ดร.ยุทธศักดิ์ถอดรหัส“55เมืองรอง-เที่ยวไทย365วัน”ปี67
แนะใช้กุญแจไขความสำเร็จด้วย“WIN-DNA-C&C-4GO”
ชูจุดขายประสบการณ์คุ้มค่า-นวัตกรรมตลาด-สินค้าใหม่
คิงเพาเวอร์มอบของขวัญปีใหม่ช้อปSAT1-OneBangkok
คิงเพาเวอร์มหานครจัดFestive Carnivalรับปีใหม่5ไฮไลต์
พูลแมนคิงเพาเวอร์ชูบุฟเฟต์อินเตอร์ฉลองปีใหม่3มื้อ
ท่องเที่ยว-ททท.4กระทรวงเพิ่มเชื่อมั่นเที่ยวไทยปีใหม่
บางจากร่วมมอบรางวัลปลอดภัยของIESGส่งท้ายปี66
น่านเปิดเมืองเก่ากว่า600ปีชวนสวดมนต์ปีใหม่9วัดดัง
สธ.แนะคนไทยใช้3วิธีทางเลือกรับมือปัญหาสุขภาพจิต
AWCเปิดเทรนด์ผู้นำCo-Livingดึงตลาดโลกแห่เข้าไทย
OAGเปิดแชมป์เส้นทางบินโลกปี’66ไทยติดอันดับ9&10
วันเสาร์ที่
23 ธันวาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ
“เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #สวดมนต์ข้ามปีวัดดัง #สุขทันทีเที่ยวเมืองไทย
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...https://fb.watch/p65_zlC-45/?mibextid=Nif5oz
ช่วงที่ 1 สัมภาษณ์ “ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร” อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ถอดรหัส “55 เมืองรอง”
แชร์รายได้ท่องเที่ยวปีละ 10 % แนะใช้
3 กลยุทธ์
“สร้างประการณ์เที่ยวคุ้มค่า-ค้นหานักท่องเที่ยวคุณภาพ-คัดสินค้าใหม่” ใช้ WIN+DNA
คุณค่า
แบ่งปันรายได้ คัดโปรดักซ์ใหม่ สร้างแบรนด์ 5 ภาค นำร่อง 10 จังหวัด ส่วน “365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย” ใช้กุญแจไขได้ 2 ดอก “C&C” Community & Culture ชุมชนผนวกทัวร์วัฒนธรรม ใส่จุดขาย 3 Un ไม่เคยเห็น/ไม่เคยรู้/ไม่เคยลอง
สร้างความสำเร็จตลาดคุณภาพด้วย 4Go “Local-New-High-Low” กับจัดอันดับแก้ปัญหาเรื่องหลักมาตรการความปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดโลก
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การจัดการกระตุ้นโจทย์สำคัญทางการท่องเที่ยว เรื่องที่ 1 การท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด มีความท้าทายอย่างมากเพราะมีส่วนแบ่งรายได้ท่องเที่ยวรวมทั้งประเทศเพียง 10 % มีนักท่องเที่ยวกระจายตัวเดินทาง 30 % เนื่องจากเมืองหลัก 22 จังหวัด กวาดรายได้ไปราว 90 % จากจำนวนนักท่องเที่ยว 70 % ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไทยต้องการจะเพิ่มรายได้สู่เมืองรองตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป จึงเป็นเรื่องน่าดีใจ สิ่งสำคัญสุดคือการใช้กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
กลยุทธ์ที่
1
สร้างความคุ้มค่าทางประสบการณ์ผสมผสานกับการตลาดสมัยใหม่ อาจจะต้องใช้ Story
Telling
กลยุทธ์
2 สร้างส่วนแบ่งรายได้และประโยชน์ให้พันธมิตรกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
เพราะทุกวันนี้ไม่ควรจะมีจังหวัดใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แนะนำให้คัดเลือกมาทำก่อนสักประมาณ 10
จังหวัด จาก 5 ภาค ๆ ละ 2
จังหวัด
โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากความพร้อมทางด้านการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว
กับโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ และการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น
กลยุทธ์ที่
3 ค้นหานักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มรายได้กระจายเข้าถึงแต่ละภาคส่วนในเมืองรอง
ควบคู่กับการหาวิธีเพิ่มวันพักเฉลี่ย เพิ่มการใช้จ่ายเงิน และรายได้
มากขึ้นได้พร้อม ๆ กัน
ขณะเดียวกัน
ททท.ก็ต้องเลือกใช้กลยุทธ์ “ทางการตลาด”
ให้เหมาะสมสอดคล้องกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายี่ชื่นนชอบสินค้าท่องเที่ยวเมืองรอง
โดยค้นหากำลังซื้อคุณภาพเพื่อกระจายรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
ก็จะใช้ย่อได้คือ “WIN” ประกอบด้วย W
:Worth สร้างความคุ้มค่ากระตุ้นคนออกไปเที่ยวเมืองรอง
I : Inclusive กระจายรายได้เพิ่มขึ้นแต่ละภาคส่วนอย่างเป็นธรรม
และ N : Niche ค้นหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้อย่างแท้จริง
ตามด้วย
“สินค้าการท่องเที่ยว”
ยิ่งน่าสนใจเพราะสิ่งสำคัญช่วงสถานการณ์โควิดคนไม่ได้ออกไปไหนจึงเที่ยวในประเทศจำนวนมาก
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องหา “สินค้าใหม่ ๆ” เชิงสร้าง New DNA ในเมืองรองขึ้นมาอย่างสร้างสรรค์ ถอดคำได้คือ D
:Destination แสวงหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจมากกว่าเดิม
N :Nature หาแหล่งธรรมชาติ
A :Activities หากสามารถผลิตกิจกรรมในเมืองรอง
ช่วงฤดูที่มีคนเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวน้อย โดยผสมผสานให้เหมาะกับ กลุ่มครอบครัว
ผู้หญิง Gen Y, Z เสริมจุดขายด้วยอาหารถิ่น
ผนวกกับแหล่งท่องเที่ยวใหม่สไตล์มนุษย์สร้างขึ้นหรือ Man Made นอกเหนือจากสวนสนุกก็คือ ร้านกาแฟเก๋ ๆ
ถนนคนเดินต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้เมืองรองทั่วประเทศมีความพร้อมเมื่อนำกลยุทธ์การตลาดแบบ
WIN ผนวกเข้ากับ DNA
สินค้าท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้วคัดเลือกมาใช้ให้เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวแต่ละประเภท
จะทำให้ปี 2567 ททท.สามารถกระจายรายได้ท่องเที่ยวสู่
55 เมืองรอง
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ดร.ยุทธศักดิ์
กล่าวว่า ขณะนี้ทั้ง ททท.ทั้ง 5 ภูมิภาค
สามารถทำได้ทันที โดยคัดเลือกมานำร่องทำก่อนให้เห็นโมเดลภาคละ 2 จังหวัด
เพราะตามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในประเทศมีความชอบหลากหลาย
ไฮไลต์อย่างแรกอาจจะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล ภาคใต้ กับภาคตะวันออก
บางฤดูก็ชอบธรรมชาติป่าเขา ในภาคอีสานกับภาคเหนือ ก็มีจุดเด่นที่ได้เปรียบเหมือนกัน
แต่จะต้องลงลึกในรายละเอียดโดยเข้าไปดูระบบการเดินทางสัญจรเข้าถึงแต่ละแหล่งท่องเที่ยว
สะดวกมากน้อยเพียงใด
ส่วนสำคัญสุดคือการเปิดเวทีให้ชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมผลักดันการท่องเที่ยวในพื้นที่นั้น
ๆ เพื่อนำการท่องเที่ยวเป็นกลไกหรือเครื่องมือสร้างรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นของตนเอง
ส่วน
“ตลาดต่างประเทศ”
ททท.มีความพยายามต่อเนื่องมาตลอดที่จะขายการท่องเที่ยวเมืองรองกับทั่วโลก
สมัยก่อนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเลือกมาเชียงใหม่ค่อนข้างมาก
จึงทดลองให้ขยายการเดินทางไปยังลำปาง แต่ก็อาจจะเป็นเหมือนไก่กับไข่
แต่ละจังหวัดได้รับความสนใจต่างกัน เช่น เรื่องศิลปะวัฒนธรรม
แต่การรองรับคนจำนวนมาก ๆ เช่น จัดสัมมนา มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก แต่อาจจะมีข้อจำกัด
ซึ่งเป็นได้เพียงแค่เมืองผ่านไปยังเชียงราย
แต่ก็ยัง
“มีโอกาส” หากดึงความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวศิลปะวัฒนธรรมมาเป็นจุดขาย หรือ
“อาหารท้องถิ่น”
น่าจะดึงความสนใจได้มากขึ้นกับการส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรองของไทยในปี 2567
ดร.ยุทธศักดิ์
กล่าวว่า แนวทางการกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองไทยได้ทุกวัน ตลอด 365 วัน ซึ่งเมืองไทยมีสินค้าตอบโจทย์คือ
“ความแตกต่าง” เพียงแต่จะต้องเปลี่ยน “โปรดักซ์ แคตาล็อก” ให้เป็น
“เมนูประสบการณ์”
เพราะเชื่อมั่นการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ไม่มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาล
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้ทั้งหมดทุกวัน
โดยอาจจะต้องเติมความเข้มข้นเข้าไปให้มากขึ้นอีก 2 ส่วน คือ C &C คือ C :Community ชุมชนท่องเที่ยว กับ C : Culture การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ดำเนินการผ่านกิจกรรมมีส่วนร่วมอย่างแนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับ
3 Un (อัน) ได้แก่ 1.Unseen
ไม่เคยเห็นมาก่อน 2.Untold ไม่เคยได้ยินมาก่อน 3.Un Box ประสบการณ์ใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถผสมผสานเรื่องราวให้กลายเป็น
“แบรนด์ใหม่” ด้วยโปรดักซ์การท่องเที่ยวใหม่ก็จะกระตุ้นการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
สำคัญที่สุดคือจะต้องบอกให้ชัดถึงการออกเดินทางท่องเที่ยวใน “ฤดูกาลที่แตกต่าง”
ก็จะได้รับ “ประสบการณ์ที่แตกต่าง” ด้วย ถึงแม้จะเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเดิมก็ตาม
สำหรับการปลุกกระแส
“ซอฟท์ เพาเวอร์”
ซึ่งแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัดจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวขาประจำอยู่แล้ว
ฉนั้นจะต้องคัดช่วงวันหรือเดือนที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปจำนวนน้อย
ก็จะต้องใส่กิจกรรมโดยนำเสนอซอฟท์ เพาเวอร์ มาขายในรูปแบบท่องเที่ยวงานเทศกาล/Festival ซึ่งจะช่วยกระตุกความน่าสนใจให้คนหลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่ได้
หรือจะใช้ซอฟท์ เพาเวอร์ บนพื้นฐาน C &C คือ Community กับ Culture ที่มีความโดดเด่นคือ “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
จะมีวัฒนธรรมการจัดงานเทศกาล “ฮีต 12 คลอง 14” ทุกเดือนจะมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอด เช่น
จ.ร้อยเอ็ด มีจัดงานประเพณีบุญผะเหวด เดือน 2-3 หากสามารถทำแบบนี้ได้ทุกเดือน ก็จะสามารถใช้
ซอฟท์ เพาเวอร์ ดึงดูดคนเข้าไปเที่ยว แล้วหากกระจายเชิงพื้นที่เพิ่มเข้าไปอีกในแต่ละช่วงเวลาในอีสานได้เป็นอย่างดี
สำหรับการท่องเที่ยวภาคอีสานซึ่งมีจุดอ่อนเรื่องระยะทางเชื่อมโยงแต่ละแหล่งท่องเที่ยวห่างไกลกัน
ททท.สามารถพลิกให้เป็นข้อได้เปรียบทำให้เกิด “การพักค้างคืน” เพิ่มขึ้นได้
โดยนำเสนอขายท่องเที่ยวเป็นกลุ่มคลัสเตอร์ เช่น
การท่องเที่ยวสายมูเชิงศิลปะวัฒนธรรม กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
และการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา ไปไหว้พระเกจิดัง
หรือเลือกกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมอย่าง “วัยเก๋า”
ซึ่งไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาเดินทางพร้อมจะเป็นตลาดเป้าหมายเที่ยวอีสาน เช่นเดียวกับภาคอื่น
ๆ
ปี 2567
มี “ความท้าทาย”
เรื่องการบริหารจัดการตลาดท่องเที่ยวต้องเพิ่ม
เรื่องที่
1 แสวงหาสินค้าใหม่
ๆ ทางการท่องเที่ยวมานำเสนอกับกลุ่มเป้าหมาย
เพราะหากยังเป็นโปรดักซ์เก่าก็จะต้องหา “เซกเมนต์ตลาดใหม่ ๆ” เข้ามา
เพื่อทำให้เกิดการท่องเที่ยวเข้าไป ถ้ามีโปรดักซ์ใหม่ก็จะทำได้ง่ายกับทุกเซกเมนท์
เรื่องที่
2 ต้องมองการทำตลาดใน
“เชิงยุทธศาสตร์” เพิ่มมากขึ้น โดยอาจจะต้องสร้าง New DNA กับ Brand ของจังหวัดเมืองรองขึ้นมาใหม่ให้ได้
เรื่องที่
3 กระตุ้นความสนใจผสมผสานการตลาดและการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
เรื่องที่
4 การแสวงหาภาคีใหม่
ๆ ทำอย่างไรให้เกิดการกระจายรายได้มากขึ้น ซึ่งไม่เกินความพยายามของคนใน
ททท.ต่างก็มุ่งมั่นตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เป็นสิ่งต้องทำเพิ่มเติมด้วยการทำงานหนักมากขึ้นด้วย
ดร.ยุทธศักดิ์ ย้ำว่า
ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในหลายมิติของโลก ไทยเองก็เผชิญวิกฤตมาหลายครั้ง
เช่น เรือนักท่องเที่ยวต่างชาติล่มที่ภูเก็ต การปราบปรามทัวร์จีนศูนย์เหรียญ
สถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด
แต่ทุกครั้งไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ตัวอย่าง ปี 2564 มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทย 27-28 ล้านคน ปี 2566 ขยับเป็นเกินกว่า 30 ล้านคน ฟื้นในลักษณะ V-Shape ฉนั้นจะต้องเดินหน้าให้มั่นคงโดยยึดสิ่งที่ทำร่วมกันมาตลอดคือ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ อย่างมีคุณภาพ มากกว่าปริมาณ
ให้สำเร็จจะต้องสร้างจุดยืนให้มั่นคงแข็งแรงควบคู่กันไปอีก 2 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 ใช้กลยุทธ์และนโยบาย Go ที่ผ่านมา
ททท.ส่งเสริมการท่องเที่ยวแนวนี้มาบ้างแล้ว ให้ครบทั้ง 4 Go ประกอบด้วย
1.Go Local ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง
2.Go Hihg ยังเกาะติดกระแสรุกตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพและกลุ่มลักชัวรี่
3.Go New นำนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าสู่เมืองรอง
ไม่เฉพาะนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวในไทยแต่อาจหมายถึงต้องเจาะตลาดเมืองรองต่างประเทศกระจายมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น
รวมถึงคนที่ยังไม่เคยมาเมืองไทยแต่รู้จักชื่อเสียงของไทยเป็นอย่างดีจะเป็นกลุ่มใหม่ที่นำเข้ามาเพิ่มได้
4.Go Low สร้างแรงดึงดูดให้สอดคล้องกับช่วงเวลาคนมาเที่ยวน้อย
เช่น ตลาดระยะไกลกลับไปแล้ว ก็ดึงตลาดตะวันออกกลางมาแทนในช่วงนอกฤดูเดินทาง
ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้วการให้น้ำหนักเพื่อนำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก้าวสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย ต้องใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น ผนวกเข้ากับกลยุทธ์เชิงนโยบาย 4 Go ข้างต้น
เรื่องที่ 2 การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ความสำคัญมาก ๆ กับมาตรฐานด้านมาตการความปลอดภัย ทำให้เป็นรูปธรรมด้านสุขอนามัยและทรัพย์สินในชีวิต การถูกเอารัดเอาเปรียบ และอื่น ๆ ไม่ใช่สร้างภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียว ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ด้านบริการรถสาธารณะอย่างแท็กซี่ แต่ละเรื่องต้องใช้พลังความร่วมมือทำร่วมกันทุกฝ่าย เพื่อนำการท่องเที่ยวเป็นกลไกเพิ่มรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์มอบของขวัญปีใหม่ช้อปSAT1-OneBangkok
กลุ่มบริษัท
คิง เพาเวอร์ นำพลังธุรกิจคนไทย มอบของขวัญพิเศษปี 2567 ชวนช้อปร้านค้าเพิ่มใหม่อีก 2 แห่ง
จะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย
แห่งที่ 1 บริการใหม่ในอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ SAT-1
(Satellite Building 1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 7,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น
ร้านค้าดิวตี้ฟรี แท็กซ์ฟรี 3,000 ตารางเมตร
และร้านค้าเชิงพาณิชย์ 4,000 ตารางเมตร
เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มรายได้เข้าประเทศจากอาคาร SAT-1 สามารถรองรับผู้โดยสารเดินทางผ่านเข้าออกได้วันละ 151,000 คน ร้านทั้งหมดตั้งอยู่ตรงชั้น 3 ออกแบบตกแต่งเป็นเอกลักษณ์
โดยได้รวบรวมสินค้าแบรนด์ดังทั้ง น้ำหอม เครื่องสำอาง แฟชั่น นาฬิกาหรู แว่นตา
ปากกา กระเป๋า เครื่องประดับ เครื่องหอม ของเล่น อุปกรณ์อิล็กทรอนิกส์
แกดเจ็ต ของที่ระลึก และสแน็กไทย มาไว้ให้นักเดินทางคนไทยและทั่วโลกเลือกช้อปอย่างเต็มที่
ไฮไลต์แบรนด์ดังในอาคารหลังใหม่ SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะมีแม่เหล็กดึงดูดนักเดินทาง เช่น ร้าน Armani
Exchange ,Tory Burch, Marc Jacobs,
Michael Kors, Tumi ร้านค้าโครงการหลวง โกลเด้นเพลซ ดอยคำ ดอยตุง
นภา สายใจไทย Sacit และร้านอาหาร รวมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น
ๆ ที่ขาดไม่ได้คือ “จุดรับสินค้า” 2 สไตล์ คือ PICK
UP COUNTER และCOLLECTION POINT ขาออก
แห่งที่ 2 เตรียมเปิดร้านค้าดิวตี้ฟรีตั้งอยู่ในเมกะโปรเจกต์ One Bangkok แลนด์มาร์กวันสต็อปเซอร์วิสระดับโลกแห่งใหม่ใจกลางย่านธุรกิจหรือ CBD
คาดจะมีนักท่องเที่ยวใช้บริการวันละกว่า 50,000 คน สำหรับ วัน แบงค็อก เป็นโครงการแรกของเมืองไทยที่ได้การรับรองมาตรฐานพัฒนาชุมชนแวดล้อมรอบอาคารระดับ
LEED Neighborhood Development Platinum จะเป็นพลังดึงดูดบริษัทชั้นนำเข้ามาใช้สำนักงานเกรดเอ
รวมถึงมีพื้นที่รีเทลชั้นนำ โรงแรมหรูหรา ที่พักอาศัย พื้นที่ศูนย์กลางทำกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรมเชื่อมถึงกันได้เป็นอย่างดี
ข่าวที่ 2 คิงเพาเวอร์มหานครจัดFestive Carnivalรับปีใหม่5ไฮไลต์
คิง เพาเวอร์ มหานคร ชวนมาสัมผัสประสบการณ์เฉลิมฉลองเทศกาลส่งความสุขแห่งปี
โดยได้เปลี่ยน “คิง เพาเวอร์ มหานคร” ให้เป็นดินแดนมหัศจรรย์จัดมหกรรมงาน “Mahanakhon
Festive Carnival” วันนี้จนถึงวันจันทร์ที่ 1 มกราคม
2567 พบกับความสนุกสนาน รื่นเริงตลอดวันหยุดไปส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทำให้มีความสุขเป็นไปได้ทุกวัน กับ 5 ไฮไลต์
ไฮไลต์ที่ 1
เล่นเกมสนุก ๆ กินเมนูอร่อย ๆ ฟังดนตรีเพลิน ๆ ได้ตลอดงาน กับ 3 กิจกรรม คือ
กิจกรรมที่ 1 “เกมแสนสนุก” เปิดพื้นที่บริเวณ “มหานคร สแควร์” รวบรวมเกมน่าตื่นเต้นและสร้างเสียงหัวเราะแถมยังได้ลุ้นรางวัลพิเศษต่าง
ๆ มากมาย เมื่อลองเล่น ยิงปืนลม โยนห่วง ขว้างลูกบอล และบิงโก เชิญชวนทุกวัยมาปล่อยพลังได้เต็มที่
กิจกรรมที่ 2 “ฟู้ดทรัค” ละลานตากับอาหารรสเลิศบนรถบรรทุกความอร่อยมาเสิร์ฟทุกวัน
โดยมีเมนูไฮไลท์ต่าง ๆ รับประทานสะดวกรวดเร็วโดนใจ เช่น มินิพิซซ่าแสนอร่อย บั๋นหมี่ แซนวิชเวียดนาม
ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ และอีกหลากหลานจานเด็ด
กิจกรรมที่ 3 “Live Band” เกาะติดขอบเวทีฟังวงดนตรีสดช่วงค่ำคืนวันศุกร์
29 ธันวาคม 2566 มาเพลิดเพลินกับเสียงเพลงจะมาขับกล่อมอย่างสร้างสีสัน
เพิ่มบรรยากาศเฉลิมฉลองให้กับทุกคนมีความสุขตั้งแต่ 17.00 – 21.00 น. พบกับ วง Oneday ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์
สนุกทุกบีทกับ Live DJ ดีเจชั้นนำจะมาสร้างบรรยากาศสุดมันส์ ต่อเนื่องกันถึง
5 ชั่วโมง ระหว่าง 17.00 – 21.00 น.
ไฮไลต์ที่ 2 ชมวิวภายในอาคารชั้น 74 กับ มหานคร
สกายวอล์ค ชั้น 78 ตื่นตาด้วยต้นคริสต์มาสยักษ์สูง
5 เมตร ประดับตกแต่งสวยงาม สายถ่ายรูปเป็นอีกหนึ่งจุดห้ามพลาดเช็คอิน
พร้อมกับชมวิวภายในอาคาร ชั้น 74 เพื่อให้ทุกคนได้บันทึกความทรงจำทิวทัศน์กรุงเทพฯ
360 องศา จากนั้นก็ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก ชั้น 78 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในประเทศไทย
ไฮไลต์ที่ 3 ร่วมฉลองเทศกาลพิเศษคริสต์มาสอีฟวันอาทิตย์ที่
24 และวันคริสต์มาสวันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม
2566 ที่ คิง
เพาเวอร์ มหานคร เริ่มตั้งแต่ 16.00 เป็นต้นไป เตรียมเพลิดเพลินกับเสียงเพลงไพเราะจากดนตรีสดขับกล่อมค่ำคืนอันอบอุ่นด้วยเสียงเพลงคริสต์มาสจากคณะประสานเสียง
และร่วมรับของขวัญพิเศษจากคุณลุงซานตาคลอส กับความพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย
ทางซานต้าของ คิง เพาเวอร์ มหานคร
วางโปรแกรมเดินสายส่งความสุข เทศกาลพิเศษ 3 เวลา ดังนี้
เวลา 16.00
– 16.45 น. ชั้น 78 มหานคร สกายวอล์ค
ค่าเข้าชมคนละ 1,300 บาท
เวลา 17.00
– 17.45 น. มหานคร อีทเทอรี่ (หน้าร้าน Other Café)
เวลา
18.00
– 18.45 น. มหานคร สแควร์
ไฮไลต์ที่ 4 ชมแสงสุดท้ายพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
แล้วจากนั้นร่วมนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2023 ชวนมารับความสุขที่ “มหานคร
สกายวอล์ค”
ชั้น 78 มีวงดนตรีสด นำโดย คุณไข่มุก Kaimook
J. ฟังสบาย ๆ ช่วง 17.00 - 18.30 น. ราคาคนละ 2,400
บาท เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง
ตั้งแต่เวลา 16.00 – 19.00 น.
ไฮไลต์ที่ 5 ต้อนรับวันปีใหม่วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 มันส์กับการแสดงสดสุดอลังการโดยคุณทอม
อิศรา นักร้องชื่อดังชาวไทยที่ผู้คนพากันหลงรัก เจ้าของแชมป์รายการ The Mask Singer ซีซั่นแรกเมืองไทย
พร้อมขึ้นเวทีโชว์พลังเสียงให้นักท่องเที่ยวได้สนุกไปด้วยกันตั้งแต่ 17.00
– 18.30 น. ที่ มหานคร สกายวอล์ค ชั้น 78
ราคาคนละ 2,400 บาท เปิดให้เข้าชมต่อเนื่อง 3
ชั่วโมง ตั้งแต่ 16.00 – 19.00 น.
ข่าวที่ 3 พูลแมนคิงเพาเวอร์ชูบุฟเฟต์อินเตอร์ฉลองปีใหม่3มื้อ
โรงแรมที่พักในเครือ
“คิง เพาเวอร์” เพิ่มความฟินในบรรยากาศสุดแสนจะว้าว
สามารถชวนครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่รัก และอีกหลากหลาย มาสัมผัสประสบการณ์เฉลิมฉลองเทศกาลความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
โรงแรม “พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ)” เปิดให้จองห้องอาหาร “ควิซีน อันปลั๊ก”
ล่วงหน้าภายใน 24 ธันวาคม 2566 รับส่วนลดสูงสุด
30% เตรียมอิ่มอร่อยมื้อพิเศษส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
กับบุฟเฟต์สุดพิเศษนานาชาติ
เมนูอาหารชั้นเลิศจากวัตถุดิบดีที่สุดเพื่อสร้างความประทับใจให้ทุกคน
วันแรก 31 ธันวาคม 2566
ส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่ด้วยแพกเกจบุฟเฟต์นานาชาติ “นิว เยียร์ส อีฟ บรันช์” ระหว่าง 12.00-15.00 น.ราคาคนละ 1,450 บาทสุทธิ และมื้อค่ำ “นิว เยียร์ส”
เวลา 18.00-22.30 น.คนละ 3,290 บาทสุทธิ
วันที่สอง 1 มกราคม 2567 ขึ้นปีใหม่ จัดแพกเกจบุฟเฟต์นานาชาติต่อเนื่อง “นิว เยียร์ส
เดย์ บรันช์” ระหว่าง 12.00-15.00 น.ราคาคนละ 2,590 บาทสุทธิ
ส่วน โรงแรม “เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร” จัดพิเศษ “Afternoon Tea” ที่ห้อง
Tease ตั้งแต่วันนี้ - 31 มกราคม 2567 เวลา 13:00 – 18:00 น.ราคาคนละเพียง 980++ บาท ท่ามกลางบรรยากาศเฟสทีฟสุดอาร์ตห้องเรียบหรูดูดี
ข่าวที่
4 ท่องเที่ยว-ททท.4กระทรวงเพิ่มเชื่อมั่นเที่ยวไทยปีใหม่
นางสาวสุดาวรรณ
หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า
กระทรวงการท่องเที่ยวร่วมกับ 12
หน่วยประกาศสร้างความเชื่อมั่นการเดินทางท่องเที่ยวไทยตลอดเทศกาลปีใหม่
2567 ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา
ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะต่างชาติ
โดยเปิดโอกาสให้แต่ละหน่วยงานได้กล่าวถึงภารกิจด้านการบริการ
การดูแลอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวตลอดช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ซึ่งจะมีคนเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก
โดยมี 4 กระทรวงหลัก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข นำทั้ง 12 หน่วยงาน
ร่วมโครงการอย่างเต็มที่ ได้แก่ 1.สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
2.กรมการท่องเที่ยว 3.กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว 4.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
5.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 6.สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 7.กรมการขนส่งทางบก
8.กรมเจ้าท่า 9.ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
10.กรมการปกครอง 11. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 12. กระทรวงสาธารณสุข
จะนำภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวมาบูรณาการทำงานร่วมกัน
หน่วยงานไฮไลต์หลัก ๆ ประกอบด้วย
หน่วยงานแรก บริษัท ท่าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.”
นำเอาเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ดำเนินงาน เช่น ระบบเช็คอินด้วยตนเอง
ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ โดยจะพยายามอำนวยความสะดวกระบายผู้โดยสารตามคาดการณ์จะมีผู้ใช้บริการท่าอากาศยานหลักสุวรรณภูมิ
วันละมากถึง 150,000 คน
จากปัจจุบันวันละ 120,000
คน
หน่วยงานที่ 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเปิดใช้มาตรการวีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยว
พร้อมกับอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองให้นักเดินทางต่างชาติ ด้วยการเปิดใช้ระบบช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ
(Automatic Channel)
หน่วยงานที่
3 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว วางระบบการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย
(แบบตรวจมาตรฐานด้านความปลอดภัย โครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง S.T.C. พร้อมกับจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวโดยประสานการปฏิบัติกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีความพร้อมทั้งเครื่องมือและอัตรากำลังทุกพื้นที่
เพื่อสร้างความอบอุ่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการประสานงานของหน่วยงานต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่พร้อมเป็นผู้ประสานงานกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ
อุบัติเหตุอุบัติภัยหรือการก่อการร้าย
หน่วยงานที่ 4 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) วางแผนด้านสื่อสารผ่านแคมเปญ “Thais Always Care หรือคนไทยใส่ใจเสมอ”
จัดทำคอนเทนต์นำเสนอเนื้อหาข้อมูลข่าวสารที่ดีของประเทศไทยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กระจายช่องทางสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลความปลอดภัย
ความพร้อมเรื่องการให้บริการของเจ้าหน้าที่
การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและมาตรฐานของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่วนด้านการประชาสัมพันธ์จะทำเชิงรุกนำเสนอความสวยงามของประเทศไทย
สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวโดยจัดทำในรูปแบบคอนเทนต์โดย KOLs
ต่างชาติ เผยแพร่ในแพลตฟอร์มชั้นนำ เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่างชาติ
โดยเฉพาะตลาดหลักกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน
หน่วยที่ 5 กรมการขนส่งทางบก
จัดทำมาตรการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ถูกรถโดยสารสาธารณะหรือแท็กซี่เอารัดเอาเปรียบ จะต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
หน่วยงานที่
6 กรมเจ้าท่าได้ปรับปรุงท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา
เข้มงวดให้เรือทุกลำต้องมีทะเบียนเรือและผ่านการตรวจสภาพความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่า รวมถึงท่าเรือทุกแห่งจะต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยพร้อมรับผู้โดยสาร
จัดชุดเฉพาะกิจออกตรวจความปลอดภัยโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยต่าง ๆ
ติดตั้งระบบควบคุมสถานีเรือ smart pier ตลอดจนพัฒนาเส้นทางเดินเรือในคลองเชื่อมต่อ
การเดินทางจากแม่น้ำเจ้าพระยาสู่ลำคลองต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
โดยจับมือกับสำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย
(สกชย.) และหน่วยงานต่าง ๆ ทำแผนความร่วมมือ (Plan For Cooperation) พร้อมให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทางทะเล
ตามมาตรฐานที่องค์การระหว่างประเทศ (IMO) กําหนด
หน่วยงานที่
7 กรมการปกครองกำชับเจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยด้านกฎระเบียบต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการขยายระยะเวลาเปิดสถานบริการ ผับ บาร์
สถานบริการความบันเทิงในพื้นที่โซนนิ่งตามกฎหมายและนโยบายรัฐบาลได้จนถึงตี 4 ทั้งในกรุงเทพฯ
และจังหวัดท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้จากต่างชาติเป็นหลัก
หน่วยงานที่ 8 กรมการท่องเที่ยว
ตรวจตราเรื่องการดำเนินธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรออกตรวจติดตามการประกอบธุรกิจนำเที่ยว
ที่ไม่ได้รับอนุญาต หาวิธีป้องกันธุรกิจนอมินี (ตัวแทนอำพราง)
ดำเนินการตรวจปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวที่มีใบอนุญาตถูกต้องให้บริการนักท่องเที่ยวโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและให้บริการอย่างมีมาตรฐาน
หน่วยงานที่
9 สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทีมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว
(Tourist Assistance Center :TAC) ประจำศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั่วประเทศทั้งหมด
17 แห่ง ศูนย์ประสานงาน 61 แห่ง รวมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 246
คน ควบคู่ช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ประสบเหตุบาดเจ็บและเสียชีวิต
หน่วยงานที่
10 กระทรวงสาธารณสุขจะร่วมดูแลกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุฉุกเฉินต่าง
ๆ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลและการส่งต่อให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวที่
5 บางจากร่วมมอบรางวัลปลอดภัยของIESGส่งท้ายปี66
นางกัณฑมาศ
กฤตยานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในฐานะนายกสมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน
(Oil Industry
Environmental Safety Group Association : IESG) สมัชชาสมาคมฯ และกรรมการบริหารสมาคมฯ ร่วมกับ ดร.มนพร เจริญศรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานพิธี และนายสรพันธ์ คุณากรวงศ์
ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายวุฒิทัต ตันติเวส
รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน มอบรางวัลดีเด่นด้านความปลอดภัย (Safety Awards) ประจำปี 2566
ให้เรือบรรทุกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผู้ประกอบการรถขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
และพนักงานขับรถขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
เพื่อส่งเสริมและเป็นแรงผลักดันให้ผู้ที่ได้รับรางวัลพัฒนาเพิ่มความรู้ความสามารถด้านการบริหารจัดการความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานพร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการขนส่งของประเทศไทยสู่มาตรฐานสากล
ปี 2566 มีผู้ได้รับรางวัลรวม 117 รางวัล จาก 3
ประเภท คือ 1) เรือบรรทุกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดีเด่น 30 ลำ แบ่งเป็น
1.เรือบรรทุกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดีเด่น 3
ปีต่อเนื่อง (ปี 2564 – 2566) จำนวน 4 ลำ
เรือบรรทุกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดีเด่นประจำปี 2566 จำนวน 26 ลำ
2.
ผู้ประกอบการรถขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดีเด่น จำนวน 8 ราย
3.พนักงานขับรถขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดีเด่น
จำนวน 79 ราย
ขณะที่ล่าสุดโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง
ได้รับรางวัล Thailand Energy Awards 2023 ในฐานะผู้ได้รับรางวัลดีเด่น
“ด้านพลังงานสร้างสรรค์” เดินหน้าสู่ การอนุรักษ์พลังงาน
และพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัล Thailand Energy
Awards 2023 รางวัลดีเด่น
ด้านพลังงานสร้างสรรค์ (กลุ่มทั่วไป) จากผลงาน
“ลดพลังงานเตาปฏิกรณ์หน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันแนฟทาชนิดเบาที่ 2 โดยการบูรณาการสภาวะและอุปกรณ์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง”
โดย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้มอบรางวัล Thailand
Energy Awards 2023 และ นายณพงศ์ เฟื่องฟูพงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายเทคนิคพัฒนาโรงกลั่น
บมจ.บางจากฯ เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับมอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ช่วงที่ 2 เตรียมวางโปรแกรมพักผ่อนปีใหม่ ชวนไปเช็คอิน “สวดมนต์ข้ามปี” ที่เมืองเก่า
“จังหวันน่าน” เปิด 9 วัดดัง เสริมมงคล บรรดาสายธรรม สายมู
ห้ามพลาด แล้วมาดู “3วิธีรับมือคนไทยป่วยสุขภาพจิต”
และข่าวเด่น ๆ ข่าวแรก “AWCทุ่ม2พันล้านผู้นำ
Co-Living” ดึงทั่วโลกเข้าไทย ข่าวที่สอง “OAG เปิดโพลล์เส้นทางบินแชมป์โลก” ไทยติดอันดับ 9 และ10
ท่องเที่ยว
–น่านเปิดเมืองเก่ากว่า600ปีชวนสวดมนต์ปีใหม่9วัดดัง
ได้เวลาสายมู
สายบุญ สายธรรม ต้องเช็คพิกัด “สวดมนต์ข้ามปี” เปิดปฏิทินท่องเที่ยวไปที่ “จังหวัดน่าน” 9 วัดดัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ชวนร่วมประเพณีเก่าแก่จุดเทียนประทีป สะเดาะเคราะห์ เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต
เริ่มต้นปีพุทธศักราชใหม่ 2567 ตามวัดเก่าแก่สถานที่สำคัญทางศาสนาซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
นำโดยวัดหลวงกลางเวียงกับวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อำเภอเมืองน่าน ได้ทุกวัน
18.00 - 20.00 น.นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์เมืองเก่าในบรรยากาศชีวิตยามค่ำคืน ไปพร้อมการบูชาโคม ไหว้สาพระธาตุ พระวิหารหลวง และหอคำ บูชาเทียนสะเดาะเคราะห์ สืบชาตา รับโชค
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ต่อเนื่องการเดินทางไหว้พระ 9 วัด สัมผัส วิถี ประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงามของชาวน่าน เสริมสิริมงคลและความก้าวหน้าในชีวิต ตามความเชื่อของคนในท้องถิ่นหากได้ขอพรใดแล้วอานิสงฆ์ของการไหว้พระจะดลบันดาลให้สมประสงค์ได้
ททท.และชาวเมืองน่านจึงได้จัดกิจกรรมเชิญชวนพุทธศาสนิกชนมาเฉลิมฉลองปีใหม่สร้างมงคลให้ชีวิตกับทริปไหว้พระตามคติความเชื่อและพลังศรัทธา
9 วัด เพิ่มความก้าวหน้า ความมั่นคงในชีวิต ทรัพย์สิน ชื่อเสียงและเสน่ห์ที่งดงาม
ประกอบด้วย
1.วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุเจดีย์คู่เมืองน่าน 2.วัดสวนตาล กราบนมัสการพระเจ้าทองทิพย์ ทิพย์แห่งทอง 3.วัดหัวข่วง มีหอไตรเป็นเอกลักษณ์ช่างฝีมือชาวน่าน 4.วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร วัดหลวงตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมือง 5.วัดภูมินทร์ ศูนย์รวมสถาปัตยกรรมล้ำค่าหาชมได้ยาก 6.วัดพญาภู
มีพระคู่งามปางลีลาค่าควรเมืองน่านโดดเด่นงดงาม
7.วัดมิ่งเมือง ทำให้เกิดมิ่งมงคลแห่งชีวิต 8.วัดพญาวัด ไดชื่อว่าวัดเป็นใหญ่แห่งวัด และ 9.วัดพระธาตุเขาน้อย
โบราณสถาน อายุกว่า 600 ปี
สำหรับ “วัดพระธาตุแช่แห้ง” ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ในอำเภอภูเพียง เชิญชวนนักท่องเที่ยวเช็คอิน ถ่ายภาพยามค่ำคืน โดยได้ลงทุนประดับไฟระยิบระยับสวยงาม
ไว้ตรงบริเวณลานโพธิ์ ด้านหน้าพระอารามหลวง กับซุ้ม
“ยันต์ฉัพพรรณรังสี บทสวดมนต์” เตรียมเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวร่วมพิธีสำคัญสวดมนต์ข้ามปี
2567 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2566 -1 มกราคม 2567
แล้ว ททท.สำนักงานน่าน
ยังเชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมกิจกรรมดี ๆ กับ "แอ่วน่าน นุ่งซิ่น" และ
"Weekday เสน่ห์น่าน" สามารถรับของที่ระลึกได้ทันที "แม่ญิงน่านนุ่งซิ่น" ชุด Limited Edition
คอลเลคชั่นสุด Cute หรือแสนน่ารัก
ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าของที่ระลึกจะหมด
ให้นักท่องเที่ยวรับได้คนละ 1
ชุด ติดต่อรับของที่ระลึกได้ที่ ททท.น่านระหว่างวันจันทร์ - ศุกร์ 08.30-16.30 น. หรือส่งผ่านกล่องข้อความของ
ททท.เพื่อให้ทางสำนักงานจัดส่งของที่ระลึกทางไปรษณีย์ก็ได้ด้วย
สุขภาพ
–สธ.แนะคนไทยใช้3วิธีทางเลือกรับมือปัญหาสุขภาพจิต
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดข้อมูลปัจจุบันไทยพบคนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงขึ้นทุกปี
ทางคลินิกจิตเวชและยาเสพติด แสดงผลปี 2565 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาสุขภาพจิตแบบผู้ป่วยนอก
22,481 ราย ส่วนใหญ่จากอาการ โรคจิต ซึมเศร้า วิตกกังวล เปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้วมีจำนวนน้อยเลย
เรื่องสำคัญจึง ต้องให้ความรู้
การส่งเสริม ป้องกัน เพื่อเข้ารับการดูแลรักษาสุขภาพจิตใจจำเป็นต้องมีภาคประชาสังคม
รวมถึงประชาชน ร่วมมือด้วย
ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โฆษกกรมสุขภาพจิต
กระทรวงสาธารณสุข ช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตในระบบเพิ่มสูงขึ้น
2 เท่า คาดจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะคนมีความรู้และเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่จะต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
ตอนนี้สิ่งที่ “น่าเป็นห่วง” คือ ทุกคนเข้าใจว่าอันดับแรกจะต้องเข้าไปหาจิตแพทย์ ทำให้เกิดภาวะคอขวด
เพราะจำนวนจิตแพทย์ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ขณะนี้สัดส่วนจิตแพทย์ในไทยมีราว 1.25
คน ต่อประชากร 100,000 คน ต่ำกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด นั่นคือ
อย่างต่ำควรมีจิตแพทย์ 1.7 คน ต่อ ประชากร 100,000 คน สถานการณ์จิตแพทย์ของไทยและอาเซียนใกล้เคียงกันมาก
ในอดีตการศึกษาเฉพาะทางด้วยจิตแพทย์ไทยเป็นสาขาที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก
แม้ปัจจุบันมีผู้สนใจเรียนมากขึ้น แต่ก็ยังขาดแคลนอาจารย์ผู้สอนอยู่ดี
สิ่งจำเป็นที่ต้องทำคือ
ต้องสร้างความเข้าใจในสังคมไทย เพื่อเลือกใช้วิธีป้องกันและดูแลสุขภาพจิต
วิธีที่ 1 ถ้ามีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ถึงขั้นป่วยเป็นโรคทางจิตเวช
อาจจะยังไม่ต้องไปพบจิตแพทย์ได้ แต่ให้ไปเข้ารับการปรึกษาระดับอื่น ๆ
เช่น การปรึกษาอาสาสมัคร ปรึกษาคนใกล้ตัว ปรึกษาคนที่รับฟังเรา
วิธีที่ 2 ขยับไปพบนักจิตวิทยาการปรึกษา
นักจิตวิทยาคลินิก เพราะหากอาการเข้าขั้นจิตเวชก็จะมีการส่งต่อไปยังจิตแพทย์
ถ้าทำอย่างนี้ได้บุคลากรก็จะเพียงพอ
วิธีที่ 3 กรมสุขภาพจิตพยายามขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องคือ
การส่งเสริม ป้องกัน ก่อนที่จะเกิดการเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต เช่น
เครื่องมือประเมินสุขภาพใจเบื้องต้น MENTAL HEALTH CHECK IN
การรักษาสุขภาพจิตอยู่ในทุกสิทธิการรักษาของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็น 30 บาท สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ
แต่จิตแพทย์ไม่ได้มีประจำในทุกโรงพยาบาล การไปรักษา Wต้องมีใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัดW
ทำให้คนเกิดความยุ่งยาก ทำให้บางคนเลือกที่จะไปหาจิตแพทย์เอกชนที่คิวน้อยกว่า
ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงนั่นเอง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
–AWCเปิดเทรนด์ผู้นำCo-Livingดึงตลาดโลกแห่เข้าไทย
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) “AWC” เปิดเผยว่า เดินหน้าเปิดตัวการลงทุนรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท พัฒนาจุดขายเทรนด์ใหม่แห่งแรกของเมืองไทย The Ingreted
Lifestlyes โครงการ “The Empire Residence” ภายใต้คอนเซ็ปต์
Co-Living Collective :
Empower Future เป็นผู้นำเทรนด์ไลฟ์สไตล์ใหม่แห่งแรกในเมืองไทยโดยได้บูรณาการบริการใช้ชีวิต
รูปแบบใหม่หลอมรวมประสบการณ์ทั้งบ้าน ที่พักอาศัย ออฟฟิศ โรงแรม ร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังต่าง
ๆ มาไว้ภายใต้หลังคาเดียวกันตามรูปแบบ Live, Play, Share, Work
ทาง AWC ดีไซน์พื้นที่รวมกว่า 39,000
ตารางเมตร (ตร.ม.) เริ่มตั้งแต่ชั้น G, M, 10,
11, 53 รูฟทอปชั้น 55-60
ตั้งเป้าดึงดูดลูกค้าตลาดกลุ่มองค์กร บริษัทขนาดใหญ่ต่างประเทศทั่วโลก
นำเงินเข้ามาใช้เพิ่มขึ้นสร้างรายได้เชิงมูลค่าสูง
และพักเฉลี่ยนานวันขึ้นยกระดับให้ไทยเป็นประเทศจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวผสมผสานออฟฟิศไลฟ์สไตล์ครบวงจร
ซึ่งปัจจุบันและอนาคตกระแสตอบรับของตลาดจากผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่นานาชาติยุคใหม่
มักจะถามถึงบริการของสถานที่จะมาเช่าทำสำนักงานต้องการอาคารที่ตอบโจทย์การสร้างพลังให้พนักงาน
(workforce) ส่วนปัจจัยลบด้านหลักคือ “ตลาดไม่เติบโต”
ในเมืองไทยอยู่ในสถานการณ์ที่จะดึงลูกค้ากันเอง
เอกชนประเมินภาพใหญ่ต้องการให้รัฐบาลไทยมีนโยบายให้ขับเคลื่อนมาตรการภาษีเป็นแรงจูงใจ
โดยเฉพาะการดึงต่างชาติมาเปิดในไทยต้องแข่งขันกันด้วยภาษี
ส่วนการนำพนักงานต่างชาติเข้ามาทำงานออฟฟิศด้วยก็จะเป็นเรื่องยกเว้นวีซ่าการทำงาน
(work permit)
ขณะนี้อาคารเอ็มไพร์ กรุงเทพฯ
เดินหน้าพัฒนาบริการเทรนด์ใหม่ โครงการ “The Empire Residence” ภายใต้คอนเซ็ปต์
Co-Living Collective : Empower Future
มุ่งรองรับกำลังซื้อหลักกลุ่มผู้เช่าสำนักงานในอาคารเอ็มไพร์กรุงเทพฯ
มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60 % ซึ่งจะเป็นโมเดลต้นแบบการทำงานสามารถใช้บริการฟรีสถานที่ผ่อนคลาย
(Workation)
ซึ่งจะสามารถปลุกกระแสให้เป็นจุดหมายปลายทางการสถานที่ทำงานของตลาดทั่วโลก (Workplace
destination) ในอนาคต
ด้วยบริการไฮไลต์ไลฟ์สไตล์ใหม่ใน “The Empire
Residence” บนชั้น 53อาคารเอ็มไพร์ กรุงเทพฯ ขณะนี้มีพื้นที่ Co-Living
กว่า 1,500 ตร.ม. ขนาดใหญ่แตกต่างจากอุตสาหกรรมอาคารสำนักงานในไทยพร้อมวิวกรุงเทพฯ
มุมสูงสวยงาม ที่เปิดโอกาสให้ผู้เช่าทุกรายใช้บริการฟรี ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เทรนด์การใช้ชีวิตและทำงานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ด้วยพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัยด้วยองค์ประกอบที่นำมารวมกันไว้ในที่เดียวเพื่อการใช้ชีวิต
4 ส่วนหลัก ได้แก่
ส่วนที่ 1 Live -Ploen Room พื้นที่เอนกประสงค์ทุกคนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกิจกรรมต่าง
ๆ ทั้งการแสดงสินค้า โรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ห้องซ้อมเต้น และ “Eatery Bar” พื้นที่รับประทานอาหาร มีห้องครัวส่วนกลาง ที่ทุกคนสามารถมาแบ่งปันช่วงเวลาดี
ๆ ร่วมกันได้ และเติมเต็มชั่วโมงความสุขหลังเลิกงานตรงบริเวณ “Drink Bar” ชมวิวคุ้งน้ำบางกระเจ้ายามเย็น และ “Live Lounge” พื้นที่เลานจ์สังสรรค์ในบรรยากาศห้องนั่งเล่นเพื่อการพักผ่อน
ส่วนที่
2 Play –Karaoke Room บริการห้องคาราโอเกะแลเกมรูม เป็นพื้นที่ผ่อนคลาย พักผ่อน
ด้วยเสียงดนตรี สนุกสนานกับความบันเทิงของเครื่องเล่นวิดีโอเกม รวมถึงกิจกรรมสันทนาการ
และร่วมงาน “Kids’ Room” พื้นที่ความสนุกให้คุณหนูๆ กับครอบครัว
ที่ผู้ปกครองพาลูกมาพักผ่อนนั่งรอหลังเลิกเรียนได้อย่างไร้กังวล ต่อด้วย “Own
Time” ห้องโยคะและฝึกสมาธิ ห้อง “Pets’ Room
& Pets’ Bedroom” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสัตว์เลี้ยงแสนรัก มีที่นั่ง
อ่างน้ำ เฟอร์นิเจอร์ และพื้นที่วิ่งเล่นให้สัตว์เลี้ยงวิ่งเล่นได้
ส่วนที่ 3 Share –Mini Gym พื้นที่ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอบนลู่วิ่งอินเทอร์แอคทีฟเพื่อคนรักสุขภาพ
กับ “Nap Lounge” เลานจ์ เพื่อการพักผ่อนเงียบสงบชาร์จพลังระหว่างวัน
“Gents’ Room & Girls’ Room” ห้องล็อคเกอร์แยกชาย หญิง สามารถอาบน้ำด้วยเทคโนโลยีวารีบำบัดเพิ่มความสดชื่น
หรือจะใช้ห้องซาวน่า และห้องสตีม หรืออบไอน้ำ ก็ได้
ส่วนที่ 4 Work – Sook Room, Sanook
Room, Saran Room & Mini Zone บริการห้องประชุมหลายขนาดตั้งแต่ห้องส่วนตัวขนาดเล็กไปจนถึงห้องประชุมขนาดใหญ่
เปิดให้จองล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน “Pikul” พื้นที่
“Team Zone” นำเสนอพื้นที่การทำงานยืดหยุ่นเสริมสร้างความร่วมมือร่วมกัน
หรือจะจัดสัมมนาก็ได้ และ “Peace Lounge” พื้นที่ทำงานเงียบสงบสะดวกสบายสร้างสรรชิ้นงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ตามแผนพัฒนาบริการภายในอาคารเอ็มไพร์เตรียมเปิด
“EA Rooftop at The
Empire” บริการอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอปใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ที่ชั้น 55-60 โดยจะมีทั้งหมด 3
ไฮไลต์ ได้แก่
ไฮไลต์ที่ 1 EA Gallery ชั้น
55 แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ร้านอาหารและคาเฟ่กับทัศนียภาพดีที่สุดในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม
2566 จะทยอยเปิดคาเฟ่และร้านอาหาร ไตรมาส
1 ปี 2567 พร้อมเปิดเต็มรูปแบบ
ไฮไลต์ที่ 2 EA CHEF'S
TABLE ชั้น 56 บริการห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกกับห้องอาหารจีนสูงที่สุดในไทย
โดยเชฟมิชลินสตาร์ อย่าง “เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร” กับเชฟวิคกี้ เชง
ไฮไลต์ที่ 3 Nobu Bangkok ชั้น
57-58 กับ Nobu Bangkok
Rooftop Bar ชั้น 60 บริการห้องอาหารและบาร์ภายใต้แบรนด์ Nobu สูงและใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในไทย
ภายในไตรมาส 3 ปี 2567 จะเข้ามาช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าและพนักงานภายในอาคารเอ็มไพร์ครบวงจร
นางวัลภา กล่าวว่า ปี 2567 จะนำโมเดลการลงทุนเซอร์วิส
ออฟฟิศ เพิ่มบริการประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ขยายในอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่อีก 4 แห่ง
พื้นที่ขายกว่า 270,000 ตารางเมตร
บริเวณถนนวิทยุ 2 ตึก
แอทธินี ทาวเวอร์ อาคาร 208
อินเตอร์ลิงค์บางนาซึ่งเป็นตึกขนาดใหญ่กำลังเตรียมแผนจะพัฒนาเป็นไลฟ์สไตล์ออฟฟิศ
และเอ็มไพร์แห่งนี้ เพราะจากผลสำรวจและวิจัยทำให้พบข้อดีและโอกาสที่จะนำบ้าน
โรงแรม ไลฟ์สไตล์ มาไว้ในที่เดียวกัน สามารถขยายวันพักได้นานวันมากขึ้นอย่างชัดเจน
และสามารถต่อยอดกลุ่มกำลังซื้อสูง
เสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มทำงานได้ท่องเที่ยวและพักผ่อนได้ด้วย
และที่จะช่วยทำให้ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในสถานที่ทำงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
โดยตอบโจทย์ผู้บริหาร พนักงาน
และผู้เช่าทุกรายอย่างเต็มประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตทำงานและพักผ่อน
ขณะเดียวกันก็มีโรงแรมที่จะเดินหน้าการลงทุน
แมริออท สปา จอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งตามแผนการลงทุน 100,000 ล้านบาท
จะมีรวมทั้งหมด 56 โครงการ
ตามแผนเตรียมปรับปรุงอีกโครงการขนาดใหญ่คือ อินเตอร์ ลิงค์ บางนา
จะเพิ่มบริการฟู้ดเลาจน์ รายล้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่ม สามารถนั่งชีลพื้นที่นั่งเล่นสะดวกสบายโดดเด่นกว่าพื้นที่อื่น
ๆ
รวมถึงได้โปรโมตตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่พักยาวในไทยจึงนำเสนอเรสซิเดนท์กึ่งโรงแรม
ข่าวที่สอง
-OAGเปิดแชมป์เส้นทางบินโลกปี’66ไทยติดอันดับ9&10
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Global Airline Schedules Data ของ OAG ได้จัดทำผลสำรวจข้อมูลเส้นทางบินยอดนิยมทั่วโลกที่สายการบินนานาชาติมีปริมาณการจราจรทางอากาศโดยใช้เกณฑ์จำนวนที่นั่งให้บริการผู้โดยสารได้มากที่สุดในโลกประจำปี
2566 ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2566 พบว่ามีเส้นทางการบินระหว่างประเทศและภายในประเทศเปรียบเทียบปี
2566 กับปี 2562 (ก่อนเกิดโควิด) และปี
2565 (โควิดคลี่คลาย) พบแนวโน้ม “เส้นทางการบินระหว่างประเทศ”
ไป-กลับ ที่มีขนาดตลาดใหญ่สุดในเมืองหลักของแต่ละประเทศ ดังนี้
อันดับ 1 เส้นทางการบินระหว่างประเทศ
กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี (SIN) สิงคโปร์ มีจำนวนมากสุดถึง 4.9 ล้านที่นั่ง
อันดับ 2 กรุงไคโร (CAI) ประเทศอียิปต์ ไปยังเมืองเจดดาห์ (JED) ซาอุดิอาระเบีย จำนวน 4.8 ล้านที่นั่ง ห่างจากอันดับ1 เพียง 2 % เท่านั้น
อันดับ 3 ฮ่องกง (HKG)
ไปยังไทเป (TPE) ไต้หวัน จำนวน 4.6 ล้านที่นั่ง ลดลงกว่าปี 2562 ประมาณ 43%
อันดับ 4 อินชอน กรุงโซล (ICN) เกาหลีใต้ ไปยัง คันไซ โอซาก้า (KIX) ญี่ปุ่น จำนวน 4.2 ล้านที่นั่ง
อันดับ 5 อินชอน กรุงโซล (ICN) เกาหลีใต้ ไปยัง โตเกียว นาริตะ (NRT) ญี่ปุ่น จำนวน 4,15 ล้านที่นั่ง
อันดับ 6 ดูไบ (DXB) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไปยัง ริยาด (RUH) ซาอุดิอาระเบีย จำนวน 3.99 ล้านที่นั่ง
อันดับ 7 จาการ์ต้า อินโดนีเซีย (CGK) ไปยัง ชางยี สิงคโปร์ (SIN) จำนวน 3.91 ล้านที่นั่ง
อันดับ 8 นิวยอร์ก (JFK) สหรัฐอเมริกา ไปยัง ฮีทโธรว์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร (LHR) จำนวน 3.87 ล้านที่นั่ง
อันดับ 9 กรุงเทพฯ ประเทศไทย
(BKK) ไปยัง เจดดาห์ ซาอุดิอาระเบีย (JED) จำนวน 4.79 ล้านที่นั่ง
อันดับ 10 กรุงเทพฯ ประเทศไทย (BKK) ไป อินชอน กรุงโซล (ICN) เกาหลีใต้ จำนวน 3.36 ล้านที่นั่ง
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น