TCEBพลิกอุตสาหกรรมไมซ์ไทย5มิติใหม่ปี’62
โชว์นวัตกรรมไฮเทค-ศูนย์วิจัยแห่งแรกอาเซียน
คิงเพาเวอร์บุกดิวตี้ฟรีออนไลน์ลดได้เกิน20%
ททท.งัดเทศกาลไหลเหลือไฟแม่น้ำโขงโกยทัวร์
“บีซีพีจี”ลุยขายโรงไฟฟ้าในญ่ปุ่นทำรายได้พุ่ง
ทอท.เคลียร์ทุกปมสุวรรณภูมิใหม่90 ล้านคน
แต่งไทยไปเที่ยวละโว้-ปีนเขาพิสูจน์รักลพบุรี
เลี่ยงฝุ่นควันฤดูฝนลดเสี่ยงโรคทางเดินหายใจ
ทย.จ่อผุดสนามบินสตูลรุกขยายเพิ่มนคร/ตรัง
ไปรษณีย์ชูแบรนด์เพิ่มสุขช็อปโอท็อปออนไลน์
เด็กซ์-สวนนงนุชจัดวิ่งในหุบเขาไดโนเสาร์9ธค.
แคนทารีโคราชเสิร์ฟเจเต็มสูตร 9-17 ต.ค.นี้
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97
ช่วงที่ 1 เปิดมุมใหม่กับ “ศุภวรรณ ตีระรัตน์” รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ใช้นวัตกรรมการพัฒนา “5 มิติใหม่” เปลี่ยนอุตสาหกรรมไมซ์ประเทศให้กลายเป็นดาวอาเซียนภายในปี 2562 ไทยจะเป็นผู้นำศูนย์วิจัยไมซ์ มาตรฐาน AMVS ประการสำคัญจะปลุกพื้นที่นำร่องตามคอนเซ็ปต์ AREA BASE “ไมซ์ ซิตี้ เมืองรอง” แจ้งเกิดพรึบพรับ จาก 5 เป็น 13 จังหวัด อีสาน เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ภาคกลาง เตรียมเฮได้เลย เพราะทีเส็บจะติดอาวุธธุรกิจไมซ์ให้กลายเป็นพลังเศรษฐกิจชาติเติบโตอีก 5-8 %
คุณศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่าวางกลยุทธ์นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการตลาดอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2562 ด้วย 5 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 การสร้างองค์ความรู้ ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาบรรจุหลักสูตรไมซ์เรียบร้อยแล้ว 106 แห่ง ในระดับมหาวิทยาลัย 14 แห่ง สอนการจัดอีเวนต์โดยเฉพาะ เป้าหมายต้องการสร้างบุคลากรไมซ์ในแบบ Feature Leader ให้มากที่สุด เป็นมืออาชีพทั่วประเทศ และมีทำให้เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนหรือ MICE Education นอกจากความร่วมมือในมหาวิทยาลัยทั่วอาเซียนแล้ว ยังได้นำหลักสูตรนานาชาติเข้ามาสอนโดยมีไทยเป็นเซ็นเตอร์ของอาเซียน เช่น หลักสูตรการจัดประชุม การจัดแสดงสินค้า ความยั่งยืน และบริหารจัดการ
มิติที่ 2 การสร้างมาตรฐาน ขณะนี้ไทยมีกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมมีมาตรฐานการขยายธุรกิจ ส่วนทีเส็บก็ต้องสร้างและคิดค้นมาตรฐานโดยให้การรับรองเองเรียกว่า Thailand MICE Venue Standard :TMVS เป้าหมายในมุมมองของลูกค้าทั้งการจัดประชุม แสดงสินค้า ผู้ประกอบการกลุ่มบริษัท องค์กร ภาครัฐ ต้องการหาสถานที่จัดงานอย่างมืออาชีพเพื่อรองรับการจัดงานให้ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันทีเส็บได้สร้างมาตรฐาน 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1.ประเภทสถานที่จัดประชุม 2.ประเภทจัดแสดงสินค้า 3.ประเภทจัดกิจกรรมพิเศษกลางแจ้ง เพิ่งเปิดปลายปี 2561 โดยได้พัฒนายกระดับให้อาเซียนนำไปใช้รับรองด้วย ASEAN MICE Venue Standard แล้วยังมี ISO ต่าง ๆ ปี 2562 หลัก ๆ ที่จะดึงความสนใจต่างชาติให้ตัดสินใจเลือกมาจัดในไทยคือ ISO เกี่ยวกับ Foodvent Prevention : การป้องกันของเสียเรื่องอาหารที่นำมาใช้ในงาน ตามสถิติที่ผ่านมามีการทิ้งของเสียจำนวนมาก จึงหันมาเน้นให้ลดของเหลือซึ่งทำเป็นแพกเกจหากลดได้ก็จะชดเชยเป็นงบประมาณสนับสนุน
มิติที่ 3 Smart MICE รัฐบาลเดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0 เน้นการสร้างอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ดังนั้นกลุ่มที่อยู่ในเป้าหมายก็มีบริการ ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ ตอนนี้ทีเส็บผลักดันให้ผู้ประกอบการนำนวัตกรรมมาใช้ทางด้านเทคโนโลยีกับดิจิตอล ปี 2561 ได้ทำ 1.แอพลิเคชั่น Bidconnect application เพื่อให้ผู้รับจัดงาน ประชุม แสดงสินค้า อีเวนต์ นำไปใช้การลงทะเบียน การจ่ายเงิน เล่ารายละเอียดการจัดงาน รวมทั้งเนื้อของวิทยากร กิจกรรมพิเศษ และแผนผังภายในแต่ละงาน 2.Chatbot เพราะผู้จัดงานจากต่างประเทศมีคำถามหลากหลายในการนำอุปกรณ์เข้ามาจัดแสดง ข้อมูลการทำวีซ่า 3.เปิดตัวโครงการศูนย์วิจัยไมซ์ ปี 2562 เป็นโปรดักซ์ใหม่ของอุตสาหกรรมไมซ์และเป็นศูนย์วิจัยแรกของอาเซียน โดยจะรวมแหล่งข้อมูล สถิติ เนื้อหางานวิจัย และเทรนด์ แนวโน้มของอุตสาหกรรมไมซ์และอุตสาหกรรมที่ไทยต้องการผลักดัน S-CURV 10 กลุ่ม อาทิ ยานยนต์ การแพทย์ การ์เมนท์ เวลเนส ท่องเที่ยว เรื่อยไปจนถึงการทำพยากรณ์อนาคตของไมซ์ ขณะนี้เริ่มมีสถาบันการศึกษาเข้ามาใช้แล้ว
ปี 2561 ได้รวบรวมบิ๊กดาต้าของแต่ละภาคเข้ามาไว้ในศูนย์วิจัยไมซ์ นำร่อง ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ (นครศรีธรรมราช สงขลา) ถือเป็นศูนย์กลางข้อมูลทันสมัยใช้ได้ทั้งผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษาที่เปิดหลักสูตรไมซ์ รวมอยู่ด้วยทั้งหมด โดยมีการลิงค์เข้าไปยัง แอพลิเคชั่น เว็บไซต์ เพื่อดูปฏิทินการจัดงานแต่ละเดือน แต่ละงาน ได้
มิติที่ 4 Area Base ทางทีเส็บขับเคลื่อนผลักดันการเติบโตของเมืองให้มีความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ จากปัจจุบันมีเมืองไมซ์ -MICE CITY อยู่ 5 เมือง กรุงเทพฯ พัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ตอนนี้กำลังศึกษาเพื่อขยายเป็น 13 เมืองไมซ์ ในอนาคตก็จะมีเพิ่มขึ้นเป็นการขยายฐานเพิ่มรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น
สำหรับไมซ์ ซิตี้ ขณะนี้เพิ่มจาก 5 เป็น 11 เมือง ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ หัวหิน ชะอำ กาญจนบุรี
มิติที่ 5 การอำนวยความสะดวก ทั้งเรื่องการทำวีซ่า และการนำอุปกรณ์เข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทยต้องผ่านกฎมหมายกว่า200 ฉบับ ตั้งแต่ผ่านศุลกากรและอื่น ๆ แตกต่างจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งเป็นเมืองฟรีพอร์ต ดังนั้นในอนาคตทางทีเส็บจะยกระดับเป็น One Stop Service โดยใช้ศูนย์เดียวบริการทั้งหมดทุกเรื่อง เบื้องต้นจับมือกับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สนามบินนานาชาติของไทยดอนเมือง สุวรรณภูมิ กระทรวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกด้านไมซ์ ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เข้าร่วมอุตสาหกรรม เพราะตอนนี้การทำวีซ่าจะต้องเวลา 10-15 วัน ต่อไปจะร่นเวลาให้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับการขอวีซ่าของวิทยากรที่เชิญเข้ามาทุกวันนี้ยังต้องทำเอกสารใบประกอบอาชีพ workpermit เพียงเพื่อจะมาเป็นวิทยากรในไทย ต่อไปก็จะลดขั้นตอนเรื่องนี้ไป
สำหรับการเปิดศูนย์ One Stop Service เต็มรูปแบบนั้นในปี 2562 เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาอยู่รวมกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะอุตสาหกรรมไมซ์แต่ละงานแบ่งตามภารกิจของแต่ละกระทรวง เช่น จัดงานแสดงสินค้าด้านสุขภาพก็ต้องพึ่งพากระทรวงสาธารณสุข หรือจัดแสดงสินค้ายานยนต์ก็ต้องใช้กระทรวงอุตสาหกรรม แล้วยังมีอีกหลายงานที่แยกตามบทบาทหน้าที่ต่างกันไป จึงต้องใช้วิธีบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียวกันก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
นางศุภวรรณกล่าวว่าในการขับเคลื่อนด้านพัฒนาและนวัตกรรมนั้นจะเป็นแรงผลักดันทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ปี 2562 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้อีก 5-8 % สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและภูมิภาคอาเซียน แนวโน้มจะเพิ่มมากกว่า 3.8 % เป็น 4.8-5.0 %
สำหรับยอดนักเดินทางไมซ์ปี 2561 จากตลาดต่างประเทศมีประมาณ 1.2 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนในประเทศได้กระตุ้นการจัดอีเวนต์แสดงสินค้า จนถึงขณะนี้น่าจะเข้าเป้าจำนวน 35 ล้านคน สร้างรายได้ 69,000 ล้านบาท ปี 2562 จะเติบโตเพิ่มจากฐานปีนี้อีก 5 % และกลยุทธ์การใช้งบประมาณเข้าไปสนับสนุนอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอจะต้องเร่งภาคอุตสาหกรรมควบคู่กับพื้นที่จังหวัดไมซ์ซิตี้ ขยายแนวให้ได้มากกว่าเมืองหลวง กรุงเทพฯ หรือเมืองหลัก แต่จะต้องเพิ่มไมซ์ซิตี้ในเมืองรอง แล้วช่วยกันกระตุ้นการจัดงานกระจายอีเวนต์ไปตามจังหวัดต่าง ๆ
ขณะนี้ทีเส็บกำลังส่งทีมเข้าไปศึกษาเมืองรองที่เสนอขอเป็นไมซ์ ซิตี้ เพิ่มจำนวนมาก เพราะบางเมืองเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว แต่จะต้องประเมินมาตรฐานความพร้อมมีสถานที่จัดประชุมให้มีตามเกณฑ์ อาจจะรับได้ตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ดังนั้นจึงต้องปูพรมนำมิติทางด้านองค์ความรู้เข้าไปช่วยเมืองรองเตรียมตัวเข้าสู่มาตรฐานการยกระดับเป็นไมซ์ซิตี้ ซึ่งทางทีเส็บมั่นใจการพัฒนาในมิติการสร้างมาตรฐาน องค์ความรู้ จัดทำฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า จะเป็นการจุดประกายภายใต้เครื่องมือใหม่ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อสร้างฐานข้อมูล พยากรณ์ สถิติ ต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เคยริเริ่มมาก่อนในเมืองไทยหรือจังหวัดต่าง ๆ นำไปสู่นักเดินทางกลุ่มไมซ์คุณภาพเติบโตในไทยเพิ่มมากขึ้นต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวแรก “คิงเพาเวอร์เปิดช็อปผ่านแอพลดเกิน20%”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดมหกรรมช็อปผ่าน King Power Application ระหว่างวันนี้ -10 ตุลาคม 2561 ลดสูงสุด 20 % แล้วยังได้สิทธิพิเศษลดเพิ่ม 2% + voucher เป็นอีคูปองอีก 500 บาท เป็นการช้อปสินค้าดิวตี้ฟรีโดยไม่ต้องไปเสียเวลาเลือกที่สนามบิน แต่จะต้องมีตั๋วโดยสารบินต่างประเทศตามกฎหมาย โดยสั่งซื้อล่วงหน้าได้ก่อนเดินทางภายใน 60 วัน และ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง แล้วไปรับสินค้าได้ที่เคาน์เตอร์สนามบิน (ยกเว้น สนามบินภูเก็ต ต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 96 ชั่วโมง) ส่วนสินค้าป้ายฟ้าผลิตภัณฑ์ไทยสามารถสั่งซื้อได้ทันทีมีบริการส่งฟรีถึงบ้าน
สำหรับวิธีการเข้าไปช็อปผ่านแอพลิเคชั่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงซื้อขั้นต่ำตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดสูงสุด 20 % และถ้ายอดสั่งซื้อขั้นต่ำตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป รับพิเศษลดเพิ่ม 2% เท่ากับได้ลดรวมทั้งหมด 20%+2%
การจองซื้อสินค้าผ่านแอพลิเคชั่นนั้น ลูกค้าจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับรหัสส่วนลด เฉพาะสั่งซื้อสินค้าทุกแผนกที่ร่วมรายการเท่านั้น
ส่วนอีกแคมเปญ คิง เพาเวอร์ ชวนช้อปรายการส่งเสริมการขาย Get Up to 20,000 วันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2561 ที่คิง เพาเวอร์สาขาในเมือง 4 แห่ง ที่ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต เพียงซื้อสินค้าครบทุก 15,000 บาท (สุทธิ) รับคืน Gift Voucher 1,000 บาท แต่จะขอจำกัดยอดคืน Gift Voucher สูงสุดวันละ 20,000 บาท สำหรับผู้ที่มียอดซื้อสินค้าสูงสุดวันละ 300,000 บาท
Gift Voucher สามารถใช้ได้ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต รับไปแล้วสามารถใช้ได้จนถึงวันหมดอายุ 5 พฤศจิกายน 2561
สอบถามเพิ่มที่ คอล เซ็นเตอร์ 1631 หรือดูได้ที่ www.kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.นครพนมดึงเที่ยวงานไหลเรือไฟ17-25ต.ค.นี้”
นายสุหฤทธิ์ ชาญวนังกูร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม (รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร และจังหวัดมุกดาหาร) เปิดเผยว่า เตรียมเปิดเมืองนครพนมต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าร่วมประเพณีงานไหลเรือไฟและงานกาชาดประจำปี 2561 ช่วงเทศกาลบุญใหญ่ออกพรรษา ระหว่าง 17-25 ตุลาคม 2561 บริเวณเขื่อนริมโขงหน้าเมืองนครพนม และบริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม
ไฮไลต์วันออกพรรษา 24 ตุลาคม 2561 นักท่องเที่ยวจะได้ชมพิธีรำบูชาพระธาตุพนมที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม ตั้งแต่ 8 โมงเช้า พร้อมกับร่วมกิจกรรมไหลเรือไฟโบราณบริเวณหน้าวัดโพธิ์ศรี ตั้งแต่ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ร่วมพาแลงริมฝั่งโขงหรือรับประทานอาหารเย็นริมฝั่งโขง ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ริมเขื่อนหน้าเมืองนครพนม
ตลอดการจัดงานไหลเรือไฟนครพนม ทุกคืนนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของ การไหลเรือไฟโชว์ เรือไฟวิทยาศาสตร์ กระทงสาย (ไข่พญานาค) ในแม่น้ำโขง ซุ้มนิทรรศการเรือไฟของแต่ละอำเภอ ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เลือกซื้อผลิตภัณฑ์โอท็อปขึ้นชื่อของแต่ละอำเภอ ลิ้มชิมรสอาหารพื้นถิ่นนครพนม ชมการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าวัดพระอินทร์แปลง
อีกทั้งนครพนมยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 8 พระธาตุ นมัสการพระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน โดยพาะพระธาตุพนมประจำวันเกิดวันอาทิตย์เป็นพระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง เป็นที่นับถือของคนไทยและลาวริมสองฝั่งโขง รวมถึงพระธาตุอื่น ๆ ที่กระจายอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ด้วย
ข่าวที่ 3 “บางจากขายโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นตุนรายได้เพิ่ม”
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการขายสินทรัพย์โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 27.53 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการนิคาโฮ 13.16 เมกะวัตต์) และนากิ 14.37 เมกะวัตต์ โดยขายให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561
ผลจากการขายสินทรัพย์ให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ญี่ปุ่น โครงการนิคาโฮและนากิ คิดเป็นมูลค่าหลังหักค่าใช้จ่ายในการนำเข้ากองทุนไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านเยน และเมื่อชำระคืนเงินกู้ประมาณ 7,000 ล้านเยน แล้ว จะมีเงินสดเหลือกว่า 4,000 ล้านเยน
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบีซีพีจี เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนแก่ผู้ถือหุ้นให้สูงที่สุด ด้วยการทำให้บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำลง มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ รวมถึงมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนโครงการใหม่ๆ ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตและการสร้างผลตอบแทนที่สูงทั้งในและต่างประเทศตามแผนการลงทุนต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เคลียร์ทุกปมแผนแม่บท-อาคาร2สุวรรณภูมิ”
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า แนวทางเดินหน้าโครงการออกแบบอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.ปี 2561 ได้พิจารณาแผนแม่บทโดยเห็นถึงความสมบูรณ์จึงอนุมัติรวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ผ่านความเห็นชอบแผนการลงทุนด้วยเช่นกัน
จนถึงขณะนี้ขอยืนยันว่าอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่หลังที่ 2 จะต้องเพิ่มหลุมจอดเครื่องบิน 14 หลุมนั้นสามารถรองรับผู้โดยสารได้แน่นอน 30 ล้านคน ประเมินจากขณะนี้สุวรรณภูมิมี 26 หลุมจอด ยังรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 45 ล้านคน และขณะนี้ก็กำลังสร้างเพิ่ม 28 หลุมจอด บริเวณอาคารเทียบเครื่องบินรอง (Sattlelight terminal) อนาคตจะรองรับได้ตามเป้าหมาย 90 ล้านคน เมื่อถึงเวลาเปิดใช้ก็จะลดความแออัดตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ เพราะมีพื้นที่อาคารหลังที่ 2 เข้ามาเพิ่ม ขณะเดียวกันก็จะมีรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ(APM) เชื่อมระหว่างอาคารที่ 1 และ 2 อย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น
ทางด้าน นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) ทอท. นำสื่อมวลชนลงพื้นก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อีกครั้ง พร้อมบรรยายการปรับแผนแม่บท(Mastr Plan) ซึ่งผ่านผลศึกษามาทั้งหมด 5 ฉบับ เริ่มตั้งปี 2536 -2546-2552-2554 และ 2561 แต่ละครั้งจะมีผลการรับรองเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( ICAO) ให้คำแนะนำมาตลอด และศึกษาบนพื้นฐานแผนเดิม ตามจุดประสงค์ต้องพัฒนาศักยภาพเตรียมรองรับผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว
สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ2 เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2558 ขณะนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วคือก่อสร้างอุโมงค์กับลานจอด การต่อเชื่อมอาคารบนพื้นดิน
ระหว่างนี้กำลังจัดซื้อ อุปกรณ์หลัก ๆ ได้แก่ 1.ระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover: APM) 2.ระบบสายพานกระเป๋า ทั้งสองส่วนจะต้องติดตั้งให้เสร็จตามกำหนดเวลา
โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในส่วน อาคารเทียบเครื่องบินรอง ( Satellite) กับหลุมจอด28 หลุม จะทำให้สุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารรวมได้ปีละกว่า 60 ล้านคน จากปัจจุบันปีละ45 ล้านคน และเมื่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 แล้วเสร็จ สุวรรณภูมิจะรองรับผู้โดยสารได้รวมปีละ 90 ล้านคน
ช่วงที่ 2 กระแสแต่งไทยไปเที่ยวแบบออเจ้า ยังมีมนต์ขลัง โดยเฉพาะการควงแขนกันไปที่ “วังพระนารายณ์ราชนิเวศน์” เมืองละโว้-ลพบุรีที่เคยรุ่งเรืองสุด ๆ ในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรม และศูนย์ดาราศาสตร์แห่งแรกของเมืองไทย แถมในลพบุรียังมีสถานที่เที่ยวเฟี้ยว ๆ อีกหลายแห่ง อย่างเขาพิสูจน์รักแท้ “เขาวงพระจันทร์” ธรรมชาติใส ๆ ใน น้ำตกวังก้านเหลือง ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพต้อง
@เที่ยวละโว้ชมวังนารายณ์-ไปปีนเขาพิสูจน์รัก
กระแสแต่งไทยไปท่องเที่ยวตามละครออเจ้า ยังคงใช้ได้หากจะไปเที่ยว “ลพบุรี” ในวังเก่า “วังพระนารายณ์ราชนิเวศน์” ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดมากที่สุด อีกทั้งตามบันทึกของฝรั่งเศสยืนยันว่างดงามมากในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ลพบุรีคือเมืองละโว้อันรุ่งเรืองสุด ๆ
สถาปัตยกรรมการสร้างพระราชวังแห่งนี้ เกิดจากการผสมผสานศิลปะของหลายชาติเข้าด้วยกัน โดยมีทั้งช่างไทย ช่างเปอร์เซีย และช่างตะวันตก ทั่วพระราชวังมีพื้นที่กว้างกวาง ยามค่ำคืนจะมองเห็นดาวเต็มฟ้า ฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่าสมัยนั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงทอดพระเนตรท้องฟ้าผ่านกล้องส่องดูดาว พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็น “สถานที่ศึกษาดาราศาสตร์” แห่งแรกของเมืองไทย
ภายในบริเวณแบ่งเป็น 3 เขต ตามลักษณะของวังโดยแท้ คือ เขตแรก “เขตพระราชฐานชั้นนอก” ต่อด้วย “เขตพระราชฐานชั้นกลาง” บริเวณนี้มี “พระที่นั่งจันทรพิศาล” ใช้ในการว่าราชการแผ่นดิน รวมไปถึง “พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท” สถานที่ต้อนรับราชทูต และเขตที่ 3 “เขตพระราชฐานชั้นใน” เป็นสถานที่ประทับส่วนพระองค์
แหล่งท่องเที่ยวในลพบุรี ยังมีความสวยงามขึ้นชื่ออย่าง “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ “ ช่วงวันหยุดสามารถนั่งรถไฟระยะทางยาวราว 10 กิโลเมตร เพื่อชมทัศนียภาพของเขื่อนดินเหนียวยาวที่สุดในประเทศไทย และต้องห้ามพลาดสักการะ “พระพุทธรูปปางมารวิชัย” องค์ใหญ่สีขาวประดิษฐานอยู่ท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
“สวนรุกชาติน้ำตกวังก้านเหลือง” ได้ชื่อว่าเป็นโอเอซีสแห่งลพบุรี ไหลลัดเลาะจากผาหินกว่า 10 ชั้น มารวมกันจนกลายเป็นน้ำสีเขียวดุจดังมรกตใต้น้ำ ลงไปแช่เย็น ๆ ได้สบายตลอดทั้งปี
“เขาวงพระจันทร์” เป็นอีกความท้าทายนักท่องเที่ยวเชิงผจญภัยในการต้องเดินขึ้นบันได 3,790 ขั้น ชมความงดงามไปตลอดเส้นทาง ที่บรรดาคู่รักทั้งหลายมักจะชวนกันไปวัดใจเดินขึ้นเขาวงพระจันทร์พิสูจน์รักแท้ เมื่อขึ้นไปยังบริเวณจุดสูงสุดแล้วจะต้องตะลึงกับภาพวิว 360 องศา และการได้กราบสิ่งศักดิ์บนยอดเขา เป็นแรงกระตุ้นจิตวิญญาณ นักท่องเที่ยวสายผจญภัย ชอบไปปีนเขาวงกันเพิ่มขึ้นทุกปี
@เลี่ยงฝุ่นละอองหน้าฝนลดเสี่ยงโรคลมหายใจ
ช่วงวันฝนพรำแบบนี้แม้จะพยายามขลุกตัวอยู่แค่บ้านกับที่ทำงาน เพราะไม่อยากออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด เบื่อกับการเบียดเสียด และเสี่ยงต่อการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการไอ จาม ทุกวันนี้เราต่างต้องสัมผัสและสูดดมฝุ่นละอองเข้าไปไม่รู้เท่าไหร่ อยู่ในบ้านก็สัมผัสกับไรฝุ่น ยิ่งออกนอกบ้านก็ยิ่งต้องพบเจอมลภาวะฝุ่นควันเยอะกว่าเป็นเท่าตัว เพราะฝุ่นมักมาพร้อมกับมลภาวะทางอากาศ ทั้งควันจากท่อไอเสีย หรือควันจากการเผาไหม้ขยะ ซึ่งฝุ่นเล็กๆ นี่เองที่เป็นตัวการก่อโรคทำให้คนเราเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ
เม็ดฝุ่นละอองปะปนไปด้วยแก๊สพิษและสารไฮโดรคาร์บอนบางชนิดที่เป็นภัยต่อสุขภาพ หากหายใจเอาหมอกควันพิษเข้าไปจะยิ่งเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด จากการสำรวจพบว่า นักเรียนในกรุงเทพฯ ได้รับสาร Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) และ Benzene มากกว่านักเรียนในชนบทถึง 6 และ 2 เท่า
ฝุ่นละออง มี 3 ประเภท
1. ฝุ่นละอองรวม (Total Suspended Particulate : TSP) เกิดจากการเผ้าไหม้เชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเตา ถ่านหิน ฟืน แกลบ จะมีสารพิษที่เป็นอินทรียสารและอนินทรียสารเป็นส่วนประกอบ ฝุ่นชนิดนี้มีอนุภาคขนาดเล็ก มักพบเจอในภายในและภายนอกอาคาร
2. ฝุ่นหยาบ (Particulate Matter : PM10) มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 10 ไมครอน เช่น ฝุ่นที่เกิดจากถนนที่ไม่ได้ลาดยาง หรือโรงงานบดหิน เป็นต้น
3. ฝุ่นละเอียด (Particulate Matter : PM 2.5) มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เกิดจากควันเสียของรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม
การเอาตัวรอดจากฝุ่นละอองและหมอกควันพิษ ตามคำแนะนำของแพทย์ หลัก ๆ ได้แก่
1. ปิดประตูหน้าต่าง ไม่ให้ฝุ่นเข้ามาในตัวอาคาร 2. ดื่มน้ำมากๆ 3. กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำสะอาด แล้วบ้วนทิ้ง วันละ 3-4 ครั้ง ห้ามกลืน 4. เลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องออกแรงมากๆ โดยเฉพาะการออกกำลังกายในที่แจ้ง 5. สวมหน้ากากอนามัยชนิดกรอง 3 ชั้น เมื่อต้องพบเจอมลภาวะทางอากาศ ซึ่งจะช่วยป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอนได้ ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน หรือใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากและจมูก
6. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคปอด ควรเตรียมยา และอุปกรณ์ที่จำเป็นติดตัว 7. งดสูบบุหรี่ 8. ปลูกต้นไม้สูงรอบบ้าน สามารถช่วยกรองอากาศและผลิตออกซิเจน 9. หากมีอาการผิดปกติหลังสูดดมหมอกควัน เช่น หายใจไม่ออก หรือระคายเคืองแสบตา ควรรีบไปพบแพทย์
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ทย.จ่อสร้างสนามบินสตูล-รุกขยายนคร/ตรังเพิ่ม”
กรมท่าอากาศยาน (ทย.) รายงานว่าได้ปี 2562 เตรียมจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานสตูล วงเงิน 6 ล้านบาท เนื่องจากนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางโดยเครื่องบินจำนวนมาก เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการประกาศเป็นให้พื้นที่แหล่งอุทยานธรณีวิทยาระดับโลก เกาะหลีเป๊ะ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยตามขั้นตอนการศึกษา เดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ จากนั้นจะศึกษาทางด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่ที่จะก่อสร้าง งบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง และความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อทำให้แล้วเสร็จภายในกันยายน 2562
จากนั้นจะเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานสตูลให้กระทรวงคมนาคม ก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป หากได้รับความเห็นชอบ ก็จะเสนอสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) พิจารณาทำสนามบินสตูล
ในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2561 ทย.ยังมีแผนจะเปิดประมูลการพัฒนาสนามบิน 2 แห่ง วงเงิน 3,800 ล้านบาท 1.นครศรีธรรมราช วงเงิน 1,800 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และ 2.ตรัง วงเงิน 2,000 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และลานจอดเครื่องบิน ซึ่งทั้ง 2 สนามบินนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง ซึ่งรัฐบาลเตรียมผลักดันให้เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน กับอ่าวไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า และการบริการ โดยจะเชื่อมโยงการค้า และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญบริเวณชายแดนภาคใต้ ที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเอเชียตะวันออก กับเอเชียใต้ หรือประตูสู่สองฝั่งของเอเชีย รวมทั้งเป็นประตูส่งออกไปยังฝั่งตะวันตกภูมิภาคBIMSTEC ประกอบด้วยบังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย
ข่าวที่สอง “ไปรษณีย์บูมแบรนด์เพิ่มสุขสุดยอดโอท็อปไทย”
นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ได้เดินหน้าผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชน สู่สินค้าแบรนด์ “ไปรษณีย์เพิ่มสุข” ภายใต้การดำเนินงานโครงการไปรษณีย์ไทย...เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งสนับสนุนให้คนในชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยการใช้ศักยภาพของเครือข่ายไปรษณีย์ไทยให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ล่าสุดได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีส่วนผสมของ GI หรือวัตดุถิบเฉพาะของท้องถิ่นสุด UNSEEN มาปรับโฉมสู่ผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม ที่มีคุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชนได้หลายเท่า ได้แก่
ชารางแดง แบรนด์ “ชารากุล” - ต้นตำรับสมุนไพรแห่งเมืองนนท์ สมุนไพรพืชถิ่นประจำชุมชนเกาะเกร็ด แบรนด์ “จันทร์หอม” เป็นผงจมูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงและข้าวไรซ์เบอร์รี่จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรหนองมะคังพัฒนา จ.พิษณุโลก “ข้าวฮางทิพย์” จากชุมชนบ้านกุดจิก อ.วานรนิวาส จ.สกลนครข้าวสารแปรรูปด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวภูไท ผ่านกรรมวิธี “แช่-นึ่ง-ผึ่ง-สี” ที่สืบทอดต่อกันมานับร้อยปี “ผ้ายอทอมือ” สินค้าเอกลักษณ์ท้องถิ่นจากแดนใต้ ชุมชนเกาะยอ จังหวัดสงขลา ประกอบด้วย 5ลายผ้าสำคัญ ได้แก่ ลายราชวัตร ลายยอประกาย ลายรสสุคนธ์ และ “ลายจันทร์ฉาย” และผลิตภัณฑ์ กระเป๋าสานแฮนด์เมดสุดเก๋ - ผลิตภัณฑ์จักสานกระจูด จ.นครศรีธรรมราช
ข่าวที่สาม “เด็กซ์-สวนนงนุชจัดวิ่งในหุบเขาไดโนเสาร์9ธ.ค.”
นายกฤษณ์ สกุลพานิช Managing Director บริษัท เดกซ์ [ดรีม เอกซ์เพรส] เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำด้านเอนเตอร์เทนเมนต์คอนเทนต์จับมือกับสวนนงนุช พัทยา และโตเอะ คอมปานี ญี่ปุ่น เจ้าของลิขสิทธิ์มาสค์ไรเดอร์ และพาวเวอร์เรนเจอร์ จัดงานวิ่งมินิเทรล รวมพลังเหล่าฮีโร่รันครั้งแรกในโลก ในงาน “RIDER X RANGERS RUN & TRAIL by Nong Nooch Garden Pattaya” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Mini Trail Run Character & Challenge” วิ่งผจญภัยโลกล้านปีในหุบเขาไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ พร้อมดื่มด่ำทิวทัศน์สุดอลังการแบบพาโนราม่า นำทีมโดยฮีโร่ขวัญใจตลอดกาล มาสค์ไรเดอร์หมายเลข1 – มาสค์ไรเดอร์บิลด์ – มาสค์ไรเดอร์เอ็กเซด – ขบวนการพาวเวอร์เรนเจอร์ ไดโนฟอร์ชเบรฟ
จะจัดวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ณ สวนนงนุช พัทยา แบ่งระยะวิ่งเป็น 3 กม. / 5 กม. / 10 กม. Kids Race ระยะทาง ค่าสมัครคนละ 500 บาท Adult Race ค่าสมัครคนละ 650 บาท และ Challenge Race ระยะทาง 15 กม.ค่าสมัคร 800 บาท
สนใจสมัครวิ่งได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ shop.DEXclub.com/RiderRangersRun พร้อมรับRace Pack ประกอบด้วย เสื้อวิ่งสุดเท่ลายมาสค์ไรเดอร์หมายเลข1 / มาสค์ไรเดอร์บิลด์ / เบรฟเรดไดโน / เบรฟพิ้งค์ไดโน (เลือกได้ 1 ลาย) BIB, เหรียญ (เมื่อวิ่งเข้าเส้นชัย) เสื้อ Finisher 15 กม. ให้เฉพาะผู้สมัครระยะทาง 15 กม. เมื่อวิ่งเข้าเส้นชัยเท่านั้น
ข่าวที่สี่ “แคนทารีโคราชเสิร์ฟเจครบสูตร9-17 ต.ค.นี้”
โรงแรมแคนทารี โคราช ชวนร่วมเทศกาลกินเจ ที่ห้องอาหารแทพเพสทรี ระหว่าง 9 – 17 ตุลาคม 2561 เวลา 11.30 น.-14.30 น. และ 18.00 น.- 22.00 น. ร่วมเทศกาลบุญ ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพและความสบายทั้งกายและใจ กับเมนูเจคัดสรรวัตถุดิบสดใหม่ปรุงโดยเชฟมืออาชีพ โทร. 035-212-535 www.kameocollection.com
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
โชว์นวัตกรรมไฮเทค-ศูนย์วิจัยแห่งแรกอาเซียน
คิงเพาเวอร์บุกดิวตี้ฟรีออนไลน์ลดได้เกิน20%
ททท.งัดเทศกาลไหลเหลือไฟแม่น้ำโขงโกยทัวร์
“บีซีพีจี”ลุยขายโรงไฟฟ้าในญ่ปุ่นทำรายได้พุ่ง
ทอท.เคลียร์ทุกปมสุวรรณภูมิใหม่90 ล้านคน
แต่งไทยไปเที่ยวละโว้-ปีนเขาพิสูจน์รักลพบุรี
เลี่ยงฝุ่นควันฤดูฝนลดเสี่ยงโรคทางเดินหายใจ
ทย.จ่อผุดสนามบินสตูลรุกขยายเพิ่มนคร/ตรัง
ไปรษณีย์ชูแบรนด์เพิ่มสุขช็อปโอท็อปออนไลน์
เด็กซ์-สวนนงนุชจัดวิ่งในหุบเขาไดโนเสาร์9ธค.
แคนทารีโคราชเสิร์ฟเจเต็มสูตร 9-17 ต.ค.นี้
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97
ช่วงที่ 1 เปิดมุมใหม่กับ “ศุภวรรณ ตีระรัตน์” รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ใช้นวัตกรรมการพัฒนา “5 มิติใหม่” เปลี่ยนอุตสาหกรรมไมซ์ประเทศให้กลายเป็นดาวอาเซียนภายในปี 2562 ไทยจะเป็นผู้นำศูนย์วิจัยไมซ์ มาตรฐาน AMVS ประการสำคัญจะปลุกพื้นที่นำร่องตามคอนเซ็ปต์ AREA BASE “ไมซ์ ซิตี้ เมืองรอง” แจ้งเกิดพรึบพรับ จาก 5 เป็น 13 จังหวัด อีสาน เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ภาคกลาง เตรียมเฮได้เลย เพราะทีเส็บจะติดอาวุธธุรกิจไมซ์ให้กลายเป็นพลังเศรษฐกิจชาติเติบโตอีก 5-8 %
คุณศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่าวางกลยุทธ์นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการตลาดอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2562 ด้วย 5 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 การสร้างองค์ความรู้ ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาบรรจุหลักสูตรไมซ์เรียบร้อยแล้ว 106 แห่ง ในระดับมหาวิทยาลัย 14 แห่ง สอนการจัดอีเวนต์โดยเฉพาะ เป้าหมายต้องการสร้างบุคลากรไมซ์ในแบบ Feature Leader ให้มากที่สุด เป็นมืออาชีพทั่วประเทศ และมีทำให้เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนหรือ MICE Education นอกจากความร่วมมือในมหาวิทยาลัยทั่วอาเซียนแล้ว ยังได้นำหลักสูตรนานาชาติเข้ามาสอนโดยมีไทยเป็นเซ็นเตอร์ของอาเซียน เช่น หลักสูตรการจัดประชุม การจัดแสดงสินค้า ความยั่งยืน และบริหารจัดการ
มิติที่ 2 การสร้างมาตรฐาน ขณะนี้ไทยมีกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมมีมาตรฐานการขยายธุรกิจ ส่วนทีเส็บก็ต้องสร้างและคิดค้นมาตรฐานโดยให้การรับรองเองเรียกว่า Thailand MICE Venue Standard :TMVS เป้าหมายในมุมมองของลูกค้าทั้งการจัดประชุม แสดงสินค้า ผู้ประกอบการกลุ่มบริษัท องค์กร ภาครัฐ ต้องการหาสถานที่จัดงานอย่างมืออาชีพเพื่อรองรับการจัดงานให้ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันทีเส็บได้สร้างมาตรฐาน 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1.ประเภทสถานที่จัดประชุม 2.ประเภทจัดแสดงสินค้า 3.ประเภทจัดกิจกรรมพิเศษกลางแจ้ง เพิ่งเปิดปลายปี 2561 โดยได้พัฒนายกระดับให้อาเซียนนำไปใช้รับรองด้วย ASEAN MICE Venue Standard แล้วยังมี ISO ต่าง ๆ ปี 2562 หลัก ๆ ที่จะดึงความสนใจต่างชาติให้ตัดสินใจเลือกมาจัดในไทยคือ ISO เกี่ยวกับ Foodvent Prevention : การป้องกันของเสียเรื่องอาหารที่นำมาใช้ในงาน ตามสถิติที่ผ่านมามีการทิ้งของเสียจำนวนมาก จึงหันมาเน้นให้ลดของเหลือซึ่งทำเป็นแพกเกจหากลดได้ก็จะชดเชยเป็นงบประมาณสนับสนุน
มิติที่ 3 Smart MICE รัฐบาลเดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0 เน้นการสร้างอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ดังนั้นกลุ่มที่อยู่ในเป้าหมายก็มีบริการ ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ ตอนนี้ทีเส็บผลักดันให้ผู้ประกอบการนำนวัตกรรมมาใช้ทางด้านเทคโนโลยีกับดิจิตอล ปี 2561 ได้ทำ 1.แอพลิเคชั่น Bidconnect application เพื่อให้ผู้รับจัดงาน ประชุม แสดงสินค้า อีเวนต์ นำไปใช้การลงทะเบียน การจ่ายเงิน เล่ารายละเอียดการจัดงาน รวมทั้งเนื้อของวิทยากร กิจกรรมพิเศษ และแผนผังภายในแต่ละงาน 2.Chatbot เพราะผู้จัดงานจากต่างประเทศมีคำถามหลากหลายในการนำอุปกรณ์เข้ามาจัดแสดง ข้อมูลการทำวีซ่า 3.เปิดตัวโครงการศูนย์วิจัยไมซ์ ปี 2562 เป็นโปรดักซ์ใหม่ของอุตสาหกรรมไมซ์และเป็นศูนย์วิจัยแรกของอาเซียน โดยจะรวมแหล่งข้อมูล สถิติ เนื้อหางานวิจัย และเทรนด์ แนวโน้มของอุตสาหกรรมไมซ์และอุตสาหกรรมที่ไทยต้องการผลักดัน S-CURV 10 กลุ่ม อาทิ ยานยนต์ การแพทย์ การ์เมนท์ เวลเนส ท่องเที่ยว เรื่อยไปจนถึงการทำพยากรณ์อนาคตของไมซ์ ขณะนี้เริ่มมีสถาบันการศึกษาเข้ามาใช้แล้ว
ปี 2561 ได้รวบรวมบิ๊กดาต้าของแต่ละภาคเข้ามาไว้ในศูนย์วิจัยไมซ์ นำร่อง ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ (นครศรีธรรมราช สงขลา) ถือเป็นศูนย์กลางข้อมูลทันสมัยใช้ได้ทั้งผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษาที่เปิดหลักสูตรไมซ์ รวมอยู่ด้วยทั้งหมด โดยมีการลิงค์เข้าไปยัง แอพลิเคชั่น เว็บไซต์ เพื่อดูปฏิทินการจัดงานแต่ละเดือน แต่ละงาน ได้
มิติที่ 4 Area Base ทางทีเส็บขับเคลื่อนผลักดันการเติบโตของเมืองให้มีความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ จากปัจจุบันมีเมืองไมซ์ -MICE CITY อยู่ 5 เมือง กรุงเทพฯ พัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ตอนนี้กำลังศึกษาเพื่อขยายเป็น 13 เมืองไมซ์ ในอนาคตก็จะมีเพิ่มขึ้นเป็นการขยายฐานเพิ่มรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น
สำหรับไมซ์ ซิตี้ ขณะนี้เพิ่มจาก 5 เป็น 11 เมือง ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ หัวหิน ชะอำ กาญจนบุรี
มิติที่ 5 การอำนวยความสะดวก ทั้งเรื่องการทำวีซ่า และการนำอุปกรณ์เข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทยต้องผ่านกฎมหมายกว่า200 ฉบับ ตั้งแต่ผ่านศุลกากรและอื่น ๆ แตกต่างจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งเป็นเมืองฟรีพอร์ต ดังนั้นในอนาคตทางทีเส็บจะยกระดับเป็น One Stop Service โดยใช้ศูนย์เดียวบริการทั้งหมดทุกเรื่อง เบื้องต้นจับมือกับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สนามบินนานาชาติของไทยดอนเมือง สุวรรณภูมิ กระทรวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกด้านไมซ์ ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เข้าร่วมอุตสาหกรรม เพราะตอนนี้การทำวีซ่าจะต้องเวลา 10-15 วัน ต่อไปจะร่นเวลาให้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับการขอวีซ่าของวิทยากรที่เชิญเข้ามาทุกวันนี้ยังต้องทำเอกสารใบประกอบอาชีพ workpermit เพียงเพื่อจะมาเป็นวิทยากรในไทย ต่อไปก็จะลดขั้นตอนเรื่องนี้ไป
สำหรับการเปิดศูนย์ One Stop Service เต็มรูปแบบนั้นในปี 2562 เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาอยู่รวมกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะอุตสาหกรรมไมซ์แต่ละงานแบ่งตามภารกิจของแต่ละกระทรวง เช่น จัดงานแสดงสินค้าด้านสุขภาพก็ต้องพึ่งพากระทรวงสาธารณสุข หรือจัดแสดงสินค้ายานยนต์ก็ต้องใช้กระทรวงอุตสาหกรรม แล้วยังมีอีกหลายงานที่แยกตามบทบาทหน้าที่ต่างกันไป จึงต้องใช้วิธีบูรณาการเชื่อมโยงการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียวกันก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
นางศุภวรรณกล่าวว่าในการขับเคลื่อนด้านพัฒนาและนวัตกรรมนั้นจะเป็นแรงผลักดันทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ปี 2562 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้อีก 5-8 % สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและภูมิภาคอาเซียน แนวโน้มจะเพิ่มมากกว่า 3.8 % เป็น 4.8-5.0 %
สำหรับยอดนักเดินทางไมซ์ปี 2561 จากตลาดต่างประเทศมีประมาณ 1.2 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนในประเทศได้กระตุ้นการจัดอีเวนต์แสดงสินค้า จนถึงขณะนี้น่าจะเข้าเป้าจำนวน 35 ล้านคน สร้างรายได้ 69,000 ล้านบาท ปี 2562 จะเติบโตเพิ่มจากฐานปีนี้อีก 5 % และกลยุทธ์การใช้งบประมาณเข้าไปสนับสนุนอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอจะต้องเร่งภาคอุตสาหกรรมควบคู่กับพื้นที่จังหวัดไมซ์ซิตี้ ขยายแนวให้ได้มากกว่าเมืองหลวง กรุงเทพฯ หรือเมืองหลัก แต่จะต้องเพิ่มไมซ์ซิตี้ในเมืองรอง แล้วช่วยกันกระตุ้นการจัดงานกระจายอีเวนต์ไปตามจังหวัดต่าง ๆ
ขณะนี้ทีเส็บกำลังส่งทีมเข้าไปศึกษาเมืองรองที่เสนอขอเป็นไมซ์ ซิตี้ เพิ่มจำนวนมาก เพราะบางเมืองเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว แต่จะต้องประเมินมาตรฐานความพร้อมมีสถานที่จัดประชุมให้มีตามเกณฑ์ อาจจะรับได้ตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ดังนั้นจึงต้องปูพรมนำมิติทางด้านองค์ความรู้เข้าไปช่วยเมืองรองเตรียมตัวเข้าสู่มาตรฐานการยกระดับเป็นไมซ์ซิตี้ ซึ่งทางทีเส็บมั่นใจการพัฒนาในมิติการสร้างมาตรฐาน องค์ความรู้ จัดทำฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า จะเป็นการจุดประกายภายใต้เครื่องมือใหม่ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อสร้างฐานข้อมูล พยากรณ์ สถิติ ต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เคยริเริ่มมาก่อนในเมืองไทยหรือจังหวัดต่าง ๆ นำไปสู่นักเดินทางกลุ่มไมซ์คุณภาพเติบโตในไทยเพิ่มมากขึ้นต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวแรก “คิงเพาเวอร์เปิดช็อปผ่านแอพลดเกิน20%”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดมหกรรมช็อปผ่าน King Power Application ระหว่างวันนี้ -10 ตุลาคม 2561 ลดสูงสุด 20 % แล้วยังได้สิทธิพิเศษลดเพิ่ม 2% + voucher เป็นอีคูปองอีก 500 บาท เป็นการช้อปสินค้าดิวตี้ฟรีโดยไม่ต้องไปเสียเวลาเลือกที่สนามบิน แต่จะต้องมีตั๋วโดยสารบินต่างประเทศตามกฎหมาย โดยสั่งซื้อล่วงหน้าได้ก่อนเดินทางภายใน 60 วัน และ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง แล้วไปรับสินค้าได้ที่เคาน์เตอร์สนามบิน (ยกเว้น สนามบินภูเก็ต ต้องซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 96 ชั่วโมง) ส่วนสินค้าป้ายฟ้าผลิตภัณฑ์ไทยสามารถสั่งซื้อได้ทันทีมีบริการส่งฟรีถึงบ้าน
สำหรับวิธีการเข้าไปช็อปผ่านแอพลิเคชั่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงซื้อขั้นต่ำตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดสูงสุด 20 % และถ้ายอดสั่งซื้อขั้นต่ำตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป รับพิเศษลดเพิ่ม 2% เท่ากับได้ลดรวมทั้งหมด 20%+2%
การจองซื้อสินค้าผ่านแอพลิเคชั่นนั้น ลูกค้าจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับรหัสส่วนลด เฉพาะสั่งซื้อสินค้าทุกแผนกที่ร่วมรายการเท่านั้น
ส่วนอีกแคมเปญ คิง เพาเวอร์ ชวนช้อปรายการส่งเสริมการขาย Get Up to 20,000 วันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2561 ที่คิง เพาเวอร์สาขาในเมือง 4 แห่ง ที่ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต เพียงซื้อสินค้าครบทุก 15,000 บาท (สุทธิ) รับคืน Gift Voucher 1,000 บาท แต่จะขอจำกัดยอดคืน Gift Voucher สูงสุดวันละ 20,000 บาท สำหรับผู้ที่มียอดซื้อสินค้าสูงสุดวันละ 300,000 บาท
Gift Voucher สามารถใช้ได้ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต รับไปแล้วสามารถใช้ได้จนถึงวันหมดอายุ 5 พฤศจิกายน 2561
สอบถามเพิ่มที่ คอล เซ็นเตอร์ 1631 หรือดูได้ที่ www.kingpower.com
ข่าวที่ 2 “ททท.นครพนมดึงเที่ยวงานไหลเรือไฟ17-25ต.ค.นี้”
นายสุหฤทธิ์ ชาญวนังกูร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม (รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร และจังหวัดมุกดาหาร) เปิดเผยว่า เตรียมเปิดเมืองนครพนมต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าร่วมประเพณีงานไหลเรือไฟและงานกาชาดประจำปี 2561 ช่วงเทศกาลบุญใหญ่ออกพรรษา ระหว่าง 17-25 ตุลาคม 2561 บริเวณเขื่อนริมโขงหน้าเมืองนครพนม และบริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม
ไฮไลต์วันออกพรรษา 24 ตุลาคม 2561 นักท่องเที่ยวจะได้ชมพิธีรำบูชาพระธาตุพนมที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม ตั้งแต่ 8 โมงเช้า พร้อมกับร่วมกิจกรรมไหลเรือไฟโบราณบริเวณหน้าวัดโพธิ์ศรี ตั้งแต่ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ร่วมพาแลงริมฝั่งโขงหรือรับประทานอาหารเย็นริมฝั่งโขง ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ริมเขื่อนหน้าเมืองนครพนม
ตลอดการจัดงานไหลเรือไฟนครพนม ทุกคืนนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของ การไหลเรือไฟโชว์ เรือไฟวิทยาศาสตร์ กระทงสาย (ไข่พญานาค) ในแม่น้ำโขง ซุ้มนิทรรศการเรือไฟของแต่ละอำเภอ ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เลือกซื้อผลิตภัณฑ์โอท็อปขึ้นชื่อของแต่ละอำเภอ ลิ้มชิมรสอาหารพื้นถิ่นนครพนม ชมการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าวัดพระอินทร์แปลง
อีกทั้งนครพนมยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 8 พระธาตุ นมัสการพระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน โดยพาะพระธาตุพนมประจำวันเกิดวันอาทิตย์เป็นพระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง เป็นที่นับถือของคนไทยและลาวริมสองฝั่งโขง รวมถึงพระธาตุอื่น ๆ ที่กระจายอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ด้วย
ข่าวที่ 3 “บางจากขายโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นตุนรายได้เพิ่ม”
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการขายสินทรัพย์โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 27.53 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการนิคาโฮ 13.16 เมกะวัตต์) และนากิ 14.37 เมกะวัตต์ โดยขายให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561
ผลจากการขายสินทรัพย์ให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ญี่ปุ่น โครงการนิคาโฮและนากิ คิดเป็นมูลค่าหลังหักค่าใช้จ่ายในการนำเข้ากองทุนไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านเยน และเมื่อชำระคืนเงินกู้ประมาณ 7,000 ล้านเยน แล้ว จะมีเงินสดเหลือกว่า 4,000 ล้านเยน
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบีซีพีจี เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนแก่ผู้ถือหุ้นให้สูงที่สุด ด้วยการทำให้บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำลง มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ รวมถึงมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนโครงการใหม่ๆ ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตและการสร้างผลตอบแทนที่สูงทั้งในและต่างประเทศตามแผนการลงทุนต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เคลียร์ทุกปมแผนแม่บท-อาคาร2สุวรรณภูมิ”
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า แนวทางเดินหน้าโครงการออกแบบอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.ปี 2561 ได้พิจารณาแผนแม่บทโดยเห็นถึงความสมบูรณ์จึงอนุมัติรวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ผ่านความเห็นชอบแผนการลงทุนด้วยเช่นกัน
จนถึงขณะนี้ขอยืนยันว่าอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่หลังที่ 2 จะต้องเพิ่มหลุมจอดเครื่องบิน 14 หลุมนั้นสามารถรองรับผู้โดยสารได้แน่นอน 30 ล้านคน ประเมินจากขณะนี้สุวรรณภูมิมี 26 หลุมจอด ยังรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 45 ล้านคน และขณะนี้ก็กำลังสร้างเพิ่ม 28 หลุมจอด บริเวณอาคารเทียบเครื่องบินรอง (Sattlelight terminal) อนาคตจะรองรับได้ตามเป้าหมาย 90 ล้านคน เมื่อถึงเวลาเปิดใช้ก็จะลดความแออัดตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ เพราะมีพื้นที่อาคารหลังที่ 2 เข้ามาเพิ่ม ขณะเดียวกันก็จะมีรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ(APM) เชื่อมระหว่างอาคารที่ 1 และ 2 อย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น
ทางด้าน นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) ทอท. นำสื่อมวลชนลงพื้นก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อีกครั้ง พร้อมบรรยายการปรับแผนแม่บท(Mastr Plan) ซึ่งผ่านผลศึกษามาทั้งหมด 5 ฉบับ เริ่มตั้งปี 2536 -2546-2552-2554 และ 2561 แต่ละครั้งจะมีผลการรับรองเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( ICAO) ให้คำแนะนำมาตลอด และศึกษาบนพื้นฐานแผนเดิม ตามจุดประสงค์ต้องพัฒนาศักยภาพเตรียมรองรับผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว
สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ2 เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2558 ขณะนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วคือก่อสร้างอุโมงค์กับลานจอด การต่อเชื่อมอาคารบนพื้นดิน
ระหว่างนี้กำลังจัดซื้อ อุปกรณ์หลัก ๆ ได้แก่ 1.ระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover: APM) 2.ระบบสายพานกระเป๋า ทั้งสองส่วนจะต้องติดตั้งให้เสร็จตามกำหนดเวลา
โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในส่วน อาคารเทียบเครื่องบินรอง ( Satellite) กับหลุมจอด28 หลุม จะทำให้สุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารรวมได้ปีละกว่า 60 ล้านคน จากปัจจุบันปีละ45 ล้านคน และเมื่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 แล้วเสร็จ สุวรรณภูมิจะรองรับผู้โดยสารได้รวมปีละ 90 ล้านคน
ช่วงที่ 2 กระแสแต่งไทยไปเที่ยวแบบออเจ้า ยังมีมนต์ขลัง โดยเฉพาะการควงแขนกันไปที่ “วังพระนารายณ์ราชนิเวศน์” เมืองละโว้-ลพบุรีที่เคยรุ่งเรืองสุด ๆ ในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรม และศูนย์ดาราศาสตร์แห่งแรกของเมืองไทย แถมในลพบุรียังมีสถานที่เที่ยวเฟี้ยว ๆ อีกหลายแห่ง อย่างเขาพิสูจน์รักแท้ “เขาวงพระจันทร์” ธรรมชาติใส ๆ ใน น้ำตกวังก้านเหลือง ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพต้อง
@เที่ยวละโว้ชมวังนารายณ์-ไปปีนเขาพิสูจน์รัก
กระแสแต่งไทยไปท่องเที่ยวตามละครออเจ้า ยังคงใช้ได้หากจะไปเที่ยว “ลพบุรี” ในวังเก่า “วังพระนารายณ์ราชนิเวศน์” ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดมากที่สุด อีกทั้งตามบันทึกของฝรั่งเศสยืนยันว่างดงามมากในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ลพบุรีคือเมืองละโว้อันรุ่งเรืองสุด ๆ
สถาปัตยกรรมการสร้างพระราชวังแห่งนี้ เกิดจากการผสมผสานศิลปะของหลายชาติเข้าด้วยกัน โดยมีทั้งช่างไทย ช่างเปอร์เซีย และช่างตะวันตก ทั่วพระราชวังมีพื้นที่กว้างกวาง ยามค่ำคืนจะมองเห็นดาวเต็มฟ้า ฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่าสมัยนั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงทอดพระเนตรท้องฟ้าผ่านกล้องส่องดูดาว พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็น “สถานที่ศึกษาดาราศาสตร์” แห่งแรกของเมืองไทย
ภายในบริเวณแบ่งเป็น 3 เขต ตามลักษณะของวังโดยแท้ คือ เขตแรก “เขตพระราชฐานชั้นนอก” ต่อด้วย “เขตพระราชฐานชั้นกลาง” บริเวณนี้มี “พระที่นั่งจันทรพิศาล” ใช้ในการว่าราชการแผ่นดิน รวมไปถึง “พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท” สถานที่ต้อนรับราชทูต และเขตที่ 3 “เขตพระราชฐานชั้นใน” เป็นสถานที่ประทับส่วนพระองค์
แหล่งท่องเที่ยวในลพบุรี ยังมีความสวยงามขึ้นชื่ออย่าง “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ “ ช่วงวันหยุดสามารถนั่งรถไฟระยะทางยาวราว 10 กิโลเมตร เพื่อชมทัศนียภาพของเขื่อนดินเหนียวยาวที่สุดในประเทศไทย และต้องห้ามพลาดสักการะ “พระพุทธรูปปางมารวิชัย” องค์ใหญ่สีขาวประดิษฐานอยู่ท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
“สวนรุกชาติน้ำตกวังก้านเหลือง” ได้ชื่อว่าเป็นโอเอซีสแห่งลพบุรี ไหลลัดเลาะจากผาหินกว่า 10 ชั้น มารวมกันจนกลายเป็นน้ำสีเขียวดุจดังมรกตใต้น้ำ ลงไปแช่เย็น ๆ ได้สบายตลอดทั้งปี
“เขาวงพระจันทร์” เป็นอีกความท้าทายนักท่องเที่ยวเชิงผจญภัยในการต้องเดินขึ้นบันได 3,790 ขั้น ชมความงดงามไปตลอดเส้นทาง ที่บรรดาคู่รักทั้งหลายมักจะชวนกันไปวัดใจเดินขึ้นเขาวงพระจันทร์พิสูจน์รักแท้ เมื่อขึ้นไปยังบริเวณจุดสูงสุดแล้วจะต้องตะลึงกับภาพวิว 360 องศา และการได้กราบสิ่งศักดิ์บนยอดเขา เป็นแรงกระตุ้นจิตวิญญาณ นักท่องเที่ยวสายผจญภัย ชอบไปปีนเขาวงกันเพิ่มขึ้นทุกปี
@เลี่ยงฝุ่นละอองหน้าฝนลดเสี่ยงโรคลมหายใจ
ช่วงวันฝนพรำแบบนี้แม้จะพยายามขลุกตัวอยู่แค่บ้านกับที่ทำงาน เพราะไม่อยากออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด เบื่อกับการเบียดเสียด และเสี่ยงต่อการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการไอ จาม ทุกวันนี้เราต่างต้องสัมผัสและสูดดมฝุ่นละอองเข้าไปไม่รู้เท่าไหร่ อยู่ในบ้านก็สัมผัสกับไรฝุ่น ยิ่งออกนอกบ้านก็ยิ่งต้องพบเจอมลภาวะฝุ่นควันเยอะกว่าเป็นเท่าตัว เพราะฝุ่นมักมาพร้อมกับมลภาวะทางอากาศ ทั้งควันจากท่อไอเสีย หรือควันจากการเผาไหม้ขยะ ซึ่งฝุ่นเล็กๆ นี่เองที่เป็นตัวการก่อโรคทำให้คนเราเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ
เม็ดฝุ่นละอองปะปนไปด้วยแก๊สพิษและสารไฮโดรคาร์บอนบางชนิดที่เป็นภัยต่อสุขภาพ หากหายใจเอาหมอกควันพิษเข้าไปจะยิ่งเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด จากการสำรวจพบว่า นักเรียนในกรุงเทพฯ ได้รับสาร Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) และ Benzene มากกว่านักเรียนในชนบทถึง 6 และ 2 เท่า
ฝุ่นละออง มี 3 ประเภท
1. ฝุ่นละอองรวม (Total Suspended Particulate : TSP) เกิดจากการเผ้าไหม้เชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเตา ถ่านหิน ฟืน แกลบ จะมีสารพิษที่เป็นอินทรียสารและอนินทรียสารเป็นส่วนประกอบ ฝุ่นชนิดนี้มีอนุภาคขนาดเล็ก มักพบเจอในภายในและภายนอกอาคาร
2. ฝุ่นหยาบ (Particulate Matter : PM10) มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 10 ไมครอน เช่น ฝุ่นที่เกิดจากถนนที่ไม่ได้ลาดยาง หรือโรงงานบดหิน เป็นต้น
3. ฝุ่นละเอียด (Particulate Matter : PM 2.5) มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เกิดจากควันเสียของรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม
การเอาตัวรอดจากฝุ่นละอองและหมอกควันพิษ ตามคำแนะนำของแพทย์ หลัก ๆ ได้แก่
1. ปิดประตูหน้าต่าง ไม่ให้ฝุ่นเข้ามาในตัวอาคาร 2. ดื่มน้ำมากๆ 3. กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำสะอาด แล้วบ้วนทิ้ง วันละ 3-4 ครั้ง ห้ามกลืน 4. เลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องออกแรงมากๆ โดยเฉพาะการออกกำลังกายในที่แจ้ง 5. สวมหน้ากากอนามัยชนิดกรอง 3 ชั้น เมื่อต้องพบเจอมลภาวะทางอากาศ ซึ่งจะช่วยป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอนได้ ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน หรือใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากและจมูก
6. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคปอด ควรเตรียมยา และอุปกรณ์ที่จำเป็นติดตัว 7. งดสูบบุหรี่ 8. ปลูกต้นไม้สูงรอบบ้าน สามารถช่วยกรองอากาศและผลิตออกซิเจน 9. หากมีอาการผิดปกติหลังสูดดมหมอกควัน เช่น หายใจไม่ออก หรือระคายเคืองแสบตา ควรรีบไปพบแพทย์
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ทย.จ่อสร้างสนามบินสตูล-รุกขยายนคร/ตรังเพิ่ม”
กรมท่าอากาศยาน (ทย.) รายงานว่าได้ปี 2562 เตรียมจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานสตูล วงเงิน 6 ล้านบาท เนื่องจากนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางโดยเครื่องบินจำนวนมาก เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการประกาศเป็นให้พื้นที่แหล่งอุทยานธรณีวิทยาระดับโลก เกาะหลีเป๊ะ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยตามขั้นตอนการศึกษา เดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ จากนั้นจะศึกษาทางด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่ที่จะก่อสร้าง งบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง และความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อทำให้แล้วเสร็จภายในกันยายน 2562
จากนั้นจะเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานสตูลให้กระทรวงคมนาคม ก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป หากได้รับความเห็นชอบ ก็จะเสนอสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) พิจารณาทำสนามบินสตูล
ในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2561 ทย.ยังมีแผนจะเปิดประมูลการพัฒนาสนามบิน 2 แห่ง วงเงิน 3,800 ล้านบาท 1.นครศรีธรรมราช วงเงิน 1,800 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และ 2.ตรัง วงเงิน 2,000 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และลานจอดเครื่องบิน ซึ่งทั้ง 2 สนามบินนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง ซึ่งรัฐบาลเตรียมผลักดันให้เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน กับอ่าวไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า และการบริการ โดยจะเชื่อมโยงการค้า และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญบริเวณชายแดนภาคใต้ ที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเอเชียตะวันออก กับเอเชียใต้ หรือประตูสู่สองฝั่งของเอเชีย รวมทั้งเป็นประตูส่งออกไปยังฝั่งตะวันตกภูมิภาคBIMSTEC ประกอบด้วยบังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย
ข่าวที่สอง “ไปรษณีย์บูมแบรนด์เพิ่มสุขสุดยอดโอท็อปไทย”
นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ได้เดินหน้าผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชน สู่สินค้าแบรนด์ “ไปรษณีย์เพิ่มสุข” ภายใต้การดำเนินงานโครงการไปรษณีย์ไทย...เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งสนับสนุนให้คนในชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยการใช้ศักยภาพของเครือข่ายไปรษณีย์ไทยให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ล่าสุดได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีส่วนผสมของ GI หรือวัตดุถิบเฉพาะของท้องถิ่นสุด UNSEEN มาปรับโฉมสู่ผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม ที่มีคุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชนได้หลายเท่า ได้แก่
ชารางแดง แบรนด์ “ชารากุล” - ต้นตำรับสมุนไพรแห่งเมืองนนท์ สมุนไพรพืชถิ่นประจำชุมชนเกาะเกร็ด แบรนด์ “จันทร์หอม” เป็นผงจมูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงและข้าวไรซ์เบอร์รี่จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรหนองมะคังพัฒนา จ.พิษณุโลก “ข้าวฮางทิพย์” จากชุมชนบ้านกุดจิก อ.วานรนิวาส จ.สกลนครข้าวสารแปรรูปด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวภูไท ผ่านกรรมวิธี “แช่-นึ่ง-ผึ่ง-สี” ที่สืบทอดต่อกันมานับร้อยปี “ผ้ายอทอมือ” สินค้าเอกลักษณ์ท้องถิ่นจากแดนใต้ ชุมชนเกาะยอ จังหวัดสงขลา ประกอบด้วย 5ลายผ้าสำคัญ ได้แก่ ลายราชวัตร ลายยอประกาย ลายรสสุคนธ์ และ “ลายจันทร์ฉาย” และผลิตภัณฑ์ กระเป๋าสานแฮนด์เมดสุดเก๋ - ผลิตภัณฑ์จักสานกระจูด จ.นครศรีธรรมราช
ข่าวที่สาม “เด็กซ์-สวนนงนุชจัดวิ่งในหุบเขาไดโนเสาร์9ธ.ค.”
นายกฤษณ์ สกุลพานิช Managing Director บริษัท เดกซ์ [ดรีม เอกซ์เพรส] เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำด้านเอนเตอร์เทนเมนต์คอนเทนต์จับมือกับสวนนงนุช พัทยา และโตเอะ คอมปานี ญี่ปุ่น เจ้าของลิขสิทธิ์มาสค์ไรเดอร์ และพาวเวอร์เรนเจอร์ จัดงานวิ่งมินิเทรล รวมพลังเหล่าฮีโร่รันครั้งแรกในโลก ในงาน “RIDER X RANGERS RUN & TRAIL by Nong Nooch Garden Pattaya” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Mini Trail Run Character & Challenge” วิ่งผจญภัยโลกล้านปีในหุบเขาไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ พร้อมดื่มด่ำทิวทัศน์สุดอลังการแบบพาโนราม่า นำทีมโดยฮีโร่ขวัญใจตลอดกาล มาสค์ไรเดอร์หมายเลข1 – มาสค์ไรเดอร์บิลด์ – มาสค์ไรเดอร์เอ็กเซด – ขบวนการพาวเวอร์เรนเจอร์ ไดโนฟอร์ชเบรฟ
จะจัดวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ณ สวนนงนุช พัทยา แบ่งระยะวิ่งเป็น 3 กม. / 5 กม. / 10 กม. Kids Race ระยะทาง ค่าสมัครคนละ 500 บาท Adult Race ค่าสมัครคนละ 650 บาท และ Challenge Race ระยะทาง 15 กม.ค่าสมัคร 800 บาท
สนใจสมัครวิ่งได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ shop.DEXclub.com/RiderRangersRun พร้อมรับRace Pack ประกอบด้วย เสื้อวิ่งสุดเท่ลายมาสค์ไรเดอร์หมายเลข1 / มาสค์ไรเดอร์บิลด์ / เบรฟเรดไดโน / เบรฟพิ้งค์ไดโน (เลือกได้ 1 ลาย) BIB, เหรียญ (เมื่อวิ่งเข้าเส้นชัย) เสื้อ Finisher 15 กม. ให้เฉพาะผู้สมัครระยะทาง 15 กม. เมื่อวิ่งเข้าเส้นชัยเท่านั้น
ข่าวที่สี่ “แคนทารีโคราชเสิร์ฟเจครบสูตร9-17 ต.ค.นี้”
โรงแรมแคนทารี โคราช ชวนร่วมเทศกาลกินเจ ที่ห้องอาหารแทพเพสทรี ระหว่าง 9 – 17 ตุลาคม 2561 เวลา 11.30 น.-14.30 น. และ 18.00 น.- 22.00 น. ร่วมเทศกาลบุญ ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพและความสบายทั้งกายและใจ กับเมนูเจคัดสรรวัตถุดิบสดใหม่ปรุงโดยเชฟมืออาชีพ โทร. 035-212-535 www.kameocollection.com
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น