ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มูลนิธิปิดทองหลังพระชูโปรเจ็กต์เศรษฐกิจชุมชนสู้ภัยแล้ง บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม อุดรธานี











มูลนิธิปิดทองชูโปรเจ็กต์เศรษฐกิจชุมชนสู้ภัยแล้ง
นำร่องอีสานในอุดรต้นแบบความมั่งคั่งยั่งยืนยาว
ทอท.ยืนยันคิงเพาเวอร์ไม่ได้อานิสงส์การเยียวยา
ช้อปคิงเพาเวอร์ครบหมื่นรับฟรี!!โลชั่นล็อกซิธาน
ททท.กอดคอกองทุนหมู่บ้านเที่ยวไทย3.6พันล้าน
ททท.ใต้จัดมหกรรมบอกรักประเทศไทยโกย6แสน
บางจากชู"รักษ์ ปัน สุข"หนุนไทยไปโอลิมปิคโตเกียว
TCEBนำ5พันธมิตรประชุมดันเศรษฐกิจชุมชนคึกคัก
มูลนิธิปิดทองปลุกชุมชนทำผักโรงเรือนปั๊มเงินปี’63
วันธรรมดาน่าเที่ยว!!Scenic Routeเมืองเพชรบุรี
รู้กันไว้เลย!ไขมันกินได้เลือกกินให้ถูกจะดีต่อสุขภาพ
กพท.ชงคมนาคมเยียวยาแอร์ไลน์5มาตรการ6มี.ค.นี้
บินไทยทั้งลดเงินเดือนเทโปรตั๋วบินสู้วิกฤตโควิด-19

สุรจิต นามน้อย หัวหน้าพื้นที่ปิดทองหลังพระ จ.อุดรธานี
เข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97  # เที่ยวกับกู๋  #ปิดทองหลังพระอุดรธานี  # #  #  

ช่วงที่ 1 ถอดโมเดลเศรษฐกิจชุมชนกับ “นายสุรจิต นามน้อย” หัวหน้าพื้นที่ปิดทองหลังพระ จ.อุดรธานี ปลุกชุมชน “บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม” ตำบลบ้านกุดไฟ อำเภอหนองวัวซอ หันปลูกพืชน้ำน้อยสู้มหาภัยแล้งปี’63 ดึงเกษตรกรทุ่มทุนหลายแสนผุดต้นแบบ “20 โรงเรือน” สร้างเครือข่ายปลูกต้นหอม ผักชี ป้อนแมคโครอุดรธานี โดยใช้เวลา 2 ปี ถอดองค์ความรู้ทั้งระบบ นำไปขยายผลตามอำเภอ

นายสุรจิต นามน้อย หัวหน้าพื้นที่ปิดทองหลังพระ จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ดำเนินการพัฒนาโครงการในพื้นที่บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ตำบลกุดหมากไฟ อำหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ทำมาตั้งแต่ปี 2554 ตอนนี้เข้าสู่ปีที่ 9 แล้ว ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา” แนวทางการพัฒนาศาสตร์พระราชาในรูปแบบ Area Base โดยมีอ่างเก็บน้ำห้วยคล้ายอันเนื่องมาจากพระราชพระราชดำริ ดูแลเกี่ยวกับน้ำคือชีวิต จากนั้นก็พัฒนาใช้ประโยชน์น้ำจากอ่างแห่งนี้เพื่อการเกษตร รวมกลุ่มตามขั้นตอน “อยู่รอด-พอเพียง-ยั่งยืน” รวมทั้งมีกลุ่มกองทุนเกิดขึ้นในชื่อ “บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม” ทำมา 2-3 ปี จัดการโดยเกษตรกรจัดตั้งเป็นคณะกรรมการ ทำธุรกิจด้วยตนเอง ปลูกผักส่งตลาด “ต้นเขียว” ของกระทรวงเกษตรและกระทรววงสาธารณสุข บริหารจัดการได้ดีในระดับหนึ่ง

ตัวอย่างข้างเป็นกลุ่มที่มูลนิธิปิดทองหลังพระ เข้าไปช่วยพัฒนา โดยทำงานเชิงบูรณาการร่วมกันกับอีกหลายหน่วยงานเช่นเดียวกับหลายพื้นที่ เน้นทำเป็นภาคีเครือข่ายโดยเฉพาะกับหน่วยงานราชการ เช่น อุดรธานี ร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกยุคให้ความสำคัญกับโครงการดังกล่าว รณรงค์ให้หน่วยงานในสังกัดเข้ามาร่วมคือ เกษตรอำเภอ พัฒนาที่ดิน เข้ามาสนับสนุน จนมีการจัดการน้ำอ่างห้วยคล้ายอย่างเพียงพอ เป็นผลงานช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

ปี 2563 วางแผนพัฒนาตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ทางด้านของผู้อำนวยการมูลนิธิปิดทองหลังพระ ลงพื้นที่ประเมินการทำงานของแต่ละพื้นที่ในภาคอีสาน ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น อุดรธานี อีกส่วนหนึ่งปีนี้ข้อมูลสถิติจากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุข้อมูลด้านฝนและปริมาณน้ำประเมินว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะมารุนแรง เมื่อดูย้อนหลังไป 2-3 ปีแล้งเพิ่มขึ้น รวมถึงปี 2564 จะยิ่งแล้งมากขึ้นกว่าเดิม ทางมูลนิธิปิดทองหลังพระจึงได้มาดูทรัพยากรแหล่งน้ำที่มีอยู่ทั้ง ห้วย หนอง คลอง บึง อ่างเก็บน้ำ เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้ง

จึงต้องกลับมามองแนวทางทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยันในการรับมือกับภัยแล้ง จึงมุ่งเน้นเรื่องการต่อยอดกิจกรรมในช่วง 9 ปี เดิมทำเกษตรปลูกผักอยู่แล้วก็ยกระดับนำเทคโนโลยีกับนวัตกรรมเข้ามาใช้ โดยนำ “ธรรมชาติภัยแล้ง” มาเป็นตัวตั้ง แล้วดูสินค้าชุมชนเดิมเป็นอย่างไร

จากนั้นทางฝ่ายบริหารมูลนิธิปิดทองหลังพระก็เปิดประชาคมเพื่อฟังความเห็นประชาชน ตามปกติชาวบ้านจะปลูกพืชฤดูฝน เมื่อเสร็จจากนาก็ปลูกพืชหลังนา แต่ปีนี้น้ำแล้งมีมติจากกรมทรัพยากรน้ำไม่ให้ใช้น้ำเพื่อการเกษตร เพราะน้ำในอ่างเก็บน้ำเก็บไว้ใช้ทำปะปา ทางออกก็คือแนะนำให้ทำเรื่องเกษตรน้ำน้อย มองถึงโครงการ “ปลูกผัก” ที่แตกต่างจากเดิม ๆ โดยไปเรียนรู้เรื่องการทำโรงเรือน แต่ชาวบ้านสูงวัยจะทำอย่างไร จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปพื้นที่ที่เคยสำเร็จและเคยทำมาแล้ว จากนั้นก็หาสามาสมัครเข้าร่วมโครงการ

สำหรับโครงการนี้เน้นใช้นวัตกรรมปลูกในโรงเรือนยกแคร่สูง แต่ชาวบ้านแถบนี้ยังไม่คุ้นชิน และยังไม่เข้าใจว่าทำแล้วได้เงินหรือได้อะไรมีจำนวนน้อย หลังการทำประชาคม 2-3 รอบ มีชาวบ้านตัดสินใจเข้าร่วมทันทีประมาณ 10 ราย ทางปิดทองหลังพระจึงลงพื้นที่ประเมินในแหล่งที่ชาวบ้านสนใจ โดยเข้าไปดูเรื่องสภาพดิน ปริมาณต้นทุนน้ำ เป็นอย่างไร ห่างไกลหรือไม่ มีความเสี่ยงอย่างไร จึงต้องวิเคราะห์แล้วประเมินออกมาจนเหลือ 10 ราย

เมื่อได้รุ่นแรก 10 ราย เป็นกลุ่มนำร่อง โดยมีพื้นที่ปลูก 4 จุด แบ่งเป็น 1.เกษตรกรเจ้าของพื้นที่แต่ละจุดทำข้อตกลงกัน จะต้องสละพื้นที่ 1 ไร่ เพื่อก่อสร้างโรงเรือน ซึ่งสามารถสร้างได้ 5 โรงเรือน แล้วแบ่งสัดส่วนให้เจ้าของที่ 1 โรงเรือน ส่วนอีก 4 โรงเรือนแบ่งให้ชาวบ้านที่ไม่สะดวกมาทำในโรงเรือนจุดนี้ด้วยกัน รวมทั้งหมดจะสร้างได้ 20 โรงเรือน แต่ละแห่งจะตั้งอยู่ใกล้อ่างห้วยคล้าย 1 จุด อีก 3 จุด อยู่ใกล้แหล่งน้ำอื่นแล้วเข้าถึงน้ำได้

เกษตรกรเจ้าของพื้นที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ไม่ต้องจ่ายเงินค่าลงทุนทำโรงเรือน 1 หลัง ส่วนรายอื่นที่มาใช้ประโยชน์ต้องทำสัญญาระยะยาวเพราะโครงการนี้ไม่ได้ให้ฟรี แต่จะให้เกษตรกรรายอื่นไปหาเงินมาหานวัตกรรมทำยกแคร่เองก็ยาก แต่เพื่อให้เกษตรกรลงมือทำได้ทันที มูลนิธิปิดทองจึงให้งบประมาณตั้งต้นไปก่อน โดยตกลงกันว่าจะต้องเก็บคืนระยะยาว ผ่อนชำระจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ละรอบ (corp) ใช้วิธีให้เกษตรกร “เขียนแผนกระดาษ” คำนวณก่อนว่าพื้นที่ขนาดเท่านี้จะเลือกปลูกพืชอะไรเมื่อขายได้จะมีเงินเท่าไร จะได้ทุนคืนเหลือกำไรเท่าไร แล้วนำกำไรมาเข้าใน “กองทุนหมู่บ้าน” ตามที่ปิดทองตั้งไว้ให้ชาวบ้าน เพื่อเก็บสะสมเงินกองทุนให้รุ่นต่อไปได้ใช้ด้วยเช่นกัน

นายสุรจิตกล่าวว่า การเลือกผักที่จะนำมาปลูก โจทย์ตอนแรกจะขอให้ชาวบ้านปลูกผักมูลค่าสูง เช่น ผักแคว แตงโมไร้เมล็ด แต่สุดท้ายชาวบ้านเสนอว่าไม่มั่นใจไม่เคยปลูกจึงขอปลูกพืชที่ตนเองคุ้นชิน เช่น ต้นหอม ผักชีหอม เริ่มก่อน 2 ชนิด พอประชาคมตกลงกันได้ ก็มาคำนวนราคาถึงจุดคุ้มทุนปีใด เพราะเกษตรกรมีค่าลงทุนต้องชำระคืน รายละ 1 แสนบาท ต้องใช้เวลาหลายปี ทางมูลนิธิปิดทองมองเรื่องความคุ้นชินของชาวบ้านเป็นหลัก 2-3 ปีแรกการปลูกต้นหอมและผักชีหอม เพื่อทดลองฝีมือ การใช้อุปกรณ์ การจัดน้ำ การปลูกร่วมกันทั้ง 20 โรงเรือน ให้เป็นกลุ่มหลักก่อน พอถึงรอบการปลูกคอร์ปที่ 3-4 อยู่ในช่วงทดลอง เรียนรู้วิธีวางแผนการปลูก ระหว่างนั้นก็ไปเรียนรู้การปลูกพืชชนิดอื่น เพื่อหารายได้มาคืนการลงทุนได้เร็วขึ้น

สำหรับช่องทางการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด ก่อนการปลูกได้ศึกษาตลาด เพราะภารกิจนี้เน้นเรื่อง “การเพิ่มรายได้” ต่อจากเดิมเคยสอนชาวบ้านให้ “ลดรายจ่าย” มาแล้ว โครงการนี้จึงใช้ “ตลาดเป็นตัวนำ” ทำจากง่ายไปหายาก มีโอกาสดีได้คุยกับทางห้างขนาดใหญ่กลุ่มแมคโคร เป็นพืชผักตลาดทั่วไป ชาวบ้านสามารถผลิตป้อนได้ตามสเป็กและปริมาณ จึงวางแผนผลิตส่งเข้าแมคโครอุดรธานี แต่ฝีมือของบ้านต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเกรด A, B , C, D ลดหลั่นกันไป ผลผลิตที่ได้จะต้องมีตลาดรองรับ ทางเกษตรกรจะมีช่องทางการขายผ่านตลาดชุมชนและแมคโครควบคู่กันไป

เมื่อเกษตรกรยืนได้ด้วยตนเอง เมื่อสามารถเลือกปลูกพืชแม่นยำ ใช้น้ำน้อย นั้นทางมูลนิธิปิดทองหลัง อุดรธานี พระได้รับประสบการณ์เสริมจากหน่วยงานพัฒนาที่ดินเอง เริ่มรุ่น 1 จำนวน 10 รายแรก ที่บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ตอนนี้มีรุ่น 2 รออยู่กลุ่มที่กำลังปลูกพืชโรงเรียน วางแผนจะใช้ช่วง 1-2 ปี ระหว่าง 2563-2564 จัดทำโมเดลถอดองค์ความรู้ไปเรื่อย ๆ การใช้น้ำหยด การทำโรงเรือน การวางแผนต่าง ๆ ตามพื้นที่เป้าหมาย 20 โรงเรือน รวมทั้งการทำควบคู่กันไปเรื่อง “การขยายผล” โดยได้คุยกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หารือกันถึงแนวคิดขยายไปยังอำเภอต่าง ๆ ภายในจังหวัดอุดรธานี ส่วนกระบวนการขับเคลื่อน การใช้งบประมาณ จะต้องให้หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเข้ามาดูแล ส่วนมูลนิธิปิดทองหลังพระ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ได้
ส่วนที่ 1 ทางจังหวัดอุดรธานีอาจจะเริ่มจากแต่ละอำเภอคัดเลือกเกษตรกรที่เคยปลูกอยู่แล้ว อาจจะทำในลักษณะ 1 อำเภอ 1 โครงการ โดยดูต้นแบบจากบ้านโคกล่าม-แสงอร่าม เพราะตอนนี้เกษตรอำเภอเข้าพื้นที่มาให้คำแนะนำวิธีต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว

ส่วนที่ 2 การขยายผลโครงการตามโมเดลของปิดทองหลังพระ มีพื้นที่ต้นแบบในภาคอีสานอีก 2 แห่ง คือ กาฬสินธุ์ กับขอนแก่น หากโครงการใดที่ทำในอุดรธานีสัมฤทธิ์ผลก็จะนำไปใช้ในทั้งกาฬสินธุ์และขอนแก่นด้วยเช่นกัน

ฟังข่าวต้นชั่วโมง

ข่าวที่ 1 “เปิดความจริงคิงเพาเวอร์ไม่ได้อานิสงจากทอท.”

การเปิด“ความจริง...ธุรกิจพลังคนไทย” ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ด้วยการถอดองค์ความรู้การบริหารธุรกิจ “กิจการสนามบิน ทอท.” ในสถานการณ์ซูเปอร์วิกฤตจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

“ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่าการเลือกแนวทาง “เยียวยาผู้ประกอบการ” ในสนามบิน ทอท.ทั้ง 6 แห่ง เป็นการรักษาผลประโยชน์หลักของประเทศไว้คือ “ภาพรวมเศรษฐกิจ” โดยการเลือกดูแลทั้งสายการบินคู่ค้าจากทั่วโลก ผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่ให้บริการในสนามบิน ส่วนธุรกิจสัมปทานเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ไม่ได้อานิสงส์ใด ๆ ได้ในส่วนที่กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ตามกติกา เพราะกว่าจะได้ผลสรุปออกมาต้องวิเคราะห์องค์รวมหลายด้านดังนี้

เรื่องแรก “สภาพปัญหา” ผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดไวรัสโควิด-19 เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวาดกลัวตื่นตระหนกกระจายไปทั่วโลก (Global Panic) นักท่องเที่ยวพากันตัดสินใจหยุดเดินทางและมีผู้โดยสารน้อยมาก จนทำให้สุวรรณภูมิกับดอนเมืองแทบเกือบจะกลายเป็นสนามบินล้างภายหลังเกิดเหตุไม่ถึง 2 สัปดาห์ แตกต่างจากปกติช่วงตารางบินฤดูหนาวตุลาคม-มีนาคม ของทุกปี จะต้องมีผู้โดยสารผ่านเข้าออก 4-5 แสนคน/วัน อีกทั้งตอนนี้ผู้โดยสารเริ่มเติบโตแบบถดถอยติดลบลงต่อเนื่องทุกวัน และยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเหตุการณ์จะยุติเมื่อไร เศรษฐกิจจะเสียหายลึกขนาดไหน

เรื่องที่ 2 “ทางเลือกเยียวยา” ทอท.มีเพียง 2 ทางเลือก คือ 1.เลือกช่วยเหลือเพื่อรักษาผู้ประกอบการทั้งหมดให้อยู่รอดต่อไป เนื่องจากเมื่อสนามบินมีผู้โดยสารลดลงทุกวัน ร้านค้าต่าง ๆ ไม่มียอดขายขาดรายได้หมุนเวียน บางร้านขอยืดชำระหนี้ บางร้านขอปิดกิจการ หรือ 2.ปล่อยให้ปิดกิจการแล้วหารายใหม่เข้ามาทำธุรกิจ ในสภาพความเป็นจริง สถานการณ์วิกฤตขนาดนี้จะมีผู้ลงทุนหน้าใหม่หรือไม่ รวมทั้งขั้นตอนตามระเบียบเปิดหารายได้ต้องใช้เวลานานนับปี ต่อให้เลือกแนวทางหลังพอวิกฤตคลี่คลาย ไม่มีธุรกิจเหลืออยู่ แล้วประเทศจะฟื้นฟูเศรษฐกิจกันอย่างไร

ดร.นิตินัยกล่าวว่ากรณีของ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” เมื่อเปรียบประโยชน์ที่จะได้จากมาตรการเยียวยาครั้งนี้ถึงแม้จะมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตุการได้สิทธิ์เยียวยายาว 2 ปี ทั้งที่ความจริงแล้วอาจได้ประโยชน์น้อยกว่าผู้ประกอบการรายย่อยด้วยซ้ำ เพราะ “สัญญาปัจจุบัน” คิง เพาเวอร์ ทำกับ ทอท.ในลักษณะ “จ่ายค่าตอบแทนอัตราร้อยละ+ขั้นต่ำ (minimum Gaurantee)” ปัจจุบันก็จ่ายค่าตอบแทนสูงกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว และ/หรือ เมื่อเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกตินักท่องเที่ยวเติบโตดีขึ้นก็ต้องจ่ายตามยอดขายจริง ดังนั้นมาตรการครั้งนี้ ทอท.ยกเว้นการจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำ คิง เพาเวอร์ จึงไม่ใช่ผู้ได้ประโยชน์ใด ๆ  ส่วน “สัญญาใหม่” คิง เพาเวอร์ ต้องจ่าย ทอท.เป็นอัตราร้อยละ 20 ของยอดขาย แม้จะเริ่มเข้าพื้นที่ภายในกันยายนนี้ก็ไม่ได้อานิสงส์เช่นกัน อีกทั้งเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ปกติปีถัดไป เมื่อผู้โดยสารฟื้นเติบโตอย่างรวดเร็ว คิง เพาเวอร์ ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทน ทอท.สูงตามยอดขายใหม่ก็ได้

ในช่วงวิกฤตครั้งนี้นอกจากกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ แทบจะไม่ได้อานิสงส์ใด ๆ แล้ว กลับจะต้องทำแบบเดียวกันกับ ทอท.ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าของตนเองคือ “ผู้ประกอบการร้านค้า” ใน “พื้นที่เชิงพาณิชย์” จำนวนมาก

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับสัมปทานโครงการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ สุวรรณภูมิ กับ 4  สนามบินภูมิภาค ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ ตามสัญญาใหม่จะเริ่ม 28 กันยายน 2563 -31 มีนาคม 2574 ส่วนสนามบินดอนเมืองจะเริ่มอีก 2 ปีหน้า ระหว่าง 1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2576

เรื่องที่ 3 “กำหนดเวลาเยียวยายาว 2 ปี” ด้วยอุตสาหกรรมการบินมีลักษณะเฉพาะผูกโยงอยู่กับ “ตารางบิน” แบ่งเป็น “ฤดูหนาว” ระหว่างปลายตุลาคม-28 มีนาคม กับ “ฤดูร้อน” ปลายมีนาคม-28 ตุลาคม ซึ่งคาบเกี่ยวกันอยู่ 2 ปี  โดยมีข้อตกลงระหว่าง ทอท.กับลูกค้ากลุ่มสายการบินนานาชาติ แต่ละฤดูในตารางบินจึงห้ามยกเลิกเที่ยวบินเกิน 20 % ของเที่ยวบินตลอดทั้งปี หากยกเลิกจะต้องสูญเสียช่วงเวลาในตารางบิน (slot) ให้สายการบินรายอื่นเข้ามาเสียบใช้แทน ทำให้แต่ละสายการบินเองคิดหนักจำเป็นจะต้องรักษาสล็อตไว้เพื่อรอช่วงจังหวะฟื้นตัวกลับสู่สถานการณ์ปกติ

ดังนั้นการกำหนดกรอบมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการครั้งนี้ ทอท.มุ่งช่วยทุกกลุ่มทั้งสายการบิน และผู้ประกอบการภาคพื้นดิน และในสนามบิน อย่างเท่าเทียมเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

การถอดองค์ความรู้ “อุตสาหกรรมการบิน” กับมาตรการเยียวยาวิกฤต อานิสงส์ใหญ่คือรักษาเศรษฐกิจประเทศไว้ ส่วน “คิง เพาเวอร์” เป็นเพียงกลุ่มธุรกิจที่ยังคงมุ่งเดินหน้ายึดหลักทำเพื่อประโยชน์ของชาติที่ว่า “เราเชื่อ...พลังคนไทย”

ข่าวที่ 2 ช้อปคิงเพาเวอร์ครบหมื่นบาทรับฟรี!!โลชั่นล็อกซิธาน

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้นักช้อป รับฟรี L’OCCITANE AROMACHOLOGIE GIFT SET ระหว่างวันนี้ – 31 มีนาคม 2563เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป (ยอดสุทธิ) ผ่านบัตรมาสเตอร์การ์ด ยกเว้นสินค้าประเภทแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่ และอู่ตะเภา รวมทั้งคิง เพาเวอร์ ร้านค้าในเมือง รางน้ำ, ศรีวารี, มหานคร, พัทยา และภูเก็ต

ทั้งนี้สินค้ามีจำนวนจำกัด และจำกัดการแจก 1 ชุด ต่อ 1 บัตรมาสเตอร์การ์ด

ข่าวที่ 3 ททท.กอดคอกองทุนหมู่บ้านเที่ยวไทย3.6พันล้าน”

ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้นำทีมบริหารมีนายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว และผู้บริหาร ททท. เข้าร่วมหารือกับนายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) เพื่อจับมือกันจัดทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศตามแผนงานเร่งด่วน ที่จะหันมาเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยที่เป็นกลุ่มพันธมิตรขนาดใหญ่หรือ Big Partner รวมทั้ง กทบ.ก็มีเครือข่ายสมาชิกเป็นจำนวนมาก

                ตามที่ นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ยืนยันว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ระหว่างมีนาคม-มิถุนายน 2563 จะรณรงค์ให้สมาชิกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศให้ได้ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน คิดเป็นการสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวกว่า 3,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ กทบ. จะมอบเงินสมทบให้กองทุนหมู่บ้าน เพื่อส่งเสริมสมาชิกได้เดินทางศึกษาดูงาน ตามพื้นที่ต้นแบบหมู่บ้านท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการพัฒนาท่องเที่ยวในหมู่บ้านตัวเองด้วย ส่วนทาง ททท. ก็จะจัดเตรียมแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เพื่อนำมาเป็นโมเดลมาพัฒนาต่อยอดชุมชน สร้างรายได้ให้กับสมาชิกกองทุนช่องทาง เป็นกลยุทธ์สร้างประโยชน์ให้เกิดแบบวินวินด้วยกันทั้งสององค์กร

ข่าวที่ 4 “ททท.ใต้ดึงท่องเที่ยวจัดบอกรักประเทศไทยโกย6แสนบาท”

ททท.ภูมิภาคใต้ ดันยอดขายแคมเปญเฉพาะกิจ “บอกรักประเทศไทย ฟ้าใสอันดามัน” 2 วัน ควงแอร์ไลน์ส โรงแรม ผู้ประสบวิกฤตผลกระทบโควิด-19 ทุ่มโปรโมชั่นลดกว่า 50 % ปั๊มยอดขายได้กว่า 6 แสนบาท  “บางกอกแอร์” กับ “โรงแรมภูเก็ต” โกยไปมากสุด

นายนิธิ สีแพร ผู้อำนวยการ ภูมิภาคภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ร่วมกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ ห้างเซนทรัล เวิลด์ และพันธมิตร จัดงานส่งเสริมการขายมหกรรม “บอกรักประเทศไทย ฟ้าใสอันดามัน” นำสินค้าท่องเที่ยวมาขายลดกว่า 50 % ระหว่างวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ชั้น 1 โซนอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อช่วยกันหารายได้มาเติมเต็มช่วงวิกฤตจากผลกระทบโรคไวรัสโควิด-19 ผลตอบรับจากนักท่องเที่ยวเข้ามาช้อปในงานเพียง 2 วันทำยอดขายรวมได้กว่า 600,145 บาท โดยภาพรวมยอดการขายอาจจะไม่หวือหวา แต่ก็สามารถกระตุ้นกำลังซื้อกลุ่มครอบครัวได้พอสมควร ซึ่งเดินทางเข้ามาซื้อเบไว้ใช้ท่องเที่ยวช่วงปิดเทอมได้จนถึงเดือนตุลาคมปลายปี 2563

ส่วนนักท่องเที่ยวสนใจและมาซื้อตั๋ว และจองแพคเก็จ แบ่งเป็น 1.กลุ่มสายการบิน บางกอก แอร์เวย์สขายได้มากสุด 172,026 บาท ไทยไลออนแอร์ ขายได้ 79,190 บาท 2.กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมภาคใต้จาก ภูเก็ต ขายได้มากที่สุด 309,613 บาท กระบี่ ขายได้ 36,816 บาท ส่วนพังงานขายได้ 2,300 บาท

นายนิธีกล่าวว่า หลังจากนี้จะนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคใต้เข้าร่วมขายในงาน “ไทยเที่ยวไทย” ที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2563 โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 มีผู้ประกอบการ 10 ราย ลงทะเบียนเข้าร่วมขายในพาวิลเลี่ยนของ ททท.โครงการ วันธรรมดา น่าเที่ยว ส่วนที่ 2 ผู้ประกอบการอีกกว่า 10 ราย เดินทางมาขายแยกเป็นอิสระออกไป

ขณะที่แผนการทำตลาดเชิงรุกในภาพรวมปี 2563 ททท.ภูมิภาคภาคใต้ จะมุ่งใช้กลยุทธ์รุกเจาะกลุ่มพันธมิตรขนาดใหญ่ ระหว่างนี้กำลังเข้าไปคุยกับทางสหกรณ์ตำรวจซึ่งมีสมาชิกพร้อมเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นจำนวนมาก

ข่าวที่ 5 บางจากชู"รักษ์ ปัน สุข" หนุนไทยไปโอลิมปิคโตเกียว”


นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป็นประธานกรรมการจัดกิจกรรม เดิน วิ่ง Olympic Day 2020 ในวันที่ 1 มีนาคม 2563 ณ สนามศุภชลาศัย โดยบางจากฯ จะขอเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการจัดงาน พร้อมจัดให้มีกิจกรรมพิเศษ “รักษ์ ปัน สุข x Olympic Day” เก็บขวดน้ำดื่มและขวดเกลือแร่ที่ได้จากงานไปรีไซเคิลผลิตเป็นเสื้อ กีฬา หมวก กระเป๋าผ้า รวมถึงกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม


เพื่อจัดทำเป็นของที่ระลึกให้นักกีฬาและคณะกรรมการต่างชาติในงาน Tokyo 2020 เพื่อรณรงค์การใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนนั่นเอง

ข่าวที่ 6 TCEBนำ5พันธมิตรประชุมเมืองไทยดันศก.ชุมชนคึกคัก”

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “สสปน./TCEB” เปิดเผยว่าได้จัดโครงการ “ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ” กระตุ้นรายได้อุตสาหกรรมไมซ์ตลาดคนไทยเดินทางจัดงานประชุม สัมมนา อินเซ็นทีฟ ในประเทศ ตั้งเป้าจะทำให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 กรุ๊ปขึ้นไป กรุ๊ปละกว่า 40 คน ให้สิทธิ์ขอก่อนได้ก่อน เฉพาะช่วงกุมภาพันธ์-เมษายน นี้ จะมีไม่ต่ำกว่า 500 กรุ๊ป ต้องอาศัยพลังสามัคคีร่วมใจกันดูแลเศรษฐกิจ พร้อมทั้งมีกิจกรรมซีเอสอาร์สามารถใช้เงินเพื่อทำกิจกรรมไมซ์ในประเทศได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ได้จัดทริป"ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ" นำบรรดาผู้นำองค์กร 5 พันธมิตร ลงพื้นที่พร้อมทั้งลงมือทำกิจกรรมชงกาแฟสูตรใหม่ "อเมริกาโนเย็น" โดยใช้น้ำและเนื้อมะพร้าวชงกาแฟพื้นบ้าน โดยมีบาริสต้าหนุ่มตัวแทนคนรุ่นใหม่ในชุมชนตะเตียนเตี้ย อ.บางละมุงจ.พัทยา เป็นผู้สอน เพื่อให้บรรดาไฮโซเมืองกรุง ร่วมทำกิจกรรมอย่างสนุกสนาน

โดยได้รับเกียรติจากทั้ง คุณกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และตัวแทนหอการค้าต่างประเทศ นายกรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย น.ส.เพ็ญศรี สุธีรศานต์ เลขาธิการและผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย นายเรืองฤทธิ์ อัมพุช อุปละนาละ หัวหน้างานยุทธศาสตร์และบริหารจัดการข้อมูล บมจ.ไทยเบฟเวอเรจและตัวแทนองค์กรต่าง ๆ ในพัทยา ร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

สำหรับเป้าหมายหลัก แคมเปญ "ประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ"

ต้องการให้ทุกองค์กรพันธมิตร ออกมาเดินทางจัดประชุมตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นไป ตลอดโครงการนี้ TCEB  หงวังจะได้ยอด 10,000 แพ็ก แพ็กละ 40 คน รวมผู้ประชุมที่จะกระจายรายได้ทั่วประเทศตลอดปีงบประมาณ 400,000 คนขึ้นไป

ข่าวที่ 7 มูลนิธิปิดทองปลุกชุมชนทำผักโรงเรือนปั๊มรายได้ปี63

นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวว่า ได้ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี นำร่องทำโครงการ “ปลูกผักโรงเรือน แก้ปัญหาภัยแล้ง” เป็นเกษตรแม่นยำเพื่อสร้างรายได้มากกว่าปลูกข้าว 25 เท่า และมากกว่ามันสำปะหลัง 71 เท่า เพราะสถานการณ์น้ำแล้งปีนี้จะรุนแรงกว่าทุกปี ดังนั้นในช่วงขาดแคลนน้ำต้องนำองค์ความรู้เข้าไปช่วยชาวบ้านทำเกษตรแม่นยำเพื่อมีรายได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี โดยได้คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบเข้าร่วมโครงการ 19 ราย ในพื้นที่ปิดทองหลังพระฯ บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ตำบลกุดหมากไฟ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

โดยทางสถาบันฯ เป็นผู้สนับสนุนโรงเรือนให้เจ้าของที่ดินผู้ร่วมโครงการฯ โดยคัดเลือกเกษตรกรที่สมัครใจ มีประสบการณ์ปลูกผักอยู่แล้ว มีน้ำต้นทุนเพียงพอ พร้อมแบ่งพื้นที่และน้ำให้เกษตรรายอื่นที่เข้าร่วมด้วย โดยบริการกลุ่มในรูปแบบกองทุนที่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องคืนเงินสมทบเข้ากองทุนหลังจากมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตแล้ว

โครงการนี้จะสามารถรายได้ให้เกษตรกรที่เข้าร่วมมากกว่า 190,000 บาท/ไร่/ปี  ต่างจากการปลูกพืชชนิดอื่น ได้แก่ข้าว มีรายได้เพียง 4,365 บาท/ไร่/ปี  ข้าวโพด 3,321 บาท/ไร่/ปี รวม 7,686 บาท เปรียบเทียบแล้วการปลูกผักในโรงเรือนใช้น้ำน้อยได้กำไรมากกว่าข้าวและข้าวโพด 25 เท่า และเป็น 71 เท่าของมันสำปะหลัง ที่ทำรายได้แค่ 2,700 บาท/ไร่/ปี

                ช่วงที่ 2 ออกเที่ยวกันเถอะ!! เลือก “วันธรรมดา” จะน่าเที่ยวอย่างมากบนเส้นทางโรแมนติก Scenic Route เพชรบุรี จากประติมากรรมนาเกลือ คลองโคลน วัด วัง ศิลปวัฒนธรรม สวนตาล แหล่งอาหารทะเลสดอร่อย พร้อมกับการเลือก “ไขมันกินได้ดีต่อสุขภาพ”

@วันธรรมดาน่าเที่ยว!!Scenic Routeเมืองเพชรบุรี


ออกเดินทางเที่ยวในประเทศไปสัมผัสวิถีชีวิตหลากหลายรูปแบบในพื้นที่ “จังหวัดเพชรบุรี” บนถนนสาย “Scenic Route แสนโรแมนติกจากถนนพระราม 2 (กรุงเทพฯ) ที่นักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตากับประติมากรรม “ทุ่งนาเกลือ” เดือนมีนาคม-เมษายน นี้ จะมีนาเกลือขาวโพลนสุดลูกหูลูกให้เห็นตลอดเส้นทาง คลองโคน บางตะบูน อำเภอบ้านแหลม อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ทั่วโลกนิยมมา ส่องดู “นกชายเลนปากซ้อน” หายาก เส้นทางท่องเที่ยวสายนี้เชื่อมโยงต่อไปยังอำเภอชะอำ หาดเจ้าสำราญ ได้ด้วย

                ระหว่างทางก็มีสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์หลายจุดให้สักการะ “ศาลาการเปรียญแม่นกเอี้ยง” พระมารดาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเรือนไทยสมัยอยุธยาอายุกว่า 250 ปี ยกมาไว้ที่ “วัดในกลาง” อำเภอบ้านแหลม  ในบริเวณไม่ไกลกันมี “วัดใหญ่สุวรรณาราม” ซึ่งมีความสำคัญมากกับคนเมืองเพชร เพราะเป็นแหล่งรวมฝีมืองานช่างชาวเพชรบุรี ปรากฎอยู่บนภาพจิตกรรมฝาผนังปราณีตอ่อนช้อยสวยงาม จากนั้นลองไปทำสปาเกลือที่ “ร้านกังหันทอง” ตำบลบางแก้ว เจ้าของรางวัลสปาภูมิปัญญาพื้นบ้าน ได้นำความมหัศจรรย์ของเกลือทะเลมาแปรรูปใช้บำบัดดูแลสุขภาพหลากหลายรูปแบบ และสอนทำเกลือสมุนไพรไว้ใช้เองได้ด้วย

เมื่อมาถึงเพชรบุรีแล้ว ต้องแวะพักค้างคืนแถวหาดเจ้าสำราญ เพื่อรอเช้าวันใหม่ไปชมวิวทรายเม็ดแรกแห่งทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันตก จากนั้นก็ไปเยี่ยมชมโครงการ “ศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” อำเภอบ้านแหลม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ศึกษาดูงานปลูกป่าชายเลน การบำบัดน้ำเสีย ตามศาสตร์พระราชา ไปสักการะ “หลวงพ่อดำ วัดถ้ำรงค์” พระพุทธรูปปางค์ยืนอายุกว่าพันปีแกะจากหินทรายบนผนังถ้ำ ไปชมวิถีชีวิต “สวนตาลลุงถนอม”  ต.ถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด กว่า 10 ไร่ มีตาลอยู่ 450 ต้น หลายต้นมีอายุกว่าร้อยปี พร้อมสาธิตการอนุรักษ์ปีนขึ้นไปเก็บผลตาลมาทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งเครื่องดื่ม น้ำตาลปึก ชาตาล รวมทั้งมี “ร้านวิสาหกิจชุมชนถ้ำรงค์” ของเชฟชุมชนสอนทำนมตาลกันสด ๆ ทุกวัน

สำหรับร้านอาหารถิ่นระหว่างเส้นทาง Scenic Route ก็มี “ร้านกาแฟเกลือหวาน” เก๋ ๆ มีเมนูเด็ดอเมริกาโนเกลือหวาน “ร้านโอ้โหปูอร่อย” เสิร์ฟอาหารทะเลสดอร่อยทุกเมนู เป็นวิสาหกิจชุมชนจุดเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาปล่อยไข่ปูลงสู่ทะเล หรือจะเป็น “ร้านเอกชัย” ริมทะเลอาหารสดอร่อยไม่แพ้กัน “ร้านข้าวแช่แม่อร” ตลาดริมน้ำเพชรบุรี “ร้านป้าหยัน” สไตล์เก๋ ๆ เสิร์ฟเมนูไทยรสชาติจัดเต็มทุกจาน ไฮไลต์ต้องห้ามพลาดแวะดู “โรงงานขนมลุงเอนก” เป็นแหล่งผลิตขนมเมืองเพชรด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ ผลิตภัณฑ์เด็ดเป็นอัตลักษ์คือ “หม้อแกงคัพเค้ก” ส่งออกต่างประเทศ และทั่วเมืองไทย ยอดสั่งซื้อทางออนไลน์วันละ 800-900 ลัง ส่งสินค้าถึงมือลูกค้าภายในวันเดียว ก่อนกลับแวะอุดหนุนร้านเทรนด์ใหม่ของฝากจากเมืองเพชร “ร้านสุคันธา” อยู่ในซอยบนเส้นทางกลับเข้ากรุงเทพฯ

ตอนนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี เชิญชวนคนไทยออกเที่ยวเมืองเพชรบุรีได้ทุกวันกับแคมเปญ “ไหว้พระข้ามถิ่น ได้ศีล ได้บุญ คูณ 2 และห้ามพลาดเที่ยวงาน “งานพระนครคีรี เมืองเพชร” ครั้งที่ 34 จะจัดระหว่างวันที่ 6-15 มีนาคม 2563 ณ บริเวณเขาวัง และอุทยานเฉลิมพระเกียรติ ร.4 ตลอดงาน ททท.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เชิญชวนนักท่องเที่ยวแต่งไทยมาเดินชมเขาวัง ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น.

นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมบนเขาวังตอนกลางคืนได้จนถึง 22.00 น. ภายในงานมีกิจกรรมมากมายในพื้นที่โปร่งโล่งสบายให้เลือกชมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ได้แก่ สกุลช่างเมืองเพชร ชมลายปั้นโบราณ ดูสาธิตการทำขนมหวาน ไฮไลต์การทำขนมหม้อแกง พร้อมกับเดินช้อป ชิม ร้านค้าจากทุกอำเภอกว่า 1,000 ร้าน แต่ละวันรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 10,000 คน อาหารถิ่นต้องลองชิมในงานพระนครคีรี คือ ขนมจีนทอดมัน ขนมตาลโตนด ยำหัวตาล แกงตาล อาหารทะเลทุกร้านสด สะอาด อร่อย

                “วันธรรมดา น่าเที่ยว” มาได้เลยเมืองเพชรบุรี ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน ทุกวัน ทุกเวลา

@ไขมันกินได้เลือกกินให้ถูกจะดีต่อสุขภาพ

มาทำความรู้จัก ไขมันดีในอาหารกันเถอะ ถ้ารู้จักเลือกกินไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เเถมยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย

กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลา มีกรดไขมันหลักๆ 2 ตัว คือ  1.EPA (Eicosapentaenoic Acid) 2.DHA (Docosahexaenoic Acid) พบมากใน ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาเเซลมอน ปลาทูน่า  เเละปลาน้ำจืดบางชนิด

ประโยชน์  > ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี > ลดความหนืดของเลือด > ลดการอักเสบภายในร่างกาย > ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจหลอดเลือดสมอง > DHA ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มของเซลล์ไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง

กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในพืช ALA (Alpha- linolenic Acid) พบมากใน ถั่ววอลนัท ถั่วเหลือง เมล็ดเเฟล็กซ์ คาโนลา ผักสีเขียวบางชนิด เช่น กะหล่ำเล็ก ผักโขม

กรดไขมันโอเมก้า 6 (LA) พบมากใน  น้ำมันพืชชนิดต่างๆ

กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) พบมากใน น้ำมันมะกอก อะโวคาโด อัลมอนด์ พิตาชิโอ ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์

ประโยชน์  > มีส่วนช่วยในกลไกการลดน้ำหนัก > ช่วยยับยั้งการกลับมาเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว

ส่วนผู้ที่ต้องการลดเเละควบคุมน้ำหนัก  > ควรออกกำลังกายเป็นประจำ > เลือกใช้น้ำมันเพื่อปรุงอาหารในปริมาณน้อยๆ > เลือกอาหารประเภทอบ นึ่ง ต้ม หรือผัดน้ำมันน้อยเป็นหลัก เลี่ยงอาหารทอด

เพื่อสุขภาพที่ดี ควรกินปลา ธัญพืช ผัก เเละผลไม้ กินอาหารรสอ่อน ในปริมาณพอเหมาะทุกวัน

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

ข่าวแรก “ชงคมนาคมเยียวยาแอร์ไลน์5มาตรการ6มี.ค.นี้”

นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) “CAAT เปิดเผยว่า ขณะนี้มีข้อสรุปเบื้องต้นของ 20 สายการบินในไทยที่เข้าร่วมหารือกันถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งต้องหาแนวทางให้ความช่วยเหลือ เพราะตั้งแต่มกราคม- 31 มีนาคม 2563 สิ้นสุดตารางบินฤดูหนาว สายการบินระหว่างประเทศแจ้งยกเลิกเที่ยวบินไปแล้ว 9,797 เที่ยวบิน ทำให้ผู้โดยสารหายไป 3 ล้านคน ถ้าหากสถานการณ์ดีขึ้นในเดือนเมษายนนี้ ช่วงครึ่งปีหลังการท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาดีขึ้นตามลำดับ

ทาง กพท.จะสรุปมาตรการทั้งหมดเสนอคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ซึ่งมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาอนุมัติในวันที่ 6 มีนาคม 2563 ถึงข้อเสนอของสายการบินต่าง ๆ ที่ขอ 5 มาตรการที่ขอให้ภาครัฐช่วยเหลือ  5 มาตรการ ประกอบด้วย

1.ขอให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” และกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ลดค่าธรรมเนียมการขึ้นลงและค่าหลุมจอดเครื่องบิน  ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ขอให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย ลดค่าบริการจัดจราจรทางอากาศของ50% ถึงสิ้นปี 2563 ขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่นๆ  จาก 1 เป็น 2 เดือน

 2.ขอให้ภาครัฐอำนวยความสะดวกเพื่อหารายได้เพิ่ม 2.1 ขอให้เปลี่ยนเส้นทางบินได้เร็วขึ้น เพราะมีแนวโน้มสายการบินจะกลับมาบินในเส้นทางในประเทศมากขึ้น 2.2 เร่งพิจารณาอนุมัติในกรณีการขายเครื่องบิน หรือนำเครื่องไปให้เช่า เพื่อเพิ่มกระแสเงินสด หลังยกเลิกเส้นทางบินในประเทศกลุ่มเสี่ยง

3. ขอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว

4. ขอให้ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ปรับลดค่าธรรมเนียมคนโดยสาร (PSC) ลง 50%

5.ขอให้ช่วยประสานธนาคารรัฐจัดหาแพกเกจวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สายการบิน ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวกว่าปกติ เพราะอีก 3-4 เดือนข้างหน้าสายการบินน่าจะเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง อย่างโลว์คอสต์ที่บินประจำสู่ประเทศกลุ่มเสี่ยงอย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี

ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ททท.คุนหมิงดึงจีน3มณฑลเที่ยวไทยทางบก4ด่านเงินสะพัด

ททท.ปั๊มทัวร์จีนคุนหมิงแบบโอเวอร์แลนด์เงินสะพัดไทย 4 ด่าน ส.ค. 66- ปี ’67 กระหน่ำขาย “ New Ways to Amazing to Thailand” ล็อกเป้าจีน 4 ตลาดใช้จ่ายแสนบาท/ทริป-ดันอีสานอู้ฟู่ 20 จังหวัด ช้อป!!ของขวัญวันแม่ที่คิงเพาเวอร์ลด20%- Firster9 หมื่นไอเท็ม ฉลองวันแม่!พูลแมนคิงเพาเวอร์จัดบุฟเฟต์พรีเมี่ยมกลางวัน/ค่ำ กินฟินที่คิงเพาเวอร์มหานคร-รร.เดอะสแตนดาร์ดตลอดส.ค. 66 ททท.จัดแข่งผัดกะเพราโลก“ World Kaphrao 2023”ชิงเงินล้าน กลุ่มบริษัทบางจากโชว์ครึ่งปีแรก66กวาดรายได้1.48 แสนล้าน TCEB บุกจีนจัด Thailand MICE in China 2023 โกยไมซ์ 990 ล้าน เที่ยววันแม่ใกล้กรุงได้ที่อุทยานเบญจสิริ/ดรีมเวิลด์/สวนนงนุช เคล็ดลับ!!การรักษาแผลให้หายไวด้วยขั้นตอนง่ายๆทำได้เอง บินไทยฟื้นเร็ว!!ครึ่งแรกปี’66กำไร329%พกเงินสด5.1หมื่นล้าน เปิดขายแล้ว!!บัตรชม“โขน”สุดยิ่งใหญ่แห่งดูได้ 5 พ.ย.- 5 ธ.ค. 66   วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ

TCEB นำงานวิจัยMICE for Sightแนะธุรกิจปรับตัวรับไมซ์10ปีหน้า

  นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) "TCEB" “ TCEB ”เปิดคัมภีร์ MICE for Sight ปลุกไมซ์จัดทัพใหม่ 10 ปีหน้า รับมือ Gen Z ผงาดผู้ทรงอิทธิพลไมซ์โลกเขย่าตลาดครั้งใหญ่ ปี 67 เร่งโกย 1.4 แสนล้านโหมซอฟท์เพาเวอร์/ไมซ์ซิตี้/ไมซ์ชุมชน รีบช้อป!!คิงเพาเวอร์เป็นไปได้5รายการรางวัลสูงสุดกว่า 4 ล้าน ด่วน 4 วันสุดท้าย!คิงเพาเวอร์อัดโปร SurpriseOnlineSale ลด 50% คิงเพาเวอร์ช้อปวนไปแจกทันที 3 ฟรี คูปอง/ตั๋ว/รถยนต์ LEXUS ท่องเที่ยวรุกเจรจาธุรกิจ TEJ 2023ฉลุย300นัดโกยญี่ปุ่น9ตลาด บางจาก-กรุงไทยเปิดแอปเป๋าตังจองซื้อหุ้นกู้ดิทัลดีเดย์ 30 ต.ค. เที่ยวประจวบนอนแคมป์ทะเลหมอกบ้านป่าหมาก-วิ่งปราณบุรี บินไทยโชว์ยูนิฟอร์มใหม่ลูกเรือแฟชั่นผ้าลดโลกร้อนเริ่ม1ม.ค.67 คาเธ่ย์ กรุ๊ปทุ่มลงทุนฝูงบินใหม่ A 320 neo เพิ่ม32ลำบินจีน/เอเชีย   วันเสาร์ที่  28 ตุลาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97

ททท.ภาคเหนือ7เดือนปี66โกยแล้ว1.08แสนล้าน

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ททท.ภาคเหนืออู้ฟู่ 7 เดือนแรกโกยได้แล้ว 1 แสนล้าน ต.ค.-ธ.ค. 66 ลุยขายเที่ยวไฮซีซัน 4 เทรนด์ใหม่มาแรง นำ The Link จับคู่ทัวร์ข้ามภาคสำเร็จ 3 เส้นทางสุดฮ็อต คิง เพาเวอร์แจกมันส์แจกฟินที่รางน้ำเสาร์16ก.ย.นี้ ช้อป KingPowerOnline รับแบบไม่ยั้ง2สุดคุ้มถึง24ก.ย. ช้อป DUTY FREE SALE นำบิวตี้แบรนด์โลกมาเต็ม ททท.ใช้ฟรีวีซ่าปั๊ม1.4แสนล้านชาเตอร์จีนเฮเข้าไทย บางจากโชว์อุตฯไทย-ไต้หวันชูนวัตกรรมธุรกิจสีเขียว TCEB ผนึก EECAutoPark หนุนไมซ์เอ็กซิบิชั่นอินเตอร์ เที่ยว Unseen “พิพิธภัณฑ์ป่าสัก-วัดขุนอิน-วัดปัญญา” 4วิธี“ปิดล้างเลี่ยงหยุด”ป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกพันธุ์ “สุดาวรรณ”รมว.ใหม่ท่องเที่ยวดึงต่างชาติ40ล้านคน กพท.-สมาคมแอร์ไลน์สไทยแบไต๋ตั๋วบินราคาแพง วันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyai