ททท.ทุบสถิติเที่ยวลดขยะ-มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง
ก.ค.-ส.ค.ปลุกทั่วไทยจัดทัวร์บุญ-พาแม่เที่ยว
คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าบูมช้อปไม่ต้องบิน
ททท.ปั้น15ชุมชนVillage totheWorldภาค2
บางจากเปิดบริษัทใหม่BCPRรุกลงทุนนอร์เวย์
ทอท.เท4.2หมื่นล้านลุยทำอาคาร2สุวรรณภูมิ
ไปปีนภูสอยดาวดูหงอนนาคหน้าฝนอุตรดิตถ์
มหัศจรรย์10วิธีกินช่วยป้องกันเจ็บป่วยชะงัด
TGตั้งเอกนิติประธานบอร์ดปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ
GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีท่องเที่ยว
รมว.วีระศักดิ์หนุนโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์
TCEBชูMIเปิดแนวรุกใหญ่ไมซ์ อีโค ซิสเต็ม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ฟัง “คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำ TTM+2018 เมืองไทยผงาดเป็นงานอินเตอร์ต้นแบบไร้พลาสติก ปลอดกระดาษ ลดขยะโลกสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปีหน้า 2562 ลุ้นจะนำงานไปจัดในอีสาน อีกทั้งยังประกาศลุยใช้ Music Marketing ภาค 2 ปั้นอัลบั้ม Open to the New Shades รายภาค เพื่อดันกระแสเที่ยวเมืองหลักเมืองรองโตเชิงสร้างสรรค์ ส่วนกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ชวนคนไทยไปทัวร์บุญเข้าพรรษาทั่วไทยและปลุกกระแสครอบครัวพาแม่เที่ยวเดือนสิงหาคมนี้
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เ
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2018 นอกจากจะประสบความสำเร็จในมุมใหม่ Million Shades of Romance ตอบโจทก์การพลิกจุดขายด้วยรูปแบบการจัดงานกลางแจ้งริมท่าเรือ โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ จุดพลุคอนเซ็ปต์การทำตลาดเชิงรุกกลุ่มลูกค้าหรูหรา กระแสการเจรจาธุรกิจของคู่ค้าผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยกับตัวแทนทั่วโลกจาก 48 ประเทศ เกิดการค้าอย่างเป็นรูปธรรมที่จะมีเม็ดเงินขึ้นจากเวทีนี้รวมแล้วถึง 2,000 ล้าน บาท
ไฮไลต์จากเวที TTM+ 2018 ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้ อีกเรื่องคือการจุดประกายเทรนด์โลก “ลดขยะพลาสติก” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ครั้งของการจัดงาน ที่ ททท.เป็นผู้นำใช้อีเวนต์งานท่องเที่ยวระดับอินเตอร์เข้ามาเป็นต้นแบบการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการรณรงค์ให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดช่วยกันจนลดการสร้างขยะจำนวนมหาศาลลงได้ ถึง 5 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ลดขวดน้ำพลาสติก ได้อย่างน้อย 7,200 ขวด หลอดดูดน้ำ 7,200 หลอด โดยได้แจกแจก tumbler ขวดเติมน้ำและตั้งจุดกดน้ำดื่ม ผลจากการเลิกแจกขวดน้ำพลาสติก 7,200 ขวด เท่ากับได้ลดจำนวนน้ำที่ใช้ในการผลิตขวด ได้มากถึง 18,000 ลิตร (น้ำขวด 1 ลิตร ใช้น้ำผลิต 5 ลิตร)
2. ลดกระดาษได้มากถึง 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กระดาษที่เคยใช้ผลิต directory จากเดิมในแต่ละปีที่ผ่านมาต้องผลิตแจกผู้เข้าร่วมงานมากถึง 2,000 เล่ม ก็ลดลงเหลือเพียง 500 เล่ม แล้วให้คนส่วนใหญ่หันไปดาวโหลดข้อมูลได้ทาง application ส่วนที่ 2 ใบประเมินผลเดิมเคยใช้กระดาษอย่างน้อย 2,400 แผ่น แต่ครั้งนี้ให้ตอบผ่าน application ซึ่งไปช่วยลดกระบวนการใช้น้ำเพื่อการผลิตลงได้ประมาณ 10,000 ลิตร
3. ลดสายคล้องคอ badge 1,200 เส้น โดยเปลี่ยนไปใช้ badge ชนิดแถบแม่เหล็กซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ได้ในครั้งต่อไป
4. ลดจาน ชาม ที่เป็นกระดาษ โฟม ช้อนส้อมที่เป็นพลาสติก อย่างน้อย 5,000 ชิ้น
5. ลดการแจกถุงผ้า 1,200 ใบ สามารถลดการใช้น้ำเพื่อผลิตถุงผ้า ได้ 1,200,000 ลิตร
ยังไม่รวมถึงลดการใช้พลังงานอื่น ๆ ในแต่ละขั้นตอนการผลิต เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากที่ได้นำมาตรการลดการแจกพลาสติก เลิกใช้กระดาษ และอื่น ๆ ลงจากการจัดงาน TTM+2018 สะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
อีกทั้งผู้บริหาร ททท.เองก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้วยเช่นกันในการทำงานและชีวิตประจำวันได้หันมาเป็นต้นแบบการใช้แก้วเติมน้ำดื่มเลิกใช้พลาสติกต่าง ๆ ลงอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและคนรอบข้างปฏิบัติตาม
นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2562 การกำหนดสถานที่จัด TTM Plus 2019 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาภายใน 2-3 เดือน จะตัดสินใจว่าควรจะเลือกสถานที่จัดงานปีต่อไปในพัทยาต่อเนื่อง หรือจะย้ายไปยังจังหวัดที่มีความพร้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่แนวนโยบายหลักจะยึดต้นแบบการจัดที่โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ นั่นคือ กำหนดธีมคอนเซ็ปต์อย่างชัดเจน และเพิ่มความเข้มข้นเรื่องลดเลิกผลิตขยะต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
สำหรับภารกิจการนำกลยุทธ์ Music Marketing มาปลุกกระแสการท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง ตามแนวคิดใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดท่องเที่ยว ซึ่งทำหลายรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันแคมเปญ “อะเมซิ่ง ไทยเท่” ก็นำดนตรีเข้ามาใช้ผลิตสปอตโดยเน้นนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเชิงลึก เช่น บ้านป่าปาก พัทลุง ปางอุ๋ง (แม่ฮ่องสอน) และอีกหลายแห่ง ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ทางอารมณ์การพักผ่อน
ผนวกกับการวางแผนจัดอีเวนต์ดนตรีเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวโดยศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย “โก้ แซกแมน” ได้แต่งเพลงเป็นอัลบั้ม Open to the New Shades รวม 13 เพลง ล่าสุดเป็นเพลงสะมิหลา ท่องเที่ยวปักษ์ใต้ โดยภาพรวมแล้วก็จะนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลาดต่างประเทศ ช่วงครึ่งปีหลังจะนำมาโปรโมตให้คนไทยในประเทศได้รับฟังภายในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะจัดเทศกาลดนตรีขึ้น สอดรับกับเมื่องาน Jass Festival ที่หัวหิน ได้รับความนิยมมาก เพราะมีเพลงเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละภาคอยู่ด้วย นับเป็นภาษาสากลที่ช่วยสื่อถึงการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้ “โก้ แซกแมน” นำไปจัดแสดงร่วมในเวทีคอนเสิร์ตเฟสติวัลสำคัญระดับนานาชาติทั่วโลก อาทิ แจ๊สเฟสติวัล เนเธอร์แลนด์ รายการใหญ่ระดับโลกนำเพลง Open to the New Shades นักท่องเที่ยวและแฟนเพลงนับพันคนชื่นชอบและชื่นชม เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงคนทั่วโลกมาท่องเที่ยวเมืองไทย และกำลังไปจัดแสดงที่ฝรั่งเศสเร็ว ๆ นี้ โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก เพราะได้รับการสนับสนุนจากการบินไทยและภาคีพันธมิตร แต่กระแสตอบรับที่กลับมาเกินกว่าที่ลงทุน เพราะชาวต่างชาติจะเก็บเป็นของที่ระลึกพร้อมกับอ่านถึงแรงบันดาลใจของศิลปินที่ผลิตผลงานเหล่านี้ออกสู่ตลาด และช่วงกันยายนนี้จะนำเสนอเพลงท่องเที่ยวเมืองรองสไตล์ร็อคเต็มรูปแบบ
นายธเนศวร์ย้ำว่า การชวนท่องเที่ยวช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ หัวใจสำคัญของทั้ง 2 เดือน จะมีการท่องเที่ยวไฮไลต์ท่องเที่ยวเชิงศาสนาทัวร์บุญ วันเข้าพรรษาและสิงหาพาแม่เที่ยว ระหว่าง 24-28 กรกฎาคม 2561 ทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดงานเที่ยวแห่เทียนพรรษา หลัก ๆ ก็มี อุบลราชธานี นครราชสีมา ชัยภูมิ ตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ ร้อยเอ็ด นครพนม ภาคกลางก็ที่สุพรรณบุรี หรือนครสวรรค์ตักบาตรเทียนโพมหามงคล เป็นต้น
สำหรับสิงหาคมเดือนแห่งวันแม่ กิจกรรมที่ ททท.จะสนับสนุนส่งเสริมมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรักในครอบครัวและแม่ พร้อมการตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ระหว่าง 1-13 สิงหาคม 2561 ทุ่งกระเจียวสื่อรักวันแม่ จ.สุพรรณบุรี เรื่อยไปจนถึง “งานเทศกาลชมสวนฤดูฝนเชียงใหม่” ชวนไปเชียงใหม่ เพื่อชม 2 งาน คือ งานสวนดอกไม้และดอกปทุมมาศหรือดอกบัวมากกว่า 20 สายพันธุ์ ที่สวนพฤกษศาสตร์ กับงานลานนาพฤกษศาสตร์ วันที่ 12 สิงหาคม 2561 บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ททท.ทุ่มเททำการตลาดเชิงรุกอย่างหนัก เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกระจายเข้าสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศให้ได้มากที่สุดในปี 2561
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าดึงไทยช้อปได้ไม่ต้องบิน”
“คิง เพาเวอร์” กระตุ้นจุดขายไลฟ์สไตล์ที่เป็นมากกว่าดิวตี้ฟรี เปิดแนวรุกสินค้า “ป้ายฟ้า” 6 หมวด ซื้อได้โดยไม่ต้องมีตั๋วบินต่างประเทศ แถมไฮไลต์อีเวนต์กับสตรีทฟู้ดแบบจัดเต็มตลอดปี’61
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้วางกลยุทธ์ธุรกิจให้เป็นไลฟ์สไตล์ซึ่งเป็นมากกว่าร้านค้าจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (duty Free) ที่สามารถตอบสนองโจทก์ความต้องการของนักท่องเที่ยวและคนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งสามารถเข้ามาเดินช้อปปิ้งสินค้าที่ไม่จำเป็นจะต้องมีตั๋วโดยสารเดินทางต่างประเทศก็ได้ เพราะทางร้านได้นำสินค้าป้ายฟ้าในประเภทต่าง ๆ มาวางจำหน่าย ไม่ต่ำกว่า 6 หมวด ประกอบด้วย 1.หมวดการท่องเที่ยว ผลิตภายใต้อินเฮาส์แบรนด์ VS, OS, Jouney 2.หมวดอาหารโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปของชุมชน 3.หมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ 4.หมวดนาฬิกาที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง คาสิโอ หรือแม้แต่แว่นตาแบรนด์เนมบางรายการของ Prada 5.หมวดกีฬา มีทั้งแฟชั่นเสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ และ 6.หมวดสปาและสุขภาพ
รวมทั้งยังมีโซนร้านอาหารสไตล์สตรีทฟู้ดให้เลือกรับประทาน ที่คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ แบรนด์ดังอย่างร้านผัดไทยทิพย์สมัย ร้านก๋วยจับสีลม ร้านกุ้งเผาอยุธยา ข้าวมันไก่เจ๊กเม้ง เรียกได้เป็นความอร่อยจบครบในที่เดียวกัน ขณะที่คิง เพาเวอร์ ในเมืองสาขาอื่น ๆ อาทิ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต ก็มีร้านอาหารคุณภาพดีรวมอยู่ด้วย
สำหรับคิง เพาเวอร์ รางน้ำ นั้น ปี 2561 ได้วางกลยุทธ์จัดให้มีอีเวนต์แต่ละเดือนเพื่อทำเป็นจุดหมายปลายทางของแหล่งพักผ่อนใจกลางกรุง เป็นอีเวนต์ขนาดแตกต่างกันไป ช่วงกันยายนปีนี้เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ต่อเนื่องในเดือนตุลาคมจะจัดฉลองเดือนเกิดของบริษัทโดยมีกิจกรรม Delight คืนกำไรให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วย
ข่าวที่ 2 “ททท.ดัน Village To The worldภาค2ปั้น15ชุมชน”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าได้จัดโครงการยกระดับท่องเที่ยวชุมชน Village To The world เพื่อต่อยอดขยายผลด้านการตลาดการท่องเที่ยวของชุมชนให้เป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีนี้ ททท. ได้คัดเลือก 15 ชุมชนในพื้นที่เมืองรองที่มีความพร้อมในการทำการตลาดท่องเที่ยวชุมชน
ภายในเดือนกรกฎาคม 2561 ททท.จะเปิดตัวโครงการเต็มรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้ด้วยการประชาสัมพันธ์กระตุ้นการท่องเที่ยวชุมชน ระหว่างนี้ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก 2 องค์กร คือ องค์กรแรก คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ทีมนักออกแบบผลิตภัณฑ์จาก สตูดิโอ ไดอะล็อก ลงพื้นที่เตรียมความพร้อมให้แต่ละชุมชนครอบคลุมทุกด้าน เช่น งานออกแบบสร้างสรรค์ ความประทับใจในชุมชน Impressive creation โดยได้จัดส่งทีมนักออกแบบอาหาร Food stylish ช่วยแนะนำการออกแบบสร้างสรรค์อาหาร การจัดเลี้ยงในชุมชน และส่งทีมอาจารย์จากภาควิชาการโรงแรมเข้าไปช่วยตกแต่งโฮมสเตย์ชุมชนให้น่ารัก น่าพัก น่านอนมากขึ้น
องค์กรที่ 2 ทีมจากสตูดิโอ ไดอะล็อก จะเข้ามาดูแลงานด้านการออกแบบดีไซน์แพ็คเกจจิ้งสินค้าชุมชน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าชุมชน สวยงาม น่าซื้อ น่าใช้มากขึ้น
สำหรับ 15 ชุมชน นำร่องที่จะขยายผลต่อไปในโครงการ ประกอบด้วย 1. ชุมชนบ้านผาหมี จ.เชียงราย 2. ชุมชนบ้านท่าขันทอง จ.เชียงราย 3. ชุมชนปางห้าโฮมสเตย์ จ.เชียงราย4. ชุมชนศิลาเพชร จ.น่าน 5. ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง จ.ลำปาง 6. ชุมชนพรหมโลก จ.นครศรีธรรมราช 7. ชุมชนบ้านสามช่องเหนือ จ.พังงา
8. ชุมชนการท่องเที่ยวปะทิว (บางสน) จ.ชุมพร 9. ชุมชนเกาะปูยู จ.สตูล 10. ชุมชนตะโหมด จ.พัทลุง11. ชุมชนบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา9 จ.ยะลา 12. ชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์ จ.ตรัง 13. ชุมชนแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี 14. ชุมชนบ้านแหลมกลัด จ.ตราด 15. ชุมชนคีรีวงกต จ.อุดรธานี
ข่าวที่ 3 “บางจากตั้งบ.BCPRรุกลงทุนปิโตรเลียมนอร์เวย์”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) บางจากฯ มีมติให้จัดตั้งบริษัท BCPR Thailand ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ในประเทศไทย ในชื่อ BCPR ขึ้นในสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมลงทุนกับ Seacrest Capital Group ในแหล่งปิโตรเลียม Draugen Field และ Gjøa Field จาก A/S Norske Shell (Shell) โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ OKEA AS (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของนอร์เวย์ ในการดำเนินการพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์
รวมถึง BCPR จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน OKEA สัดส่วนไม่เกิน 90 % ของทุนจดทะเบียนส่วนที่เพิ่มขึ้นใน OKEA มูลค่ารวมไม่เกิน 939 ล้านโครนนอร์เวย์ (NOK) หรือประมาณ 3,760 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า 15 % ตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน
ภายหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ BCPR จะถือหุ้น OKEA ประมาณ 45 % ของทุนจดทะเบียนรวมทั้งหมด และ OKEA จะนำเงินเพิ่มทุนไปชำระค่าซื้อสิทธิในแหล่งน้ำมันดิบ Draugen Field และ Gjøa Field ในนอร์เวย์ จาก Shell ตามสัญญาซื้อขายสิทธิในแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าว โดย OKEA มีกำลังการผลิตประมาณ 25,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้เป็นผู้ผลิตรายสำคัญรายหนึ่งของนอร์เวย์
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนร่วมกันในลักษณะของ Joint Partnership ในแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ (World Class Asset) ที่มีอายุการผลิตต่อเนื่องในระยะยาว โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้เป็นน้ำมันดิบเบา (light crude) ที่มีราคาดี เหมาะกับการผลิตและการกลั่นของบางจากฯ นับเป็นการต่อยอดธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการกระจายความเสี่ยงที่สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท บางจากฯ ซึ่งคาดว่าการทำธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 และจะเข้าทำสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น รวมทั้งสัญญาที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เท4.2หมื่นสร้างอาคาร2สุวรรณภูมิ”
นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) “ทอท.-AOT” เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เดือนมิถุนายน 2561 มีมติอนุมัติให้ ทอท.ให้ ทอท.ใช้เงิน 42,084.564 ล้านบาท ลงทุนโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อเนื่องในช่วงที่กำลังพัฒนาเฟส 2 (ปีงบประมาณ 2554 - 2560) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็นปีละ 60 ล้านคน เนื่องจากตามคาดการณ์ปี 2561 จะมีผู้โดยสารมากถึง 65 ล้านคน ปี 2562 เพิ่มเป็น 68 ล้านคน เกินขีดความสามารถการรองรับได้ในช่วงเฟส 2 แล้วเสร็จ
สอดคล้องกับ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จภาคขนส่งทางอากาศโดยให้ ท่าอากาศยานดอนมือง และสุวรรณภูมิ มีขีดความสามารถในปี 2562 รองรับผู้โดยสารให้ได้ปีละ 90 ล้านคน ปี 2564 เป็นปีละ 120 ล้านคน 2.เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของรัฐบาลมุ่งให้สนามบินรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีกปีละ 30 ล้านคน
สำหรับขั้นตอนลงทุน 1.ทอท.จะเสนอโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 พร้อมวงเงินลงทุนตามมติบอร์ดให้กระทรวงคมนาคม 2.นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3.เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว จึงน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2562 แล้วเสร็จตามแผนปี 2564
ช่วงที่ 2 เตรียมตัวฟิตร่างกายไปปีน “ภูสอยดาว” เมืองน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ กับฤดูชมดอกหงอนนาคหน้าฝนบนลานกว้างกว่า 1,000 ไร่ ดื่มด่ำกับธรรมชาติป่าที่มีครบทุกแบบ ส่วนการดูแลสุขภาพ ลองทำ “10 วิธีกินอาหารเพื่อช่วยป้องกันการเจ็บป่วยได้ชะงัด” เรื่อยไปจนถึงข่าวแห่งสัปดาห์ การบินไทยตั้งแล้ว “เอกนิติ นิติทัณฑ์” นั่งประธานบอร์ดคนใหม่ ผอ.สคร.คนรุ่นใหม่เจ้าของไอเดียปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ 6 เรื่องใหญ่ อีกประเด็นเป็นการเร่งเจรจากับนายสุเมธ ดำรงชัยกุล ว่าที่ DD คนใหม่ว่าจะต้องการเงินเดือนสักเท่าไร ส่วน GIT จับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวดันจุดขายโลเกชั่นถ่ายทำหนังต่างประเทศในไทยเพื่อโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวแถมได้เงินลงทุนและรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นปีละกว่า3,000 ล้านบาท ขณะที่ TCEB ออกตัวแรงโดยใช้ตลาด MI เปิดแนวรุก MICE Eco System
@ไปปีนภูสอยดาวชมทุ่งหงอนนาคน้ำปาดอุตรดิตถ์
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย เตรียมตัวให้พร้อมกับขึ้น “ภูสอยดาว” ในอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งกำลังเตรียมเปิดฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
ด้วยสภาพอากาศเย็นสบาย ๆ เฉลี่ย 27 องศาเซียลเซส บนยอดสูงสุดของภูสอยดาวความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ในเทือกเขากั้นพรมแดนไทย- สปป.ลาว อันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าสนเขา ดิบเขา ดิบชิ้น ดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ศูนย์รวมนักท่องเที่ยวจะอยู่บริเวณลานสนสามใบ ซึ่งสูงเพียง 1,633 เมตร โอบล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามกว้างใหญ่ในพื้นที่ราบบนเทือกเขากว่า 1,000 ไร่
ขอบอกว่านักท่องเที่ยวที่จะขึ้นภูสอยดาวเพื่อไปดื่มด่ำธรรมชาติทุ่ง “ดอกหงอนนาค” ซึ่งบานสะพรั่งรับหน้าฝนอันชุ่มฉ่ำแห่งเดียวในเมืองไทยนั้น ก่อนจะไปต้องเตรียมฟิตร่างกายให้พร้อม เพราะต้องใช้เวลาเดินเท้าราว 4-6 ชั่วโมง กว่าจะเข้าถึงทุ่งดอกไม้ใหญ่สุดของประเทศ จะมีทั้ง “ดอกหงอนนาค” สีม่วงอ่อน ออกช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของทุกปี “ดอกสร้อยสุวรรณา” สีเหลือง ดอกหญ้ารากหอมสีม่วงเข้ม สวยงามมาก หากไปท่องเที่ยว “หน้าหนาว”จะได้ชมดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านาทีอินทนนท์ ใบเมเบิ้ล สีแดงสวยละลานตา
การไปปีนภูสอยดาวมีกฎอยู่ว่า หากต้องการพักค้างแรมบริเวณลานสน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวก่อนล่วงหน้า จะมีบริการลูกหาบช่วยขนสัมภาระ และมีเวลาให้ขึ้นภูได้เป็นช่วงตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงบ่ายโมงเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และต้องเตรียมเต็นท์ที่จะพักแรมไปเอง ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนด้านล่างของภูสอยดาว จะมีบริการที่กางเต็นต์ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และห้องพัก ให้เข้าไปจองทางเว็บไซต์ www.dpe.go.th
สถานที่ท่องเที่ยวรอบบริเวณอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว นอจากการปีนเขาขึ้นไปสูดอากาศบนยอดสูงสุดบนภูแล้ว ในพื้นที่ท่องเที่ยวได้ปกติก็มี “น้ำตกภูสอยดาว” เป็นลำห้วยน้ำพายไหลลงสู่น้ำปาด ลดหลั่นกันลงมามีน้ำตลอดทั้งปี 5 ชั้น ชื่อแต่ละชั้นไพเราะเสนาะหู เช่น ภูสอยดา สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ สุภาภรณ์ “น้ำตกสายทิพย์” ขนาดเล็ก ๆ เตี้ย ๆ 7 ชั้น แต่ละชั้นสูงแค่ 5-10 เมตร มีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมก้อนหินริมน้ำ เหมาะจะถ่ายรูปสวย ๆ มาฝากเพื่อนฝูง
การเข้าอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจะต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตู คือ จักรยาน คันละ 10 บาท มอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท รถเก๋ง/ปิ๊กอัพ/รถตู้ คันละ 30 บาท รถบัสขนาด 24 ที่นั่งขึ้นไป คันละ 200 บาท ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไป ค่าบัตรเข้า คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ ต้องลองไปพิชิตภูสอยดาว ดาวเด่นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติเชิงผจญภัยในเมืองรองอุตรดิตถ์
ก่อนเดินทางควรสอบถามสภาพอากาศและการเปิดบริการได้ที่ สำนักงานอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว โทร.055-436-001-2
@มหัศจรรย์การกิน10วิธีช่วยป้องกันเจ็บป่วยได้
สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ การกินก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ควรระมัดระวัง เพราะปัจจุบัน ด้วยสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้อาหารที่รับประทานนั้น ไม่ปลอดภัย 100 % เสมอไป อาหารที่ถูกสุขอนามัยนั้นเราไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารแพงๆ หรือวิตามินมากิน เพียงแค่เราปฏิบัติตามกฎ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.กินอาหารหลายๆชนิดหมุนเวียนกันไปทุกวัน
2.กินอาหารให้เพียงพอ ไม่มากไม่น้อยไป
3.กินอาหารที่เป็นธรรมชาติดัดแปลงแต่น้อย
4.กินเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ ไม่กินระหว่างมื้อ
5.กินอาหารเช้าให้มาก และหนักที่สุด ส่วนมื้อเย็นกินน้อยๆและเบาๆ
6.กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด
7.ควรกินอย่างฉลาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ปลอมปนและเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย
8.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
9.ไม่บริโภคสิ่งเสพติด
10.เวลากินข้าวระวังอย่าให้ตึงเครียด อารมณ์เสีย หรือเหนื่อยมากเกินไป
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บินไทยตั้งเอกนิติประธานบอร์ด-เร่งคุยสุเมธดีดีคนใหม่”
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงาน ที่ประชุมบอร์ดการบินไทยเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 61 เห็นชอบให้แต่งตั้ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย แทนนายสมชัย สัจจพงษ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจผลักดันการบินไทยบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว มีความแข็งแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ในขั้นตอนการประกาศนั้น จะต้องรออนุกรรมการกลั่นกรอง ชุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะมีผลอย่างเป็นทางการ
สำหรับนายเอกนิติผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นเจ้าของแนวคิดปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีหรือที่เรียกว่า Disruptive Technology เพื่อเปลี่ยนโฉมองค์กร 6 เรื่องใหญ่ได้แก่ 1.ยกระดับคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ให้เป็นกรรมการภายใต้กฎหมาย 2.จัดทำภาพรวมยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 3.เสนอการจัดทำธรรมาภิบาลที่จะนำมาใช้กับรัฐวิสาหกิจ 4. การนำ Skill matrix มาใช้กับการตั้งกรรมการ 5. จัดทำการประเมินผลให้ตรงกับยุทธศาสตร์ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ 6.เสนอศึกษาการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
ขณะที่ การบินไทยอยู่ระหว่างการเจรจากับ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม ที่ผ่านการสรรหาเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) การบินไทย เรื่องผลตอบแทนรายได้ ให้ได้ข้อยุติก่อนนางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการดีดีการบินไทย จะเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2561
ข่าวที่สอง “GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว”
นายราเชนทร์ พจนสุนทร ประธานบริหารสถาบันวิจัยและ พัฒนาอัญมณีและเครื่องประ ดับแห่งชาติ (GIT) กล่าวว่า เตรียมวางแผนจับมือกับการท่หองเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายหมุนเวียนปีละ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการขายภายในประเทศ 5 แสนล้านบาท ส่งออกต่างประเทศ 5 แสนล้านบาท โดยกำลังผลักดันมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและขอใบรับรองสินค้า และผลักดันโครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (BWC) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคด้วย
ช่วงครึ่งปีหลังทาง GIT พร้อมเดินหน้าทำโครงการพัฒนาศักยภาพธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการประกอบกิจการและสร้างรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก โดยจะเข้าไปพัฒนาอัตลักษณ์เครื่องประดับท้องถิ่นเพิ่มเติมในจังหวัดต่าง ๆ เช่น แพร่ ตราด สุรินทร์ สตูล และเพชรบุรี ต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ช่วยพัฒนาเครื่องทองสุโขทัย เครื่องเงินล้านนาเชียงใหม่ เครื่องเงินชนเผ่าเมือง น่าน มุกอันดามันจากภูเก็ต พลอยสีจันทบุรีและตาก จนเป็นที่รู้จักของตลาดและนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่สาม “ไทยชูขายโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์บูมท่องเที่ยว3พันล้าน”
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรมการท่องเที่ยวส่งเสริมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และดึงดูดกองถ่ายทำจากต่างประเทศ มุ่งสร้างเม็ดเงินและส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีวิถีไทยนำเสนอสีสัน ความหลากหลายที่ผสมกลมกลืนของไทย กับโจทย์การแข่งขันการถ่ายทำภาพยนตร์ใน 8 คลัสเตอร์ท่องเที่ยว ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่มีโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ยอดนิยมอันดับ 1 ในเอเชีย ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำมากที่สุด สถิติปี 2560 เข้ามามากถึง 810 เรื่อง สร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2561 ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย ครั้งที่ 6 Thailand International Film Destination Festival 2018 : TIFDF 2018 เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์การถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยผ่านกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย พร้อมเผยแพร่ศักยภาพของไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และความพร้อมด้านการให้บริการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องวิถีไทย และเผยแพร่ภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศที่มีระดับ มีความสวยงาม มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งยังมีรายได้จากเงินที่เข้ามาลงทุน ทำให้เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
ข่าวที่สี่ “TCEBเร่งขยายตลาดMIงัดทำระบบไมซ์อีโค”
นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการสายงานธุรกิจ ทีเส็บ กล่าวว่า “ธุรกิจการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Meetings & Incentives) หรือ MI เป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ประมาณ 50 % ให้แก่อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย ระหว่างปี 2561-2562 ตั้งเป้าเน้นการสร้างระบบ MICE Eco System หรือระบบนิเวศน์ให้แก่ธุรกิจไมซ์ สร้างความเกื้อหนุนและส่งเสริมในทุกปัจจัยและกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ขับเคลื่อนตลาด MI ด้วยการบูรณาการงานอย่างสอดประสานและเอื้อประโยชน์กัน 3 แนวทาง ประกอบด้วย
1. ส่งเสริมไมซ์ โดยเฉพาะธุรกิจ MI ให้เกิดการจัดงานที่สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งด้านโทรคมนาคม ยานยนต์ สุขภาพและบริการ เพื่อขยายความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศผ่านการประชุม
2. ส่งเสริมการจัดประชุมในพื้นที่เมืองไมซ์ซิตี้และเมืองที่มีศักยภาพ อาทิ เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC, หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี สนับสนุนการสร้างทรัพยากรในพื้นที่ให้พร้อมรองรับการจัดงาน สร้างงานและรายได้ให้ประชาชน พัฒนาระบบนิเวศน์ไมซ์ในภูมิภาค ตามนโยบายรัฐบาล
3. สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไมซ์ไทย ให้พัฒนาศักยภาพของสินค้า บริการ รวมทั้งการตลาดและการขาย โดยทีเส็บทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเวทีไมซ์ส่งเสริมผู้ประกอบการ อาทิ การสร้างเวทีให้ความรู้ เวทีเจรจาธุรกิจกับลูกค้าต่างประเทศ สร้าง Demand และ Supply ที่เกื้อหนุนกันของธุรกิจ”
สอดคล้องกับสถานการณ์ครึ่งแรกปี 2561 สามารถนำกลุ่มจัดประชุม (Meetings : M) นำนักเดินทางเข้ามาได้ 150,849 คน เติบโต 11.81% และกลุ่มได้รับรางวัลการเดินทางฟรี (Incentives : I ) 176,005 คน เติบโตสูงสุดถึง 21.63 %
รวมทั้งใช้งาน TIME 2018 ที่จัดในไทย ระหว่าง 20-23 มิถุนายน 2561 ดึงตลาดระยะไกล 3 ทวีป จากยุโรป อเมริกาเหนือ โอเชเนีย เข้ามาสร้างความสำเร็จ โดยทำให้เกิดเม็ดเงินกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจประเทศราว 170 ล้านบาท
ก.ค.-ส.ค.ปลุกทั่วไทยจัดทัวร์บุญ-พาแม่เที่ยว
คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าบูมช้อปไม่ต้องบิน
ททท.ปั้น15ชุมชนVillage totheWorldภาค2
บางจากเปิดบริษัทใหม่BCPRรุกลงทุนนอร์เวย์
ทอท.เท4.2หมื่นล้านลุยทำอาคาร2สุวรรณภูมิ
ไปปีนภูสอยดาวดูหงอนนาคหน้าฝนอุตรดิตถ์
มหัศจรรย์10วิธีกินช่วยป้องกันเจ็บป่วยชะงัด
TGตั้งเอกนิติประธานบอร์ดปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ
GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีท่องเที่ยว
รมว.วีระศักดิ์หนุนโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์
TCEBชูMIเปิดแนวรุกใหญ่ไมซ์ อีโค ซิสเต็ม
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza
ช่วงที่ 1 ฟัง “คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำ TTM+2018 เมืองไทยผงาดเป็นงานอินเตอร์ต้นแบบไร้พลาสติก ปลอดกระดาษ ลดขยะโลกสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปีหน้า 2562 ลุ้นจะนำงานไปจัดในอีสาน อีกทั้งยังประกาศลุยใช้ Music Marketing ภาค 2 ปั้นอัลบั้ม Open to the New Shades รายภาค เพื่อดันกระแสเที่ยวเมืองหลักเมืองรองโตเชิงสร้างสรรค์ ส่วนกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ชวนคนไทยไปทัวร์บุญเข้าพรรษาทั่วไทยและปลุกกระแสครอบครัวพาแม่เที่ยวเดือนสิงหาคมนี้
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เ
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) |
ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผุ้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2018 นอกจากจะประสบความสำเร็จในมุมใหม่ Million Shades of Romance ตอบโจทก์การพลิกจุดขายด้วยรูปแบบการจัดงานกลางแจ้งริมท่าเรือ โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ จุดพลุคอนเซ็ปต์การทำตลาดเชิงรุกกลุ่มลูกค้าหรูหรา กระแสการเจรจาธุรกิจของคู่ค้าผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยกับตัวแทนทั่วโลกจาก 48 ประเทศ เกิดการค้าอย่างเป็นรูปธรรมที่จะมีเม็ดเงินขึ้นจากเวทีนี้รวมแล้วถึง 2,000 ล้าน บาท
ไฮไลต์จากเวที TTM+ 2018 ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้ อีกเรื่องคือการจุดประกายเทรนด์โลก “ลดขยะพลาสติก” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ครั้งของการจัดงาน ที่ ททท.เป็นผู้นำใช้อีเวนต์งานท่องเที่ยวระดับอินเตอร์เข้ามาเป็นต้นแบบการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการรณรงค์ให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดช่วยกันจนลดการสร้างขยะจำนวนมหาศาลลงได้ ถึง 5 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ลดขวดน้ำพลาสติก ได้อย่างน้อย 7,200 ขวด หลอดดูดน้ำ 7,200 หลอด โดยได้แจกแจก tumbler ขวดเติมน้ำและตั้งจุดกดน้ำดื่ม ผลจากการเลิกแจกขวดน้ำพลาสติก 7,200 ขวด เท่ากับได้ลดจำนวนน้ำที่ใช้ในการผลิตขวด ได้มากถึง 18,000 ลิตร (น้ำขวด 1 ลิตร ใช้น้ำผลิต 5 ลิตร)
2. ลดกระดาษได้มากถึง 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กระดาษที่เคยใช้ผลิต directory จากเดิมในแต่ละปีที่ผ่านมาต้องผลิตแจกผู้เข้าร่วมงานมากถึง 2,000 เล่ม ก็ลดลงเหลือเพียง 500 เล่ม แล้วให้คนส่วนใหญ่หันไปดาวโหลดข้อมูลได้ทาง application ส่วนที่ 2 ใบประเมินผลเดิมเคยใช้กระดาษอย่างน้อย 2,400 แผ่น แต่ครั้งนี้ให้ตอบผ่าน application ซึ่งไปช่วยลดกระบวนการใช้น้ำเพื่อการผลิตลงได้ประมาณ 10,000 ลิตร
3. ลดสายคล้องคอ badge 1,200 เส้น โดยเปลี่ยนไปใช้ badge ชนิดแถบแม่เหล็กซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ได้ในครั้งต่อไป
4. ลดจาน ชาม ที่เป็นกระดาษ โฟม ช้อนส้อมที่เป็นพลาสติก อย่างน้อย 5,000 ชิ้น
5. ลดการแจกถุงผ้า 1,200 ใบ สามารถลดการใช้น้ำเพื่อผลิตถุงผ้า ได้ 1,200,000 ลิตร
ยังไม่รวมถึงลดการใช้พลังงานอื่น ๆ ในแต่ละขั้นตอนการผลิต เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากที่ได้นำมาตรการลดการแจกพลาสติก เลิกใช้กระดาษ และอื่น ๆ ลงจากการจัดงาน TTM+2018 สะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
อีกทั้งผู้บริหาร ททท.เองก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้วยเช่นกันในการทำงานและชีวิตประจำวันได้หันมาเป็นต้นแบบการใช้แก้วเติมน้ำดื่มเลิกใช้พลาสติกต่าง ๆ ลงอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและคนรอบข้างปฏิบัติตาม
นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2562 การกำหนดสถานที่จัด TTM Plus 2019 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาภายใน 2-3 เดือน จะตัดสินใจว่าควรจะเลือกสถานที่จัดงานปีต่อไปในพัทยาต่อเนื่อง หรือจะย้ายไปยังจังหวัดที่มีความพร้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่แนวนโยบายหลักจะยึดต้นแบบการจัดที่โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ นั่นคือ กำหนดธีมคอนเซ็ปต์อย่างชัดเจน และเพิ่มความเข้มข้นเรื่องลดเลิกผลิตขยะต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
สำหรับภารกิจการนำกลยุทธ์ Music Marketing มาปลุกกระแสการท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง ตามแนวคิดใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดท่องเที่ยว ซึ่งทำหลายรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันแคมเปญ “อะเมซิ่ง ไทยเท่” ก็นำดนตรีเข้ามาใช้ผลิตสปอตโดยเน้นนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวเชิงลึก เช่น บ้านป่าปาก พัทลุง ปางอุ๋ง (แม่ฮ่องสอน) และอีกหลายแห่ง ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ทางอารมณ์การพักผ่อน
ผนวกกับการวางแผนจัดอีเวนต์ดนตรีเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวโดยศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย “โก้ แซกแมน” ได้แต่งเพลงเป็นอัลบั้ม Open to the New Shades รวม 13 เพลง ล่าสุดเป็นเพลงสะมิหลา ท่องเที่ยวปักษ์ใต้ โดยภาพรวมแล้วก็จะนำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลาดต่างประเทศ ช่วงครึ่งปีหลังจะนำมาโปรโมตให้คนไทยในประเทศได้รับฟังภายในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะจัดเทศกาลดนตรีขึ้น สอดรับกับเมื่องาน Jass Festival ที่หัวหิน ได้รับความนิยมมาก เพราะมีเพลงเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละภาคอยู่ด้วย นับเป็นภาษาสากลที่ช่วยสื่อถึงการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้ “โก้ แซกแมน” นำไปจัดแสดงร่วมในเวทีคอนเสิร์ตเฟสติวัลสำคัญระดับนานาชาติทั่วโลก อาทิ แจ๊สเฟสติวัล เนเธอร์แลนด์ รายการใหญ่ระดับโลกนำเพลง Open to the New Shades นักท่องเที่ยวและแฟนเพลงนับพันคนชื่นชอบและชื่นชม เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงคนทั่วโลกมาท่องเที่ยวเมืองไทย และกำลังไปจัดแสดงที่ฝรั่งเศสเร็ว ๆ นี้ โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก เพราะได้รับการสนับสนุนจากการบินไทยและภาคีพันธมิตร แต่กระแสตอบรับที่กลับมาเกินกว่าที่ลงทุน เพราะชาวต่างชาติจะเก็บเป็นของที่ระลึกพร้อมกับอ่านถึงแรงบันดาลใจของศิลปินที่ผลิตผลงานเหล่านี้ออกสู่ตลาด และช่วงกันยายนนี้จะนำเสนอเพลงท่องเที่ยวเมืองรองสไตล์ร็อคเต็มรูปแบบ
นายธเนศวร์ย้ำว่า การชวนท่องเที่ยวช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ หัวใจสำคัญของทั้ง 2 เดือน จะมีการท่องเที่ยวไฮไลต์ท่องเที่ยวเชิงศาสนาทัวร์บุญ วันเข้าพรรษาและสิงหาพาแม่เที่ยว ระหว่าง 24-28 กรกฎาคม 2561 ทั่วประเทศพร้อมใจกันจัดงานเที่ยวแห่เทียนพรรษา หลัก ๆ ก็มี อุบลราชธานี นครราชสีมา ชัยภูมิ ตักบาตรบนหลังช้างจังหวัดสุรินทร์ ร้อยเอ็ด นครพนม ภาคกลางก็ที่สุพรรณบุรี หรือนครสวรรค์ตักบาตรเทียนโพมหามงคล เป็นต้น
สำหรับสิงหาคมเดือนแห่งวันแม่ กิจกรรมที่ ททท.จะสนับสนุนส่งเสริมมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรักในครอบครัวและแม่ พร้อมการตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ระหว่าง 1-13 สิงหาคม 2561 ทุ่งกระเจียวสื่อรักวันแม่ จ.สุพรรณบุรี เรื่อยไปจนถึง “งานเทศกาลชมสวนฤดูฝนเชียงใหม่” ชวนไปเชียงใหม่ เพื่อชม 2 งาน คือ งานสวนดอกไม้และดอกปทุมมาศหรือดอกบัวมากกว่า 20 สายพันธุ์ ที่สวนพฤกษศาสตร์ กับงานลานนาพฤกษศาสตร์ วันที่ 12 สิงหาคม 2561 บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ททท.ทุ่มเททำการตลาดเชิงรุกอย่างหนัก เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกระจายเข้าสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศให้ได้มากที่สุดในปี 2561
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ชูสินค้าป้ายฟ้าดึงไทยช้อปได้ไม่ต้องบิน”
“คิง เพาเวอร์” กระตุ้นจุดขายไลฟ์สไตล์ที่เป็นมากกว่าดิวตี้ฟรี เปิดแนวรุกสินค้า “ป้ายฟ้า” 6 หมวด ซื้อได้โดยไม่ต้องมีตั๋วบินต่างประเทศ แถมไฮไลต์อีเวนต์กับสตรีทฟู้ดแบบจัดเต็มตลอดปี’61
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้วางกลยุทธ์ธุรกิจให้เป็นไลฟ์สไตล์ซึ่งเป็นมากกว่าร้านค้าจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (duty Free) ที่สามารถตอบสนองโจทก์ความต้องการของนักท่องเที่ยวและคนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งสามารถเข้ามาเดินช้อปปิ้งสินค้าที่ไม่จำเป็นจะต้องมีตั๋วโดยสารเดินทางต่างประเทศก็ได้ เพราะทางร้านได้นำสินค้าป้ายฟ้าในประเภทต่าง ๆ มาวางจำหน่าย ไม่ต่ำกว่า 6 หมวด ประกอบด้วย 1.หมวดการท่องเที่ยว ผลิตภายใต้อินเฮาส์แบรนด์ VS, OS, Jouney 2.หมวดอาหารโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปของชุมชน 3.หมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ 4.หมวดนาฬิกาที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง คาสิโอ หรือแม้แต่แว่นตาแบรนด์เนมบางรายการของ Prada 5.หมวดกีฬา มีทั้งแฟชั่นเสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ และ 6.หมวดสปาและสุขภาพ
รวมทั้งยังมีโซนร้านอาหารสไตล์สตรีทฟู้ดให้เลือกรับประทาน ที่คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ แบรนด์ดังอย่างร้านผัดไทยทิพย์สมัย ร้านก๋วยจับสีลม ร้านกุ้งเผาอยุธยา ข้าวมันไก่เจ๊กเม้ง เรียกได้เป็นความอร่อยจบครบในที่เดียวกัน ขณะที่คิง เพาเวอร์ ในเมืองสาขาอื่น ๆ อาทิ ศรีวารี พัทยา ภูเก็ต ก็มีร้านอาหารคุณภาพดีรวมอยู่ด้วย
สำหรับคิง เพาเวอร์ รางน้ำ นั้น ปี 2561 ได้วางกลยุทธ์จัดให้มีอีเวนต์แต่ละเดือนเพื่อทำเป็นจุดหมายปลายทางของแหล่งพักผ่อนใจกลางกรุง เป็นอีเวนต์ขนาดแตกต่างกันไป ช่วงกันยายนปีนี้เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ต่อเนื่องในเดือนตุลาคมจะจัดฉลองเดือนเกิดของบริษัทโดยมีกิจกรรม Delight คืนกำไรให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วย
ข่าวที่ 2 “ททท.ดัน Village To The worldภาค2ปั้น15ชุมชน”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าได้จัดโครงการยกระดับท่องเที่ยวชุมชน Village To The world เพื่อต่อยอดขยายผลด้านการตลาดการท่องเที่ยวของชุมชนให้เป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีนี้ ททท. ได้คัดเลือก 15 ชุมชนในพื้นที่เมืองรองที่มีความพร้อมในการทำการตลาดท่องเที่ยวชุมชน
ภายในเดือนกรกฎาคม 2561 ททท.จะเปิดตัวโครงการเต็มรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้ด้วยการประชาสัมพันธ์กระตุ้นการท่องเที่ยวชุมชน ระหว่างนี้ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก 2 องค์กร คือ องค์กรแรก คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ทีมนักออกแบบผลิตภัณฑ์จาก สตูดิโอ ไดอะล็อก ลงพื้นที่เตรียมความพร้อมให้แต่ละชุมชนครอบคลุมทุกด้าน เช่น งานออกแบบสร้างสรรค์ ความประทับใจในชุมชน Impressive creation โดยได้จัดส่งทีมนักออกแบบอาหาร Food stylish ช่วยแนะนำการออกแบบสร้างสรรค์อาหาร การจัดเลี้ยงในชุมชน และส่งทีมอาจารย์จากภาควิชาการโรงแรมเข้าไปช่วยตกแต่งโฮมสเตย์ชุมชนให้น่ารัก น่าพัก น่านอนมากขึ้น
องค์กรที่ 2 ทีมจากสตูดิโอ ไดอะล็อก จะเข้ามาดูแลงานด้านการออกแบบดีไซน์แพ็คเกจจิ้งสินค้าชุมชน ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าชุมชน สวยงาม น่าซื้อ น่าใช้มากขึ้น
สำหรับ 15 ชุมชน นำร่องที่จะขยายผลต่อไปในโครงการ ประกอบด้วย 1. ชุมชนบ้านผาหมี จ.เชียงราย 2. ชุมชนบ้านท่าขันทอง จ.เชียงราย 3. ชุมชนปางห้าโฮมสเตย์ จ.เชียงราย4. ชุมชนศิลาเพชร จ.น่าน 5. ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง จ.ลำปาง 6. ชุมชนพรหมโลก จ.นครศรีธรรมราช 7. ชุมชนบ้านสามช่องเหนือ จ.พังงา
8. ชุมชนการท่องเที่ยวปะทิว (บางสน) จ.ชุมพร 9. ชุมชนเกาะปูยู จ.สตูล 10. ชุมชนตะโหมด จ.พัทลุง11. ชุมชนบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา9 จ.ยะลา 12. ชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์ จ.ตรัง 13. ชุมชนแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี 14. ชุมชนบ้านแหลมกลัด จ.ตราด 15. ชุมชนคีรีวงกต จ.อุดรธานี
ข่าวที่ 3 “บางจากตั้งบ.BCPRรุกลงทุนปิโตรเลียมนอร์เวย์”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) บางจากฯ มีมติให้จัดตั้งบริษัท BCPR Thailand ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ ในประเทศไทย ในชื่อ BCPR ขึ้นในสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมลงทุนกับ Seacrest Capital Group ในแหล่งปิโตรเลียม Draugen Field และ Gjøa Field จาก A/S Norske Shell (Shell) โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ OKEA AS (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของนอร์เวย์ ในการดำเนินการพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์
รวมถึง BCPR จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน OKEA สัดส่วนไม่เกิน 90 % ของทุนจดทะเบียนส่วนที่เพิ่มขึ้นใน OKEA มูลค่ารวมไม่เกิน 939 ล้านโครนนอร์เวย์ (NOK) หรือประมาณ 3,760 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า 15 % ตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน
ภายหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ BCPR จะถือหุ้น OKEA ประมาณ 45 % ของทุนจดทะเบียนรวมทั้งหมด และ OKEA จะนำเงินเพิ่มทุนไปชำระค่าซื้อสิทธิในแหล่งน้ำมันดิบ Draugen Field และ Gjøa Field ในนอร์เวย์ จาก Shell ตามสัญญาซื้อขายสิทธิในแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าว โดย OKEA มีกำลังการผลิตประมาณ 25,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้เป็นผู้ผลิตรายสำคัญรายหนึ่งของนอร์เวย์
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนร่วมกันในลักษณะของ Joint Partnership ในแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ (World Class Asset) ที่มีอายุการผลิตต่อเนื่องในระยะยาว โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้เป็นน้ำมันดิบเบา (light crude) ที่มีราคาดี เหมาะกับการผลิตและการกลั่นของบางจากฯ นับเป็นการต่อยอดธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการกระจายความเสี่ยงที่สอดคล้องตามกลยุทธ์ของบริษัท บางจากฯ ซึ่งคาดว่าการทำธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 และจะเข้าทำสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น รวมทั้งสัญญาที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เท4.2หมื่นสร้างอาคาร2สุวรรณภูมิ”
นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) “ทอท.-AOT” เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เดือนมิถุนายน 2561 มีมติอนุมัติให้ ทอท.ให้ ทอท.ใช้เงิน 42,084.564 ล้านบาท ลงทุนโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อเนื่องในช่วงที่กำลังพัฒนาเฟส 2 (ปีงบประมาณ 2554 - 2560) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็นปีละ 60 ล้านคน เนื่องจากตามคาดการณ์ปี 2561 จะมีผู้โดยสารมากถึง 65 ล้านคน ปี 2562 เพิ่มเป็น 68 ล้านคน เกินขีดความสามารถการรองรับได้ในช่วงเฟส 2 แล้วเสร็จ
สอดคล้องกับ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1.ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จภาคขนส่งทางอากาศโดยให้ ท่าอากาศยานดอนมือง และสุวรรณภูมิ มีขีดความสามารถในปี 2562 รองรับผู้โดยสารให้ได้ปีละ 90 ล้านคน ปี 2564 เป็นปีละ 120 ล้านคน 2.เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของรัฐบาลมุ่งให้สนามบินรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีกปีละ 30 ล้านคน
สำหรับขั้นตอนลงทุน 1.ทอท.จะเสนอโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 พร้อมวงเงินลงทุนตามมติบอร์ดให้กระทรวงคมนาคม 2.นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3.เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว จึงน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2562 แล้วเสร็จตามแผนปี 2564
ช่วงที่ 2 เตรียมตัวฟิตร่างกายไปปีน “ภูสอยดาว” เมืองน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ กับฤดูชมดอกหงอนนาคหน้าฝนบนลานกว้างกว่า 1,000 ไร่ ดื่มด่ำกับธรรมชาติป่าที่มีครบทุกแบบ ส่วนการดูแลสุขภาพ ลองทำ “10 วิธีกินอาหารเพื่อช่วยป้องกันการเจ็บป่วยได้ชะงัด” เรื่อยไปจนถึงข่าวแห่งสัปดาห์ การบินไทยตั้งแล้ว “เอกนิติ นิติทัณฑ์” นั่งประธานบอร์ดคนใหม่ ผอ.สคร.คนรุ่นใหม่เจ้าของไอเดียปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ 6 เรื่องใหญ่ อีกประเด็นเป็นการเร่งเจรจากับนายสุเมธ ดำรงชัยกุล ว่าที่ DD คนใหม่ว่าจะต้องการเงินเดือนสักเท่าไร ส่วน GIT จับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวดันจุดขายโลเกชั่นถ่ายทำหนังต่างประเทศในไทยเพื่อโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวแถมได้เงินลงทุนและรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นปีละกว่า3,000 ล้านบาท ขณะที่ TCEB ออกตัวแรงโดยใช้ตลาด MI เปิดแนวรุก MICE Eco System
@ไปปีนภูสอยดาวชมทุ่งหงอนนาคน้ำปาดอุตรดิตถ์
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย เตรียมตัวให้พร้อมกับขึ้น “ภูสอยดาว” ในอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งกำลังเตรียมเปิดฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
ด้วยสภาพอากาศเย็นสบาย ๆ เฉลี่ย 27 องศาเซียลเซส บนยอดสูงสุดของภูสอยดาวความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ในเทือกเขากั้นพรมแดนไทย- สปป.ลาว อันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าสนเขา ดิบเขา ดิบชิ้น ดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ศูนย์รวมนักท่องเที่ยวจะอยู่บริเวณลานสนสามใบ ซึ่งสูงเพียง 1,633 เมตร โอบล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามกว้างใหญ่ในพื้นที่ราบบนเทือกเขากว่า 1,000 ไร่
ขอบอกว่านักท่องเที่ยวที่จะขึ้นภูสอยดาวเพื่อไปดื่มด่ำธรรมชาติทุ่ง “ดอกหงอนนาค” ซึ่งบานสะพรั่งรับหน้าฝนอันชุ่มฉ่ำแห่งเดียวในเมืองไทยนั้น ก่อนจะไปต้องเตรียมฟิตร่างกายให้พร้อม เพราะต้องใช้เวลาเดินเท้าราว 4-6 ชั่วโมง กว่าจะเข้าถึงทุ่งดอกไม้ใหญ่สุดของประเทศ จะมีทั้ง “ดอกหงอนนาค” สีม่วงอ่อน ออกช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของทุกปี “ดอกสร้อยสุวรรณา” สีเหลือง ดอกหญ้ารากหอมสีม่วงเข้ม สวยงามมาก หากไปท่องเที่ยว “หน้าหนาว”จะได้ชมดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านาทีอินทนนท์ ใบเมเบิ้ล สีแดงสวยละลานตา
การไปปีนภูสอยดาวมีกฎอยู่ว่า หากต้องการพักค้างแรมบริเวณลานสน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวก่อนล่วงหน้า จะมีบริการลูกหาบช่วยขนสัมภาระ และมีเวลาให้ขึ้นภูได้เป็นช่วงตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงบ่ายโมงเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และต้องเตรียมเต็นท์ที่จะพักแรมไปเอง ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนด้านล่างของภูสอยดาว จะมีบริการที่กางเต็นต์ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และห้องพัก ให้เข้าไปจองทางเว็บไซต์ www.dpe.go.th
สถานที่ท่องเที่ยวรอบบริเวณอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว นอจากการปีนเขาขึ้นไปสูดอากาศบนยอดสูงสุดบนภูแล้ว ในพื้นที่ท่องเที่ยวได้ปกติก็มี “น้ำตกภูสอยดาว” เป็นลำห้วยน้ำพายไหลลงสู่น้ำปาด ลดหลั่นกันลงมามีน้ำตลอดทั้งปี 5 ชั้น ชื่อแต่ละชั้นไพเราะเสนาะหู เช่น ภูสอยดา สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ สุภาภรณ์ “น้ำตกสายทิพย์” ขนาดเล็ก ๆ เตี้ย ๆ 7 ชั้น แต่ละชั้นสูงแค่ 5-10 เมตร มีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมก้อนหินริมน้ำ เหมาะจะถ่ายรูปสวย ๆ มาฝากเพื่อนฝูง
การเข้าอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจะต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตู คือ จักรยาน คันละ 10 บาท มอเตอร์ไซด์ คันละ 20 บาท รถเก๋ง/ปิ๊กอัพ/รถตู้ คันละ 30 บาท รถบัสขนาด 24 ที่นั่งขึ้นไป คันละ 200 บาท ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไป ค่าบัตรเข้า คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ ต้องลองไปพิชิตภูสอยดาว ดาวเด่นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติเชิงผจญภัยในเมืองรองอุตรดิตถ์
ก่อนเดินทางควรสอบถามสภาพอากาศและการเปิดบริการได้ที่ สำนักงานอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว โทร.055-436-001-2
@มหัศจรรย์การกิน10วิธีช่วยป้องกันเจ็บป่วยได้
สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ การกินก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ควรระมัดระวัง เพราะปัจจุบัน ด้วยสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้อาหารที่รับประทานนั้น ไม่ปลอดภัย 100 % เสมอไป อาหารที่ถูกสุขอนามัยนั้นเราไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารแพงๆ หรือวิตามินมากิน เพียงแค่เราปฏิบัติตามกฎ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.กินอาหารหลายๆชนิดหมุนเวียนกันไปทุกวัน
2.กินอาหารให้เพียงพอ ไม่มากไม่น้อยไป
3.กินอาหารที่เป็นธรรมชาติดัดแปลงแต่น้อย
4.กินเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ ไม่กินระหว่างมื้อ
5.กินอาหารเช้าให้มาก และหนักที่สุด ส่วนมื้อเย็นกินน้อยๆและเบาๆ
6.กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด
7.ควรกินอย่างฉลาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ปลอมปนและเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย
8.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
9.ไม่บริโภคสิ่งเสพติด
10.เวลากินข้าวระวังอย่าให้ตึงเครียด อารมณ์เสีย หรือเหนื่อยมากเกินไป
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “บินไทยตั้งเอกนิติประธานบอร์ด-เร่งคุยสุเมธดีดีคนใหม่”
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงาน ที่ประชุมบอร์ดการบินไทยเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 61 เห็นชอบให้แต่งตั้ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย แทนนายสมชัย สัจจพงษ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจผลักดันการบินไทยบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว มีความแข็งแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ในขั้นตอนการประกาศนั้น จะต้องรออนุกรรมการกลั่นกรอง ชุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะมีผลอย่างเป็นทางการ
สำหรับนายเอกนิติผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นเจ้าของแนวคิดปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีหรือที่เรียกว่า Disruptive Technology เพื่อเปลี่ยนโฉมองค์กร 6 เรื่องใหญ่ได้แก่ 1.ยกระดับคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ให้เป็นกรรมการภายใต้กฎหมาย 2.จัดทำภาพรวมยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 3.เสนอการจัดทำธรรมาภิบาลที่จะนำมาใช้กับรัฐวิสาหกิจ 4. การนำ Skill matrix มาใช้กับการตั้งกรรมการ 5. จัดทำการประเมินผลให้ตรงกับยุทธศาสตร์ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ 6.เสนอศึกษาการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
ขณะที่ การบินไทยอยู่ระหว่างการเจรจากับ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม ที่ผ่านการสรรหาเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) การบินไทย เรื่องผลตอบแทนรายได้ ให้ได้ข้อยุติก่อนนางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการดีดีการบินไทย จะเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2561
ข่าวที่สอง “GITจับมือททท.ผุดถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว”
นายราเชนทร์ พจนสุนทร ประธานบริหารสถาบันวิจัยและ พัฒนาอัญมณีและเครื่องประ ดับแห่งชาติ (GIT) กล่าวว่า เตรียมวางแผนจับมือกับการท่หองเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำถนนสายอัญมณีเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายหมุนเวียนปีละ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการขายภายในประเทศ 5 แสนล้านบาท ส่งออกต่างประเทศ 5 แสนล้านบาท โดยกำลังผลักดันมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและขอใบรับรองสินค้า และผลักดันโครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (BWC) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคด้วย
ช่วงครึ่งปีหลังทาง GIT พร้อมเดินหน้าทำโครงการพัฒนาศักยภาพธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการประกอบกิจการและสร้างรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก โดยจะเข้าไปพัฒนาอัตลักษณ์เครื่องประดับท้องถิ่นเพิ่มเติมในจังหวัดต่าง ๆ เช่น แพร่ ตราด สุรินทร์ สตูล และเพชรบุรี ต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ช่วยพัฒนาเครื่องทองสุโขทัย เครื่องเงินล้านนาเชียงใหม่ เครื่องเงินชนเผ่าเมือง น่าน มุกอันดามันจากภูเก็ต พลอยสีจันทบุรีและตาก จนเป็นที่รู้จักของตลาดและนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่สาม “ไทยชูขายโลเกชั่นถ่ายหนังอินเตอร์บูมท่องเที่ยว3พันล้าน”
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรมการท่องเที่ยวส่งเสริมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และดึงดูดกองถ่ายทำจากต่างประเทศ มุ่งสร้างเม็ดเงินและส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีวิถีไทยนำเสนอสีสัน ความหลากหลายที่ผสมกลมกลืนของไทย กับโจทย์การแข่งขันการถ่ายทำภาพยนตร์ใน 8 คลัสเตอร์ท่องเที่ยว ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่มีโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ยอดนิยมอันดับ 1 ในเอเชีย ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำมากที่สุด สถิติปี 2560 เข้ามามากถึง 810 เรื่อง สร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2561 ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย ครั้งที่ 6 Thailand International Film Destination Festival 2018 : TIFDF 2018 เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์การถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยผ่านกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย พร้อมเผยแพร่ศักยภาพของไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และความพร้อมด้านการให้บริการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องวิถีไทย และเผยแพร่ภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศที่มีระดับ มีความสวยงาม มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งยังมีรายได้จากเงินที่เข้ามาลงทุน ทำให้เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
ข่าวที่สี่ “TCEBเร่งขยายตลาดMIงัดทำระบบไมซ์อีโค”
นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการสายงานธุรกิจ ทีเส็บ กล่าวว่า “ธุรกิจการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Meetings & Incentives) หรือ MI เป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ประมาณ 50 % ให้แก่อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย ระหว่างปี 2561-2562 ตั้งเป้าเน้นการสร้างระบบ MICE Eco System หรือระบบนิเวศน์ให้แก่ธุรกิจไมซ์ สร้างความเกื้อหนุนและส่งเสริมในทุกปัจจัยและกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ขับเคลื่อนตลาด MI ด้วยการบูรณาการงานอย่างสอดประสานและเอื้อประโยชน์กัน 3 แนวทาง ประกอบด้วย
1. ส่งเสริมไมซ์ โดยเฉพาะธุรกิจ MI ให้เกิดการจัดงานที่สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งด้านโทรคมนาคม ยานยนต์ สุขภาพและบริการ เพื่อขยายความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศผ่านการประชุม
2. ส่งเสริมการจัดประชุมในพื้นที่เมืองไมซ์ซิตี้และเมืองที่มีศักยภาพ อาทิ เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC, หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี สนับสนุนการสร้างทรัพยากรในพื้นที่ให้พร้อมรองรับการจัดงาน สร้างงานและรายได้ให้ประชาชน พัฒนาระบบนิเวศน์ไมซ์ในภูมิภาค ตามนโยบายรัฐบาล
3. สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการไมซ์ไทย ให้พัฒนาศักยภาพของสินค้า บริการ รวมทั้งการตลาดและการขาย โดยทีเส็บทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเวทีไมซ์ส่งเสริมผู้ประกอบการ อาทิ การสร้างเวทีให้ความรู้ เวทีเจรจาธุรกิจกับลูกค้าต่างประเทศ สร้าง Demand และ Supply ที่เกื้อหนุนกันของธุรกิจ”
สอดคล้องกับสถานการณ์ครึ่งแรกปี 2561 สามารถนำกลุ่มจัดประชุม (Meetings : M) นำนักเดินทางเข้ามาได้ 150,849 คน เติบโต 11.81% และกลุ่มได้รับรางวัลการเดินทางฟรี (Incentives : I ) 176,005 คน เติบโตสูงสุดถึง 21.63 %
รวมทั้งใช้งาน TIME 2018 ที่จัดในไทย ระหว่าง 20-23 มิถุนายน 2561 ดึงตลาดระยะไกล 3 ทวีป จากยุโรป อเมริกาเหนือ โอเชเนีย เข้ามาสร้างความสำเร็จ โดยทำให้เกิดเม็ดเงินกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจประเทศราว 170 ล้านบาท
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น