“TCEB”ชี้เป้าปี’66เขย่าอุตฯไมซ์ไทยปรับด่วนรับตลาดโลก5เทรนด์ใหม่
ธุรกิจตื่นตัวขยับแผนด่วนยกระดับสร้าง“เท่าเทียม-ยั่งยืน-นวัตกรรม”
เพิ่มตัวชี้วัดใหม่“กระแสสังคม-เสียงองค์กรอินเตอร์-ความสุขจากงาน”
คิงเพาเวอร์ชวนช้อปดิวตี้ฟรีรับซัมเมอร์น้ำหอม4แบรนด์ดัง8กลิ่นฮ็อต
เที่ยวจบแลนดิ้งปุ๊ปช้อปเพิ่มที่คิงเพาเวอร์สุวรรณภูมิส่วนลด+ฟรีเพียบ
ททท.จัดสงกรานต์ทำเศรษฐกิจทั่วไทยคึกคักโกยรายได้1.85หมื่นล้าน
“บางจาก”แจ้ง2ข่าวดีมติอนุมัติซื้อหุ้นเอสโซ่65.99%ปันผล2.50บ./หุ้น
TCEB ชี้เป้าธุรกิจไมซ์เลือกใช้Chat
GPTดีไซน์อีเวนต์เพิ่มยอดธุรกิจ
นั่งรถไฟไป-กลับสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์เที่ยวทั่วไทยง่ายๆ 6
ขั้นตอน
8อาหารกินแล้วช่วยย่อยกินง่ายสบายท้องกินลดอันตรายในหน้าร้อน
ซีไลฟ์แบงคอกปรับโฉมใหม่ทัวร์ป่าดิบชื้นกลางกรุง4โซน9สัตว์แปลก
พิพัฒน์ปรับใหม่เก็บค่าเหยียบแผ่นดิน300บ.“เลื่อน-เปลี่ยนช่องทาง”
วันอาทิตย์ที่
16 เมษายน 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #สถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ #เลื่อนเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน300บาท
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/jXeqRcYHsn/
ช่วงที่ 1 เปิดเทรนด์ไมซ์โลกกับ “ศุภวรรณ
ตีระรัตน์”รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ชี้เป้าปี’66 ไมซ์โลกมุ่งสู่ 5 เทรนด์ใหม่ เทรนด์ที่ 1 ตลาดยุโรป 2 กลุ่มใหม่ CIS ตะวันออกกลาง ใช้เงิน 65,000-80,000 บาท/คน/ทริป เทรนด์ที่ 2 ธุรกิจต้องพึ่งพา 3 เรื่องใหญ่
“ข้อมูล-ความยั่งยืน-ความเชื่อมโยงท้องถิ่น” เทรนด์ที่ 3 คู่ค้ามุ่งใช้บริการสถานที่ 3 เรื่อง “ความเท่าเทียม-ความยั่งยืน-นวัตกรรม”
เทรนด์ที่ 4 เครื่องมือประมูลสิทธิ์ดึงงานมาไทยเน้น
3 เรื่อง
“แผนพัฒนาอย่างยั่งยืน-การเดินทางสะดวกเข้าถึงง่าย-มีความพร้อมไมซ์ ซิตี้” และ เทรนด์ที่
5 ติดอาวุธสร้างเศรษฐกิจได้ดีที่สุด
3 ส่วนสำคัญ
“องค์กรรัฐ เอกชนลุกขึ้นมาจัดงาน-ยกมือหนุนทีเส็บ-กระจายรายได้”
ภายใต้ตัวชี้วัดใหม่ 3 อย่าง
กระแสสังคม-เสียงของตัวแทนนานาชาติ-ความสุขจากงาน
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า วางกลยุทธ์ไมซ์ตลาดต่างประเทศตลาดระยะไกลช่วง
3 ปี ระหว่าง 2566-2567
ขณะนี้มี 5 ตลาดหลัก ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ
เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย กับรุกเจาะ เทรนด์แรก ตลาดใหม่ อีก 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 แยกตัวออกจากรัสเซีย ได้แก่ CIS (ลัทเวีย ลิโทเนีย เอสโทเนีย) อุเบกิซสถาน
คาซัคสถาน
เพิ่มจำนวนมากเริ่มจากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภูเก็ตซึ่งมีเที่ยวบินตรง
นำกลุ่มประชุม (meeting)
และเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (incentive) กลุ่มที่
2 ตะวันออกกลาง
ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งรัฐบาลไทยได้ทำสัมพันธ์และสนับสนุนโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์
(Medical Tourism)
รวมทั้งนักเดินทางกลุ่มคุณภาพไมซ์
แนวโน้มตลาดภาพรวมปี 2566 จะมีกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ (corporate)
จัดส่งเสริมกลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัลเข้ามายังเมืองไทยจำนวนหลายกลุ่ม เช่น
กลุ่มขายตรงอย่าง ธุรกิจHerbal Life กับแอมเวย์
จากคาซัคสถาน ธุรกิจประกัน (insurance)
จากฮ่องกง ขนาดกลุ่มละ 3,000-8,000
คน/ทริป ธุรกิจยาเภสัชกรรม มีอินเซนทีฟเติบโตสูงเลือกมาไทยพื้นที่ กรุงเทพฯ
เชียงราย กระบี่ พัทยา ซึ่งมีไมซ์จีนทยอยเข้ามาบ้างแล้ว ส่วนอินเดียเป็นตลาดใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง
การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักเดินทางไมซ์กลุ่มอินเซ็นทีฟจากตลาดต่างประเทศที่มาไทย
เริ่มต้นขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 65,000-80,000 บาท/คน/ทริป
ส่วนตลาดไกลจากยุโรป อเมริกา จะพักค้างคืนนานกว่า 7 วัน/คน/ทริป แล้วเดินทางต่อไปยังประเทศ CLMV
กัมพูชา-สสป.ลาว-เมียนมา-เวียดนาม
ขณะนี้ในตลาดเกิดแรงกระเพื่อมขยายสู่
เทรนด์ที่สอง “บริการใหม่จัดงานไมซ์” 3 เรื่อง ที่ธุรกิจในไทยจะต้องปรับตัวรับ ได้แก่
เรื่องที่ 1 บริษัทขนาดใหญ่หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับ
“ข้อมูล/DATA”
ต้องการใช้เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อนำมาใช้ปรับกลยุทธ์การตลาดทั้งท่องเที่ยวและไมซ์
เรื่องที่ 2 ความยั่งยืน (Sustainable) ซึ่งเป็นผลกระทบจากอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นทุกปี
ทำให้ต้องหันมาใส่ใจดูแล ความยั่งยืนตั้งแต่ฐานรากในชุมชน
ซึ่งมีความหมายต่อเศรษฐกิจ ไฮไลต์คือเรื่องการทำโครงการ “คาร์บอน ฟุตปริ๊นท์”
ขณะนี้ทีเส็บได้นำเครื่องมือวัดอีเวนต์การจัดงานด้วยระบบ Cabonization ทั้งจากการจัดงานประชุม อีเวนต์
และสถานที่จัดประชุม
เรื่องที่ 3 ชุมชนไมซ์ หรือ Community Base MICE โดยใช้กลุ่มนักเดินทางคุณภาพวางแผนร่วมกับชุมชนเพื่อดึงดูดกลุ่มไมซ์ที่มีกำลังใช้จ่ายเงินสูง
โดยเฉพาะกลุ่มตลาดมิลเลนเนียล กับ Gen X ให้ความสนใจเรื่องราวของปราชญ์ชาวบ้าน
(Local Wisdom)
ทำให้เกิดความประทับใจ ช่วยสร้างความสนใจและเมืองให้มีจุดขายเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันทางทีเส็บได้ออกแบบ 7 ธีม
ไมซ์ ปี 2566 เพิ่มธีมที่ 8 คือไมซ์เพื่อสุขภาพ (Health and
Wellness) เนื่องจากหลังโควิด-19
ซึ่งคนทั่วโลกหันมาดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรซึ่งไทยมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่พอสมควร
จึงมีกระแสตอบรับค่อนข้างดี โดยมีเส้นทางการขาย ในภาคอีสาน ภาคเหนือ
พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
ผนวกกับไทยกำลังประมูลสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ Expo 2028 ก็เน้นธีม Health and Wellness ที่ภูเก็ตด้วยเช่นกัน
การทำกิจกรรมประชุมกลางแจ้ง
สร้างทีมบิลดิ้ง ทำซีเอสอาร์ ซึ่งเป็นแกนกลางสำคัญขององค์กรขนาดใหญ่
โดยเลือกใช้สินค้าเดิม 7 Theme MICE
ได้แก่ ไมซ์เชิงอาหาร
(Gastronomy)
ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ทะเล การผจญภัย ลักชัวรี่ ทีมบิลดิ้ง และซีเอสอาร์
เทรนด์ที่ 3 นวัตกรรมในสถานที่จัดไมซ์ ทีเส็บกำลังให้สอดคล้องกับความต้องการตามเทรนด์โลกที่หันมาสร้างความเท่าเทียมกัน
โดยยกระดับให้เมืองจุดหมายปลายทางไมซ์ (MICE Destination) กับเมืองไมซ์ (MICE City)
ทำให้เกิดการรวมความหลากหลายให้กลายมาอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างเท่าเทียมกัน
แล้วให้บริการครอบคลุมทุกเพศทุกวัย รวมถึงการดูแล ผู้สูงอายุ เด็ก
และผู้บกพร่องทางร่างกาย/คนพิการ
เทรนด์ที่
4 เครื่องมือที่จะนำไปใช้ประมูลสิทธิ์งานไมซ์”
เนื่องจากปัจจุบันทางผู้จัดงานแต่ละประเทศจะสอบถามถึงพื้นที่ในแต่ละประเทศมีความพร้อมครบ
3 เรื่องหรือไม่ ได้แก่ 1.จะต้องมีแผนพัฒนาความยั่งยืน 2.ความเท่าเทียมกัน 3.นวัตกรรม
ซึ่งคนทั่วโลกหันมาใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยี
ทีเส็บเองได้สร้างแพลตฟอร์มขึ้นด้วยเช่นกัน คือ Thai Mice Connect เพื่อโฟกัสการทำออนไลน์ในระบบนิเวศน์ไมซ์มากขึ้น
พร้อมกับเปิดตัวแคมเปญไมซ์ในประเทศโครงการ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย”
เริ่มต้นเดือนเมษายน 2566
แนวโน้มจะมีองค์กรร่วมโครงการจัดงานภายในจังหวัดและข้ามจังหวัดไม่น้อยกว่า 1,000
กลุ่ม
เข้ามาใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวเสิร์ซหาข้อมูลหาจังหวัด สถานที่จัดงาน และ 7 ธีมไมซ์
เพื่อหาพาร์ทเนอร์ให้กับผู้จัดงานซึ่งมีคนลงทะเบียนอยู่ในแพลตฟอร์มนี้กว่า 10,000
ราย เกิดการจัดการทางการค้า (transactions) ของหน่วยงาน องค์กร มูลนิธิ ขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า
2,000-3,000 รายการ
อนาคตอีกระยะ
2-3 ปีหน้า ประเมินตัวแปรที่จะมีส่งผลต่อการเติบโตตลาดไมซ์ของไทย
ประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่
ปัจจัยที่ 1 สภาพภูมิอากาศโลก โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM
2.5 และหมอกควันทางภาคเหนือ
มีคำถามจากคู่ค้าอยู่เป็นระยะ ๆ
ปัจจัยที่ 2 ความสะดวกในการเดินทางและการเข้าถึงสถานที่จัดงานจะต้องครบองค์ประกอบจึงจะได้รับการพิจารณา
ดังนั้นทีเส็บจึงต้องการให้สายการบินแห่งชาติอย่างการบินไทย
เปิดเที่ยวบินตรงเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากขึ้น รองรับสถานการณ์เดินทางปกติ
ซึ่งจะเริ่มเติบโตมากขึ้นตามลำดับ
ปัจจัยที่ 3 การสร้างความพร้อมเมืองไมซ์ MICE CITY ของไทยมีอยู่ 10 เมือง (จังหวัด)
แต่จะต้องขยายเพิ่มด้วยมาตฐานให้เป็นไปตามเกณฑ์สากล
แข่งขันกับอีกหลายประเทศเดินหน้าไปไกลมากแล้ว เช่น เกาหลี และอีกหลายประเทศ
เทรนด์ที่ 5 การมีส่วนร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด มากกว่าการซื้อสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์
จะต้องปรับแนวทางใหม่ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่
1
หน่วยงานหรือองค์กรควรจะตื่นตัวจัดการประชุมในองค์กร การจัดอีเวนต์ การจัดงานไมซ์
การแสดงสินค้าแต่ละภูมิภาค
เป็นส่วนประกอบการสำคัญที่จะสร้างพื้นที่ทางการตลาดในภูมิภาคให้มากที่สุด
ส่วนที่ 2 สมาคม หน่วยงานภาครัฐ
ต้องช่วยกันยกมือเพื่อสนับสนุนทีเส็บไปประมูลสิทธิ์นำงานไมซ์จากตลาดนานาชาติมาจัดในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น
ส่วนที่ 3
การกระจายรายได้สู่ชุมชนทุกคนควรจะต้องหันมาให้น้ำหนักการจัดงานแบบยั่งยืน
ทำให้เกิดนวัตกรรมไมซ์ ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกไม่ได้วัดเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic
impact)
เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังได้เพิ่มใหม่อีก 3 ตัวชี้วัดใหม่ คือ 1.ผลกระทบทางสังคมด้วย (Social impact) 2.กลุ่มตัวแทนนานาชาติ
(Nation Legacy) และ 3.ความสุขในการจัดงาน ควบคู่ไปด้วยกันทั้งหมด
นางศุภวรรรณ ย้ำว่า
ทั้งขณะนี้และอนาคตอุตสาหกรรมไมซ์ของโลกกำลังมุ่งสู่ 5 เทรนด์ใหม่
ซึ่งเป็นสัญญาณส่งถึงผู้ประกอบการไมซ์ในเมืองไทยต้องตื่นตัวเตรียมความพร้อมให้ได้เร็วที่สุด
จะได้ก้าวสู่เป้าหมายในฐานะผู้นำไมซ์อาเซียนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างสง่างาม
คิงเพาเวอร์ชวนช้อปดิวตี้ฟรีรับซัมเมอร์น้ำหอม4แบรนด์ดัง8กลิ่นฮ็อต
คิง เพาเวอร์ “SUMMER EXPLORATION” EXPLORING NEW POSSIBILITIES ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้ ชวนนักเดินทางตะลอนช้อปปิ้งก่อนออกท่องเที่ยว
ให้กรุ่นกลิ่นกายหอมฟุ้งไปกับน้ำหอมยอดนิยมที่มัดรวมมาให้เลือกช้อปกันที่ คิง
เพาเวอร์ ทุกสาขา กับสินค้าดังระดับโลก 4 แบรนด์ 8 กลิ่นยอดนิยม ดังนี้
แบรนด์ที่ 1 Jean Paul
Gaulitier เลือกสรรน้ำหอม 2 กลิ่น
กลิ่นแรก Jean Paul Gaulitier LE BEAU LE PARFUM มาในโทนวู้ดดี้
และอำพัน กับความน่าดึงดูชวนหลงใหล และพลังแห่งการยั่วยวน
แฝงความเซ็กซี่และซ่อนเร้นความลับ ผสานกลิ่นหอมของไม้จันทน์ อำพันทะเล
(แอมเบอร์กริส) เป็นกลิ่นหอมที่เปรียบเสมือนผลไม้ในสวนต้องห้าม
ที่ดึงดูดความสนใจให้กล้าลองฉีกกฎเพื่อลิ้มลอง
กลิ่นที่ 2 Jean Paul Gaulitier SO SCANDAL EAU DE PARFUM กลิ่นหอมที่จะเผยให้คุณผู้หญิงดูเซ็กซี่ ชั้นสูง กล้าแบบสุดๆ
และเย้ายวนในแบบของ Jean Paul Gaulitier ทำอะไรที่เกินคาดเดา
กลิ่นหอมของดอกส้ม มะลิ และซ่อนกลิ่นจะช่วยขับเสน่ห์ของหญิงสาวให้เพิ่มขึ้น
ติดทนนานทั้งบนเสื้อผ้าและผิวกาย
แบรนด์ที่ 2 PRADA ไม่ควรพลาดทั้งชายและหญิง กับ 2 กลิ่น
กลิ่นแรก PRADA LUNA
ROSSA OCEAN EAU DE TOILETTE น้ำหอมกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนีโอเฟรชสำหรับหนุ่มๆ
ที่เสมือนเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ แนวกลิ่น Oriental Woody ผสานกลิ่นหอมชวนหลงใหลของมะกรูด
ตัดกับความซับซ้อนของกลิ่นหญ้าแฝก และความงดงามของกลิ่นไอริสและซิตรัส
ปิดท้ายที่ลาเวนเดอร์ ให้ความรู้สึก
สดชื่นสะอาด มาดเข้ม อบอุ่น ชวนลุ่มหลงกับกลิ่นนุ่มลึกในแบบธรรมชาติ
กลิ่นที่ 2 PRADA PARADOXE EAU DE PARFUM สำหรับหญิงสาวฉบับ PRADA สะดุดตากับการปรับเปลี่ยนขวดน้ำหอมจากเดิม
ให้เป็นขวดที่มีความเรียบง่ายและหรูหรา แรงบันดาลใจจากโลโก้รูปสามเหลี่ยม PRADA อันเป็นเอกลักษณ์
ให้สามารถวางด้านข้างได้ดูแข็งแกร่งมั่นคงทันสมัย ผสานกลิ่นหอมของดอกไม้และอำพัน
ทั้งสารสกัดจากดอกส้มตูมธรรมชาติ เพื่อกักเก็บความสดใหม่ของดอกไม้ และ Amber from
Sugar Cane อำพันที่สกัดโดยเทคนิคเฉพาะทำให้ได้ส่วนผสมจากธรรมชาติ
ให้ความรู้สึกอบอุ่น และกลิ่นมัสก์ที่บางๆแต่ชัดเจน
แบรนด์ที่ 3 ISSEY MIYAKE ส่งความหอมให้เลือกช้อปตามชอบ 2 กลิ่น
กลิ่นแรก ISSEY MIYAKE A DROP D'ISSEY EAU DE PARFUM หอมดั่งคำเชิญชวนให้สำรวจโลกใบเดิมด้วยมุมมองใหม่ๆ
เพื่อค้นพบความงดงามในธรรมชาติ กลิ่นหอมของดอกไลแลกและมัสก์
ผสานกับกลิ่นนมอัลมอนด์ ให้ความรู้สึกลึกลับชวนฉงน
กลิ่นที่ 2 ISSEY MIYAKE A DROP D'ISSEY FRAICHE EAU DE PARFUM กลิ่นสัมผัสความหอมแบบธรรมชาติ
ชวนให้ทุกคนนึกถึงการเดินทางของหยาดฝนยามตกจากฟ้าผ่านดอกไม้
ต้นไม้ใบหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้รู้สึกตื่นตัวกระตุ้นประสาทสัมผัส กลิ่นหอมของ A
DROP D'ISSEY FRAICHE
มีความต่างจากน้ำหอมทั่วไปตรงที่มีความเป็นธรรมชาติทว่าแฝงความซับซ้อนแต่ยังคงเข้าถึงได้ง่าย
น้ำหอมทั้ง 2 กลิ่น ถูกบรรจุในขวดรูปทรงหยดน้ำ
ที่นำหยดน้ำมาทับซ้อนกันบนบรรจุภัณฑ์รูปทรงหยดน้ำ
ประหนึ่งเป็นแว่นขยายที่ทำให้การมองภาพผ่านขวดมีความแปลกตาต่างจากเดิม
ปรับเปลี่ยนไปตามองศาที่มองผ่านขวด
แบรนด์ที่ 4 NARCISO RODRIGUEZ
ที่สาวๆไม่ควรพลาดอีก 2 กลิ่นมาแรง
กลิ่นแรก NARCISO
RODRIGUEZ NARCISO CRISTAL EAU DE PARFUM น้ำหอมที่อุทิศให้กับความเป็นประกายสดใสของหญิงสาว
ที่เปล่งประกายราวคริสตัลเจียระไนที่สะท้อนแสงตามธรรมชาติ
กลิ่นหอมละมุนบริสุทธิ์จากมะกรูด ดอกกุหลาบและดอกไม้ขาว ผสานมัสก์และกลิ่นโทนอำพันจากไม้ซีดาร์และแคชเมอรัน
ให้ความรู้สึกดูลึกลับน่าดึงดูด ส่วนชายหนุ่มที่ดูคมเข้ม
กลิ่นที่ 2 แนะนำ NARCISO
RODRIGUEZ FOR HIM BLEU NOIR PARFUM ได้แรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าและความลึกลับยามราตรี
บรรจุในขวดโทนสีน้ำเงินควันบุหรี่ บ่งบอกถึงความเข้มข้นของกลิ่นที่ยังคงกลิ่นมัสก์อันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ไว้
ตัดกับกลิ่นไม้ไซเปรส บลูซีด้าวู้ด และกลิ่นเผ็ดร้อนของกระวาน
พร้อมเพิ่มพลังแห่งความลุ่มหลงด้วยกลิ่นแบบหนังกลับ
ดูเข้มแข็งมีความเป็นชายสง่างาม ผสานกับกลิ่นของดอกไอริสช่วยเติมความหรูหรา
อบอวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์ กลิ่นเอิร์ธตี้ของหญ้า และความหอมหวานของถั่วตองกา
พบกับความหอมละมุนของน้ำหอมแบรนด์ดัง
ที่กรุ่นกลิ่นเย้ายวนตลอดการเดินทาง กับน้ำหอมยอดนิยมที่ คิง เพาเวอร์
คัดสรรมาให้นักเดินทางทุกคนช้อปได้แล้ววันนี้ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา
และภูเก็ต
ข่าวที่ 2 เที่ยวจบแลนดิ้งปุ๊ปช้อปเพิ่มที่คิงเพาเวอร์สุวรรณภูมิส่วนลด+ฟรีเพียบ
เมื่อกลับจากเดินทางในแต่ละทริปจบ แต่ยังช้อปไม่จุใจ
พอเครื่องบินแลนดิ้งถึงเมืองไทยแล้วสามารถช้อปต่อเพิ่มได้อีกที่ “คิง เพาเวอร์
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ”
พบกับบิวตี้ไอเทมลดสูงสุด 10% เมื่อช้อปครบ 7,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ
วันนี้– 30 เมษายน 2566
พร้อมมีเซอร์ไพรส์ !! วันเกิด มอบให้นักเดินทางชาวไทย รับฟรี! คูปองส่วนลด
300 บาท สำหรับการช้อป 1,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ
พิเศษ! หากยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ก็รับไปเลย สถานะสมาชิก คิง เพาเวอร์ NAVY เมื่อช้อปครบ 1,000
บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ตั้งแต่วันนี้– 31 พฤษภาคม 2566
นักเดินทางห้ามพลาด!
เดินทางร้อนนี้ ช้อปได้ทุกที่ เป็นไปได้ทุกไลฟ์สไตล์ ที่ คิง เพาเวอร์
1.ช้อป คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต
ได้ภายใน- 17 เมษายน 2566
2.ช้อป คิง เพาเวอร์ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง
เชียงใหม่ หาดใหญ่ และภูเก็ต วันนี้- 30 เมษายน 2566
3.ช้อป คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ออนไลน์
รับของง่ายได้ทั้งขาเข้า – ขาออก วันนี้- 30 เมษายน 2566
ข่าวที่
3 ททท.จัดสงกรานต์ทำเศรษฐกิจทั่วไทยคึกคักโกยรายได้ 1.85 หมื่นล้าน
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร
ผู้ว่าการ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์เป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ถือเป็นหนึ่งใน Soft Power (5F)
คือ F-Festival ที่แข็งแกร่ง ทั่วโลกให้การยอมรับจึงอยู่ระหว่างเสนอให้พิจารณาเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
หรือ Intangible
Cultural Heritage ชิ้นที่ 4 ของไทย ต่อจาก โขน นวดไทย และโนรา โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)
ตลอดเทศกาลสงกรานต์ 2566 ททท.คาดการท่องเที่ยวในประเทศจะคึกคักมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาทำให้เกิดรายได้รวม
18,530 ล้านบาท แบ่งเป็น “นักท่องเที่ยวในประเทศ”
มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทยท่องเที่ยว
3,808,500 คน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียน 13,500 ล้านบาท
ส่วน
“ต่างชาติ” เข้ามาเที่ยวไทย 305,000 คน ฟื้นตัวกลับมาจากปีปกติ 2562 ได้ตามเป้า 60 % สร้างรายได้ 5,030 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว
4 ตลาดหลัก ได้แก่
ประเทศระยะใกล้
ได้แก่ 1.กลุ่มอาเซียน 2.ประเทศรอยต่อชายแดนไทย
ทั้งมาเลเซีย และ สปป.ลาว เดินทางข้ามแดนมาร่วมกิจกรรมสงกรานต์คึกคัก
เช่น งาน Hatyai Midnight Songkran อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา งาน Udon
Songkran Festival จ.อุดรธานี 3.เอเชียตะวันออกกับเอเชียใต้ อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และระยะไกล 4.ยุโรป จาก ฝรั่งเศส รัสเซีย
ปี 2566 ททท.ได้ขับเคลื่อนปีท่องเที่ยวไทย ผลักดันเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและความหมายแก่นักท่องเที่ยวในทุกการออกเดินทาง (Meaningful Travel)
ททท. พร้อมกับต่อยอดประชาสัมพันธ์ประเพณีสงกรานต์ จัดงานเทศกาล “เย็นทั่วหล้า
มหาสงกรานต์” เมื่อ 13-15 เมษายน 2566 ณ ซอยจุฬาลงกรณ์ 5 (ถนนอุทยาน 100 ปี) กรุงเทพมหานคร โดยมุ่งนำเสนออัตลักษณ์แห่งวิถี รากเหง้า
และคุณค่าความเป็นไทย ผ่านประเพณีสงกรานต์ 5 ภูมิภาค
เพื่อส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ มุมมองที่แตกต่าง ดึงท่องเที่ยวจริงเข้าพื้นที่
ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และเป็นเครื่องมือพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ
แล้วยังได้ร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ไทยต่อไปด้วย
พร้อมกับจัด
“เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” ประจำปี 2566 ททท. จัดภายใต้คอนเซปต์ “Defining Your Thainess” นำเสนอประเพณีสงกรานต์แตกต่างกันตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น 5 ภูมิภาค
ประกอบด้วย
ภาคเหนือ ชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งล้านนา
นำเสนอการสาธิตประดิษฐ์ “ตุง” ใช้วิธี “การตานตุง”
นำไปปักบนเจดีย์ทรายและถวายเป็นพุทธบูชาในวันสุดท้ายเทศกาลสงกรานต์ และชวนทำ
“น้ำส้มป่อย” เพื่อใช้ในพิธีรดน้ำดำหัว
ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามความเชื่อของชาวเหนือ
ภาคกลาง ชวนดับร้อนด้วยเมนูอาหารสุดชื่นใจ
“ข้าวแช่” ที่มีต้นกำเนิดจากประเพณีสงกรานต์ชาวมอญ สมัยโบราณนิยมรับประทานข้าวแช่ช่วงฤดูร้อนตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ของทุกปี
ภาคอีสาน พาเรียนรู้
“ประเพณีเสียเคราะห์” หรือสะเดาเคราะห์ พิธีกรรมจากความเชื่อระหว่างพุทธและพราหมณ์
ศรัทธาในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ภูตผี ปีศาจ เทวดา
ว่าจะช่วยปัดเป่าคลายความกังวล โรคภัยไข้เจ็บ ให้กลับมาแข็งแรง พ้นเคราะห์พ้นโศกได้
ภาคตะวันออก นำเสนอประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือก
ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ประเพณีของชาวไผ่ดำ
อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา
สำหรับการก่อเจดีย์ทรายข้าวเปลือกเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ภาคใต้ นำเสนอพีธีแห่นางดาน
หนึ่งในอัตลักษณ์สงกรานต์ภาคใต้ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์จะเป็นช่วงเวลาแห่งการผลัดเปลี่ยนเทวดา
ผู้รักษาดวงชะตาบ้านเมือง ตามความเชื่อศาสนาพราหมณ์
ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น
ๆ ให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ประเพณีไทย
อาทิ กิจกรรมสรงน้ำพระเพื่อขอพรเสริมสิริมงคลในช่วงปีใหม่ไทย
ชมการแสดงเชิงวัฒนธรรมจาก 5 ภูมิภาค
กิจกรรม DIY และอิ่มอร่อยไปกับอาหารจากชุมชนท้องถิ่น
เป็นต้น และพิเศษสุดผู้เข้าร่วมงานที่สะสมตราประทับจากกิจกรรมครบ 5 ภูมิภาค ททท.ให้ร่วมสนุกแลกรับของที่ระลึกสุดพิเศษกลับบ้านไปด้วย
ข่าวที่ 4 “บางจาก”แจ้ง2ข่าวดีมติอนุมัติซื้อหุ้นเอสโซ่65.99%-แจกสนั่นปันผล2.50บาท/หุ้น
นายชัยวัฒน์
โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในรูปแบบไฮบริด ซึ่งสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทุกวาระการนำเสนอประชุมพิจารณาอนุมัติ
ประกอบด้วยวาระสำคัญเรื่อง
“การพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน)” หรือ ESSO จากบริษัท
ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd จำนวน
2,283,750,000
หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 65.99 %
โดยมีรายละเอียดการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นรายย่อย 1,177,108,000 หุ้น หรือ 34.01%
ของหุ้นสามัญที่ออกและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ ESSO ในราคาเดียวกันกับราคาซื้อหุ้นสามัญ ESSO
จาก ExxonMobil Asia Holdings
Pte. Ltd. ด้วยคะแนนเสียง
797,134,359
คะแนน หรือคิดเป็น 99.8583%
ของจำนวนเสียงผู้ที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยบริษัทฯ
จะดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ต่อไป คาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งหลังของปี
2566
ตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า
การเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้เมื่อแล้วเสร็จจะต่อยอดธุรกิจกลุ่มบริษัทบางจาก ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญกับผู้บริโภค
ชุมชนและสิ่งแวดล้อม สามารถทำให้เกิดผลดีถึง 4
ส่วน
ได้แก่ 1.ประหยัดต่อขนาดการลดต้นทุนทางธุรกรรม 2.ส่งต่อผลประโยชน์ดังกล่าวให้ผู้บริโภคดังที่เคยเป็นมาในช่วงน้ำมันราคาสูงเมื่อ
2
ปีที่ผ่านมา 3.สถานีบริการที่เพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง
“แบรนด์บางจาก” ได้ง่ายขึ้น 4.ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศหลายด้าน
โดยเฉพาะการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
“ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกคนที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนบางจากฯ
อย่างดีในการลงทุนครั้งนี้ ทางคณะกรรมการ
ผู้บริหารและพนักงานทุกคนยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯ
ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจทุกภาคส่วนต่อไป”นายชัยวัฒน์กล่าว
รวมถึงที่ประชุมได้อนุมัติจัดสรรกำไรเพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี
2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ
1.00 บาท
เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกปี 2565 ในอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น
จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้บางจากฯ ได้จัดการประชุมไฮบริด
ขึ้นเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2566 ที่ห้องประชุมใบไม้ อาคารเอ็ม ทาวเวอร์
สำนักงานใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ข่าวที่ 5 TCEB ชี้เป้าธุรกิจไมซ์เลือกใช้Chat GPTดีไซน์อีเวนต์เพิ่มยอดธุรกิจ
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” แนะนำผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไมซ์ทั่วไทย
มาทำความรู้จักกับการใช้เทคโนโลยี “แชทบอทอัจฉริยะ หรือ ChatGPT” เครื่องมือที่เชี่ยวชาญด้านการสนทนาสามารถสื่อสารผ่านข้อความกับมนุษย์ได้
ตอบโจทย์กับทุกคำถามหรือข้อสงสัยได้อย่างครอบคลุม
โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 เป็นมาของ ‘ChatGPT’ ทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ChatGPT
ในการมอบประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ใช้งาน ด้วยระบบซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย
ทั้งการสื่อสาร ตอบคำถาม วิเคราะห์ข้อมูลได้ เป็นตัวช่วยในการรวบรวม
และให้ข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อยอดให้ธุรกิจของผู้ประกอบการไมซ์ ผู้เข้าร่วมงาน
และนักเดินทางไมซ์ ด้วยการให้ข้อมูลและบริการอย่างครบวงจร
ซึ่งทาง Traveland บริษัทเอเจนซี่ท่องเที่ยว สหรัฐอเมริกา ถาม ChatGPT
เกี่ยวกับโปรแกรมท่องเที่ยวที่แคว้นทัสคานี อิตาลี ผลลัพท์คือ ChatGPT
ให้ข้อมูลกิจกรรมมา 14 รายการ
รวมถึงทัวร์โรงกลั่นไวน์และการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ “ChatGPT” ช่วยให้ไม่ต้องยุ่งยากในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและสามารถส่งอีเมล์ถึงลูกค้าได้เลย
ทำให้ถึง การทำงานของ “ChatGPT” ซึ่งผู้ประกอบการไมซ์สามารถกำหนดรูปแบบการจัดงาน
กิจกรรม หรือจุดหมายปลายทางอย่างหลากหลายได้ ด้วย “ChatGPT” หรือนำมาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยี
Interactive Kiosk (เครื่องให้บริการอัตโนมัติ)
เพื่อออกแบบกิจกรรมไมซ์ กระตุ้นการมีส่วนร่วมอันเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะพิชิตใจผู้เข้าร่วมงาน
และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
การใช้งาน ChatGPT จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ประกอบการไมซ์
ด้วยความสามารถครอบคลุม สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้ทันที
โปรแกรมนี้จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง และอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
ช่วงที่ 2 เที่ยวทั่วไทยด้วยการใช้
“สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์” กับข้อแนะนำตามเดินทางแบบง่าย สะดวกสบาย 6 ขั้นตอน เที่ยวสนุกทั่วเมืองไทยได้ทุกวัน แล้วฟังด่วน “8อาหารกินง่ายสบายท้อง” ปลอดภัยในหน้าร้อน และข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก
“ซีไลฟ์แบงคอก” ปรับโฉมเที่ยวป่าดิบชื้นใจกลางกรุงกับกิจกรรมใหม่ 4 โซนย่อย ข่าวที่สอง “รมว.พิพัฒน์ ปรับใหม่เก็บค่าเหยียบแผ่นดินต่างชาติ 300
บาท” เลื่อนเป็น 1 ก.ย.66 และเปลี่ยนช่องทางหันไปใช้ VAT Refund
ท่องเที่ยว – นั่งรถไฟไป-กลับที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์เที่ยวทั่วไทยง่ายๆ 6 ขั้นตอน
ทุกการเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวทั่วเมืองไทย
โดยใช้ “สถานีรถไฟกลางกรุงเทพอภิวัฒน์” ด้วยวิธีง่าย ๆ แบบแม่น ๆ เที่ยวสนุก
ได้ทุกวันตามแผนงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.)ได้ด้วย 6 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 ซื้อตั๋วรถไฟได้ที่ประตู
4 และ ประตู 13 หรือซื้อผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสะดวกรวดเร็ว
คลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.dticket.railway.co.th จากนั้นต้อเลือก “สถานีต้นทาง” ในตั๋วโดยสารให้ชัดเจน
ระหว่างสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) หรือ สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อเดินทางถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ให้มุ่งหน้าไปยังทางเข้าประตู 4 หรือ 5 จะเป็นศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวก
ร้านอาหาร ห้องจำหน่ายตั๋ว และพื้นที่รอคอยหลักอยู่บริเวณประตู 4 ที่สำคัญผู้โดยสารควรจะเดินทางมาถึงสถานีก่อนเวลารถไฟออก อย่างน้อย 30
นาที
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเข้ามาพื้นที่จุดพักคอยในชานชาลาเรียบร้อยแล้ว จะมีจุดนั่งรอรถไฟเข้าจอดบนชานชาลาผู้โดยสาร แบ่งเป็น 2 โซน ดูให้แม่น ๆ ดังนี้
โซนแรก มีบริการที่พัก ชานชาลาที่ 1
และ 2 ให้บริการ รถไฟสายเหนือ 7 จังหวัด 7 สถานี และรถไฟสายอีสาน 8 จังหวัด 9 สถานี ดังนี้
ชานชาลาที่ 1 รถไฟสายเหนือ มุ่งหน้าสู่ เชียงใหม่ เด่นชัย (ลำปาง) พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์
ลพบุรี และอยุธยา
ชานชาลาที่ 2 รถไปสายอีสาน มุ่งหน้าสู่ หนองคาย
อุดรธานี ขอนแก่น โคราช/นครราชสีมา อุบลราชธานี ศรีษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ แก่งคอย
และสระบุรี
โซนที่สอง ชานชาลา 7 และ 8 ให้บริการ “รถไฟสายใต้” 10 จังหวัด 13 สถานี มุ่งหน้า นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี
หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช ทุ่งสง สุราษฎร์ธานี ตรัง พัทลุง หาดใหญ่/สงขลา
ปาดังเบซาร์ (ติดด่านสะเดา จ.สงขลา ของไทย รอยต่อมาเลเซีย)
ขั้นตอนที่ 4 รอฟังทางเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นไปยังแต่ละชานชาลา ก่อนเวลารถไฟแต่ละขบวนจะออกเดินทาง 20 นาที โดยจะเรียกเข้าแถวตอนยาว 2 แถว ตรงบริเวณจุดแยกผู้โดยสาร ด้วยวิธีแยกตามเลขตู้โดยสาร ที่ระบุอยู่ในตั๋วโดยสารของแต่ละคน
เริ่มจาก “หัวขบวน” ให้ขึ้นบันไดเลื่อนด้านขวามือ
ส่วน “ท้ายขบวน” จะขึ้นบันไดเลื่อนด้านซ้ายมือ
ดังนั้นก่อนรถไฟจะออกเดินทาง 20 นาที แนะนำผู้โดยสารตั้งใจฟัง “เลขตู้โดยสาร”จากทางเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง
หากผู้โดยสาร “ที่มีสัมภาระ” แล้วต้องการความช่วยเหลือ
อนุญาตให้มีผู้ติดตามใปส่งได้ไม่เกิน 1
คน เท่านั้น
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อขึ้นไปชั้น ชานชาลาแล้ว ทุกครั้งจะต้อง
“ดูป้าย” เส้นทาง และ “เลขตู้โดยสารข้างขบวน” ให้ชัดเจน ก่อนขึ้นขบวนรถไฟสู่จุดหมายปลายทาง
ขั้นตอนที่ 6 การรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) ยืนยันเมื่อย้ายมาให้บริการที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์แล้ว รถไฟทุกขบวนจะออกเดินทางจากสถานีตามเวลาที่กำหนดทุกเส้นทาง
หากผู้โดยสารต้องการคำตอบอย่างครบถ้วน
สอบถามข้อมูลรายละเอียดการเดินทางได้จากเจ้าหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งประจำอยู่ภายในสถานี
และที่จุดประชาสัมพันธ์ บริเวณ ประตู 1
และ 4 พร้อมทั้งติดตามทุกรายละเอียดได้ผ่าน 6
ช่องทางดังนี้
1.Youtube การรถไฟแห่งประเทศไทย
OFFICIAL(red arrow right) https://youtu.be/nLVZuM9jFEw
2.Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
(red arrow right) https://fb.watch/jQNnt5rEOH/
3.สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์
Krung Thep Aphiwat Central Terminal https://fb.watch/jQNjY4Vo17/
4.INSTAGRAM SRT OFFICIAL https://www.instagram.com/reel/Cq4yn2ypejJ/?igshid=YmMyMTA2M2Y=
5.Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT
(red arrow
right)https://twitter.com/pr_srt/status/1645691285951623170?s=46&t=V_q6JmEIpE8z9fsPEbzgVA
6.TIKTOK @PR_SRT (red arrow
right)https://vt.tiktok.com/ZS8nMkFc6/
สำหรับสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ย้ายจากหัวลำโพงมาเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่
19 มกราคม 2566 มาเป็นต้นมา
สุขภาพ -8อาหารกินแล้วช่วยย่อยง่ายสบายท้องกินลดอันตรายหน้าร้อน
ทุกครั้งหากรับประทานอาหารอร่อย
ๆ เข้าไปในปริมาณมากจนทำให้เกิด อาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
ซึ่งปัญหาเหล่านี้กลายเป็นความหนักใจได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอาหารไม่ย่อยส่วนใหญ่นั้นเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปและสามารถหายได้ง่ายๆ
แต่หากมีอาการคลื่นไส้ ร่วมกับเหงื่อออก หรือมีอาการแน่นหน้าอก หรือถ้ามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง
จึงขอแนะนำของกินที่ช่วยย่อย
กินง่าย สบายท้อง 8 ชนิด ได้แก่
1.มะละกอ
-ในมะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเองสามารถช่วยย่อยอาหารที่กินเข้าไปได้
อีกทั้งในมะละกอยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ
ที่ร่างกายย่อยไม่หมดมากับการขับถ่าย ส่งผลให้อาการแน่นท้อง ท้องอืด
และอาการอาหารไม่ย่อยบรรเทาลงได้
2.มะเขือเทศ - มีสรรพคุณช่วยลดอาการท้องอืด แน่นท้องได้เหมือนกัน
เพราะมะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย
สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการท้องป่องจากภาวะบวมน้ำ สามารถทานได้ทั้งสดและน้ำ
3.ชาใบกระเพรา -เพียงแค่ใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำเดือด
จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม
หรือใช้ใบกะเพราตากแห้งมาชงน้ำร้อนดื่มก็ช่วยได้เช่นกัน
4.สัปปะรด -หลังทานอาหารเสร็จลองทานสับปะรดตามไปสัก 2-3 ชิ้นขนาดกลาง ๆ
หรือจะดื่มน้ำสับปะรดปั่นสักครึ่งผลก็สามารถช่วยให้สบายท้อง
เพราะในสับปะรดมีเอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) มีฤทธิ์ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง
ทำให้ร่างกายย่อยเนื้อสัตว์ดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น
อีกทั้งเอนไซม์ในสับปะรดยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร
และสมานแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
5.แตงกวา - มีไฟเบอร์ที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร
ส่งผลให้อาหารทีทานเข้าไปจะถูกย่อยเร็วขึ้น
นอกจากนี้น้ำจากแตงกวายังจะช่วยร่างกายขับโซเดียม โดยจะกินแตงกวาแกล้มอาหาร
หรือจะนำแตงกวาไปปั่นเป็นสมูทตี้ผสมน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติก็ได้
6.กล้วย -เป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง
มีสรรพคุณช่วยลดอาการบวมน้ำด้วยวิธีลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย
อีกทั้งไฟเบอร์จากกล้วยยังช่วยแก้อาการท้องผูกได้ด้วย ดังนั้นคนที่มีอาการท้องอืด
อาหารไม่ย่อย ร่วมกับอาการท้องผูกด้วย กินกล้วยก็ช่วยได้หมดทุกปัญหา
7.ชาคาโมมายล์
-สรรพคุณของดอกคาโมมายล์นอกจากช่วยทำให้นอนหลับสบายแล้วยังช่วยเรื่องขับลม
บรรเทาอาการอักเสบและยับยั้งการเกิดแผลในทางเดินอาหาร
เพียงแค่นำมาชงกับน้ำร้อนเท่านี้ก็ช่วยให้ท้องโล่งได้แล้ว
8.พริกไทยดำ - มีคุณสมบัติในการขับลม และแก้ท้องอืด
แค่เพียงโรยพริกไทยดำลงไปในอาหารสักหน่อย แล้วรับประทาน กลิ่นฉุน ๆ
จากพริกไทยดำจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แถมยังช่วยบรรเทาอาการอืดท้องไปพร้อมๆ กัน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก -“ซีไลฟ์
แบงคอก”ปรับโฉมใหม่เที่ยวป่าดิบชื้นกลางกรุง4โซน9สัตว์แปลก
ซีไลฟ์ แบงคอก : SEA LIFE Bangkok รายงานว่า
ได้ปรับโฉมพื้นที่ใหม่เชิญชวนกันมาผจญภัย “สำรวจความมหัศจรรย์สุดมันส์กับป่า Rainforest”
ในบรรยากาศป่าดิบชื้นมีโครงสร้างป่าอันสลับซับซ้อน
4 โซนย่อย เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้น้ำและกลิ่นไอให้ความรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในป่าลึก
ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์
เปิดบริการวันละ 3 รอบ เวลา 12:15 | 14:15 | 16:15 น. ที่ซีไลฟ์ แบงคอก สยาม พารากอน ชั้นบี 1-2 เวลาปกติจะเปิด
10:00-20:00 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 19:00 น.) ซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าได้ทางhttps://www.visitsealife.com/bangkok/
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวพื้นที่ใหม่ 4 โซนย่อย นำทัพด้วยสัตว์แปลกหน้าใหม่กว่า 9 ชนิด เช่น กิ้งก่าชายน้ำ (Sailfin Dragon) มดตะขอเบ็ด
(Fish Hook Ant) เสริมด้วยกิจกรรมใหม่ล่าสุด “Keeper’s
Talk…เรื่องเล่าจากคนดูแลสัตว์” สัมผัสความน่ารักของสัตว์เลื้อยคลานหลากหลายชนิดแบบไม่มีกระจกกั้น
โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยที่ดูแลสัตว์คอยให้ความรู้ทุกวัน เพิ่มประสบการณ์แปลกใหม่ทุกเพศทุกวัย
ทั้งกลุ่มครอบครัว วัยรุ่น หรือเหล่าคนรักสัตว์ มาสนุกกับโฉมใหม่ของโซน Rainforest
ได้อย่างเต็มที่
ช่วงปิดเทอมเหมาะกับที่ “ครอบครัว”
จะพาลูก ๆ มาสัมผัสกับความตื่นเต้นในป่าดิบชื้นจำลอง ส่วน “กลุ่มวัยรุ่น” ก็จะต้องชื่นชอบจุดถ่ายรูปใหม่
ๆ ปรับโฉมใหม่ยกมาไว้กลางเมือง หรือ “กลุ่มคนสนใจสัตว์แปลก หายาก” เช่น กิ้งก่าชายน้ำใกล้สูญพันธุ์
แมงมุมนกยูงสีสันสดใส และอื่น ๆ อีกมากมาย
อเล็กซ์ วอร์ด ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจกรุงเทพฯ แบรนด์ซีไลฟ์ แบงคอก กล่าวว่า ได้แรงบันดาลใจในการรังสรรกิจกรรมป่าดิบชื้น
หรือ Rainforest ซึ่งเป็นป่าที่มีสีเขียวตลอดทั้งปีเพราะต้นไม้จะไม่ผลัดใบเพื่อลดการคายน้ำ
เนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก แล้วยังเป็นบ้านหลังใหญ่ของพันธุ์ไม้และสัตว์กว่าพันชนิด
ปรับตัวได้โดยจำแนกที่อยู่อาศัยตามระดับชั้นความสูงของพื้นที่ป่า
เพื่อให้สามารถอยู่รอดในสภาพอากาศพิเศษของป่าดิบชื้นได้ ด้วยการลงทุนเพิ่ม 4
ส่วนย่อย เริ่มตั้งแต่ ยอดไม้ ไล่ไปจนถึงใต้ผืนน้ำ
ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ใน 4 โซนย่อย
ประกอบด้วย
โซนแรก “Tree Top (ทรี ท็อป)” ได้จำลองชั้นเรือนยอดไม้ (Canopy)
ระดับชั้นสูงสุด
ที่มียอดไม้ขึ้นสูงแข่งกันรับแสงอาทิตย์จากด้านบนอย่างหนาแน่น
ซึ่งเป็นจุดเด่นของป่าดิบชื้น เมื่อเข้าสู่โซนนี้ทุกคนจะสัมผัสถึงหมอกและไอน้ำ
ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่ต้นไม้ชั้นเรือนยอดจะต้องเผชิญโซนนี้ทุกคนจะได้พบกับสัตว์บนต้นไม้อย่าง
1.มดตะขอเบ็ด (Fish Hook Ant) มดพันธุ์หายาก
มักอาศัยอยู่บริเวณต้นไม้แห้งๆ มีจุดเด่นคือตะขอ 2 คู่
โผล่ข้างหลัง ที่เอาไว้จับและตัดเหยื่อ รวมถึงปกป้องตัวอีกด้วย
2.ตะกวดต้นไม้ (Tree Monitor) ตะกวดต้นไม้มีทั้งสีเขียวสดใส
และสีออกเหลือบน้ำเงิน และดำ ลำตัวแบนยาว เพศผู้จะมีหงอนเพื่อใช้ดึงดูดตัวเมีย
3.กบลูกศรพิษสีส้ม (Orange Dart Frog) และ
กบลูกศรพิษสีทอง (Golden Dart Frog) กบมีพิษตัวเล็ก
สีสันฉูดฉาด แต่มีพิษร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตเพียงแค่สัมผัสโดน
โดยเฉพาะกบลูกศรพิษสีทองที่ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
โซนที่สอง “Cave หรือ ถ้ำ” จำลองลักษณะหินงอกหินย้อยเกิดจากลักษณะป่าดิบชื้น ซึ่งเป็นแหล่งหลบภัยและที่พักอาศัยของแมลงแปลกๆ
มากมาย ได้แก่
1.แมลงสาบมาดากัสการ์ (Hissing Cockroach) สัตว์พันธุ์ใหม่ล่าสุดที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรักแมลง
แมลงสาบมาดากัสการ์มีขนาดใหญ่กว่าแมลงสาบอื่นๆ ไม่สามารถบินได้
เป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวเชื่องช้า ไม่มีพิษ ส่งเสียงคล้ายงูขู่ในระหว่างผสมพันธุ์
และเพื่อสื่อสารเตือนภัยกับพวกพ้อง
2.แมงป่องช้าง (Asian Forest Scorpion) มีขนาดใหญ่ถึง 10-12
เซนติเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในแมงป่องที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
มีนิสัยก้าวร้าว ชอบอาศัยในที่มืด
ความพิเศษคือเมื่อส่องแสงอุลตราไวโอเล็ตเปลือกสีดำของมันเรืองแสงสีเขียวออกมา
3.แมงมุมนกยูง (Peacock Tarantula) แมงมุมขนาดจิ๋ว
ตัวผู้จะมีลำตัวสี ฟ้า เหลือง แดง ดำ ขาว เขียว สดใส สามารถแพนหางที่ก้นออกมาคล้ายกับหางนกยูงเพื่อชูและโบกไปดึงดูดตัวเมีย
แมงมุมพันธุ์นี้ถือเป็นยอดนักเต้นที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย
โซนที่สาม อย่าง “Tree Trunk” (ทรี ทรังค์)
หรือชั้นใต้เรือนยอด (Understory) ซึ่งอยู่ในระดับกลางของป่า
นำเสนอระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตในช่วงกลางลำต้นและกิ่งไม้ ที่ได้รับแสงแดดเล็กน้อย
ซึ่งเป็นชั้นที่เหมาะสำหรับการซ่อนตัวของสัตว์ตัวเล็กๆ ในป่า
ในโซนนี้ทุกคนจะได้พบกับไฮไลต์เด็ด ได้แก่
1.กิ้งก่าชายน้ำ (Sailfin
Dragon) หนึ่งในกิ่งก่าพันธุ์หายาก
ที่มีสีสันสวยงามจึงมักถูกมนุษย์ล่าเป็นประจำ ชอบอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำเป็นพิเศษ
2.เต่าเสือดาว (Leopard Tortoise) เต่าบกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ
4 ของโลก มีจุดเด่นเป็นกระดองที่มีลายจุดสีดำคล้ายเสือดาว
โซนที่สี่ “Ground Level (กราวด์ เลเวล)” หรือชั้นพื้นป่า (Forest Floor) ซึ่งอยู่ด้านล่างสุด
รวมไปถึงแหล่งน้ำต่างๆ นี่จึงเป็นพื้นที่ในการอนุบาลต้นไม้ที่เพิ่งเกิด
ในโซนนี้ทุกคนจะได้พบกับ Living Wall กำแพงต้นไม้ที่จะนำเสนอพันธุ์ไม้ป่าที่อุดมสมบูรณ์
ในโซนนี้มีตัวเอก ได้แก่
“งูเหลือม” (Reticulated Python)นำมาจัดแสดงให้ทุกคนได้ชมและศึกษาชีวิตความเป็นอยู่
พร้อมลูกเล่นอินเตอร์แอคทีฟอย่าง Laser Eyes จออินฟาเรดจำลองภาพจากสายตางูสามารถจับรังสีความร้อนที่แผ่ออกมาจากวัตถุได้
เพื่อให้สามารถมองเห็นเหยื่อที่แอบซ่อนตามพุ่มไม้ตอนกลางคืนได้ดี
กิจกรรมใหม่ล่าสุด ทั้ง 4 โซน ย่อย ทางซีไลฟ์ แบงคอก ตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อมอบให้ผู้ชมในทุกกลุ่ม
ร่วมสัมผัสโฉมใหม่กับ “สำรวจความมหัศจรรย์สุดมันส์กับป่า Rainforest” ได้แล้ววันนี้ พร้อมกิจกรรม “Keeper’s Talk…เรื่องเล่าจากคนดูแลสัตว์”
ข่าวที่สอง “รมว.พิพัฒน์”ปรับใหม่เก็บค่าเหยียบแผ่นดิน300บาท“เลื่อน-เปลี่ยนช่องทาง”
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า
ได้พิจารณาการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักเดินทางต่างชาติเข้าเมืองไทยตามมติคณะรัฐมนตรี
(ครม.) หรือค่าเหยียบแผ่นดินคนละ 300 บาท
เปลี่ยนแปลงใหม่รอบแรก 2 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 เลื่อนการจัดเก็บจากเดิมกำหนดจะเก็บวันที่ 1 มิถุนายน
ไปเริ่มวันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป
สาเหตุเพราะไม่สามารถทำระบบรองรับการจัดเก็บได้ทัน
อีกครั้งทางผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มองค์กรสมาคมสายการบินนานาชาติได้ชี้แจงรายละเอียดปัญหาต่าง
ๆ ที่จะมาภายหลังด้วย
เรื่องที่ 2 เปลี่ยนช่องทางการจัดเก็บให้หันมาใช้การทำในรูปแบบการขอคืนภาษี
VAT Refund แทนของเดิมกำหนดให้สายการบินนานาชาติจัดเก็บตั้งแต่ต้นทางจากผู้โดยสารทุกคนที่จองตั๋วเข้าไทย
แล้วทำ VAT Refund เพื่อนำไปคืนให้กับสายการบินต่าง ๆ เนื่องจากเงื่อนไขการจัดเก็บจากนักเดินทางต่างชาติ
มีข้อยกเว้นให้กับนักเดินทางที่ถือหนังสือเดินทางและวีซ่าบางประเภท
แต่ในทางปฏิบัติทางสายการบินไม่สามารถเลือกเก็บหรือไม่เก็บจากผู้โดยสารได้
เพราะการขายตั๋วมีช่องทางหลากหลายทั้งผ่านสำนักงานขายทั่วโลก และระบบดิจิทัล
ออนไลน์ ต่าง ๆ
รวมถึงก่อนหน้านี้ตัวแทนฝ่ายบริหาร 3 สมาคม ได้แก่ 1.สมาคมธุรกิจสายการบินนานาชาติในไทย
หรือ BAR :Broad of Airlines มีสมาชิกอยู่ทั่วโลก
51 สายการบิน 2.สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
(IATA) และ 3.สมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย
ได้ทำหนังสือถึงตนเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อชี้แจงอุปสรรคและปัญหาที่สายการบินนานาชาติไม่สามารถจัดเก็บเงินดังกล่าวให้กับกระทรวงการท่องเที่ยวได้
อีกทั้งยังมองว่าวิธีเลือกเก็บจากผู้โดยสารทั้งเก็บและยกเว้นเป็นการเลือกปฏิบัติอาจสร้างความเหลื่อมลํ้า
ซึ่งขัดกับนโยบายขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( ICAO) ด้วย
นายพิพัฒน์กล่าวว่าขณะนี้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เร่งหาวิธีที่เหมาะสมแล้วนำมาเสนอภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2566 เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่เพื่อการจัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยไม่ขัดแย้งต่อแนวทางปฏิบัติของสายการบิน เท่าที่พอจะเห็นช่องทางคือเก็บผ่านระบบ VAT Refund โดยยังคงให้สายการบินเป็นเจ้าภาพจัดเก็บเงินค่าเหยียบแผ่นดินส่งต่อให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพียงแต่จะปรับรูปแบบการจ่ายเงินคืนกันไปกันมาไปก่อนนั่นเอง
ทั้งนี้ทางสมาคมการบินระหว่างประเทศ ยังคงมีประเด็นที่ไม่สามารถปลดล็อกปัญหาได้ นั่นคือ ปัญหาการ “ส่งข้อมูลนักท่องเที่ยวให้หน่วยงานรัฐ เพื่อใช้ในการทำประกันให้แก่นักท่องเที่ยว” อาจส่งผลขัดกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ดังนั้นจึงจะโอนความรับผิดชอบเรื่องการทำประกันการเดินทางที่จะเก็บจากนักท่องเที่ยวไปให้ทางสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดูแลแทน
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น