ททท.ปี66รุกโรดโชว์เทรดโชว์ทั่วโลก10งาน ตารางบินฤดูร้อนเที่ยวบินมาไทยเพิ่ม3เท่า สั่งลุยShap Supplyทำมาตรฐานใหม่STARดาวแห่งความยั่งยืน
ททท..เล่นใหญ่เกมเปลี่ยนท่องเที่ยวนำไทยครองตลาดโลกปี’66
ITBโกย3สำเร็จ/โร้ด&เทรดโชว์โลก10งาน/เที่ยวบินจ่อเพิ่ม3เท่า
สั่งลุยซัพพลายทำSTGsเข้ามาตรฐานใหม่ดาวแห่งความยั่งยืน
คิงเพาเวอร์ปลุกช้อปดิวตี้ฟรี“ไม่มีเวลาก็เที่ยวแฮปปี้ได้”2โปรดี
บินก่อนช้อป-ช้อปก่อนบินทางkingpower.comเที่ยว5ประเทศ
คิงเพาเวอร์จัดฮ็อตดีล+กดโซเชียลลุ้นแคชการ์ดฟรี3,000บาท
ททท.ครบ63ปีลั่นดันองค์กรสู่ดิจิทัลนำไทยทำท่องเที่ยวยั่งยืน
บางจากนำฑูตชมOKEA
ASAเชื่อมGreenนอร์เวย์กับBCGไทย
ครม.ท่องเที่ยวอาเซียนอนุมัติTCEBคุมผลิตคนสู่อาชีพอีเวนต์
เที่ยวเพชร5พิกัด“ชะอำ/แก่งกระจาน/เมืองเก่า/ป่าตาล/นาเกลือ
ชี้เป้า6วิธีลดเสี่ยง“ไขมันในเลือดสูง”ก่อโรคหัวใจผอมก็เป็นได้!
AWCร่วมYiwu-CCCGroupนำไทยฮับAECเทรดเซนเตอร์เอเชีย
เอมิเรตส์ลุยบินฤดูร้อนเพิ่ม31%เริ่ม26มี.ค.กรุงเทพฯ5เที่ยว/วัน
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #TCEB #บางจาก #เที่ยวเพชรบุรี5พิกัด
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/jkZTX0HGXV/
ช่วงที่ 1 โชว์พลังไทยกับ “ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร”
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ITB 2023 ดันท่องเที่ยวกระหึ่มโลก
3 มิติ “คู่ค้า-สื่อ-คว้ารางวัล Best Exibitor” ปี’66 ยุโรปมาแน่ 6 ล้านคน 3 ตลาดคุณภาพ “ทัวร์สุขภาพ-หรูหรา-ครอบครัว”ใช้เงิน 70,000-80,000 บาท/คน/ทริป ลุยขายโปรดักซ์ใหม่ยาวถึงปี’67 “เฮลท์&เวลเนส-ลักชัวรี่” มี.ค.-ก.ย.66 เดินสายทำโรดโชว์
เทรดโชว์ ทั่วโลก 10 งาน ตารางบินฤดูร้อนเริ่ม 26 มี.ค.นี้ แอร์ไลน์แห่เข้าไทย 5 สนามบิน
เพิ่มเที่ยวบินมโหฬาร 1-3 เท่า
โค้งสุดท้ายก่อนอำลาเก้าอี้ผู้นำสั่งลุยปั้น Shaping Supply พลิกโฉมธุรกิจเอกชนเข้ามาตรฐานใหม่
“STAR ดาวแห่งความยั่งยืน” ด้วยโมเดล STGs ไทย 17 ข้อตามยุทธศาสตร์ SDGs โลกของ
UNWTO
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ภายหลังการนำเอกชนท่องเที่ยวเข้าร่วมมหกรรมระดับโลกพร้อมทำการขายพรี-โพสต์ในงาน ITB Berlin 2023 ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมันี สามารถสร้างความสำเร็จใน 3 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ได้กลับเข้าสู่ตลาดการค้าท่องเที่ยวกับทั่วโลกใหม่ในรอบ 3 ปี ซึ่งมีทั้งการจับคู่ระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ B to B และธุรกิจกับผู้บริโภคยุโรป B to C มิติที่ 2 เปิดเวทีจัด Thailand Press Conference ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนนานาชาติเข้าร่วมงานมากมาย มิติที่ 3 ททท.นำบูธประเทศไทยในงาน ITB คว้ารางวัลในกลุ่มเอเชีย โอเชเนีย ประเภท Best Exibitor Award 2023 สามารถนำวัสดุเหลือใช้จากการจัดงาน WTM 2022 ลอนดอน การแต่งชุดไทย ทำให้ภาพรวมโดนใจคณะกรรมการ
รวมทั้งยังได้เห็น “สัญญาณการท่องเที่ยวทั่วโลก” ที่จะเดินทางเข้าเมืองไทย เนื่องจากมีบริษัทตัวแทนนำเที่ยวหรือเอเย่นต์กับสายการบินต่าง ๆ เข้ามาสอบถามเพื่อจะขอเพิ่ม “จำนวนที่นั่งเที่ยวบิน” มาไทยได้เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับยืนยันจะมีนักท่องเที่ยวต้องการเข้าพำนักในไทยนานวันขึ้น สอดคล้องกับนโยบายนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กำหนดเป้าหมายให้เพิ่มวันพักเฉลี่ยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2566 ดังนั้นจึงได้ทำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้วอีกครั้งเพื่อขยายวีซ่าต่างชาติได้พำนักในไทยนานวัน หลังจากมติเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566
ขณะเดียวกันก็ได้รับความสนใจจากตลาดเทรนด์คุณภาพกำลังซื้อเป้าหมาย
– กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์รวม
Health & Wellness กลุ่มที่ 2 ท่องเที่ยวชื่นชอบความหรูหรา
(Luxury) และกลุ่มที่ 3 นักท่องเที่ยวเดินทางเป็นครอบครัว
โดยสรุปการไปร่วมขายใน ITB 2023 ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
ทั้งงานออนไซซ์ และ Pre&Post Tour ในเบอร์ลิน เยอรมัน
โดยภาพรวมตลาดยุโรป “จำนวน” ปี 2566 จะนำกลับมาให้ได้ไม่ต่ำกว่า 80 % ตอนนี้เห็นสัญญาณใกล้เคียงกับปี 2562 แล้ว ตามเป้าหมายรายได้รวมจะต้องได้ 2.38 ล้านล้านบาท เมื่อแยกเป็นรายทวีป “ยุโรปกับตะวันออกกลาง” จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 6 ล้านคน จากปีฐานทำไว้ 8-9 ล้านคน ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งเที่ยวบินจากประเทศต้นทางมายังไทย อีกปัจจัยที่มีผลต่อรายได้คือ 1.พำนักอยู่ในไทยนาน 2.ใช้จ่ายเงินเฉลี่ยสูงประมาณ 70,000-80,000 คน/ทริป
ส่วนสินค้าใหม่ที่จะดึงคนเข้ามาท่องเที่ยวด้วยการตอกย้ำ Visit Thailand Year 2023 รวมถึงมีหลายประเทศก็ทำคล้ายกัน เช่น Visit Korean Year 2023-2024 ดังนั้นไทยจึงได้นำเสนอ2โปรดักซ์ใหม่อย่าง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์รวม และลักชัวรี่ สำคัญที่สุดคือ ใส่ข้อมูลสื่อสารถึงการท่องเที่ยวกลับมาใหม่อีกครั้งจะเน้นความยั่งยืนมากขึ้น คุณภาพ ความปลอดภัย การสร้างความประทับใจต่อประเทศไทย ซึ่งจะทำอย่างต่อเนื่องปี 2566 และปี 2567 เพื่อกระตุ้นการเดินทางเพิ่มมากขึ้นต่อไป
ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ททท.วางแผนทำโร้ดโชว์ เทรดโชว์ ต่อเนื่องไปจนถึงกันยายน 2566 ตลาดระยะไกล ในยุโรป ตะวันออกกลาง ไม่น้อยกว่า 10 งาน “เดือนมีนาคม” นี้ 3 โร้ดโชว์ ได้แก่ มอสโก รัสเซีย แอฟริกาใต้ และงาน Sea Trade Cruise รัฐฟอริด้า สหรัฐอเมริกา “เดือนเมษายน” 3 โรดโชว์ ได้แก่ คาซัคสถาน ต่อเนื่องงาน Supper Longhaul เซาท์เปาโล และแวนคูเวอร์ แคนาดา “เดือนพฤษภาคม” อีก 3 ไปงาน ATM 2023 ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมืองแมนเชสเตอร์ กับกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร และจะไปเซาท์เปาโลรอบสองร่วมงาน ILTM 2023 ปิดท้ายตุลาคมนี้ 1 งานคือ TOP LAZA
รวมทั้ง ททท.จะจัดงานใหญ่นำคู่ค้าทั่วโลกมาเจรจาธุรกิจในงาน TTM :Thailand Travel Mart 2023 ในไทย ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2566
สำหรับการใช้กลยุทธ์จัดทำ โรดโชว์ เทรดโชว์ การท่องเที่ยวในต่างประเทศทั่วโลก ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วงสถานการณ์โควิด-19 คู่ค้าห่างหายกันไปต้องใช้วิธีเจรจากันทางออนไลน์ แต่พอสถานการณ์คลี่คลายคู่ค้าทั่วโลกยังคงต้องการคุยธุรกิจกันแบบเผชิญหน้ามากกว่า เพราะท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่มีความละเอียดอ่อน การที่ทุกคนได้มีโอกาสมาเจอกัน แสดงความห่วงใยกัน เสมือนใจต่อใจ เป็นความจำเป็นที่จะต้องทำต่อไปเพื่อความประทับใจ และเป็นการเรียกคืนความสัมพันธ์เก่าที่จะปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่ในอนาคตด้วย
ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นหมู่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องขึ้นกับ “จำนวนเที่ยวบิน” เช่น เซี่ยงไฮ้ เคยมีเที่ยวบินมาไทย 400 เที่ยว/เดือน แต่ช่วงโควิดเหลือแค่ 7 เที่ยว ตอนนี้กลับมาได้ 95 เที่ยว/สัปดาห์ และตอนนี้โดยภาพรวมสายการบินทั่วโลกเข้าไทย กำลังจะสิ้นสุดตารางบินฤดูหนาว เข้าสู่ตารางบินฤดูร้อน 26 มีนาคม -ปลายตุลาคม 2566 ซึ่งจะมีแอร์ไลน์สและเที่ยวบินเข้าเมืองไทยเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากทั้ง 5 สนามบินนานาชาติของไทย ได้แก่
“สนามบินสุวรรณภูมิ” ช่วงตารางบินฤดูหนาวมี 35,000 เที่ยวบิน พอเข้าสู่ตารางบินฤดูร้อนเพิ่มเป็น 84,800 เที่ยว เพิ่มกว่า 2 เท่า โดยน่าจะมีจีนรวมอยู่ด้วย
“สนามบินดอนเมือง” ช่วงตารางบินฤดูหนาวมี
9,765 ช่วงตารางบินใหม่ฤดูร้อนเพิ่มเป็น 26,490 เที่ยว
“สนามบินภูเก็ต” ช่วงตารางบินฤดูหนาวมี
7,293 ช่วงตารางบินใหม่ฤดูร้อนเพิ่มเป็น 14,726 เที่ยว
“สนามบินเชียงใหม่” ช่วงตารางบินฤดูหนาวมี
1,741 เที่ยว ช่วงตารางบินใหม่ฤดูร้อนเพิ่มเป็น 6,431
เที่ยว
“สนามบินอู่ตะเภา” ช่วงตารางบินฤดูหนาวมี
420 เที่ยว ช่วงตารางบินใหม่ฤดูร้อนเพิ่มเป็น 1,233
เที่ยว ซึ่งจะมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนเพิ่มเข้ามาด้วย
“สนามบินสมุย” ช่วงตารางบินฤดูหนาวมี
292 เที่ยว ช่วงตารางบินใหม่ฤดูร้อนเพิ่มเป็น 867
เที่ยว ล่าสุดเมื่อช่วงต้นสัปดาห์เดือนมีนาคมนี้มีเที่ยวบินจีนมาลงสมุยเพิ่มเช่นกัน
ขณะนี้ตลาดจีนมีแนวโน้มที่ดีสูงสุดเดินทางเข้ามาวันละ 90,000 คน ทำให้สถิติ 1 มกราคม- 12 มีนาคม 2566 มียอดรวมต่างชาติเข้าไทยแล้วถึง 5.1 ล้านคน เฉลี่ยเดือนละกว่า 2 ล้านคน ยังไม่รวมจีน ตลอดทั้งปีก็จะได้ประมาณ 24 ล้านคน หากรวมจีนเข้าด้วยแล้วทั้งเดินทางด้วยตนเอง FIT และกรุ๊ปทัวร์ GIT ตั้งแต่เมษายนนี้เป็นต้นไป ก็น่าจะได้ตามนโยบายของรมว.พิพัฒน์ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมประมาณ 25- 30 ล้านคน ทำให้รายได้จากตลาดต่างประเทศมีโอกาสเป็นจริงตามเป้ารวม 1.5 ล้านล้านบาท
ส่วนการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ของ
ททท.ได้ให้ความสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่
1 การเดินหน้าขับเคลื่อนดีมานต์ไซต์ตลอดช่วงที่ผ่านมาไม่น่ากังวลกับตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยว
เพราะคนต่างชาติที่ไม่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวกว่า 3 ปีพอเปิดประเทศถึงแม้ตั๋วโดยสารเครื่องบินจะราคาแพงแต่คนส่วนใหญ่ก็ยังต้องการจะมาเที่ยวเมืองไทยจึงต้องเพิ่มตลาดคุณภาพให้มากขึ้น
เรื่องที่ 2 การสร้างซัพพลายเชนหรือระบบนิเวศน์ทางการท่องเที่ยวสามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพได้
เมื่อ
ททท.ให้ความสำคัญกับตลาดคุณภาพ ความสำคัญด้านความปลอดภัย
รวมถึงคุณค่าที่มีความหมายที่ดี ซึ่งจะตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน
ดังนั้นจึงต้องดูแนวทางการพัฒนาตามเป้าหมายทั่วโลกปี ค.ศ.2023 มุ่งสู่ความยั่งยืน
จึงต้องนำหลักปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติมาคลี่ดู
ซึ่งทุกคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสามารถจะมีส่วนร่วมได้ ตามที่ UNWTO เคยทำเรื่อง Tourism for SDGs (Sustainable
Development Goals) แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียด ถ้าจะให้บรรลุเป้าหมายจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง
จึงเป็นสาเหตุทำให้
ททท.รวบรวมทั้งของสหประชาชาติ กับ Tourism for
SDGs ของ UNWTO
นำมาดำเนินการให้เป็นแนวปฏิบัติของภาคเอกชนไทย ด้วยวิธีจัดทำ “ดาว”
ตามระดับที่ภาคธุรกิจสามารถทำให้เข้าเกณฑ์ความยั่งยืน Sustainable Tourism
Goals :STGs โดยล้อตาม SDGs ทั้งหมด 17 เป้าหมาย มาประยุกต์ใช้ในไทย เช่น สถานที่ใดทำได้ตามเกณฑ์ 3 ข้อ จะได้ 1 ดาว หรือทำได้ 6
ข้อ จะได้ 2 ดาว หรือทำได้เกิน 10 ข้อ
จะได้ 3 ดาว
สะท้อนถึงทุกฝ่ายโดยเฉพาะสถานที่พักโรงแรมสามารถมีส่วนร่วมบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้
ภายใต้สถานประกอบการเหล่านั้นได้ทำอยู่บ้างแล้ว
ส่วน
“นักท่องเที่ยว” เองก็ยินดีจ่ายเงินสูงขึ้น เพื่อจะเลือกใช้บริการที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยวที่มีส่วนร่วมทำให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืน
และเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเพื่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม
หากคนเริ่มต้นจาก 1 จะขยับเป็น 2 หรือเริ่มต้น 2 จะขยับเป็น 3 ดาว
ททท.ก็มีโครงการมอบ “ดาวแห่งความยั่งยืน” ภายใต้ Sustainable Tourism
Circulation Goals a Rating หรือ Star เข้ามาช่วยขับเคลื่อนยกระดับให้ผู้ประกอบการเข้าสู่เป้าหมายพร้อมกันในปี
ค.ศ.2030
ททท.จะเริ่มคลิกออฟได้เมษายน
2566 เพื่อเดินหน้านำ STGs มาใช้ต่อไป
เพราะขณะนี้ได้รับการร้องขอจากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องการจะนำผลงานการมีส่วนร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไปใช้ประโยชน์ 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องที่
1 ยื่นขอเงินกู้สีเขียว Green loan จากธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB)
โดยอยู่ระหว่างหารือกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดเป้าหมาย STGs
เพื่อให้ผู้สนใจได้รู้ถึงระดับที่จะต้องทำ เรื่องที่ 2 จัดทำเป็นคู่มือการตรวจหรือ Audit ต่าง ๆ
สำหรับ
“เอกชนท่องเที่ยว” ที่จะเข้ามีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนตามเป้าหมายใหม่ STGs ของ ททท.จะมีทั้งปัจจุบันทำเองได้อยู่แล้ว เช่น โรงแรมที่มีโครงการสนับสนุนชุมชนรอบพื้นที่จากการรับซื้อผลผลิตต้นทางจากเกษตรกรผู้ปลูกผัก
หรือลักษณะการจ้างงานเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มโดยไม่เลือกเพศ
หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาความยากจน ดังนั้นโรงแรมต่าง ๆ
ที่มีมาตรการหรือนโยบายเหล่านี้อยู่แล้วจะมีความเป็นไปได้ง่ายมากที่จะได้รับ
“ดาวแห่งความยั่งยืน” ถึงแม้จะยังไม่ได้ในช่วงนี้
ททท.ก็พร้อมเข้าไปสนับสนุนเพื่อเห็นถึงความตั้งใจของเอกชนเห็นความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนั่นเอง
ดร.ยุทธศักดิ์
กล่าวว่า ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนครบเทอมการปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการ ททท.ในเดือนสิงหาคม
2566
ต้องขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งวันแรกเมื่อ 1 กันยายน 2558 ได้รับความร่วมมือจากทุกคนอย่างเต็มที่โดยทำงานและเห็นถึงความตั้งใจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
กระทั่งยอมรับให้ท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
และสำคัญที่สุดเราทุกฝ่ายผ่านวิกฤตมาไม่ว่าจะเป็น ทัวร์ศูนย์เหรียญ
โศกนาฏกรรมเรือล่มภูเก็ต และสถานการณ์โควิด-19
ได้เห็นทุกคนทุ่มเทตั้งใจแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ซึ่งเป็นจุดดีที่ทุกคนต้องรักษาไว้
ผมคิดว่าเรื่องที่ต้องส่งไม้ต่อคือ
“เรื่องความยั่งยืน” ทั้งดีมานต์และทำให้ซัพพลายเกิดเป็นรูปธรรมได้มากที่สุด
ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นผู้ว่าการแล้ว คน ททท.ก็พร้อมจะทำเพื่อใช้ท่องเที่ยวช่วยเหลือและนำพาเศรษฐกิจประเทศแข็งแกร่งต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์ปลุกช้อปดิวตี้ฟรี“ไม่มีเวลาก็เที่ยวแฮปปี้ได้”2โปรดี
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
มอบความพิเศษต้อนรับการเดินทางช่วงฤดูร้อน ซัมเมอร์มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
นักท่องเที่ยว “มีไฟลต์บิน” ต่างประเทศ
แนะนำให้เลือกช้อปสินค้าดิวตี้ฟรีแบบมืออาชีพผ่านช่องทางออนไลน์ www.kingpower.com สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่
“ไม่มีเวลาก็เที่ยวแฮปปี้ได้” ด้วยบริการช้อปล่วงหน้าได้ก่อนบินเพียงแค่ 2
ชั่วโมง พร้อมความสะดวกรับได้ทั้งขาเข้า-ขาออก โดยมี “ส่วนลดสุดคุ้ม”
ทุกเดือน นักช้อปตัวจริงไม่ควรพลาดช้อปสินค้า travel-exclusive เฉพาะที่คิง เพาเวอร์ และก่อนช้อป อย่าลืม !!
ผูกบัญชีออนไลน์กับ “บัตรสมาชิก คิง เพาเวอร์”
เพื่ออรับสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า...ทุกการเดินทาง
มีไฟลต์บินแล้วเข้าร่วมแคมเปญ “ไม่มีเวลาก็เที่ยวแฮปปี้ได้”
ช้อปคิง เพาเวอร์ ออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันนี้ – 24 มีนาคม 2566
เมื่อมีไฟลต์บิน กดช้อปออนไลน์ ใช้บริการ kingpower CLICK &COLLECT ช้อปได้ทั้งขาเข้าและขาออก ด้วย 2 โปรโมชั่น คือ
“โปรโมชั่น” ลดสูงสุดถึง 15 % ง่าย ๆ
แค่คลิกออนไลน์เพื่อรับรหัสส่วนลด FLY15 แล้วช้อปให้ครบ 10,000
บาทสุทธิ รับทันทีส่วนลดสูงสุด 15 % หรือ
รับรหัสส่วนลด FLY10 แล้วช้อปให้ครบ 6,000 บาท ลดทันที 10 % และรับ E-Coupon ส่วนลดอีก 300 บาท มีทั้งหมด 3,000 โค้ด รับคูปองแล้วนำไปใช้ช้อปครั้งต่อไปมูลค่า 1,500 บาท ก็จะได้ส่วนดังกล่าว ตามสิทธิ์เพียง 1 ครั้ง/1อีเมล์การใช้งาน
โดยมีสินค้าแบรนด์ดังของโลกพาเหรดเข้าร่วมเต็มคาราเบล เริ่มจากโค้ด
FLY10
ส่วนลด 10% เช่น Lamer, Giorgio,
Clarins, Jo Malone, Tom Ford Beauty, Clinique, L’Occiane, ต่อด้วยโค้ด FLY15 ส่วนลด 15 % เช่น La prairie, Estee Lauder,
Sisley, Shiseido, Lancome, Augustinus Bader, Guerlain, de de peau เรื่อยไปจนถึง แทรเวลเบสต์คอลเลคชั่นของคนมีไฟลต์ เช่น บิวตี้แบรนด์ดัง
/Travellers Best Collection มีทั้ง สกินแคร์ เครื่องสำอางค์
และแทรเวล เอ็กซ์คลูซีฟ ทุกอย่าง หรือจะเป็น “ช้อปในสิ่งที่ชื่นชอบ /Shop
your Favorite Scent” หรือ “อัพลุคใหม่พร้อมบิน” มีให้เลือกครบ
เพียงแค่คลิกปลายนิ้วสัมผัสช้อปให้จบได้ที่แพลตฟอร์มออนไลน์เดียว
โปรโมชั่นที่ 2 สิทธิพิเศษจากพันธมิตรคิง เพาเวอร์ อีก 2 รายการ คือ รายการแรก
รับเครดิตเงินคืนจากกว่า 10
สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ รายการที่สอง
ผ่อนชำระได้นานถึง 10 เดือน เมื่อมียอดช้อปตามกติกา
และปิดท้ายด้วยการเลือกช้อปขาเข้าประเทศ Just Landed New Arrivals เมื่อเครื่องบินถึงสนามบินนานาชาติเมืองไทย ก็ช้อปได้ไม่ต้องยั้ง เช่น
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย เครื่องสำอางค์ น้ำหอม และอื่น ๆ
ข่าวที่
2 บินก่อนช้อป-ช้อปก่อนบินkingpower.comเที่ยว5ประเทศ
“คิง เพาเวอร์” ชี้เป้าบินลัดฟ้าเช็คอิน “เที่ยวที่ใช่! สู่ประเทศบินใกล้ บินง่าย บินได้ตลอด จุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทย
สามารถบินก่อนช้อป หรือช้อปก่อนบินผ่านช่องทางออนไลน์ที่ kingpower.com สู่ 5 ประเทศ
ประเทศแรก “ฮ่องกง”
เปิดแผนที่ดิจิทัลชวนนักเดินทางสายมูเตลูและสายช่างฝันเที่ยวได้แบบโดน ๆ
บนเกาะศูนย์รวมแหล่งรวมวัดดังมากมาย ปักหมุดต้องไปสักครั้ง 5 แหล่งท่องเที่ยว
ได้แก่ วัดหวังต้าเซียน วัดแชกง วัดพระใหญ่นองปิง ศาลเจ้าแม่กวนอิม
ได้ครบทั้งขอพรเรื่องเงินทอง ความรัก ปิดท้ายที่ “สวนสนุกดิสนีย์แลนด์”
เพิ่มประสบการณ์ความประทับใจได้มากกว่าเดิม
ประเทศที่ 2 “สิงคโปร์”
คนเดียวก็เที่ยวได้ เดินทางง่าย มีเที่ยวบินตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ถึงยามค่ำคืน
เกาะเศรษฐกิจและแห่งท่องเที่ยวธรรมชาติจัดสรรไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างลงตัว
เช็คอิน 6 สถานที่ ต้องห้ามพลาด 1.ถนนออร์ชาร์ด 2.เมอร์ไลออน 3.การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ 4.สวนสนุกยูนิเวอร์แซล 5.ย่านไชน่าทาวน์ 5.ย่านลิตเติลอินเดีย ส่วนเมนูเด็ดที่ต้องลิ้มชิมรสชาติอันเป็นอัตลักษณ์สิงคโปร์ก็คือ
ข้าวมันไก่ กับบักกุเต๋ เจ้าดัง
ประเทศที่ 3 “เวียดนาม”
เมืองในอ้อมกอดธรรมชาติหลากหลายสไตล์ ฟินกับภูเขา ชิลทะเลริมหาด
หรือชิคกับทะเลทราย ใน 5
สถานที่ 1.บานาฮิลล์ ดานัง 2.ฮอยอัน เมืองมรดกโลก 3.ฮาลองเบย์ 4.นครโฮจิมินห์ 5.ทะเลทรายมุยเน่
ประเทศที่ 4 “ไต้หวัน” เหมาะกับนักเดินทางสายเลิฟเวอร์
ตามหากความรัก ด้วยชื่อเสียงสถานที่ท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องขอคู่ครอง
ยามค่ำคืนชวนกันไปเพลิดเพลินกับอาหารการกินที่ตลาดกลางคืน แนะนำสถานที่ต้องเที่ยว 5 แห่ง ได้แก่ 1.ตึกสูงระฟ้า 101 2.วัดหลงซาน 3.อนุสรณ์สถานเชียงไคเช็ก 4.ย่านซีเหมินติง 5.หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น
ประเทศที่ 5 “มาเลเซีย”
เพื่อนบ้านมีชายแดนติดกับไทยบินใกล้ บินง่าย
มีเที่ยวบินให้เลือกตลอดทั้งวัน
ชวนลัดฟ้าไปสัมผัสวิถีพหุวัฒนธรรมความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวปัง ๆ 5 แห่ง ได้แก่ 1.ตึกแฝดเปโตรนาส
2.จอร์จทาวน์ 3.เลโก้แลนด์ 4.ถ้ำบาตู 5.เก็นติ้ง ไฮแลนด์
มีไฟลต์บิน ช้อปได้อย่างสะดวกสบายที่ www.kingpower.com
กับแคมเปญ
“ไม่มีเวลาก็เที่ยวแฮปปี้ได้”
แล้วเลือกเดินทางสู่จุดหมายเพื่อนบ้านในเอเชีย 5 ประเทศ บินใกล้
เที่ยวง่ายได้ทุกวัน
ข่าวที่ 3 คิงเพาเวอร์จัดฮ็อตดีล+กดโซเชียลลุ้นแคชการ์ดฟรี3,000บาท
คิง เพาเวอร์ มาพร้อม Summer 2
กิจกรรมสุดฮ็อต กิจกรรมที่ 1 ฮอตดีล! บิวตี้ไอเทม รับส่วนลดสูงสุด 10 % เมื่อช้อปเครื่องสำอาง
และน้ำหอม 7,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ตั้งแต่วันท
– 20 มีนาคม 2566 ที่ คิง เพาเวอร์ สนามบินสุวรรณภูมิ
กิจกรรมที่ 2 ซัมเมอร์นี้ กดติดตามในโซเชียลมีเดีย คิง
เพาเวอร์ ทุกช่องทาง ลุ้นรับฟรี! 47 รางวัล คือ Cash
Card มูลค่า 3,000 บาท 7 รางวัล หรือผ้าพันคอกระต่าย อีก 40
รางวัลเริ่มวันอาทิตย์ที่ 19– 31 มีนาคม
นี้ ประกาศผลผู้โชคดี 3 เมษายน ทาง www.facebook.com/Kingpowerofficial
วิธีร่วมสนุกลุ้นรับทั้งเงินและผลิตภัณฑ์คุณภาพ
1.กดติดตาม Line
/ Facebook / IG / TikTok และ
Twitter ของ King
Power Official
2.แคปภาพหน้าจอติดตามแล้วคอมเมนต์www.facebook.com/Kingpowerofficial
3.Like และ
Share โพสต์ดังกล่าว พร้อมตั้งค่าสาธารณะ
โดยทางทีมงานจะทำการสุ่มเลือกผู้โชคดีจากผู้ร่วมกิจกรรมแล้วทำตามกติกาครบถ้วน
เพื่อลุ้นรับ Cash Card มูลค่า 3,000 บาท และ สุ่มเลือกผู้โชคดีเพื่อลุ้นรับผ้าพันคอกระจายมงคลอีก 40 คน
สำหรับผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลจะต้องยืนยันตัวตน
โดยแจ้ง ชื่อ สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ผ่านทาง Inbox Message facebook.com/Kingpowerofficial ภายในวันที่ 6 เมษายน 2566 ซึ่งทางบริษัทฯ
จะจัดส่งรางวัลทางไปรษณีย์ให้ผู้โชคดีที่ได้ยืนยันตัวตนภายในเวลาที่กำหนด ผ่านที่อยู่ตามแจ้งไว้
ข่าวที่
4 ททท.ครบ63ปีลั่นนำองค์กรสู่ดิจิทัลนำไทยทำท่องเที่ยวยั่งยืน
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาองค์กรครบ
63 ปี วันที่ 18 มีนาคม 2566 ททท. แสดงความตั้งใจและมุ่งมั่นไปสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง หรือ High Performance Organization : HPO ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยให้เกิดความสมดุล
การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืน (Sustainable Tourism) และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมศักยภาพตลาดก้าวสู่
Digital Tourism โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นเลิศด้วยวิธีปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กรผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
พร้อมรองรับการทำงานภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ทำพันธกิจเคียงข้างทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างมีประสิทธิภาพทั้งปัจจุบันและอนาคต
ในโอกาส
ททท.ครบ 63 ปี จึงได้จัดกิจกรรมต่อเนื่องระหว่างวันนี้ - 24 มีนาคม 2566 เริ่มเมื่อ 15 มีนาคม 2566
ประกอบพิธีทางศาสนาเสริมสิริมงคล เฉลิมฉลองวันคล้ายวันสถาปนาองค์กร
พร้อมเชิญหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมด้วย จากนั้นช่วงบ่ายจัดพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ
มอบประกาศเกียรติคุณแก่บุคลากร พร้อมทั้งเชิญชวนหน่วยงานพันธมิตรร่วมบริจาคเงินสบทบทุนมูลนิธิรามาธิบดี
สมทบทุนโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัตรา ลีลาภิวัฒน์
ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ รับมอบเงินบริจาครวมทั้งสิ้น 236,599 บาท รวมทั้ง ททท.ยังได้จัดกิจกรรมอีกมากมาย
ได้แก่
กิจกรรมแรก นิทรรศการย้อนวันวาน
ชื่อ "ประสบการณ์ทรงคุณค่า 63 ปี ททท." เล่าเรื่องราวผลงานขององค์กรบนเส้นทางส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตลอดที่ผ่านมา
63 ปี
กิจกรรมที่ 2 เชิญบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิของ ททท.
ร่วมพูดคุยเสวนาแบ่งปันประสบการณ์การทำงานในองค์กรเมื่อ 14 มีนาคม 2566
กิจกรรมที่ 3 เสวนาให้ความรู้บุคลากร ททท. เรื่อง “ททท.
หัวใจคือความยั่งยืน” โดยมีกองบริหารความยั่งยืน
สำนักผู้ว่าการ รับผิดชอบจัดงานวันที่ 16 มีนาคม
และกิจกรรม อสท. on
stage วันที่ 20 มีนาคม นี้
เพื่อนำเสนอแนวคิด SDG -Sustainable Development Global ของสหประชาชาติ กำลังนำมามาประยุกต์ใช้กับการท่องเที่ยวของไทย
เดินหน้าแปลงโฉมเป็น STG- Sustainable Tourism Goal นำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยไปสู่เป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
กิจกรรมที่ 4 “TAT Tech Week” ทางด้านดิจิทัล วิจัยและพัฒนา ททท. รับผิดชอบจัด ระหว่างวันที่ 20-24
มีนาคม 2566 ภายใต้คอนเซปต์ Future of Tourism : Digital as
a game changer เตรียมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยสู่
Digital Tourism โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล
องค์ความรู้และนวัตกรรมและวัฒนธรรมดิจิทัลจากการปฏิวัติข้อมูล
(Data Revolution) ทำให้บุคลากร ททท.
สามารถนำมาเป็นเครื่องมือประยุกต์ใช้ส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
โดยมีกิจกรรมโชว์เคสด้านเทคโนโลยี จากหน่วยงานพันธมิตรได้แก่ Bitkub, MetaversrXR, Tiktok และเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานพันธมิตรในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและกลุ่ม Travel Tech (Startup) เข้าร่วมกิจกรรมเสวนาด้วย เรื่อยปจนถึงโชว์เคสพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความสำคัญและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่
ซึ่งจะมีนายนิธี
สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา ททท. นำทีมจัดเสวนาต่อเนื่องถึง 4 วัน 4 เสวนา เริ่มตั้งแต่วันที่
20 มีนาคม จัดเสวนาในหัวข้อ Digital as a game changer พร้อมด้วยผู้แทนจาก
Chiangmai Crypto Connext , Thailand
Connect, Altotech และการเสวนาในหัวข้อ CHAT GPT : AI chatbot สุดล้ำตอบคำถามได้ครอบจักรวาลจริงหรือไม่?,
วันที่
21 มีนาคม 2566 จัดเสวนาเรื่อง Amazing Thailand, Amazing Bitkub Metaverse วันที่ 22
มีนาคม 2566 จัดเสวนาเรื่อง “แฟลตฟอร์มกลางและการนำข้อมูลมาวิเคราะห์” และวันที่
23 มีนาคม 2566 การเสวนาเรื่อง “เทคโนโลยี metaverse จะมาเปลี่ยนชีวิตเราอย่างไร?” โดย Metaverse XR รวมทั้งกิจกรรมการเปิดตัวโครงการ
Content creator : Season 2 เพื่อเป็นแรงบันดาลใจร่วมกันนำ
ททท.สู่องค์กรดิจิทัลท่องเที่ยวอย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้นี้
ข่าวที่
5 บางจากนำฑูตชมOKEA ASAเชื่อมGreenนอร์เวย์กับBCGไทย
นางกลอยตา
ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บางจากร่วมกับ Mr. Svein J. Liknes ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท OKEA ASA ต้อนรับ นางสาววิมลพัชระ รักษาเกียรติ เอกอัครราชทูต ประจำกรุงออสโล นอร์เวย์ และคณะในโอกาสเยี่ยมชมและศึกษาการปฏิบัติงานที่แท่นผลิตปิโตรเลียมดรอเก้น
(Draugen)ในทะเลนอร์เวย์ ของบริษัท OKEA
ASA ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสโล
และเป็นธุรกิจต้นน้ำด้านทรัพยากรธรรมชาติรวมถึงเป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทบางจากด้วย
และเป็นหนึ่งในธุรกิจของกลุ่มบริษัทบางจากในประเทศที่ได้การยอมรับว่ามีมาตรฐานด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมดีสุดในโลกประเทศหนึ่งด้วย
โครงการนี้บางจากฯ
ได้ร่วมลงทุนและถือหุ้นหลักในบริษัท OKEA ASA ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวในกลุ่มบริษัทบางจาก
ซึ่งการเยี่ยมชมกิจการแท่นผลิตปิโตรเลียมดรอเก้นของเอกอัครราชทูตไทยและคณะจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ไทย-นอร์เวย์
ช่วยผลักดันความร่วมมือทวิภาคีเชื่อมโยงนโยบาย Green Transition ของนอร์เวย์กับนโยบาย Bio-Circular-Green (BCG) economy ของไทย
OKEA ASA เป็นผู้นำดำเนินการแหล่งปิโตรเลียมระยะกลางและปลายบนพื้นที่ไหล่ทวีปของนอร์เวย์
หรือ Norwegian Continental Shelf ผ่านกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นเสริมสร้างการเติบโต
สร้างมูลค่า และเคร่งครัดวินัยด้านเงินทุน
เพื่อขยายอายุสินทรัพย์ให้ยาวนานขึ้นจากแผนเดิม บางจากได้ลงทุนใน OKEA
ASA ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี รวมทั้งได้ยึดเป็นต้นแบบขยายการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานเพื่อความยั่งยืนในอนาคตของโลกด้วย
สำหรับนอร์เวย์เป็นประเทศที่มียอดการใช้รถไฟฟ้าสูงสุดในโลกเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร
โดยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในประเทศมาจากแหล่งพลังงานสะอาด
ในขณะที่พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตเพื่อส่งออก และเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
โดยมีแผนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 50-55 ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) และเป็นสังคมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณต่ำภายในปี
ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจพลังงานของนอร์เวย์พยายามรักษามาตรฐานการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ข่าวที่ 6 ครม.ท่องเที่ยวอาเซียนTCEBคุมมาตรฐานผลิตอาชีพอีเวนต์
TCEBนำไทยเฮรับ
“ครม.ท่องเที่ยวอาเซียน” 10 ประเทศ
อนุมัติรับรองมาตรฐานสมรรถนะบุคลากรอาเซียน 2 สาขา เริ่มปี’66 ทีเส็บนำทีมเจ้าภาพ “Event Professionals”
อินโดนีเซียรับดูแล MICE Professionals ลุยปั้นคนสมัครงานได้ทั่วอาเซียน
รุกเพิ่มความสามารถการแข่งขัน
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า
ในการประชุม ASEAN Tourism Ministerial ครั้งที่
26 ที่เมืองยอร์กยาการ์ต้า อินโดนีเซีย
คณะรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน 10 ประเทศ ได้อนุมัติรับรองมาตรฐานสมรรถนะบุคลากรอาเซียน หรือ ASEAN Mutual Recognition Arrangement on
Tourism Professionals (ASEAN MRA on TP) สร้างมาตรฐานพร้อมใช้กันทั่วอาเซียนตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปรวม
2 สาขา ได้แก่ 1.สาขา MICE Professionals และ 2.สาขา
Event Professionals
ซึ่งทางทีเส็บได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดทำและพัฒนามาตรฐานสมรรถนะบุคลากรอาเซียน สาขา “Event
Professionals” ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมการท่องเที่ยว
กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
สมาคมและเครือข่ายภาคการศึกษาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์
ล่าสุดได้นำเสนอรายงานความคืบหน้า
และผ่านการรับรองจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครอบคลุม 11
ตำแหน่งงาน ประกอบด้วย
1. Project Manager 2. Production Manager 3. Show
Manager 4. Event Coordinator 5. Marketing
Coordinator 6. Event Registration Supervisor 7. Event Administration Supervisor 8. Event
Registration Staff 9. Event Transportation Staff 10. Liaison Officer และ 11. General Support Staff
ส่วนสาขา MICE
Professionals ทางอินโดนีเซียรับเป็นเจ้าภาพจัดทำและพัฒนามาตรฐานสาขาดังกล่าว
ผ่านการรับรองจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนรอบเดียวกันกับไทยครอบคลุม 21 ตำแหน่งงาน
นายจิรุตถ์ กล่าวว่าทีเส็บกำหนดจัดอบรม ASEAN Grand Master Training หรือ Master
Assessor ให้แก่ผู้แทนสมาชิกอาเซียน
คาดจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในกันยายน 2567 และปี 2568
กำหนดจัดอบรม Thailand Assessor Training
ให้แก่ผู้ตรวจประเมินในอุตสาหกรรมไมซ์เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดสอบรับรองมาตรฐานสมรรถนะบุคลากรอาเซียน
สาขา Event Professionals ในเมืองไทย จากนั้นปี 2569 ตั้งเป้าหมายไทยจะมีบุคลากรสาขา Event Professionals ที่ผ่านการรับรอง 50 คน
และคาดประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีบุคลากรผ่านการรับรองในสาขา MICE
Professionals กับสาขา Event Professionals รวมกว่า
1,000 คน
เนื่องจากไมซ์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง
มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
การมีมาตรฐานสมรรถนะบุคลากรอาเซียนทั้งสาขา MICE
Professionals และ สาขา Event Professionals จะส่งผลทำเชิงบวกอย่างน้อย
5 เรื่อง ได้แก่
เรื่องที่ 1 เกิดการเปิดเสรีการค้าและบริการในอาเซียนเพิ่มขึ้น
เรื่องที่ 2
เอื้อประโยชน์ให้บุคลากรด้านไมซ์ไปทำงานในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นได้สะดวกขึ้น
เรื่องที่ 3
บุคลากรได้การยอมรับทักษะและความสามารถร่วมกันทั้งภูมิภาค
เรื่องที่ 4
ส่งเสริมการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรมเน้นสมรรถนะที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เรื่องที่ 5
ยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งของไทยและอาเซียนเดินหน้าเติบโตไปด้วยกัน
นายจิรุตถ์ กล่าวว่า
ทีเส็บได้เดินหน้าสร้างการรับรู้ให้บุคลากรไมซ์ในประเทศทำความเข้าใจเรื่องมาตรฐานสมรรถนะบุคลากรอาเซียน
สาขา Event
Professionals ด้วยการจัดงานสัมมนาภายใต้ชื่อ
“สัมมนาที่นักบริหารงานอีเวนต์ต้องไม่พลาด”
เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่องค์ความรู้ตลอดจนความเป็นมาและประโยชน์ของมาตรฐานดังกล่าวไปเมื่อ
2 มีนาคม 2566 ที่โรงแรม เดอะ สุโกศล
กรุงเทพ มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน
พร้อมทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ถึงปัญหาและอุปสรรคในการทำงานด้านอีเวนต์และงานมหกรรมระดับนานาชาติด้วย
ทั้งนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนให้ความสำคัญด้านการพัฒนาบุคลากรร่วมกันมาตลอด
ตั้งแต่ปี 2555 ทำข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
หรือ ASEAN
Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals (ASEAN
MRA on TP) เป็นแผนปฏิบัติการร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน
เริ่มจากตำแหน่งงาน 2 สาขา คือ 1.ด้านที่พัก (Hotel Services) และ 2.ด้านการเดินทาง (Travel Services) ผ่านมา 9 ปีต่อมา กระทั่งเมื่อปี 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนเห็นชอบพิธีสารแก้ไขข้อตกลงฯ
ดังกล่าว
เพื่อยกระดับและขยายความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ในอาเซียน
โดยเพิ่มตำแหน่งงานให้บุคลากรด้านการท่องเที่ยว คือ สาขาที่ 3 MICE
Professionals และสาขาที่ 4 Event
Professionals ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มต้นขับเคลื่อนอาชีพไมซ์ทั้ง
2 สาขา
เคลื่อนย้ายแรงงานในอาเซียนได้ภายใต้มาตรฐานหนึ่งเดียวกัน
ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยไป
“เพชรบุรี” เช็คอินฟิน 5 พิกัด ชายหาดชะอำ
ย้อนประสบการณ์เมืองเก่า เที่ยวป่ามรดกโลกแก่งกระจาน ชมวิถีบ้านนาป่าตาล
และเพิ่มคุณค่ากับชาวนาเกลือบ้านแหลม แล้วดูแลสุขภาพ “6วิธีป้องกันเสี่ยงไขมันสูง”
ก่อโรคหัวใจคนผอมก็เป็นได้ ฟังข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “AWCจับมืออี้อูจีน”นำไทยผงาดฮับAEC
เทรดเซ็นเตอร์เอเชีย ข่าวที่สอง “เอมิเรตส์”
แอร์ไลน์เบอร์ใหญ่เปิดตารางบินฤดูร้อนเริ่ม 26 มี.ค.66เพิ่ม 31% ไทยบินวันละ 5 เที่ยว
ท่องเที่ยว-เที่ยวเพชร5พิกัด“ชะอำ/แก่งกระจาน/เมืองเก่า/ป่าตาล/นาเกลือ
เที่ยวไทย เที่ยวใกล้ เที่ยวง่าย สไตล์ C2 ภาคกลาง เตรียมตรวจสภาพร่างกายและยานพาหนะให้พร้อมมุ่งหน้าไปเช็คอินสถานที่ท่องเที่ยว
“เพชรบุรี” หลากหลายเรื่องราวมากประสบการณ์ที่มีความหมายและคุณค่าตลอดซัมเมอร์นี้ไปฟินกันให้ได้
5 พิกัด
พิกัดที่
1 หาดชะอำ เที่ยวแบบ Y2K ย้อนวันวาน ปั่นจักรยานสามที่นั่ง หรือจะนั่งชิลริมทะเล
ชิมอาหารทะเลสด อร่อยและราคาไม่แพง มี Street food ร้านอาหารดั้งเดิม ร้านคาเฟ่เก๋ๆ
และมีโรงแรมให้เลือกพักได้ตั้งแต่ 3 -5 ดาว ตลอดแนวชายหาด หาดชะอำเป็นสถานที่จัด event ต่างๆ
ริมทะเลเพราะมีพื้นที่สาธารณะกว้างขวาง มีการจัดคอนเสิร์ต เทศกาลดนตรีแนวต่างๆ
เทศกาลอาหารเครื่องดื่ม และกิจกรรม Sport ต่างๆ เช่นงานวิ่งชายหาด ซึ่ง event ต่างๆ
เหล่านี้จะสลับหมุนเวียนกันไปเป็นประจำทุกเดือน
นับเป็นชายหาดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน
Gen Y Gen Z
พิกัดที่
2 อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก้
ให้เป็น UNESCO World
Heritage Site กลุ่มป่าแก่งกระจานที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ
จุดสำคัญห้ามพลาดคือ ชมทะเลหมอกใกล้กรุงบนเขาพะเนินทุ่ง
ช่วงต้นปีมีดอกกระโถนพระรามบานให้ชม ช่วงมีนาคมนี้ มีเทศกาลชมผีเสื้อที่บ้านกร่าง
และยังสามารถเดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติได้ตลอดทั้งปี มีลานตั้งแคมป์กางเต้นท์สะดวกสบาย
พิกัดที่
3 “เที่ยวเมืองเก่าเพชรบุรี” เส้นทางท่องเที่ยวรอบเมืองเก่าเพชรบุรีซึ่งเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์นาวนานกว่าพันปี
มีวัดเก่าหลายแห่ง อาทิ วัดมหาธาตุ วัดเกาะ วัดชีประเสริฐ วัดพลับพลาชัย
วัดสนามพราหมณ์ ชุมชนตลาดริมน้ำ
พิกัดที่
4 ทุ่งนาป่าตาล วิถีชีวิตของคนปลูกข้าว ปีนตาล
มีกิจกรรม Local
experiences ต่าง
ๆ ให้นักท่องเที่ยวต้องทึ่งกับความสามารถภูมิปัญญาไทยที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ในเพชรบุรี
พิกัดที่
5 นาเกลือบ้านแหลม ชมวิถีชีวิตชาวนาเกลือช่วงเก็บเกี่ยวเกลือทุกปีจะอยุ่ในช่วง
ก.พ.- พฤษภาคม ของทุกปี แล้วเชิญชวนให้ทดลองผ่อนคลายร่างกายกับ “เมนูทำสปาเกลือ”
ได้ที่กังหันทอง และกาแกลือร้านเกลือหวาน
เพชรบุรี รอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน
เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยใกล้กรุงเทพฯ ภายใต้วิถีใหม่ สนุก มีความสุข
ได้ประสบการณ์มากกว่าเดิม มาได้ทุกวัน
สุขภาพ -ชี้เป้า 6 วิธีลดเสี่ยง“ไขมันในเลือดสูง”ก่อโรคหัวใจผอมก็เป็นได้!
ถึงแม้ “ความอ้วน” จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดโรคได้มากมาย
แต่คนรูปร่างดีหรือ “คนผอม” ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีโรคร้ายแอบซ่อนอยู่ โดยเฉพาะ
“ภาวะไขมันในเลือดสูง” สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในคนอ้วนและผอม จึงเท่ากับว่า... ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้
หากปล่อยให้ระดับไขมันในเลือดสูงเกินไป!
“ไขมันในเลือดสูง” (Hypercholesterolemia)
เป็นภาวะที่ร่างกายมีความ “ไม่สมดุลของระดับไขมันในกระแสเลือด”
อาจเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง คือ ระดับโคเลสเตอรอลสูง
หรือระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ซึ่งภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติ เมื่อไขมันในเลือดสูง
ด้วย 6 วิธีดังนี้
1.ควบคุมอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น
ไขมันสัตว์ สมองสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง อาหารทะเล หอยนางรม ปลาหมึก กุ้ง
หนังเป็ด หนังไก่ มะพร้าว อาหารที่มีกะทิ หากมีไตรกลีเซอไรด์สูงด้วย
ควรระวังพวกแป้ง น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีรสหวาน ผลไม้รสหวานจัด
2.รับประทานอาหารประเภทเนื้อปลา
เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน นมพร่องมันเนยหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
เพราะมีฤทธิ์สะสมไขมันตามเนื้อเยื่อ
3.หลีกเลี่ยงอาหารปรุงด้วยน้ำมัน อาหารทอด เจียว
ควรใช้น้ำมันจากพืชที่มี “กรดไลโนเลอิก” เป็นตัวนำ คอเลสเตอรอลไปเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมไขมันสู่ร่างกายน้อยลง
4.ควรเพิ่มอาหารประเภทผักใบต่างๆ
และผลไม้บางชนิดที่ให้กากและใย เช่น คะน้า ฝรั่ง ส้ม เม็ดแมงลัก
ให้ร่างกายได้รับกากใยมากขึ้น เพื่อช่วยในการดูดซึมไขมันสู่ร่างกายน้อยลง
5.การออกกำลังกาย
จะช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และเพิ่มระดับของ HDL ควรทำอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ
3 - 4 ครั้ง ครั้งละ 20 - 30 นาที การออกกำลังกายที่ดี เช่น การเดินเร็ว จ๊อกกิ้ง
เต้นรำ ขี่จักรยาน
6.งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ HDL ในเลือดต่ำลง
เพราะบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
ปรึกษาแพทย์ ติดตามผล
การปฏิบัติตัวบางระยะอาจต้องใช้ยาช่วยปรับระดับไขมันในเลือดสูง
ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำ และติดตามผลการรักษาต่อไป
การเกิด “ไขมันในเลือดสูง”
เป็นภัยเงียบเป็นสาเหตุสำคัญการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกมากมาย
การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเช็คระดับไขมัน ค้นหาความเสี่ยงภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้รู้ว่า
เราควรปรับพฤติกรรม หรือถึงเวลาต้องรักษาด้วยการทานยาในเบื้องต้นแล้วหรือยัง
เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคในอนาคตได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก -AWCร่วมYiwu-CCCGroupนำไทยฮับAECเทรดเซนเตอร์เอเชีย
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) “AWC” เปิดเผยว่า AWC ลงนามสานต่อความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
กับ อี้อู (Yiwu) หรือ Zhejiang China Commodities City Group Co., Ltd. (CCC Group) ผู้พัฒนาและบริหารตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดรายใหญ่ที่สุดในโลกจากเมืองอี้อู
สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินหน้าเสริมศักยภาพธุรกิจค้าส่งของไทย กับขับเคลื่อนโครงการ
“เออีซี เทรด เซ็นเตอร์”
เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงสู่ตลาดค้าส่งนานาชาติอย่างครบวงจรระดับภูมิภาค
ซึ่งเมืองอี้อู และ CCC Group ผู้ค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อมั่นในศักยภาพของไทย โดยมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งทางการค้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเชื่อมต่อเครือข่ายผู้ผลิตทั้งในไทย
จีน และทั่วโลก ได้ลงนามร่วมกันขับเคลื่อนเออีซี เทรด เซ็นเตอร์ 2 พื้นที่หลัก
ได้แก่ 1.ประตูน้ำ กรุงเทพฯ 2.ประตูน้ำพระอินทร์
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โมเดลใหม่ซึ่งไม่เคยมีในภูมิภาคให้เป็นศูนย์กลางของผู้ผลิตสินค้าค้าส่งจากทั่วโลกเชื่อมโยงเข้ากับตลาดผู้ซื้อทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยจะใช้แพลตฟอร์มการค้าส่งแบบบูรณาการ หรือ INTEGRATED
BUSINESS PLATFORM เชื่อมโยงผู้ขายกับผู้ผลิตจากทั่วโลกส่งตรงถึงผู้ซื้อผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์
เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การยกระดับอุตสาหกรรมค้าส่งตอบทุกโจทย์ผู้ขายและผู้ซื้อ และผู้ผลิตจากทั่วโลกมาอยู่ในแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการลูกค้าทั่วภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งสรรหาสินค้าคุณภาพได้หลากหลาย ด้วยบริการทางธุรกิจต่าง ๆ ครบจบที่เดียว (FULL ASSORTMENT) นำไปสู่การสร้าง Eco-System ธุรกิจค้าส่งอย่างต่อเนื่อง (NON-STOP
OPPORTUNITY) โดยได้รับความร่วมมือจากผู้นำภาครัฐ
เอกชน สมาคมการค้าต่าง ๆ ร่วมสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคอย่างแท้จริง
ทางด้าน Mr. Zhao Wenge, President of Zhejiang China
Commodities City Group Company Limited หรือ CCC
Group กล่าวว่า เชื่อมั่นใน AWC ในฐานะผู้ประกอบการชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพ และมีจุดมุ่งหมายร่วมกันส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ประเทศ สานต่อความร่วมมือจากครั้งที่ผ่านมา และได้เห็นความมุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันของ CCC
Group และ AWC พร้อมเดินหน้าต่อยอดความร่วมมือเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายผลักดันให้ไทยเป็นเกตเวย์และศูนย์กลางทางการค้าและการส่งออกของ Yiwu ในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการทั่วโลกเข้าถึงสินค้าได้ในราคาต้นทาง
ตลอดจนช่วยส่งเสริมการส่งออกให้ผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าไปยังตลาดอาเซียน
ผ่านเครือข่ายอันแข็งแกร่งของเราได้เป็นอย่างดี
สำหรับ
Yiwu Thailand Selection Showcase by
ATC จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงสินค้าจากเมืองอี้อูแห่งแรกของไทย
บนทำเลระดับไพร์มโลเคชั่นย่านประตูน้ำ ยกระดับเป็นศูนย์แสดงสินค้าและศูนย์กลางการติดต่อธุรกิจระหว่างอี้อูในไทย
รวมทั้งให้ผู้ประกอบการในไทยสามารถเลือกสรรสินค้าได้ในราคาต้นทาง
พร้อมกับได้จัดตั้ง “ศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการ : Solution Service Center: SSC” ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ช่วยให้คำปรึกษาแนะนำด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้า
เชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กับการคัดสรรสินค้าคุณภาพจากผู้ประกอบการไทยไปแสดงและจัดจำหน่ายในจีนผ่าน “IC Mall” ศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าทางออฟไลน์และออนไลน์ซึ่งเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
อนาคตจะขยายต่อไปทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน เช่น Tmall.com, JD.com, Alibaba.com, Koala.com, IC_Mall Wechat Application
รวมถึงแผนอำนวยความสะดวกและส่งเสริมส่งออกสินค้าจากไทยผ่านช่องทางการขายสินค้าทางออนไลน์ของ Phenix Box ที่ถูกออกแบบมาตอบโจทย์ธุรกิจค้าส่งทั้งด้านบริการจัดการธุรกรรมตรงกับธุรกิจได้ง่ายขึ้น
เช่น Bulk Purchase, Group
Purchase, Multi Level Procurement
ข่าวที่สอง -เอมิเรตส์บินฤดูร้อนเพิ่ม31%เริ่ม26มี.ค.กรุงเทพฯ5เที่ยว/วัน
สายการบินเอมิเรตส์
รายงานว่า วางแผนให้บริการช่วงตารางบินฤดูร้อน (Summer Schdule) เริ่มตั้งแต่ 26 มีนาคม-ปลายตุลาคม 2566 จะเพิ่มการดำเนินงานด้านที่นั่งต่อกิโลเมตรมากขึ้นอีก
31% (ASKM : Availabel
Seat Kilometre) สู่เครือข่ายเส้นทางบินจุดหมายปลายทางต่าง ๆ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ
251 เที่ยว
ตลอดตารางบินฤดูร้อนปี
2566 เอมิเรตน์
ยังคงเน้นใช้ฝูงบินลำขนาดใหญ่สุดแอร์บัส A380 ด้วยสัญลักษณ์ที่นั่งสองชั้นให้บริการในเส้นทางใหม่
ไป-กลับ สนามบินนานาชาติดูไบ สหรัฐอาหรับเมริเรตส์ สู่ปลายทาง ได้แก่ สหราชอาณาจักร
2 เส้นทาง
คือ “กลาสโกว์” เริ่ม 26 มีนาคม และเบอร์มิ่งแฮม
เริ่ม 1 กรกฎาคม
“คาซาบลังก้า” โมร็อกโค ริ่ม15 เมษายน สาธารณรัฐประชาชน 2 เมือง
คือ“ปักกิ่ง” เริ่ม 1 พฤษภาคม และเซี่ยงไฮ้ เริ่ม 4 มิถุนายน “นีซ” ฝรั่งเศส เริ่ม
1 มิถุนายนกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และไทเป ไต้หวัน เริ่ม 1 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป
สำหรับเส้นทางบินแบ่งตามทวีปหลัก
จะให้บริการด้วยความถี่เที่ยวบินทยอยเพิ่มแต่ละเดือนดังต่อไปนี้
“ภูมิภาคเอเชียตะวันออก” ไป-กลับ ดูไบ – กรุงเทพฯ
(ประเทศไทย) เพิ่มเป็นวันละ 5 เที่ยว เริ่ม 1 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป “ปักกิ่ง” บินตรงทุกวัน ด้วยโบอิ้ง
777-300ER เริ่ม 15 มีนาคม จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นแอร์บัส A380
เริ่ม 1 พฤษภาคม นี้ “ฮ่องกง” 29 มีนาคม จะบินสัปดาห์ละ 14 เที่ยว
โดยบินวันละ 2 เที่ยว
มี 1 เที่ยว
เป็นเที่ยวบินเดิม ดูไบ-กรุงเทพฯ-ฮ่องกง “กัวลาลัมเปอร์” เพิ่มเป็นวันละ 3
เที่ยวตั้งแต่ 1 มิถุนายน
“โตเกียว”
จะกลับมาบินสู่โตเกียว ขึ้นลงที่สนามบินนานาชาติฮาเดนะ ทุกวัน เริ่ม 2 เมษายน
ส่งผลให้มีเที่ยวสู่ญี่ปุ่นเพิ่มเป็นวันละ 21 เที่ยว โดยใช้แอร์บัส A380
บินโตเกียว ขึ้นลงที่สนามบินนานาชาตินาริตะ และมีเที่ยวบินสู่ “โอซาก้า” ทุกวันด้วยฝูงบินโบอิ้ง
777
“ทวีปยุโรป”
จะบิน “อัมสเตอร์ดัม”
เนเธอร์แลนด์ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 19 จากปัจจุบันมี14 เที่ยว เริ่ม 2 เมษายน “เอเธนส์” กรีซ จะเพิ่มตามฤดูกาลเริ่ม 1
มิถุนายน-30 กันยายน ส่วน อิตาลี
บิน 2 เส้นทาง คือ “โบโลญญา”
เพิ่มเป็นบินทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 7
จากปัจจุบัน 5 เที่ยว เริ่ม 1 พฤษภาคม และ “เวนิส” เพิ่มเป็นสัปดาห์ 6 จากปัจจุบัน
5 เที่ยว เริ่ม 26 มีนาคม และจะบินสัปดาห์ละ
7 เที่ยว
หรือบินทุกวันละ 1 เที่ยว
เริ่ม 1 มิถุนายน ส่วน “บูดาเปสต์”
ฮังการี เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 7
จากปัจจุบัน 5 เที่ยว เริ่ม 1 มิถุนายน
“ลอนดอน” สหราชอาณาจักร เพิ่มวันละ 2 เที่ยว
ขึ้นลงสนามบินลอนดอนสแตนสเต็ด เริ่ม 1 พฤษภาคม ทำให้มีเที่ยวบินสู่กรุงลอนดอนเพิ่มเป็นวันละ
11 เที่ยว ร่วมกับเที่ยวบินปัจจุบัน ขึ้นลงอยู่แล้ว 2 สนามบิน
คือลอนดอนฮีทโธรว์ และลอนดอนแกตวิค 3 เที่ยว
“ทวีปแอฟริกา” ไป-กลับ ดูไบสู่ปลายทาง “ไคโร”
อียิปต์ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 28 จากปัจจุบัน
25 เที่ยว ภายใน 29 ตุลาคม “ดาร์เอสซาลาม”
เซอร์เบีย เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 7
จากปัจจุบัน 5 เที่ยว เริ่ม 1 พฤษภาคม “เอนเทบเบ” ยูกันด้า เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ
7 จากปัจจุบัน
6 เที่ยว เริ่ม 1 กรกฎาคม นี้เป็นต้นไป
เอเชียแปซิฟิก
“ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์” จะเพิ่มเที่ยวความถี่บินตรงสู่ออสเตรเลียให้เท่ากับก่อนเกิดโควิด-19 โรคระบาด
โดยจะบินทั้ง 3 เส้นทาง
คือ “ซิดนีย์” เพิ่มเป็นวันละ 3
เที่ยว เริ่ม 1 พฤษภาคม “เมลเบิร์น” เริ่ม 26
มีนาคม วันละ 3 เที่ยว
นับรวมเที่ยวผ่านสิงคโปร์สู่เมลเบิร์น 1 เที่ยว และบินตรงจากดูไบ 2 เที่ยว
“บริสเบน” เริ่ม 1 มิถุนายนเป็นต้นไป จะเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ
11 เที่ยว ส่วน “ไครสต์เชิร์ช”
กลับมาบินรายวันจากดูไบผ่านซิดนีย์ เริ่ม 26 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น