ททท.ในประเทศปรับเป้ารายได้ใหม่ปี66ขาย5กิจกรรม SoftPower+TheLink+Workationๅจ100เดียว+วิจิตร5ภาค+เที่ยว5ภาค
ททท.รุกซูเปอร์เทอร์โบตลาดในประเทศยกใหม่ปี’66รายได้ล้านล้าน
รับ4เรื่อง“ไทยเที่ยวหนัก-สินค้าขายดี-มาตรฐานเลิศ-ปั้นทัวร์ลิติเต็ด
ขาย5กิจกรรม“SoftPower+TheLink+Workation100เดียว+วิจิตร5ภาค”
คิงเพาเวอร์ปลุกช้อปเดลิเวอรี่แคมเปญHEAT UP THE DEALลด15%
ช้อปคิงเพาเวอร์บิวตี้ไอเท็มแบรนด์ดัง“3.3 BEAUTY TRIO”ลด 20%
ศาลอาญาคดีทุจริตยกฟ้องบอร์ดทอท.ข้อกล่าวหาแก้“สัมปทานดิวตี้ฟรี”
ททท.เปิดรับสมัครรางวัลอุตฯท่องเที่ยวไทยปี’66ใหม่2สาขารุกทำSTGs
บางจากนำออมสุขวิสาหกิจฯชูข้าวเกษตรกร“ไทยไรซ์นามา”ขายปั๊มชุมชน
“TCEB”คลิกออฟประชุมเมืองไทยเร่งเศรษฐกิจปี’66พันกลุ่มโกย387ล้าน
เที่ยวพังงา5พิกัด “อ่าวพังงา/สิมิรัน/เกาะยาวน้อย-เกาะยาวใหญ่/ในเมือง
7 แนวทางห่างไกลโรคอ้วน
ลงมือทำได้ตั้งแต่นาทีนี้ดีต่อสุขภาพมากสุด
“IATA-BAR-AAT-DGS”ถกรมว.พิพัฒน์ไม่สุด“ค่าเหยียบแผ่นดิน300บาท”
SHRเครือสิงห์โชว์รายได้ปี’65นำ4กลุ่มรร.โตปี’66ตั้งเป้ากวาดหมื่นล้าน
วันเสาร์ที่
4 มีนาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก # #
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...
ช่วงที่ 1 ซูเปอ์เทอร์โบเที่ยวไทยกับ “นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์” รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ถอดรหัสใหม่หลังพบเป้ารายได้ปี’66
ตั้งไว้แค่ 8.8 แสนล้าน อาจต้องขยับเป็น
1 ล้านล้าน หลังโดนปี’65แซงทำไปถึง 9.34 แสนล้าน พุ่งเป้าแกะรอย 4 เรื่อง
“คนไทยเที่ยวหนัก-สินค้าขายดี-เอกชนจัดเต็มมาตรฐานบริการความปลอดภัย-ทัพใหม่ทัวร์ลิมิเต็ดเอดิชั่น”
ลงทุนโปรเจกต์โดนได้ใจไทยและต่างชาติ ชูพลังโกยรายได้ 5 กิจกรรม Soft Power Tourism Booster
Shot+The Link Local to Global+Workation 100 เดียว เที่ยวได้งาน+วิจิตร5ภาค+เที่ยวข้ามภาค5ภาค5ครั้ง”
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดเผยว่า ปี 2566 ได้ประชุมผู้บริหารและผู้อำนวยการในประเทศ
5 ภูมิภาค วางแผนปรับเป้าหมายใหม่ตลาดในประเทศ
โดยประเมินสถิติปี 2565 ซึ่งมีจำนวน
“ผู้เยี่ยมเยือน” เดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศมี 254 ล้านคน-ครั้ง เป็นนักท่องเที่ยวพักค้างคืน 144
ล้านคน-ครั้ง กับนักทัศนาจร 110 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 934,000 ล้านบาท เมื่อมาพิจารณาถึง “เป้าหมาย” รายได้ปี 2566
ในภาพรวมทั้งหมดตั้งไว้ 2.38 ล้านล้านบาท ตลาดต่างประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท ตลาดในประเทศ 880,000 ล้านบาท
ปี 2566
ตลาดในประเทศจึงน่าจะทำเกินเป้าหมาย
“รายได้” 880,000 ล้านบาท กับ
“จำนวนนักท่องเที่ยว” จะรักษาสถิติให้เท่าปีที่ผ่านมา 254 ล้านคน-ครั้ง ทางฝ่ายแผนได้กำหนดให้ทำจำนวน
“นักท่องเที่ยวพักค้างคืน” 135 ล้านคน-ครั้ง
แต่พยายามจะทำให้สูงเท่าปีที่ผ่านมา 144 ล้านคน-ครั้ง
เพราะมีสัญญาณดีจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปี
2562
ช่วงสถานการณ์ปกติ 2.ภาครัฐผลักดันส่งเสริมผ่านเราเที่ยวด้วยกันเฟส
5
เพื่อกระตุ้นการเดินทางระหว่าง 10 มีนาคม-30เมษายน นี้
ผนวกการสนับสนุนงบประมาณกลางเพื่อการท่องเที่ยวเพิ่มเข้ามาเสริมตลอดปีนี้
กลยุทธ์การ “เพิ่ม” รายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศปี 2566 ได้ถอดบทเรียนพร้อมกับรับฟังจากทุกฝ่ายถึง
ส่วนที่ 1 อัตรการเติบโตของนักเดินทาง ทำเชิงรุกด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์
กับพันธมิตรเก่าและใหม่
เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางในพื้นที่ต่อเนื่องทั้ง งานประเพณี
เทศกาลดนตรี กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว ทำให้เกิด “ความถี่และวันพักค้างคืน”
อย่างชัดเจนมีรายได้มากขึ้นจริง
ส่วนที่ 2 สินค้าและแหล่งท่องเที่ยวได้เน้นตอบโจทย์ประสบการณ์ความประทับใจ
ทำร่วมกับกระทรวงคมนาคมเพิ่มการเข้าถึงแหล่งและพื้นที่เชื่อมโยงอย่างสะดวกสบาย
รวมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรหน้าใหม่ในด้านอื่น ๆ ด้วย
ส่วนที่ 3 ร่วมกับกรมการท่องเที่ยวสร้างมาตรฐานการบริการ
และความปลอดภัยด้านสาธารณสุข
โดยเข้ามาเสริมเติมเต็มให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วประเทศ รวมทั้งได้นำมาตรฐาน SHA
-Safty and Health Administration เข้ามาใช้เป็นหลักปฏิบัติร่วมอยู่ด้วยทุกส่วน
ส่วนที่ 4 จัดทำโครงการท่องเที่ยวเสริมเติมเต็ม เพื่อตอบโจทย์ใหญ่ปี 2566 การเดินหน้าปีท่องเที่ยวไทย-Visit
Thailand Year 2023 ต้องเป็นมิติ
“การท่องเที่ยว ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ประกอบด้วย 2 เรื่อง คือ
เรื่องแรก
การลงทุนทำแต่ละโครงการจะต้องโดนใจทั้งนักท่องเที่ยวพักค้างคืนและนักทัศนาจร
เรื่องที่สอง ทำโครงการให้ตอบโจทย์เมื่อทั่วโลกเปิดประเทศแล้ว
คนไทยยังนิยมเที่ยวเมืองไทยไปกับโครงการ 365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน
โดยระดมสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าของที่ระลึก
และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเข้ามาร่วมทำมหกรรมดีลดี ๆ
วางขายดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย
นางสาวฐาปนีย์กล่าวช่วงไตรมาสที่
2 และ 3 ตลาดในประเทศจะเร่งทำ 5 กิจกรรม ได้แก่
กิจกรรมที่ 1 Soft Power Tourism Booster
Shot เป็นมหกรรมส่งเสริมการขายซอฟท์
เพาเวอร์ เน้นเรื่อง อาหาร แฟชั่น แคมเปญออนไลน์ ไฮไลต์ในเดือนเมษายนนี้
จะเปิดตัวยิ่งใหญ่ปีท่องเที่ยวไทยด้วย “Year of Thai Gastronomy”
ผสมผสานระหว่างอาหารสู่มิชลินสตาร์และอาหารชาววัง (Royal Cruisine) ส่วน “ออนไลน์แคมเปญ”
ชูการแต่งกายแต่งไทยไปเที่ยว รวมทั้งมวยไทยจาก Fight ก็ขยายเป็น Fit&Firm ต่อด้วย Film Location
กิจกรรมที่ 2 The Link Local to Global
จะยกระดับมาตรฐานบริการทุกภูมิภาค
ส่งเสริมการขายร่วมกันเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมาจัดทำโครงการสิงห์เหนือพบเสือใต้
ก่อให้เกิดความต้องการขายและการเดินทางท่องเที่ยวข้ามภาคสูงขึ้น
ปี 2566
วางแผนเดินหน้าเชื่อมโยง The
Link Local to Local จะจับในประเทศระหว่างจังหวัดแฝด
8 คู่ 16 จังหวัด ได้แก่ 1.เชียงใหม่-เพชรบุรี 2.อุดรธานี-พัทยา 3.อยุธยา-สุโขทัย ชูขายท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
4.นครศรีธรรมราช-นครพนม
5.ตราด-น่าน 6.สุราษฎร์ธานี-สุรินทร์ 7.ประจวบคีรีขันธ์-แพร่ 8.บุรีรัมย์-ภูเก็ต
ส่วน The
Link Local to Global จังหวัดในเมืองไทยพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองกับเชื่อมกับต่างประเทศตลาดหลักและรองด้วยเช่นกัน
ได้แก่ 1.สาธารณรัฐประชาชนจีน-สงขลา
2.มาเลเซีย-กระบี่
3.กรุงเทพฯ-อิตาลี
กิจกรรมที่ 3 Workation 100 เดียว เที่ยวได้งาน
เพื่อนำมาปิดจุดอ่อนการท่องเที่ยววันธรรมดา (วันจันทร์-พฤหัสบดี) โดยจะเปลี่ยน
“วันธรรมดาท่องเที่ยวได้” สามารถทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ Work from Anywhere เตรียมเปิดโครงการนี้เดือนเมษายนนี้
เพื่อกระตุ้นเป้าหมาย 2 ตลาดหลัก คือ
พนักงานภาครัฐ กับบริษัทคอร์ปอเรตขนาดใหญ่ที่มีพนักงานตามเครือข่ายสาขาจำนวนมาก
ททท.จะขยายการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง
ช่วโควิด-19 ทำ ซีซัน 1
Workation Paradise thougout Thailand รวมถึงก่อนหน้านี้จัดแคมเปญสะสมแต้มเพื่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการท่องเที่ยว
โดยร่วมกับเอกชนส่งเสริมกระตุ้นให้คนออกเดินทางใช้สถานที่ต่าง ๆ ทำงานได้ ซีซัน 2
ปีนี้
มีเป้าหมายชัดเจนพุ่งเป้ากระตุ้นกำลังคนภาครัฐ ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งมีอยู่กว่า 2 ล้านคน
จะทำโปรโมชั่นราคาพิเศษ ราคา 100 บาท
ซื้อก่อนได้สิทธิ์ก่อน รถเช่า ร้านอาหาร โรงแรม แหล่งท่องเที่ยว นำเสนอเจาะกลุ่มผู้ที่จะเลือกไปทำงานนอกสถานที่
หากผู้ประกอบการต้องการเพิ่มยอดคอร์ปอเรต จะชูขาย Worakation 100 เดียวเที่ยวได้งาน
กิจกรรมที่ 4 วิจิตร 5 ภาค
แต่ละภาคจะต้องจัดไม่น้อยกว่า 7-9 วัน/งาน
หลังประสบความสำเร็จจากโครงการ “วิจิตร เจ้าพระยา” ที่จัดเมื่อช่วงการประชุมเอเปค 2022 จึงได้นำต้นแบบมาขยายผลให้ ททท.ทั้ง 5 ภูมิภาค
ดีไซน์จุดขายความวิจิตรเริ่มเดือนเมษายนนี้ กำหนดพื้นที่จัดงานหลัก คือ
“ภาคเหนือ” จ.เชียงราย “ภาคอีสาน”
จ.นครพนม “ภาคใต้” จ.สงขลา “ภาคตะวันออก” จ.ระยอง “ภาคกลาง” จ.พระนครศรีอยุธยา
โดยจะนำเสนอการท่องเที่ยวเลิศหรูอลังการ
สำหรับรูปแบบการท่องเที่ยวจะเน้น
“เพิ่มวันพักค้าง” โดยดีไซน์แต่ละงานให้โดดเด่นยามราตรี มี “แสง สี เสียง”
แบบจัดเต็ม โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์ของภาคซึ่งอาจจะแตกต่างกันไป ด้วยการนำเสนอเพื่อสร้างแรงจูงใจคนเข้าไปเที่ยวสร้างรายได้ให้มากที่สุด
พร้อมทั้งนำอัตลักษณ์ชุมชนมามีส่วนร่วมสร้างรายได้ด้วย
กิจกรรมที่ 5 เที่ยวข้ามภาค 5 ภาค 5 ครั้ง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ อุดรธานี นครศรีธรรมราช
ระยอง ส่งเสริมต่อยอดความสำเร็จโครงการ Amazing Thailand เที่ยวข้ามภาค อะเมซิ่ง ยิ่งกว่าเดิม ไปแล้ว
ตอนนี้ผู้อำนวยการแต่ละภูมิภาคกำลังเตรียมออกแบบการจัดมหกรรมส่งเสริมการขายเต็มรูปแบบ
นางสาวฐาปนีย์กล่าวว่า
ปี 2566 การสร้าง
“รายได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ” ฐานเดือนมกราคมมีนักท่องเที่ยว 23 ล้านคน-ครั้ง รายได้ 85,000 ล้านบาท ถือเป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยว
ประเมินจากอัตราการพักเฉลี่ยเกินกว่า 71 % ระยะพำนัก
2.24 วัน
ดังนั้นไตรมาส 2 และ 3 จะต้องทำยอด “จำนวนผู้เยี่ยมเยือน”
ให้ได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 25 ล้านคน-ครั้ง
ส่วน “รายได้” ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 80,000 ล้านบาท
และ “อัตราพักเฉลี่ย หรือ OR :Occupacy Rate” ต้องไม่ต่ำกว่า 70 % และ “วันพักเฉลี่ย” 2.3-2.4 วัน/คน/ทริป ซึ่งจะต้องสูงกว่าปีที่ผ่านมาทำไว้ 2.22
วัน/คน/ทริป
ด้วยการจัดกิจกรรมตอบโจทย์การท่องเที่ยวข้ามภาค
สิ่งที่จะต้องทำคือ
“ร่วมกับสายการบิน” ตอนนี้เที่ยวบินในประเทศมีประมาณ 268 เที่ยว/วัน
ททท.ต้องการเพิ่มความถี่เที่ยวบินเพิ่มทั้งเมืองหลักและเมืองรอง
สถิติเดือนมกราคมมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสารทำได้สูงถึง 88 % เมื่อลงมือทำกิจกรรมเร่งท่องเที่ยวผ่าน Tourism
Booster Shot ระหว่างเมษายน-กันยายน
2566
ตั้งเป้าจะผลักดันผู้โดยสารเที่ยวบินในประเทศมีอัตราบรรทุกเฉลี่ยเกินเดือนละ 85
%
นอกจาก
5 กิจกรรมหลักแล้ว
ททท.แต่ละภูมิภาคเตรียมจัดกิจกรรมย่อย ๆ เสริมเข้ามาด้วย เช่น
“คอนเสิร์ตหมอลำเสียงอีสาน”
เป็นไฮไลต์กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวข้ามภาคเข้าสู่ภาคอีสาน
วางแผนจัดต่อเนื่องถึง 10 ครั้ง
โดยจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่พื้นที่แรก “จังหวัดสุรินทร์” วันที่ 11 มีนาคม นี้ และจัดต่อเนื่องให้ครบ 10 ครั้ง ภายในเดือนเมษายน 2566
สำหรับ
“งบฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย” ทางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
อนุมัติให้นำมาใช้กระตุ้นการท่องเที่ยวปี 2566 รวมกว่า 3,946 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนที่ 1 โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 รวม 2,016 ล้านบาท สนับสนุนนักท่องเที่ยวเดินทางในประเทศ 560,000
สิทธิ์ ส่วนที่ 2 โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวหรือ Booster
Shot 1,936 ล้านบาท
แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1.
กระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในประเทศ
โดยได้ใช้กับ 5 กิจกรรมของ
ททท. กระจายทั้ง 5 ภูมิภาค
เพื่อขยายนักท่องเที่ยวทุกพื้นที่ ทุกวัน ทุกเวลา 2.ส่งเสริมท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ 3.จัดกิจกรรมอีเวนต์ การทำ 4.ทำShape Supply และ 5.การสื่อสารประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศ
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์ปลุกช้อปเดลิเวอรี่HEAT UP THE DEALลด15%
คิง เพาเวอร์ เริ่มแล้ว! HEAT
UP THE DEAL วันนี้
- 31 มีนาคม 2566 พบดีลสุดฮอตพบกับสินค้าส่งบ้านแบรนด์ดังหลากหลายหมวดหมู่กับราคาสุดพิเศษ
1.HEAT UP THE DEAL – ลดสูงสุด
15% ลดเพิ่มทันที
5% เมื่อช้อปครบ 5,000 บาทรหัสส่วนลด HEAT15 ช้อปเลยที่
- https://bit.ly/3J25maI
จำนวนจำกัด
2.รับเพิ่ม E-COUPON มูลค่า
300 บาท เพื่อนำไปช้อปออนไลน์ในครั้งถัดไปครบ
1,500 บาทขึ้นไป
ช้อปเลยที่
https://bit.ly/41BQEhO
3.สินค้า
Home Delivery ไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปได้ ส่งฟรี! ทั่วประเทศ
เมื่อช้อปครบ 699 บาท(สุทธิ)
สามารถแบ่งชำระ
0% นานสูงสุดถึง 10
เดือน และรับเครดิตเงินคืนสูงสุด
8,000 บาท
ข่าวที่
2 ช้อปคิงเพาเวอร์บิวตี้ไอเท็มแบรนด์ดัง“3.3 BEAUTY TRIO”ลด20%
ช้อป
คิง เพาเวอร์ต้อนรับ “3.3 BEAUTY TRIO” ลดสูงสุด
20% เมื่อช้อปครบ 3 ชิ้นขึ้นไปอัพความสวยให้เป๊ะปัง
กับทัพสินค้าบิวตี้ไอเทมแบรนด์ดังลดเพียบ ไม่ช้อปไม่ได้แล้วรหัสส่วนลด BT20 ช้อปทางออนไลน์ kingpoer.com ระหว่างวันนี้
- 6 มีนาคม 2566
1.มีไฟลต์รีบเลยช้อปได้ทุกเวลาสินค้า
Duty Free สุดฮอต รับสินค้าที่สนามบิน
ช้อปได้ทั้งขาเข้าและขาออก
2.ไม่มีไฟลต์ก็ช้อปได้ สินค้า Home Delivery ส่งฟรี!
ทั่วประเทศ เมื่อช้อปครบ 699 บาทสุทธิ พร้อม ภ สิทธิประโยชน์
1.แบ่งชำระ 0%* นานสูงสุดถึง 10 เดือน 2.รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 8,000 บาท 3.รับเลย! ส่วนลด 200 บาท
เมื่อสมัครสมาชิกออนไลน์ 4.รับสิทธิ์การสมัครสมาชิก คิง เพาเวอร์ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาทสุทธิ
ข่าวที่ 3 ศาลอาญาคดีทุจริตฯยกฟ้องบอร์ดทอท.ข้อกล่าวหาแก้“สัมปทานดิวตี้ฟรี”
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยกฟ้อง “บอร์ด ทอท.” แล้ว
คดีโดนผู้ถือหุ้นยื่นฟ้องกล่าวหา “แก้สัมปทานดิวตี้ฟรี” ชี้ผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องและไม่ใช่ผู้เสียหาย
ทุกประเด็นมีกฎหมายเกี่ยวข้องดูแล
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ถนนเลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 46/2564 ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้ถือหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) หรือ ทอท. ยื่นฟ้อง นายประสงค์ พูนธเนศ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
อดีตประธานบอร์ด ทอท กับพวกรวม 14 คน จำเลยในความผิดฐาน
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ
หน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ๆ
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด
(มหาชน) หรือ “ทอท.” เป็นนิติบุคคลประเภท บริษัทมหาชนจำกัด มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใน ทอท. จำเลย ทั้ง14 เป็นคณะกรรมการ
บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) วันเวลาตามฟ้องจำเลยทั้ง14ดำเนินการมีมติในที่ประชุม คณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด
(มหาชน) มีผลให้เป็นการแก้ไขสัญญาที่ทำไว้กับ บริษัทเอกชนรวม 5 สัญญา มีมติอนุมัติ
ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของสัญญาอนุญาตประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร(ดิ้วตี้ฟรี)
โดยลดผลประโยชน์ที่ ทอท. จะได้รับจากสัญญาที่ทำไว้เดิม
ทำให้ ทอท.
รวมทั้งโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา83,84,86,90,91,157 พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. 2502มาตรา 3,11ความผิดต่อพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. 2561มาตรา 4(2),27ความผิดต่อพรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. 2560มาตรา 93,97(1) ความผิดต่อ
พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542มาตรา 9,12 ความผิดต่อพรบ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการ
ในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535มาตรา 5,20 เเละมาตราอื่นๆ
“ศาลพิเคราะห์แล้ว” คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า
คำฟ้องของโจทก์มีมูล หรือไม่ เห็นว่า
ที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้ สำหรับความผิดของ
จําเลยทั้ง 14 ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามง มาตรา 157
พรบ.ว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502
มาตรา 11นั้น ความผิดฐานปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีองค์ประกอบของการกระทำความผิดสองลักษณะ
ประการแรกจำเลยผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
อันเป็นตัวอย่างของการกระทำ
ความผิดทางอาญาที่อาจมีผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมได้
เนื่องจากอาจมีพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า
จำเลยมีเจตนามุ่งต่อความเสียหายของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ
และบุคคลผู้ได้รับความเสียหาย
จากเจตนาพิเศษดังกล่าวของจำเลยย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 2(4) และมีอำนาจฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 28 ได้
ประการที่สอง
จำเลยผู้กระทำต้องมีเจตนาโดยทุจริต ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1) บัญญัติ ว่า “โดยทุจริต” หมายความว่า
เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง หรือผู้อื่น
อันเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการกระทำความผิดทางอาญาที่ไม่มีเหยื่ออาชญากรรมหรือ
ผู้เสียหาย ซึ่งถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เมื่อการฟ้องคดีอาญาเป็นการดำเนินคดีซึ่งมีผลกระทบต่อ
สิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกฟ้องและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
จึงย่อมต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดขึ้นเพื่อรับรอง
คุ้มครอง สิทธิ เสรีภาพ และกำหนดกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาไว้ การฟ้องคดี
วิธีพิจารณาคดีย่อมต้องอยู่
ภายใต้บังคับของกฎหมายและต้องดำเนินการไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ดังนั้น
ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวในส่วนที่ถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย
โจทก์จึงไม่อาจเป็นผู้เสียหายได้ ส่วนกรณีการกระทําความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติที่อาจมีผู้เสียหายหรือเหยื่อ
อาชญากรรมได้นั้น เมื่อทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง14 กระทำการตามที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดย
มีเจตนามุ่งหมายกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์โดยตรงหรือโดยเฉพาะเจาะจง
อย่างไร โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ
มิใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 2(4) โจทก์จึงไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
สำหรับความผิดต่อ
พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ และความผิดต่อ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจํากัดฯ “โจทก์”
บรรยายฟ้องโดยใช้สิทธิฟ้องคดีในฐานะผู้ถือหุ้นใน ทอท. ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
และใช้สิทธิเรียกร้องแทนนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมหาชนในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท
ดังกล่าว
“กรณีบุคคลใดจะอ้างว่าตนเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานใด”
ย่อมต้องพิจารณาว่า “บุคคลนั้นได้รับ ความเสียหายหรือถูกกระทบต่อสิทธิของตนเพียงใด”
ความเสียหายที่เกิดแก่สิทธิที่อ้างว่าถูกกระทบนั้น
สิทธิดังกล่าวมีขึ้นตามบทบัญญัติกฎหมายใด
เป็นการใช้สิทธิโดยอ้างสถานะใดในทางกฎหมาย และมี ข้อจำกัดสิทธินั้น ๆ
ตามกฎหมายหรือไม่
“ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกา” ที่โจทก์ยกขึ้นอ้างหาได้วินิจฉัยถึง
เงื่อนไขการฟ้องคดีอันเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ ซึ่งต้องพิจารณาต่อไปว่า
เมื่อการใช้สิทธิของโจทก์เกิดขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้น มิใช่บุคคลทั่วไป
โจทก์จึงย่อมมีสิทธิและข้อจำกัดสิทธิภายใต้บังคับของกฎหมาย
เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นนั้น ๆ กรณีจึงต้องพิจารณาต่อไปว่า
สิทธิของโจทก์ถูกกระทบทำให้โจทก์ได้รับความ เสียหายหรือไม่ กล่าวคือ
สิทธิของโจทก์อันเกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นถูกกระทบกระเทือน
ต่อสิทธิหรือไม่
ทั้งนี้ “สถานะของโจทก์ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น”
เกิดขึ้นตาม พรบ.บริษัทมหาชน จํากัด ฯและพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
ซึ่งโดยทั่วไป นอกจากมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ในหุ้นหรือเงินปันผล
ผู้ถือหุ้นในฐานะหุ้นส่วนในบริษัทยังมีภาระหรือ
ต้องยอมรับในกรณีที่สิทธิหรือผลประโยชน์ที่จะได้รับดังกล่าวต้องถูกกระทบหรือที่ต้องเสียไปเนื่องจากการบริหารงานหรือการดำเนินนโยบายของกรรมการหรือผู้มีอำนาจบริหารหรือดำเนินนโยบายนั้น
ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยัง “ถูกจำกัดสิทธิบางประการ” ที่กำหนดให้ผู้ถือหุ้นจำต้องดำเนินการตามกระบวนการ
ที่กฎหมายบัญญัติไว้หากจะใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับผลประโยชน์หรือสิทธิที่ต้องเสียไป
“สิทธิอันเกิดขึ้น หรือมีขึ้น” เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้น
“จึงยังไม่ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินการของกรรมการ” หรือ “ผู้มีอำนาจบริหารของบริษัท”
เนื่องจากจำต้องยอมรับในความเสียหายหรือสิทธิและผลประโยชน์
ที่เสียไปอันเกิดจากการบริหารหรือดำเนินนโยบายของบริษัท โดยจะถือว่าผู้ถือหุ้นนั้นถูกกระทบกระเทือน
สิทธิอันเกิดขึ้นจากการมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นนั้น ๆ
จนเกิดความเสียหายก็ต่อเมื่อได้ดำเนินการ
ตามกระบวนการจํากัดสิทธินั้นจนครบถ้วนแล้วตามกฎหมาย
เมื่อ ทอท. เป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัดฯ และ พรบ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ
ได้กำหนดผู้มีอำนาจบริหารบริษัท
กระบวนการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการบริหารบริษัทไว้
เพื่อให้การบริหารจัดการบริษัทเป็นไปโดยเรียบร้อย
มิให้การดำเนินการของผู้ถือหุ้นแต่ละรายก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายอื่นโดยไม่มีเหตุอันควร
ซึ่งเป็นข้อจำกัดสิทธิของโจทก์ผู้ถือหุ้น เพราะกฎหมาย
มีเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ผู้ถือหุ้นเข้าไปก้าวล่วงจัดการเกี่ยวกับธุรกิจปกติของบริษัทมหาชนจำกัด
ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เมื่อ “ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏ” ว่าโจทก์ได้ดำเนินการตามกระบวนการดังกล่าว
“สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้น” ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องจึง “ยังไม่เกิดขึ้น” ตามข้อจำกัดสิทธิของโจทก์
ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายยังไม่ถูกกระทบยังไม่ได้รับความเสียหายตามกฎหมาย
โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
ทั้งไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีอำนาจฟ้องแทน ทอท. ซึ่งเป็น นิติบุคคลได้
ประกอบกับเมื่อพิจารณาแล้วการดำเนินการของจําเลยทั้ง14 ตามฟ้อง มิใช่การดำเนินการอันเข้าบทนิยามตาม
พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่ต้องดำเนินการต่อไปตาม
พรบ.ดังกล่าวต่อไป
ดังนั้น “การที่ไม่ปรากฏ” การดำเนินการตาม
พรบ.ดังกล่าว จึงมิใช่การอันมิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด สำหรับการฝ่าฝืน
ไม่ดำเนินการตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 ได้ความจาก
หนังสือชี้แจงของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและคำเบิกความพยานศาลว่าการดำเนินการของจำเลย
ทั้ง14 ตามฟ้องโจทก์ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 27แห่ง พรบ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ
หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561
พร้อมตัวอย่างการดำเนินการของหน่วยงานอื่นที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้
แต่ไม่เข้าเงื่อนไขที่จำต้อง ขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามกฎหมายและประกาศดังกล่าว
ข่าวที่
4 ททท.เปิดสมัครรางวัลท่องเที่ยวไทยปี’66ใหม่2สาขารุกทำSTGs
ดร.ยุทธศักดิ์
สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.เปิดตัวโครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ครั้งที่ 14
ประจำปี 2566 หรือ TTA : Thailand
Tourism Awards ปีนี้ได้เพิ่มรางวัล Low Carbon &
Sustainability รณรงค์ทุกภาคส่วนร่วมมือกันมุ่งสู่เป้าหมายการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
พร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน (High
Value and Sustainability) ทำให้รางวัลอันทรงเกียรติ
เป็นเครื่องมือสำคัญแสดงถึงคุณค่า
ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของไทยสู่ระดับสากล
รวมทั้งเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว
ปี 2566
เปิดรับสมัครผู้ประกอบการขยายผู้ประกอบการเพิ่มใหม่อีก 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 รายการนำเที่ยว (Tour Programmes) ประเภทที่ 2 การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon &
Sustainability) จากเดิมมีเพียง 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 แหล่งท่องเที่ยว (Attraction)
ประเภทที่ 2 ที่พักนักท่องเที่ยว (Accommodation)
ประเภทที่ 3 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health and Wellness Tourism)
ททท. กำหนดเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯทางเว็บไซต์
www.thailandtourismawards.com ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม - 30 เมษายน 2566 แล้วจะประกาศผลรางวัลวันที่
8 กันยายน 2566 จัดพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 14
ในวันท่องเที่ยวโลก (World Tourism Day) 27
กันยายน 2566 ผู้ประกอบการที่ที่ต้องการสมัครเข้ารับรางวัลสามารถศึกษาข้อมูลคุณสมบัติ
เกณฑ์การตัดสิน เตรียมความพร้อมก่อนสมัครได้ที่
https://tourismawards.tourismthailand.com , www.facebook.com/ThailandTourismAwardsNew
หรือ Line Official Account : @tourismawards
ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ททท.วางกลยุทธ์ใช้โครงการ TTA ผนึกกำลังพันธมิตรสร้างมาตรฐานความปลอดภัย
Safety
& Sustainability ตามนโยบาย “การท่องเที่ยวสีขาว” พัฒนามาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
STGs : Sustainable
Tourism Goals ได้ตามเป้าหมายการท่องเที่ยวปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์อย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาเศรษฐกิจ
BCG Model นำการท่องเที่ยวไทยยกระดับสู่มูลค่าสูงหรือHigh
Value และ Sustainable Tourism อย่างแท้จริง
ส่วน “รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย”
ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566 แต่ละสาขา ประกอบด้วย 1.รางวัลยอดเยี่ยม
(Thailand Tourism Gold Award) 2.รางวัลดีเด่น (Thailand
Tourism Silver Award) 3.เกียรติบัตรรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand
Tourism Certificate) 4.Hall of Fame ไฮไลต์รางวัลใหญ่จะมอบให้แก่ผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมติดต่อกัน 3 ครั้ง เพื่อเป็นเกียรติและสะท้อนถึงความใส่ใจยกระดับและรักษาคุณภาพมาตรฐานของสินค้าและบริการพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว
โดยกำหนด “เกณฑ์พิจารณาการตัดสินรางวัล” 3 แนวคิดหลัก
ประกอบด้วย แนวคิดที่ 1 การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ภายใต้กระบวนการจัดการที่คำนึงถึงวัฒนธรรม
สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีกลไกสำคัญ คือ
โมเดลเศรษฐกิจยั่งยืนแบบใหม่ BCG Model ผสมผสานกับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
(Responsible Tourism) และการบริหารจัดการคาร์บอนต่ำ (Low Carbon &
Sustainability management) แนวคิดที่ 2 ความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Safety
& Health Administration) แนวคิดที่ 3 ความสนใจของกลุ่มนักท่องเที่ยว
(Customers Interest)
“ผู้ประกอบการ” ที่ผลงานที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
จะได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Thailand Tourism Awards เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว
ด้วยมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รางวัลดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดเสนอขายสินค้าและบริการแก่นักท่องเที่ยว
และได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาด
เทรดโชว์ โร้ดโชว์ และคอนซูเมอร์แฟร์ กับททท. และพันธมิตร
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละกลุ่มตลาด
รวมถึง ททท.จะทำประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออฟไลน์
และออนไลน์ทางเครื่องมือที่มีอยู่ ได้แก่ เพจ Amazing Thailand เพจ Thailand Tourism Awards อนุสาร อสท. และพันธมิตรสื่อมวลชนในเครือข่าย
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อเนื่องถึงการรับสิทธิ์ร่วมกิจกรรมสัมมนา เวิร์คช้อป ผ่านทาง
การตลาดดิจิทัลออนไลน์ และงานสัมมนาเจ้าบ้านที่ดีปี 2566 เจาะตรงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งเก่าและใหม่เพิ่มมากขึ้นได้
ข่าวที่ 5 บางจากนำออมสุขวิสาหกิจบูมข้าว“ไทยไรซ์นามา”ขายปั๊มชุมชน
นางกลอยตา
ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ลงนามความร่วมมือส่งเสริมข้าวลดโลกร้อนโครงการ
“ไทยไรซ์ นามา :Thai Rice NAMA” และคาร์บอนเครดิตจากนาข้าวเปียกสลับแห้ง
กับนายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการลงทุน บริษัท
บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการ บริษัท ออมสุข วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด
และ นายถาวร คำแผง ประธานวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ ต.เดิมบาง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี จับมือกันส่งเสริมการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจากภาคเกษตรกรรมโดยจะรับซื้อข้าวลดโลกร้อน
40 ตัน ซึ่งกรรมวิธีการปลูกสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 30% เมื่อเทียบกับวิธีทำนาปกติ
กลุ่มบางจากจึงมุ่งสนับสนุนกลุ่มชาวนารักโลกซึ่งเปลี่ยนวิถีการทำนาจากดั้งเดิมมาใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเลเซอร์ปรับพื้นนา
เพื่อทำนาเปียกสลับแห้ง ซึ่งเป็นวิธีทำนาโดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
นางกลอยตากล่าวว่าบริษัท
ออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ที่บางจากฯ และบีซีพีจี จัดตั้งขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนสหกรณ์การเกษตรและเครือข่าย
สร้างความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงศึกษาโอกาสต่อยอดสู่ธุรกิจในกลุ่มบริษัทบางจาก ผ่านการ
“จัดหาและจำหน่าย” สินค้าที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เชื่อมโยงกับการเกษตร วันนี้ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือส่งเสริมข้าวลดโลกร้อนเปียกสลับแห้ง
พร้อมกับตั้งเป้ารับซื้อข้าวดังกล่าว 40 ตัน ในเดือนมิถุนายน
2566 จะนำมาเป็นสินค้าสมนาคุณลูกค้าตามสถานีบริการบางจาก ในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก
บางจากฯ ยังมีแผนสนับสนุน
“ซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคเกษตรกรรม” ผ่าน Carbon Markets Club และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดต้นทุนการผลิตภาคเกษตร
ผ่านโครงการโซลาร์ปันสุขของมูลนิธิใบไม้ปันสุข
การลงนามในครั้งนี้มีผู้บริหารภาครัฐและเอกชนร่วมงานและหารือเกี่ยวกับแนวทางการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง
พร้อมร่วมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต ถึง 7 หน่วยงาน
คือ นายจิรวัฒน์ ระติสุนทร
รองเลขาธิการสำนักงานแผนและนโยบายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายปริญญา กิตติการุญจิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจค้าปลีก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) นายฉัตรชัย ลอยบัณดิษฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานการลงทุน บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)
นายอภิสิทธิ์
เสนาวงค์ นักวิชาการชำนาญพิเศษ สำนักรับรองคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(องค์การมหาชน) นายปุญชรัสมิ์ ปลั่งดี เกษตรอำเภอ กรมส่งเสริมการเกษตร นางนิตยา
รื่นสุข ที่ปรึกษานวัตกรรมการผลิตข้าว ด้วยเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ กรมการข้าว นายไพรัช หวังดี ผู้จัดการภาคสนามอาวุโส
โครงการ Thai
Rice NAMA องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)
นายจิรวัฒน์
ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานแผนและนโยบายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรผู้ผลิตข้าวลดโลกร้อนและกลุ่มบริษัทบางจาก
ที่มาช่วยต่อยอดให้โครงการให้สำเร็จลุล่วงได้ผ่านบริษัท ออมสุข วิสาหกิจเพื่อสังคม
จำกัด เพราะการขยายองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกร เมื่อเกษตรกรทำแล้วเห็นประโยชน์จริง
ทำให้เกิดตลาดรองรับ สร้างรายได้ การดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การทำนาเปียกสลับแห้ง
หรือเรียกอีกชื่อว่า ทำนาแบบ 1 แห้ง 5 ประโยชน์ จะสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศลงได้มาก
ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้โลกร้อนกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 27 เท่า
ดังนั้นการเปลี่ยนทัศนคติภาคเกษตรกรรมจึงเป็นหนึ่งในกุญแจความสำเร็จต่อเป้าหมายของไทย
ซึ่งตั้งเป้าเดินหน้าเป็นกลางทางคาร์บอนปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ปี ค.ศ. 2065
สำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน
หรือ Thai Rice NAMA -
Nationally Appropriate Mitigation Action เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน
(GIZ) ประจำประเทศไทย มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตข้าวรูปแบบใหม่ของชาวนา โดยไม่ปล่อยให้น้ำขัง ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน (พาดินไปหาหมอ) ไม่เผาฟางข้าว
ใช้เลเซอร์ปรับหน้าดินให้เรียบเสมอกันเพื่อประสิทธิภาพการเพาะปลูก เป็นโมเดลการทำนาที่และเกษตรกรรมไทยจะก้าวสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ
ช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญ
ข่าวที่ 6“TCEB”คลิกออฟ“ประชุมเมืองไทย”ปี’66พันกลุ่มโกย387ล้าน
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ปี 2566 ทีเส็บได้เดินหน้าสนับสนุนโครงการ “ประชุมเมืองไทย
เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” ตื่นตัวจัดงานไมซ์ทั่วประเทศเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องภายในช่วง
5 เดือน ระหว่างวันที่
1 เมษายน – 22 สิงหาคม 2566
ตั้งเป้าจะให้งบประมาณสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการและนิติบุคคลตามกฎหมายที่มีแผนจัดการประชุมองค์กร
อบรม และการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศ (MI : Meeting
&Incentive) ที่จัดตามเกณฑ์ 1 ใน 7 กิจกรรม ตั้งเป้าหมายจะมีองค์กรสมัครเข้าร่วมขอรับการสนับสนุน
1,000 กลุ่ม ร่วมผลักดันให้เกิดจำนวนนักเดินทางไมซ์ตลอดโครงการเพิ่มขึ้นอีกกว่า
30,000 คน
ก่อให้เกิดการจ้างงาน 120 อัตรา สามารถสร้างเงินหมุนเวียนครอบคลุม 4 ส่วน รวมแล้วไม่น้อยกว่า 387 ล้านบาท ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 รายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาท ส่วนที่ 2 ผลทางเศรษฐกิจ 180 ล้านบาท ส่วนที่ 3 สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (GDP
Contribution) 101 ล้านบาท ส่วนที่
4 รัฐมีรายได้การจัดเก็บภาษี
6 ล้านบาท
ทีเส็บตั้งเป้าใช้ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย”
เป็นหนึ่งโครงการสำคัญช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและจัดกิจกรรมไมซ์กระจายรายได้อย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค
ทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ภายในประเทศปีงบประมาณ 2566 สร้างความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะต้องสร้างรายได้รวม 59,000 ล้านบาท
จากจำนวนนักเดินทางไมซ์ 17,790,000 คน
ส่วนรายละเอียดโครงการ “ประชุมเมืองไทย
เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” ทีเส็บจะให้เงินสนับสนุนผู้เกี่ยวข้อง 2 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 งบสนับสนุนไม่เกิน
15,000 บาท จำนวน 650 กลุ่ม เพื่อนำไปใช้จัดกิจกรรมไมซ์
1 วัน และ รูปแบบที่ 2 งบสนับสนุนไม่เกิน
30,000 บาท จำนวน 350 กลุ่ม นำไปใช้จัดกิจกรรมไมซ์อย่างน้อย
2 วัน 1 คืน
โดยจะต้องเป็นองค์กรที่มีแผนงานจัดกิจกรรม
1 ใน 7 ประเภท ได้แก่ 1.การประชุม/Meetings 2.การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล/ncentives 3.สัมมนา 4.การอบรม/Training 5.จัดกิจกรรมเพื่อสังคม/CSR 6.กิจกรรมพนักงานสัมพันธ์/Outing และ 7.ศึกษาดูงาน/Field trip
รวมทั้งได้กำหนด “เกณฑ์พิจารณา” เพื่อให้งบกับผู้ขอรับการสนับสนุนจะใช้
2 เกณฑ์หลัก ได้แก่ เกณฑ์แรก “สถานที่จัด” จะต้องเลือกสถานที่ตั้งอยู่นอกองค์กรของตนเองได้ทั่วประเทศ ทั้งในโรงแรม
สถานที่จัดงานพิเศษ ชุมชนทั่วทุกภูมิภาค แล้วก็จะต้องเป็นสถานที่มีฐานข้อมูลอยู่ในเว็บไซต์
www.thaimiceconnect.com ของทีเส็บอย่างน้อย
1 แห่ง เกณฑ์ที่
2 “จำนวนผู้เข้าร่วมงาน” การจัดกิจกรรมแต่ละครั้งจะต้องมีคนเข้าร่วมไม่น้อยกว่า
30 คน/งาน
ส่วน “คุณสมบัติ” ของผู้ขอรับการสนับสนุนทุกราย
จะต้องเป็น 1.นิติบุคคลตามกฎหมาย ได้แก่ บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน สมาคม
และมูลนิธิ หรือ 2.ผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมไมซ์ ได้แก่ บริษัทรับจัดการธุรกิจไมซ์ หรือ Destination Management Company (DMC) บริษัทรับจัดการประชุม บริษัทนำเที่ยว โรงแรม หรือสถานที่จัดงาน
โดยต้องเป็นสมาชิกของสมาคมโรงแรมไทย สมาคมโรงแรมในภูมิภาคหรือจังหวัด
หรือสมาคมต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
รวมไปถึงโรงแรมหรือสถานที่จัดงานที่ได้รับมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย (Thailand MICE Venue Standards : TMVS) หรือ
มาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียน (ASEAN MICE Venue Standards : AMVS)
ทั้งนี้ทีเส็บได้จัดทำโครงการสนับสนุนงบประมาณจัดไมซ์ในประเทศกับหน่วยงาน
หรือองค์กรที่ดำเนินการจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศมาตั้งแต่ปี
2563 ส่วนปี 2566 นี้ ทีเส็บเดินหน้าสนับสนุนต่อด้วยโครงการ “ประชุมเมืองไทย
เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” หวังจะใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนให้เกิดการจัดงานไมซ์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น
กระจายรายได้ไปสู่ทุกภูมิภา ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไมซ์ ชุมชน รวมถึงธุรกิจต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ได้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป
ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยไป “พังงา” เช็คอิน 5 พิกัดฟินสุด ๆ อ่าวพังงา
เกาะสิมิรัน เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ และในเมืองชิมอาหารกับร้านคาเฟ่เก๋ ๆ
ดูแลสุขภาพ “7 แนวทางห่างไกลโรคอ้วน”
และข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “IATA-BAR-AAT-DGS”4องค์การบินอินเตอร์ตบเท้าถก
รมว.พิพัฒน์ ถกเก็บเงินต่างชาติค่าเหยียบแผ่นดิน300 บาท
ท่องเที่ยว
-เที่ยวพังงา5พิกัด
“อ่าวพังงา/สิมิรัน/เกาะยาวน้อย-ใหญ่/ในเมือง
ล่องใต้ปักหมุดเช็คอินท่องเที่ยวเกาะกลางทะเลอันเงียบสงบใน
“พังงา” โมเมนท์ที่ใช่ ไม่ต้องรอ 5 พิกัด
พิกัดที่
1 อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา
ดินแดนป่าเกาะ ตื่นตากับหน้าผาหินและเกาะมีรูปร่างแปลกตา
ชมพื้นที่ป่าชายเลนผืนใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า
42 เกาะ เรียงรายไปตามน่านน้ำ ไม่ว่าจะเป็น เกาะปันหยี ที่มีวิถีประมง ร้านอาหาร
ร้านขายของที่ระลึก สนามฟุตบอลลอยน้ำ
พร้อมทั้งชมภาพเขียนสีโบราณเขาเขียน
ภาพคน ปลา ปู นก ฯลฯ ต้องห้ามพลาดจุดไฮไลท์ เขาตะปู เขาพิงกัน
รูปทรงที่สวยแปลกแล้วยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในชื่อ เกาะเจมส์ บอนด์
สถานที่ถ่ายภาพยนตร์ระดับโลก เกาะห้องภูเขาหิน หรือพายเรือแคนูลอดถ้ำ
ด้านในมีแอ่งน้ำล้อมคล้ายห้องโถงใหญ่ล้อมด้วยภูเขาหินปูน และเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนได้ด้วย
อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา : โทร.076
481 188 ใช้เวลาประมาณ 3- 4 ชั่วโมง เลือกเดินทางจากท่าเรือได้หลายจุด เช่น ท่าด่านศุลกากร
ท่าเรือกระโสม (ท่าสุระกุล) ติดต่อลงเรือได้ที่ท่าเรือโดยตรง อค่าบริการเข้าอุทยาน คนไทยผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก
30 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 100 บาท
พิกัดที่
2 เกาะสิมิลัน
: อ.คุระบุรี เกาะสวรรค์แห่งท้องทะเลอันดามัน
สิมิลันเป็นเกาะในฝันของหลายคน ขึ้นชื่อเรื่องหาดทรายขาวละเอียด Powder Sands คำว่า
"สิมิลัน" เป็นภาษามลายู แปลว่า เก้า เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ
ในทะเลอันดามันที่มีอยู่ทั้งหมด 9
เกาะ ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน เกาะเมี่ยง เกาะปายู เกาะหัวกะโหลก
(เกาะบอน) เกาะสิมิลัน และเกาะบางู เที่ยวได้ทั้งบนบกและใต้น้ำ ซึ่งมีแหล่งดำน้ำได้น้ำตื้นและน้ำลึก
สัมผัสท้องทะเลสวยงาม
อุทยานแห่งชาติหมู่สิมิลัน โทร.076 453272 ปกติจะเปิดให้ท่องเที่ยว
15 ต.ค.
- 15 พ.ย.
ของทุกปี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1
ชั่วโมง 15 นาที ราคา 1,500–2,500 บาท/คน/ทริป
พิกัดที่
3 เกาะยาวใหญ่ กลางทะเลอันดามัน เงียบสงบ
วิถีชีวิตของชุมชนที่มีเอกลักษณ์อย่างลงตัว สามารถท่องเที่ยว การทำประมง
เลี้ยงกุ้งมังกร การทำนาแบบพื้นบ้านของชุมชน ที่แบ่งปันเอื้ออาทร เป็นไมตรีต่อผู้มาเยือน
สัมผัสวิถีชาวบ้านแบบมุสลิม นอนโฮม สเตย์ ล่องเรือดูป่าโกงกางยักษ์ ปลายแหลมเล็ก ๆ
อยู่ระหว่างเกาะยาวใหญ่และเกาะยาวน้อย ชายหาดทอดตัวยาวเป็นกิโลเมตร น้ำใส หาดทรายขาวละเอียด
เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Mechanic Resurrection 2
การเดินทาง
จากจังหวัดพังงาใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ค่าเรือโดยสารคนละ 200
บาท ไปได้หลายวิธี เช่น ขึ้นเรือที่ท่าเรือด่านศุลกากร จ.กระบี่ หรือท่าเรือท่าเลน
จ.ภูเก็ต ขึ้นเรือที่ท่าเรือบางโรงไปท่าเรือคลองเหีย
เพราะมีเรือให้บริการวันละหลายเที่ยว
พิกัดที่
4 เกาะยาวน้อย
: สันหลังมังกร ทุ่งนา ป่า เกาะ เกาะเล็กๆ
ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ทำอาชีพประมง ไปสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชม
การทำนา การทำเครื่องมือประมง การทำผ้าบาติก ผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
และการทำผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว รวมทั้งวิถีชีวิตชาวประมงทั้งการวางอวน กู้อวน
การเลี้ยงกุ้งมังกรในกระชัง
นักท่องเที่ยวสามารถเล่นน้ำดำดูปะการังและเที่ยวตามเกาะใกล้
ๆ สัมผัสน้ำทะเลใส หาดทรายขาว บนเกาะยาวน้อยมีบริการนั่งรถท้องถิ่นเที่ยวรอบเกาะรับลมตรง
“หาดท่าเขา” ชมทุ่งนา ป่า เกาะ ไฮไลต์ตรง “หาดป่าทราย” เป็นจุดชมวิวและชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยที่สุด
และมี “อ่าวปะการัง” จุดชมปะการังช่วงน้ำลงจะเห็นโผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็น และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกสวยงามบนเกาะด้วย
การเดินทาง จากจังหวัดพังงา ขึ้นตรงท่าด่านเรือศุลกากร
อ.เมือง ประมาณ 1.30 น.
โดยเรือจะออกเวลา 12.00 น.
แต่ถ้ามาจากภูเก็ตใช้ท่าเรือบางโรง อ.ถลาง มีเรือหลายรอบ หรือกระบี่ใช้ท่าเรือท่าเลน
อ.อ่าวลึก นั่งประมาณ 30
นาที มีเรืออกหลายรอบค่าโดยสารคนละ 200
บาท
พิกัดที่ 5 กินเที่ยวในเมืองร้านอาหารคาเฟ่เก๋ ๆ วันนี้- 30 เมษายน 2566 18
ร้านอาหาร/คาเฟ่ รวมเข้าร่วมโครงการพังงา วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ถือคูปองเงินสด นำไปแลกซื้ออาหารและเครื่องดื่มได้เลย
นักท่องเที่ยวสามารถรับคูปองเงินสดได้ที่โรงแรมกว่า 11 แห่ง เพียงเข้าพักวันธรรมดา
วันจันทร์ - วันศุกร์ เป็นเงินสดมูลค่า 100 บาท ทันที แวะมาลองกันได้ในรสชาติโดน ดี
ด้วยวิถีกลิ่นอายพื้นเมือง ปักหมุดเลือกได้ตามสบาย
ไม่ว่าจะเป็น
“ร้านบ้านจันเพ็ญ อาหารและขนมไทย กาแฟสด
ของฝาก “ไร่ชุติกาญจน์” ร้านอาหารคาเฟ่สุดชิลวิวภูเขา “ระรื่นพังงา”
หาความพิเศษได้ที่นี่ “OASIS Handmand Cafe
เที่ยวพังงาวิถีคราฟท์ ดริ๊งท์ อีท กิ๊ฟท์ “ร้านกับข้าวแม่”
อบอุ่นเหมือนรสมือแม่ทุกเมนู “เจ๊นน้อง” เสิร์ฟอาหารถิ่นและของฝากพื้นเมือง
สุขภาพ -7
แนวทางห่างไกลโรคอ้วน ลงมือทำได้ตั้งแต่นาทีนี้ดีต่อสุขภาพ
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ -คุณหมอแอมป์
นายกสมาคมแพทย์ฟ้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส
เวลเนส คลินิก แนะนำวิธี “ลด “ปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วน”
เนื่องในวันอ้วนโลกซึ่งตรงกับวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี “โรคอ้วน” เพราะเป็นภัยคุกคามสำคัญของประเทศไทย
จากรายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่
ดังนั้นจึงขอให้เลือกใช้ 7 แนวทางห่างไกลโรคอ้วน
1.เลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยใน 1 จาน ควรประกอบด้วย ผัก 50%
โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ถั่วและธัญพืช 25% และข้าวไม่ขัดสี 25%
2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือบริโภคแต่น้อยโดยเฉพาะไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว
3.หลีกเลี่ยงเบเกอรี่
และอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะ เครื่องดื่มบางชนิดมีส่วนผสมของ High Fructose Corn Syrup (HFCS) เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ แยม
ลูกกวาด คุกกี้ ไอศกรีม เป็นต้น
4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรืออย่างน้อย 30
นาที 5 วันต่อสัปดาห์
5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพ
อย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงทุกวันและควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม
6.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
7.ผ่อนคลายความเครียด
ด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือทำกิจกรรมที่ทำให้สมองสงบได้พักผ่อน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
“IATA-BAR-AAT-DGS”ถกรมว.พิพัฒน์“ค่าเหยียบแผ่นดิน300บาท”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ช่วงเช้าวันนี้ 2 มีนาคม 2566
ผู้บริหาร 4 องค์กรการบินนานาชาติประจำประเทศไทย ตบเท้าเข้าพบ
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เพื่อถกด่วนถึงการบังคับใช้กฎหมายเก็บเงิน “ค่าเหยียบแผ่นดิน”
ที่ประกาศจะเก็บจากนักเดินทางต่างชาติ เริ่มเดือนมิถุนายน 2566 เป็นต้นไป แต่จนถึงขณะนี้
ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเรื่องใหญ่สุดคือ
“ช่องทางและวิธีจัดเก็บเงินจากนักท่องเที่ยว” จะให้เก็บอย่างถูกต้อง
โดยไม่ไปสร้างภาระให้องค์กรการบินต่าง ๆ นั้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทยจะมีวิธีทำอย่างไรได้บ้าง เพราะหลังประกาศจะบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีรายละเอียดเรื่อง
“ช่องทางเก็บเงิน” ปรากฎออกมาแต่อย่างใด
ประการสำคัญ
ทางผู้เกี่ยวข้องในวงการบิน ตั้งข้อสังเกตุว่า ประกาศจัดเก็บ
“ค่าเหยียบแผ่นดินไทย” กับนักเดินทางต่างชาติ ตามหลักสากล
“มีความไม่เท่าเทียมหรือเลือกปฏิบัติหรือไม่?”
เนื่องจาก
อัตราการจัดเก็บ จะแยกเป็น 1.เดินทางผ่านทางอากาศ
จัดเก็บคนละ 300 บาท/ครั้ง 2.เดินทางผ่านทางบก
ทางน้ำ จัดเก็บ 150 บาท/คน
รวมทั้งยังมี “ข้อยกเว้นปลีกย่อย” เป็น “ข้อยกเว้น” อีกหลายส่วน เช่น
คนไทยที่เดินทางเข้าออก ผู้ถือหนังสือเดินทางทำงานมี Work Permit แล้วยังมี หนังสือเดินทาง/วีซ่านักเรียน และอื่น
ๆ ที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะต้องระบุความชัดเจน
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถทำตามได้
ส่วน
องค์กรการบินที่เข้าพบ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วันนี้ 2 มีนาคม 2566 ประกอบด้วย 1.สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA
:International Air Transport Association)
ประจำประเทศไทย 2.สมาคมธุรกิจสายการบิน ประเทศไทย หรือ BAR Thailand : The Board of
Airline Representatives Business Association 3.สมาคมสายการบินประเทศไทย
หรือ AAT : Airlines Association of Thailand และ 4.องค์กรให้บริการระบบจองตั๋วโดยสารเครื่องบิน
GDS :Global Distribution System
ข่าวที่สอง
–SHRเครือสิงห์โชว์รายได้ปี65นำ4กลุ่มรร.โตปี’66ตั้งเป้าหมื่นล้าน
บริษัท เอส
โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ 'SHR'
บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท รายงานผลดำเนินงานปี 2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 8,693 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนเกือบ
2 เท่า ส่งผลต่อกับการลงทุนธุรกิจโรงแรมเติบโตขึ้นทั้ง 4
พอร์ตโฟลิโอ ได้แก่
กลุ่มแรก โรงแรม
CROSSROADS มัลดีฟส์ มีนักท่องเที่ยวเข้าพักเฉลี่ย (OR :Occupancy rate) 66% สามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR :Average Daily Rate) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 28 %
กลุ่มที่ 2 โรงแรมสหราชอาณาจักร มีนักท่องเที่ยวเข้าพักเฉลี่ยเพิ่ม
10% และปรับค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 8% ส่งผลให้มีรายได้(RevPAR)
48 ปอนด์/ห้อง/คืน
กลุ่มที่ 3 โรงแรมในพอร์ต Outrigger มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 64 % ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวันได้เพิ่มขึ้น
48 % จากปี 2564 ทำให้ผลการดำเนินงานมีรายได้และกำไรในพอร์ตโรงแรม
Outrigger เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนเกิดโควิด-19
กลุ่มที่ 4 พอร์ตโรงแรมในไทย ช่วงปลายปี 2565
เห็นสัญญาณฟื้นตัวจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยประมาณ
57 %
ผลสำเร็จในการดำเนินงานมาจาก
3 ปัจจัย คือ 1.การปรับโครงสร้างธุรกิจรวม 2.ผลตอบรับที่ดีด้วยการปรับใช้แนวคิดแบรนด์ทราย/SAii เป็นโรงแรมที่บริษัทฯ
บริหารงานเอง จึงปรับราคาห้องพักต่อห้องต่อคืน (ADR) ขยับเพิ่มจากปีก่อนเป็น
67%
ส่วน ไตรมาส 4 ปี 2565
สามารถสร้างรายได้ดีที่สุด 2,570
ล้านบาท เติบโต 17 % ตอกย้ำถึงการท่องเที่ยวการเข้าสู่ฤดูเดินทางท่องเที่ยวหรือไฮซีซันที่ส่งผลดีกับพอร์ตโรงแรมในไทย
กับมัลดีฟส์ เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากกลุ่มนักเดินทางเพื่อการพักผ่อน ผนวกกับประสิทธิภาพของบริษัทเรื่องบริหารจัดการโรงแรมในไทย
ปรับโครงสร้างธุรกิจโดยใช้คอนเซ็ปต์แบรนด์ SAii ส่งผลให้ ADR
เฉลี่ยของโรงแรมในประเทศไทย
เมื่อเข้าสู่ไตรมาส
1 ปี 2566 เดือนมกราคม 2566 คาดจะเกิดความสำเร็จต่อเนื่องจากทุกปัจจัยช่วยหนุนให้รายได้รวมพอร์ตโฟลิโอหลักในไทยและมัลดีฟส์เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ
30% และจะเป็นปัจจัยผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี
2566
นายเดิร์ก
อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ปี 2565 ผลการดำเนินงานด้านรายได้เติบโตเกือบเท่าตัว
บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ด้วยฐานรากทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากนโยบายการบริหารจัดการและการลงทุนโรงแรมแบบกระจายความเสี่ยง
ตลอดจนความมุ่งมั่นยกระดับบริการสอดคล้องกับความต้องการสูงสุดของนักท่องเที่ยว ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเพิ่มช่องทางจองที่พักโรงแรมโดยตรง
(Direct Booking)
SHR ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าปี 2565 ได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจรับกับการเปลี่ยนแปลงปัจจัยแวดล้อมต่าง
ๆ ทำให้ฟื้นตัวดีกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภาพรวม แล้วยังมีสถานะทางการเงินพร้อมขยายกิจการต่ออนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ปี 2566 แนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลกจะเติบโตต่อเนื่อง
เนื่องจากแต่ละประเทศในเอเชียยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทาง โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีน
สถิติปี 2562 เดินทางท่องเที่ยวกระจายทั่วโลกมากที่สุด
ส่งผลดีต่อธุรกิจที่ SHR บริหารงานอยู่ด้วยสามารถครองตลาดนักท่องเที่ยวจีน
เลือกเข้าพักโรงแรมมัลดีฟส์ 20 % และไทย 10%
ปี 2566 เตรียมแผน พัฒนารีสอร์ทแห่งที่
3 ในโครงการ CROSSROADS ขณะนี้คืบหน้าตามแผนงานพร้อมเปิดให้บริการปีนี้
คือ โรงแรม SO/ Maldives ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวมัลดีฟส์
ทำให้โครงการดึงดูดกำลังซื้อตลาดหรูหราลักซ์ชัวรี่เข้ามาเพิ่มได้ต่อไป
โดยตั้งเป้าหมายปี
2566 จะเพิ่มรายได้ขึ้น 20% พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรและการเงินอย่างแข็งแกร่ง
ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงินลดต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัท เพื่อขยายการลงทุนเข้าซื้อและเข้าบริหารจัดการสินทรัพย์ใหม่ในอนาคตและการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาวด้วย
นายเดิร์กย้ำว่าปี
2566 จะผลักดันรายได้ให้ทะลุ 10,000 ล้านบาท
โดยใช้กลยุทธ์บริหาร RevPAR ที่มีประสิทธิภาพ ต่อยอดกับการเข้าลงทุนใหม่
และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ปั้นแบรนด์ SAii และร่วมกับสร้างพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งมีบทบาทสำคัญช่วยทำให้บรรลุเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำ
สร้างการเติบโตแบบยั่งยืนได้ SHR จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจบนรากฐานแห่งความสมดุล
ยั่งยืน และบูรณาการ เพื่อสร้างความรับผิดชอบและมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า
ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ภายใต้การตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงและการกำกับกิจการที่ดี
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น