เจาะลึกTCEBผ่าโครงสร้างตลาดไมซ์ปี’61
บุกโร้ดโชว์ดึงเมกะอีเวนต์โลกหอบเงินเข้าไทย
คิงเพาเวอร์ลด20%ซื้อสินค้าขาออกรับขาเข้า
ททท.MOUแจ๊คหม่าคัดจีนทัวร์ไทย11ล้าน
บางจากผนึกฮุนได-แบ่งปันเรื่องกาแฟชุมชน
ทอท.ปิด-ซ่อม-ล้างสนามบินภูเก็ต27เม.ย.นี้
สถาบันอาหารจัดเต็มไทยเทสต์27-29เม.ย.
เที่ยวเมืองรองตราดต้องห้ามพลาด 9 เรื่อง
มาดูกันถึงขั้นตอนวิธีกินอย่างไรไม่ให้อ้วน
39โรงแรมในไทยคว้ารางวัลขวัญใจทั่วโลก
สงขลาจ่อตั้งดิวตี้โซนปลุกเขตเศรษฐกิจ
อินเซนทีฟไมซ์โกยเงินนอก2.4หมื่นล้าน
ต้อนรับสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ตามติด “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน.หรือ TCEB” ถึงเวลานำอุตสาหกรรม MICE ออกโรงดันเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ด้วยการพลิกแนวทำการตลาดเป็นโร้ดโชว์เจาะแหลกในตลาดคนรวยทั่วเอเชีย และการเป็นเจ้าภาพจัดเมกะอีเวนต์ในเมืองไทยรายการสุดฮือฮาต้องยกให้ ““เลแทป ไทยแลนด์ บาย เลอ ตูร์เดอ ฟรองส์” พร้อมกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กรเพิ่ม 2 หน่วยขึ้นมาขับเคลื่อนภารกิจ Area Base ไมซ์ ซิตี้ ทั่วไทย
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน.หรือ TCEB” เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งปีหลังวางกลยุทธ์ใช้อุตสาหกรรมไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยเมกะอีเวนต์โดยเลือกจัดทำโรดโชว์เจาะตลาดศักยภาพเปลี่ยนแปลงจากเดิมจะเข้าร่วมเทรดโชว์เป็นหลัก เพื่อทำให้รายได้ไมซ์รวมตลอดปี 2561 หลั่งไหลเข้าประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 200,000 ล้านบาท
การเปลี่ยนมาโหมทำโรดโชว์เจาะตลาดเป้าหมายในต่างประเทศได้ภายใต้แคมเปญ Thailand Connect เมื่อ 27-31 มีนาคม 2561 นำผู้ประกอบการไทยไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เจาะตลาดสัมมนา เอ็กซิบิชั่น เมกะอีเวนต์ กระแสตอบรับดีมาก เพราะทางญี่ปุ่นกำลังเตรียมจัดโอลิมปิกจึงมองหาสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญ อีกทั้งยังได้เชิญชวนนักลงทุนเข้ามาสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) จากนั้นระหว่าง 24-26 พฤษภาคม2561 นี้ จะบุกทำโรดโชว์สาธารณรัฐเกาหลีด้วย เป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ จะสามารถเห็นผลลัพธ์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
อีกทั้งยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายสมาชิกร่วมประมูลชิงงานใหญ่ ๆ เลือกไทยเป็นประเทศจัดงาน ตัวอย่างกิจกรรมกีฬา จะร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในส่วนของธุรกิจ 4.0 ก็จะร่วมกับอีกหลายหน่วยงานภาครัฐดึงงานนวัตกรรมทางเทคโนโลยี 4.0 รายการใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพ
ที่ผ่านมาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประมูลได้งาน “เลแทป ไทยแลนด์ บาย เลอ ตูร์เดอ ฟรองส์” มาจัดที่จังหวัดพังงา ระหว่าง 19-21 ตุลาคม 2561 ซึ่งจะมีนักปั่นจักรยานนานาชาติ กระจายตัวลงสู่เมืองรองพังงาและพ่วงขายกระบี่เข้าไปด้วย เบื้องต้นจะมีงานลักษณะที่มีจำนวนคนจากทั่วโลกเข้าร่วมจำนวนมาก งานจักรยานจะเป็นตัวอย่างเห็นได้ชัดของเมกะอีเวนต์ซึ่งพร้อมใช้จ่ายเงินค่อนข้างสูงจากกว่า 4,000 คน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ทำเงินสะพัดในพื้นที่เมืองรอง 2 จังหวัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และหลังการประชุมร่วมกับคณะทำงานทัวร์ เดอฟรองซ์ ได้เข้ามาวางเส้นทางปั่นจักรยานก็จะบูมขายควบคู่กันไปได้ด้วย
สิ่งที่ สปปน.ใส่เพิ่มเข้าไปในการประมูลเข้ามาจัดในประเทศนั้นแต่ละเมกะอีเวนต์ก็จะจัดต่อเนื่องต่อไปอีก 2-3 ปี ทางจังหวัดที่ได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดเมกะอีเวนต์ก็จะได้เรียนรู้พฤติกรรมนักเดินทาง สามารถดึงเงินจากผู้เข้าร่วมงานได้หลายช่องทาง
นายจิรุตถ์กล่าวว่าการเพิ่มความเข้มข้นของการทำ AREA BASE ตามนโยบายของรัฐบาลมุ่งให้ใช้ความต้องการของพื้นที่เป็นตัวตั้งแล้วขยายผลนำตลาดและรายได้เข้าไปให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่นั้น ๆ ทาง สสปน.จะใช้พื้นที่หลักการพัฒนาพื้นที่เมืองจัดประชุมในประเทศ 5 ไมซ์ ซิตี้ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ต่อยอด โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ทั้งการจัดนิทรรศการแสดง ประชุมนานาชาติ แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปจะต้องวางกลยุทธ์ทำให้การจัดประชุมนานาชาติ และนิทรรศการแสดงสากล กระจายตัวไปจัดในพื้นที่ต่างจังหวัดตามไมซ์ ซิตี้
ขณะนี้ทาง สสปน.ได้ปรับโครงสร้างการทำงานจัดตั้ง “ฝ่าย Area Base” เพื่อเป็นหน่วยขับเคลื่อนกระจายอีเวนต์ไปจัดในพัทยา+ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต อีกทั้งทุกจังหวัดเองก็ตื่นตัวอยากจะยกระดับจังหวัดเป็น ไมซ์ ซิตี้ กันทั่วประเทศ ดังนั้นจึงต้องทำโครงสร้างมาตรฐานพื้นที่ที่จะประกาศเป็นไมซ์ ซิตี้ โดยมีฝ่าย MICE CAPIBILITY เข้ามาพัฒนามาตรฐานพื้นที่อย่างเป็นระบบช่วยเข้าไปดูแลพื้นที่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ชุมชน เกี่ยวกับตลาด บุคลากร วิชาการ ปี 2562 จะเห็นภาพชัดเจนคือ เชียงใหม่ กับพัทยา จะต้องเห็นภาพไมซ์ ซิตี้ เต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันในการเดินทางไปทำโรดโชว์ต่างประเทศก็โหมโปรโมตทั้ง 2 จังหวัด
ล่าสุดมีงานคอนเฟอร์เรนซ์ การประชุม “มะเร็งวิทยา” ระดับภูมิภาคเอเชีย ให้ไปจัดที่เชียงใหม่ประมาณ 500 คน หรือจะเป็นงานเอ็กซิบิชั่นใหญ่อย่าง Money Expo ก็ส่งเสริมจัดในต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้ไมซ์ในประเทศ ได้มีผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาช่วยทั้งกลุ่มหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้ามาเสริมทัพพิเศษเพราะรู้ฟังก์ชั่นและสามารถยกระดับให้เกิดการซื้อขายทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด
สำหรับการทำ Area Base ไมซ์ จะแบ่งเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะสั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง สสปน.พยายามดึง 10 อุตสาหรรมดาวรุ่ง ในภาคเหนือ ทั้งเชียงราย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย โดยจัดทำเป็นคลัสเตอร์ ตามเมืองรองจะมีโปรแกรมสนับสนุนการประชุมเชิงวิชาการ คอนเวนชั่น หากสามารถเดินทางไปจัดได้จะให้งบประมาณสนับสนุนประชุมเชิงวิชาการขยายจากคอปอเรตเพียงอย่างเดียว รวมถึงการขยายเข้าไปเลือกจัดประชุมแถบ EEC ภาคตะวันออก
นอกจากนี้ก็วางแผนเปิด “ศูนย์อำนวยความสะดวก” เพื่อดูแลบริหารจัดการให้บริการผู้มีคำถามและสนใจจัดงาน จะมีศูนย์ Hotline และกำลังพัฒนาระบบ Online เพื่อสร้าง Big Data เป็นวันสต็อปเซอร์วิส ขณะนี้มีหน่วยงานรัฐทำหน้าที่ประตูต้อนรับไมซ์ทั้งศุลกากร องค์การอาหารและยา ก็เปิดเว็บไซต์เสริมสร้างความรู้แก่ผู้ประกอบการร่วมกับ สสปน.อีกช่องทาง
การขยายผล Standard MICE ASEAN ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 หลังจากเริ่มต้นด้วยการวางมาตรฐาน คอนเว็นชั่น ฮอลล์ เมื่อช่วงต้นปีนี้ได้จัดทำมาตรฐานอาเซียนเปิดตัวในงาน ASEAN Tourism Forum 2018 ทั้งเรื่องรูปแบบการจัดงาน จัดประชุม ของอาเซียน ขณะนี้ยังได้เริ่มขยายไปยังมาตรฐานห้องประชุม (room) โดยมีประกาศรับรอง ตลอดปี 2561 จะขยายจำนวนสถานที่มาตรฐานการประชุมให้เกินกว่า 100 แห่ง ในวันที่ 27 เมษายน นี้ จะมอบตราสัญลักษณ์ Standard MICE ที่ศูนย์นิทรรศการไบเทค บางนา มอบโดย ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำหรับผลรวมที่เกิดขึ้นจากการทำตลาดไมซ์เชิงรุกนำต่างประเทศไหลบ่าเข้ามาจัดงานในไทย หรือไทยจัดงานประเทศ จะได้ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วน สิ่งที่จะได้รับทางตรงคือ “รายได้” ตั้งแต่รัฐได้ภาษี กลุ่มต่างชาติเดินทางเข้ามาซ้ำ ๆ หรือเอกชน โรงแรม ร้านอาหาร และกลุ่มฐานรากทุกอาชีพที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร คนขับแท็กซี่ รถบริการ อาหาร เครื่องดื่ม ส่วนทางอ้อมคือ “องค์ความรู้” จากการดึงงาน World Conference เช่น ประชุมโรคมะเร็งภูมิภาคเอเชีย และ ส่วนสุดท้ายคือ “การค้า” ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสามารถนำสินค้ามาขายและเผยแพร่ในงานได้ด้วย
อีกทั้ง สปปน.ยังมีแผนงานส่งเสริมการเดินทางไปยังโครงการพระราชดำริ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศ ซึ่งทางหน่วยงานมีโปรแกรมสนับสนุนเต็มที่ตลอดทั้งปี ระหว่างเดือนมิถุนายน 2561 สปปน.เตรียมร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คัดเลือกบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายนำพนักงานลงพื้นที่ไปทำไมซ์ในประเทศตามชุมชนต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นห่วงโซ่การพัฒนาครบวงจร
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ลด20%จองสินค้าขาออกรับขาเข้า”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มอบความพิเศษลดพิเศษกว่า 20 % ให้ลูกค้าที่จองสินค้าขาออก – รับสินค้าขาเข้า ระหว่างวันนี้ -30 เมษายน 2561 โดยการให้ซื้อ Cash Card ราคาพิเศษเพียง 16,000 บาท จากปกติ 20,000 บาท ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง
ด้วยกติกาง่าย ๆ นั่นคือ เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการก่อนซื้อสามารถสอบถามข้อมูลจากพนักงานเพิ่มเติมได้ ณ จุดขายสาขาที่ซื้อ แคชคาร์ดนี้Cash Card ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดจากบัตรสมาชิก หรือใช้สิทธิ์ Birthday Celebration, ยอดเงินในบัตรสมาชิก, E-Cash, Gift Voucher, Cash Voucher, Cash Card, Gift Card และ บัตรส่วนลดอื่นๆ ทุกประเภท ยกเว้น ยอดเงินในบัตรสมาชิกที่ได้รับจากการสมัครสมาชิก รวมทั้ง ไม่สามารถแลกคืนหรือทอนเป็นเงินสด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ คอล เซนเตอร์ 1631 หรือดูข้อมูลที่ www.kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.MOUแจ๊คหม่ารุกจีนคุณภาพ11ล้านคน”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ล่าสุด ททท.ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความเข้าใจเบื้องต้นกับนักลงทุนจีนรายใหญ่ระดับโลก แจ๊ค หม่า ประธานกลุ่มอาลีบาบา ที่เข้ามาร่วมลงทุนตามนโยบายของรัฐบาลไทยในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผนวกกับปี 2561 เป็นจังหวะที่รัฐบาลสาธารณัฐประชาชนจีนประกาศผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสแรกเติบโต 6.5% ส่งผลเชิงบวกให้จีนหันมาท่องเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 ช่วงเมษายน-มิถุนายน นี้ จากสถิติระหว่าง 1 ม.ค.-15 เมษายน 2561 จีนเที่ยวไทยกว่า 3.7 ล้านคน เติบโตสูงสุด 30% (จากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าเมืองไทย 12.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14%) แนวโน้มตลอดปีนี้จีนจะเที่ยวไทยกว่า 11 ล้านคน
โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยแล้วกว่า 5 แสนคน มีเที่ยวบินตรงสู่สนามบินอู่ตะเภาจำนวนมาก พร้อมกระจายการเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออก สอดคล้องกับทาง ททท.โปรโมต ท่องเที่ยวสวนผลไม้ ส่วนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สทท.) ระบุว่า ไตรมาส 2 จีนมาไทยจะเข้ามาไม่ต่ำกว่า 2.46 ล้านคน เติบโตกว่า 8.24%
นายสันติ ชุดินธรา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ เตรียมจัดโร้ดโชว์นำผู้ประกอบการไทย กว่า 40 ราย กลุ่มโรงแรม สปา โรงพยาบาล บริษัทตัวแทนนำเที่ยว ไปเจาะตลาดจีนใน 3 เมืองหลัก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เจาะกลุ่มกำลังซื้อสูง ได้แก่ กลุ่มตลาดหรูหรา และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยก่อนหน้านี้ร่วมกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จัดโรดโชว์ในเมืองศักยภาพรองทางเศรษฐกิจ 4 เมือง อาทิ เจิ้งโจว มีบริษัทนำเที่ยวกว่า 60 ราย ร่วมเจรจาธุรกิจกับเอเย่นต์ทัวร์ไทย เพราะสภาพเศรษฐกิจของเมืองดังกล่าวมีคนจำนวนมากฐานะดีพร้อมใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทางด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกับ แจ๊ค หม่า นักธุรกิจจีนรายใหญ่ของโลก โดยได้สนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันถึงการร่วมมือกันอย่างระมัดระวังมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainable & Responsibility tourism) จะเน้นเลือกกลุ่มตลาดคุณภาพจากจีน กลุ่มผู้ที่มีความรับผิดชอบ มีเครดิตทางสังคมและการเงิน มีความรู้ ความรักที่จะเรียนรู้ เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยกระจายไปสู่เมืองรอง และเพิ่มความใส่ใจที่จะไม่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังไทยจนมากเกินไป
ข่าวที่ 3 “บางจากผนึกฮุนไดรุกโรงกลั่น-จัดแบ่งปันกาแฟ”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ร่วมกับคณะผู้บริหาร และ MR.SANGROK SUNG, President and Chief Executive Officer, Hyundai Engineering Company Limited ร่วมลงนามสัญญา Engineering Procurement and Construction (EPC) เพื่อออกแบบก่อสร้างหน่วยเพิ่มออกเทน และขยายกำลังการผลิตหน่วยแตกโมเลกุล
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต มีความปลอดภัยมากขึ้น ลดการใช้พลังงานและดีต่อสิ่งแวดล้อม
ตามโครงการ 3 E คือ Efficiency, Energy, and Environment Improvement Project เพื่อพัฒนาโรงกลั่นน้ำมันบางจากให้มีความทันสมัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้บริหาร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด จัดกิจกรรม ปันความรู้ธุรกิจกาแฟ เสริมรายได้ สร้างความยั่งยืน ที่ไร่เชิญตะวัน โดยสนับสนุนโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ เปิดหลักสูตร การอบรมร้านธุรกิจกาแฟ ร่วมกับพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่าน ว.วชิรเมธี) พระนักพัฒนา ผู้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน อบรมให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจร้านกาแฟ การบริหารเรื่องบัญชี ต้นทุน พร้อมมอบอุปกรณ์การชงกาแฟและเครื่องบันทึกเงินสด สำหรับใช้งานในร้านกาแฟอริยทรัพย์ ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย
ข่าวที่ 4 “ทอท.แจ้งปิดซ่อมล้างรันเวย์27เม.ย.-8พ.ค.”
นายเพ็ชร ชั้นเจริญ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” กล่าวว่า ตามแผนดำเนินงานประจำปี 2561 ระหว่าง 27 เมษายน – 8 พฤษภาคม 2561 เตรียมปิดทางวิ่งบางช่วงเวลา เพื่อล้างคราบยางและบำรุงรักษา เวลา 00.30 – 06.30 น.ของทุกวัน รวมทั้งจะปิดทางขับ สาย P เพื่อซ่อมแซมพื้นผิว ระหว่าง 30 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2561 เวลา 06.30 – 12.30 น.ของทุกวัน
ซึ่งทางท่าอากาศยานภูเก็ตได้คำนวณความถี่ในการล้างคราบยางและวางแผนการบำรุงรักษาทางขับ (Taxiway) และทางวิ่ง (Runway) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของคราบยางและทำให้ค่าแรงเสียดทานของทางวิ่ง
เป็นไปตามค่ามาตรฐานที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กำหนด และเกิดความปลอดภัยอย่างสูงสุดต่อสนามบิน
นายเพ็ชรกล่าวว่าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ประชุมกับบริษัทสายการบิน ศูนย์ควบคุมการบินภูเก็ต บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด บริษัทให้บริการภาคพื้นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากประเมินแล้วแผนการปิดล้างคราบยางอาจส่งผลกระทบต่อบริการของสายการบินบางเที่ยว และผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบายบ้าง จึงเพื่อหารือและกำหนดแนวทางในการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร รวมทั้งปัญหาและข้อขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปิดทางวิ่งเพื่อล้างคราบยาง และซ่อมแซมทางขับ สาย P เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อการให้บริการสายการบินและผู้โดยสาร
จากนั้นในเดือนกรกฎาคม และกันยายน 2561 ท่าอากาศยานภูเก็ตจะล้างคราบยางครั้งต่อไป แต่จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมด้านต่างๆ วางแผนจัดบริการผู้โดยสารและเที่ยวบินให้เกิดประสิทธิภาพ และความปลอดภัยต่อผู้ใช้สนามบินอย่างสูงสุด
ข่าวที่ 5 “สถาบันอาหารจัดเต็มไทยเทสต์27-29เม.ย"
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร รายงานว่า ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงาน
ใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต” มีวัตถุประสงค์ที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจบริการอาหารขนาดเล็ก หรือร้านอาหารริมทาง (Street Food)ของไทย ในเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ และมาตรฐานการผลิต ที่ปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 103,000 ร้าน ปี 2560 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.7 แสนล้านบาท เติบโต 4.3 % ปี 2564 ตั้งเป้าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 แสนล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5.3 %
ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางมีการพัฒนาศักยภาพ สู่การทำเครือข่ายธุรกิจในแบบแฟรนไชส์ และปรับตัวสู่ภาคการผลิต การแปรรูประดับอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต หรือพร้อมปรับตัวสู่เศรษฐกิจฐานบริการที่เข้มแข็งขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้สนใจที่จะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจ(start up) ได้มาศึกษาช่องทางและพบปะผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำในการเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ครัวไทยครัวคุณภาพปลอดภัยทุกระดับ
สำหรับงาน “Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้าง
โอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด
1) Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้
2)The Show of Innovation นวัตกรรมทางธุรกิจ (สังคมไร้เงินสด) การชำระค่าอาหารผ่าน QR Code, การสั่งซื้ออาหารผ่าน Application, Logistic ระบบจัดส่งอาหารด้วยความรวดเร็ว และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์
3)Big Brother “สานพลังประชารัฐ” พบหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนขนาดใหญ่พร้อมให้การสนับสนุน
4) Business Solution ร่วมหาแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายใหม่ หรือรายเดิม
รูปแบบการจัดงานแบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย
วันที่ 25 – 26 เม.ย. 2561 ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร จัดกิจกรรมยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอาหารริมทาง ด้วยการอบรมและการให้องค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการอาหารริมทางจำนวน 100 ราย ประกอบด้วย หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และการให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตอาหาร การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขาย แนวทางการขยายธุรกิจ Street Food
100 ล้าน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการเตรียมความพร้อมสู่ยุค 4.0 พร้อมชมศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร Industry Transformation Center รวมทั้งงานบริการด้านอื่น ๆ ของสถาบันอาหารเพื่อการต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
วันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 – 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี จัดแสดงศักยภาพร้านอาหารริมทาง (Street Food) และจัดแสดงนิทรรศการ โดยแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ อาทิ โซน Street Food สู่อุตสาหกรรม แสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่มีการพัฒนา ต่อยอดจากร้านอาหารริมทาง มาสู่รูปแบบของการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เช่น ไก่ย่างห้าดาว ชายสี่หมี่เกี๊ยว หมูปิ้งเฮียนพ ไส้กรอกแม่ไก่ โซนล้านไลค์ ร้อยล้าน การออกร้านจำหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจำนวนมาก โซนจำลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสำคัญ ได้แก่ เยาวราช, วังหลัง-ท่าพระจันทร์, เจริญกรุง-บางรัก, บางลำพู-ข้าวสาร โซน OTOP ริมทาง โซน Food Truck และกลุ่ม Start Up โซน Food Exhibition ความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยม และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โซนนิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ โซนนิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหาร เป็นต้น
ร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่ให้การสนับสนุนการจัดงาน และมาออกบูธให้คำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (จำกัด) มหาชน และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (จำกัด) มหาชน เป็นต้น โดยมีอีกหลายหน่วยงานร่วมให้การสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) องค์การสุรา กรมสรรพสามิต สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) บริษัท ไทยร่วมใจน้ำมันพืช จำกัด และบริษัท อาจจิตต์อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็พเพอร์แอนด์สไปซ์ จำกัด
เชิญชวนผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยงผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงาน ในส่วนของการจัดนิทรรศการ และการออกร้านจำหน่ายอาหารริมทางชื่อดังจำนวนกว่า 100 ร้าน
ช่วงที่ 2 ไปเที่ยวเมืองรองกันให้จุใจได้ที่ “เที่ยวตราดต้องห้ามพลาด 9เรื่อง” แต่ละสถานที่ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวให้น่าทึ่งถึงความงดงามหนึ่งเดียวเป็นความสุขรอบตัวที่หาได้จากเมืองไทย แล้วส่วนเรื่องสุขภาพ มาดูกันว่า ขั้นตอนวิธีกินอย่างไรถึงจะไม่อ้วน ขณะที่ข่าวเด็ดในรอบสัปดาห์ก็น่าสนใจทุกเรื่อง
@เที่ยวเมืองรองตราดห้ามพลาด 9 เรื่อง
สีสัน ตะวันออกฝั่งทะเลอ่าวไทย ในเมืองรอง “จังหวัดตราด” ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในฐานะเมืองครึ่งร้อยเกาะ แหล่งเพาะปลูกสวนผลไม้ และต้องห้ามพลาดไปสัมผัสประสบการณ์ในสถานที่ท่องเที่ยว 9 แห่ง
แห่งแรก “พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด” ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นจุดเริ่มต้นแวะชมก่อนจะเดินทางไปท่องเที่ยวตราด ภายในอาคารเรือนไม้สองชั้นมีเรื่องราวของทั้งเมืองอย่างสมบูรณ์แบบจากอดีตสู่ปัจจุบันเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และทรัพยากรทางธรรมชาติ
แห่งที่ 2 “สุดแผ่นดินตะวันออกที่แหลมงอบ” จุดชมวิวชมตะวันขึ้นและลับขอบฟ้าลงสู่ท้องทะเลสีฟ้าสดใสสุดคลาสสิก ในบริเวณระเบียงกว้าง มีมุมถ่ายภาพเก๋ ๆ ขอหอชมวิวสูงตระหง่าน รายล้อมด้วยอาหารสตรีทฟู้ดแบบบ้าน ๆ
แห่งที่ 3 “มหัศจรรย์หาดทรายดำ” หนึ่งเดียวในแผ่นดินไทย และ 1 ใน 5 ของโลกของป่าชายเลนติดพื้นที่ฝั่ง อุดมสมบูรณ์ด้วยทรายธรรมชาติสีดำสนิท ผู้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวใช้บำบัดสุขภาพ พร้อม ๆ กับเดินลัดเลาะทะเลชมป่าโกงกาง
แห่งที่ 4 “เหยี่ยวแดงคอขาว” ปรากฏการณ์เหยี่ยวแดงขอคอขาวจำนวนกว่าครึ่งพันตัว โบยบินอยู่กลางทะเลสาบใกล้ ๆ ร้านอาหาร “ครัวพลัดถิ่น” ตำบลหนองคันทรง เป็นแหล่งพักพิงของเหยี่ยวกับชุมชนเหนือปรากฎการณ์ ทว่าสร้างความตื่นตาต้องใจนักท่องเที่ยวทุกวัย
แห่งที่ 5 “ทะเลมรกตในหมู่เกาะทะเลตราด” นั่งเรือฝ่าฟองคลื่นสีขาวนวล ตัดกับท้องฟ้าสีคราม เลือกพักผ่อนตามเกาะต่าง ๆ มีทั้งเกาะยอดนิยมอย่าง เกาะช้าง เกาะขาม เกาะกูด เกาะหมาก แต่ละปีเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 8 เดือน
แห่งที่ 6 “ลานตะบูนท่าระแนะ” สัมผัสความมหัศจรรย์ของพื้นที่ดึกดำบรรพ์ของการล่องเรือผ่านเข้าสู่บรรยากาศ 3 ป่า ในอ้อมกอดของรากไม้ตะบูนจำนวนมากสานกันเป็นเกลียวแผ่ขยายตัวอยู่บนหน้าดินกว้างหลายไร่
แห่งที่ 7 “ล่องเรือมาดบ้านสลักคอก” ความโรแมนติกที่หาได้ในชุมชนบนเกาะช้าง ได้ผสมผสานความดั้งเดิมและธรรมชาติให้กลมกลืนเข้ากับการท่องเที่ยวยุคใหม่ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเรือมาดแจวไปมา ทั้งชีลและแชร์ความสุขไปสู่ส่วนรวมได้
แห่งที่ 8 “สวนผลไม้เมืองตราด” นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชิมผลไม้ได้ทุกสวน โดยเฉพาะในช่วงพฤษภาคมของทุกปี มีทั้งสวนบนฝั่งและในเกาะช้าง หรือเกาะต่าง ๆ ให้รับประทานถึง 6 ชนิด ตามภูมิปัญญาพื้นบ้านยังเป็นสมุนไพรช่วยดูแลสุขภาพได้ด้วย ได้แก่ “ทุเรียน” ที่ช่วยฆ่าเชื้อ และมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ช่วยระบบเผาผลาญและช่วยระบายท้องได้ดี “มังคุด” ช่วยบำรุงผิว สายตา ประสาท แก้ท้องผูก ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง “ลองกอง” ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ให้พลังงานแก่ร่างกาย ใช้เป็นยาขับพยาธิ “สละ-ระกำ” ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ ขับเสมหะ และแก้ไอ “เงาะ” ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก แก้อาการท้องร่วง ส่วน“สับปะรดสีทอง” ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีมากขึ้น ช่วยสุขภาพในช่องปากแข็งแรง
แห่งที่ 9 “น้ำพริกเกลือ” เป็นน้ำจิ้มพื้นบ้านของชาวเล รสเด็ดมาก ทั้งจัดจ้านจี๊ดจ๊าด รับประทานกับอาหารทะเลนึ่ง อบ เผา สด ๆ จากทะเลตราด ตอนนี้นำมาปรุงเป็นอาหารเรียกว่าข้าวคลุกพริกเกลือ ชาวเมืองตราดต่างก็รับรองในความอร่อยของเมนูนี้
@กินอย่างไรไม่ให้อ้วน
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เรากินอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน และสารอาหารต่าง ๆ ให้ร่างกายเจริญเติบโต บำรุง สุขภาพให้แข็งแรง แต่ถ้ากินมากเกินไปและไม่ได้สัดส่วน จะทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกิด"โรคอ้วน"
ขั้นตอนการกินอย่างไรไม่อ้วน
1.วางแผนการกินอาหาร เพื่อประเมินว่าควรกินอาหารอะไร ปริมาณเท่าใด ในแต่ละวัน ซึ่งไม่ควรเกินกำหนดดังนี้
- กลุ่มข้าว-แป้ง เช่น ข้าวสุก เส้นก๋วยเตี๋ยว มื้อละ 2 ทัพพี วันละไม่เกิน 6 ทัพพี
- ผัก วันละ 3-4 ทัพพี
- ผลไม้ วันละ 3-4 ส่วน (1 ส่วนผลไม้ คือ เงาะ 4 ผล หรือฝรั่ง 1/2 ผล หรือส้ม 1 ผล, กล้วย 1 ผล)
- เนื้อสัตว์ มื้อละ 4 ช้อนกินข้าว
- นมจืดไขมันต่ำ วันละ 1-2 กล่อง (กล่องละ 200-240 ml.)
- น้ำมัน วันละไม่เกิน 3 ช้อนชา
2. ใช้ภาชนะขนาดเล็กสำหรับกินอาหาร เพราะเวลาตักอาหารจะได้ปริมาณไม่มากเกินไป ถ้าภาชนะใหญ่ทำให้ตักอาหารมาก บางครั้งก็จะพยายามกินจนหมด เพราะเสียดาย ทั้งที่อิ่มแล้ว
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ไขมันสูง เพราะจะทำให้ร่างกายได้พลังงานมากเกินไป เกิดการสะสมไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
4. หยุดการกินอาหารทันทีเมื่อรู้สึกอิ่ม ถ้าเริ่มอิ่มหมายถึง ร่างกายได้รับอาหารตามที่ต้องการแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินต่ออีกจนหมด ถ้ากินอาหารต่อเป็นการกินเกินอิ่มหรือเกินพอดี
5. ตักอาหารเข้าปากช้าๆ เคี้ยวช้าๆและนานขึ้น การเคี้ยวช้าๆทำให้อาหารละเอียด ช่วยในการย่อยและร่างกายเราต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะบอกว่าอิ่มแล้ว ถ้ากินเร็วร่างกายบอกไม่ทันว่าอิ่มแล้ว ถึงตอนนั้นทำให้ได้อาหารมากเกินความต้องการ
6. นั่งกินเฉพาะในห้องอาหารหรือโรงอาหาร ทำให้กินเป็นเวลา ถูกสถานที่ ลดการกินจุบจิบ ซึ่งเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่ทำให้กินอาหารมากเกินไป
7. การปฏิบัติตัวเมื่อไปร้านสะดวกซื้อ
- จดรายการก่อนออกไปชื้อ
- พยายามเลี่ยงการเดินใกล้ๆบริเวณที่จำหน่ายเบเกอรี่หรือขนมจุบจิบ
- จำกัดปริมาณอาหารสำเร็จ (พร้อมบริโภค)
- ไม่ควรไปซื้ออาหารขณะกำลังหิว จะทำให้ซื้ออาหารหรือขนมบางอย่างที่ไม่จำเป็น
- อ่านฉลากอาหารและข้อมูลโภชนาการก่อนชื้อ
8.การกินในโอกาสพิเศษ เช่น งานปาร์ตี้ วันคล้ายวันเกิด การกินอาหารนอกบ้าน เป็นสิ่งที่ท้าทาย ควรตระหนักว่าเราควรกินอะไร ปริมาณเท่าไหร่ ต้องวางแผนล่วงหน้าเลือกทางที่ดีที่สุด ก็สามารถมีความสุขกับโอกาสพิเศษนั้นได้ คือ ต้องไม่กินอาหารในกลุ่มที่ให้พลังงานสูงมากเกินไป ไม่ถือโอกาสนั้นๆมาเป็นข้ออ้างในการกิน สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ การควบคุมปริมาณอาหารที่กิน กินไม่หมดไม่ต้องฝืนกินจนหมดจาน
9.เดินหลังมื้ออาหาร ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายดีกว่านั่งดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ หรือนอนอ่านหนังสือ เพราะการเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่ง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “39โรงแรมในไทยกวาดรางวัลในดวงใจของโลก”
โยฮัน สแวนสตรอม ประธานแบรนด์ Hotels.com กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้รับการรีวิวและโหวตให้ได้รางวัลโรงแรมในดวงใจ Loved by Guests awards มากสุด โดยมาจากการให้คะแนนในหลายระดับทั้งระดับดี ดีมากและดีเลิศ ซึ่งเป็นข้อมูลความเห็นของแขกที่เข้าพักกว่า 25 ล้านคน 25 ล้านวิว ที่จองผ่านเว็บไซต์ Hotels.com นักท่องเที่ยวเหล่านี้เลือกโรงแรมที่ดีที่สุดตามความเห็นของตนจากจำนวน 3,400 แห่ง ใน 91 ประเทศ ทั้งนี้โรงแรมที่จะเข้ามาอยู่ในลิสต์จะต้องได้คะแนน 9.4 (จาก 10 คะแนน) หรือสูงกว่านั้น ซึ่งจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรงแรม 'สุดยอดนิยม'ของโลก
โรงแรมในประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นที่พักที่ดีที่สุดในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ในการมอบรางวัลโรงแรมในดวงใจเมื่อเร็วๆ นี้ คือรางวัลโกลด์อวอร์ดสูงที่สุดในภูมิภาค โดยเป็นผลจากรีวิวที่ดีจากนักเดินทาง ซึ่งเป็นผลจากการบริการและการต้อนรับขับสู้ที่ยอดเยี่ยมของคนไทย ทำให้แขกมีความสุขในช่วงที่เข้าพัก บริการที่คุ้มค่าเงิน สถานที่ตั้งที่เหมาะสมและบริการที่สุดยอด" เจสซิก้า เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับภูมิภาค จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียจาก แบรนด์ Hotels.comกล่าว
- รีวิวโดยผู้เข้าพักจริงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าระดับดาวของโรงแรมนั้นๆ โรงแรมและที่พักในไทย 39 แห่ง ได้รับเลือกให้เป็นโรงแรมในดวงใจ Loved by Guests Awards 2018 จากนักท่องเที่ยวทั่วโลกจองที่พักผ่าน Hotels.comTM ทำให้ไทยติดอันดับที่ 4 ของประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มีโรงแรมยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวรองจาก เวียดนาม (อันดับ 1) ญี่ปุ่น (อันดับ 2) และออสเตรเลีย (อันดับ 3)
- โรงแรมในประเทศไทยติดอันดับที่ 4 ในกลุ่มที่พักที่นักท่องเที่ยวต้องการเข้าพักมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
- โรงแรมในกรุงเทพฯ ได้รับเลือกถึง 10 แห่ง
- โรงแรมในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ตได้รับเลือกให้เป็นโรงแรมยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัว โรงแรมหรู โรงแรมที่มีสปายอดเยี่ยม ประเภทบูติคโฮเต็ล โรงแรมริมหาด โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ และโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาครั้งแรก
ในบรรดาจังหวัดต่างๆ ในไทย กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีโรงแรมระดับ 5 ดาวและโรงแรมประเภทบูติคที่ชนะใจนักท่องเที่ยว มากที่สุดถึง 10 แห่ง คือ บ้านพระยาจ่าแสน, ดาราศรม โคโลเนียล เฮ้าส์, โรงแรมโวฟ กรุงเทพ, โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ, โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ, โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาธร, โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ, ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ และ ริวา เซอร์ยา กรุงเทพ
สำหรับจังหวัดของไทยที่ได้รับเลือกให้มีโรงแรมในดวงใจมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ กรุงเทพมหานคร – 10 แห่ง เชียงใหม่ / สุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 6 แห่ง ภูเก็ต / กระบี่ จังหวัดละ 5 แห่ง พังงา / ตราด / ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดละ 2 แห่ง สุโขทัย 1 แห่ง
ข่าวที่สอง “สงขลาจ่อตั้งดิวตี้ฟรีโซนปลุกเขตเศรษฐกิจ”
นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ที่ประชุมได้หารือโครงการศึกษาวิจัยการจัดตั้งดิวตี้ ฟรี โซน ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.สงขลา ซึ่งความเป็นไปได้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อีกทั้งที่ประชุมยังศึกษาปัจจัยด้านบวกและด้านลบ ที่ส่งผลต่อการจัดตั้งเขตปลอดภาษี การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความเจริญรุ่งเรือง
ทั้งนี้ได้คาดการณ์ถึงประโยชน์จะได้รับหลังจากการเปิดดิวตี้ ฟรี โซน จะทำให้การค้าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษมีการขยายตัว มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้นและเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มประเทศAEC และนานาชาติ
ข่าวที่สาม “ปี'61อินเทนซีฟไมซ์เงินไหลเข้าไทย2.4หมื่นล้าน"
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดขณะนี้กลุ่มบริษัทจากต่างประเทศมาจัดอินเซนทิฟในไทยแนวโน้มตลอดปีจะมีผู้ที่อยู่ในธุรกิจขายตรงทั่วโลก และการทำตลาดต่อเนื่องของทีเส็บ ประกอบกับภาพลักษณ์ด้านธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย ทำให้ในปี 2561 นี้ ตลาดอินเซนทิฟจะเข้ามาไทยจำนวน 285,000 คน สร้างรายได้ 23,940 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มขายตรงจะมีมากกว่า 40,000 คน
ไฮไลต์ปีนี้จะมีบริษัท เจอเนสส์ โกลบอล จำกัด ธุรกิจเครือข่ายขายตรงจากอเมริกาเลือกไทยเป็นสถานที่จัดงาน เจอเนสส์ เอ็กซ์โป เวิลด์ ทัวร์ 2018 -แบงก์คอก (Jeunesse Expo World Tour 2018 - Bangkok) งานสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติ ภายใต้แนวคิด “รุ่งโรจน์” หรือ ไทรฟ์ (Thrive) ระหว่าง 20-23 ก.ย. 2561 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้แทนขายตรงจากทั่วภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก แอฟริกา และอินเดีย กว่า 12,000 คน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทขายตรงของประเทศต่าง ๆ วางแผนเลือกไทยเป็นสถานที่จัดงานในลักษณะอินเซ็นทีฟคือให้รางวัลเดินทางฟรีแก่ผู้ที่ทำรายได้เข้าเป้าหมาย
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 เวลา 11.00-12.00 น.
บุกโร้ดโชว์ดึงเมกะอีเวนต์โลกหอบเงินเข้าไทย
คิงเพาเวอร์ลด20%ซื้อสินค้าขาออกรับขาเข้า
ททท.MOUแจ๊คหม่าคัดจีนทัวร์ไทย11ล้าน
บางจากผนึกฮุนได-แบ่งปันเรื่องกาแฟชุมชน
ทอท.ปิด-ซ่อม-ล้างสนามบินภูเก็ต27เม.ย.นี้
สถาบันอาหารจัดเต็มไทยเทสต์27-29เม.ย.
เที่ยวเมืองรองตราดต้องห้ามพลาด 9 เรื่อง
มาดูกันถึงขั้นตอนวิธีกินอย่างไรไม่ให้อ้วน
39โรงแรมในไทยคว้ารางวัลขวัญใจทั่วโลก
สงขลาจ่อตั้งดิวตี้โซนปลุกเขตเศรษฐกิจ
อินเซนทีฟไมซ์โกยเงินนอก2.4หมื่นล้าน
ต้อนรับสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ตามติด “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน.หรือ TCEB” ถึงเวลานำอุตสาหกรรม MICE ออกโรงดันเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ด้วยการพลิกแนวทำการตลาดเป็นโร้ดโชว์เจาะแหลกในตลาดคนรวยทั่วเอเชีย และการเป็นเจ้าภาพจัดเมกะอีเวนต์ในเมืองไทยรายการสุดฮือฮาต้องยกให้ ““เลแทป ไทยแลนด์ บาย เลอ ตูร์เดอ ฟรองส์” พร้อมกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กรเพิ่ม 2 หน่วยขึ้นมาขับเคลื่อนภารกิจ Area Base ไมซ์ ซิตี้ ทั่วไทย
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน.หรือ TCEB” |
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน.หรือ TCEB” เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งปีหลังวางกลยุทธ์ใช้อุตสาหกรรมไมซ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยเมกะอีเวนต์โดยเลือกจัดทำโรดโชว์เจาะตลาดศักยภาพเปลี่ยนแปลงจากเดิมจะเข้าร่วมเทรดโชว์เป็นหลัก เพื่อทำให้รายได้ไมซ์รวมตลอดปี 2561 หลั่งไหลเข้าประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 200,000 ล้านบาท
การเปลี่ยนมาโหมทำโรดโชว์เจาะตลาดเป้าหมายในต่างประเทศได้ภายใต้แคมเปญ Thailand Connect เมื่อ 27-31 มีนาคม 2561 นำผู้ประกอบการไทยไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เจาะตลาดสัมมนา เอ็กซิบิชั่น เมกะอีเวนต์ กระแสตอบรับดีมาก เพราะทางญี่ปุ่นกำลังเตรียมจัดโอลิมปิกจึงมองหาสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญ อีกทั้งยังได้เชิญชวนนักลงทุนเข้ามาสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) จากนั้นระหว่าง 24-26 พฤษภาคม2561 นี้ จะบุกทำโรดโชว์สาธารณรัฐเกาหลีด้วย เป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ จะสามารถเห็นผลลัพธ์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
อีกทั้งยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายสมาชิกร่วมประมูลชิงงานใหญ่ ๆ เลือกไทยเป็นประเทศจัดงาน ตัวอย่างกิจกรรมกีฬา จะร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในส่วนของธุรกิจ 4.0 ก็จะร่วมกับอีกหลายหน่วยงานภาครัฐดึงงานนวัตกรรมทางเทคโนโลยี 4.0 รายการใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพ
ที่ผ่านมาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประมูลได้งาน “เลแทป ไทยแลนด์ บาย เลอ ตูร์เดอ ฟรองส์” มาจัดที่จังหวัดพังงา ระหว่าง 19-21 ตุลาคม 2561 ซึ่งจะมีนักปั่นจักรยานนานาชาติ กระจายตัวลงสู่เมืองรองพังงาและพ่วงขายกระบี่เข้าไปด้วย เบื้องต้นจะมีงานลักษณะที่มีจำนวนคนจากทั่วโลกเข้าร่วมจำนวนมาก งานจักรยานจะเป็นตัวอย่างเห็นได้ชัดของเมกะอีเวนต์ซึ่งพร้อมใช้จ่ายเงินค่อนข้างสูงจากกว่า 4,000 คน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ทำเงินสะพัดในพื้นที่เมืองรอง 2 จังหวัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และหลังการประชุมร่วมกับคณะทำงานทัวร์ เดอฟรองซ์ ได้เข้ามาวางเส้นทางปั่นจักรยานก็จะบูมขายควบคู่กันไปได้ด้วย
สิ่งที่ สปปน.ใส่เพิ่มเข้าไปในการประมูลเข้ามาจัดในประเทศนั้นแต่ละเมกะอีเวนต์ก็จะจัดต่อเนื่องต่อไปอีก 2-3 ปี ทางจังหวัดที่ได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดเมกะอีเวนต์ก็จะได้เรียนรู้พฤติกรรมนักเดินทาง สามารถดึงเงินจากผู้เข้าร่วมงานได้หลายช่องทาง
นายจิรุตถ์กล่าวว่าการเพิ่มความเข้มข้นของการทำ AREA BASE ตามนโยบายของรัฐบาลมุ่งให้ใช้ความต้องการของพื้นที่เป็นตัวตั้งแล้วขยายผลนำตลาดและรายได้เข้าไปให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่นั้น ๆ ทาง สสปน.จะใช้พื้นที่หลักการพัฒนาพื้นที่เมืองจัดประชุมในประเทศ 5 ไมซ์ ซิตี้ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ต่อยอด โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ ทั้งการจัดนิทรรศการแสดง ประชุมนานาชาติ แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปจะต้องวางกลยุทธ์ทำให้การจัดประชุมนานาชาติ และนิทรรศการแสดงสากล กระจายตัวไปจัดในพื้นที่ต่างจังหวัดตามไมซ์ ซิตี้
ขณะนี้ทาง สสปน.ได้ปรับโครงสร้างการทำงานจัดตั้ง “ฝ่าย Area Base” เพื่อเป็นหน่วยขับเคลื่อนกระจายอีเวนต์ไปจัดในพัทยา+ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต อีกทั้งทุกจังหวัดเองก็ตื่นตัวอยากจะยกระดับจังหวัดเป็น ไมซ์ ซิตี้ กันทั่วประเทศ ดังนั้นจึงต้องทำโครงสร้างมาตรฐานพื้นที่ที่จะประกาศเป็นไมซ์ ซิตี้ โดยมีฝ่าย MICE CAPIBILITY เข้ามาพัฒนามาตรฐานพื้นที่อย่างเป็นระบบช่วยเข้าไปดูแลพื้นที่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ชุมชน เกี่ยวกับตลาด บุคลากร วิชาการ ปี 2562 จะเห็นภาพชัดเจนคือ เชียงใหม่ กับพัทยา จะต้องเห็นภาพไมซ์ ซิตี้ เต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันในการเดินทางไปทำโรดโชว์ต่างประเทศก็โหมโปรโมตทั้ง 2 จังหวัด
ล่าสุดมีงานคอนเฟอร์เรนซ์ การประชุม “มะเร็งวิทยา” ระดับภูมิภาคเอเชีย ให้ไปจัดที่เชียงใหม่ประมาณ 500 คน หรือจะเป็นงานเอ็กซิบิชั่นใหญ่อย่าง Money Expo ก็ส่งเสริมจัดในต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้ไมซ์ในประเทศ ได้มีผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาช่วยทั้งกลุ่มหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้ามาเสริมทัพพิเศษเพราะรู้ฟังก์ชั่นและสามารถยกระดับให้เกิดการซื้อขายทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด
สำหรับการทำ Area Base ไมซ์ จะแบ่งเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะสั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง สสปน.พยายามดึง 10 อุตสาหรรมดาวรุ่ง ในภาคเหนือ ทั้งเชียงราย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย โดยจัดทำเป็นคลัสเตอร์ ตามเมืองรองจะมีโปรแกรมสนับสนุนการประชุมเชิงวิชาการ คอนเวนชั่น หากสามารถเดินทางไปจัดได้จะให้งบประมาณสนับสนุนประชุมเชิงวิชาการขยายจากคอปอเรตเพียงอย่างเดียว รวมถึงการขยายเข้าไปเลือกจัดประชุมแถบ EEC ภาคตะวันออก
นอกจากนี้ก็วางแผนเปิด “ศูนย์อำนวยความสะดวก” เพื่อดูแลบริหารจัดการให้บริการผู้มีคำถามและสนใจจัดงาน จะมีศูนย์ Hotline และกำลังพัฒนาระบบ Online เพื่อสร้าง Big Data เป็นวันสต็อปเซอร์วิส ขณะนี้มีหน่วยงานรัฐทำหน้าที่ประตูต้อนรับไมซ์ทั้งศุลกากร องค์การอาหารและยา ก็เปิดเว็บไซต์เสริมสร้างความรู้แก่ผู้ประกอบการร่วมกับ สสปน.อีกช่องทาง
การขยายผล Standard MICE ASEAN ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 หลังจากเริ่มต้นด้วยการวางมาตรฐาน คอนเว็นชั่น ฮอลล์ เมื่อช่วงต้นปีนี้ได้จัดทำมาตรฐานอาเซียนเปิดตัวในงาน ASEAN Tourism Forum 2018 ทั้งเรื่องรูปแบบการจัดงาน จัดประชุม ของอาเซียน ขณะนี้ยังได้เริ่มขยายไปยังมาตรฐานห้องประชุม (room) โดยมีประกาศรับรอง ตลอดปี 2561 จะขยายจำนวนสถานที่มาตรฐานการประชุมให้เกินกว่า 100 แห่ง ในวันที่ 27 เมษายน นี้ จะมอบตราสัญลักษณ์ Standard MICE ที่ศูนย์นิทรรศการไบเทค บางนา มอบโดย ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำหรับผลรวมที่เกิดขึ้นจากการทำตลาดไมซ์เชิงรุกนำต่างประเทศไหลบ่าเข้ามาจัดงานในไทย หรือไทยจัดงานประเทศ จะได้ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วน สิ่งที่จะได้รับทางตรงคือ “รายได้” ตั้งแต่รัฐได้ภาษี กลุ่มต่างชาติเดินทางเข้ามาซ้ำ ๆ หรือเอกชน โรงแรม ร้านอาหาร และกลุ่มฐานรากทุกอาชีพที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร คนขับแท็กซี่ รถบริการ อาหาร เครื่องดื่ม ส่วนทางอ้อมคือ “องค์ความรู้” จากการดึงงาน World Conference เช่น ประชุมโรคมะเร็งภูมิภาคเอเชีย และ ส่วนสุดท้ายคือ “การค้า” ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสามารถนำสินค้ามาขายและเผยแพร่ในงานได้ด้วย
อีกทั้ง สปปน.ยังมีแผนงานส่งเสริมการเดินทางไปยังโครงการพระราชดำริ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศ ซึ่งทางหน่วยงานมีโปรแกรมสนับสนุนเต็มที่ตลอดทั้งปี ระหว่างเดือนมิถุนายน 2561 สปปน.เตรียมร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คัดเลือกบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายนำพนักงานลงพื้นที่ไปทำไมซ์ในประเทศตามชุมชนต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นห่วงโซ่การพัฒนาครบวงจร
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ลด20%จองสินค้าขาออกรับขาเข้า”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มอบความพิเศษลดพิเศษกว่า 20 % ให้ลูกค้าที่จองสินค้าขาออก – รับสินค้าขาเข้า ระหว่างวันนี้ -30 เมษายน 2561 โดยการให้ซื้อ Cash Card ราคาพิเศษเพียง 16,000 บาท จากปกติ 20,000 บาท ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง
ด้วยกติกาง่าย ๆ นั่นคือ เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการก่อนซื้อสามารถสอบถามข้อมูลจากพนักงานเพิ่มเติมได้ ณ จุดขายสาขาที่ซื้อ แคชคาร์ดนี้Cash Card ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดจากบัตรสมาชิก หรือใช้สิทธิ์ Birthday Celebration, ยอดเงินในบัตรสมาชิก, E-Cash, Gift Voucher, Cash Voucher, Cash Card, Gift Card และ บัตรส่วนลดอื่นๆ ทุกประเภท ยกเว้น ยอดเงินในบัตรสมาชิกที่ได้รับจากการสมัครสมาชิก รวมทั้ง ไม่สามารถแลกคืนหรือทอนเป็นเงินสด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ คอล เซนเตอร์ 1631 หรือดูข้อมูลที่ www.kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.MOUแจ๊คหม่ารุกจีนคุณภาพ11ล้านคน”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ล่าสุด ททท.ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความเข้าใจเบื้องต้นกับนักลงทุนจีนรายใหญ่ระดับโลก แจ๊ค หม่า ประธานกลุ่มอาลีบาบา ที่เข้ามาร่วมลงทุนตามนโยบายของรัฐบาลไทยในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผนวกกับปี 2561 เป็นจังหวะที่รัฐบาลสาธารณัฐประชาชนจีนประกาศผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสแรกเติบโต 6.5% ส่งผลเชิงบวกให้จีนหันมาท่องเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 ช่วงเมษายน-มิถุนายน นี้ จากสถิติระหว่าง 1 ม.ค.-15 เมษายน 2561 จีนเที่ยวไทยกว่า 3.7 ล้านคน เติบโตสูงสุด 30% (จากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าเมืองไทย 12.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14%) แนวโน้มตลอดปีนี้จีนจะเที่ยวไทยกว่า 11 ล้านคน
โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยแล้วกว่า 5 แสนคน มีเที่ยวบินตรงสู่สนามบินอู่ตะเภาจำนวนมาก พร้อมกระจายการเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออก สอดคล้องกับทาง ททท.โปรโมต ท่องเที่ยวสวนผลไม้ ส่วนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สทท.) ระบุว่า ไตรมาส 2 จีนมาไทยจะเข้ามาไม่ต่ำกว่า 2.46 ล้านคน เติบโตกว่า 8.24%
นายสันติ ชุดินธรา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ เตรียมจัดโร้ดโชว์นำผู้ประกอบการไทย กว่า 40 ราย กลุ่มโรงแรม สปา โรงพยาบาล บริษัทตัวแทนนำเที่ยว ไปเจาะตลาดจีนใน 3 เมืองหลัก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เจาะกลุ่มกำลังซื้อสูง ได้แก่ กลุ่มตลาดหรูหรา และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยก่อนหน้านี้ร่วมกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จัดโรดโชว์ในเมืองศักยภาพรองทางเศรษฐกิจ 4 เมือง อาทิ เจิ้งโจว มีบริษัทนำเที่ยวกว่า 60 ราย ร่วมเจรจาธุรกิจกับเอเย่นต์ทัวร์ไทย เพราะสภาพเศรษฐกิจของเมืองดังกล่าวมีคนจำนวนมากฐานะดีพร้อมใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทางด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกับ แจ๊ค หม่า นักธุรกิจจีนรายใหญ่ของโลก โดยได้สนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันถึงการร่วมมือกันอย่างระมัดระวังมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainable & Responsibility tourism) จะเน้นเลือกกลุ่มตลาดคุณภาพจากจีน กลุ่มผู้ที่มีความรับผิดชอบ มีเครดิตทางสังคมและการเงิน มีความรู้ ความรักที่จะเรียนรู้ เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยกระจายไปสู่เมืองรอง และเพิ่มความใส่ใจที่จะไม่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังไทยจนมากเกินไป
ข่าวที่ 3 “บางจากผนึกฮุนไดรุกโรงกลั่น-จัดแบ่งปันกาแฟ”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ร่วมกับคณะผู้บริหาร และ MR.SANGROK SUNG, President and Chief Executive Officer, Hyundai Engineering Company Limited ร่วมลงนามสัญญา Engineering Procurement and Construction (EPC) เพื่อออกแบบก่อสร้างหน่วยเพิ่มออกเทน และขยายกำลังการผลิตหน่วยแตกโมเลกุล
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต มีความปลอดภัยมากขึ้น ลดการใช้พลังงานและดีต่อสิ่งแวดล้อม
ตามโครงการ 3 E คือ Efficiency, Energy, and Environment Improvement Project เพื่อพัฒนาโรงกลั่นน้ำมันบางจากให้มีความทันสมัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้บริหาร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด จัดกิจกรรม ปันความรู้ธุรกิจกาแฟ เสริมรายได้ สร้างความยั่งยืน ที่ไร่เชิญตะวัน โดยสนับสนุนโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ เปิดหลักสูตร การอบรมร้านธุรกิจกาแฟ ร่วมกับพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่าน ว.วชิรเมธี) พระนักพัฒนา ผู้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน อบรมให้ความรู้ด้านการทำธุรกิจร้านกาแฟ การบริหารเรื่องบัญชี ต้นทุน พร้อมมอบอุปกรณ์การชงกาแฟและเครื่องบันทึกเงินสด สำหรับใช้งานในร้านกาแฟอริยทรัพย์ ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย
ข่าวที่ 4 “ทอท.แจ้งปิดซ่อมล้างรันเวย์27เม.ย.-8พ.ค.”
นายเพ็ชร ชั้นเจริญ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” กล่าวว่า ตามแผนดำเนินงานประจำปี 2561 ระหว่าง 27 เมษายน – 8 พฤษภาคม 2561 เตรียมปิดทางวิ่งบางช่วงเวลา เพื่อล้างคราบยางและบำรุงรักษา เวลา 00.30 – 06.30 น.ของทุกวัน รวมทั้งจะปิดทางขับ สาย P เพื่อซ่อมแซมพื้นผิว ระหว่าง 30 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2561 เวลา 06.30 – 12.30 น.ของทุกวัน
ซึ่งทางท่าอากาศยานภูเก็ตได้คำนวณความถี่ในการล้างคราบยางและวางแผนการบำรุงรักษาทางขับ (Taxiway) และทางวิ่ง (Runway) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของคราบยางและทำให้ค่าแรงเสียดทานของทางวิ่ง
เป็นไปตามค่ามาตรฐานที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กำหนด และเกิดความปลอดภัยอย่างสูงสุดต่อสนามบิน
นายเพ็ชรกล่าวว่าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ประชุมกับบริษัทสายการบิน ศูนย์ควบคุมการบินภูเก็ต บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด บริษัทให้บริการภาคพื้นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากประเมินแล้วแผนการปิดล้างคราบยางอาจส่งผลกระทบต่อบริการของสายการบินบางเที่ยว และผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบายบ้าง จึงเพื่อหารือและกำหนดแนวทางในการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร รวมทั้งปัญหาและข้อขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปิดทางวิ่งเพื่อล้างคราบยาง และซ่อมแซมทางขับ สาย P เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อการให้บริการสายการบินและผู้โดยสาร
จากนั้นในเดือนกรกฎาคม และกันยายน 2561 ท่าอากาศยานภูเก็ตจะล้างคราบยางครั้งต่อไป แต่จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมด้านต่างๆ วางแผนจัดบริการผู้โดยสารและเที่ยวบินให้เกิดประสิทธิภาพ และความปลอดภัยต่อผู้ใช้สนามบินอย่างสูงสุด
ข่าวที่ 5 “สถาบันอาหารจัดเต็มไทยเทสต์27-29เม.ย"
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร รายงานว่า ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงาน
ใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต” มีวัตถุประสงค์ที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจบริการอาหารขนาดเล็ก หรือร้านอาหารริมทาง (Street Food)ของไทย ในเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ และมาตรฐานการผลิต ที่ปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 103,000 ร้าน ปี 2560 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.7 แสนล้านบาท เติบโต 4.3 % ปี 2564 ตั้งเป้าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 แสนล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5.3 %
ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางมีการพัฒนาศักยภาพ สู่การทำเครือข่ายธุรกิจในแบบแฟรนไชส์ และปรับตัวสู่ภาคการผลิต การแปรรูประดับอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต หรือพร้อมปรับตัวสู่เศรษฐกิจฐานบริการที่เข้มแข็งขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้สนใจที่จะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจ(start up) ได้มาศึกษาช่องทางและพบปะผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำในการเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ครัวไทยครัวคุณภาพปลอดภัยทุกระดับ
สำหรับงาน “Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้าง
โอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด
1) Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้
2)The Show of Innovation นวัตกรรมทางธุรกิจ (สังคมไร้เงินสด) การชำระค่าอาหารผ่าน QR Code, การสั่งซื้ออาหารผ่าน Application, Logistic ระบบจัดส่งอาหารด้วยความรวดเร็ว และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์
3)Big Brother “สานพลังประชารัฐ” พบหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนขนาดใหญ่พร้อมให้การสนับสนุน
4) Business Solution ร่วมหาแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายใหม่ หรือรายเดิม
รูปแบบการจัดงานแบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย
วันที่ 25 – 26 เม.ย. 2561 ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร จัดกิจกรรมยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอาหารริมทาง ด้วยการอบรมและการให้องค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการอาหารริมทางจำนวน 100 ราย ประกอบด้วย หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และการให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตอาหาร การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขาย แนวทางการขยายธุรกิจ Street Food
100 ล้าน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการเตรียมความพร้อมสู่ยุค 4.0 พร้อมชมศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร Industry Transformation Center รวมทั้งงานบริการด้านอื่น ๆ ของสถาบันอาหารเพื่อการต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
วันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 – 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี จัดแสดงศักยภาพร้านอาหารริมทาง (Street Food) และจัดแสดงนิทรรศการ โดยแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ อาทิ โซน Street Food สู่อุตสาหกรรม แสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่มีการพัฒนา ต่อยอดจากร้านอาหารริมทาง มาสู่รูปแบบของการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เช่น ไก่ย่างห้าดาว ชายสี่หมี่เกี๊ยว หมูปิ้งเฮียนพ ไส้กรอกแม่ไก่ โซนล้านไลค์ ร้อยล้าน การออกร้านจำหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจำนวนมาก โซนจำลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสำคัญ ได้แก่ เยาวราช, วังหลัง-ท่าพระจันทร์, เจริญกรุง-บางรัก, บางลำพู-ข้าวสาร โซน OTOP ริมทาง โซน Food Truck และกลุ่ม Start Up โซน Food Exhibition ความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยม และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โซนนิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ โซนนิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหาร เป็นต้น
ร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐ/เอกชนที่ให้การสนับสนุนการจัดงาน และมาออกบูธให้คำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (จำกัด) มหาชน และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (จำกัด) มหาชน เป็นต้น โดยมีอีกหลายหน่วยงานร่วมให้การสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) องค์การสุรา กรมสรรพสามิต สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) บริษัท ไทยร่วมใจน้ำมันพืช จำกัด และบริษัท อาจจิตต์อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็พเพอร์แอนด์สไปซ์ จำกัด
เชิญชวนผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยงผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงาน ในส่วนของการจัดนิทรรศการ และการออกร้านจำหน่ายอาหารริมทางชื่อดังจำนวนกว่า 100 ร้าน
ช่วงที่ 2 ไปเที่ยวเมืองรองกันให้จุใจได้ที่ “เที่ยวตราดต้องห้ามพลาด 9เรื่อง” แต่ละสถานที่ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวให้น่าทึ่งถึงความงดงามหนึ่งเดียวเป็นความสุขรอบตัวที่หาได้จากเมืองไทย แล้วส่วนเรื่องสุขภาพ มาดูกันว่า ขั้นตอนวิธีกินอย่างไรถึงจะไม่อ้วน ขณะที่ข่าวเด็ดในรอบสัปดาห์ก็น่าสนใจทุกเรื่อง
@เที่ยวเมืองรองตราดห้ามพลาด 9 เรื่อง
สีสัน ตะวันออกฝั่งทะเลอ่าวไทย ในเมืองรอง “จังหวัดตราด” ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในฐานะเมืองครึ่งร้อยเกาะ แหล่งเพาะปลูกสวนผลไม้ และต้องห้ามพลาดไปสัมผัสประสบการณ์ในสถานที่ท่องเที่ยว 9 แห่ง
แห่งแรก “พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด” ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นจุดเริ่มต้นแวะชมก่อนจะเดินทางไปท่องเที่ยวตราด ภายในอาคารเรือนไม้สองชั้นมีเรื่องราวของทั้งเมืองอย่างสมบูรณ์แบบจากอดีตสู่ปัจจุบันเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และทรัพยากรทางธรรมชาติ
แห่งที่ 2 “สุดแผ่นดินตะวันออกที่แหลมงอบ” จุดชมวิวชมตะวันขึ้นและลับขอบฟ้าลงสู่ท้องทะเลสีฟ้าสดใสสุดคลาสสิก ในบริเวณระเบียงกว้าง มีมุมถ่ายภาพเก๋ ๆ ขอหอชมวิวสูงตระหง่าน รายล้อมด้วยอาหารสตรีทฟู้ดแบบบ้าน ๆ
แห่งที่ 3 “มหัศจรรย์หาดทรายดำ” หนึ่งเดียวในแผ่นดินไทย และ 1 ใน 5 ของโลกของป่าชายเลนติดพื้นที่ฝั่ง อุดมสมบูรณ์ด้วยทรายธรรมชาติสีดำสนิท ผู้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวใช้บำบัดสุขภาพ พร้อม ๆ กับเดินลัดเลาะทะเลชมป่าโกงกาง
แห่งที่ 4 “เหยี่ยวแดงคอขาว” ปรากฏการณ์เหยี่ยวแดงขอคอขาวจำนวนกว่าครึ่งพันตัว โบยบินอยู่กลางทะเลสาบใกล้ ๆ ร้านอาหาร “ครัวพลัดถิ่น” ตำบลหนองคันทรง เป็นแหล่งพักพิงของเหยี่ยวกับชุมชนเหนือปรากฎการณ์ ทว่าสร้างความตื่นตาต้องใจนักท่องเที่ยวทุกวัย
แห่งที่ 5 “ทะเลมรกตในหมู่เกาะทะเลตราด” นั่งเรือฝ่าฟองคลื่นสีขาวนวล ตัดกับท้องฟ้าสีคราม เลือกพักผ่อนตามเกาะต่าง ๆ มีทั้งเกาะยอดนิยมอย่าง เกาะช้าง เกาะขาม เกาะกูด เกาะหมาก แต่ละปีเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 8 เดือน
แห่งที่ 6 “ลานตะบูนท่าระแนะ” สัมผัสความมหัศจรรย์ของพื้นที่ดึกดำบรรพ์ของการล่องเรือผ่านเข้าสู่บรรยากาศ 3 ป่า ในอ้อมกอดของรากไม้ตะบูนจำนวนมากสานกันเป็นเกลียวแผ่ขยายตัวอยู่บนหน้าดินกว้างหลายไร่
แห่งที่ 7 “ล่องเรือมาดบ้านสลักคอก” ความโรแมนติกที่หาได้ในชุมชนบนเกาะช้าง ได้ผสมผสานความดั้งเดิมและธรรมชาติให้กลมกลืนเข้ากับการท่องเที่ยวยุคใหม่ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเรือมาดแจวไปมา ทั้งชีลและแชร์ความสุขไปสู่ส่วนรวมได้
แห่งที่ 8 “สวนผลไม้เมืองตราด” นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชิมผลไม้ได้ทุกสวน โดยเฉพาะในช่วงพฤษภาคมของทุกปี มีทั้งสวนบนฝั่งและในเกาะช้าง หรือเกาะต่าง ๆ ให้รับประทานถึง 6 ชนิด ตามภูมิปัญญาพื้นบ้านยังเป็นสมุนไพรช่วยดูแลสุขภาพได้ด้วย ได้แก่ “ทุเรียน” ที่ช่วยฆ่าเชื้อ และมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ช่วยระบบเผาผลาญและช่วยระบายท้องได้ดี “มังคุด” ช่วยบำรุงผิว สายตา ประสาท แก้ท้องผูก ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง “ลองกอง” ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ให้พลังงานแก่ร่างกาย ใช้เป็นยาขับพยาธิ “สละ-ระกำ” ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ ขับเสมหะ และแก้ไอ “เงาะ” ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก แก้อาการท้องร่วง ส่วน“สับปะรดสีทอง” ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีมากขึ้น ช่วยสุขภาพในช่องปากแข็งแรง
แห่งที่ 9 “น้ำพริกเกลือ” เป็นน้ำจิ้มพื้นบ้านของชาวเล รสเด็ดมาก ทั้งจัดจ้านจี๊ดจ๊าด รับประทานกับอาหารทะเลนึ่ง อบ เผา สด ๆ จากทะเลตราด ตอนนี้นำมาปรุงเป็นอาหารเรียกว่าข้าวคลุกพริกเกลือ ชาวเมืองตราดต่างก็รับรองในความอร่อยของเมนูนี้
@กินอย่างไรไม่ให้อ้วน
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต เรากินอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน และสารอาหารต่าง ๆ ให้ร่างกายเจริญเติบโต บำรุง สุขภาพให้แข็งแรง แต่ถ้ากินมากเกินไปและไม่ได้สัดส่วน จะทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกิด"โรคอ้วน"
ขั้นตอนการกินอย่างไรไม่อ้วน
1.วางแผนการกินอาหาร เพื่อประเมินว่าควรกินอาหารอะไร ปริมาณเท่าใด ในแต่ละวัน ซึ่งไม่ควรเกินกำหนดดังนี้
- กลุ่มข้าว-แป้ง เช่น ข้าวสุก เส้นก๋วยเตี๋ยว มื้อละ 2 ทัพพี วันละไม่เกิน 6 ทัพพี
- ผัก วันละ 3-4 ทัพพี
- ผลไม้ วันละ 3-4 ส่วน (1 ส่วนผลไม้ คือ เงาะ 4 ผล หรือฝรั่ง 1/2 ผล หรือส้ม 1 ผล, กล้วย 1 ผล)
- เนื้อสัตว์ มื้อละ 4 ช้อนกินข้าว
- นมจืดไขมันต่ำ วันละ 1-2 กล่อง (กล่องละ 200-240 ml.)
- น้ำมัน วันละไม่เกิน 3 ช้อนชา
2. ใช้ภาชนะขนาดเล็กสำหรับกินอาหาร เพราะเวลาตักอาหารจะได้ปริมาณไม่มากเกินไป ถ้าภาชนะใหญ่ทำให้ตักอาหารมาก บางครั้งก็จะพยายามกินจนหมด เพราะเสียดาย ทั้งที่อิ่มแล้ว
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ไขมันสูง เพราะจะทำให้ร่างกายได้พลังงานมากเกินไป เกิดการสะสมไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
4. หยุดการกินอาหารทันทีเมื่อรู้สึกอิ่ม ถ้าเริ่มอิ่มหมายถึง ร่างกายได้รับอาหารตามที่ต้องการแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินต่ออีกจนหมด ถ้ากินอาหารต่อเป็นการกินเกินอิ่มหรือเกินพอดี
5. ตักอาหารเข้าปากช้าๆ เคี้ยวช้าๆและนานขึ้น การเคี้ยวช้าๆทำให้อาหารละเอียด ช่วยในการย่อยและร่างกายเราต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะบอกว่าอิ่มแล้ว ถ้ากินเร็วร่างกายบอกไม่ทันว่าอิ่มแล้ว ถึงตอนนั้นทำให้ได้อาหารมากเกินความต้องการ
6. นั่งกินเฉพาะในห้องอาหารหรือโรงอาหาร ทำให้กินเป็นเวลา ถูกสถานที่ ลดการกินจุบจิบ ซึ่งเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่ทำให้กินอาหารมากเกินไป
7. การปฏิบัติตัวเมื่อไปร้านสะดวกซื้อ
- จดรายการก่อนออกไปชื้อ
- พยายามเลี่ยงการเดินใกล้ๆบริเวณที่จำหน่ายเบเกอรี่หรือขนมจุบจิบ
- จำกัดปริมาณอาหารสำเร็จ (พร้อมบริโภค)
- ไม่ควรไปซื้ออาหารขณะกำลังหิว จะทำให้ซื้ออาหารหรือขนมบางอย่างที่ไม่จำเป็น
- อ่านฉลากอาหารและข้อมูลโภชนาการก่อนชื้อ
8.การกินในโอกาสพิเศษ เช่น งานปาร์ตี้ วันคล้ายวันเกิด การกินอาหารนอกบ้าน เป็นสิ่งที่ท้าทาย ควรตระหนักว่าเราควรกินอะไร ปริมาณเท่าไหร่ ต้องวางแผนล่วงหน้าเลือกทางที่ดีที่สุด ก็สามารถมีความสุขกับโอกาสพิเศษนั้นได้ คือ ต้องไม่กินอาหารในกลุ่มที่ให้พลังงานสูงมากเกินไป ไม่ถือโอกาสนั้นๆมาเป็นข้ออ้างในการกิน สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ การควบคุมปริมาณอาหารที่กิน กินไม่หมดไม่ต้องฝืนกินจนหมดจาน
9.เดินหลังมื้ออาหาร ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายดีกว่านั่งดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ หรือนอนอ่านหนังสือ เพราะการเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่ง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “39โรงแรมในไทยกวาดรางวัลในดวงใจของโลก”
โยฮัน สแวนสตรอม ประธานแบรนด์ Hotels.com กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้รับการรีวิวและโหวตให้ได้รางวัลโรงแรมในดวงใจ Loved by Guests awards มากสุด โดยมาจากการให้คะแนนในหลายระดับทั้งระดับดี ดีมากและดีเลิศ ซึ่งเป็นข้อมูลความเห็นของแขกที่เข้าพักกว่า 25 ล้านคน 25 ล้านวิว ที่จองผ่านเว็บไซต์ Hotels.com นักท่องเที่ยวเหล่านี้เลือกโรงแรมที่ดีที่สุดตามความเห็นของตนจากจำนวน 3,400 แห่ง ใน 91 ประเทศ ทั้งนี้โรงแรมที่จะเข้ามาอยู่ในลิสต์จะต้องได้คะแนน 9.4 (จาก 10 คะแนน) หรือสูงกว่านั้น ซึ่งจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรงแรม 'สุดยอดนิยม'ของโลก
โรงแรมในประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นที่พักที่ดีที่สุดในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ในการมอบรางวัลโรงแรมในดวงใจเมื่อเร็วๆ นี้ คือรางวัลโกลด์อวอร์ดสูงที่สุดในภูมิภาค โดยเป็นผลจากรีวิวที่ดีจากนักเดินทาง ซึ่งเป็นผลจากการบริการและการต้อนรับขับสู้ที่ยอดเยี่ยมของคนไทย ทำให้แขกมีความสุขในช่วงที่เข้าพัก บริการที่คุ้มค่าเงิน สถานที่ตั้งที่เหมาะสมและบริการที่สุดยอด" เจสซิก้า เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับภูมิภาค จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียจาก แบรนด์ Hotels.comกล่าว
- รีวิวโดยผู้เข้าพักจริงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าระดับดาวของโรงแรมนั้นๆ โรงแรมและที่พักในไทย 39 แห่ง ได้รับเลือกให้เป็นโรงแรมในดวงใจ Loved by Guests Awards 2018 จากนักท่องเที่ยวทั่วโลกจองที่พักผ่าน Hotels.comTM ทำให้ไทยติดอันดับที่ 4 ของประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มีโรงแรมยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวรองจาก เวียดนาม (อันดับ 1) ญี่ปุ่น (อันดับ 2) และออสเตรเลีย (อันดับ 3)
- โรงแรมในประเทศไทยติดอันดับที่ 4 ในกลุ่มที่พักที่นักท่องเที่ยวต้องการเข้าพักมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
- โรงแรมในกรุงเทพฯ ได้รับเลือกถึง 10 แห่ง
- โรงแรมในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ตได้รับเลือกให้เป็นโรงแรมยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัว โรงแรมหรู โรงแรมที่มีสปายอดเยี่ยม ประเภทบูติคโฮเต็ล โรงแรมริมหาด โรงแรมสำหรับนักธุรกิจ และโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาครั้งแรก
ในบรรดาจังหวัดต่างๆ ในไทย กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีโรงแรมระดับ 5 ดาวและโรงแรมประเภทบูติคที่ชนะใจนักท่องเที่ยว มากที่สุดถึง 10 แห่ง คือ บ้านพระยาจ่าแสน, ดาราศรม โคโลเนียล เฮ้าส์, โรงแรมโวฟ กรุงเทพ, โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ, โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ, โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาธร, โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ, ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ และ ริวา เซอร์ยา กรุงเทพ
สำหรับจังหวัดของไทยที่ได้รับเลือกให้มีโรงแรมในดวงใจมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ กรุงเทพมหานคร – 10 แห่ง เชียงใหม่ / สุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 6 แห่ง ภูเก็ต / กระบี่ จังหวัดละ 5 แห่ง พังงา / ตราด / ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดละ 2 แห่ง สุโขทัย 1 แห่ง
ข่าวที่สอง “สงขลาจ่อตั้งดิวตี้ฟรีโซนปลุกเขตเศรษฐกิจ”
นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ที่ประชุมได้หารือโครงการศึกษาวิจัยการจัดตั้งดิวตี้ ฟรี โซน ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.สงขลา ซึ่งความเป็นไปได้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อีกทั้งที่ประชุมยังศึกษาปัจจัยด้านบวกและด้านลบ ที่ส่งผลต่อการจัดตั้งเขตปลอดภาษี การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความเจริญรุ่งเรือง
ทั้งนี้ได้คาดการณ์ถึงประโยชน์จะได้รับหลังจากการเปิดดิวตี้ ฟรี โซน จะทำให้การค้าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษมีการขยายตัว มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้นและเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มประเทศAEC และนานาชาติ
ข่าวที่สาม “ปี'61อินเทนซีฟไมซ์เงินไหลเข้าไทย2.4หมื่นล้าน"
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดขณะนี้กลุ่มบริษัทจากต่างประเทศมาจัดอินเซนทิฟในไทยแนวโน้มตลอดปีจะมีผู้ที่อยู่ในธุรกิจขายตรงทั่วโลก และการทำตลาดต่อเนื่องของทีเส็บ ประกอบกับภาพลักษณ์ด้านธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย ทำให้ในปี 2561 นี้ ตลาดอินเซนทิฟจะเข้ามาไทยจำนวน 285,000 คน สร้างรายได้ 23,940 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มขายตรงจะมีมากกว่า 40,000 คน
ไฮไลต์ปีนี้จะมีบริษัท เจอเนสส์ โกลบอล จำกัด ธุรกิจเครือข่ายขายตรงจากอเมริกาเลือกไทยเป็นสถานที่จัดงาน เจอเนสส์ เอ็กซ์โป เวิลด์ ทัวร์ 2018 -แบงก์คอก (Jeunesse Expo World Tour 2018 - Bangkok) งานสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติ ภายใต้แนวคิด “รุ่งโรจน์” หรือ ไทรฟ์ (Thrive) ระหว่าง 20-23 ก.ย. 2561 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้แทนขายตรงจากทั่วภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก แอฟริกา และอินเดีย กว่า 12,000 คน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทขายตรงของประเทศต่าง ๆ วางแผนเลือกไทยเป็นสถานที่จัดงานในลักษณะอินเซ็นทีฟคือให้รางวัลเดินทางฟรีแก่ผู้ที่ทำรายได้เข้าเป้าหมาย
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ทาง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 เวลา 11.00-12.00 น.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น