ททท.งัดบิ๊กโปรเจ็กต์เที่ยวใกล้เที่ยวง่ายปลุกในประเทศ
ปั้นมหกรรมFlash
Saleปั๊มตลาดเที่ยวไทยโตเพิ่ม5%
คิงเพาเวอร์หนุนไทยศูนย์กลางจัดแข่งขี่ม้าโปโลเอเชีย
ช้อปคิงเพาเวอร์3,500บาทรับฟรีคูปองอาหาร200บาท
ททท.-ไทยเปิดมาตรการท่องเที่ยวฝ่าวิกฤตไวรัสโควิด
ท่องเที่ยวชี้เป้าเร่งสร้างเชื่อมั่นฟื้นเศรษฐกิจประเทศ
บางจากร่วมปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้นลด PM 2.5
More Funเที่ยวง่ายสายชมช้อปชิมเมืองปราจีนบุรี
“อาหารบำรุงหัวใจ”ต้องเลือกกินอย่างไรให้รู้เท่าทัน
อพท.ลุยปั้น25พื้นที่เที่ยวสู่เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก้
ทอท.งัดแผนแจกเงินแอร์ไลน์ล่อใจเพิ่มลดเที่ยวบิน
แรบบิทพัทยา”รีสอร์ตแรกวิจัยกัญชาดึงทัวร์สุขภาพ
นพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) |
เข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0
และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์
#gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เที่ยวกับกู๋ #เที่ยวไทยเที่ยวใกล้เที่ยวง่าย #FlashSaleบอกรักเมืองไทย #MoreFunชมช้อปชิมตลาดปราจีนบุรี
ช่วงที่ 1 เปิดใจ “นพดล ภาคพรต”
รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
พลิกสถานการณ์ปลุกนักท่องเที่ยวแห่ใช้จ่ายเงินทัวร์ในประเทศในโปรเจ็กต์
“เที่ยวเมืองไทย เที่ยวใกล้ เที่ยวง่าย” กระตุ้นเที่ยวในและข้ามภูมิภาค
ผุดคลัสเตอร์ย่อยในพื้นที่ 5 ภูมิภาค
มีนาคมนี้ เตรียมงัดมหกรรม “Flash Sale-“บอกรัก เมืองไทย” ระดมเอกชนร่วมเทขายโปรดักซ์ท่องเที่ยวถูกสุด ๆ
รายชั่วโมง ตั้งเป้า 3 เดือนแรกปี’63 ต้องปั๊มกำลังซื้อตลาดในประเทศพุ่งเพิ่มอีก 5
%
ปูพรมขายต่อเนื่องแคมเปญ 60 เส้นทางความสุข
Hello Summer เที่ยวหน้าร้อนเมษายนนี้
นายนพดล
ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดเผยว่า ได้ปรับแผนตลาดท่องเที่ยวในประเทศรับสถานการณ์ความท้าทายที่เกิดขึ้นช่วงต้นปี
ภายใน 3 เดือนแรก
ระหว่างกุมภาพันธ์-เมษายน 2563 โดยได้การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนสื่อสาร
เยียวยา กระตุ้น
เพื่อสร้างความคึกคักด้วยการเร่งให้คนเดินทางในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แบ่งการทำตลาดออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่
1 กระตุ้นการเดินทางภายในภูมิภาคเดียวกัน
จะใช้คอนเซ็ปต์ทำโครงการ “ไทยเที่ยวไทย เที่ยวใกล้ เที่ยวง่าย” หมายถึงแต่ละภูมิภาคจะทำเป็นคลัสเตอร์
เช่น ภาคใต้ แบ่ง 2-3 คลัสเตอร์
ตัวอย่างคือ คลัสเตอร์ที่ 1 หาดใหญ่-พัทลุง-ปัตตานี
คลัสเตอร์ที่ 2 ภูเก็ต-กระบี่-พังงา
คลัสเตอร์ที่ 3 สุราษฎร์ธานี-สมุย
โดยจะใช้อีเวนต์เป็นตัวนำเพื่อให้ตอบโจทย์การเดินทาง บวกการส่งเสริมการขาย แพกเกจต่าง
ๆ ทำให้คนไทยออกเดินทางก่อน
กลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มจังหวัดใกล้เคียงกันเดินทางท่องเที่ยวกันเอง
ส่วนที่
2 กระตุ้นการเดินทางระหว่างภูมิภาค
มีโปรเจ็กต์หลักคือ “60
เส้นทางความสุข” เปิดตัว Hello Winter ไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้เตรียมเปิดตัว Hello Summer เริ่มมีนาคมนี้เป็นต้นไป
อีกแคมเปญต้อนรับฤดูร้อนเป็นการท่องเที่ยวตามซีซัน มีแคมเปญส่วนลดกับของรางวัล
นอกเหนือจากโครงการนี้ได้ประมวลผลกระทบจากสารพัดเรื่องจึงเตรียมทำโครงการเพิ่มเติมคือ
Flash Sale “บอกรัก
เมืองไทย” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย หวังผล 2 เรื่อง คือ 1.กระตุ้นการเพิ่มวันพักเฉลี่ย 2.เพิ่มความถี่การออกเที่ยวในประเทศ
ด้วยการนำแคมเปญต่าง ๆ ธุรกิจท่องเที่ยวของแต่ละภูมิภาค เส้นทาง ที่พัก
รูปแบบการเดินทาง ประกันภัยการเดินทางท่องเที่ยว มาออกบูธ
สร้างสีสันให้เกิดความน่าสนใจ นำระบบออนไลน์เข้ามาเป็นช่องทางช่วยขาย
ช่วงปลายเดือนมีนาคม นี้ เพื่อรอต่อยอดเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563
จะเน้นการนำเสนอแคมเปญผ่านอีเวนต์ส่งเสริมการขาย
ระยะ 3 วัน
ปลายเดือนมีนาคมนี้ จะจัดพื้นที่การขายบริเวณสยามสแควร์
เพื่อเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ สามารถเลือกซื้อการท่องเที่ยวด้วยตนเอง (F.I.T.) หรือซื้อผ่านบริษัทนำเที่ยว สมาคมท่องเที่ยว
ราคาพิเศษสุด ๆ มีกิมมิกทุก 1-2 ชั่วโมง
จะมีราคาแฟลชเซลสุด ๆ ออกมาขาย เปิดโอกาสให้โรงแรม หรือแหล่งท่องเที่ยว ที่อยู่ไกล
ๆ สามารถขายทางออนไลน์ในงานได้ นำสินค้าจากทั้ง 5 ภูมิภาค มาแบ่งหมวดสินค้าเพื่อให้ทั้งกลุ่ม F.I.T.ซื้อเฉพาะ ตั๋วโดยสาร ห้องพัก รถเช่า
หรือซื้อจากทัวร์เป็นแพกเกจ
ไฮไลต์กำลังหาพันธมิตรกับกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน
กับบัตรเครดิต มาร่วมทำแคมเปญ On top เพิ่มมูลค่ามากขึ้น
รวมถึงโครงการท่องเที่ยววัดวาอารามต่าง
ๆ ในชื่อ “60 รับพลัง” 5
ภูมิภาค ผนวกกับแคมเปญต่าง ๆ
ร่วมกับพันธมิตร
ตลอด 3
เดือนแรกปี 2563 จะทำยอดการท่องเที่ยวในประเทศให้ได้ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
นายนพดลกล่าวว่าปีนี้คนส่วนใหญ่มีความระมัดระวังการใช้จ่ายอันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจ
ททท.ต้องการทำแผนกระตุ้นกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวในประเทศโดยใช้โครงการเพื่อหวังผลเพิ่มจำนวนและรายได้อีก
5 % ก็ถือว่าดีมากแล้ว
แล้วหลังจากนั้นช่วงระยะกลางปีต่อเนื่องถึงปลายปี
จะมีโปรเจ็กต์ยาวตอบโจทย์รายได้ภาพรวมคือ 60 เส้นทางความสุข
เพียงแต่ช่วงมีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม ต้องทำอย่างเข้มข้นมาก
หลังจากนั้นจะมีการจัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2563” ช่วงปลายปีนี้ ควบคู่โครงการ Where in
the World สร้างอารมณ์ความรู้สึกคนไทยที่คิดจะไปต่างประเทศหันมาท่องเที่ยวเมืองไทย
หรือโครงการ My Idol Local ก็จะปลุกกระแสคนไทยอีกกลุ่มออกไปหาประสบการณ์แล้วสร้างสิ่งดี
ๆ ให้ชุมชนได้
ในไตรมาสุดท้ายจะมีโปรเจ็กต์ลักษณะดังกล่าวทยอยออกมาวางขายในตลาดเป็นระลอก
ๆ
สำหรับธีมการขายท่องเที่ยวตลาดในประเทศตามโจทย์หลัก
ให้นโยบายการใช้ธีม More ใน 5
ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ-More
Authentic ภาคกลาง-More
Legacy ภาคตะวันออก -More
Food&Fun ภาคอีสาน-More
Gastronomy ภาคใต้-More
Inspire ก็ยังคงเดินหน้าใช้ต่อไปแต่จะให้ปรับเพิ่มแคมเปญโดยให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่นำเสนอขายสินค้า
เช่น
การขายคลัสเตอร์ท่องเที่ยวกระตุ้นการเดินทางภายในภูมิภาคเดียวกันให้คนในจังหวัดข้างเคียงมาเที่ยว
ตัวอย่าง ภาคใต้ มี More Inspire ทำเป็นธีมสร้างแรงบันดาลใจการท่องเที่ยวเชิงอาหารในคลัสเตอร์ภาคใต้ จะปักธงที่เมืองหาดใหญ่สร้างแรงบันดาลใจเรื่องการท่องเที่ยวเชิงอาหารถิ่น
ในพื้นที่เองมีความหลากหลายด้านอาหาร จีน ไทย ใต้ รสชาติอร่อย จัดช่วงพฤษภาคม
จากนั้นจะขยับไปยังสุราษฎร์ธานี ชูอาหารทะเลสด ในเดือนมิถุนายน ปิดท้ายที่ภูเก็ตเป็นเรื่องอาหารหลากหลาย
ทั้งอาหารจีน อาหารมงคล ในช่วงเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2563
ภาคอีสาน More Gastronomy ต้องเน้นการเพิ่มอีเวนต์หารายได้
ใช้แม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่โดดเด่นด้านอีเวนต์งานประเพณี ฮีต 12 คลอง 14 เข้ามาเป็นองค์ประกอบทำรายได้กระจายสู่พื้นที่ต่าง
ๆ ช่วงพฤษภาคม-สิงหาคม พอเสร็จสิ้นฤดูทำไร่ทำนาก็จะมีเทศกาลประเพณีต่าง ๆ
จะต้องทำให้โดดเด่นสามารถขายนักท่องเที่ยวได้ เช่น งานบุญผะเวท จ.ร้อยเอ็ด
เสริมด้วยการท่องเที่ยวอาหารถิ่นภาคอีสาน
ภาคตะวันออก More Food
& Fun ปีนี้จะเน้นช่วยผู้ประกอบการฝั่งทะเลตะวันออก
ด้วยเรื่องราวความสนุกสนาน
กำลังขอข้อมูลสรุปจากทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึงสถานการณ์ส่งออกผลไม้
จึงเน้นทำโครงการ “อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน”
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการสวนผลไม้ และเพิ่มวันพักค้างคืนมากขึ้น
โดยเฉพาะในจังหวัดตราด
สำหรับโจทย์อื่น ๆ ที่
ททท.ต้องการสนับสนุนเพื่อเสริมกำลังด้านตลาดท่องเที่ยวในประเทศ
ส่วนหลักคือการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ตอนนี้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมเต็มที่ เช่น
แอพลิเคชั่น TAKTHAI
รวมทั้งต้องพยุงรายได้ท่องเที่ยว ซึ่งล่าสุดมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็มีมาตรการเยียวยาธุรกิจท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคล
จัดสัมมนาในประเทศสามารถนำมาค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้ถึง 200 % แต่ละภาคส่วนก็ช่วยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกันอย่างเต็มที่
ดังนั้นในช่วง 3-4 เดือนแรกปี 2563 ภายใต้การทำงานอย่างรวดเร็ว ได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย
ททท.จะสามารถประคองสถานการณ์รายได้ตลาดในประเทศ เติบโตเข้าเพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 5
%
ข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์หนุนไทยศูนย์กลางจัดแข่งขี่ม้าโปโลเอเชีย”
นายกนกศักดิ์
ปิ่นแสง นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย
เปิดเผยว่า ไทยได้รับเกียรติจัดการแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลรายการ “ออล เอเชีย คัพ 2020
(All Asia Cup 2020)” จัดอย่างยิ่งใหญ่
เป็นครั้งที่ 5 ซึ่งวันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ ที่สามารถโชว์ศักยภาพจัดแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งภูมิภาคเอเชีย
โดยมีนักกีฬาทีมชาติไทยอย่าง อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา
ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และนักกีฬาคนอื่น ๆ
ลงสนามแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติไทยพบทีมชาติฟิลิปปินส์ ณ สนาม วีเอส
สปอร์ตคลับ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ในรอบชิงชนะเลิศนั้นทางครอบครัว “ศรีวัฒนประภา”
ได้เดินทางเข้าร่วมชมการแข่งขันอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับผู้มีชื่อเสียง
อีกทั้งการแข่งขันรายการนี้มีนักกีฬาขี่ม้าโปโลจากทั่วเอเชียเข้าร่วมทั้ง
6 ประเทศ
และทางสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทยได้รับเกียรตินักกีฬาขี่ม้าโปโลกิตติมศักดิ์เข้าร่วมแข่งขัน ได้แก่ เจ้าหญิงอาเซมะห์ นีมาตุล โบลเกียห์ เจ้าชายเจฟรี โบลเกียห์เจ้าชายบาฮาร์
โบลเกียห์
ส่วนการแข่งขันขี่ม้าโปโลจัดขึ้นตามเจตนารมณ์ของ
คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ผลักดันและสนับสนุนให้กีฬาขี่ม้าโปโลกลับมาสู่สังคมไทย
พร้อมจัดตั้งเป็น “สมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย”
ได้การรับรองจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
พร้อมบรรจุกีฬาขี่ม้าโปโลสำเร็จครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ณ
จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปี
2550
บรรยากาศการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจัดยิ่งใหญ่อลังการ
เริ่มด้วยการแสดงเปิดสนามในคอนเซ็ปต์ “Honoring to the Spirit of Asia” จิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของชาวเอเชีย
เพื่อผนึกกำลังสรรสร้างศักยภาพสู่ความสำเร็จร่วมกัน ด้วยโชว์ศิลปะการ ‘บังคับม้า’
แสดงถึงความสามารถและทักษะของ ‘ผู้ขี่’ และ ‘ม้า’ ผสานกันเป็นหนึ่งเดียว
อันเป็นหัวใจสำคัญของกีฬาขี่ม้าโปโล
ต่อด้วยการแสดงสุดยอดโชว์ชุดพิเศษ The
Harmony of Spirits นำ 3 ‘อัตลักษณ์ไทย’ ก่อนขบวนพาเหรดถ้วย All
Asia Cup 2020 ปีนี้มีดาราสาว “ใบเฟิร์น -พิมพ์ชนก
ลือวิเศษไพบูลย์” เป็นผู้เชิญถ้วยรางวัล และนายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง
นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย
เป็นผู้โยนลูกโปโลเปิดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
เมื่อเข้าสู่การแข่งขันระหว่าง
‘ทีมชาติไทย’ พบกับ ‘ทีมชาติฟิลิปปินส์’ นำโดย ไมค์กี้ โรเมโร หลังจากที่ทั้ง 2
ทีมเคยพบกันมาแล้วในการแข่งขันเมื่อปี 2561
ครั้งนี้จึงเป็นการรีแมตซ์กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจบการแข่งขันชักก้า 2
ผู้มีเกียรติที่มาร่วมลุ้นการแข่งขัน ได้พากันร่วมประเพณี “สตอมปิ้ง เดอะ ดิเวิทส์
: Stomping the
Divots” หรือการย่ำสนาม
เพื่อกลบดินและเกลี่ยรอยเท้าม้าให้พื้นสนามเรียบ
ระหว่างนั้นผู้ชมทั้งสองฝ่ายได้พบปะพูดคุยกับนักกีฬา
รวมทั้งแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างกัน ก่อนดำเนินการแข่งขันในช่วงครึ่งหลังต่อไป
ปิดฉากการแข่งขันผลปรากฎว่า
“ทีมชาติไทย” สามารถเอาชนะทีมชาติฟิลิปปินส์ ด้วยคะแนน 71/2 – 4
คว้าถ้วยแชมป์ All
Asia Cup 2020 ไปครองได้สำเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาทีมไทยครองแชมป์ถึง 3 สมัย เมื่อปี 2555,
2556 และ 2561
ภายหลังการแข่งขัน มีพิธีมอบรางวัลให้สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่แต่งกายอย่างสวยงามตามคอนเซ็ปต์
“Honoring to the Spirit of Asia” 8 รางวัล ได้แก่ 1.รางวัล
Best Dressed Lady-ผู้แต่งกายยอดเยี่ยมหญิง
ได้แก่ ปัญจพร โชติจุฬางกูร2.รางวัล Best Dressed Gentleman ผู้แต่งกายยอดเยี่ยมชาย
ได้แก่ ปรีดา พสวงศ์ 3.รางวัล Most Stylish Lady -ผู้ที่แต่งกายหญิงที่มีสไตล์โดดเด่นมากที่สุด
ได้แก่ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง 4.รางวัล
Most Stylish Gentleman-ผู้ที่แต่งกายชายที่มีสไตล์โดดเด่นมากที่สุด
ได้แก่ Tim Yap หนุ่มจากฟิลิปปินส์ 5.รางวัล Best Photogenic Lady-ขวัญใจสื่อมวลชนผู้หญิง
ได้แก่ ลาลีวรรณ โกมลสุทธิ์ 6.Best
Photogenic Gentleman-ขวัญใจสื่อมวลชนผู้ชาย ได้แก่ รักพงศ์
จันทรมังกร
ส่วนอีก 2 รางวัล
ประกอบด้วย 7.รางวัล
Best Pony Award คือรางวัลม้าที่มีฝีเท้าดี โดย คิง พาวเวอร์
ได้แก่ ม้า “Bloody Mary” และ 8.รางวัล MVP Award (Most Valuable
Player) คือรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำการแข่งขันในครั้งนี้
ได้แก่ เอเดรียน การ์เซีย จากทีมชาติฟิลิปปินส์
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ชวนสมาชิกเพียงช้อปสินค้าระหว่างวันนี้ – 29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ครบ
3,500 บาทขึ้นไป (สุทธิ) / ใบเสร็จ รับฟรี! คูปองทานอาหาร 200 บาท รับได้วันละ 1 สิทธิ์ /คน เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนลดตามมูลค่าจริงของคูปอง
ในการเลือกรับประทานอาหารในโซนและนอกโซน Thai Taste Hub ชั้น 3 คิง เพาเวอร์
รางน้ำ
แคมเปญนี้สามารถช้อปง่าย ๆ ด้วยการเลือกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ โดยใช้ส่วนลดจากบัตรสมาชิกคิง
เพาเวอร์ ร่วมด้วยได้ รวมทั้งบัตรร่วมของคิง เพาเวอร์ กับธนาคารไทยพาณิชย์
และกสิกรไทย หรือสินค้าบางรายการให้สิทธิ์ผ่อนชำระ 0% ได้
ข่าวที่ 3 “ททท.-ไทยเปิดมาตรการท่องเที่ยวฝ่าวิกฤตไวรัสโควิด”
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop)
ภาครัฐและเอกชน มีทั้งผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภาคเอกชนอีกประมาณ 500 ราย
เพื่อแก้ไขและรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวยั่งยืน
โดยให้ทุกฝ่ายร่วมระดมความคิดเห็น ข้อเสนอและแนวทางการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือสถานการณ์และกำหนดมาตรการผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่
2019 หรือ COVID-19 เพื่อนำผลสรุปจากเวทีดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
(ครม.)
รวมทั้งการนำแนวทางตามมาตรการไปใช้ปรับตัวและพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรอบด้าน
รวมทั้งเพื่อทำแผนงานเยียวยาผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศต่อไป
โดยให้นักวิชาการมาฉายภาพรวมเศรษฐกิจโลกกับสถานการณ์ในประเทศ
พร้อมกับแบ่งเวิร์คช้อปออกเป้น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวทั้งในกลุ่มคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
2.กลุ่มการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย
3.กลุ่มสร้างความเชื่อมั่นในคนไทยและต่างชาติ (ไวรัส,ความปลอดภัย,เศรษฐกิจ)
และ 4.กลุ่มการเยียวยาจากสภาวะวิกฤติในปัจจุบันและที่จะมีผลต่ออนาคต
“รศ.สมชาย ภัคภาสน์วิวัฒน์”
นักวิชาการอิสระ บรรยายว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาจีดีพีส่งออก 60 % และท่องเที่ยว 40 %
ส่วนจีนพึ่งพาไทย 25 % ปีที่ผ่านมามีจีนมาไทย 11 ล้านคน
และไทยก็พึ่งพาอาเซียนเช่นเดียวกับส่งออกมีส่วนแบ่งรายได้มากเข้าประเทศถึง 26 % เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์การท่องเที่ยวเมื่อมองจากภายนอกปีนี้จะลดลง
9 % พระเอกที่เหลือค้ำยันเศรษฐกิจคือ 1.“ภาครัฐ” ดูจากงบประมาณ 3 ล้านล้านบาท
(แต่ก็ล่าช้ามากว่า 6 เดือน) เฉพาะการลงทุนหลายแสนล้านบาทเพิ่มได้ถึง 6.5 %
ทั้งบค่าใช้จ่ายปี 2563 และปี 2564 ขึ้นอยู่กับรัฐจะวางแผนกระตุ้นอย่างไรบ้าง
2.การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการขยายในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ภายใต้สมมุติฐานข้างต้นจึงประเมิน
1.เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัว 2.0- 2.2 % เศรษฐกิจจีนจะไม่เลวร้ายลงมาต่ำกว่า 4
% 2.รัฐบาลต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อใช้งบประมาณรายจ่ายกระตุ้นให้ได้
สำหรับท่องเที่ยวของไทย จะต้องดู 2
เรื่อง 1.Factual ข้อเท็จจริง
คือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเหลือหลักแสนคน ทางด้านจิตวิทยาแล้วอาจกระทบไปถึง 6
เดือนแรก แต่การยอมรับ (perception) ของนักเดินทางจะต้องช่วยกันแก้ปัญหา
สถานการณ์อาจคลี่คลายมีนาคมหรือเมษายน แต่จะต้องหาทางออกด้วยการลดภาวะโดยชดเชยทันที
“ดร.ดอน
นาครทัพ” ผู้อำนวยการอาวุโส ด้านมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย บรรยายในหัวข้อ
“ทางรอดเศรษฐกิจไทยภายใต้ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019”
เริ่มเปิดศักราชปีใหม่ก็เจอวิบากกรรม ไวรัสโคโรน่า
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวระบุจำนวนนักท่องเที่ยวจะหายไปเกือบ 5 ล้านคน
รายได้นักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง 2.5 แสนล้านบาท
โดยรวมแล้วตอนนี้ขนาดเศรษฐกิจภาพใหญ่ของไทยมีอยู่ 17 ล้านล้านบาท
หากรายได้ท่องเที่ยวลดไป 2.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.5 % ของจีดีพี
จึงหวังว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น
จากประสบการณ์ที่อยู่กับคณะกรรมการการเงิน (กนง.)
มาหลายปีบอร์ดชุดนี้ไม่ต้องการลดดอกเบี้ยนโยบายสักเท่าไร
แต่เพราะสาเหตุหลักมาจากไวรัสโคโรน่า 2019 จำเป็นจะต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1
% จึงขอให้ผู้ที่เข้าร่วมเวิร์คช้อปต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่
สถานการณ์ปี 2563
สถานการณ์ค่อนข้างหนัก เพราะท่องเที่ยวมีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจไทย
และยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะจบเมื่อไร แต่ก็ยังยึดเศรษฐกิจเติบโตตามนโยบาย ดร.สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งเป้าเติบโต 2 %ดังนั้นในระยะสั้น
ต้องดูแลไม่ให้เกิดขาดสภาพคล่อง ทั้งนโยบายการเงิน คลัง สาธารณสุข ส่วนระยะยาว
ภาคการท่องเที่ยวต้องทำหลายเพื่อความยั่งยืนและแข็งแกร่ง
การทำเวิร์คช้อปครั้งนี้จึงขอเน้น 3 เรื่อง
1.ไวรัสโคโรน่า 2019
สถานการณ์ก่อนตรุษจีนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร็วเพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาลเร็ว
แต่พอรัฐบาลจีนประกาศปิดประเทศส่งผลให้นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนมากทันที
เพียงแค่ไวรัสเล็ก ๆ ก็มีผลต่อภาพรวม
2.เศรษฐกิจไทยมีขนาดมหาศาล
พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวตามเป้าหมายปกติตลอดปีนี้ 3.3 ล้านล้านบาท
จากตลาดต่างประเทศและคนไทย
เมื่อเกิดโรคระบาดที่มีผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยตรงและต่อเนื่องซึ่งมีส่วนแบ่งมากถึง
20 % ของจีดีพีของประเทศ จึงถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้หนักพอสมควร
3.การจ้างงาน ภาคท่องเที่ยวไม่สูงมาก
แต่ค้าปลีกและขนส่งสูงมากถึง 20 % (การจ้างงานใหญ่สุดคือภาคเกษตร 40 %
ตอนนี้เจอปัญหาภัยแล้งไปแล้ว) ส่วนรายรับจากการท่องเที่ยวมีผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งเม็ดเงินและการจ้างงาน
การเปรียบเทียบด้านการท่องเที่ยวเศรษฐกิจไทยช่วงซาร์ส
2546 กับไวรัสโคโรน่า 2563 ต้องเร่งใช้เครื่องมือ 4 มาตรการให้เกิดประสิทธิภาพ
ประการสำคัญที่สุดต้องฟื้นความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มกลับมาให้เร็วที่สุด
“มาตการด้านเศรษฐกิจ” ปี 2003
รายได้ท่องเที่ยวมีเพียง 7% ต่อจีดีพี มีนักท่องเที่ยวจีนน้อยมาก
แต่ตอนนี้ไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวมากถึง 27 % เฉพาะปี 2562
ท่องเที่ยวมีบทบาทต่อเศรษฐกิจสูงถึง 11 % ของจีดีพี
นอกจากท่องเที่ยวแล้วตอนนี้จีนยังเป็นคู่ค้าส่งออกมากถึง 12 % และการนำเข้า
รวมถึงซัพพลายเชนต้องหยุดชะงักไปด้วย เช่นเดียวกับอีคอมเมิร์ชที่มาจากจีนก็ขาดตลาด
จึงถือว่าจีนมีความสำคัญต่อไทยมาก
“มาตรการการเงิน”
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1 %
ถือว่าต่ำสุดในการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย
ครั้งนี้มองว่าดอกเบี้ยลงไปก็ไม่ได้ช่วยมาก
แต่ตอนนี้ใครทำอะไรได้ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันคีย์เวิร์ดครั้งนี้คือ “แพกเกจ
(ลดดอกเบี้ย สถาบันการเงินเข้าไปช่วยลูกหนี้
เพื่อให้เกิดสภาพคล่องให้ได้ในหลายรูปแบบ
“มาตรการด้านการคลัง”
ที่จะเป็นไปได้ คือ ยืดภาษี รายได้ให้หน่วยงานราชการไปสัมมนาต่างจังหวัด
สิ่งที่จะต้องส่งเสียงของเอกชนต้องระบุให้ชัดว่าต้องการอะไร
“มาตรการสาธารณสุข”
ประเทศไทยปลอดภัยจากโรค โชคดียังไม่มีใครป่วยตาย
แต่มีความเสี่ยงเพราะไทยเป็นประเทศเปิดกับเพื่อนบ้าน กรณีเรือสำราญไปจอดในกัมพูชา
แต่พื้นที่ติดกับไทยก็ต้องมีมาตรการป้องกันควบคุมอย่างดี
จึงขอให้เอกชนช่วยกันคิดสถานการณ์หลังวิกฤตไวรัสที่จะชี้ให้ทำ
2-3 เรื่อง ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวไทยพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปหรือไม่
ควรเพิ่มสัดส่วนตลาดอื่นมากขึ้น ลดความสุ่มเสี่ยงในอนาคต
ไม่เฉพาะไวรัสหากเกิดกรณีพิพาท 2.ดูแลแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
โดยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ฟื้นฟูสถานที่ท่องเที่ยว ปรับปรุงโรงแรม สถานที่พัก
3.สนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง กระจายไปสู่พื้นที่อื่น
ทำให้เกิดความต่อเนื่องทั้งตลาดคนไทยและต่างประเทศ
ข่าวที่
4 “ท่องเที่ยวชี้เป้ามาตรการปลุกเศรษฐกิจสู้ไวรัสโควิด”
ในเวทีการเวิร์คช้อปมีข้อเสนอจากทั้ง 4
กลุ่ม ประกอบด้วย
1.
กลุ่มกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวทั้งในกลุ่มคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
เสนอเดินหน้า 1.มาตรการภาครัฐสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ เที่ยวข้ามภูมิภาค
ในกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพ เน้นทัวร์สุขภาพ อาหารและวัฒนธรรม 2.มาตรการราคา ลดค่าธรรมเนียมน้ำมันเครื่องบิน
เปิดกองทุนสำหรับผู้ประกอบการ
ที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว
3.สร้างความเชื่อมั่นจากมาตรการสุขภาพ ความสะอาดและความปลอดภัย พัฒนาโครงสร้างคมนาคมภายในประเทศให้เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวและมี
ความสะดวกสบาย และภาครัฐให้การสนับสนุน incentive ของเอกชนเพิ่มขึ้น
เป็นต้น
2.
กลุ่มการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย อาทิ
การอบรมพัฒนาบุคคลากรโดยภาครัฐให้การสนับสนุนและกำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานการซื้อขาย
การตรวจสอบความปลอดภัย และนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุน
3.
กลุ่มสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยและชาวต่างชาติ (ไวรัส ปลอดภัย เศรษฐกิจ) อาทิ
ดูแลระบบความปลอดภัยและการป้องกันโรคระบาด จัดกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่ง
จัดตั้งศูนย์วิกฤตเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ โดยกำหนดมาตรการในการดูแลนักท่องเที่ยวจีนอย่างชัดเจนแก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น
โปรโมทเมืองไทยจากการสร้างผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว
ร่วมประชาสัมพันธ์การป้องกันโรคและจัดอบรมบุคลากรให้ความรู้เรื่องโรคระบาดและการรับมือภัยพิบัติ
4.
กลุ่มการเยียวยาจากสภาวะวิกฤตในปัจจุบันและที่จะมีผลต่ออนาคต อาทิ
มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยการลดดอกเบี้ยหรือพักการชำระหนี้
จัดหาแหล่งเงินกู้แก่ผู้ประกอบการการท่องเที่ยว
เพิ่มมาตรการการตรวจโรคอย่างเข้มข้น ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็วแก่ภาคประชาชน
ข่าวที่ 5 บางจากร่วมปลูกเพื่อป(ล)อด
ล้านต้นลด PM 2.5”
นายโชคชัย อัศวรังสฤษฎ์
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบริหารและพัฒนาศักยภาพองค์กร
พร้อมผู้บริหารบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
ได้นำทีมผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง เดินหน้าร่วมปลูกต้นไม้ในงาน “ปลูกเพื่อ ป(ล)อด
ล้านต้น ลด PM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC ที่แจกต้นกล้าไม้ที่กักเก็บฝุ่นได้ดี
รวม 1 ล้านต้น ให้กับประชาชน
สร้างความร่วมมือในการปลูกต้นไม้ ลดผลกระทบจากภาวะฝุ่นละออง PM 2.5
ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมกันสร้างภูมิต้านทานในระยะยาว
ต่อยอดให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัท บางจากฯ
จะรับผิดชอบปลูกต้นไม้จำนวน 100,000 ต้น ทั้งในอาคารสำนักงาน โรงกลั่น
สถานีบริการ ฯลฯ และร่วมกับพันธมิตรต่างๆ เช่น สำนักงานเขตต่างๆ ของกทม.
ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดฝุ่น
โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการนำร่องเปิดโครงการงาน
ปลูกต้นไม้ในงาน “ปลูกเพื่อ ป(ล)อด ล้านต้น ลด PM2.5” พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ
และเอกชน ร่วมงาน ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน
ช่วงที่ 2 ถึงเวลาเที่ยวง่าย ๆ More Fun ชมช้อปชิม “ตลาดดัง” บนถนนสุวรรณศร
ปราจีนบุรี มีของกิน ของใช้ ของดีเพียบ ส่วนการป้องกัน “โรคหัวใจ”
ต้องรู้เรื่องอาหารที่กินเข้าไป และข่าวเด็ด ๆ “อพท.” กำลังปั้น 25 พื้นที่สู่เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรของยูเนสโก้ “ทอท.”
แจกเงินสายการบินล่อใจการบริหารเที่ยวบินช่วยกันพยุงท่องเที่ยวรอดวิกฤต และ
“แรบบิท พัทยา”
รีสอร์ตสวยริมอ่าวดงตาลแห่งแรกที่กล้าปลูกกัญชาเปิดคลินิกทำวิจัยปูพรมตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
@
More Fun เที่ยวง่ายสายชมช้อปชิมเมืองปราจีนบุรี
เที่ยวเมืองไทย ง่าย ๆ แถมสนุกด้วย
กับเส้นทาง More Fun !! เที่ยวสนุกง่าย ๆ สาย “ชม ช็อป ชิม”
ตามเส้นทางชุมชน “ถนนสุวรรณศร” โครงข่ายทางหลวงตลอดเส้นทางยาวเกือบ 300
กม. จากสุพรรณบุรี ไปจนถึงอรัญประเทศ แวะเที่ยว เมืองปราจีนบุรี
ตลุย!! ชมตลาดกันเลย จุดแรกแวะช้อปที่
“ตลาดหนองชะอม” บนถนนสุวรรณศร กม.151 เป็นศูนย์รวมพืช ผัก ผลไม้
ของฝากทุกชนิด ของคนชุมชนตำบลโคกไม้ลาย อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี
เจ้าของสินค้าขึ้นชื่อ “หน่อไม้ไผ่ตง”
เมื่อเดินเข้าไปถึงตลาดปุ๊บนักท่องเที่ยวจะพบกับผลไม้ละลานตาทั้งสด
แปรรูปมีทั้งผลไม้ตามฤดูกาล กระท้อน ส้มโอเนื้อกุ้ง มะไฟ ทุเรียน มังคุด
ผักพื้นบ้าน แยมผลไม้ ผลไม้แช่อิ่ม ทุเรียน/ขนุน ทอด ที่ขาดไม่ได้คือ หน่อไม้ดอง
ต่อด้วย “ตลาดพันธุ์ไม้ผลและพืชผักบนถนน 33”
ตรงแยกวงเวียนศาลสมเด็จพระนเรเศวร อำเภอเมือง
ผู้ที่ชื่นชอบพันธุ์ไม้ต้องห้ามพลาด ตลอดแนวสองฝั่งถนนยาวกว่า 3
กม. จะมีกิ่งพันธุ์ราคาย่อมเยาให้เลือกช้อปแบบไม่ยั้ง ทั้งพืชสวน พืชผัก
พืชเศรษฐกิจ อย่าง กิ่งพันธุ์ทุเรียน พันธุ์ขนุน มะม่วง มังคุด ลองกอง กระท้อน ไผ่
กล้วย พริกไทย พร้อมอุปกรณ์เสริม และผลผลิตตามฤดูกาลขายในราคาชาวสวน
ขับรถตามถนนสุวรรณศร มุ่งหน้าไปยัง กม.172
ตำบลโพธิ์งาม อำเภอประจันตคาม แวะ “ตลาดบ้านโง้ง บ้านต้น บ้านโพธิ์งาม”
แล้วช้อปเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ เป็นผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้านมีทั้ง เครื่องจักรสาน
อุปกรณ์ตกแต่งและสร้างบ้าน อย่าง ชุดรับแขกไม้ไผ่ เตียงนอน ซุ้มเรือนเก่า
เครื่องใช้ในครัวเรือน เข่ง-แค่ไม้ไผ่ อุปกรณ์จัดสวน รั้วไม้
กระถางปลูกพืชสารพัดอย่าง ไม้ไผ่เนื้อสุกสีทองอร่าม
สินค้าที่นี่มีหนึ่งเดียวในโลกแต่ละงามแปลกตา ชมช้อปได้อย่างคุ้มค่าเงินจริง ๆ
ถ้าจะนอนพักค้างคืนที่ปราจีนบุรี
แนะนำให้ลองสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านของ “กลุ่มไม้เค็ดโฮมสเตย์” จากแยกถนน 33
กม.151 เลี้ยวไปตามถนนหมายเลข 319
ห่างจากตัวเมืองปราจีน 3 กม. ตั้งอยู่ตรงเหมู่ 2
ตำบลไม้เคล็ด อำเภอเมือง เป็นแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจตามแนวพระราชดำริ
ชาวบ้านเจ้าของสวนผลไม้รวมตัวกันพัฒนาบ้านเป็นเรือนต้อนรับนักท่องเที่ยวพักแรม
จัดทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน พาชมวิถีการทำสวนผลไม้ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง
มะไฟ กระท้อน และอื่น ๆ
ภายในชุมชนจะรณรงค์ทำเกษตรอินทรีย์ใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนเคมี
ดำเนินชีวิตโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 ชีวิต
เมื่อเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็จะสัมผัสได้ถึงความสุข
ลองถามก่อนเดินทางไปพักได้ที่ 081-458-9531, 081-454-4148
@อาหารบำรุงหัวใจต้องกินอย่างรู้เท่าทัน
โรคหัวใจสามารถควบคุม
ดูเเลได้ด้วยการกินอาหารที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย เเม้ร่างกายจะเเข็งเเรงดี
เเต่ก็ควรกินอาหารบำรุงหัวใจ เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจเเละหลอดเลือด
กินอะไร...ทำไมหัวใจไม่เเข็งเเรง -กินอาหารที่เพิ่มระดับไขมันเลว (LDL) บ่อยๆ เช่น
หมูหรือไก่ย่างติดมันติดหนัง หมูกรอบ ปาท่องโก๋ เบเกอรรี่ ฟาสฟู้ด
วิธีกินให้หัวใจเเข็งเเรง
- 1.กินข้าวกล้องเเทนข้าวขาว 2.เลือกกินผลไม้หวานน้อยเป็นประจำ
เช่น ชมพู่ เเอปเปิล 3.กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 มื้อ ปลาที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาช่อน
ปลายี่สก ปลาดุก 4.ลดการกินเนื้อเเดง เเละเนื้อสัตว์เเปรรูป
เช่น ไส้กรอก เเฮม เป็นต้น 5.เน้นกินผักใบเขียว เช่น คะน้า
ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง
สำหรับสิ่งดี
ๆ ที่ควรรู้ คือ ปัจจัยหลักการเกิดโรคหัวใจ คือ ภาวะคอเลสเตอรอลสูง และในเเต่ละมื้อไม่ควรได้รับน้ำมันเกินมื้อละ
1 ช้อนโต๊ะ
ข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “อพท.ลุยปั้น25พื้นที่เที่ยวสู่เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก้”
นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ
ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
(องค์การมหาชน) “อพท.” กล่าวว่า ปัจจุบันดูแลพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ
ในชุมชนเน้นสร้างความเข้มแข็งยั่งยืน ซึ่งมีแผนระยะกลางและระยะยาวเป้าหมาย 5 ปีหน้า
ระหว่างปี 2563-2568 ไปสู่การบรรจุแหล่งท่องเที่ยว
25 พื้นที่
ให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)” โดยจะร่วมกับชุมชนและภาคีเครือข่ายพัฒนาอย่างเต็มที่
เพื่อให้แต่ละแห่งรองรับนักท่องเที่ยวมาใหม่และนักท่องเที่ยวมาซ้ำได้
ขณะนี้
อพท.มีพื้นที่ทั่วประเทศ80 ชุมชน
พร้อมนำเสนอขายแก่นักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะใช้กลยุทธ์จัดลำดับต้น ๆ
ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถแหล่งท่องเที่ยวก่อนโซนทางภาคเหนือ อีสาน
และฝั่งอันดามัน
ส่วนสินค้าท่องเที่ยวก็จะเลือกขายตามอัตลักษณ์เด่นของพื้นที่ เช่น
เพชรบุรี เด่นเรื่องอาหาร หัตถกรรม และศิลปะ เชียงรายเด่นเรื่องศิลปิน ศิลปะ จังหวัดเลยเด่นเรื่องจีโอพาร์ค
และอีกหลากหลายพื้นที่ก็จะพัฒนาตามรูปแบบดังกล่าว
ข่าวที่สอง
“ทอท.งัดแผนแจกเงินแอร์ไลน์ล่อใจเพิ่มลดเที่ยวบินเข้าไทย”
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.”
เปิดเผยว่าหลังเกิดโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ในจีน
ส่งผลให้สายการบินยกเลิกเข้าไทยรวมแล้วกว่า 1,200 เที่ยว ขณะนี้จึงต้องวางแผนบริหารจัดการสนามบินและตารางบินได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศ จึงได้ทำมาตรการตั้งแต่วันที่ 5
กุมภาพันธ์-26 มีนาคม 2562 เพื่อจูงใจให้สายการบินส่งคืนตารางบินล่วงหน้าในสนามบินที่ดูแล
6 แห่ง แล้วหันมากระตุ้นสายการบินที่จะให้บริการเที่ยวบินพิเศษ
(extra flight) และเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter
flight) นำเที่ยวบินเข้ามาเพิ่ม โดยใช้มาตรการหลักคือ
ให้สิทธิประโยชน์แก่สายการบินที่แจ้งยกเลิกล่วงหน้า 30 วัน
จะได้รับ 200 บาท/ผู้โดยสาร 1
คน เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนลดค่าบริการขึ้นลงอากาศยาน
(landing fee) ได้
ขณะที่สถานการณ์สนามบินของ ทอท. ระหว่าง
1 ตุลาคม 2562-22 มกราคม 2563 ก่อนรัฐบาลจีนประกาศห้ามคนออกนอกประเทศ การเติบโตของผู้โดยสารเพิ่ม
2.9% จากนั้นระหว่าง 23-31 มกราคม 2563 ลดลงแรง 7-8% และช่วง 1-4 กุมภาพันธ์
ลดลงหนักมาก 20-25%
อย่างไรก็ตาม
ทอท.ก็พร้อมจะร่วมต่อสู้ช่วยทุกฝ่ายพยุงเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวเพื่อฝ่าฟันปัญหานี้ไปให้ได้
ข่าวที่สาม
“แรบบิทพัทยา”รีสอร์ตแห่งแรกวิจัยกัญชาดึงทัวร์สุขภาพ”
บริษัท หางกระรอก (ไทยแลนด์) จำกัด
บริษัทในเครือของ แรบบิท รีสอร์ท พัทยา รายงานว่า ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
( MOA) กับคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร
ได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชาเพื่อการวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์อย่างถูกกฏหมาย ณ
รีสอร์ทริมทะเลแห่งแรกในเมืองพัทยา ถือเป็นโครงการนำร่องต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาสู่เมืองพัทยาและประเทศไทย
ตามวัตถุประสงค์ของกระทรวงสาธารณสุขและ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
สำหรับ
“หางกระรอก”
เป็นชื่อสายพันธุ์กัญชาไทยที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงของเมืองไทยโดย “กัญชา”
ถือเป็นสมุนไพรที่เป็นประกอบสำคัญในตำรับยาแพทย์แผนไทยมากกว่า 90
ตำรับ ที่ใช้กันมานานกว่า 800 ปี ส่วนหางกระรอกไทย เป็นคลินิกการแพทย์แผนไทย
ที่เป็นส่วนหนึ่งของแรบบิท รีสอร์ท พัทยา ที่ตั้งอยู่ริมชายหาดดงตาล ที่จะนำผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ได้จากการวิจัยกัญชาทางการแพทย์นี้มาใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM
97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น