ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

รมว.พิพัฒน์”ระดมรัฐ-เอกชนเวิร์คช้อปท่องเที่ยวด่วน!! ค้นคัมภีร์รับมือไวรัสโคโรน่าสกัดลามเศรษฐกิจไทยยาว ชำแหละ4มาตรการ“เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง-สาธารสุข”


“รมว.พิพัฒน์”ระดมรัฐ-เอกชนเวิร์คช้อปท่องเที่ยวด่วน!!
ค้นคัมภีร์รับมือไวรัสโคโรน่าสกัดลามเศรษฐกิจไทยยาว
ชำแหละ4มาตรการ“เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง-สาธารสุข”

เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #คัมภีร์เศรษฐกิจป้องกันไวรัสโคโรน่า

พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ระดมรัฐ-เอกชน 500 คน ทำเวิร์คช้อปถกด่วนจี๋ มาตรการใหม่รับมือผลกระทบเศรษฐกิจจาก “ไวรัสโคโรน่า2019” จ่อนำผลสรุปชง ครม.รอบใหม่พร้อมนำข้อมูลจากทุกฝ่ายเป็นคัมภีร์ปฏิรูปแผนท่องเที่ยวใหม่ครั้งใหญ่ต้นปี’63 ส่วนนักวิชาการอิสระ แบงก์ชาติ ขึ้นเวทีชำแหละพลิกวิกฤตเป็นโอกาส 4 มาตรการ “เศรษฐกิจ-การเงิน-การคลัง-สาธารณสุข”

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการภาครัฐและเอกชน มีทั้งผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภาคเอกชนอีกประมาณ 500 ราย เพื่อแก้ไขและรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยให้ทุกฝ่ายร่วมระดมความคิดเห็น ข้อเสนอและแนวทางการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือสถานการณ์และกำหนดมาตรการผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อนำผลสรุปจากเวทีดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมทั้งการนำแนวทางตามมาตรการไปใช้ปรับตัวและพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรอบด้าน  รวมทั้งเพื่อทำแผนงานเยียวยาผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศต่อไป

ตลอดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 การเวิร์คช้อปจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ประกอบด้วย ช่วงเช้า เปิดเวทีให้วิทยากรนักวิชาการอิสระ ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ฉายภาพแนวโน้มทิศทางผลกระทบของสถานการณ์โรคระบาดที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก ทางรอดของเศรษฐกิจไทย และแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยบนสถานการณ์วิกฤติ
ช่วงบ่าย จัดประชุมเชิงวิชาการแบ่ง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวทั้งในกลุ่มคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.กลุ่มการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย 3.กลุ่มสร้างความเชื่อมั่นในคนไทยและต่างชาติ (ไวรัส,ความปลอดภัย,เศรษฐกิจ) และ 4.กลุ่มการเยียวยาจากสภาวะวิกฤติในปัจจุบันและที่จะมีผลต่ออนาคต
               
                ส่วนมติ ครม. ครั้งที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบ ออกมาตรการระยะสั้นและระยะยาว ตามข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ 1.มาตรการด้านภาษี ขยายเวลายื่นแบบรายการชำระภาษี ปี 2562 ออกไปอีก 3เดือน จากเดิมมีนาคมไปเป็นสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ 2.สนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภานในประเทศ 3.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม 4.เสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน กำหนดจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ห่วงโซ่อุปทาน 5.ศึกษาและวางกรอบการขยายเวลาเปิด-ปิดสถานประกอบการเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวหรือโซนนิ่ง 6.สนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) รองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ใช้จ่ายสูงสู่พื้นที่เมืองรอง
                นายพิพัฒน์ยืนยันว่า การจัดทำเวิร์คช้อปท่องเที่ยวเพื่อหาผลสรุปจากทั้ง 4  กลุ่ม จะทำให้เห็นภาพมาตรการการช่วยเหลือทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งมุ่งให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำไปกำหนดกลยุทธ์และแผนงานทันทีรองรับสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งเกิดขึ้นเร็วมาก อีกทั้งเอกชนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ด้วย เพื่อที่ทุกฝ่ายจะเดินหน้าผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างเข้มแข็งทั้งปัจจุบันและอนาคต

ในการบรรยายภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทางรอดเศรษฐกิจไทย ที่จะต้องฝ่าวิกฤตไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้ได้นั้น มีนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ขึ้นเวทีอย่างพร้อมเพรียงตลอดช่วงเช้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ประกอบด้วย
                “รศ.สมชาย ภัคภาสน์วิวัฒน์” นักวิชาการอิสระ บรรยายว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาจีดีพีส่งออก 60 % และท่องเที่ยว 40 % ส่วนจีนพึ่งพาไทย 25 % ปีที่ผ่านมามีจีนมาไทย 11 ล้านคน และไทยก็พึ่งพาอาเซียนเช่นเดียวกับส่งออกมีส่วนแบ่งรายได้มากเข้าประเทศถึง 26 %
                เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์การท่องเที่ยวเมื่อมองจากภายนอกปีนี้จะลดลง 9 % พระเอกที่เหลือค้ำยันเศรษฐกิจคือ 1.“ภาครัฐ” ดูจากงบประมาณ 3 ล้านล้านบาท (แต่ก็ล่าช้ามากว่า 6 เดือน) เฉพาะการลงทุนหลายแสนล้านบาทเพิ่มได้ถึง 6.5 % ทั้งบค่าใช้จ่ายปี 2563 และปี 2564 ขึ้นอยู่กับรัฐจะวางแผนกระตุ้นอย่างไรบ้าง 2.การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการขยายในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

                ภายใต้สมมุติฐานข้างต้นจึงประเมิน 1.เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัว 2.0- 2.2 % เศรษฐกิจจีนจะไม่เลวร้ายลงมาต่ำกว่า 4 % 2.รัฐบาลต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อใช้งบประมาณรายจ่ายกระตุ้นให้ได้

                สำหรับท่องเที่ยวของไทย จะต้องดู 2 เรื่อง 1.Factual ข้อเท็จจริง คือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเหลือหลักแสนคน ทางด้านจิตวิทยาแล้วอาจกระทบไปถึง 6 เดือนแรก แต่การยอมรับ (perception) ของนักเดินทางจะต้องช่วยกันแก้ปัญหา สถานการณ์อาจคลี่คลายมีนาคมหรือเมษายน แต่จะต้องหาทางออกด้วยการลดภาวะโดยชดเชยทันที เพราะคนจีนรักเมืองไทย สิ่งที่จะต้องลงมือทำคือ
1.เดินหน้าเจาะกลุ่มเป้าหมายชัด ทำงานการบ้านหนักให้มากขึ้น
2.ไตรมาสที่ 2 มองหากลุ่มที่มีกำลังซื้อตลาดใหม่ทดแทน ทั้ง อินเดีย สหภาพยุโรป รัสเซีย ตะวันออกกลาง อเมริกา ซึ่งมีผลกระทบน้อยมาก ต้องเพิ่มส่วนแบ่งเพื่อลดส่วนที่หายไป
3.ปรับกลยุทธ์จากจำนวนเป็นเพิ่มค่าใช้จ่าย พักค้างคืนนานขึ้น พยายามกระจายการท่องเที่ยวสู่ภาคอื่น ๆ เช่น เกษตร ปัจจุบันมีหลายประเทศขยายตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ 4.กระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในประเทศ ต้องเพิ่มจากปีที่ผ่านมา จัดให้มีกิจกรรมตามจังหวัดต่าง ๆ นำไปสู่การดึงตลาดต่างชาติได้ด้วย 5.การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ข้อดีของไทยอีกเรื่องผลของสงครามการค้าทำให้หลายประเทศต้องการย้ายฐานการผลิตในระบบซัพพลายเชน แต่ตอนนี้เวียดนามดึงการลงทุนไปได้มาก ดังนั้นไทยต้องเพิ่มการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถช่วยท่องเที่ยวได้ทางอ้อม
                แรงกดดันในจีนอาจส่งผลให้ไทยได้อานิสงด้านซัพพลายเชน แต่ต้องเพิ่มขีดความสามารถทางแรงงานฝีมือ และการลดกำแพงภาษี ทำ FTA ถึงแม้จะมีการต่อต้านมากก็ต้องทำด้วยวิธีศึกษาผลดีผลเสีย วิกฤตในวันนี้อาจเป็นโอกาสก็ได้

หัวข้อ “ทางรอดเศรษฐกิจไทยภายใต้ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019
                ดร.ดอน นาครทัพ ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย บรรยายในหัวข้อ “ทางรอดเศรษฐกิจไทยภายใต้ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019” เริ่มเปิดศักราชปีใหม่ก็เจอวิบากกรรม 1.ไวรัสโคโรน่า ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวระบุจำนวนนักท่องเที่ยวจะหายไปเกือบ 5 ล้านคน รายได้นักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง 2.5 แสนล้านบาท โดยรวมแล้วตอนนี้ขนาดเศรษฐกิจภาพใหญ่ของไทยมีอยู่ 17 ล้านล้านบาท หากรายได้ท่องเที่ยวลดไป 2.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.5 % ของจีดีพี จึงหวังว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น จากประสบการณ์ที่อยู่กับคณะกรรมการการเงิน (กนง.) มาหลายปีบอร์ดชุดนี้ไม่ต้องการลดดอกเบี้ยนโยบายสักเท่าไร แต่เพราะสาเหตุหลักมาจากไวรัสโคโรน่า 2019 จำเป็นจะต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1 % จึงขอให้ผู้ที่เข้าร่วมเวิร์คช้อปต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่
                สำหรับเวทีการเวิร์คช้อปครั้งนี้จะขอเน้น 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ไวรัสโคโรน่า 2019 สถานการณ์ก่อนตรุษจีนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร็วเพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาลเร็ว แต่พอรัฐบาลจีนประกาศปิดประเทศส่งผลให้นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนมากทันที เพียงแค่ไวรัสเล็ก ๆ ก็มีผลต่อภาพรวม
1.เศรษฐกิจไทยมีขนาดมหาศาล พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวตามเป้าหมายปกติตลอดปีนี้ 3.3 ล้านล้านบาท จากตลาดต่างประเทศและคนไทย เมื่อเกิดโรคระบาดที่มีผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยตรงและต่อเนื่องซึ่งมีส่วนแบ่งมากถึง 20 % ของจีดีพีของประเทศ จึงถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้หนักพอสมควร

2.การจ้างงาน ภาคท่องเที่ยวไม่สูงมาก แต่ค้าปลีกและขนส่งสูงมากถึง 20 % (การจ้างงานใหญ่สุดคือภาคเกษตร 40 % ตอนนี้เจอปัญหาภัยแล้งไปแล้ว) ส่วนรายรับจากการท่องเที่ยวมีผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งเม็ดเงินและการจ้างงาน
               
ช่วงที่ผ่านมาซาร์สเป็นโรคระบาดรุนแรง แต่พอมาถึงไวรัสโคโรน่า 2019 ระบาดเร็วมากมีการติดเชื้อและคนเสียชีวิตสูงกว่าซาร์ส เปรียบเทียบจำนวนผู้เสียชีวิตกับเคสการติดเชื้อ 2 % (เสียชีวิต 1,000 คน หาร จำนวนคนติดเชื้อ 45,000 คน) ในวงการแพทย์ระบุยังวางใจไม่ได้ เพราะตัวเลขนี้อาจจะกลับมาสูงกว่านี้ได้ เพราะเป็นเคสที่ต้องใช้ระยะเวลารักษาพอสมควร
                การเปรียบเทียบด้านการท่องเที่ยวเศรษฐกิจไทยช่วงซาร์ส 2003 กับไวรัสโคโรน่า 2020
                “มาตการด้านเศรษฐกิจ” ปี 2003 รายได้ท่องเที่ยวมีเพียง 7% ต่อจีดีพี มีนักท่องเที่ยวจีนน้อยมาก แต่ตอนนี้ไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวมากถึง 27 % เฉพาะปี 2562 ท่องเที่ยวมีบทบาทต่อเศรษฐกิจสูงถึง 11 % ของจีดีพี นอกจากท่องเที่ยวแล้วตอนนี้จีนยังเป็นคู่ค้าส่งออกมากถึง 12 % และการนำเข้า รวมถึงซัพพลายเชนต้องหยุดชะงักไปด้วย เช่นเดียวกับอีคอมเมิร์ชที่มาจากจีนก็ขาดตลาด จึงถือว่าจีนมีความสำคัญต่อไทยมาก

                เหตุการณ์ช็อกใหญ่ ปี 2003 กับ ปี 2020 นั้นกระทบ 1.หนี้ภาคครัวเรือน เดิมมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่งของจีดีพี ปัจจุบัน คิดเป็น 80 % ของจีดีพี 2.ภาคเกษตร เดิมไปได้ดีแต่ปีนี้เจอภัยแล้ง เศรษฐกิจก็หายไปเยอะ ส่วนเรื่องดีคือหนี้สาธารณะต่ำกว่า ปี 2003 ตามทฤษฎีปีนี้ภาครัฐสามารถเข้าไปช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายเงินได้ดีกว่า 3.เงินสำรองระหว่างประเทศขณะนี้มีเพิ่มขึ้นเยอะ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินไหลออก ซึ่งเป็นกันชนเศรษฐกิจไทย ทางด้านนโยบายการคลัง

                “มาตรการการเงิน” ในการประชุม กนง.มติ 7 ต่อ 0 ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1 % ถือว่าต่ำสุดในการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ครั้งนี้มองว่าดอกเบี้ยลงไปก็ไม่ได้ช่วยมาก แต่ ณ จุดนี้ “ใครทำอะไรได้ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน” ต่อให้เหลือ 0 % ก็ช่วยไม่ได้มาก คีย์เวิร์ดคือ “แพกเกจ (ลดดอกเบี้ย สถาบันการเงินเข้าไปช่วยลูกหนี้ เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง) “ สิ่งแรกที่สำคัญคือ งบประมาณต้องผ่านให้ได้ เพราะงบประจำยังไม่ออก งบกลางปีก็ไม่สามารถออกได้เช่นกัน สามารถช่วยได้หลากหลายรูปแบบ

ดังนั้นจึงขอให้เอกชนที่เข้าร่วมเวิร์คช้อปเสนอขอความช่วยเหลือในหลากหลายรูปแบบได้ เพราะ กนง.มองว่ามีโอกาส “เกิดวิกฤตสภาพคล่องได้” ในกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร รถขนส่ง การจ้างงาน กนง.ปลดล็อกดอกเบี้ยไม่ได้หวังปล่อยสินเชื่อ แต่จะช่วยสภาพคล่อง ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ครั้งนี้ไม่ได้ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวแต่ขอให้สถาบันการเงินช่วยเหลือด้วย ด้านการปรับโครงสร้างหนี้ ถ้าลูกหนี้ประสบปัญหาอดีตต้องนับเป็นหนี้เสีย เมื่อต้นปีแบงก์ชาติให้ปรับก่อนไม่ต้องรอเป็นหนี้เสียเข้าไปช่วยทันที ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยแล้วให้สถาบันการเงินเข้าไป

                “มาตรการด้านการคลัง” ที่จะเป็นไปได้ คือ ยืดภาษี รายได้ให้หน่วยงานราชการไปสัมมนาต่างจังหวัด สิ่งที่จะต้องส่งเสียงของเอกชนต้องระบุให้ชัดว่าต้องการอะไร
                “มาตรการสาธารณสุข” ประเทศไทยปลอดภัยจากโรค โชคดียังไม่มีใครป่วยตาย แต่มีความเสี่ยงเพราะไทยเป็นประเทศเปิดกับเพื่อนบ้าน กรณีเรือสำราญไปจอดในกัมพูชา แต่พื้นที่ติดกับไทยก็ต้องมีมาตรการป้องกันควบคุมอย่างดี

                ปี 2562 เอกชนเจอปัญหา “บาทแข็ง” แต่มาอ่อนลงตั้งแต่ต้นปีเหลือ 31 บาท ซึ่งไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจมากนัก เพราะถ้าคนกลัวไวรัสโคโรน่า 2019 ก็อาจจะไม่มา ณ จุดนี้ไม่ใช่เรื่องการใช้กลยุทธ์ดั๊มราคาขาย แต่ต้องเน้นการสร้างความเชื่อมั่น ช่วงค่าบาทแข็งจะทำให้ต่างชาติมองว่าเป็นประเทศสินทรัพย์ปลอดภัย จากนี้ไปจะไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัยอีกต่อไป แนวโน้มถ้าท่องเที่ยวลดลงเงินบาทก็ต้องอ่อนลงกว่า 31 บาท/เหรียญสหรัฐ

                ขณะนี้จีนทำประเมินการติดเชื้อรายใหม่ พื้นที่รอบหูเป่ย มีจำนวนลดลง มีทิศทางเป็นสัญญาณที่ดีวิกฤตไวรัสจะจบได้ภายในเวลาอีกไม่นาน

                จึงขอให้เอกชนช่วยกันคิดสถานการณ์หลังวิกฤตไวรัสที่จะชี้ให้ทำ 2-3 เรื่อง ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวไทยพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปหรือไม่ ควรเพิ่มสัดส่วนตลาดอื่นมากขึ้น ลดความสุ่มเสี่ยงในอนาคต ไม่เฉพาะไวรัสหากเกิดกรณีพิพาท 2.ดูแลแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ฟื้นฟูสถานที่ท่องเที่ยว ปรับปรุงโรงแรม สถานที่พัก 3.สนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง กระจายไปสู่พื้นที่อื่น ทำให้เกิดความต่อเนื่องทั้งตลาดคนไทยและต่างประเทศ

                ปิดท้ายปี 2563 สถานการณ์ค่อนข้างหนัก เพราะท่องเที่ยวมีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจไทย และยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะจบเมื่อไร แต่ก็ยังยึดเศรษฐกิจเติบโตตามนโยบาย ดร.สมคิดคือ 2 %
                ระยะสั้น ต้องดูแลไม่ให้เกิดขาดสภาพคล่อง ทั้งนโยบายการเงิน คลัง สาธารณสุข
                ระยะยาว ภาคการท่องเที่ยวต้องทำหลายเพื่อความยั่งยืนและแข็งแกร่ง

หัวข้อ - สถานการณ์วิกฤตโคโรน่าและผลกระทบในอนาคต
ดร.อรรถ วิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (เริ่มต้นด้วยการเปิดคลิป เบลล่า เหลียง ศิลปินจีน กล่าวขอบคุณคนไทยที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่สู้ไปกับประเทศจีน) บรรยายว่า โคโรน่า-COVID จีนระบุจะจบเมื่อไร่ แต่จะพีคกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ แต่นักวิทยาศาสตร์ชาติอื่นบอกว่าจะเลยไปถึงเมษายน บางประเทศบอกว่าไม่รู้จะจบเมื่อไร เพราะตอนนี้สถิติคนตายเพิ่มอย่างรวดเร็ว แต่ติดเชื้อลดลง
สถานการณ์ไตรมาส 1 จีนเริ่มเปิดโรงงานผลิตสินค้า แต่แรงงานยังไม่กล้าเข้าไปขอผลิตอยู่ที่บ้าน เพราะขาดหน้ากากอนามัย 1 คน/2ใบ คาดการณ์รถยนต์ลดการผลิตไป 15 % จากยอดผลิตปีละ 28 ล้านคัน ล้วนเป็นแบรนด์ดังทั่วโลก เวิลด์แบงก์ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ตอนซาร์สราว 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มากถึง 40 เท่า
ไทยเป็นประเทศในอาเซียนได้รับผลกระทบหนักสุด เพราะพึ่งพาจีนมากสุด ไทยมีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน พึ่งส่งออกอันดับ 1 จึงมีผลรุนแรงสุดในไทย รองลงไปคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
เปรียบเทียบผลกระทบปี 2003 จีนมีจีดีพี 1.6 ล้านล้านหยวน ส่วนปี 2019 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยเพิ่ม 18 เท่า ผลกระทบกับไทย “ส่งออก” เป็นสำเร็จรูป กับวัตถุดิบ ขณะนี้โรงงานเริ่มกลับมาผลิตแต่มีแรงงานเพียง 10 % กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Tesla Foxconn หรือลำไยจากไทยขายไม่ได้เลย แล้วทุเรียนไทยกำลังจะออกผลจะขายได้หรือไม่แต่ตลาดจะเริ่มเปิดเดือนมีนาคมนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ทางรัฐบาลประกาศให้โรงงานให้แรงงานกลับไปทำงานได้ แต่สภาพโดยรวมยังเงียบเหงา
ตอนซาร์สส่งผลไปถึงไตรมาส 2 ปี 2003 แต่จีนสามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาโต 10 % เช่นเดียวกันกับปีนี้ถ้าจบเร็วจีนอัดเงินอย่างแน่นอน
จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเท่าไร จีดีพีจาก COVID ของไทยจะหายไป 0.5-1 % IMF ระบุจาก 6 เหลือ 5.4 % เมื่อนำไปใส่ในแบบจำลองเศรษฐศาสตร์ จะมีผลดังนี้ กรณีจบภายใน 3 เดือน 4.1-8.2 % (7.5 หมื่น-1.5 แสนคน) กรุงเทพฯ ชลบุรี ภาคใต้ กระทบธุรกิจดังนี้ ช้อปปิ้ง โรงแรมที่พัก อาหารเครื่องดื่ม
ส่งออกไทยหายไป 0.1-0.3 % ตลอดปีจะลบ 0.9 แล้วภาพรวมส่งออกลบ 1-1.9 % กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมี เกษตร ยางพารา
ธุรกิจที่กระทบสู่ แรงงาน จะหายไป 0.7-2.1 % จำนวน 1.0 1.8-5 แสนคน
จีดีพีไทยและจีนหายไป.....
ในโลกนี้มี 2 ค่าย คือ 1.กลุ่มที่ปิดประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์  2.กลุ่มที่เปิดประเทศ ไทย มาเลเซีย ไม่ใส่หน้ากากเลย เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวจีน ส่วนร้านอาหารที่เข้าคิวซื้อ รวมทั้ง กัมพูชา เพราะการสร้างความเชื่อมั่น
สิ่งที่ต้องการเห็นประเทศไทยทำอะไร
ไทยทำดีอยู่แล้วแต่ยังไม่พอ ในฐานะประเทศเปิด ต้อง “สร้างความเชื่อมั่น” แก่คนทั้งโลก ตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง โรงแรม ห้างสรรพสินค้า โดยจะต้องทำไปพร้อมกันทั้ง ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม เกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มการผลิต และการส่งออกอุตสาหกรรม ตอนนี้ล้งจีนกลับประเทศหมดแล้ว เกษตรกรบอกให้ช่วยเหลือ
ยุทธศาสตร์เชิงรุก พ่นควันทำความสะอาด ทำคลิปประชาสัมพันธ์ด้วยภาษาต่าง ๆ เผยแพร่ไปทั่วโลก สร้างความมั่นใจ ที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ยุทธศาสตร์ ลด VAT 7 % รัฐบาลกล้าหรือไม่ที่จะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะคนไทยเองก็ไม่กล้าออกนอกบ้าน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ส่วนผู้ประกอบการช่วงใช้วิกฤตเป็นโอกาสปรับปรุงสินค้า สู่การดูแลสิ่งแวดล้อมลดการใช้พลาสติก




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ททท.นครราชสีมาพลิกโฉมตลาดท่องเที่ยวปี67

  รุ่งทิพย์ บุกขุนทด  ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา ททท.นครสีมานำธุรกิจพลิกโฉมตลาดปี 67 เที่ยวโคราช-ชัยภูมิ ปลุกกระแส 3 วัยเที่ยวมุมใหม่เมืองย่าโม 3 มรดกโลก 10 อำเภอ จัดชุดใหญ่ Soft Power365 วัน 2 จว. 5 จุดขาย-สงกรานต์สนุกแน่ สมัคร!!สมาชิกคิงเพาเวอร์มี.ค.รับกิฟท์โวเชอร์/กะรัต/ส่วนลด THE POWER BAND# 4คิงเพาเวอร์แจก2ล้านนักดนตรีอาชีพ พลูแมนคิงเพาเวอร์ชูแพ็คเกจ Wedding แจก12รายการ2-3มี.ค. ททท.หนุน PELUPO ปักหมุดพัทยาบูมเที่ยวเทศกาลดนตรีโลก บางจากนำโมเดลสมดุลเพื่อโลกยั่งยืน ESG ส่งต่อผู้อบรมกปร. สุขทันทีนั่งรถม้าเที่ยวลำปาง-วัดพระพุทธบาทผาหนามลำพูน นายกฯจุดฝันไทยฮับบินโลกดันสุวรรณภูมิติดท็อป 20 รุก 5 ส่วน 800 บูธร่วมมหกรรมลดกระหน่ำเทศกาลเที่ยวไทยถึง 3 มี.ค. 67 วันเสาร์ที่  2 มีนาคม 2567 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen #gurutourza # รวยด้วยข่าวเสาร์อ

TCEBนำไมซ์ปี67โร้ดโชว์เทรดโชว์ทั่วโลก-จัดยกทีมประชุมรุมรักเมืองไทย

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) "TCEB" บิ๊ก TCEB ปี 67 ปั๊มยอดไมซ์โตลุยโร้ดโชว์/เทรดโชว์ทั่วเอเชีย ในประเทศจัดกระหึ่ม“ยกทีมประชุมรุมรักเมืองไทย”พ.ค.นี้   3-7 มี.ค.ประชุมโดฮาลุ้นข่าวดี !! ไทยเจ้าภาพ Korat Expo2029 ดับร้อน!!ที่คิงเพาเวอร์ช้อป4มันส์ลดแจกแลกฟรี-31มี.ค.67 คิงเพาเวอร์จัดเต็ม 3.3 BEAUTY TRIO” ช้อป 3 อย่างลด 25% ททท.นำร่องจัด AIR-MAZING ไทยฮับท่องเที่ยว/การบินปี67 บางจากแจกมี.ค.67นำปั๊มเอสโซ่เดิม & บางจากมอบ2โปรดี สุขทันทีที่เที่ยวแดนใต้นราธิวาสเมืองพหุวัฒนธรรม5พิกัด AWC ปี’66ทำ5นิวไฮ-ปี67ทุ่ม1.9หมื่นล้านเปิด18โครงการ Trip.com- ททท.ไลฟ์สตรีมขายสงกรานต์โกยต่างชาติ150ล. วันอาทิตย์ที่   3 มีนาคม 2567 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen #gurutourza # รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์ FM97  # เพ็ญรุ่งใยสามเสน # เท

เปิดใจ “พศิน ลาทูรัส”ทายาท”นารายา”พลิกโมเดลแบรนด์ไทย ถอดบทเรียนโควิดปรับมุมคิดธุรกิจรุ่งปั้นสินค้าใหม่บุกทั่วโลก

  เปิดใจ “พศิน ลาทูรัส”ทายาท”นารายา”พลิกโมเดลแบรนด์ไทย ถอดบทเรียนโควิดปรับมุมคิดธุรกิจรุ่งปั้นสินค้าใหม่บุกทั่วโลก คิงเพาเวอร์ชวนช้อปออนไลน์แบรนด์เนมลด 70%26-31 ต.ค.นี้ สนุกกับ SUPER SURPRISE ดีลพิเศษราคาดิวตี้ฟรีที่คิงเพาเวอร์ ก.ท่องเที่ยวตีปีกรับทัวร์ต่างชาติ 3 เฟส-ไฟเขียวแล้ว 10 แอร์ไลน์ ไทยจ่อดึงลองสเตย์ต่างชาติซื้ออสังหาฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด “ TCEB” ชูไทยแลนด์ไมซ์สตาร์ตอัพปั้นนวัตกรรมใหม่5โปรเจ็กต์ หนาวนี้เที่ยว“นครพนม”ปลอดภัยมั่นใจเส้นทางสาย SHA ริมโขง วิธีเลือกกินเพื่อหลีกเลี่ยงความอ้วนควบคู่การลดโรคมากมาย ไทยสมายล์ขายตั๋วชุดเที่ยวไทยเหมาจ่าย4ใบเริ่มที่3.8พันบาท ไทยเวียตเจ็ทขายตั๋ว5บาท/เที่ยวโปร2เส้นทางใหม่ในประเทศ กรมเจ้าท่าฟุ้งแผนทำ10ท่าเรือรองรับวันสต็อปเที่ยวเจ้าพระยา   นายพศิน ลาทูรัส ซีอีโอฝ่ายพัฒนาธุรกิจ  บริษัท นารายณ์ อินเตอร์เทรด จำกัด ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง