหน้า พร้อมกับยกระดับการกำกับดูแลการปฏิบัติงานทางอากาศ
การดำเนินงานสนามบิน ใบอนุญาตสมควรเดินอากาศเครื่องบิน ให้บริการการเดินอากาศ
และความสามารถของบุคลากรที่ได้รับใบอนุญาต รับประกันทรัพยากรบริการอย่างเพียงพอ และมีกระบวนการอันแข็งแกร่งรองรับการปฏิบัติการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 2565 ได้เผยแพร่ฉบับแรก “แผนความปลอดภัยการบินแห่งชาติ” โดยกำหนดลำดับความสำคัญของสิงคโปร์และการดำเนินการใน
3 ปีหน้า ด้านความปลอดภัยทั้งหมด 50 รายการ
ส่วนที่ 2 เสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ตั้งแต่ปี 2565 ทำสำรวจพบความคิดด้านความปลอดภัยอันแข็งแกร่งในหมู่พนักงานการบิน
โดยไม่คำนึงถึงความท้าทายที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 โดยตั้งค่าระบบการรายงานความปลอดภัยโดยสมัครใจแล้วเก็บไว้เป็นความลับ
Tell Sarah เพื่อสนับสนุนการรายงานเชิงรุกและการระบุการปฏิบัติที่ไม่ปลอดภัยหรืออันตรายที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการบินไว้ตั้งแต่เนิ่น
ๆ
ส่วนที่ 3 เสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านความปลอดภัย ปี 2565 ได้เปิดตัวกฎบัตรครั้งแรก ด้านความปลอดภัยภาคการบินของสิงคโปร์
และซีอีโอของบริษัทเกือบ 100 แห่ง ให้คำมั่นว่าจะรักษามาตรฐานความปลอดภัยและเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรของตน
ด้วยความพยายามดังกล่าวข้างต้น
ส่งผลทำให้ CAAS สามารถเพิ่มการเดินทางทางอากาศอย่างปลอดภัย
เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนเกิดโควิด-19 ปี 2562
กับปีโควิดเริ่มคลี่คลายปี 2565 และสถิติใหม่ในช่วงสัปดาห์แรกเดือนมีนาคม
2566 ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วยความสำเร็จ 7 รายการ ดังนี้
1.เพิ่มการดำเนินงาน ปี 2562 เป็นจุดต่ำสุดช่วงโควิด-19
ระบาด สัปดาห์แรกเดือนมีนาคม 2566 การจราจรทางอากาศของสิงคโปร์กลับมาได้ถึง 80 %
ของจำนวนเที่ยวบินเดิม 1.3 เที่ยว/สัปดาห์
2.เครื่องบินของสิงคโปร์ลงทะเบียนเข้าสู่แผนปฏิบัติการบินอีกครั้ง 197
ลำ จากเดิมมี 231 ลำ
3. นักบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์สมีชั่วโมงทำการบินต่อเดือน
ขยับขึ้นมาสู่ปกติเท่ากับปี 2562 เรียบร้อยแล้วประมาณ 75 ชั่วโมง
4.จำนวนเครื่องบินที่อยู่ในหลุมจอด ขยับเพิ่มเป็น 24 ลำ
จากเดิม 6 ลำ
5.จำนวนสายการบินต่างประเทศที่ให้บริการไปยังสิงคโปร์ 95 แอร์ไลน์ส จากเดิม 87 แอร์ไลน์
6.จำนวนเที่ยวบินเข้าสิงคโปร์ มีประมาณ 5,800 เที่ยว/สัปดาห์
จากเดิมก่อนโควิดมีประมาณ 7,400 เที่ยว/สัปดาห์
7.เชื่อมโยงเครือข่ายเมืองได้ถึง 142 เมือง จากเดิม 175
เมือง
โดยทำได้อย่างปลอดภัย
โดยไม่มีอุบัติเหตุ ยืนยันได้จาก 1.สิงคโปร์ผ่านโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากลของ ICAO
(USOAP) ได้รับคะแนนการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ99.7 %สูงสุดในโลก เปรียบเทียบกับคะแนนค่าเฉลี่ยของทั่วโลกอยู่ที่ 67.5 %
และ 2.สิงคโปร์ผ่านการประเมินการดำเนินงานโครงการความปลอดภัยแห่งรัฐของ
ICAO (SSPIA) ได้คะแนนสูงสุด 39 จาก 44 ด้าน ผลการประเมินยืนยันว่าสิงคโปร์มีโครงการความปลอดภัยของรัฐที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพเพื่อระบุ
จัดการ และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในเชิงรุกอย่างจริงจัง
ส่วนที่ 4 อนาคตปี 2566 สิงคโปร์จะยกระดับความพยายามด้านความปลอดภัยด้านการบินเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากการเดินทางทางอากาศฟื้นตัวเกือบใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโควิดแล้ว
จะเดินหน้าพลิกโฉมเพิ่มแนวทางทางการบินใหม่ 6 เรื่อง ได้แก่
เรื่องที่
1 เพิ่มการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยของบริษัทการบินอย่างเข้มข้นมากขึ้น
โดยมุ่งเน้นจัดการทรัพยากรกำลังคน การจัดการความเสี่ยงจากความเมื่อยล้า การฝึกอบรม
และความทนทานของระบบ
เรื่องที่
2 จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับโปรแกรมความปลอดภัยของรัฐเพื่อเพิ่มการจัดการความปลอดภัยและความสามารถในการกำกับดูแลความปลอดภัยของเรา
รวมถึงการปรับปรุงการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อระบุและลดความเสี่ยงก่อนหน้านี้
เพิ่มความพยายามในการส่งเสริมความปลอดภัยภาคพื้นดิน
และเสริมสร้างกระบวนการกำกับดูแล
เรื่องที่
3 จะเปิดตัวกลยุทธ์และโครงการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติด้านสุขภาพจิตที่ดี
โดยร่วมมือกับสายการบินและสหภาพแรงงานในท้องถิ่น
และสร้างสภาพแวดล้อมที่เชื่อถือได้อย่างปลอดภัยเพื่อเข้าไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
แล้วทำให้นักบินกลับไปปฏิบัติหน้าที่อย่างปลอดภัย รวมถึงสิ่งที่ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศต้องเผชิญ
ดูแลความท้าทายด้านสุขภาพจิตและสุขภาพที่ดีอย่างเต็มประสิทธิภาพ
เรื่องที่
4 จะส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งในเชิงบวกกับชุมชนการบินทั้งหมด
โดยร่วมมือกับอุตสาหกรรมนำความคิดริเริ่มต่าง ๆ รวมถึงการสำรวจวัฒนธรรมความปลอดภัยประจำปีทุกภาคส่วน
และจัดพิมพ์คู่มือเกี่ยวกับวัฒนธรรมความปลอดภัย
แบบสำรวจนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคิดด้านความปลอดภัย และแนะนำความคิดริเริ่มเพิ่มความปลอดภัย
คู่มือนี้จะให้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยทำกรณีศึกษาเพื่อเป็นแนวทางแก่บุคคล
ผู้บริหารระดับกลาง และผู้นำในการเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรของตน
เรื่องที่
5 จะปรับปรุงกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของสิงคโปร์ให้ทันสมัยด้วยการแนะนำกฎระเบียบการเดินอากาศใหม่
ซึ่งจะทำให้ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมและจัดเตรียมแนวทางตามผลลัพธ์ของกฎระเบียบมากขึ้น
เรื่องที่
6 จะร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับนานาชาติและระดับภูมิภาคผ่านแพลตฟอร์มต่าง
ๆ แสวงหาความร่วมมือทางเทคนิคที่มีความสนใจร่วมกัน
เพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยในระดับภูมิภาคผ่านความช่วยเหลือทางเทคนิค และการพัฒนาคำแนะนำทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับข้อมูลด้านความปลอดภัยเพื่ออำนวยความสะดวกมุ่งลดความเสี่ยงเชิงรุกครบวงจร
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น