“TCEB”เขย่าไมซ์ใหม่ปี66ตลาดฉลุยรายได้ส่อเค้าเกินเป้าแสนล้าน
อัดฉีดประชุมเมืองไทย1เม.ย.-คว้าล้านโหวตโค้งสุดท้ายExpo2028
เอ็กซิบิชั่นทะลักไทย-รอรับWorldCongressWCN+World Chiness
คิงเพาเวอร์จัดทัพTHE POWER OF POSSIBILITIESทุ่ม2โปรเจกต์
คิงเพาเวอร์Click&Collectช้อปก่อน/เที่ยวก่อนรับทันที6ความสะดวก
ช้อปคิงเพาเวอร์บิวตี้ไอเท็ม2สนามบินสุวรรณภูมิ&ภูเก็ตลดเลย10%
ททท.บูมจัดConcertหมอลำเสียงอีสานX ISAN IN LOVE10จังหวัด
บางจากผนึกแบงก์กรุงเทพนำร่องใช้L/Cกับคู่ค้าโลกผ่านบล็อกเชน
“TCEB”ปลุกธุรกิจไทยปี’66รับเทรนด์ใหม่“MICE Virtual Experience”
เที่ยวปากช่องวังน้ำเขียวสนุก5พิกัด“น้ำผุด-คลองทราย-ผาเก็บตะวัน”
กรมอนามัยแนะ3วิธีรับมืออากาศร้อนปีนี้อาจรุนแรงเป็นอันตราย
บินไทยโชว์เปิดบินฤดูร้อนทั่วโลก39เส้นทาง“ยุโรป/เอเชีย”มากสุด
สยามอะเมซิ่งพาร์คจัดกระหึ่ม“AMAZINGBigHoliday”17-23มี.ค.นี้
วันเสาร์ที่
11 มีนาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #Expo2028PhuketThailand #Concertหมอลำเสียงอีสาน
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/jbSopfUqmv/
ช่วงที่ 1 เขย่าไมซ์ใหม่กับ “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา”
ผู้อำนวยการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ปี66
ส่อเค้ารายได้เกินเป้า 1 แสนล้านบาท
เคลื่อนทัพใหญ่ 3 โปรเจกต์
เปิดตัวแล้วโปรเจกต์แรก “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” เทงบ 20 ล้าน เพิ่มยอด 30,000 ราย ใช้เงินเฉียด 200 ล้าน โปรเจกต์ 2 “ชิงเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand”
เสียงสนับสนุนคนไทยกระหน่ำโหวตแล้วกว่า 1 ล้านเสียง
เพิ่มแต้มต่อวันตัดสิน 21 มิ.ย.66 โปรเจ็กต์ 3 “โกยเอ็กซิบิชั่น&คอนเวนชั่นโลก”
พาเหรดงานต่อคิวจัดในไทย มี.ค.-มิ.ย.ไม่ต่ำกว่า 7 งาน VIV
Asia 2023
แรงสุดทั่วโลกแห่ร่วมกว่า 50,000 คน จับตา 2 งานยักษ์ World Congress WCN 2023 ศูนย์รวมแพทย์และนวัตกรรมโรคไต กับ World Chiness Entrepreneurs Convention 24-26 มิ.ย.นี้
นักธุรกิจีนทั่วโลกมารวมตัวกันในไทย
นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB”
เปิดเผยว่า วางแผนเดินหน้าภารกิจหลักนำอุตสาหกรรมไมซ์ทั่วประเทศฟื้นตัวได้เร็วทำรายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี
2566 เดิมตั้งไว้
96,000 ล้านบาท
คาดจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเป้าได้ถึง 10 % เนื่องจากมีงานระดับนานาชาติเข้ามาจัดทั้งในศูนย์ประชุม
ศูนย์แสดงสินค้า และโรงแรมต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เร่งเดินหน้าขับเคลื่อน 3 โครงการ
ประกอบด้วย โครงการที่ 1 “ประชุมเมืองไทย
เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย”
สนับสนุนงบประมาณกระตุ้นการจัดงานไมซ์ในประเทศ เริ่ม 1 เมษายน-22 สิงหาคม
นี้ จะกระตุ้นไมซ์เดินทางได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 คน
สร้างรายได้ตรงเข้าระบบเศรษฐกิจกว่า 180 ล้านบาท
กลุ่มเป้าหมายจะให้บริษัทจัดงาน โรงแรม
และธุรกิจเกี่ยวข้องเข้ามาลงทะเบียนเป็นฐานข้อมูลไว้บนเว็บไซต์ www.thaimiceconnect.com ของทีเส็บก่อน
เพื่อจะได้ร่วมกันจัดประชุมให้ประสบความสำเร็จทุกงาน
คาดงบจะหมดเกลี้ยงภายในเดือนเดียว
ขณะนี้ทีเส็บได้จัดเตรียมไว้ประมาณ
20
ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการจัดไมซ์ ภายใต้ 2 กฎเข้ม คือ กฎข้อแรก
จะต้องคำนึงถึงการดูแลรักษาธรรมชาติ กฎข้อที่สอง ต้องช่วยเน้น Local life วิถีช่วยเหลือชุมชนกระจายรายได้สู่พื้นที่
โดยจะสนับสนุนเงินจัดไมซ์ 2
รูปแบบ
ประกอบด้วย รูปแบบที่ 1 สนับสนุนเงินไม่เกิน
15,000 บาท/งาน
เพื่อจัดกิจกรรมภายใน 1 วัน
ต้องไม่น้อยกว่า 6
ชั่วโมง ตั้งเป้าจะมีผู้สนใจจัดงาน 650 กลุ่ม
รูปแบบที่ 2 สนับสนุนเงินไม่เกิน
30,000 บาท/งาน
เพื่อจัดกิจกรรม 2 วัน 1 คืน
วันแรกไม่น้อยกว่า 6
ชั่วโมง วันที่สองไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง คาดจะมีผู้สนใจจัดงาน 350 กลุ่ม
โดยเลือกได้จาก
1 ใน 7
ประเภท ได้แก่ 1.การประชุม
(meeting) 2.จัดสัมมนา
3.การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
(incentive) 4.การฝึกอบรมหรือเทรนนิ่ง
5.จัดกิจกรรมคืนประโยชน์สู่สังคมหรือ
CSR 6.จัดพนักงานสัมพันธ์หรือ
Outing 7.ศึกษาดูงานหรือ Field Trip
โดยมีกิจกรรมการประชุมบวกเข้ากับพนักงานสัมพันธ์
โครงการที่
2 การแสดงพลังโค้งสุดท้ายชิงเจ้าภาพการจัดงาน
Expo 2028 Phuket
Thailand เดือนมีนาคมนี้ทั้ง
5 ประเทศที่ผ่านเข้ารอบต้องจัด
Symposia ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คือ Thailand Symphosia
มีสมาชิก BIE ที่จะโหวตคะแนนเสียงให้ไทยลงทะเบียนเข้าร่วมงานเกือบ
20
ประเทศ ผู้เข้าร่วมงานกว่า 150 คน โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง
ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
นำทีมรัฐและเอกชนไปแสดงพลังกรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์
2566 ภายใต้คอนเซ็ปต์
“Future of Life : Living
in Hamony, Sharing Prosperity”
ประกาศความพร้อมภูเก็ตและประเทศไทยผ่านปฏิญญาภูเก็ต/Phuket Declaration
ในเวทีโลก ที่จะสนับสนุนประชาคมโลกสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล
สร้างมรดกและอนาคตที่ยั่งยืน สร้างความเป็นดีอยู่ดีมีความสุข รุ่งเรืองทัดเทียม
โดยมีคุณพันทิพา
เอี่ยมสุทธา เอกะโรหิต รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดร.วีรไทย สันติประภพ
เลขาธิการ และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นำเสนอ โมเดล “โครงการพัฒนาดอยตุง
(พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ที่ปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนยาเสพติด
นำไปสู่โครงการพัฒนาทางเลือกอันหลากหลายในการดำเนิชีวิตอย่างยังยืน
เน้นการสร้างคนและชุมชน ด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ นายภูมิกิต รักแต่งาม
นายกมูลนิธิการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
และนายชาญกิ
ชำนิวิกัยพงศ์ ผู้กำกับและผู้ก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์วาฬไทยและเว็บไซต์ Thai Whales ทำสารคดีระดับโลก
ขึ้นเวทีนำเสนอเรื่องราวการอนุรักษ์วาฬในทะเลอ่าวไทยและเต่ามะเฟืองในทะเลอันดามัน
ตัวชี้วัดการพัฒนายั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม และนายศพล บุญสม ผู้แทนทีมสถาปนิกการออกแบบโครงการ
ทำให้ทุกรายละเอียดการจัด Expo
2028
ที่ภูเก็ตตอบโจทย์มนุษย์ควรอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
ได้อย่างสันติสุข มีความเท่าเทียมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ขณะนี้มี
“พลังธุรกิจเอกชน” นำโดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
(กกร.) นำทุกจังหวัดทั่วไทย
ผนึกกำลังกับคนไทยกลุ่มผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำของไทย
กลุ่มธุรกิจธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มโรงแรม กลุ่มสายการบิน
กลุ่มรีเทล กลุ่มเครื่องดื่ม สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย ช่วยกันหาเสียงสนับสนุน
โดยได้เปิดให้คนเข้ามาร่วมโหวต “ร่วมสนับสนุนประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand :We SUPPORT EXPO 2028 PHUKET THAILAND”
ข้อมูลเมื่อวันที่ 7
มีนาคม 2566
มีผู้ร่วมโหวตให้ภูเก็ตแล้วมากถึง 1,010,403 ราย
เสียงโหวตกว่า 1 ล้านเสียง
ทางทีเส็บจะนำไปเสนอในวันดีเดย์ 21 มิถุนายน 2566 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส
ซึ่งจะเป็นวันตัดสินผลการแข่งขันชิงการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 เพื่อแสดงถึง
“ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทยทั้งประเทศ” ที่สนับสนุนเมือง/City
ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมทำให้เกิดความได้เปรียบคู่แข่งประเทศอื่น ๆ
ส่วนเอกชนร่วมสนับสนุนทุกช่องทาง
เช่น SCG ใช้การแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่าง
Honda Golf RPGA มีโปรกอล์ฟสาวไทย “โปรบิล”
ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา กสิกรไทย ก็ทยอยโปรโมตผ่านตู้กดเงินเอทีเอ็ม
รวมถึงการทำคลิปวิดีโอประชุมร่วมกับเอกชนทุกแห่งในเมืองไทย
โค้งสุดท้ายจะทำให้ประเทศไทยพิชิตชัยเหนือคู่แข่งอย่างแน่นอน
โครงการที่
3 การระดมงานไมซ์ทั่วโลกมาจัดในประเทศช่วงมีนาคม-มิถุนายน
2566
กำลังมีงานคอนเว็นชั่นและเอ็กซิบิชั่น ขนาดใหญ่หลายงานทยอยจัดทุกเดือน
งานแรก
“VIV Asia 2023”
ระหว่าง 8-10
มีนาคม 2566 ที่อิมแพค
เมืองทองธานี ใช้พื้นที่ 31,007
ตารางเมตร
เป็นงานแสดงสินค้าด้านปศุสัตว์ใหญ่ที่สุดในอาเซีย มีผู้เข้าร่วมเกือบ 60,000 ราย
ต่างชาติ 49,000 คน
และไทยอีกกว่า 10,000 คน
คาดจะสร้างรายได้มากถึง 3,284
ล้านบาท
โดยมีผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลก 130 ประเทศ 1,300 ราย
เป็นบริษัทไทย 100
บริษัท
งานที่ 2 Meat Pro Asia 2023 จัดเป็นครั้งแรก
8-10 มีนาคม
2566
ที่อิมแพค เมืองทองธานี เป็นงานแสดงสินค้าด้านกระบวนการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์แห่งเอเชีย
ที่มีธุรกิจผลิตไข่ สัตว์ปีก สัตว์เนื้อแดง อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์นม อาหาร
เข้าร่วมครบ มีผู้เข้าร่วมงานมากสุดจากต่างประเทศ 5,615 คน
สร้างรายได้กว่า 370 ล้านบาท
งานที่ 3 Asia-Pacific Association for
International Education Annaul Conference and Exhibition ระหว่าง
13-17
มีนาคม ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในหัวข้อ “Towards a Sustainable Future for
International in the Asia Pacific”
เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความร฿และพัฒนาด้านการศึกษา
มุ่งยกระดับการศึกษาของไทยและเอเชียแปซิฟิก คาดจะมีคนร่วมาน 1,500 คน
สร้างรายได้ 99 ล้านบาท
งานที่ 4 World Congress of Nephrology :WCN
2023 เป็นงานคอนเว็นชั่นใหญ่สุดของโลก จัดระหว่าง 30
มีนาคม-2 เมษายน
2566 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นำเสนอนวัตกรรมโรคไต มีคนลงทะเบียนแล้วกว่า 5,000 คน คาดจะสร้างรายได้
264 ล้านบาท
จะเน้นพัฒนาและต่อยอดความรู้ด้านวิชาการให้ก้าวหน้าทันสมัยแก้วิกฤตในโลกได้ด้วยการส่งเสริมวิจัย
เทคโนโลยี และนวัตกรรมโรคไต
ซึ่งจะมีแพทย์และบุคลการการแพทย์รุ่นใหม่เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญสาขาไต
งานที่ 5 Agritcehnica Asia ระหว่าง
22-24 พฤษภาคม
ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค งานแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยี สินค้า
เครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์การเกษตร คาดจะมีคนเข้าร่วม 4,061 คน
สร้างรายได้กว่า 80 ล้านบาท
งานที่ 6 The World Chiness Enterpreneurs
Convention :WCEC วันที่ 24-26 มิถุนายน 2566 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานเปิดเวทีความร่วมมือของผู้ประกอบการจีนทั่วโลกจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ผลักดันสู่ยุคดิจิทัล คาดจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คน
สร้างรายได้ราว 198 ล้านบาท
ในงานนี้จะมีอินเซ็นทีฟเข้ามาร่วมด้วยอีกไม่ต่ำกว่า 15,000 คน
งานที่ 7 The 29th International
Motessori Congress ระหว่าง 2-5 สิงหาคม
2566
ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เป็นงานแลกเปลี่ยนความรู้การศึกษาเพื่อโลกใหม่ที่จะสร้างแรงบันดาลใจ
จะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 5,000
คน
สร้างรายได้ 198
ล้านบาท
ปิดท้ายการจัดไมซ์ในประเทศก็มีไฮไลต์งาน
“เทศกาลอีสานสร้างสรรค์” หรือ Isan Creative Festival 2023 ระหว่าง 1-9 เมษายน
2566
ที่จังหวัดขอนแก่น ปีนี้จัดในธีม “เติมเต็มถิ่นฐานดื่มบ้านดื่มเมือง”
เป็นมหกรรมการแสดงศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ของอีสาน ที่จะสร้างความเข้มแข็ง
พร้อมค้นหาและสร้างโอกาสใหม่ให้เกิดอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์จัดทัพใหม่THE
POWER OF POSSIBILITIESทุ่ม2โปรเจกต์
“คิง
เพาเวอร์” ปรับทัพใหม่ในรอบ 3 ทศวรรษ พลิกโฉมค้าปลีก
และท่องเที่ยวภายใต้คอนเซ็ปต์ “THE POWER OF POSSIBILITIES”
ผ่านกลยุทธ์ 4Es ขานรับเปิดประเทศ ผุด 2 โปรเจกต์ยักษ์ “ดิวตี้ฟรีแซทเทิลไลท์สุวรรณภูมิ-ดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ย่านCBD” และพื้นที่เชิงพาณิชย์กว่า 3,000 ล้าน
พร้อมจัดหมวดธุรกิจขยายจาก 4 เป็น 8
กลุ่มแกนหลัก
นายอัยยวัฒน์
ศรีวัฒนประภา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ได้จัดงานเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์
2566 แถลงนโยบายและแผนการดำเนินธุรกิจประจำปี 2566 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในรอบกว่า 3 ทศทวรรษ
โดยชูแนวคิด ‘THE POWER OF POSSIBILITIES’ ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้
ยืนหยัดขับเคลื่อนธุรกิจคนไทยให้ก้าวสู่มิติใหม่ระดับสากล ผ่านกลยุทธ์ 4Es
– Enable, Encourage, Explore และ Empower ผสาน
Digital Transformation ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมสินค้าที่ทันสมัย
และเซอร์วิสโซลูชั่นใหม่ๆ ทั้งในสนามบิน และใจกลางเมือง
ล่าสุดคิง เพาเวอร์
ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเทรนด์อนาคต
เริ่มคลิกออฟตั้งแต่ปี 2566
เป็นต้นไป ปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็น Multi-Business จากเดิมที่มี 4 แกนหลัก เป็น 8 แกนหลัก ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 ธุรกิจสินค้าปลอดอากร
(Travel Retail) กลุ่มที่ 2 ธุรกิจค้าปลีก
(Retail) กลุ่มที่ 3 ธุรกิจอาหาร (Dining)
กลุ่มที่ 4 ธุรกิจโรงแรม (Hospitality)
กลุ่มที่ 5 ธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริโภค (Consumer
Products) กลุ่มที่ 6 ธุรกิจสร้างสรรค์ประสบการณ์
(Travel Experiences) กลุ่มที่ 7 ธุรกิจกีฬา
(Sports) และกลุ่มที่ 8 กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR)
ตั้งเป้าหมายมอบประสบการณ์ใหม่
ๆ ครอบคลุมรูปแบบต่าง ๆ สร้างความสะดวกรวดเร็วตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว
การชอปปิ้ง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
เติมเต็มทุกความต้องการของชีวิตที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค
และนักท่องเที่ยวทั่วโลก
รวมทั้งเดินหน้าปลุกกำลังซื้อต้อนรับการเปิดประเทศโดยได้ลงทุนใหม่
2 โครงการใหญ่ ได้แก่ โครงการแรก คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี สนามบิน
หรือ King Power Duty Free ในพื้นที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่
1 (Satellite Building) และ โครงการที่ 2 ร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง หรือ King Power Downtown Duty Free ในทำเลใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของประเทศ (CBD) รวมพื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินร่วม
10,000 ตารางเมตร มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ร่วมปลุกเศรษฐกิจไทยคึกคักจากตลาดกลุ่มนักเดินทางคนไทยและทั่วโลกเริ่มตั้งแต่ปี
2566 เป็นต้นไป
นายอัยยวัฒน์ กล่าวว่า ช่วงเวลา
3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พนักงานคิงเพาเวอร์ทุกระดับเป็นพลังใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวผ่านมาสถานการณ์ดังกล่าวมาได้
ทำให้เกิดแนวคิด “WE are powerful than I” ซึ่งจะนำมาต่อยอดเป็น
Brand Idea ขององค์กรอันเกิดจากความมีส่วนร่วมของพนักงานทุกคนได้สร้างพลังความเป็นไปได้
จนสร้างสรรค์เป็นแนวคิดหลัก “THE POWER OF POSSIBILITIES ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้”
ตั้งแต่ปี 2566
เป็นต้นไป กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
มุ่งเน้นจะค้นหาและสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางเพื่อผู้คนทั่วโลก และเพื่อรองรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
จึงเตรียมเปิดดิวตี้ ฟรี ใหม่อีก 2แห่ง คือ แห่งที่ 1
บริเวณพื้นที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite Building) รองรับผู้โดยสารได้ประมาณวันละ
151,000 คน แห่งที่ 2 บนทำเลธุรกิจใจกลางเมือง
หรือย่าน CBD ตั้งเป้ารองรับนักท่องเที่ยวประมาณวันละ
50,000 คน
โดย กลุ่มบริษัทคิง
เพาเวอร์ พร้อมจะผนึกกับพันธมิตรทุกภาคส่วน และพนักงานทุกระดับ
ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมสู่ความยั่งยืนครบทุกมิติ ดำเนินธุรกิจโดยยึดแกนหลัก
The
Power of Possibilities ขยายฐาน “คิง เพาเวอร์”
ให้เป็นมากกว่ากลุ่มผู้ประกอบการสินค้าปลอดภาษี ผ่านกลยุทธ์ 4Es ประกอบด้วย
1. Enable นำนวัตกรรมใหม่มาให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยนำเทคโนโลยี
และวัฒนธรรมใหม่ ๆ ของโลกดิจิทัล
2. Encourage ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
และมุมมองล้ำสมัยของบุคลากร และพันธมิตรทางธุรกิจ
3. Explore
ส่งมอบความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของประสบการณ์การเดินทาง
และการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภค 4. Empower จุดประกายให้ผู้คนทั่วโลกได้ออกมาใช้ชีวิตในทุกวันให้พิเศษกว่าเดิม
ส่วนปี 2565 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ลงทุนปรับปรุงพื้นที่ภายใน “สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ”ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ
12 ปี ชูคอนเซ็ปต์จุดขายให้เป็น “World
Junction” ศูนย์รวมมากกว่า 20
แบรนด์ชั้นนำระดับโลกไว้ในที่เดียว สร้างปรากฏการณ์ ‘ดิวตี้ ฟรี เวิล์ดคลาส ช้อปปิ้ง
เดสติเนชั่น/Duty Free World Class Shopping Destination ยกระดับสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาคเอเชีย
ควบคู่กับการเปิดตัวโครงการ
“คิง เพาเวอร์ มหานคร” เต็มรูปแบบ ภายใต้คอนเซปต์ THE MAHANAKHON OF LIVES มหานคร หนึ่งเดียวของทุกคน’ สะท้อนสีสัน เสน่ห์ ของกรุงเทพฯ
เมืองหลวงที่นักเดินทางทั่วโลก และคนไทยต้องมาเช็คอิน โดยมีโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด
แบ็งคอก มหานคร เข้ามาช่วยสนับสนุนให้ คิง เพาเวอร์ มหานคร เป็น ICONIC
WORLD CLASS LANDMARK DESTINATION ระดับโล
รวมทั้งมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสุ่
Digital
Transformation เพื่อให้องค์กรทันสมัย
โฟกัสการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าปัจจุบันและอนาคตมากยิ่งขึ้น (Customer-centric)
ไปพร้อมกับเดินหน้าพัฒนาทั้งระบบด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
ด้านบริหารงาน ด้านการขายและหลังการขาย การพัฒนาวัฒนธรรมองค์กร และบุคลากร
ก้าวไปข้างหน้าอย่างทัดเทียมกัน
นอกเหนือจากการโครงสร้างธุรกิจแล้ว
กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ยังใส่ใจให้ความสำคัญกับพนักงาน
ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนองค์กรมาตลอดโดยได้ส่งเสริมและพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของพนักงานในมิติต่างๆ พร้อมทั้งมอบรางวัล Appreciation
Recognition ให้พนักงานเกษียณ และพนักงานที่ทำงานครบรอบตามลำดับ
30 ปี, 20 ปี และ 10 ปี สร้างขวัญกำลังใจ
และขอบคุณพนักงานถึงความทุ่มเททำให้องค์กรยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งมาได้จนถึงทุกวันนี้
ข่าวที่
2 คิงเพาเวอร์Click&Collectช้อปก่อน/เที่ยวก่อนรับทันที6สะดวก
ช้อปที่ใช่! ทั้ง ทีมช้อปก่อนเที่ยว vs
ทีมเที่ยวก่อนช้อป คลิกที่ใช่! ช้อปตอนไหนก็แฮปปี้ กับ KING POWER CLICK & COLLECT ตอบโจทย์ทุกการช้อป ได้ถึง
6 ความสะดวก
“ทีมช้อปก่อนเที่ยว” นักเดินทางเที่ยวต่างประเทศรับสินค้าสะดวกได้ที่
“ขาออก”
สะดวกที่ 1
มีของพร้อมนำไปใช้
ไม่ต้องไปหาซื้อที่ต่างประเทศ
สะดวกที่ 2 มีเวลาสำหรับเที่ยวเพิ่ม
ไม่ต้องเผื่อเวลาช้อปที่สนามบิน
สะดวกที่ 3 ช้อปไม่ต้องรีบ
แค่มีไฟลต์ก็ช้อปได้เลย
“ทีมเที่ยวก่อนช้อป”
นักท่องเที่ยวที่เดินทางกลับเข้าเมืองไทยรับสินค้าสะดวกได้ที่ “ขาเข้า”
สะดวกที่ 4
เที่ยวสบายไม่ต้องหิ้ว ไม่ต้องแคร์น้ำหนักกระเป๋าระหว่างเที่ยว
สะดวกที่ 5
อยู่ต่างประเทศก็ช้อปได้ ทั้งทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน KING
POWER
สะดวกที่ 6
ส่วนลดสุดคุ้ม นักช้อปตัวจริงไม่ต้องพลาด! ช้อปเลย!
ข่าวที่
3 ช้อปคิงเพาเวอร์บิวตี้ไอเท็ม2สนามบินสุวรรณภูมิ/ภูเก็ตลด10%
คิง เพาเวอร์ ปลุกนักเดินทางห้ามพลาด!! ฮอตดีล!
บิวตี้ไอเทมมาร่วมสร้างพลังแจกส่วนลดสูงสุด
ช้อปเครื่องสำอางและน้ำหอม ครบ 8,000
บาทขึ้นไป /ใบเสร็จ ลดทันทีสูงสุด 10% วันนี้
– 13 มีนาคม 2566 ที่ คิง เพาเวอร์ 2
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และภูเก็ต
รับส่วนลดง่าย ๆ 1.เลือกช้อปสินค้าที่ร่วมรายการตรวจสอบสินค้าร่วมรายการ
ณ จุดขาย 2.ไม่ต้องใช้ส่วนลดร่วมกับสมาชิกคิง เพาเวอร์ 3.ยอดซื้อสินค้าส่วนต่างหลังหักส่วนลดไม่สามารถใช้กะรัตชำระค่าสินค้า
4.ไม่ใช้ร่วมกับสิทธิ์
Birthday Celebration ยอดเงินในบัญชีสมาชิก E- Cash, Cash
Card ประเภทอื่น ๆ Gift Card ประเภทอื่น
ๆ Gift Voucher, Cash Voucher ยอดเงินในบัญชีสมาชิกจากรายการส่งเสริมการขายที่ได้รับจากการเติมเงินเข้าบัญชีสมาชิก
ยกเว้น ยอดเงินในบัญชีสมาชิกที่ได้รับจากการสมัครสมาชิก
ตรวจสอบเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงได้ที่จุดขาย
หรือ Contact Centre 1631
ข่าวที่
4 ททท.บูมจัดConcertหมอลำเสียงอีสานX ISAN IN LOVE10จังหวัด
ททท.แท็กทีม
ท็อปไลน์ มิวสิค งัด Soft Power อีสาน จัดมหกรรม “Concert หมอลำเสียงอีสาน X ISAN IN LOVE” 10 พื้นที่ 11 มี.ค.-23 เม.ย.ouh
ประเดิมที่แรก จ.สุรินทร์ 11 มี.ค.66 ดึงคาราวานแฟนคลับหมอลำแห่เที่ยวข้ามภาคเข้าอีสาน 10 จังหวัด เพิ่มยอดคนกระจายรายได้สร้างเศรษฐกิจฐานราก
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการ ด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดเผยว่า ททท.ร่วมกับ บริษัท ท็อปไลน์ มิวสิค จำกัด จัดงาน “Concert
หมอลำเสียงอีสาน X ISAN IN LOVE” โชว์พลัง
Soft Power ด้านวัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมจากแฟนคลับทั่วประเทศมาจนถึงทุกวันนี้
โดยเลือกพื้นที่ท่องเที่ยวภาคอีสาน 10 จังหวัด 10 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ 11 มีนาคม- 23 เมษายน 2566 มุ่งปลุกกระแสแฟนคลับหมอลำทั่วไทยออกเดินทางท่องเที่ยวข้ามภาคอย่างคึกคัก
สร้างรายได้เข้าพื้นที่และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้คึกคักตลอดช่วง 2 เดือนนี้ การจัดงานครั้งแรกนำร่องที่ วัดป่าอาเจียง ตำบลกระโพ
อำเภอท่าตูม จังหวัด สุรินทร์
รวมทั้งจะเพิ่มประสบการณ์กับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวอีสานทั้ง
10 จังหวัด
ผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และวิถีชีวิต
เพื่อสร้างการรับรู้การท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่าตลอดทุกการเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทย
ตลอดการจัดงาน
นักท่องเที่ยวที่ร่วมสนุก ร้อง เล่น เต้น จ๊วดหน้าฮ้าน แบบม่วนชื่น
กับคอเสิร์ตหมอลำเสียงอีสาน ได้ทั้ง 10 พื้นที่
พร้อมทั้งมีกิจกรรม “สแกนปั๊บ”
รับทันทีภาพถ่ายเป็นที่ระลึกบริเวณหน้างานที่จัดการแสดงแต่ละครั้ง
พร้อมลายเซนต์ฟรีจากทัพศิลปินเสียงอีสานทุกคน
นางสาวสรัสวดี
อาสาสรรพกิจ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ททท.
กล่าวว่า ปี 2566 ตามแผนกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว
จะชูจุดขาย Soft power 5F โดยมี 1 ใน
5 คือ F-Festival ทางภาคอีสานมีงานเทศกาลประเพณีโดดเด่นคึกคักและสนุกดึงดูดความสนใจ
จึงมีแนวคิดจะใส่ความเป็นไลฟ์สไตล์เข้าไปในงานเทศกาลต่าง ๆ ของอีสาน จัดทำคาราวาน
“ลูกทุ่ง หมอรำ” ดึงดูดแฟนคลับติดตามเดินทางเข้ามาชมศิลปินในดวงใจ
ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวขยับสูงขึ้นตามโจทย์ใหม่ปี
2566 “ภูมิภาคภาคอีสาน” 20 จังหวัด จะต้องนำคนเข้าไปเที่ยวทั่วทั้งภาครวม
20 ล้านคน-ครั้ง จากเป้าหมายรวม 135 ล้านคน-ครั้ง ถือเป็นความท้าทายพอสมควร
ส่วนปฏิทินจัดมหกรรม
Soft Power ““Concert
หมอลำเสียงอีสาน X ISAN IN LOVE” ทั่วภาคอีสาน
10 พื้นที่ 10 จังหวัด มีดังนี้
ครั้งที่
1 นำร่องจัดวันที่ 11 มีนาคม 2566 ณ วัดป่าอาเจียง ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
ครั้งที่
2 วันที่ 12 มีนาคม 2566 ที่บ้านละทาย ต.ละทาย อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
ครั้งที่
3 วันที่ 16 มีนาคม 2566 ที่โรงเรียนบ้านหนองเขื่อนช้าง ต.ท่าสองคอน อ.เมือง
มหาสารคาม จ.มหาสารคาม
ครั้งที่
4 วันที่ 9 เมษายน 2566 ที่บึงโขงหลง ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
ครั้งที่
5 วันที่ 10 เมษายน 2566 ที่วัดศรีอุบล บ้านม่วงหวาน ต.ม่วงหวาน อ.น้ำพอง
จ.ขอนแก่น
ครั้งที่
6 วันที่ 11 เมษายน 2566 อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
ครั้งที่
7 วันที่ 16 เมษายน 2566 ที่วัดป่าธาตุวนาราม ต.ธาตุทอง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ
ครั้งที่
8 วันที่ 17 เมษายน 2566 ที่วัดโพธิ์ชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย
ครั้งที่
9 วันที่ 18 เมษายน 2566 ที่วัดถ้ำอินทร์แปลง ต.หนองกุงศรี อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี
ครั้งที่
10 ปิดท้ายวันที่ 23 เมษายน 2566 ที่บ้านนากลาง ต.นากลาง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
ข่าวที่
5 บางจากผนึกแบงก์กรุงเทพนำร่องใช้L/Cกับคู่ค้าโลกผ่านบล็อกเชน
นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมายกระดับกระบวนการทำธุรกรรม เลตเตอร์
ออฟ เครดิต (Letter of Credit: L/C) เพื่อการค้าระหว่างประเทศในรูปแบบดิจิทัลทั้งกระบวนการ
สะท้อนถึงความสำคัญและตระหนักถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน
มาเสริมประสิทธิภาพของระบบการดำเนินการต่าง ๆ โดยเริ่มทำธุรกรรม L/
C ผ่านบล็อกเชน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
เนื่องจากบางจากฯ มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมาตลอด
ล่าสุดได้นำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ยกระดับกระบวนการทำธุรกรรม L/C การค้าระหว่างประเทศ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร
โดยนำร่องจับมือกับธนาคารกรุงเทพนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้บริการทำธุรกรรม L/C แบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบริษัท Contour ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพล็ตฟอร์มชั้นแนวหน้าที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล
นับเป็นก้าวใหม่ของบางจากที่จะขับเคลื่อนการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ทำให้บริษัทคู่ค้าในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศสามารถตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรมได้ชัดเจน
มีความโปร่งใสทุกมิติ
ขณะเดียวกันการทำ L/C ผ่านบล็อกเชนจะช่วยลดระยะเวลาในกระบวนการออกเอกสาร L/C ทำให้สามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง ประหยัดเวลาจากเดิมเคยใช้ถึง 3 วัน
เพราะรูปแบบธุรกรรมดิจิทัล ข้อมูลทุกอย่างจะอัพเดทเรียลไทม์ตามเวลาจริง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีปัจจุบันซึ่งยังคงใช้กระดาษอยู่นั้น
การนำดิจิทัลเข้ามาใช้จะลดทั้ง ปริมาณการใช้กระดาษ
ต้นทุนด้านเอกสารและการบริหารจัดการได้มาก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารเปิดให้บริการเลตเตอร์ออฟเครดิตบนระบบบล็อกเชน หรือ L/C
on Blockchain ซึ่งเป็นนวัตกรรมช่วยให้บริการทางการเงินทางการค้าระหว่างประเทศ
(Trade Finance) ทำได้ง่ายและประสิทธิภาพดีขึ้น สำหรับความร่วมมือกับ
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ถือเป็นL/C on
Blockchain รายการแรกของธนาคารกรุงเทพที่ให้บริการแก่ธุรกิจในอุตสาหกรรมพลังงาน
ซึ่งธนาคารเชื่อมั่นจะช่วยการยกระดับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของบางจากฯ
ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
รวมถึงเป็นบทบาทสำคัญของธนาคารกรุงเทพในฐานะเพื่อนคู่คิด พร้อมจะเดินเคียงข้างไปกับลูกค้าด้วยบริการทางการเงินที่มีคุณภาพ
ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
รวมถึงประสบการณ์และคำแนะนำทางธุรกิจสนับสนุนให้ลูกค้าเติบโตในอนาคตอย่างแข็งแกร่งต่อไป
ข่าวที่
6 “TCEB”ปลุกธุรกิจไทยปี’66รับเทรนด์ใหม่“MICE Virtual Experience”
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” รายงานว่า ได้นำเทรนด์ “MICE
Virtual Experience “สัมผัสที่สมจริง กับความรู้สึกที่แตกต่าง”
การจัดงานไมซ์ มาเพิ่มประสบการณ์จัดงานให้กับเอกชนในอุตสาหกรรมไมซ์นำไปใช้ประโยชน์
สร้างแม่เหล็กดดึงดูดความสนใจจากผู้ร่วมงาน
และนักเดินทางไมซ์โดยสร้างความแปลกใหม่ให้กับธุรกิจไมซ์ซึ่งตอนนี้เทรนด์ “Virtual
Experience” หรือ ประสบการณ์โลกเสมือนจริง ด้วยการใช้เทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อย
ๆ ช่วยเพิ่มการจัดงานให้โดดเด่นและแตกต่างบนโลกออนไลน์และโลกเสมือนจริง
เทรนด์ Virtual Experience Economy คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่า
ซึ่งทางทีเส็บได้คัดกรณีศึกษาที่จะทำให้ผู้ประกอบการเกิดไอเดียแล้วปรับใช้กับธุรกิจไมซ์ของไทยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
Virtual Experience Economy หรือยุคของประสบการณ์เสมือนจริง
ที่จะทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม ด้วยการนำเทคโนโลยี
4 แบบ ได้แก่ 1. AR (Augmented
Reality) 2. VR (Virtual Reality) 3.MR
(Mixed Reality) และ 4.Metaverse เชื่อมโยงผู้คนระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกัน
ปรับใช้ได้ทั้งกับธุรกิจไมซ์ การท่องเที่ยว การจัดประชุม การเข้าร่วมงานอีเวนต์
การสำรวจสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ จะช่วยสร้างโอกาสขายสินค้าและบริการ
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ประกอบการ ผู้ร่วมงาน และนักเดินทางไมซ์เพิ่มมากยิ่งขึ้นได้
ทาง “Statista และ IDC” (International Data Corporation) ได้ทำผลสำรวจคาดการณ์เทคโนโลยีรูปแบบ
“Virtual Experience” ทั้ง AR, VR, MR ,
Metaverse ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวนิยมนำมาปรับใช้ดึงนักเดินทางด้วยประสบการณ์ผ่านโลกเสมือนสมจริงหรือ
Virtual-reality tours
ขณะที่ “ผู้ประกอบการ” ทั้งในไทย
และต่างประเทศได้นำเทคโนโลยีสร้างเสริมประสบการณ์บนโลกเสมือนอย่าง AR, VR, MR มาปรับใช้กับธุรกิจ และจัดงานไมซ์ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น เช่น งานอีเวนต์ จัดนิทรรศการแสดงงานศิลปะ
ช่วยสร้างภาพลักษณ์งานให้ทันสมัย เพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ
ตลอดจนสามารถเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ร่วมงานไมซ์ได้
สำหรับ “Metaverse” เป็นอีกเทคโนโลยีเสริมสร้างประสบการณ์บนโลกเสมือนจริงช่วยเชื่อมโยงเหล่านักเดินทาง
และผู้ร่วมงานไมซ์เข้าด้วยกัน โดยปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพ
ทางสังคมในโลกแห่งความเป็นจริง เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับประสบการณ์น่าตื่นเต้น
ช่วยผู้ประกอบการสร้างการรับรู้ และขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
Statista คาดการณ์ภายในปี 2567 จำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งาน “AR บนมือถือ” จะเพิ่มขึ้นทั่วโลกอาจจะถึง
1,700 ล้านเครื่อง สอดคล้องกับ IDC (International
Data Corporation) มองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ AR, VR ช่วง 5 ปี ระหว่าง 2565 – 2569
จะสูงถึง 32%
ส่วน “เทคโนโลยี MR” ก็มีแนวโน้มเติบโตขึ้นช่วงปี 2565
- 2570 อีกประมาณ 41.8% ซึ่งทางMordor
Intelligence คาดการณ์บรรดาธุรกิจไมซ์ ธุรกิจการท่องเที่ยวจะหันมาประยุกต์ใช้
AR/VR มากที่สุด
เพื่อช่วยให้นักเดินทางไมซ์ได้เยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ เหมือนกันไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถสำรวจจุดหมายปลายทางก่อนเดินทางท่องเที่ยวจริงได้
ขณะที่กิจกรรมไมซ์อื่น ๆ ต่างก็ใช้ AR, VR ดึงความสนใจจากผู้เข้าร่วมงาน และนักเดินทางไมซ์ เช่นกันผ่านกิจกรรมรูปแบบใหม่
ๆ เช่น ไกด์พาชมพิพิธภัณฑ์ดิจิทัล ปีนยอดเขาระดับโลกจากโซฟาที่บ้าน
หรือชวนดำดิ่งผ่านแนวปะการังใต้มหาสมุทรด้วยเทคโนโลยีสร้างประสบการณ์เสมือนจริงแปลกใหม่
น่าประทับใจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ดังนั้นจึงสามารถ “สร้าง MICE ให้แตกต่าง จัดงานให้โดดเด่น” ตัวอย่างกรณีของ
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับ Topos Studio จากเกาหลีใต้ นำทุกคนไปเปิดประสบการณ์สุดแปลกใหม่เข้าสู่โลกเสมือนที่รวมโลกศิลปะกับเทคโนโลยีดิจิทัลสุดล้ำเข้าด้วยกันกับนิทรรศการ
“The Gate Immersive Theater” ภายในงานจัดแสดงผลงานศิลปะผ่านการนำเสนอที่ใช้เทคโนโลยี
AR, VR และ MR เช่น การนำภาพ Anamorphic
มาใช้ในรูปแบบของ Media Art และเพิ่มความโดดเด่นด้วยลูกเล่นของภาพ
3 มิติ เปลี่ยนภาพจำจากงานศิลปะแบบเดิม ๆ
สู่โลกเสมือนจริงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตนเองหลุดไปในมิติของงานศิลปะ
สามารถมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับผลงานได้อย่างอิสระ
ถือเป็นไอเดียสร้างสรรค์การจัดงานรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ชวนนักเดินทางไมซ์สร้างประสบการณ์ใหม่ในโลก Metaverse” อีกหนึ่งเทคโนโลยีสร้างพื้นที่จำลองสิ่งแวดล้อมในโลกเสมือนที่สมจริง
ให้ทุกคนได้มีปฏิสัมพันธ์ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ผ่านตัวตนเป็นอวตาร (Avatars) แบบ Real Time ล่าสุดทาง Global Data คาดการณ์มูลค่าตลาด Metaverse ระหว่างปี 2565
– 2573 จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 39.8% ทำให้หลายธุรกิจเคลื่อนไหวเพื่อขยายเข้ามาบนพื้นที่ดิจิทัล
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการไมซ์อย่าง Millennium Hotels and Resorts ได้ปรับตัวเปิดตัว M Social Decentraland ธุรกิจบริการ
และโรงแรมแรกของโลกบน Metaverse
ทำให้ M Social เป็นชุมชนเสมือนจริงในโลก
Metaverse ตั้งอยู่บนพื้นที่ Decentraland โดยจำลองทำเลมีศักยภาพ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานเข้ามาเยี่ยมชมโรงแรม
พูดคุยกับพนักงานซึ่งเป็น Avatars และเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตจริง
โดยออกแคมเปญวันสำคัญ เช่น วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ พร้อมทั้งมีกิจกรรมต่าง ๆ
ให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วม สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่นักเดินทางไมซ์
ถือเป็นสัญญาณสำคัญให้ผู้ประกอบการไมซ์ที่ต้องการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจ
ต้องเร่งปรับตัวให้ทันตามเทรนด์โลก แล้วจับจองตำแหน่ง
และสร้างชื่อเสียงของตัวเองในจักรวาลเสมือนจริงนี้ก่อนใคร
ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยไป “ปากช่อง-วังน้ำเขียว” จ.นครราชสีมาได้เลย 5 พิกัด ชมน้ำผุด ดูกระทิงบ้านคลองทราย พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าผาเก็บตะวัน เที่ยวน้ำตกผาเก้า
และไหว้พระวัดแสงธรรม ด่วน!! กรมอนามัยแนะ3วิธีรับมืออากาศร้อน ข่าวฮ็อตส่งท้าย ข่าวแรก
“บินไทยโชว์ฤดูร้อนบินทั่วโลก ต.ค.นี้39เส้นทาง” และ
“สยามอะเมซิ่งพาร์ค” จัดกระหึ่ม Amazing Big Holiday 2023 ช่วง
17-26 มี.ค.
ท่องเที่ยว-
เที่ยวปากช่องวังน้ำเขียว“น้ำผุด/คลองทราย/ผาเก็บตะวัน/วัดแสงธรรม”
เตรียมตัวออกเที่ยวช่วงหน้าร้อน
ลองเช็คจุดหมายปลายทาง ชวนกันเที่ยวปากช่อง วังน้ำเขียว นครราชสีมา 5 พิกัด สุดฟิน ธรรมชาติสวย พระอาทิตย์งาม
น้ำตกไหลเย็นตลอดทั้งปี และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ใน 5 พิกัด
พิกัดที่ 1 “น้ำผุดปากช่อง” ลองไปพายเรือคายัค สัมผัสธรรมชาติแบบชิลล์
กับสายน้ำเย็นๆ ชวนเพื่อนไปด่วน ตั้งอยู่ตรง
น้ำพุธรรมชาติบ้านท่าช้าง ซอยโยธาธิการ ตำบลหมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
เปิด 09:00 - 15:00 น. เป็น สถานที่หลายคนคุ้นเคยดี ด้วยสีมรกตบ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ
และสัตว์ป่า แถมยังมีกิจกรรมการพายเรือคายัค เล่นน้ำตามอัธยาศัย หรือจะชวนกันมานั่งปิกนิค
พักผ่อนกับเพื่อน ๆ หรือครอบครัว ก็ได้เช่นกัน ติดต่อสมาชิกจากชุมชนท่องเที่ยวบ้านท่าช้างได้ตรงจุดบริการได้เลย
คิดค่าบริการจ้างพายเรือ คนละ
170 บาท/คน
พิกัดที่
2 บ้านคลองทราย
คือ หมู่บ้านกระทิง ที่ถือว่ามีกระทิงป่า มากที่สุด
และสามารถชมกระทิงป่าได้ที่ จุดสกัดเขาสูงเขาแผงม้า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า
ที่ผ่านมา ชาวบ้านเดือดร้อนกับปัญหาสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่ มากัดกินพืชไร่ พืชสวน
ชาวบ้านได้รับความเสียหาย จึงมองวิกฤติให้เป็นโอกาส ปลุกกระแสท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศ
พิกัดที่
3 “ผาเก็บตะวัน”ช่วงหน้าร้อน
สีสันชวนไปชมแสงสุดท้าย เขตอุทยานแห่งชาติทับลาน
ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ช่วงนี้จะมีความสวยงาม
โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณเทือกเขาดงพยาเย็น-เขาใหญ่
พิกัดที่
4 น้ำตกผาเก้า
บ้านยุบอีปูน วังหมี วังน้ำเขียว สุดยอดน้ำไหลทั้งปี ที่เดียวในโคราช นายสมภพ
มุกดาสนิท นายอำเภอวังน้ำเขียว พร้อมด้วย ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว
ชมรมจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว องค์การบริหารส่วนตำบลวังหมี ธกส.วังน้ำเขียว
ดันท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
มุ่งสร้างรายได้ให้ชุมชนแบบยั่งยืน
ไฮไลต์ของ น้ำตกผาเก้า
ที่เป็นมนต์เสน่ห์แห่งผืนป่าธรรมชาติภูหลวง คือ มีน้ำไหลตลอดปี
แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่มีป่าเป็นแหล่งน้ำ
ที่สำคัญสามารถเที่ยวได้ตลอด
รวมถึงมี "ฟอสซิลใบไม้"
กลายเป็นหินคาดมีอายุประมาณ 1 แสนปี หากได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม
จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งอำเภอ และชุมชน
เตรียมทำความสะอาดสถานที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวรองรับเล่นน้ำในช่วงหน้าร้อน
พิกัดที่
5 วัดแสงธรรมวังเขาเขียว
ตำบลวังน้ำเขียว สักการะ
พระมหาเจดีย์ศรีแสงธรรมวิสุทธิมงคล” ท่านพระอาจารย์โสภา สมโณ ประธานสงฆ์ บอกไว้ว่าสร้างวัดนี้
ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ ไม่ใช่เพื่อการค้า ไม่ใช่พุทธพาณิชย์ สร้างเพื่อให้คนมาบำเพ็ญบุญ
ไม่จำเป็นต้องหิ้วสังฆทาน มามือเปล่า มาก้มหัวให้พระพุทธเจ้า อยากเห็นคนมากราบมาไหว้
มาเดินทำทักษิณองค์พระมหาเจดีย์ มารักษาศิล มาปฏิบัติธรรม ไม่เอาใจใคร จะเอาธรรม
เราอยากรักษาพระศาสนา อยากสร้างวัดให้เป็นวัด สมบัติในโลก ไม่มีใครพึ่งได้
แค่อาศัยไปวัน ๆ นอกจากบุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกนี้
เที่ยวไทยไปปากช่อง
วังน้ำเขียว แล้วเช็คอิน 5
พิกัดได้โดยไม่ต้องรอ 365 วันมหัศจรรย์
เที่ยวเมืองไทย
สุขภาพ-กรมอนามัยแนะ3วิธีรับมืออากาศร้อนอาจรุนแรงเป็นอันตราย
สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แนะนำ
เฝ้าระวัง และสื่อสารเตือนภัย ด้านสุขภาพในช่วงฤดูร้อนปี 2566
อุณหภูมิอาจจะพุ่งปรี๊ดได้ถึง 43 องศาเซียลเซสสูงกว่าปี 65และอันตรายกับกลุ่มเสี่ยง
จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังอาการและพฤติกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อนด้วย
เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจะทำให้เจ็บป่วยจากความร้อนตั้งแต่อาการเล็กน้อย ได้แก่
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เป็นตะคริวจากความร้อน มีผื่นแดงตามผิวหนัง
หรืออาจมีอาการรุนแรงจนเป็นโรคฮีตสโตรก
หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลทันทีอาจทำให้เสียชีวิตได้โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
เช่น กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุหญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว
รวมถึงกลุ่มอาชีพที่ต้องทำงานหนักกลางแจ้ง เช่น งานก่อสร้างเกษตรกร
จึงขอแนะนำให้ประชาชนป้องกันตัวเองจากความร้อน
ได้แก่
1.ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ
โดยไม่ต้องรอกระหายน้ำ
2.หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงกลางวันหรือช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนจัดสวมเสื้อผ้าสีอ่อน
ระบายอากาศได้ดี สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด
และทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง
3.หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม
และแอลกอฮอล์ทั้งนี้ หากอุณหภูมิสูงสุดขึ้นไปที่ 43
องศาเซลเซียสควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง และหมั่นสังเกตอาการเสี่ยงจากโรคฮีตสโตรก
ได้แก่ เหงื่อไม่ออก สับสนมึนงง ตัวร้อนจัด ผิวหนังเป็นสีแดงและแห้ง
หากพบผู้ป่วยโรคฮีตสโตรกให้รีบตามแพทย์
หรือโทร. 1669 และพาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่มหรือห้องมีความเย็น จัดผู้ป่วยให้นอนราบ
ยกเท้าและสะโพกสูง รวมถึงถอดเสื้อผ้าออกเท่าที่จำเป็นเพื่อระบายความร้อน
ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัวหรือวางถุงน้ำแข็งที่คอ รักแร้ และขาหนีบ
หากผู้ป่วยหมดสติให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันโคนลิ้นอุดทางเดินหายใจ
และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
รับคำแนะนำการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อนได้ที่เว็บไซต์กองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ
(https://hia.anamai.moph.go.th/th)
และ Facebook กรมอนามัย และกองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
สายด่วนกรมอนามัย 1478 หรือกรมควบคุมโรค 1422
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก-บินไทยโชว์เปิดบินฤดูร้อนทั่วโลก39เส้นทาง“ยุโรป/เอเชีย”มากสุด
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ได้เปิดให้บริการเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารช่วงตารางการบินฤดูร้อน ปี 2566 รองรับผู้โดยสารเดินทางสู่ทั่วโลก 39
เส้นทาง โดยเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางบินยอดนิยม ระหว่างวันที่
26 มีนาคม – 28 ตุลาคม 2566 โดยมีรายละเอียดดังนี้
เส้นทางที่
1 ยุโรปและออสเตรเลีย ไป-กลับ รวม 9 เส้นทาง
1.กรุงเทพฯ-ลอนดอน บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
2.กรุงเทพฯ-ปารีส บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7
เที่ยว
3.กรุงเทพฯ-ซูริก
บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
4.กรุงเทพฯ-แฟรงก์เฟิร์ต บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
5.กรุงเทพฯ-มิวนิก บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7
เที่ยว
6.กรุงเทพฯ-โคเปนเฮเกน บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7
เที่ยว
7.กรุงเทพฯ-สตอกโฮล์ม บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
8.กรุงเทพฯ-ซิดนีย์ บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน
9.กรุงเทพฯ-เมลเบิร์น บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14
เที่ยว
เส้นทางที่
2 เอเชีย ไป-กลับ รวมทั้งหมด 30
เส้นทาง
เส้นทางสู่ “ญี่ปุ่น” มากที่สุด 6 เมือง 6 เส้นทาง ได้แก่
1.กรุงเทพฯ-โตเกียว (นาริตะ)
บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม
2566 จะบินวันละ 3 เที่ยว หรือสัปดาห์ละ
21 เที่ยว
2.กรุงเทพฯ-โตเกียว (สนามบินฮาเนดะ) บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
3.กรุงเทพฯ-นาโกยา บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
4.กรุงเทพฯ-โอซากา บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566
จะบินวันละ 2เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
5.กรุงเทพฯ-ฟุกุโอกะ บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7
เที่ยว
6.กรุงเทพฯ-ซัปโปโร บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7
เที่ยว จะบินจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2566
เส้นทางบินสู่ประเทศอาเซียน
เอเชีย อื่น ๆ จะบินรวม 24
เส้นทาง ได้แก่
7.กรุงเทพฯ-มะนิลา บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
8.กรุงเทพฯ-โซล บินทุกวัน สัปดาห์ละ 21 เที่ยว
9.กรุงเทพฯ-ไทเป ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป จะบินสัปดาห์ละ 14 เที่ยว
10.กรุงเทพฯ-ฮ่องกง บินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 จะเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ
21 เที่ยว
11.กรุงเทพฯ-สิงคโปร์ บินสัปดาห์ละ 25 เที่ยว (*เที่ยวบินที่ TG403/413/409
มีบริการบินทุกวัน เที่ยวบิน TG407 บินออกจากกรุงเทพฯ
ทุกวันจันทร์ พฤหัสบดี ศุกร์ และอาทิตย์)
12.กรุงเทพฯ-จาการ์ตา บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
13.กรุงเทพฯ-เดนปาซาร์ บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7
เที่ยว
14.กรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ บินวันละ 2 เที่ยว สัปดาห์ละ 14 เที่ยว
เส้นทางบินสู่ “อินเดีย” บังกลาเทศ ปากีสถาน บริการบินรวมทั้งหมด 10 เมือง 10 เส้นทาง ได้แก่
15.กรุงเทพฯ-มุมไบ บินสัปดาห์ละ 11 เที่ยวบิน โดยมีเที่ยวบินTG317 บินทุกวัน และเที่ยวบินTG351
ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์
16.กรุงเทพฯ-นิวเดลี บินสัปดาห์ละ 22 เที่ยว โดยมีเที่ยวบิน TG323/315/331 บินทุกวัน และเที่ยวบินTG335 ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันศุกร์
17.กรุงเทพฯ-เบงกาลูรู
บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
18.กรุงเทพฯ-ไฮเดอราบัด บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
19.กรุงเทพฯ-เจนไน บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
20.กรุงเทพฯ-กัลกัตตา บินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
21.กรุงเทพฯ-ธากา บินสัปดาห์ละ 10 เที่ยว เที่ยวบิน TG321 บินทุกวัน และเที่ยวบิน
TG339 ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และอาทิตย์
22.กรุงเทพฯ-ละฮอร์ บินสัปดาห์ละ 5 เที่ยว
ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์
23.กรุงเทพฯ-อิสลามาบัด บินสัปดาห์ละ 4 เที่ยว
ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และเสาร์
24.กรุงเทพฯ-การาจี บินสัปดาห์ละ 5 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี ศุกร์
เสาร์ และอาทิตย์
25.กรุงเทพฯ-เจดดาห์ (ซาอุบินสัปดาห์ละ 5 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ
ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ ศุกร์ และอาทิตย์
เส้นทางบินสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มเปิดบินตั้งแต่วันที่
1 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
รวมทั้งหมด 5 เมือง 5 เส้นทาง ได้แก่
1.กรุงเทพฯ-คุนหมิง บินสัปดาห์ละ 2 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันศุกร์ และอาทิตย์
2.กรุงเทพฯ-กวางโจว
บินสัปดาห์ละ 3 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันจันทร์ พุธ และเสาร์
3.กรุงเทพฯ-เฉิงตู บินสัปดาห์ละ
2 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร และพฤหัสบดี
4.กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้
บินสัปดาห์ละ 4 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พุธ
ศุกร์ และอาทิตย์
5.กรุงเทพฯ-ปักกิ่ง
บินสัปดาห์ละ 3 เที่ยว ออกจากกรุงเทพฯ ทุกวันจันทร์ พฤหัสบดี
และเสาร์
ข่าวที่สอง -สยามอะเมซิ่งพาร์คจัดกระหึ่ม“AMAZING Big
Holiday”17-26มี.ค.นี้
นายไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธานที่ปรึกษากลุ่มบริษัท
สยามพาร์คซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ร่วมกับเปรี้ยวปากรายการดังวาไรตี้กินเที่ยวทางทีวีช่อง
3HD
จัด “AMAZING Big Holiday 2023 x เปรี้ยวปาก @SiamAMAZINGPark” คอนเซ็ปต์ THE
BEST of AMAZING เพิ่มความสนุกสนานให้นักท่องเที่ยวต่อเนื่องตลอด 10 วัน ระหว่างวันที่ ตั้งแต่วันที่ 17-26 มีนาคม 2566
เวลา 11.00-21.00 น. ที่บางกอกเวิลด์
โซนทางเข้าใหม่ สยามอะเมซิ่งพาร์ค เจาะกลุ่มกลุ่มคนกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาชมแลนด์มาร์คใหม่โซนบางกอกเวิลด์
ภายในงาน “AMAZING
Big Holiday 2023 x เปรี้ยวปาก @SiamAMAZINGPark” อิ่มอร่อยกับ 200 ร้านดัง และเพลิดเพลิน ฟิน เที่ยว
กิน ชิม ช้อป ชีล กับกิจกรรมสุดประทับใจได้ทั้ง 6 โซน
ประกอบด้วย
โซนที่ 1
พาหุรัด ศูนย์รวมสตรีทฟู้ดคัดร้านดังสุดปัง
การันตีความอร่อยระดับแนวหน้าจากรายการเปรี้ยวปากมารวมไว้ด้วยกัน
โซนที่ 2 สำเพ็ง พาเหรดร้านค้าคุณภาพเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาอุดหนุนสินค้า
โอท็อป เอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน ศูนย์ศิลปาชีพ และอื่น ๆ โดยมีให้เลือกช้อปครบทั้งของใช้
สินค้าแฟชั่น งานฝีมือ
โซนที่ 3
ไชน่าทาวน์ แหล่งรวมร้านอาหารสไตล์เยาวราช
นวดคลายเส้นสุดฟิน
โซนที่ 4
อนุสาวรีย์ สนุกสุดหรรษากับเกมงานวัด อาทิ ปาโป่ง ยิงปืน โยนห่วง สอยดาว
เวที Street Show in Bangkok World ดนตรีเปิดหมวก
Juggling show Bozo ขายาว บิดลูกโป่ง
โซนที่ 5 เสาชิงช้า ละลานตากับสินค้าโอท็อป
สินค้าออร์แกนิกกว่า 45 ร้านค้า พร้อมกิจกรรมพิเศษ!
รำวงเกี้ยวสาว ซึ่งจะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไปบริจาคการกุศล
ร่วมด้วยช่วยกันเที่ยวได้บุญ
โซนที่ 6
บางกอก เธียเตอร์ หลบร้อน
นอนดูหนัง เพลิดเพลินยามค่ำคืนกับหนังดังให้หายคิดถึงได้
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น