บิ๊กทอท.ผ่าเบื้องหลังทวงหนี้บินไทย5.3พันล้าน-ชูรัฐพาณิชย์ฟื้นอุตฯบิน รุกลงทุนเทรนด์ใหม่“คาร์โก้เซอร์ติฟายฮับ-แอร์พอร์ตซิตี้-สนามบินดิจิทัล”
บิ๊กทอท.ผ่าเบื้องหลังทวงหนี้บินไทย5.3พันล้าน-ชูรัฐพาณิชย์ฟื้นอุตฯบิน
รุกลงทุนเทรนด์ใหม่“คาร์โก้เซอร์ติฟายฮับ-แอร์พอร์ตซิตี้-สนามบินดิจิทัล”
เปิด“คิงเพาเวอร์
โมเดล”พลังความสำเร็จแบรนด์คนไทยฝ่าโควิด-19โลก
คิงเพาเวอร์ส่งท้าย I SUMMER YOU ชวนรับฟรีคูปองช้อป 4,500 บาท
คิงเพาเวอร์ให้สิทธิ์สมาชิก5ประเภทรับส่วนลดรร.ดิโอกุระเพรสทีจ15%
ททท.จัดประกวดTAT GYM 2021นวัตกรรมท่องเที่ยวลุ้นรับ1.5แสนบาท
ททท.เปิดมหกรรมโพสต์รูปเที่ยวทิพย์ลงโซเชียลลุ้นเงินแสนถึง30มิ.ย.นี้
“TCEB”จ่อเอ็มโอยู3องค์กรเดินหน้าไมซ์ร่วมบูมCarbon Balance Routes
“สวนสามพราน”วิถีใหม่หลังโควิดชวนไปฟิน9โซนทัวร์-กิน-เอาท์ติ้งเรียนรู้
แนะ5วิธีสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองเตรียมร่างกายให้พร้อมรับมือเชื้อร้ายโควิด
ชำแหละ!!บินไทยหลังเจ้าหนี้โหวตผ่านแผนฉบับพิสดารรอฟังศาล28พ.ค.
SMEsสมัครด่วน!!มูลนิธิคีนันสอนฟรีFacebookPageเจาะลูกค้าใหม่
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT”
ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เที่ยวกับกู๋ #Kingpower #พลังคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก #ทททTATGYM2021 #สวนสามพราน #แผนฟื้นฟูการบินไทยฉบับพิสดาร
ช่วงที่ 1 เกาะติดปมร้อนกับ “ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ”
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” เล่นบท “เจ้าหนี้” เมื่อ “การบินไทย”
แปรสภาพเป็นเอกชนแล้วต้องยืนหยัดอิงใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง 2 พรบ.ร่วมทุน+เดินอากาศ สร้างความชอบธรรมทวงคืน 5,300 ล้านบาท ส่วนสถานะความเป็น
“รัฐวิสาหกิจ” จะกลับได้หรือล้วนไม่มีผลลัพธ์ต่างทั้งเรื่อง “วิธีตรวจสอบการเงิน-แหล่งทุน-หนี้สาธารณะ”
ขณะที่ภารกิจหลักของ ทอท.ยังต้องเดินหน้าพัฒนา “รัฐพาณิชย์”
แนวใหม่ฝ่าวิกฤตโควิดโลก 3 ส่วน
“ตั้งคาร์โก้เซอร์ติฟลายฮับ-ใช้ประโยชน์ที่ดิน723ไร่ ผุด “ซิตี้
แอร์พอร์ต-พัฒนาสู่สนามบินดิจิทัล” และเตรียมรับมือความท้าทายเปิดน่านฟ้ารับต่างชาติเที่ยวไทย
“ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” 1ก.ค.64 และ “ตารางบินฤดูหนาว” ไตรมาส 4 เริ่ม ต.ค.64 เป็นต้นไป
ดร.นิตินัย
ศิริสมรรถการ
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” เปิดเผยว่า
มีสถานการณ์ที่จะขับเคลื่อนในช่วงยังคงมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เรื่องที่ 1
ในฐานะเจ้าหนี้
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อยู่ประมาณ 5,300
ล้านบาท
ได้เข้าร่วมประชุมเจ้าหนี้เพื่อโหวตแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564
เพื่อเสนอศาลล้มละลายกลางวันที่
28 พฤษภาคม 2564 โดย ทอท.ยืนยันให้น้ำหนักสำคัญสุดกับการทำแผนฟื้นฟูกิจการทุกเรื่องการบินไทยจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลัก
ๆ เช่น หากไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจก็ต้องเข้าตามพระราชบัญญัติ (พรบ.) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. 2562 พ.ศ.2562 หรือ พระราชบัญญัติ (พรบ.) การเดินอากาศ พ.ศ. 2497
ทอท.ต้องเน้นย้ำ “ประเด็นหลัก” เรื่องกฎหมายพร้อมทำมีข้อเสนอการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการให้มีความเป็นไปได้จริง “ประเด็นรอง” แนวทางการปฏิบัติของธุรกิจการบินจะต้องทำได้จริง ตามที่ ทอท.แจ้งยอดหนี้ที่การบินไทยค้างจ่ายอยู่ประมาณ 5,300 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.หนี้จากกรณีพิพาทกันเรื่องพื้นที่เช่าทำอาคารฝ่ายช่างสนามบินดอนเมืองกว่า 4,000 ล้านบาท ทางการบินไทยยอมรับมูลหนี้แต่ไม่ได้เต็มจำนวน ตามหลักปฏิบัติก็ต้องนำเข้าสู่กระบวนการศาลอีกรอบ ทางเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ได้ชี้คะแนนโหวตยืนยันต้องจ่ายให้ ทอท.4,000 ล้านบาทเศษ 2.เป็นหนี้อื่น ๆ เกี่ยวกับการใช้บริการสนามบิน
หลังเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าหนี้ฟื้นฟูกิจการการบินไทยต่อศาลล้มละลายกลางนั้น
เจ้าหนี้ส่วนใหญ่พยายามเชียร์ให้การบินไทยกลับมาดำเนินการได้
แต่เรื่องกระบวนการโหวตหรือท่าทีในชั้นศาล
ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้แต่ละรายซึ่งมีตำแหน่งทางธุรกิจภายใต้กฎหมายเฉพาะของตนเอง
ดังนั้นการจัดการจึงไม่เหมือนกัน
ตามที่ได้นำเรียน
ทอท.ในฐานะ “รัฐวิสาหกิจ” ก็ต้องยึดกฎเกณฎ์การปฏิบัติตามกฎหมายเป็นหลัก
ฉนั้นการโหวตแผนฟื้นฟูก็ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละบริบทขององค์กรนั้น ๆ
เมื่อการโหวตแผนผ่านไปได้ แล้วการบินไทยสามารถกลับมาทำธุรกิจได้อีกครั้ง
ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของเจ้าหนี้ทุกราย
ขณะที่
“สถานะของการบินไทย” ที่สาธารณะสนใจเรื่อง “จะกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง” หรือ
“ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นเอกชนแล้ว” มีผลถึงความเกี่ยวข้องหากสถานะเป็น “เอกชน”
ก็จะต้องมาพูดกันถึง 1.ผลได้-ผลเสีย
จะต้องลดทุนหรือไม่ 2.ความเป็นไปได้ทางธุรกิจมีมากน้อยขนาดไหน
แล้วใครจะเป็นผู้ลงทุน แต่ถ้าเป็น “รัฐวิสาหกิจ” ก็มีคำถามคือ
หากรัฐบาลตัดสินใจนำเงินภาษีภาษีประชาชนเข้ามาอุดหนุน การเข้าไปค้ำประกัน
แล้วมีสิทธิที่จะล้มขึ้นมาประชาชนจะต้องรับผิดชอบหรือไม่
“สถานะที่แตกต่างกัน”
ก็จะเห็นบริบทการเดินหน้าธุรกิจต่างกัน นั่นคือ “การตรวจสอบทางการเงิน” คนละแบบ
ถ้าเป็นเอกชนก็ตรวจสอบแบบหนึ่ง “เป็นรัฐวิสาหกิจ” ก็ตรวจสอบอีกแบบ เช่น
ระบบกระบวนการงบประมาณ โดยสรุป คือ “เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ”
ต่างกันคนละแบบคือ หากเป็น “รัฐวิสาหกิจ” ไม่ต้องผ่านกระบวนการยืดยาว
และไม่ต้องเข้า พรบ.ร่วมทุน กับ ทอท.ซึ่งจะต้องใช้เวลา 20 เดือน “เงินทุน” ก็อาจกู้โดยมีรัฐค้ำประกัน
จึงง่ายที่จะฟื้นฟูกิจการ เพียงแต่จะต้องคำถามเรื่องทำ “หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น”
ถ้าฟื้นฟูสำเร็จก็มีผลดี แต่ถ้าฟื้นฟูไม่สำเร็จใครจะเป็นคนรับผิดชอบหนี้ก้อนนี้
ซึ่งมีทั้งข้อดี “ฟื้นฟูง่าย” แต่ “ตอบคำถามสังคมยาก”
หากสถานะการบินไทยวันนี้ยังเป็น “เอกชน” ก็ต้องตอบคำถามก่อนว่าคุ้มทุนหรือไม่ หากตอบได้แล้วดำเนินการในอนาคตก็จะฉลุย เป็นการเลือกตอบคำถามเยอะก่อนลงมือทำแล้วเดินหน้าต่อได้ง่าย หรือจะเลือกวิธีที่ง่ายแล้วไปตอบคำถามเยอะในอนาคต
เรื่องที่ 2 การเดินหน้าภารกิจของ ทอท.ตามวัตถุประสงค์
ตั้งขึ้นโดยบางส่วนเป็นธุรกิจแต่บางส่วนไม่เกี่ยวกัน เมื่อหลายปีก่อนคณะกรรมการ
(บอร์ด) มีแนวทางให้การบริหารกิจกรรมหลัก ทอท.สามารถ “คุมนโยบายได้”
ป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับสนามบิน
บอร์ดจึงอนุญาตให้ตั้งบริษัทเกี่ยวกับบริการขึ้นเองได้แทนการจ้างบริษัทเอาท์ซอร์ซ
(outsorce) ปี 2564 ทอท.จึงเดินหน้าจดทะเบียนตั้งแล้ว 3 บริษัทลูก โดยดำเนินการแล้ว 2 บริษัทแรก ได้แก่ 1.บริษัท
รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานไทย จำกัด (AVSEC) รับผิดชอบด้านการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย
(รปภ.) 2.บริษัท บริการภาคพื้นท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) รับผิดชอบทางด้านบริการภาคพื้นดิน หรือGround Handing Services :GHS
3.บริษัท AOTTO
รับผิดชอบด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศหรือCargo โดยมีภารกิจออกใบรับรองการกระจายสินค้าทางอากาศต่อไปยังประเทศอื่นหรือ
Certify
Cargo Hub เตรียมจะเปิดเดือนพฤศจิกายน
2564
สำหรับการบริหารจัดการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตอนเริ่มก่อตั้ง ทอท.กับการตั้งบริษัทลูก ก็เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกันทางธุรกิจ โดยไม่ต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ พอเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ถือเป็นโชคดีที่ดำเนินการทั้ง 3 บริษัทลูกไว้ก่อน เพราะพอเกิดโควิดระบาดทางโอเปอเรเตอร์เอาท์ซอร์สหรือผู้ให้บริการภาคพื้นบางบริษัทก็ล้มหายตายจาก บางบริษัทพนักงานติดโควิด แต่พอมีบริษัทของ ทอท.จัดตั้งขึ้นใหม่จึงสามารถเข้ามาทำภารกิจเหล่านี้แทนได้ทันที โดยไม่ให้การดำเนินงานบริการสะดุด ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ปกติ
ตัวอย่าง
การบริการคาร์โก้ที่สนามบินภูเก็ต
การบินไทยหมดสัญญาพอดีในจังหวะที่พ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจด้วย ก็ต้องไปเข้าแผนตามพระราชบัญญัติ
(พรบ.) ร่วมทุน ซึ่งจะต้องใช้เวลา 20 เดือน
ผลคือไม่มีผู้ให้บริการคาร์โก้และภาคพื้นดิน แต่
ทอท.มีบริษัทลูกอยู่ก่อนจึงเข้าไปรับค้ำยันทำต่อได้ทันที ซึ่งเมื่อ 3
ปีที่แล้วไม่ได้มีใครคาดคิดว่าการบินไทยจะพ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ ขณะที่
ทอท.มีประสบการณ์ถูกเอาท์ซอร์ซสร้างปัญหาต่าง ๆ ถ้า ทอท.คุมนโยบายเรียกว่า BCP : Business Continuenity
Plan ความต่อเนื่องทางธุรกิจจะเกิดขึ้นได้
สำหรับอีกส่วนคือ “ภารกิจด้านธุรกิจ ของ ทอท.” โครงการเมืองการบินหรือ Airport Cityมุ่งมั่นทำสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าเกษตรขนส่งออกทางอากาศโดยรับจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยไปยังทวีปไกลในยุโรป อเมริกา ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ ทอท.ที่ยังคงสองบทบาทคือเป็นทั้ง “รัฐวิสาหกิจ” และ “รัฐพาณิชย์” ซึ่งจะเห็นได้ว่าต้องทำให้เกิดความต่อเนื่องทางธุรกิจเพื่อไม่ให้บริการสนามบินสะดุดนั่นเอง
ดร.นิตินัย กล่าวว่าในส่วนการพัฒนาในเชิงพาณิชย์จะช่วยปรับโครงสร้างรายได้จากกิจกรรมทอท.เริ่มบทบาทการเป็น “รัฐพาณิชย์” ใน 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 “ศูนย์กระจายสินค้าคาร์โก้” จะสามารถช่วยห่วงโซ่ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือกลุ่มเกษตรกรสามารถนำผลผลิตมาเข้าระบบการตรวจสอบก่อนโดยไม่ถูก “กลางน้ำ” คือตลาดในประเทศปลายทางที่รับซื้อปฏิเสธ จึงไม่ต้องเสียค่าขนสินค้ากลับประเทศ “ปลายน้ำ“ คือ ทอท.เมื่อทำสำเร็จ ประเทศในกลุ่ม CLMV “กัมพูชา-สสป.ลาว-เมียนมา-เวียดนาม” ก็จะขอมาใช้บริการดังกล่าวด้วย
ส่วนที่ 2 การใช้ประโยชน์ที่ดิน 723 ไร่ ข้างสนามบินสุวรรณภูมิ พัฒนาเป็นเมืองการบิน :Airport City ตอนนี้แก้สัญญาพร้อมกับทำ MOU เตรียมลงนาม ที่ดิน 723 ไร่ ก็นำมาพัฒนาเป็นศูนย์รับรองการกระจายสินค้าส่งออกทางอากาศ
ส่วนที่ 3 การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลสนามบิน เมื่อสามารถเปิดน่านให้ทั่วโลกสามารถบริการตามตารางบินปกติได้แล้ว
ก็จะมีลูกเล่นการนำดิจิทัลเข้ามาใช้อีกมากมาย
ดังนั้นการปรับโครงสร้างตามเป้าหมายที่จะหารายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์โดยไม่เกี่ยวกับการบินโดยตรง Non Aero นับจากวันที่เปิดน่านฟ้าระหว่างประเทศได้ตามปกติถัดไปอีก 1 ปี ทอท.ก็จะทำให้ได้ถึง 50 % เท่ากับรายได้จากกิจกรรมการบินโดยตรง Aero 50 %
เรื่องที่ 3 การเตรียมความพร้อมของ
ทอท.เตรียมวางแผนให้สนามบินหลัก ๆ เปิดรับนโยบายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่ม 1 กรกฎาคม 2564
โดยภาพรวมแล้วไวรัสโควิด-19 คือวิกฤตของทั้งโลก ส่วน ทอท.เป็นฟันเฟืองเล็ก
ๆ สภาพความเป็นจริงตอนนี้เดือนพฤษภาคม
ประเทศไทยเปิดให้ต่างชาติเข้ามาโดยยังต้องใช้วิธีกักตัว 14 ตัว (ASQ)
เมื่อเปิดน่านฟ้าระหว่างประเทศมีผู้โดยสารจากทั่วโลกมาลงกรุงเทพฯ
แล้วแต่ละคนก็จะเลือกบินสู่ปลายทางในประเทศ ดังนั้นจึงต้อง “ตรวจเชื้อหรือQuarantine”
โดยต้องตรวจ “จุดเริ่มต้นเดินทาง” กับ “จุดปลายทาง” ของผู้โดสารทุกคน
เมื่อมาลงกรุงเทพก็ต้องตรวจก่อนที่จุดแรกคือกรุงเทพฯ
ปัจจุบันเดือนพฤษภาคมนี้มีผู้โดยสารแค่ 700 คน ต้องกักตัว คนละ 14 วัน คูณเข้าไปก็ต้องใช้ห้องกักตัวกว่า 10,000 ห้อง เพราะยังไม่ได้ผู้โดยสารมากพอที่จะทำให้คนเช่าเหมาเครื่องไปลงปลายทางที่ต้องการได้เลยทันทีที่ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ พอวงจรการเดินทางเป็นแบบนี้ ก่อนจะเปิด “ภูเก็ต แซนด์ บ็อกซ์” ทางสนามบินก็ทำได้เท่านี้
แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ใหม่หลังจากทำ “ภูเก็ต แซนด์ บ็อกซ์” กำหนดเงื่อนไขคนภูเก็ตฉีดวัคซีนทั้งหมดแล้ว และรับเฉพาะนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 โด๊สแล้วเช่นกัน ก็สามารถบริหารจัดการให้คนหมุนกระจายพื้นที่เที่ยวได้ เช่น คนที่อยู่ภูเก็ตครบ 14 วัน ก็ย้ายไปเที่ยวกระบี่ หรือแผ่นดินใหญ่ในจังหวัดอื่นได้ ส่วนคนกลุ่มใหม่ก็เข้ามาในภูเก็ตต่อได้
สิ่งที่จะต้องลุ้นคือ ต้องไม่ให้คนฉีดวัคซีนที่เดินทางมารอบ 2 มาเจอคนรอบ 1 แล้วดันเกิดการติดเชื้อแล้วนำออกไปแพร่กระจายต่ออีก
หากถ้าไม่ทำแซนด์บ็อกซ์แบบนี้ก็ต้องกลับไปใช้สูตรเดิม คือ กักตัว 14 วัน รับคนแค่วันละ 700 คน ก็ต้องใช้ห้องกักตัวมากถึง 10,000 คน
ผมเห็นว่าเป็นความท้าทายมากในการรับนักท่องเที่ยววันที่ 1 กรกฎาคม 2564 สำคัญสุดคือต้องไม่ให้คนอยู่ภูเก็ตครบ 14 วันติดเชื้อจากใครออกไปจุดหมายปลายทางใหม่ที่เดินทางไปเที่ยวเพิ่มเติม ทั้งนี้ภูเก็ตซึ่งเป็นไข่แดงก็เร่งฉีดวัคซีนให้คนให้พื้นที่ให้ได้มากที่สุด จากนั้นวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ก็ต้องเร่งฉีดวัคซีนบนแผ่นดินใหญ่ที่จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไป
โดยสรุปธงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงทำตามนโยบายของรัฐบาลเหมือนเดิม คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เข้าพื้นที่ภูเก็ต แซนด์ บ็อกซ์ และไตรมาส 4 ตุลาคม 2564 เพียงแต่ว่าจะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดไปถึงธงดังกล่าวให้ได้ เพื่อเลิกกักตัว 14 วัน กับเลิกใช้ห้องพัก 10,000 คน เพียงเพื่อรองรับคนเพียงวันละแค่ 700 คน หากผ่านจุดนี้ไปไม่ได้ก็เปิดน่านฟ้าลำบาก
ดังนั้นจะต้องดูผลจากการทำ Area Quarantine จากโครงการภูเก็ต แซนด์ บ็อกซ์ 1 กรกฎาคม นี้ เมื่อกักตัวรายพื้นที่แล้วบริหารได้ ก็สามารถขยายไปทั่วประเทศได้ ควบคู่กับต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดรอบ 3 ให้จบลง เพราะไม่เช่นนั้นร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ต่าง ๆ ก็ยังเปิดดำเนินการลำบาก
เป้าหมายใหญ่ยังเห็นแสงสว่างจาก “การเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด” ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม กับไตรมาส 4 ปี 2564
ส่วนการเตรียมความพร้อมสนามบินต่าง ๆ เพื่อรับนักเดินทางที่จะเข้ามา คงจะต้องรอในเดือนสิงหาคมนี้จึงจะตอบคำถามนี้ได้ เพราะสนามบินเป็นพื้นที่เปรียบเสมือน “บ้าน” มีพันธมิตรผู้ประกอบการอยู่หลากหลายกลุ่มมาก พอเปิดโลกใหม่ต้องมี New Normal ภารกิจเดิมของ “บ้านหลังนี้” คือการตรวจร่างกาย ตรวจวัตถุระเบิด จะทำแค่นี้ได้ไหม แน่นอนต้องเพิ่ม “ตรวจเชื้อโรค” อย่างในห้องน้ำต้องมีอินฟาเรดการอบโอโซนหรือเปล่า จากประสบการณ์ต้องทำเรื่องใหม่ๆ อีกหลายอย่างมากขึ้น
ขณะที่ “ผู้อยู่อาศัย” คือพันธมิตรที่ประกอบธุรกิจอยู่ในแต่ละสนามบิน เทียบได้กับ ทอท.กำลังดำน้ำอยู่ เพราะโดยสภาพจริง พันธมิตร กลุ่มแรก “สายการบิน” บางรายก็ไปไหว บางรายก็ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง กลุ่มสอง “โรงแรม” อยู่ในอาการไม่ต่างกันจะขายให้นายทุนใหม่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เท่าที่สัมผัสได้คือ รูปแบบของ “แซนด์ บ็อกซ์” ไปไหว แต่ธุรกิจโดยรวมกำลังย่ำแย่ขาดสภาพคล่อง สถาบันการเงินก็ไม่กล้าปล่อยกู้เพราะยังไม่เห็นแสงสว่างสักเท่าไร
จึงยังอาจจะยังพูดเร็วไปก่อนล่วงหน้ามากไม่ได้ ต้องรอหลังเปิดน่านฟ้าให้ต่างชาติเข้ามาว่า ยังมีเพื่อนทางธุรกิจเหลือเป็นสัญชาติไทยเหลืออยู่เท่าไร ประมาณสักเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม นี้ จะพอเห็นสภาพของผู้อยู่อาศัยในสนามบินคือธุรกิจว่าใครจะอยู่หรือไปหรือปรับตัว เช่น สายการบินอาจจะใช้เครื่องบินขนาดเล็กลง หรือโรงแรมปรับกลยุทธ์หันไปรับแบ็คแพ็คแทนที่เคยเป็น 5 ดาว
ตอนนี้จึงค่อนข้างยากมากที่จะประเมินสถานะของเพื่อนรอบข้างที่อยู่ใน “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ของประเทศ ส่วน ทอท.สิ่งที่ต้องปรับสู่วิถีใหม่แน่นอนสิ่งแรกคือเพิ่มภารกิจตรวจเชื้อโควิดด้วย นอกเหนือจากตรวจคน ตรวจวัตถุระเบิด จึงขอรอดูสภาพแวดล้อมทั้งหมดก่อน จึงจะสามารถบอกได้ว่าสนามบินต้องปรับเพิ่มในส่วนใดอีกบ้างให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
ข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 เปิด“คิงเพาเวอร์ โมเดล”ต้นแบบพลังความสำเร็จฝ่าโควิด-19
ทายาทธุรกิจกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ทุ่มเทนำความสำเร็จสร้างประวัติศาสตร์ให้โลกจดจำแบรนด์ “ประเทศไทย” ภายใต้การนำของ “ธุรกิจคนไทย” อีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ยืดเยื้อการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 สามารถนำทีมฟุตบอลสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” คว้าแชมป์ FA CUP 2021 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เป็นครั้งแรกในรอบการก่อตั้งสโมสรมายาวนาน 137 ปี ต่อเนื่องจากเมื่อ 15 พฤษภาคม 2559 นำทีมเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2015/2016 ครั้งแรกในรอบ 132 ปี เป็นภาพจำของคนทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้
นับจากนี้เป็นต้นไป กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะเพิ่มพลังขับเคลื่อน “ประเทศไทย” ก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ฟื้นความเชื่อมั่น สาน “เศรษฐกิจชุมชน” แบรนด์สินค้า ต่อยอดสร้างห่วงโซ่ “เศรษฐกิจการตลาดข้ามชาติ” ทำให้ประเทศไทยยืนหนึ่งครองใจคนทั่วโลกพร้อมจะเดินทางกลับมาใช้เงินท่องเที่ยวอีกครั้ง
ความสำเร็จครั้งนี้ “อัยยวัฒน์” ตอกย้ำให้โลกเห็นถึงพลังของ “Thailand Smiles With You : ยิ้มให้โลก ให้โลกยิ้ม” เรือธงหลักที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นำเสนอพร้อมกับเดินหน้าโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา มุ่งสนับสนุนรัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ปลุกพลังคนไทยทั้งประเทศก้าวข้ามวิกฤตช่วงเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไปด้วยกัน จึงได้ทุ่มเทงบประมาณกว่า 622 ล้านบาท นำคำว่า “Thailand Smiles With You” คาดบนหน้าอกเสื้อชุดแข่งของนักเตะทีมจิ้งจอกสีน้ำเงิน “เลสเตอร์ ซิตี้” ทุกคน รวมถึงทำป้ายโฆษณาดิจิตอลในสนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เมืองเลสเตอร์ อังกฤษ ตลอดฤดูกาลแข่งขัน 2020-2021 ส่งพลัง “ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวประเทศไทย” เต็มรูปแบบ ทำให้ผู้ชมเกมการแข่งขันนับพันล้านคนทั่วโลกได้เห็นพร้อมกันทุกแมทช์
“อัยยวัฒน์” กล่าวย้ำเสมอว่ามุ่งมั่นทุ่มเทพลัง “สานต่อและต่อยอด” ธุรกิจที่พ่อสอนไว้ (นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และอดีตประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้) ภายใต้แนวคิด “คนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก”
โดยเฉพาะการเลือกใช้
“พลังกีฬาฟุตบอลระดับโลก” มาสร้างสรรค์ธุรกิจ ดูแลสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม
พัฒนาเศรษฐกิจ เป็นจังหวะสำคัญที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
เดินหน้าต่อยอดธุรกิจลงล็อกพอดีกันกับ “ก้าวใหม่ประเทศไทย”
ที่กำลังปรับยุทธศาสตร์ขานรับวิถีใหม่เตรียมตัวให้พร้อมหลังโควิด-19 ต้องปูพรมนำประเทศพัฒนาสู่ “เศรษฐกิจสีเขียว/เศรษฐกิจชีวภาพ : Bio Circular Green Economy
-BCG”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ร้อยรวม “สินค้าชุมชน” สร้างเศรษฐกิจเริ่มจากฐานรากผ่านพลัง POWER COMMUNITY นำเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านโดยเฉพาะ “ผืนผ้า” อันเกิดจากจิตวิญญาณของสังคมชนบทซึ่งหยิบธรรมชาติสีต้นไม้ เปลือกไม้ ที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวัน มาทำมัดย้อมดีไซน์เป็นแฟชั่นเครื่องนุ่งห่ม ของใช้ สืบทอดวัฒนธรรมนับร้อยปี ได้รับโอกาสเดินทางไปวางขายอยู่บนโลกยุคใหม่ เชื่อมต่อห่วงโซ่ “เศรษฐกิจการตลาดข้ามชาติ” โดยผลิตเป็น “เสื้อนักเตะทีม เลสเตอร์ ซิตี้” พร้อมของที่ระลึกหลากหลายชนิด บอกเล่าแหล่งที่มาทำให้คนรู้จัก “สถานที่ท่องเที่ยวห่างไกล” ที่อยู่ในเมืองไทย จากนั้นก็ต่อยอดผ่านเรื่องราวที่โลกจดจำแล้วบอกต่อความเป็น : สยามเมืองยิ้ม หรือ เมืองไทยดินแดนแห่งรอยยิ้ม Thailand Smiles”
ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้นำร้านค้ารีเทลเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวแถวหน้าของโลก ก็ยังคงทุ่มขับเคลื่อนธุรกิจในเมืองไทยเชิงรุกอย่างเต็มที่ทั้ง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
กลุ่มที่
1 สินค้าดิวตี้ฟรี
ร่วมกับพันธมิตรกว่า 100 แบรนด์เนม พาเหรดสินค้ากว่า 20,000 รายการ ภายใต้แคมเปญ “ไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปได้”
พร้อมบริการส่งถึงบ้าน Home delivery ผ่านช่องทางออนไลน์เว็บไซต์
www.kingpower.com และ แอพลิเคชั่น คิง เพาเวอร์
กับทางหน้าร้านหรือออนกราวนด์ 5 สาขาหลัก คือ คิง เพาเวอร์
รางน้ำ ศรีวารี มหานคร พัทยา และภูเก็ต
ระหว่างวันนี้
-31 พฤษภาคม 2564 จัดโปรโมชั่นแรง
ๆ ระหว่างหยุดทำงานอยู่บ้านสเตย์โฮม (STAY HOME) อย่างมีสไตล์
(STYLE) ลดทุกสัปดาห์ตั้งแต่ 20 % สูงสุดถึง
80 % เพียงคลิกเข้าเว็บไซต์หรือแอพลิเคชั่น เพื่อช้อปเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นไอเทมจากแบรนด์ดัง
ๆ ที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากทั่วไป
โดยมีแคมเปญลดแรง ๆ ทั้ง MAY MEGA BONUS และ MAY
SURPRISES ปล่อยหมัดเด็ดเป็นระยะ ๆ สร้างแม่เหล็กดึงดูดใจให้ช้อปสินค้าหมวดเด่น
ๆ มีทั้ง อาหารและของที่ระลึก (food& Souvenir) ความงาม
(Beauty) แฟชั่น อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์
อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีหรือ Gadgets กีฬาและการเดินทาง (Sport
&Travel) หรือแม้แต่ของใช้ภายในบ้าน (Home &Living)
สำหรับเดือนมิถุนายน 2564 ห้ามพลาด!! ติดตามช้อปมหกรรมสินค้าหลักหมื่นรายการ ที่จะมาพร้อมกับความพิเศษสุด ๆ ต้อนรับกลางปี Mid Year Sale
กลุ่มที่ 2 อาหารและเครื่องดื่ม “ไทย เทสต์ ฮับ : Thai Taste Hub” ศูนย์รวมร้านอาหารสตรีทฟู้ดแถวหน้าของเมืองไทยมีให้เลือกอิ่มอร่อยถึง 3 สาขา คือ 1.คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ชั้น 3 มีให้เลือกกว่า 39 ร้าน 2.Thai Taste Hub @ Srivaree ในฮอลล์ขนาดใหญ่ ชั้น 1 คิง เพาเวอร์ ศรีวารี ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดเสาร์-อาทิตย์ 11.00 - 19.30 น. มีเมนูอร่อยรสจัดจ้านจากสตรีตฟู้ดร้านดังรวมไว้ให้กลับไปอร่อยได้ที่บ้านได้ด้วย และ 3.ไทย เทสต์ ฮับ มหานคร คิวบ์” ที่คิง เพาเวอร์ มหานคร ชั้น 1 ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี ขณะนี้มีโปรโมชั่นลด 10 % เมื่ออาหารซื้อกลับบ้านช่วงเวลา 11.00-21.00 น. และสั่งอาหารดิลิเวอรี่ผ่านแอพลิเคชั่น Robinhood ช่วงเวลา 10.00-19.30 น.
ทางด้าน “ห้องอาหารเท็นชิโนะ” ของ “โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ” ชวนคลิกสั่งอาหารญี่ปุ่นทางออนไลน์ได้ทาง https://bit.ly/3o43PF9 ช่วงทำงานอยู่บ้านได้ตลอดทุกวัน ช่วง 11.00 – 21.00 น. พิเศษ!! สมาชิกบัตร คิง เพาเวอร์ และบัตร แอคคอร์พลัส รับทันทีส่วนลด 25%
โดมีเมนูข้าวกล่องดงบุรีแบบพรีเมี่ยม ให้เลือกได้ตามชอบถึง 8 หน้าด้วยกัน ราคาสุทธิเริ่มต้นเพียงเมนูละ 190 บาท โดยไม่รวมค่าจัดส่ง หรือสามารถมารับด้วยตัวเองได้ที่ชั้นล็อบบี้ของโรงแรม สั่งได้ทันทีทั้ง 8 เมนู คือ 1.ข้าวหน้าหมูมิโซะ 190 บาท 2.ข้าวหน้าไก่ 270 บาท 3.สลัดซีฟู้ด 330 บาท 4. หน้าปลาไหล 350 บาท 5.ข้าวหน้าสเต๊กเนื้อ 355 บาท 6. ข้าวหน้ากุ้งทอด 355 บาท 7.ข้าวหน้าปลาแซลมอนย่าง 425 บาท 8.ข้าวหมูอิเบอริโกกับไข่ออนเซน 465 บาท โทร.สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-680-9999
กลุ่มที่
3 ธุรกิจไลฟ์สไตล์เพื่อการพักผ่อน “คิง เพาเวอร์
มหานคร” ยังคงเปิดให้บริการ “มหานคร สกาย
วอล์ค” จุดชมวิวสูงที่สุดกรุงเทพมหานคร บนชั้น 78 ปัจจุบันเปิดเวลา 11.00-21.00 น. มีโปรโมชั่นชวนมาดื่มด่ำบรรยากาศสบาย
ๆ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ผู้ใหญ่ คนละเพียง 530 บาทเท่านั้น
เสาร์-อาทิตย์ คนละ 880 บาท ส่วนเด็กอายุ 3-15 ปี กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จ่ายคนละเพียง 250
บาท ซื้อบัตรได้ทางออนไลน์คิง เพาเวอร์ มหานคร
ข่าวที่ 2 คิงเพาเวอร์ส่งท้าย I SUMMER YOU
ชวนช้อปรับฟรีคูปอง4,500บาท
คิง เพาเวอร์ ชวนคุณบอกลาหน้าร้อนกับดีลสุดพิเศษส่งท้ายซัมเมอร์ มาช้อปกันให้สนุกรับโปรโมชั่นสุดคุ้ม พร้อมเพลิดเพลินไปกับสินค้าที่เราคัดสรรมาให้นักช้อปกันโดยเฉพาะ วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2564 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ มหานคร พัทยา และภูเก็ต โดยลงทะเบียนก่อนช้อปรับฟรีคูปองส่วนลด 2 ใบ รวมมูลค่า 4,500 บาท
1.คูปองส่วนลด 1,500
บาท สำหรับช้อป 6,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ 2.คูปองส่วนลด
3,000 บาท สำหรับช้อป 10,000
บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ ให้คนละ 1
สิทธิ์ / วัน โดยนับรวมสิทธิ์ทุกสาขา
ดีลนี้อิ่มฟรี! ที่ ไทย เทสต์ ฮับ คิง
เพาเวอร์ รางน้ำ รับคูปองรับประทานอาหาร
300 บาท เมื่อช้อปที่
คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ครบ 5,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) / ใบเสร็จ จำกัด 1
สิทธิ์ / คน/ วัน
ข่าวที่ 3 คิงเพาเวอร์ให้สิทธิ์สมาชิก5ประเภทรับส่วนลดรร.ดิโอกุระเพรสทีจ15%
คิง เพาเวอร์ ชวนสมาชิก คิง เพาเวอร์
มาดื่มด่ำความประทับใจช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมรับส่วนลด 15% ค่าบริการห้องพัก
อาหาร เครื่องดื่ม และสปา ที่ โรงแรม THE OKURA PRESTIGE BANGKOK ตั้งแต่วันนี้
– 30 กันยายน 2564
โดยมอบสิทธิพิเศษกับสมาชิกที่ถือบัตรคิง
เพาเวอร์ ทั้ง 5 ประเภท
ได้แก่ VEGA, CROWN, ONYX, SCARLET และ NAVY ส่วนทางพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการนี้คือโรงแรม
The Okura Prestige Bangkok
มอบทันที 3 สิทธิ์สุดพิเศษ
ได้แก่
1.ส่วนลด 15%
สำหรับอาหารจานเดียว (A la Carte) และเครื่องดื่ม
(ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์)
2.ส่วนลด 15%
สำหรับสปา (Spa A la Carte-นวดตัว)
3.ส่วนลด 15% จากราคาห้องพักที่ดีที่สุด พร้อมรับสิทธิ์ check out ได้ถึงเวลา 16:00 น.
เงื่อนไข แลกรับสิทธิ์ผ่านทางอีเมล reservations@okurabangkok.com โทรศัพท์ 02-687-9000
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้จัดกิจกรรมช่วงที่คนส่วนใหญ่ยังต้องทำงานอยู่บ้าน Work from Home ชวนผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาและตัวแทนชุมชนท่องเที่ยว ส่งแนวคิดนวัตกรรม สมัครเข้าร่วมโครงการยกระดับขีดความสามารถของการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน “TAT GYM 2021: นวัตกรรมสร้างสรรค์อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ลุ้นรับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 64 นี้เท่านั้น!! ทาง https://www.tatgym.com
การแจกรางวัล
!! เฉพาะผู้ชนะ 10 ทีมเท่านั้น 1.รับไปเลยทุนพัฒนานวัตตกรรม ทีมละ 10,000 บาท 2.อบรมฟรีออนไลน์ เพิ่มทักษะและองค์ความรู้ 3.ร่วมTAT
GMY Camp เพื่อเพิ่มทักษะการนำเสนออย่างมืออาชีพ 4.นำเสนอผลงานกับคณะกรรมการ ชิงรางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมรับเงินสนับสนุน 3 ทีม เพื่อต่อยอดธุรกิจเพิ่มอีกทีมละ 15,000 บาท
ดูข้อมูลเพิ่มเติมโครงการ
นตกรรม TAT GYM 2021 คืออะไร หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ไปที่!! >> site: www.tatgym.com , Inbox: FB Page TAT GYM 2021 อีเมล : info@tatgym.com
ข่าวที่ 5 ททท.เปิดมหกรรมโพสต์รูปเที่ยวทิพย์ลงโซเชียลลุ้นเงินแสนถึง30มิ.ย.64
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว จึงจัดทำแคมเปญ “เที่ยวทิพย์ทั่วไทย” เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมสนุกได้ตั้งแต่ วันนี้ – 30 มิถุนายน 2564 โดยเลือกโพสต์รูปภาพเที่ยวทิพย์ของตนเองลงบน Social Media พร้อมใส่ #เที่ยวทิพย์ทั่วไทย และ #เที่ยวทิพย์ได้ทริปเที่ยว เพื่อลุ้นรับแพ็กเกจที่พักสุดหรู รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท
วิธีร่วมสนุก 1.โพสต์รูปเที่ยวทิพย์ของตัวเองลงบนโซเชียลมีเดียใดก็ได้ 2.ใส่แฮชแท็ก #เที่ยวทิพย์ทั่วไทย และ #เที่ยวทิพย์ได้ทริปเที่ยว 3.ตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ เพียงเท่านี้ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลแล้ว
ลุ้นรับรางวัล!! แพกเกจห้องพักโรงแรม 3 วัน 2 คืน มูลค่าตั้งแต่ 5,000 -26,000 บาท/รางวัล อาทิ 1.รติล้านนา ริเวอร์ไซด์ สปา รีสอร์ต เชียงใหม่ 26,000 บาท 2.ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม เชียงใหม่ 22,640 บาท 3.ปางวิมานรีสอร์ท เกาะพะงัน 17,000 บาท 4.โรงแรมเบาลดี บีช รีสอร์ต เกาะสมุย 16,000 บาท โรงแรมแรบบิช ฮิลล์ รีสอร์ต 11,800 บาท 5.ไฮด์เอาท์ เกาะกูด 10,000 บาท 6.บุรี รสา พะงัน 7,800 บาท 7.โรงแรมซีทรูบายเดอะซายน์ 6,500 ท 8.คราม พัทยา 6,500 บาท 9.เมร่า มาเร่ พัทยา 5,500 บาท 10.ปาย วิลเลจ บูติก รีสอร์ท 5,000 บาท
สำหรับกิจกรรมนี้จัดทำขึ้นในช่วงที่คนไทยทั่วประเทศยังต้องหยุดเดินทางชั่วคราว ททท.จึงต้องการปลุกกระแสเที่ยวทิพย์ให้หายคิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไทย เอาใจคนที่รักการท่องเที่ยว และเพื่อสร้างกระแสเที่ยวทิพย์ให้กลับมาครึกครื้นอีกครั้งในโลกออนไลน์
นอกจากจะเป็นการส่งใจให้กันในยามที่ยังต้องห่าง จากมาตรการ “Social
distancing” แต่คนรักการท่องเที่ยวก็ยังสามารถสนุกได้จากการชวนกันออก
“เที่ยวทิพย์” กับสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไทย รวมทั้งเพิ่มสีสันให้กับแคมเปญนี้โดย
ททท.ได้จัดทำซิงเกิลใหม่อย่างเพลง “เที่ยวทิพย์” พร้อมมิวสิควิดีโอ มาให้ทุกคน
ได้รับฟัง และรับชมกันได้ที่ Youtube Channel Amazing Thailand
เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมการเข้าร่วมกิจกรรม และกติกาการลุ้นรับของรางวัลพิเศษของแคมเปญ “เที่ยวทิพย์ทั่วไทย” ได้ที่ Facebook fanpage : Amazing Thailand หรือ Facebook fanpage : VEEN
“TCEB”จ่อเอ็มโอยู3องค์กรเดินหน้าไมซ์บูมCarbon Balance Routes
นางอรชร ว่องพรรณงาม ผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) TCEB กล่าวว่า ได้ร่วมกับพันธมิตรจัดประชุมเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไมซ์เดินหน้าสู่จุดห หมายปลายทางการสร้างสมดุลปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ธรรมชาติ หรือ Carbon Balance เพื่อเตรียมต่อยอดแผนโดยลงนามข้อตกลงการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่สามารถรองรับกรุ๊ปไมซ์ และการพัฒนาศักยภาพของจุดหมายปลายทางแบบ Carbon Balance มุ่งขยายเส้น Carbon Balance Routes เชื่อมโยงเข้ากับเมืองไทยของไทยที่ได้รับการประกาศเรียบร้อยแล้ว 10 MICE City และเมืองใกล้เคียง
โดยมีพันธมิตรที่เข้าร่วมประชุมอย่างเข้มแข็งร่วมสานแผนโครงการ Carbon Balance Routes กับทีเส็บ มี 3 องค์กรหลัก ได้แก่ 1.สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) 2.องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) 3.องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท./DASTA)
ช่วงที่ 2 ตอนนี้แม้จะยังออกไปท่องเที่ยวได้ไม่สะดวกมากนัก
เพราะต้องช่วยกันหยุดการแพร่ระบาดของโควิด
แต่ก็มีข้อมูลสถานที่พักผ่อนมาแนะนำไว้ก่อน ที่ “สวนสามพราน” นครปฐม
ปรับบริการสู่วิถีใหม่เรียบร้อยแล้ว จะเปิดเฉพาะโซน กิน ฟิน ชีลเอาท์ ทำกิจกรรม
และเรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์ เทรนดี้มากกกว่าเดิม ทางด้านหมออนันต์แนะ “5 วิธีสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองรับมือโควิด” และ ผ่าเบื้องหลัง!! การบินไทยเจ้าหนี้โหวตผ่านแผนฟื้นฟูกิจการฉบับพิสดาร” รอฟังศาลเคาะ 28 พ.ค.นี้ ส่วน SMEs สมัครด่วน ๆ เลย
“มูลนิธิคีนัน-เอเชีย” เปิดหลักสูตรสอนฟรีเรื่องการใช้ Page Facebook เจาะเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ เลือกได้ 2 หลักสูตร
สอนรุ่นละ 2 รอบ
สถานที่พักผ่อนในความทรงจำของคนหลากหลายวัย “สวนสามพราน” จังหวัดนครปฐม อยู่คู่คนไทยมาเกือบ 60 ปี ให้บริการนักท่องเที่ยวและไมซ์ ทั้งตลาดในประเทศและนานาชาติ ด้วยเจตนาความมุ่งมั่นพากเพียรบากบั่นให้เป็นที่รู้จักเอกลักษณ์ความเป็นไทย หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายเตรียมไปท่องเที่ย กิน ฟินกับการเรียนรู้ ได้ 9 โซน ที่พร้อมมอบความสุขให้ทุกคนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
โซนที่ 1 บ้านพักทรงไทยริมทะเลสาบ สวนสามพราน จำนวน 6 หลัง แยกเป็นสัดส่วน
ไว้รองรับกลุ่มครอบครัว และเพื่อนฝูง โดยบ้านแต่ละหลังจะมีให้เลือกได้ตั้งแต่ 1
,2, 3 และ 7 ห้องนอน เปิดบริการทุกวัน
รับจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน เช็คอินได้ตั้งแต่ 14.00
น.และเช็คเอาท์ไม่เกิน 12.00 น.
โซนที่ 2 ห้องอาหาร “ระเบียงน้ำ” สวนสามพราน ริมแม่น้ำท่าจีน บริการอาหาร เครื่องดื่ม ขนมไทย เปิดทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 11.00-17.00 น.
โซนที่ 3 ห้องประชุม สวนสามพราน รับงานจัดประชุม สัมมนา
ให้บริการแบบไม่พักค้างคืน โดยมีห้องประชุมที่ได้มาตรฐานพร้อมจัดงาน
เปิดบริการทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 08.00-17.00
น.
โซนที่ 4 ปฐมออร์แกนิกวิลเลจ สวนสามพราน เปิดให้ทำกิจกรรมศึกษาดูงานของหน่วยงาน องค์กร กิจกรรมของนักเรียน
การทำทีมบิลดิ้ง แบบไม่พักค้างคืน เปิดทุกวันอังคาร-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น.
โซนที่ 5 ปฐมออร์แกนิกวิลเลจ” สวนสามพราน บริการทำเวิร์คชอป ด้านการเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ และสมุนไพรไทย เปิดเฉพาะวันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น.
โซนที่ 6 ปฐมออร์แกนิก คาเฟ่ สวนสามพราน บริการเครื่องดื่ม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ปฐมทั้งหมด เปิดทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น.
โซนที่ 7 ปฐมออร์แกนิก ฟาร์ม สวนสามพราน สถานที่พักผ่อนเพื่อการท่องเที่ยว การเรียนรู้เรื่องราวเกษตรอินทรีย์ เดินทางโดยเรือยนต์ข้ามฝั่งแม่น้ำท่าจีนเข้าไปยังสวนปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เปิดเฉพาะวันเสาร์-วันอาทิตย์ เท่านั้น ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน โดยจะเปิดวันละ 2 รอบ คือ รอบที่ 1 เวลา 10.00-12.00 น. รอบที่ 2 เวลา 14.00-16.00 น.
โซนที่ 8 ตลาดสุขใจ สวนสามพราน จำหน่ายสินค้าออร์แกนิก จากเกษตรกรในเครือข่าย 16 กลุ่ม โดยได้คัดสรรนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาวางขายในตลาดที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย รวมทั้งหมด 47 ร้านค้า ของชาวสวน 5 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี เปิดบริการเฉพาะวันเสาร์-วันอาทิตย์ เท่านั้น เวลา 09.00-16.00 น.
โซนที่ 9 ปฐม ออร์แกนิก ลีฟวิ่ง ซอยทองหล่อ กรุงเทพฯ เป็นไลฟ์สไตล์เทรนด์ใหม่ในบรรยากาศสบาย ๆ ในสวนธรรมชาติกลางกรุง จำหน่ายอาหารแบบปิ่นโต ขนมไทย เบเกอรี่ ผลิตภัณฑ์ และสินค้าแปรรูปต่าง ๆ เปิดบริการทุกวัน เวลา 09.30-18.00 น.
ทันทีที่รัฐบาลประกาศให้เดินทางเต็มรูปแบบได้
ห้ามพลาด !! มาสัมผัสประสบการณ์วิถีใหม่ที่สวนสามพราน
นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายแพทย์ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล แนะนำการสร้างระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกของร่างกายที่ทำหน้าที่ป้องกัน ต่อต้าน และกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การกระตุ้นและเสริมภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับไวรัสได้อีกทางหนึ่ง โดย 5 วิธีที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองดังนี้
1.รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ร่างกายต้องการสารอาหารหลักทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอาหารรองไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน A, C, E, D, B6, B9, B12 รวมถึงแร่ธาตุสังกะสี, เหล็ก, ทองแดง, แมกนีเซียม, ซีลีเนียม และแมงกานีส ซึ่งสามารถรับได้จากอาหารธรรมชาติ อย่างผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง จะเป็นบร็อกโคลี, ผักโขม, ผักเคล, มะขามป้อม, ฝรั่ง, ส้ม หรือแหล่งอาหารของวิตามิน A จะอยู่ในเครื่องในสัตว์, ไข่แดง, นม และผลิตภัณฑ์จากนม ควรรับประทานอาหารสด หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารแช่แข็ง เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารหรือวิตามินได้
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์
3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมตัวก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง โดยงดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายตื่นและนอนไม่หลับ ต้องใช้สูตร 8/8/8 คือ ทำงาน-นอนหลับพักผ่อน-ทำกิจกรรมต่างๆ อย่างละ 8 ชั่วโมง
4.จัดการกับความเครียด เพราะความเครียดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องหาวิธีจัดการหรือตั้งรับให้ดี ซึ่งหากรู้ว่าตัวเองกำลังเครียดก็ต้องมีสติ
5.เสริมด้วยวิตามิน วิตามินเป็นเหมือนทางลัดในการฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน ซึ่งนิยมรับประทานกันในรูปแบบเม็ด เช่น วิตามิน C ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ไม่ป่วยหรือเป็นหวัดได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ หรือวิตามิน D ซึ่งช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง แถมช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันและการนอนหลับที่ดี ช่วยต่อต้านการอักเสบต่างๆ รวมถึงวิตามิน E ตัวช่วยในการทำงานของตับ มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และหากได้รับวิตามินตัวนี้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยป้องกันและซ่อมแซมเส้นผม ผิวและเล็บได้
ทุกคนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเอง และก็ทำลายภูมิคุ้มกันด้วยตัวเองได้เหมือนกัน จากไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทำอยู่ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงและกิจกรรมที่จะทำลายภูมิคุ้มกันด้วย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก เบื้องลึก!!บินไทยหลังเจ้าหนี้โหวตผ่านแผนฟื้นฟูฉบับพิสดารรอฟังศาล28พ.ค.64
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ในการประชุมเจ้าหนี้รายใหญ่ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Meeting) เมื่อ 9.00 น.เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการ ทางเจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงเกือบทั้งหมดเข้าร่วมประชุม โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเจ้าหนี้ประมาณ 140,000 ล้านบาท ผลสรุปเจ้าหนี้ได้โหวตผ่านแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทย เพื่อนำเสนอศาลล้มละลายกลางในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564
อีกทั้งเจ้าหนี้ยังมีมติให้แต่งตั้งตัวแทนเข้ามาบริหารแผนรวม
5 คน ประกอบด้วย 1. นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ 2.
นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เข้ามาแทนนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล 3.
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ตัวแทนเจ้าหนี้จากแบงก์กรุงเทพ) 4. นายไกรสร บารมีอวยชัย ช่วยผู้จัดการใหญ่
ผู้จัดการประนอมหนี้และกฎหมาย ธนาคารกรุงเทพ และเป็นอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี
(ตัวแทนเจ้าหนี้จากแบงก์กรุงเทพ) 5.
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การบินไทย
มีรายงานว่าน่าสนใจอย่างยิ่งว่า
แผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทยฉบับปัจจุบันที่จะยื่นต่อศาลล้มละลายกลางในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 แทบไม่มีเนื้อหารายละเอียดระบุถึงหัวใจหลักการกอบกู้ธุรกิจสายการบินให้กลับมาดำเนินการกิจการได้อีกครั้ง
โดยเฉพาะ 3 ส่วนหลัก
ประกอบด้วย 1.ไม่มีแผนลดทุน
2.ไม่มีแผนลดหนี้
3.ไม่มีแหล่งเงินทุนใหม่ชัดเจน
เป็นแต่เพียงการเขียนแผนบนสมมุติฐาน ยังคงขัดแย้งกับสถานะปัจจุบันของการบินไทยซึ่งกลายเป็น “เอกชน” ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อปี 2563 แต่การเขียนแผนฟื้นฟูกิจการที่นำเสนอเจ้าหนี้เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ยังคงเขียนบนพื้นฐานในสถานะการเป็น “รัฐวิสาหกิจ” เพื่อรอรัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วย 2 เรื่องหลัก คือ 1.ให้กระทรวงการคลังนำเงินใส่เข้ามาช่วยล็อตแรก 25,000 ล้านบาท และล็อตสองอีก 25,000 ล้านบาท 2.ขอให้คลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ล็อตใหม่
จับตาว่าศาลล้มละลายกลางวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 จะปล่อยให้แผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยฉบับดังกล่าวเดินหน้าต่ออย่างไร
มูลนิธิ คีนัน เอเชีย ทำหลักสูตรอบรมฟรี เปิดโอกาสให้ธุรกิจ SMEsสมัครเข้าร่วมเรียนการใช้ Facebook อย่างมืออาชีพรับจำนวนจำกัด! โดยจัดอบรมผ่านทางออนไลน์ให้ผู้ประกอบการ SME เพื่อช่วยให้เข้าใจการใช้ Facebook page เบื้องต้นเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ และสร้างแบรนด์ให้เติบโตได้อย่างมั่นคง ประกอบด้วย 2 หลักสูตร ๆ ละ 2 รุ่น ดังนี้
1.หลักสูตร A ทำการตลาดออนไลน์อย่างไรให้ปัง! รุ่นที่ 1
วันที่ 27 พ.ค. 64
ลงทะเบียน >> https://bit.ly/3eRosRP
รุ่นที่ 2 วันที่ 10
มิ.ย. 64 ลงทะเบียน >>
https://bit.ly/2Qs58RT
2.หลักสูตร B การจัดการ Facebook Page สำหรับธุรกิจ รุ่นที่ 1 วันที่ 1 มิ.ย. 64 ลงทะเบียน >> https://bit.ly/3bANeDH รุ่นที่ 2 วันที่ 15 มิ.ย. 64 ลงทะเบียน >> https://bit.ly/3fu3fMK
เมื่อผ่านการอบรมทั้ง 2 หลักสูตร แล้วผู้ประกอบการจะสามารถปลดล็อกเพื่อรับสิทธิพิเศษเข้าร่วมหลักสูตรอื่นๆ ของทางโครงการ เช่นหลักสูตร "เคล็ดลับการสร้าง Content ดึงลูกค้าได้อยู่หมัด" และ หลักสูตร "การสร้างโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ (Facebook Ads)" ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kenan-asia.org
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM
97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น