บิ๊กTCEBมอบของขวัญปีใหม่ธุรกิจไมซ์ทั่วไทยปี’67
ดึงตลาดอินเตอร์ไหลมาไทย-Korat Expo2024สดใส
เพิ่ม7MICE CityชูHighValueดันไทยนำโด่งเวียดนาม
คิงเพาเวอร์จัด5ความสนุกมหานครเฟสทีฟคาร์นิวัล
พูลแมนคิงเพาเวอร์ชวนมาคริสต์มาส/ปีใหม่ลด30%
บิ๊กททท.-ซาอุฯหารือแลกเที่ยวปี67เข้าไทยโต100%
บางจากโชว์ความสำเร็จสู่ปี40-ปี’67นำ5กลุ่มธุรกิจโต
บางจากร่วมSustainabilityForum2024แชร์Net Zero
เที่ยว“วัดไชยศรี”ขอนแก่นแดนธรรมตำนานสินไซ
รู้ทันน้ำตาลในผลไม้กินอย่างไรไม่เสี่ยงเบาหวาน
อวานีโฮเทลส์เปิดDollars for DeedsโรงแรมCSR
นกแอร์เริ่มรุกบินตรงภูเก็ต-เฉิงตูบูมทัวร์2ประเทศ
วันอาทิตย์ที่
17 ธันวาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #KoratExpo2029 #วัดไชยศรีขอนแก่น #สุขทันทีเที่ยวเมืองไทย
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/o_cntBW7AM/?mibextid=UyTHkb
ช่วงที่ 1 สัมภาษณ์ “จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา”
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” อุตสาหกรรมไมซ์เตรียมเฮ ปี 2567 ทีเส็บแจกของขวัญปีใหม่
2 อย่าง ดึงงานจัดในไทยเต็มเหนี่ยว มี.ค.ยกทีมโชว์ Country
Presentationดึงงานพืชสวนโลก Korat Expo 2029 จัดในโคราชปี’72 ขานรับซอฟท์ เพาเวอร์ ขยายเพิ่มทั่วไทยอีก 7 Mice
City บูมขายเทศกาลอินเตอร์ ชู Exibition พระเอกทำเงินตลอดกาล
และไม่รอเวียดนามไล่จี้เหยียบคันเร่งทำ High Value รุกตลาดไมซ์ใช้เงินสูงไหลเข้าเมืองไทย
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ทีเส็บขานรับนโยบายรัฐบาลมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยเพื่อกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการและสร้างเศรษฐกิจเข้าถึงคนไทยทั้งประเทศ
จึงจะเร่ง 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1
ดึงงานเข้ามาจัดในไทยให้มากที่สุด โดยได้เข้าไปร่วมอยู่ในคณะกรรมการซอฟท์ เพาเวอร์
แห่งชาติ ส่วนที่ 2 โครงการมอบของขวัญคนไทยปี
2567 โดยนายเศรษฐา
ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ลงนามหนังสือสนับสนุนเรียบร้อยแล้ว
ให้ทีเส็บพร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมประมูลสิทธิ์ดึงงานพืชสวนโลก Korat
Expo 2029 มาจัดที่อำเภอคง
จังหวัดนครราชสีมา ปี 2572
ประเทศไทยมีขั้นตอนเข้าร่วมประมูลสิทธิ์งาน
Korat Expo 2029 ภายใต้ธีม Nature
and Greenary เป็นการตอบโจทย์ความมั่นคงและอาหาร
การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งเจ้าภาพหลักจะเป็นทางกรมวิชาการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และทีเส็บ
จะเดินทางร่วมกันไปนำเสนอเพื่อดึงมาจัดในไทย
ตอนนี้มีความพร้อมทุกด้านที่จะทำในขั้นตอนแรก Country Presentation ต้นเดือนมีนาคม 2567 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส
ทางรัฐบาลไทยได้เตรียมงบประมาณตั้งแต่ชุดที่แล้วมาจนถึงชุดปัจจุบันสานต่อดึงงานใหญ่เข้าเมืองไทย
สำหรับข้อกำหนดของ
BIEF ประเทศที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด
Expo 2029
จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ 42 องค์กร ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา
พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายเอกชน กรมวิชาการเกษตร ทีเส็บ
จะต้องร่วมกันสร้างการรับรู้ให้กับภาคประชาชนในพื้นที่เตรียมจัดงานเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพการประมูลสิทธิ์
ซึ่งมีขนาดภารกิจใกล้เคียงกับการประมูลสิทธิ์ Phuket Expo 2028 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้
ขั้นตอนที่
2 เมื่อคณะประมูลสิทธิ์จัดงาน
Korat Expo 2029 เดินทางไปนำเสนอ
Country Presentation เดือนมีนาคม 2567
เรียบร้อยแล้ว จากนั้นอีกประมาณ 2-3
เดือน
ก็จะมีคณะกรรมการจัดงานพืชสวนโลกบินมาตรวจสถานที่จริงในเมืองไทย ทางหอการค้าไทย
สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กำลังวางแผนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเพราะเป็นหนึ่งในการเพิ่มคะแนนระหว่างการประมูลสิทธิ์ด้วย
สำหรับสถานที่
อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา
มีคอมเมนท์เรื่องระบบการขนส่งสาธารณะด้วยรถไฟความเร็วสูง
ซึ่งยังมีเวลาเตรียมวางระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เรียบร้อยแล้วอีกประมาณ 2-3 ปี
ส่วนระดับนานาชาติและระดับโลกมีงานเทศกาลอีกหลายรายการที่ทางทีเส็บได้เสนอกับทางคณะกรรมการ
ซอฟท์ เพาเวอร์ ไปเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งงานที่รัฐบาลมอบหมาย
และภายในประเทศก็พร้อมขานรับการร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรองหรือเมืองที่มีศักยภาพในรายชื่อ
55 จังหวัด
ปัจจุบันทีเส็บจัดทำ MICE CITY ไว้แล้ว
10 จังหวัด ซึ่งมีเกณฑ์ชี้วัดศักยภาพ
3 เรื่อง ได้แก่
1.โครงสร้างพื้นฐาน
คมนาคม สถานที่จัดงานแต่ละพื้นที่ 2.ซอฟท์แวร์ด้านบุคลากร ออร์กาไนเซอร์ 3.องค์ความรู้โดดเด่นเป็นสากล
ซึ่งบางเมืองไมซ์อาจจะพร้อมจัดงานแต่ละประเภทแตกต่างกันไป
กำหนดจะประเมินเมืองไมซ์ทุก ๆ 3 ปี
ปี 2567
ทีเส็บเตรียมขยายเพิ่มอีก 7-9
จังหวัด เช่น “ภาคกลาง”
จังหวัดเพชรบุรี โดดเด่นเรื่องเมืองอาหาร จังหวัดกาญจนบุรี
เมืองที่โดดเด่นด้านอัตลักษณ์จัดงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว พยายามจะดึงเทศกาลต่าง ๆ
เข้าไปจัดเพิ่มเติม “ภาคเหนือ” จังหวัดเชียงราย “ภาคอีสาน” จังหวัดอุบลราชธานี
ภาคใต้ จังหวัดกระบี่ โดยยังคงยึดพื้นที่หลักเป็นศูนย์กลาง 5 เมืองไมซ์ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต
ขอนแก่น สงขลา พ่วงเข้ากับการดึงงานเทศกาลแล้วกระจายไปยังพื้นที่เชื่อมโยงต่าง ๆ
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
สถานการณ์ตลาดไมซ์ปี 2567 การจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ
หรือ E :Exhibition ยังคงเป็นผู้นำรายได้
โดยจะมีงานใหม่ ๆ เข้ามาจำนวนมาก
กำลังประมูลสิทธิ์งานพลังงานระดับนานาชาติมาจัดในไทย
แต่ละงานมีผู้เข้าร่วมครั้งละไม่ต่ำกว่า 10,000 คนขึ้นไป
ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกส่งผลดีให้ไทยกลายเป็น “ศูนย์กลางประเทศจัดงานนิทรรศการแสดงสินค้า”
ปัจจุบันมีคู่แข่งอย่างฮ่องกงถึงขั้นประกาศนโยบายให้พื้นที่ฟรีในการจัดงานขนาดใหญ่
แต่ผู้จัดงานก็จะต้องดูเรื่องหลัก ได้แก่ 1.ความต้องการของลูกค้า 2.ความพร้อมของพื้นที่จัดงาน
ซึ่งไทยยังเป็นประเทศที่อยู่ในเป้าหมายปลายทางหลักตลาดไมซ์นานาชาติ
ผนวกกับมีวิจัยไมซ์ล่าสุดปี
2567 ถึงแม้ตัวเลขที่ปรากฎจะมีสัญญาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลือกไปเวียดนามมากกว่า
แต่อุตสาหกรรมไมซ์เมืองไทยยังครองใจลูกค้า
เปรียบเทียบแล้วไทยมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานด้านไมซ์ดีกว่า
ปี 2567 ทีเส็บจึงใช้คอนเซ็ปต์กระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วย
High Value Added
สามารถใช้ศักยภาพดึงดูดตลาดมาใช้จ่ายเงินได้สูงกว่าทั่วไป
รวมทั้งไทยมีอัตลักษณ์เด่นชัด อย่าง อาหารก็จัดได้ตั้งแต่สตรีทฟู้ดจนถึงมิชลิน
สร้างมูลค่าและคุณค่าทางวัฒนธรรมเป็นเสน่ห์ ผนวกกับความพร้อมจุดแข็งอีกหลายด้าน
แต่ตอนนี้เวียดนามจึงใช้กลยุทธ์สู้ด้วยความคุ้มค่าเงินหรือ Value for Money
แต่ต่อไปเวียดนามพยายามวิ่งไล่ให้ทันไทย
นายจิรุตถ์กล่าวว่า
ปัจจุบันและอนาคตการขยายรายได้ตลาดไมซ์ทีเส็บกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ต้องร่วมมือกันเพื่อผนวกจุดแข็งให้เป็นจุดขายที่โดดเด่นมากขึ้น
เพราะกลุ่มกำลังซื้อทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศเป็นกลุ่ม Gen Y และ Z
ดังนั้นต้องร่วมกันตอบโจทย์ความต้องการหลักเรื่องประสบการณ์ใหม่ที่สร้างคุณค่าของสินค้ากับมูลค่าการใช้จ่ายเงินกระจายไปยังกลุ่มธุรกิจในแต่ละพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพชัดเจน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์จัด5ความสนุกมหานครเฟสทีฟคาร์นิวัล
คิง
เพาเวอร์ มหานคร ชวนสัมผัสประสบการณ์เฉลิมฉลองเทศกาลส่งความสุขแห่งปี ในงาน “มหานคร
เฟสทีฟ คาร์นิวัล : Mahanakhon
Festive Carnival” ร่วมสนุกสนาน รื่นเริงตลอดวันหยุดตั้งแต่ศุกร์ที่
15 ธันวาคม 2566 – จันทร์ที่ 1
มกราคม 2567
ไฮไลต์งานMahanakhon Festive Carnival ชวนร่วมสนุก ตั้งแต่วันนี้ - วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567
1.กิจกรรมความสุขครบจบที่เดียวต่อเนื่องตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงต้อนรับปีใหม่
2567 ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 เกมแสนสนุก – มหานคร สแควร์
จะเต็มไปด้วยเกมสุดตื่นเต้นและสร้างเสียงหัวเราะพร้อมลุ้นรางวัลพิเศษต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น ยิงปืนลม โยนห่วง ขว้างลูกบอล และบิงโก ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
ก็สามารถมาปล่อยพลังกันได้อย่างเต็มที่
กิจกรรมที่ 2 ฟู้ดทรัค – พบกับอาหารรสเลิศที่พร้อมบรรทุความอร่อยมาเสิร์ฟให้คุณ
พบกับไฮไลท์เมนูต่างๆ อาทิ มินิพิซซ่าแสนอร่อย บั๋นหมี่ แซนวิชเวียดนาม
ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ และอีกมากมาย
กิจกรรมที่ 3 Live
Band วงดนตรีสดในทุกคืนวันศุกร์ (15, 22 และ 29
ธันวาคม 2566) – มาเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงจากวงดนตรี
ที่จะมาขับกล่อมและสร้างสีสัน และเพิ่มบรรยากาศการเฉลิมฉลองให้กับทุกท่าน
ตั้งแต่เวลา 17.00 – 21.00 น.
วันศุกร์ที่ 22 พบกับ วง All About Music ศุกร์ที่ 29 พบกับ วง Oneday และLive DJ ดีเจในวันเสาร์และวันอาทิตย์
– สนุกทุกบีทไปกับดีเจชั้นนำ ที่จะมาสร้างบรรยากาศสุดมันส์ ตั้งแต่เวลา 17.00
– 21.00 น.
2.จุดชมวิวภายในอาคาร
ชั้น 74 และมหานคร สกายวอล์ค ชั้น 78
พบกับต้นคริสต์มาสสูง 5 เมตรที่ประดับประดาด้วยเครื่องประดับ
ที่สายถ่ายรูปห้ามพลาด ที่จุดชมวิวภายในอาคาร ชั้น 74 พร้อมให้คุณได้บันทึกความทรงจำแบบ
360 องศา ชมพระอาทิตย์ตก ณ
จุดชมวิวกรุงเทพที่สูงที่สุดในประเทศไทย ที่ ชั้น 78
3.วันคริสต์มาสอีฟและวันคริสต์มาสในวันอาทิตย์ที่
24 – วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2566
เพลิดเพลินกับเสียงเพลงอันไพเราะจากดนตรีสด
ขับกล่อมค่ำคืนอันอบอุ่นด้วยเสียงเพลงคริสต์มาสจากคณะประสานเสียง
พร้อมร่วมรับของขวัญพิเศษกับคุณลุงซานตาคลอส และอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เวลา 16.00 เป็นต้นไป ทางซานต้าเดินสายส่งความสุข
ดังนี้
เริ่ม เวลา 16.00 – 16.45 น. ชั้น
78 มหานคร สกายวอล์ค ค่าเข้าชมท่านละ 1,300 บาท
เวลา 17.00 – 17.45 น. มหานคร อีทเทอรี่ (หน้าร้าน Other
Café) เวลา 18.00 – 18.45 น. มหานคร สแควร์
4.ชมแสงพระอาทิตย์ตกดินสุดท้ายแห่งปี
ร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2023
ดื่มด่ำไปกับวันสิ้นปีกับแสงพระอาทิตย์ครั้งสุดท้ายของปี
2566
ที่มหานคร สกายวอล์ค ชั้น 78 พร้อมวงดนตรีสด นำโดย คุณไข่มุก (Kaimook J.) ตั้งแต่เวลา
17.00 - 18.30 น. ราคาคนละ 2,400 บาท
เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 16.00 – 19.00 น.
5.ต้อนรับวันปีใหม่ในวันจันทร์ที่
1 มกราคม 2567
ต้อนรับปีใหม่ด้วยความมันส์กับการแสดงสดสุดอลังการโดยคุณทอม
อิศรา นักร้องชื่อดังชาวไทยที่ใครๆ ก็หลงรัก เป็นที่รู้จักจากการคว้าแชมป์รายการ The Mask Singer ซีซั่นแรกในประเทศไทย
ตั้งแต่เวลา 17.00 – 18.30 น. ที่ มหานคร สกายวอล์ค
ชั้น 78 ในราคาท่านละ 2,400 บาท สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 16.00 – 19.00 น.
มาร่วมงาน "Mahanakhon Festive
Carnival" เพลิดเพลินไปกับความมหัศจรรย์แห่งเทศกาลวันหยุดที่
คิง เพาเวอร์ มหานคร
ทำให้เทศกาลเฉลิมฉลองของคุณพิเศษยิ่งขึ้นร่วมกับทุกคนในครอบครัว เพื่อนฝูง
และคนที่คุณรัก มีภาพจำที่ดีไปด้วยกัน
ข่าวที่ 2 พูลแมนคิงเพาเวอร์ชวนคริสต์มาส/ปีใหม่ลด30%
“โรงแรมพูลแมน
คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ)”
นิยามแห่งความสุขให้ทุกคนและครอบครัวได้รับประสบการณ์ความสุขช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่อันน่าจดจำ
จองภายในวันที่ 17 ธันวาคม 2566 รับส่วนลดสูงสุด 30%
ชวนกันมารับรประทานอาหารหลายมื้อที่ห้องอาหารขึ้นชื่อของโรงแรมนำโดย
ห้องแรก
“ควิซีน อันปลั๊ก” เสิร์ฟบุฟเฟต์มื้อพิเศษประจำเทศกาล
อบอวลกลิ่นอายความสุขในวันคริสต์มาสอีฟ และวันคริสต์มาส
สร้างสรรค์อย่างดีเยี่ยมเพื่อต้อนรับคุณด้วยรายการอาหารแห่งการสังสรรค์ที่ดีที่สุดแห่งปี
วันคริสต์มาส อีฟ : 24 ธันวาคม 2566 เฟสทีฟ บรันช์ บุฟเฟต์นานาชาติ วันคริสต์มาส
อีฟ มื้อกลางวัน 12.00-15.00 น.
คนละ 2,590 บาทสุทธิ มื้อค่ำ 18.00 – 22.30 น.คนละ 2,990 บาทสุทธิ |
วันคริสต์มาส
: 25 ธันวาคม 2566 เฟสทีฟ บรันช์ บุฟเฟต์นานาชาติ มื้อกลางวัน
12.00-15.00 น.
คนละ 2,590 บาทสุทธิ มื้อค่ำ 18.00 – 22.30 น. คนละ 2,990 บาทสุทธิ
ห้องที่
2 “เท็นโกะ”
อลังการกับ “โอมากาเสะพิเศษ 25 รายการ”
เคล้ากลิ่นอายเทศกาลแบบตะวันตก ภารกิจนี้ “เชฟไดสุเกะ นิชิมูระ” จะสรรสร้างสรรเทศกาลตะวันตกผสานความชำนาญอาหารตะวันออกให้ทุกคนได้เพลิดเพลินเต็มที่
ท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมในบรรยากาศสวนสวยประดับตกแต่งราวกับจำลองเทศกาลรื่นเริงของญี่ปุ่น
พิเศษ!! “วันคริสต์มาส” วันที่ 25 ธันวาคม 2566 เชฟไดสุเกะ นิชิมูระ พร้อมเนรมิตสุดโอมากาเสะ
จัดเตรียมไว้ให้บริการมื้อกลางวันและมื้อค่ำ
ระหว่าง 20-25 ธันวาคม 2566 ราคาละ 6,990 บาทสุทธิ
ห้องที่
3 “เท็นชิโนะ” ควงกันมาฉลองมื้อโปรดกับครอบครัว
ดื่มด่ำชุดอาหารพิเศษตำรับญี่ปุ่นฝรั่งเศส ร่วมดื่มด่ำกับสีสันเฉลิมฉลองของกรุงโตเกียวและปารีส
ผ่านชุดอาหารพิเศษโดย “เชฟแพน-ขวัญชนก ศรีธาวัชร”
ตั้งใจรังสรรค์เพื่อนำเสนอรสชาติและรสสัมผัสตามความนิยมสองเมือง การันตีความอร่อยเชิงศิลป์แสนเพลินแบบไม่ซ้ำใคร
ให้ได้ลิ้มลองในวันคริสต์มาส อีฟ : 24 ธันวาคม 2566 เสิร์ฟชุดอาหารพิเศษเมนูแบ่งปันรับประทานได้
2 คน ราคาคนละ 2,900 บาทสุทธิ
ห้องที่ 4
“เดอะ จังก์ชั่น” ชวนมาจิบชายามบ่ายต้อนรับคริสต์มาส
ด้วยการนำเสนอธรรมเนียมฉลองเทศกาลแห่งความสุขผ่านชุดน้ำชายามบ่ายสุดพิเศษและเครื่องดื่มนานาชนิดให้ได้ลิ้มลองความอร่อยในธีมคริสต์มาสสนุกเพลิดเพลินรื่นเริงการขับกล่อมบทเพลงประสานเสียง
“คริสต์มาส แครอล” ประจำเทศกาลและดนตรีบรรเลงสด ชวนเพื่อนสนิท กับคนพิเศษ
มานั่งชิลฟังดนตรีดื่มชาได้ระหว่าง 24 – 25 ธันวาคม 2566 แล้วร่วมกิจกรรมพิเศษระหว่าง
14.00 – 16.00 น. ราคา 990 บาทสุทธิ
สำหรับ 2 คน
ข่าวที่
3 บิ๊กททท.-ซาอุฯหารือแลกเที่ยวปี67เข้าไทยโต100%
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ได้นำทีมผู้บริหารนายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร
รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา
เข้าหารือกับผู้บริหารระดับสูงซาอุดีอาระเบียเพื่อแลกเปลี่ยนด้านตลาดขับเคลื่อนการท่องเที่ยวปี
2567 สร้างการเติบโตให้ได้เกิน 100 % โดยมีประธานกรรมการ Mr. Mohammed Alkhalil และ Mr.
Farhad Alobailan ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย
กับคณะของบริษัท Almosafer ผู้นำแบรนด์เบอร์ 1 ด้านการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA :Online Travel Agent) ของซาอุดีอาระเบียและคูเวต
ครองส่วนแบ่งการตลาด 1 ใน 3 ของตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกาทางตอนเหนือ (MENA) ทำธุรกิจมากว่า 40 ปี พร้อมเครือข่ายโรงแรมพันธมิตรทั่วโลกว่า 1.5
ล้านแห่ง กับอีกกว่า 450 สายการบิน
ททท.ได้ใช้โอกาสนี้ร่วมหารืออย่างเป็นทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก
พร้อมกับนำเสนอแนวทางของประเทศไทย ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกรทรวงการคลัง และนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มุ่งผลักดัน 3 นโยบายหลัก คือ 1.กระตุ้นตลาดต่างประเทศเลือกเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองในไทย
55 จังหวัด 2.ยกระดับการท่องเที่ยวเมืองไทยได้ตลอดทั้งปีแบบ
All year round 365 วัน
ด้วยกลยุทธ์จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ของบริษัทชั้นนำ 3.ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยร่วมกับซาอุดีอาระเบีย ด้วยวิธีจัดกิจกรรม Arab
Influencer FAM Trip เชิญผู้มีอิทธิพลทางการท่องเที่ยวเดินทางมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย
ผู้ว่าฯ
ฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท. ยังได้พบหารือกับผู้บริหารสายการบินซาอุเดีย (Saudia/KSA) นำโดย Mr. Wail Basaffar
ผู้ช่วยประธานฝ่ายขาย KSA และ Mr. Abdulrahman Alabdulwahab กรรมการผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาคโรงแรมไฮแอทรีเจนซี่ Olaya กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย
พูดคุยเรื่องการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายท่องเที่ยวไทยในตลาดซาอุดีอาระเบีย
ควบคู่กับขยายความร่วมมือระดับทำโกลบอลแคมเปญกับสายการบินซาอุเดียครอบคลุมทั้ง
การเปิดเวทีจับคู่เจรจาธุรกิจซื้อขายการท่องเที่ยวของเอกชน หรือ B2B : business to business และ
จัดมหกรรมซื้อขายการท่องเที่ยวให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงาน หรือ B2C : business to consumer หลัก ๆ
จะนำร่องขับเคลื่อนทำ 2 กิจกรรมใหญ่
กับความร่วมมือทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ และ 4 โครงการ
ได้แก่
กิจกรรมที่
1 เพิ่มเส้นทางบินไปยังเส้นทางจุดหมายใหม่ ๆ ในไทย เช่น กรุงริยาด- ภูเก็ต กิจกรรมที่ 2
ทำประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านสื่อตามช่องทางต่าง ๆ เช่น
วิดีโอบนระบบบันเทิงเครื่องบิน (in-flight VDO) เพื่อเจาะเซกเมนท์นักเดินทางกลุ่มต่าง
ๆ ให้ครอบคลุมมากที่สุด เบื้องต้นจะทำ 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.ส่งเสริมความร่วมมือด้านการตลาดทำโปรโมชั่นในโครงการ Two Kingdoms
One Happiness เช่น
เชื่อมสองทะเลขึ้นชื่อเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคือ Dead Sea ซาอุดีอาระเบีย
กับอันดามันทภูเก็ต 2.เตรียมเปิดสำนักงาน ททท.ในกรุงริยาด
ซาอุดีอาระเบีย 3.เชิญผู้ประกอบการและหน่วยงานเกี่ยวข้องจากซาอุดีอาระเบียเข้าร่วงาน
TTM+ :Thailand Travel Mart Plus ซึ่งสามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียเลือกเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นต่อไป
4.แนะนำสมัครสมาชิกบัตร Thailand Privilege Card เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพมายังไทย
ผู้ว่าฯ
ฐาปนีย์ กล่าวว่า ทางด้านการเชื่อมโยงการเดินทางทางอากาศระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย
ปัจจุบันมีสายการบินแห่งชาติคือซาอุเดีย (รหัสสายการบินSV ) เดิมชื่อซาอุดี อาระเบียน แอร์ไลน์ส
เปิดบริการบินตรงแบบประจำ ไป-กลับ ระหว่าง ไทย-ซาอุดีอาระเบีย
ช่วงตารางบินฤดูหนาวปลายเดือนตุลาคม 2566- 29 มีนาคม 2567
ใน 2 เส้นทางหลัก ได้แก่ 1.เจดดาห์-กรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 7 เที่ยว
ริยาด-กรุงเทพ สัปดาห์ละ 3 เที่ยว
สายการบินซาอุเดีย
ปัจจุบันบริหารโดย H.E. Mr. Saleh Aljasser ประธาน
มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเจดดาห์ (JED) และมีศูนย์กลางการบินอีก
2 แห่ง ที่กรุงริยาด (RUH) กับเมืองดัมมัม (DMM) ถือเป็นสายการบินขนาดใหญ่ลำดับที่
3 ด้านการสร้างรายได้ในตลาดการบินตะวันออกกลาง ส่วนอันดับ 1
คือสายการบินเอมิเรตส์ อันดับ 2 กาตาร์แอร์เวย์ส
ททท.
เคยได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ส่งเสริมตลาดตะวันออกกลางกับสายการบินซาอุเดียที่สำนักงานใหญ่เมืองเจดดาห์
โดยบันทึกข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมถึงการขยายความร่วมมือระดับโกลบอลแคมเปญเน้นสินค้าและบริการด้านตลาดเฉพาะที่มีความสนใจพิเศษเที่ยวเมืองไทย
(Niche Market) เสริมสร้างความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวไทยให้เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
(Preferred Destination) ในซาอุดีอาระเบียได้เป็นอย่างดี
สถิติไทยมีนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือน
11 เดือนแรก ระหว่าง มกราคม-พฤศจิกายน 2566 ประมาณ 1.6
แสนคน ตลอดปี 2566 ททท.จะทำให้ได้ถึง 1.8 แสนคน ภายในปี 2567 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น
4 แสนคน
ทางด้านเอกชนท่องเที่ยวในซาอุดีอาระเบียตั้งเป้าปี
2567 จะนำเข้าไทยเดินทางไปท่องเที่ยว 1.5 แสนคน
กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนาและการแสวงบุญ พร้อมทั้งเปิดให้ใช้ระบบ E-VISA
อำนวยความสะดวกให้คนไทยไปยังซาอุดีอาระเบียอย่างคล่องตัวและสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม
ข่าวที่
4 บางจากโชว์ความสำเร็จสู่ปี40-ปี’67นำ5กลุ่มธุรกิจโต
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจตลอด 2566 ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จของบางจากทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและได้พัฒนาธุรกิจสำคัญหลายด้านซึ่งพิสูจน์ถึงศักยภาพและขีดความสามารถอันน่าภาคภูมิใจ
โดยเฉพาะหลังเข้าถือหุ้นใหญ่บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือเดิมคือบริษัท
เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พร้อมดำเนินงานต่าง ๆ
เพื่อรักษาสมดุลความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ (Energy
Trilemma) ผ่านการผสานประโยชน์ธุรกิจด้วยการทำงานร่วมระหว่างกัน ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ลดต้นทุน ทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด รวมพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เปิดช่องทางให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงพลังงานในราคาเป็นธรรม
สร้างความมั่นคงและยั่งยืนกับสังคมไทยและบริษัทฯ
บางจากฯ พร้อมก้าวสู่ปี 40 จะเดินตามแผนยุทธศาสตร์ที่ทำไว้ระหว่างปี 2567-2573 จะขยายการเติบโต 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ผนวกแผนพัฒนาธุรกิจใหม่เสริมความแข็งแกร่งต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน
(Extend) และแสวงหาโอกาสกระจายการลงทุนธุรกิจอื่น (Diversify) เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต ได้แก่ 1.ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว
จะเป็นพลังงานสะอาด Bridging Energy ช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้
2.ธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามุ่งสู่ผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์ม Battery
as a Service (BaaS) รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 3.ใช้ศักยภาพสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BiiC) เน้นศึกษาเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน
และใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกับให้ความสำคัญเรื่องการรักษาวินัยทางการเงิน การจัดหาแหล่งเงินทุนหลากหลายรูปแบบอย่างเหมาะสมกับธุรกิจ
เพื่อสนับสนุนทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและมั่นคง เป้าหมายปี 2567 บางจากฯ
มุ่งพัฒนา 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 และ2 ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันมาตรฐานระดับโลก 2 แห่ง
ตั้งเป้ากลั่นน้ำมันดิบ รวม 266,000 บาร์เรลต่อวัน
เพิ่มขึ้น 72 % จากปี 2566 ทำได้ 155,000 บาร์เรลต่อวัน ได้แก่ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ได้การยอมรับเรื่องคุณภาพระดับโลกโดยพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่อง
ทำต้นทุนการกลั่นต่ำประมาณ 1.3 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
และใช้พลังงานในกระบวนการกลั่นอย่างมีประสิทธิภาพตั้งเป้าดัชนีชี้วัดการใช้พลังงานสากลที่
1st Quartile และมีแผนขยายเวลารอบหยุดซ่อมบำรุงจาก 2 เป็น 4 ปี เดินหน้าศึกษาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเพื่อต่อยอดธุรกิจ
ผนวกกับพัฒนามุ่งเป็นโรงกลั่นชีวภาพ (Bio-refinery) ผลิต
Biofuel 2nd Generation ที่มีคุณสมบัติ Drop-in เทียบเท่ากับน้ำมันฟอสซิล
มีผลิตภัณฑ์เป็นเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF)
ตามแผนจะนำความสำเร็จการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันบางจาก
พระโขนง มาใช้กับโรงกลั่นบางจาก ศรีราชา มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ
สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ผสานประโยชน์ร่วมกัน
ตั้งเป้าอัตราการกลั่นน้ำมันดิบศรีราชาปี 2567 ไว้ระดับสูงสุด 155,000 บาร์เรลต่อวัน
บางจากฯ ได้เดินหน้ากลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมัน แบบครบวงจรในห่วงโซ่มูลค่าด้วยการธุรกิจจัดหาน้ำมันดิบผ่าน
บริษัท บีซีพี เทรดดิ้ง (BCPT) จำกัด ในสิงคโปร์
ธุรกิจบริหารการขนส่งเชื้อเพลิงทางรถและเรือทางท่อและโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
ผ่านบริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิงทางท่อและโลจิสติกส์ (BFPL) และธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนหรือ SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ผ่านบริษัทบีเอสจีเอฟ (BSGF) ล่าสุดจัดตั้ง บริษัท รีไฟเนอร์รี่ ออฟติไมซ์เซชั่น แอนด์ ซินเนอร์ยี่
เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (ROSE) เพื่อจัดทำแผนและบริหารงานธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 2 แห่ง ให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
กลุ่ม 3 ธุรกิจการตลาด ต่อยอด 3
ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้สถานีบริการบางจากเป็นจุดหมายปลายทางตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการทุกวัย
ตั้งเป้าภายในปี 2573 จะขยายปั๊มให้ได้มากกว่า 2,500 แห่ง จากสิ้นปี 2566 มีอยู่ 2,221 แห่ง และออกแบบเพิ่มยูนิคดีไซน์ที่ผู้บริโภคนิยมใช้
ส่วนที่ 2
มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงทั้ง Premium 97 และ Premium Diesel ตั้งเป้าขยายธุรกิจ non-oil เช่น ขยายร้านอินทนิลเพิ่มขึ้นปีละ 140 สาขา
ภายในปี 2573 จะเพิ่มเป็น 2,000 สาขา กับเพิ่มความหลากหลายแบรนด์สินค้าต่าง ๆ เพิ่มร้านค้าสะดวกซื้อ
ร้านค้าพันธมิตรที่มีศักยภาพในแต่ละปั๊ม ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นให้แบรนด์ FURiO เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ส่วนที่ 3
เปลี่ยนตราสัญลักษณ์บางจากเป็น “ใบไม้ใบใหม่” และผสาน 2 แบรนด์อย่างราบรื่นจาก“เอสโซ่” เป็น “บางจาก” ให้แล้วเสร็จภายในมิถุนายน 2567
ด้วยแนวคิด “Your Greenovative Destination for
Intergeneration” หรือจุดหมายปลายทางตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย
โดยนำปรัชญาความเสมอภาคและการเข้าถึงทางกายภาพมาใช้ทุกแห่ง
ซึ่งทาง บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มุ่งสร้างความแข็งแกร่งและผลักดันธุรกิจหลัก(Core
Business) เติบโตคือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ตั้งเป้าปี 2567 มีปริมาณการผลิตไฟฟ้า (กิกะวัตต์-ชั่วโมง) เติบโตกว่าเท่าตัว เน้นทำ New
S Curve เช่น ธุรกิจกักเก็บพลังงานทั้งยานยนต์ไฟฟ้าและโรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว
และธุรกิจการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ
ส่วน บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายปี 2567 มีปริมาณจำหน่าย
560 ล้านลิตรเพิ่มขึ้น 40 % จากปี 2566 ขยายเครือข่ายสนับสนุนธุรกิจหลัก โดยพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงร่วมกับบางจากฯ
ผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเชิงพาณิชย์ร่วมทุนกับ Fermbox
Bio สหรัฐอเมริกา ในระยะแรกปี 2567 จะผลิตเอนไซม์ 200,000 ลิตร ปี 2570 เพิ่มเป็นมากกว่า 1 ล้านลิตร แล้วขยายการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) อื่น ๆ ด้วย
กลุ่มที่ 4
และ 5 ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและกลุ่มธุรกิจขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ มุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงานผ่านการขยายธุรกิจ นำโดยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
ตั้งเป้าปี 2567 เติบโต 74 % ด้วยกำลังการผลิตปิโตรเลียม 40,000 boepd (บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน)
ปี 2573 เพิ่มอีกกว่า 100,000 boepd จากการดำเนินแหล่งปิโตรเลียมในนอร์เวย์ ผ่านบริษัทฯ OKEA
ASA พร้อมกับเพิ่มการเติบโตธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติในแหล่งใหม่
ๆ ที่มีศักยภาพในทวีปอื่น ๆ
ข่าวที่
5 บางจากร่วมSustainability Forum 2024แชร์Net Zero
นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) และประธาน Carbon
Markets Club เปิดเผยว่า นำทีมร่วมเสวนา Net Zero Milestone
Plan พร้อมนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และ นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด
กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ ไบเทค บางนา
นางกลอยตา กล่าวถึงเรื่องที่บางจากให้ความสำคัญรักษาสมดุลดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานจากการรักษาสมดุลระหว่างคุณค่าและมูลค่า
สู่การรักษาสมดุลของความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ
(Energy Trilemma) เพื่อขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ตลอดจนการรักษาสมดุลเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม
และกำกับดูแลธุรกิจที่ดี (ESG) มาตลอดระยะเวลาการดำเนินงานเกือบ 40 ปี
ให้ความสำคัญกับการนำ ESG มาอยู่ในธุรกิจหรือการทำให้ ESG กลายเป็นธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืน อาทิ ปั๊มสหกรณ์หรือปั๊มชุมชน เมื่อ 33 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันเปิดธุรกิจอากาศยานเชื้อเพลิงยั่งยืนจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว SAF
บางจากฯ ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ปี 2593 โดยกำหนดแผนงาน BCP316
NET ครอบคลุมการปรับปรุงประสิทธิภาพต่างๆ ในกระบวนการผลิต
การลงทุนในนวัตกรรมที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
การดูดซับคาร์บอนด้วยธรรมชาติ การเพิ่มสัดส่วนธุรกิจสีเขียว
รวมถึงการสร้างระบบนิเวศสำหรับสังคมคาร์บอนต่ำ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจทุกภาคส่วน
สำหรับกลยุทธ์ของบางจาก 5 ปีข้างหน้า จะสร้างการเติบโตด้วยวิธีลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ
สัดส่วนประมาณ 60 % เช่น ธุรกิจด้านการบริหารจัดการพลังงาน
เทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาดแห่งอนาคต เช่นการศึกษาพลังงานไฮโดรเจน
เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage
– CCUS)
รวมทั้งได้สร้างระบบนิเวศสู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net Zero Ecosystem ผ่านธุรกิจต่าง ๆ เช่น แพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Winnonie กับบริษัท BSGF ดำเนินธุรกิจ SAF ด้านบริษัท BTSG ดำเนินธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเหลว
และบริษัท BFPL บริหารจัดการขนส่งเชื้อเพลิง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ
รวมถึงการก่อตั้ง Carbon Markets Club เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
และสนับสนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 750 รายทั้งประเทศองค์กรและบุคคล และ ณ
สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ได้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน RECs ผ่าน Marketplaceเว็บไซต์ Carbon
Markets Club คิดเป็นปริมาณรวมเกือบ 1.3 ล้านตัน หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ประมาณ 150 ล้านต้น
นอกจากนี้ Carbon
Markets Club ยังมีเครื่องมือประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
ให้สมาชิกได้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เพื่อให้ทราบถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากภารกิจและกิจกรรมต่าง ๆ
ขององค์กร สามารถวางแผนจัดการในการปล่อย ลด และชดเชยเพื่อไปสู่การตั้งเป้า Net
Zero ในอนาคต
ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยกับ “อีสานไปไสกะแซ่บ” เปิดเส้นทางธรรมะ ชวนเที่ยว “วัดไชยศรี”
อ.เมือง จ.ขอนแก่น ชมภาพเขียนบนสิมอุโบสถ 200 ปี
พร้อมเรื่องราวตำนานวัฒนธรรมสินไซหาดูได้ยาก แล้วฟัง
“กินผลไม้หวานอย่างไรไม่เสี่ยงเบาหวาน” และข่าวดี ๆ ข่าวแรก “อวานิเปิดโครงการ Dollars
for Deeds” ทุกการเข้าพัก 1 คืน ร่วมบริจาค 1
ดอลลาร์ นำไปช่วยเหลือสังคม และ “นกแอร์” เปิดแล้ว ภูเก็ต-เฉินตู”
โปรโมทการท่องเที่ยว 2 ประเทศ ไทย-จีน
ท่องเที่ยว
– เที่ยว“วัดไชยศรี”ขอนแก่นแดนธรรมตำนานสินไซ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
แนะนำการท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “อีสานไปไสกะแซ่บ” มีสถานท่องเที่ยวเชิงวิถีวัฒนธรรมมาแนะนำให้เลือกไปชมที่
“วัดไชยศรี” อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็น
ในฐานะของวัดแดนอีสานที่มีวัฒนธรรมพื้นที่ จัดงานประเพณีต่อเนื่องมายาวนานคือ
“พิธีเสียเคราะห์”
โดยชาวบ้านรอบวัดจะมารวมตัวกันทำพิธีสำคัญดังกล่าวช่วงวันสงกรานต์ของทุกปี
วัดนี้เดิมชาวบ้านเรียกว่า
“วัดใต้” ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 บ้านสาวะถี
ตำบลสาวะถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีความโดดเด่นคือ
“สิม/สีมา” หรือ “พระอุโบสถ/โบสถ์” เขียนด้วยภาพสีโบราณมายาวนานเกือบ 200 ปี เพื่อบอกเล่าเรื่องราววรรณกรรมพื้นเมืองสินไซถ่ายทอดวิถีชีวิต
คำสอนทางพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี
อันงดงามของชาวอีสานจากรุ่นสู่รุ่นเป็นอย่างดี
ส่วน
“สิม”วัดไชยศรี จัดเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสานสร้างช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 ตามประวัติหลวงปู่อ่อนสาอดีตเจ้าอาวาส (ขณะนั้น)
ซึ่งท่านเป็นผู้มีฝีมือทางงานช่าง จึงออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง กระทั่งกลายเป็นประติมากรรมโดดเด่น
เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชม
จะได้รับประสบการณ์ที่มีความหมายเชิงคุณค่าชัดเจน ประกอบด้วย
ส่วนที่
1 สถาปัตยกรรม ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอาณานิคม (Colonial
Style) ตามแบบช่างญวนเป็นแบบสิมทึบ
ตัวอาคารก่ออิธถือปูนอยู่ในผนังสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 ห้อง
หลังคามุงด้วยแผ่นไม้เรียกว่า “แป้นเกล็ด”
ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นรูปม้าก่ออิฐฉาบปูน มีรั้วระแนงไม้ประดับด้วยแผ่นไม้แกะสลัก
ส่วนที่
2 จิตรกรรมฝาผนัง คนในท้องถิ่นเรียกว่า “ฮูปแต้ม”
เป็นศิลปะแบบพื้นบ้าน เรียบง่ายทั้งลายเส้นธรรรมชาติ
การใช้สีเพียงไม่กี่สีจากวัสดุหาได้ในท้องถิ่น วาดลงบนผนังอย่างงดงาม
บอกเล่าถึงเรื่องราวตามจินตนาการเรื่อง “สินไซ” หรือ “สังข์ศิลป์ชัย”
อันเป็นวรรณกรรมนิทานยอดนิยม แฝงด้วยคติธรรมคำสอน ให้ความรู้ครบ
ชาวอีสานเชื่อกันว่าสินไซคือหนึ่งใน “ปัญญาชาดก/พระเจ้าห้าสิบชาติ”
รวมถึงเชื่อว่าคืออดีตชาติพระพุทธเจ้า
จึงได้นำเรื่องสินไซมาวาดไว้ในผนังสิมศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ส่วนที่
3 ภายในมีพระพุทธปฏิมาประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
นั่งขัดสมาธิ ตั้งอยู่ใจกลางภายในสิม เป็นศิลปะพื้นบ้านก่ออิฐถือปูนทั้งองค์
ประดิษอยู่ฐานชุกชี
“พระครูบุญชยากร”
ท่านเจ้าอาวาสวัดไชยศรี ปัจจุบัน เล่าว่า ความเป็นมาของวัดไชยศรีทั้งสถาปัตยกรรม
ประติมากรรม อันงดงามอายุร้อยกว่าปีแห่งนี้ เกิดขึ้นจากกุศโลบายหลอมรวมความรัก
ความสามัคคี ให้คนในชุมชนหมู่บ้าน ใช้พลังศรัทธาร่วมแรง ร่วมมือ ร่วมใจกัน
พัฒนาและฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น
และถาวรวัตถุวัดไชยศรีกลับมาเป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนสืบทอดความงดงามมาจนถึงจวบจนทุกวันนี้
ตำนานเรื่องเล่า
“สินไซ” วัดไชยศรี โดยย่อ ถ่ายทอดผ่านจิตรกรรมภาพเขียนเรื่องราวจำลอง
“เมืองเป็งจาล” ที่มี “พญากุศราช” เป็นเจ้าเมือง มี “พระนางจันทาเทวี” เป็นมเหสี
มีน้องสาวชื่อ “สุมณฑา” พญายักษ์ “กุมภัณฑ์” จากเมืองอโนราช
เหาะมาลักพาตัวไปเป็นมเหสี ต่อมาพญากุศราชคิดถึงและห่วงน้องสาวจึงออกบวชเดินตามหาน้องสาวกระทั่งไปพบ
“ลูกสาวทั้ง 7” ของเศรษฐีเมืองจำปา
จึงเกิดความรักแล้วไปสู่ขอมาเป็นภรรยาทั้ง 7 คน
มเหสีสุดท้อง
2 คน ได้ให้กำเนิดพระโอรสมีรูปร่างต่างจากคนปกติ 3
องค์ ได้แก่ พระนางจันทาคลอดลูก “สีหราช หรือสีโห”
หัวเป็นช้างลำตัวเป็นสิงห์ พระนางลุนธิดา คลอดลูกชื่อว่า “สังข์ศิลป์ชัย
หรือสินไซ” รูปร่างเป็นคนแต่มีธนูและตาบอด อีกองค์ชื่อ “สังขกุมาร หรือ สังข์”
ซึ่งโดนขับไล่ออกจากเมือง พระอินทร์ให้ความช่วยเหลือโดยเนรมิตปราสาทแก้วให้ได้อยู่อาศัยกลางป่าอย่างสงบสุข
เมื่อพระอาสทั้งหมดเติบโตเป็นหนุ่ม
พญากุศราชให้โอรสที่มีรูปร่างปกติ 6 องค์ ออกตามหาอาคือนางมณฑาที่ถูกพญายักษ์ลักตัวไปไว้ที่เมืองอโนราช
แต่ทั้งหมดได้มาพบกับ “สินไซ-สังข์-สีโห” โดยบังเอิญ จึงหลอกใช้ไปตามหาอาแทน ระหว่างทางทั้งสามคนต้องเดินผ่านป่าเจออุปสรรค
7 ย่านน้ำ หรือแม่น้ำ 7 สาย 9 ด่านมหาชัย แต่ในที่สุดก็ผ่านไปได้จนสามารถนำนางสุมณฑากลับมายังเมือง
“เป็งจาน” ได้
ระหว่างทาง
สินไซต้องต่อสู้ฆ่ายักษ์กุมภัณฑ์ตาย แต่ก็โอนโอรสทั้ง 6 คน ผลักตกเหว พระอินทร์มาช่วยไว้ได้ สุดท้ายพอพญากุศราชรู้เรื่องจริงทั้งหมดก็ไล่โอรสทั้ง
6 พร้อมมารดา ออกจากเมือไป
แล้วเชิญนางจันทาเทวีกับนางลุนพร้อมลูก 3 คน
กลับแล้วยกเมืองให้ “สินไซ” ปกครอง
แต่ก็มีเรื่องราวอีกครั้งเมื่อพญาเวสสุวรรณ
ชุบชีวิต “พญายักษ์กุมภัณฑ์” ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ขาดจิตสำนึกจึงกลับไปลักตัวนางสุมณฑาและจับสินไซด้วยความแคนจึงหวังต้มกินเป็นอาหาร
ทาง “สีโหกับสังข์” ออกติดตาม เกิดการต่อสู้เป็นสงครามครั้งใหญ่
ท้ายที่สุดพระอินทร์ต้องลงมาหาทางออกให้ด้วยวิธีให้พญายักษ์กุมภัณฑ์ไปสู่ขอนางสุมณฑาให้ถูกต้องตามประเพณี...เรื่องราวทั้งหมดจึงจบลงด้วยดี
เรื่องราววรรณกรรม
“สินไซ” ดังกล่าวเป็นการร้อยเรียงมาสู่พุทธศาสนาสั่งสอนสร้างความศรัทธาแก่ประชาชน
ตามความเชื่อว่าสินไซคือพระพุทธเจ้า ส่วนบุคคลอื่น ๆ
ในเรื่องก็ได้ไปเกิดเป็นพระอรหัตสาวก สืบต่อไป
“วัดไชยศรี”
จึงเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า เมื่อมีโอกาสไปขอนแก่น
ต้องห้ามพลาดแวะไปเยี่ยมชมกันสักครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตของทุกคน
สุขภาพ
–รู้ทันน้ำตาลในผลไม้กินอย่างไรไม่เสี่ยงเบาหวาน
องค์การอนามัยโลก มีคำแนะนำให้เราให้บริโภคผักและผลไม้ไม่ต่ำกว่าวันละ 400
กรัมต่อวัน เพื่อผลในการสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ลดโอกาสเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ซึ่งคนจำนวนมากเข้าใจว่า
น้ำตาลในผลไม้นั้นเป็น “น้ำตาลที่ดี” ไม่ก่ออันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย
ทั้งกับคนปกติและคนที่เป็นเบาหวาน เพราะเป็นสารจากธรรมชาติ
แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะน้ำตาลที่พบในผลไม้นั้นมีด้วยกันถึง 3 ชนิด คือ
ฟรุกโทส กลูโคส และซูโครส แต่ละชนิดให้คุณประโยชน์ต่างกันคือ
“กลูโคสและซูโครส” คือ
น้ำตาลที่ต้องใช้ฮอร์โมนอินซูลินในการดูดซึม
จึงเป็นน้ำตาลที่ผู้เสี่ยงหรือป่วยด้วยโรคเบาหวานต้องหลีกเลี่ยง
ดังนั้นเราจึงควรเลือกกินผลไม้อย่างระมัดระวัง
เพราะกินมากไปอาจทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินพอดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วย หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ดังนั้น การกินผลไม้ต้องใช้ 4
หลัก ดังนี้
1. หวานน้อยไม่ได้ดีเสมอไป
หลายคนมีหลักการพื้นฐานในการเลือกบริโภคผลไม้ว่า
ให้เลือกบริโภคผลไม้ที่หวานน้อยเป็นหลัก แต่ไม่ใช่ในทุกกรณี เพราะผลไม้บางประเภท
แม้รสหวานน้อย แต่กลับมีส่วนประกอบของน้ำตาลกลูโคส และ ซูโครส ในสัดส่วนที่สูง
หากบริโภคโดยไม่ระมัดระวัง ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเป็นโรคเบาหวานอาจเกิดอันตรายได้
ตัวอย่างเช่น แก้วมังกร กล้วยหอม กล้วยเล็บมือนาง ข้าวโพดเหลืองต้ม สละ ระกำ
ลูกท้อ สับปะรดภูแล
2. ผลไม้อบแห้งก็ต้องระวัง
ผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกเกด ลูกพลับ พุทราจีนแห้ง อินทผลัม ฯลฯ นั้น
แม้ว่าเป็นชนิดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเติมน้ำตาล เช่น การนำไปแช่อิ่ม กวน หรือ
คลุกพริกกะเกลือ ก็ต้องบริโภคอย่างพอดี เนื่องจากส่วนที่เป็นน้ำได้ระเหยออกไปมาก
จึงทำให้มีน้ำหนักเบาลง ซึ่งอาจทำให้บริโภคได้มากกว่าขณะเป็นผลไม้สด
เพราะอิ่มช้ากว่า ในขณะที่ปริมาณน้ำตาลมีเท่าๆ กัน อย่างเช่น พุทราจีนแห้ง 100
กรัม มีน้ำตาลอยู่ถึง 13 ช้อนชา อินทผลัมน้ำหนักเท่ากัน มีน้ำตาล 14 ช้อนชา
3. ผลไม้สดดีที่สุด
คำแนะนำให้บริโภคผลไม้สม่ำเสมอเป็นประจำนั้น มุ่งที่ผลไม้สดเท่านั้น
และไม่อาจทดแทนได้ด้วยผลไม้แปรรูป เช่น ผลไม้แช่อิ่ม กวน หรือคลุกเกลือน้ำตาล
รวมทั้ง น้ำผลไม้สำเร็จรูป เพราะวิตามินและสารที่มีคุณค่าในผลไม้จะสูญสลายไปตามอายุและการได้รับความร้อน
อีกทั้ง
ในผลไม้แปรรูปและน้ำผลไม้ยังมีการเติมน้ำตาลเพื่อปรุงรสให้ชวนบริโภคเข้าไปอีกจำนวนมาก
และอาจรวมถึงสารเคมีต่างๆ อีกด้วย
4. กินผักให้มากกว่าผลไม้
ในการปฏิบัติตามข้อแนะนำให้บริโภคผักผลไม้วันละ 400 กรัม เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ
ควรเลือกบริโภคผักก่อนเป็นอันดับแรก และผลไม้เป็นส่วนเสริม
เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่กลายเป็นการ “หนีเสือปะจระเข้”
จากการได้รับน้ำตาลจากผลไม้ล้นเกิน จนกลายเป็นการเร่งให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
–อวานีโฮเทลส์เปิดDollars
for DeedsโรงแรมCSR
มร. จอห์น โรเบิร์ตส์
ผู้อำนวยการกลุ่มความยั่งยืนและการอนุรักษ์ของไมเนอร์ โฮเทลส์
ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรม อวานี เปิดเผยว่า ทางอวานี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท
ได้เปิดตัวโครงการ “ดอลลาร์ส ฟอร์ ดีดส์ : Dollars for Deeds”หนึ่งดอร์ลาร์
หลายความดี ตามรอยอนันตรา (Anantara) แบรนด์โรงแรมแรกริเริ่มทำโครงการนี้ขึ้นเกือบ
10
ปีมาแล้ว ในโรงแรมในไทยหลายแห่งด้วยการเชิญชวนผู้เข้าพักหรือแขกมีส่วนร่วมสร้างเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งแขกของโรงแรมอวานีทั่วเอเชียสามารถร่วมบริจาคเงินหนึ่งดอลลาร์สหรัฐต่อการเข้าพักหนึ่งคืน
จากนั้นกลุ่มไมเนอร์จะสมทบทุนอีก 1
เท่าของจำนวนเงินบริจาค
ก่อนนำไปมอบให้องค์กรเพื่อสังคมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน ไม่น้อยกว่า 5 ประเทศ
ได้แก่ 1.โรงพยาบาลสำหรับเด็กใน
สปป.ลาว 2.องค์กรเพื่อคนพิการในบาหลี
อินโดนีเซีย 3.มูลนิธิที่ช่วยเหลือช้างในประเทศไทย
4.โครงการอนุรักษ์แนวปะการังในคาบมหาสมุทรอินเดีย
เกาะมัลดีฟส์
ทางอวานี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท ได้ขยายการธุรกิจหลากหลายพื้นที่ทั่วโลกพร้อมกับนำ
โครงการ ดอลลาร์ส ฟอร์ดีดส์ เดินหน้ายกระดับพันธกิจเพื่อสังคม ปี 2567 มีแผนจะสนับสนุนเพิ่มงานการกุศลท้องถิ่นและองค์กรเพื่อสัตว์ป่าต่าง
ๆ ทั้งในยุโรป แอฟริกา ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่น ๆ
ปัจจุบัน “โครงการ ดอลลาร์ส ฟอร์ดีดส์
โรงแรม อวานี พลัส หลวงพระบาง” สปป.ลาว ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ
โรงพยาบาลเพื่อนลาวสำหรับเด็กน้อย ดูแลสุขภาพอนามัยเด็กมากกว่าปีละ 35,000
คน จากเงินบริจาคเมื่อเข้าพักเพียงหนึ่งคืน
สามารถซื้อวิตามิน B1 จำนวน 50
แคปซูล ให้เด็กที่กำลังต่อสู้กับโรคอันตรายถึงชีวิต ซื้ออุปกรณ์เพื่อดามกระดูกแตกหัก
หรือพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคที่ช่วยรักษาชีวิต
มร. ปิแอร์ บัวส์มารด์
ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาที่โรงพยาบาลเพื่อนลาวสำหรับเด็กน้อย กล่าวแสดงความซาบซึ้งว่า
โรงแรมอวานี พลัส หลวงพระบาง มุ่งมั่นทำโครงการดอลลาร์ส ฟอร์ดีดส์ด้วยมิตรภาพแน่นแฟ้นกับพันธมิตรช่วยเหลือเด็ก
ๆ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มาอย่างต่อเนื่อง จึงขอขอบคุณการสนับสนุนดังกล่าวอย่างมาก
และในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาทาง อวานี
พลัส หลวงพระบาง เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งจัดกิจกรรมวิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศล ‘Run
for Children’ เพื่อเพิ่มการตระหนักรู้และระดุมทุนบริจาคให้แก่โรงพยาบาลเพื่อนลาวสำหรับเด็กควบคู่กันไปด้วย
ส่วน อวานี เซมินยัค บาหลี รีสอร์ท เกาะบาหลี
อินโดนีเซีย ได้สนับสนุนศูนย์ Annika Linden Centre ให้การดูแลช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่อง
ศูนย์นี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 ทำหน้าที่ดูแลองค์กรเพื่อคนพิการสำคัญ
3 แห่ง ได้ช่วยเหลือผู้พิการในอินโดนีเซียหลายพันคน
โดยใช้เงินบริจาคจากโครงการดอลลาร์ส ฟอร์ดีดส์ นำไปฟื้นฟูสมรรถภาพและกายภาพบำบัด
รวมถึงช่วยเหลือการเคลื่อนย้ายผู้ที่อยู่ห่างไกล และส่งเสริมเศรษฐกิจผ่านการสร้างอาชีพแบบครบวงจร
ผนวกับใช้เงินบริจาคไปช่วยเหลือผู้พิการทางร่างกายจัดซื้อขาเทียม รถเข็นวีลแชร์
และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่จำเป็น
ในเมืองไทยมีโรงแรมและรีสอร์ทเครืออวานีทั้ง
11 แห่ง พร้อมใจกันร่วมกันสนับสนุน “มูลนิธิโกลเด้น
ไทรแองเกิ้ล เอเชียน เอเลเฟนท์” จังหวัดเชียงราย
มูลนิธิเพื่อการอนุรักษ์เต่าทะเลหาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต และ
ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
กรุงเทพมหานคร
ส่วนโรงแรมเครืออวานีในเวียดนามได้ให้การสนับสนุน
Kianh Foundation มูลนิธิชาวญวนในเวียดนามเพื่อดูแลและฝึกอบรมอาชีพให้แก่เด็กที่บกพร่อง
และอวานี พลัส แฟเรส มัลดีฟส์ รีสอร์ท ประเทศมัลดีฟส์
จะนำเงินบริจาคให้โครงการอนุรักษ์แนวปะการังในเขต บา อะทอลส์ มหาสมุทรอินเดีย
ด้วยเช่นกัน
ข่าวที่สอง
-“นกแอร์”เริ่มใหม่บินตรงภูเก็ต-เฉิงตู/จีนเชื่อมเที่ยว2ประเทศ
บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า
เตรียมเปิดเส้นทางการบินบินตรงใหม่รองรับผู้โดยสารเดินทางท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มขึ้น
เส้นทาง ภูเก็ต (ไทย)-เฉิงตู
(สาธารณรัฐประชาชนจีน) พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไปด้วยเครื่องบิน
Boeing 737-800 ตั้งเป้ากระตุ้นท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากขึ้นขานรับนโยบายรัฐบาลไทยเปิดฟรีวีซ่า
และชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวจีนหรือเดินทางมาไทย
วันที่ 15 ธันวาคม นี้ ทางนกแอร์ เตรียมจัดงานที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต
เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางบินใหม่ นำผู้โดยสารจากภูเก็ตซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองอัญมณีแห่งอันดามัน
สู่สนามบินนานาชาติเทียนฟู่ เมืองเฉิงตู ดินแดนแห่งมหานครเหนือกาลเวลา ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง B737-800
ขนาดบรรทุก189 ที่นั่ง ใช้เวลาเดินทาง 4
ชั่วโมง
ให้บริการ “เที่ยวบินขาออกด้วยรหัส DD3140
จากภูเก็ต (HKT) เวลา 21.00 น. ถึงเฉิงตู (เทียนฟู่) (TFU)
เวลา 02.00 น. ของวันถัดไป (ตามเวลาท้องถิ่น) ส่วน “เที่ยวบินขากลับ” รหัส DD3141
ออกจากเฉิงตู (เทียนฟู่) (TFU) เวลา 03.55 น. ถึงภูเก็ต(HKT) เวลา
06.55 น
ผู้โดยสารสามารถสำรองที่นั่งเที่ยวบิน
ไป-กลับ ภูเก็ต-เฉิงตู และเส้นทางอื่นๆ ของสายการบินนกแอร์ได้ทาง www.nokair.com
หรือแอปพลิเคชั่น Nok Air หรือ CallCenter 1318
เช็คอินออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางเว็บไซต์ Nokair.com หรือแอปพลิเคชั่น
Nok Air
สำหรับเมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน
เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่อุดมสมบูรณ์ เป็นศูนย์กลางทางการเมือง การทหาร การศึกษา
การคมนาคม และเมืองอุตสาหกรรมแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
มีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นเอกลักษณ์ เช่น สะพานอันชุน ถนนโบราณจินหลี่
ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้า จนได้รับการขนามว่าเป็น มหานครเหนือกาลเวลา
ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเดินทางไปเป็นจำนวนมากทุกปี
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น