วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564

TCEB”จับมือTEAปลุกงานแสดงสินค้าทั่วไทยอัดฉีด1ล้าน1งาน เร่งฟื้นเศรษฐกิจภูมิภาค

 TCEB”จับมือTEAปลุกงานแสดงสินค้าทั่วไทยอัดฉีด1ล้าน1งาน

เร่งเสวนาออนไลน์“กทม./เชียงใหม่/สงขลา”ฟื้นเศรษฐกิจภูมิภาค

 เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TCEB #TEA #อัดฉีดแพกเกจจัดเอ็กซิบิชั่น1งาน1ล้าน #ห้ามพลาดที่เชียงใหม่14ตค64 #พบกันที่สงขลา21ตค64



นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ Trade Exhibtion Association :TEA จัดเสวนาออนไลน์ “งานแสดงสินค้าต้องทำอะไรก่อน” กระจายจัดงานครอบคลุม 3 ภูมิภาค คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และสงขลา นำร่องจัดครั้งที่ 1 ในกรุงเทพฯ เมื่อ 29 กันยายน 2564 หัวข้อ “ก้าวย่างใหม่ของงานแสดงสินค้าไทย” ครั้งที่ 2 เชียงใหม่ วันที่ 14 ตุลาคม ครั้งที่ 3 สงขลา วันที่ 21 ตุลาคม 2564

 

ทีเส็บเน้นทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับเอกชนและพันธมิตร เตรียมกระตุ้นการจัดงานไมซ์ในส่วนงานแสดงสินค้า ภายใต้กลยุทธ์การเสริมความแกร่งระดับชาติ กระจายไปยังเมืองไมซ์ ซิตี้ เร่งสร้างงานและสนับสนุนการจัดงานตามอัตลักษณ์ รวมถึงนำจุดเด่นของแต่ละจังหวัดกระจายงานไปจัดตามภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเฉพาะการจัดงานแสดงสินค้าแบบจับคู่เจรจาธุรกิจซึ่งกันและกัน หรือ B2B :Business to Business เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากการจัดงานแสดงสินค้าสามารถสร้างธุรกรรมทางเศรษฐกิจได้รวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น

 

            ปี 2565 ทีเส็บจะมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น พุ่งเป้าสนับสนุนงานแสดงสินค้าใหม่ และการยกระดับงานแสดงสินค้าเดิม เป้าหมาย 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 อาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ

กลุ่มที่ 2  สาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์

กลุ่มที่ 3  เครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม รวมถึงกลุ่มดิจิทัลเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว

กลุ่มที่ 4 พลังงานทางเลือก รถยนต์ โลจิสติกส์ และคลังสินค้า

กลุ่มที่ 5 ตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม สินค้าและบริการที่มีศักยภาพของภูมิภาค

 

การจัดเสวนา ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพฯ มีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมฟังกว่า 500 คน ทางทีเส็บมุ่งหวังในปี 2565 หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ ผนึกความร่วมือกันกระจายการจัดงานแสดงสินค้าสร้างเม็ดเงินไหลสู่ท้องถิ่นทั่วไทย

 

อีกทั้งทีเส็บยังได้จัดทำแพ็กเกจสนับสนุนเร่งส่งเสริมตลาดงานแสดงสินค้าในประเทศ “Domestic Exhibition Recovery” สนับสนุนผู้จัดงานผ่าน 2 แพ็กเกจ ประกอบด้วย

 

1. แพ็กเกจ “Regional Best Show” สนับสนุนเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ในการจัดงานแสดงสินค้าที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก 5 กลุ่มอุตสาหกรรม และเป็นงานที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ภูมิภาค ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือจากเครือข่ายภาคี EMTEX ไม่ต่ำกว่า 3 หน่วยงาน  

 

2. แพ็กเกจ “Gear Up Exhibition” สนับสนุนเงินไม่เกิน 7 แสนบาท ให้แก่การงานแสดงสินค้าทั่วไป โดยมีผู้ขอรับการสนับสนุนตามเงื่อนไขและการพิจารณาตามที่ทีเส็บกำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ rgo@tceb.or.th

 

นายจิรุตถ์กล่าวว่า ทีเส็บผลักดันงานแสดงสินค้าในประเทศผ่านแคมเปญ “Empowering Thailand Exhibition” ด้วยการปรับรูปแบบสนับสนุนตอบโจทย์ความต้องการผู้จัดงานและสอดรับสถานการณ์การจัดงานยุควิถีใหม่ ครอบคลุมทุกการจัดงานแสดงสินค้ารูปแบบการจัดงานจริง (Physical Exhibition) ผสมผสานออนไลน์กับการจัดงานจริง (Hybrid Exhibition) และการจัดงานออนไลน์ (Virtual Exhibition)

 

โดยแบ่งการสนับสนุนเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านงบประมาณและส่งเสริมการตลาด 2.ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี 3.ด้านความร่วมมือของเครือข่ายพันธมิตรในธุรกิจไมซ์ และ 4.ด้านการพัฒนาศักยภาพและมาตรฐาน

 

นายประวิชย์ ศรีบัณฑิตมงคล นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย)TEA” กล่าวว่า สมาคมได้วางแนวทางให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจกรรมเดินหน้าการจัดงานแสดงสินค้าซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เอกชนมีภารกิจต้องทำต่อไปภายใต้ความปลอดภัย พร้อมกับนำนวัตกรรม และวิทยาการด้านดิจิทัล มาประยุกต์ใช้ควบคู่การผลักดันให้อุตสาหกรรมการแสดงสินค้ากลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติอย่างสมบูรณ์ต่อไป

            นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมได้ปรับกลยุทธ์การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2563 ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงได้ริเริ่มปรับรูปแบบการจัดงาน สู่งานแสดงสินค้าเสมือนจริง พร้อมกับจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจทางออนไลน์ นำไฮบริดเข้ามาใช้ด้วย ใช้เวทีงานแสดงสินค้าผลักดันการส่งออกขับเคลื่อนต่อได้โดยไม่สะดุด

นับจากนี้กรมก็จะนำการจัดแสดงสินค้าอยู่ในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตภาคธุรกิจ ด้วยการเดินหน้านำรูปแบบเสมือนจริงควบคู่การจัดแบบออฟไลน์ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เข้ามาใช้จัดงานแสดงสินค้าต่อไป

 

ติดตามการจัดงานเสวนาออนไลน์ “สถานการณ์โควิดวันนี้ งานแสดงสินค้าต้องทำอะไรก่อน” ได้ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 ประกอบด้วย

ครั้งที่ 2 ที่เชียงใหม่ วันที่ 14 ตุลาคม 2564 หัวข้อ “ปรับ” ให้อยู่รอด“เปลี่ยน” วิธีคิด “แปลง” วิถีงาน ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ”

ครั้งที่ 3 จัดที่สงขลา วันที่ 21 ตุลาคม 2564 หัวข้อ “แผนระยะสั้น ทางรอดจากวิกฤติ กับธุรกิจงานแสดงสินค้า”

ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ MICE in Thailand https://www.facebook.com/miceinthailand

 

สำหรับการกิจกรรมเสวนาออนไลน์ ในกรุงเทพฯ เมื่อ 29 กันยายน 2564 มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมการปาฐกถาพิเศษ 5 หัวข้อที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

 

1.“เจาะยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ขับเคลื่อนก้าวไกลด้วยงานแสดงสินค้า”   โดยนายประวิชย์ ศรีบัณฑิตมงคล นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย)

 

2.New Direction of DITP’s Trade Show” โดยนายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 

3.Technics of Hosting Virtual Exhibition Successfully” โดยนางสาวณัฐิยา สุจินดา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 

4.“ฉลาดใช้ Big Data เพื่อให้งานแสดงสินค้าประสบความสำเร็จ (Building Experience)” โดยนายมณเฑียร วิจิตรสาระวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิว มีเดีย เอ็กซ์ จำกัด

           

โดย “นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการทีเส็บ ทำหน้าที่บรรยายในหัวข้อ “ปรับเข็มทิศเอ็กซ์ฮิบิชั่นไทย โอกาสธุรกิจใหม่ ขับเคลื่อนไมซ์ยั่งยืน”  และ “นางสาวสุรัชสานุ์ ทองมี” ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บรรยายพิเศษในหัวข้อ “เทรนด์นวัตกรรมใหม่ กลยุทธ์ยกระดับ เสริมทัพงานแสดงสินค้าไทย”

 

คิง เพาเวอร์จัดโปรแรงแห่งปี“Delights&Surprises”1-31ต.ค.64 ช้อปอุ่นเครื่อง30ก.ย.นี้5โปรเด็ด

 คิง เพาเวอร์จัดโปรแรงแห่งปี“Delights&Surprises”1-31ต.ค.64

ช้อปอุ่นเครื่องส่งท้ายก.ย.ทางออนไลน์/แอพ/คอลแชททูช้อป5โปรเด็ด

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #KingPower #DelightsandSurprises

อ่านทั้งหมดได้ในเว็บไซต์ ข่าวสดออนไลน์ ตามลิงค์นี้ https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_6648436


คิง เพาเวอร์” ชวนลุยช้อปโปรโมชั่นแรงที่สุดแห่งปี “Delights and Surprises” 1-31 ต.ค.64 ต้อนรับเดือนเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ครบ 32 ปี ประเดิมโปรสมาชิกซื้อแคชการ์ด 10,000-50,000 บาท ช้อปได้เกินราคาสูงสุด 75,000 บาท กับสินค้าคุณภาพนับหมื่นรายการที่ คิง เพาเวอร์รางน้ำ พัทยา ภูเก็ต รวมทั้งห้ามพลาด!! ช้อปออนไลน์ แอพลิเคชั่น คอลและแชททูช้อป ส่งท้ายกันยายนนี้กับ 5 โปรโมชั่นฮ็อต “นาฬิกา/กระเป๋าลด50%-Once Up on A Month ลด 40%-แจกคูปองส่วนลด6,500บาท-ซื้อแคชการ์ดรับเพิ่มอีก 8,000 บาท-อิ่มฟรี300บาทที่ไทยเทสต์ฮับรางน้ำ”

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ชวนนักช้อปเตรียมตัวให้พร้อมเติมเต็มประสบการณ์เลือกซื้อสินค้าละลานตากับมหกรรมใหญ่ “Delights and Surprises” ตลอดเดือนแห่งความสุข 1-31 ตุลาคม 2564 “โปรโมชั่นแรงที่สุดแห่งปี” ในโอกาสฉลอง คิง เพาเวอร์ ครบ 32 ปี โดยมีสินค้ากว่า 20,000 รายการ ให้ทุกคนได้รับสินค้าคุณภาพจากร้านค้าดิวตี้ฟรีแถวหน้าของเมืองไทย โดยไม่ต้องมีไฟลต์บินก็ช้อปได้ ช้อปง่าย ช้อปปลอดภัย ในเมืองท่องเที่ยวหลักทั้ง 3 สาขา ที่ คิง เพาเวอร์รางน้ำ (กรุงเทพฯ) พัทยา และภูเก็ต

นำร่องด้วยโปรโมชั่น “สมาชิก คิง เพาเวอร์” ซื้อบัตรเงินสดหรือ Cash Card ระหว่าง 1-31 ตุลาคม 2564 มีให้เลือก 3 แบบ แบบแรก ซื้อมูลค่า 10,000 บาท ช้อปได้ 12,500 บาท แบบที่สอง ซื้อมูลค่า 30,000 บาท ช้อปได้ 40,000 บาท แบบที่สาม ซื้อมูลค่า 50,000 บาท ช้อปได้ 75,000 บาท เฉพาะสินค้าที่เข้าร่วมงาน

รวมทั้งมีโปรโมชั่นส่งท้ายเดือน ระหว่างวันที่ 29-30 กันยายน 2564 ให้ช้อปได้อย่างเต็มที่หลากหลายช่องทางพร้อมโปรโมชั่นสบายกระเป๋าดังนี้





โปรโมชั่นที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 50 % เมื่อช้อปออนไลน์ หรือแอพลิเคชั่น King Power เลือกสินค้าแฟชั่นยอดนิยม หมวดนาฬิกาแบรนด์หรูแบรนด์ดัง (ALL ABOUT WATCHES) และหมวดกระเป๋าพร้อมอุปกรณ์ประดับต่าง ๆ (BAGS & ACCESSORIES CORNER)

โปรโมชั่นที่ 2 รับส่วนลดสูงสุด 40 % เมื่อช้อปขั้นต่ำเพียง 3,000 บาทขึ้นไป กับแคมเปญ ONCE UPON A MONTH #ช้อปสักครั้ง7วันพิเศษ โดยคลิกเข้าไปรับรหัสส่วนลดได้ทางเว็บไซต์ www.kingpower.com หรือแอปพลิเคชัน KING POWER มีสินค้าที่เข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายนับหมื่นรายการเช่นกัน



โปรโมชั่นที่ 3 รับคูปองส่วนลดรวมสูงสุดถึง 6,500 บาท ช้อปสุดคุ้ม ให้คุณช้อปได้ทุกวัน ผ่อนคลายได้ทุกวันกับผลิตภัณฑ์สินค้าหมวดความงามหรือบิวตี้ และสปาแบรนด์ไทยที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ พัทยา และ ผ่าน 2 ช่องทาง 1.King Power Chat to Shop แค่แชท ก็ได้ช้อป แบบไม่ต้องมีไฟลต์บิน สะดวก ปลอดภัย ไร้สัมผัส เพียงกดเพิ่มเพื่อนบนไลน์และพิมพ์ @KP_ChatToShop และ 2.King Power Call to Shop กริ๊งเดียวครบ จบทุกการช้อป ด้วยผู้ช่วยช้อปแบบส่วนตัว โทร. 02-338-7870

ให้สิทธิ “สมาชิก คิง เพาเวอร์” รับฟรี! คูปองส่วนลด 6,500 บาท ที่ คิง เพาเวอร์รางน้ำ และพัทยา คูปองใบที่ 1 เมื่อช้อป 8,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ รับส่วนลดทันที 2,000 บาท คูปองใบที่ 2 ช้อป 15,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ รับส่วนลดทันที 4,500 บาท ให้ 1 สิทธิ์/คน/วัน

พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้สมัครฟรีสมาชิก คิง เพาเวอร์ นำไปใช้ช้อปได้ทันทีด้วยส่วนลดอีก 5%


โปรโมชั่นที่ 4 พิเศษ! เพิ่มสิทธิลดสูงสุด 8,000 บาท เมื่อซื้อบัตรเงินสดหรือ Cash Card ก่อนช้อป ให้ทุกคนได้ช้อปคุ้มยิ่งกว่า และเมื่อช้อปด้วยบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ รับคืนสูงสุด 18% จากธนาคารพันธมิตรกว่า 10 แบรนด์


โปรโมชั่นที่ 5 ช้อปอิ่มฟรี! 300 บาท เมื่อช้อปสินค้าที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ครบ 5,000 บาท/ใบเสร็จ รับคูปองรับประทานอาหารที่ศูนย์อาหารสตรีทฟู้ดแถวหน้าของเมืองไทย Thai Taste Hub ชั้น 3 คิง เพาเวอร์ รางน้ำ

นอกจากจะเลือกช้อปสินค้าทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ แอพลิเคชั่น แชทและไลน์ อย่างสะดวกสบาย แล้ว กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังมีบริการให้แบ่งชำระได้ 0% ระหว่างวันนี้ – 31 ธันวาคม นี้ คือ 1.ช้อปครบ 15,000.- (สุทธิ) / 1 รายการสั่งซื้อ แบ่งจ่ายได้นานสูงสุด 10 เดือน หรือ 2.ช้อปครบ 10,000.- (สุทธิ) /1รายการสั่งซื้อ แบ่งจ่ายได้นานสูงสุด 6 เดือน

 


วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2564

“คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย”ลุยสร้างสนามบอลทั่วไทยปีที่ 4 จัดอบรมออนไลน์“บริหารสนามอย่างมืออาชีพ”น้องใหม่18แห่งสุดปลื้ม

“คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย”ลุยสร้างสนามบอลทั่วไทยปีที่ 4

จัดอบรมออนไลน์“บริหารสนามอย่างมืออาชีพ”น้องใหม่18แห่งสุดปลื้ม

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #KingPowerThaiPowerพลังคนไทย   #WeBelieveInThaiPower  #เชื่อในพลังคนไทย 

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เดินหน้าโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” จัดเต็มพลังกีฬา : SPORT POWER  ก่อสร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียม ขนาด 33 x 53 เมตร (7 คนเล่น) ตามมาตรฐานระดับสากล อย่างต่อเนื่องทยอยส่งมอบให้ชุมชนทั่วประเทศ เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้จัดทำ ‘โครงการอบรมหลักสูตรบริหารจัดการสนามฟุตบอลหญ้าเทียมอย่างมืออาชีพ’ ปีที่ 4 เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดูแลสนามฟุตบอล ให้โรงเรียน และชุมชน ที่ผ่านการคัดเลือกจากทั่วประเทศ 18 แห่ง

โดยจัดอบรมในรูปแบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันซูมสอดรับกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้แก่โรงเรียนและชุมชนที่ได้รับสนามฟุตบอลหญ้าเทียมสีน้ำเงิน 18 แห่ง ขณะนี้กำลังทยอยก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2565



นางสาวกรอบแก้ว ปันยารชุน  รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังคงขับเคลื่อนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ได้ปรับรูปแบบการจัดอบรมผ่านทางออนไลน์ เพื่อสร้างความรู้เรื่องการบริหารสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแบบมืออาชีพ ที่ยังคงเนื้อหาการนำเสนอไว้อย่างเข้มข้น เพื่อให้โรงเรียน และชุมชน ที่เข้ารับการอบรม ได้นำเทคนิคต่าง ๆ อย่างถูกวิธีไปใช้ประโยชน์ เพราะหลังก่อสร้างสนามฟุตบอลเสร็จแล้ว ทาง คิง เพาเวอร์ ได้ติดตามดูแลสภาพสนามทุกแห่ง โดยจะจัดส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูแลบำรุงรักษาสนามทุก ๆ 3 เดือนเป็นเวลาติดต่อกัน 6 ปี

ส่วนการอบรมออนไลน์ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาทั้งการออกแบบ ก่อสร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียม อาทิ ดร.พงษ์เทพ นามศิริ ผู้อำนวยการส่วนงานบริหารวิศวกรรมและสาธารณูปโภค และทีมผู้ดำเนินงานก่อสร้าง จากบริษัท Soccer Pro จำกัด และโค้ชจุ่น-อนุรักษ์ ศรีเกิด อดีตโค้ชทีมชาติไทยที่มาเผยเคล็ดลับการฝึกซ้อมให้ประสบความสำเร็จ


รวมทั้งมีตัวแทนจากชุมชนรุ่นก่อน ๆ ที่ได้รับมอบสนามฟุตบอลไปแล้วมาบอกเล่าประสบการณ์ ทั้งด้านงานระบบ การดูแลรักษาสนามหลังใช้งาน ข้อห้ามต่างๆ และการพัฒนาพื้นที่บริเวณสนามโดยรอบควบคู่กันไปด้วย 

นางสุพรรณา แก้วเพิ่มพูน ผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 42 จังหวัดสตูล เล่าว่า ทางโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาสและเด็กกำพร้า ฐานะยากจนกว่า 800 คน เป็นโรงเรียนประจำแบบกินนอน และกลับบ้านเดือนละ 1 ครั้ง แต่ยังมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งผู้ปกครองไม่สามารถมารับกลับบ้านได้ เนื่องจากฐานะยากจน

โรงเรียนจึงทำเรื่องขอสนามฟุตบอลหญ้าเทียม เพราะอยากให้เด็ก ๆ มีพื้นที่เล่นกีฬา และทำกิจกรรมร่วมกัน สร้งความรู้สึกให้เด็กเห็นว่าตัวเองมีคุณค่า และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เบื้องต้นทางโรงเรียนได้เตรียมแผนรองรับในการใช้สนามฟุตบอล โดยแบ่งทีม แบ่งหน้าที่กันดูแลสนามฟุตบอลแล้ว และจะนำเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้จากการอบรมไปปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป


นายสุกิจ จันทบาล ผู้อำนวยการโรงเรียนปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวว่า เมื่อเด็ก ๆ รู้ว่าทางโรงเรียนจะได้รับมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมจาก คิง เพาเวอร์ เป็นแห่งแรกของจังหวัด ทุกคนตื่นเต้นและดีใจมาก ซึ่งทางโรงเรียนมีทีมฟุตบอลชาย และฟุตบอลหญิง เคยไปแข่งจนได้รับรางวัลระดับจังหวัด และระดับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  จึงเชื่อมั่นว่าเมื่อเด็ก ๆ ได้ฝึกซ้อมในสนามฟุตบอลจริงมาตรฐานสากล จะช่วยพัฒนาฝีเท้าได้ไกลกว่าเดิม

และพร้อมผลักดันให้สนามหญ้าเทียมแห่งนี้เป็นศูนย์รวมจัดแข่งขันกีฬาทุกระดับในอำนาจเจริญ การอบรมครั้งนี้ ได้เก็บเกี่ยวความรู้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการดูแลรักษาสนาม เพื่อทำให้สนามแห่งนี้อยู่คู่กับชาวอำนาจเจริญในระยะยาว



โค้ชจุ่น-อนุรักษ์ ศรีเกิด อดีตโค้ชทีมชาติไทย กล่าวว่า รู้สึกดีใจแทนทุกโรงเรียนและชุมชนที่ได้รับสนามฟุตบอลที่ดี และได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งสนามฟุตบอลที่ดีจะช่วยฝึกเด็ก ๆ ที่เอาจริงเอาจังกับกีฬาฟุตบอลได้รวดเร็วขึ้น การเลี้ยง การส่งลูกฟุตบอลก็จะดียิ่งขึ้น และอยากฝากให้ผู้ดูแลทีม โค้ช ควรหาแมทช์แข่งขันให้เด็กได้ออกไปแข่งขันจริงอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์จริง เรียนรู้ข้อดีข้อเสียของทีม การมีน้ำใจนักกีฬา แล้วกลับมาพัฒนาฝีเท้าให้เก่งกว่าเดิม เตรียมการฝึกร่างกายให้แข็งแรง มีสมาธิ มีระเบียบวินัย รับรองว่าความฝันในการได้ระดับแชมป์ต้องมาถึงสักวัน และขอให้ทุกโรงเรียน ชุมชน ที่ได้รับสนามฟุตบอลหญ้าเทียมจากคิง เพาเวอร์ ช่วยกันรักษา และใช้ประโยชน์จากสนามแห่งนี้ให้มากที่สุดต่อไป

สำหรับโรงเรียนและชุมชนที่ได้รับมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมปีที่ 4 รวม 18 แห่ง ได้แก่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ได้แก่ 1.โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี  2.โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร จ.หนองบัวลำภู 3.โรงเรียนปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ 4.ชุมชนเทศบาลตำบลดอนตาลผาสุก จ.มุกดาหาร

ภาคกลาง 6 แห่ง ได้แก่ 1.โรงเรียนป่าเด็งวิทยา จ.เพชรบุรี 2.โรงเรียนวัดด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี 3.โรงเรียนธัญบุรี จ.ปทุมธานี 4.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) จ.นนทบุรี 5.โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลกรับใหญ่ จ.ราชบุรี 6.โรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค จ.สระบุรี

ภาคใต้ 2 แห่ง ได้แก่ 1.โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 42.สตูล 2.โรงเรียนเทศบาล 1 (สังขวิทย์) จ.ตรัง

ภาคเหนือ 5 แห่ง ได้แก่ 1.ชุมชนบ้านสักลอ จ.พะเยา  2.โรงเรียนท่าข้ามวิทยาคม จ.แพร่ 3.โรงเรียนศรีนคร จ.สุโขทัย 4.ชุมชนบ้านป่าซ่าน จ.พิษณุโลก 5.โรงเรียนมัธยมกัลยานิวัฒนาเฉลิมพระเกียรติ จ.เชียงใหม่

“กรุงเทพมหานคร” 1 แห่ง ได้แก่ ชุมชนตำรวจกองปราบปราม

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ พร้อมจะเติมพลังเพื่อสร้างประโยชน์สู่สังคม ให้ทุกคนได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ภายใต้ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย”

 


วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2564

ทอท.โชว์ผลศึกษา IATA+SKYTRAXลุยส่วนต่อสุวรรณภูมิ3ทิศ “เหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก”รอรับผู้โดยสารอนาคตฟื้น120ล้าน/ปี

 ทอท.โชว์ผลศึกษา IATA+SKYTRAXลุยส่วนต่อสุวรรณภูมิ3ทิศ

“เหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก”รอรับผู้โดยสารอนาคตฟื้น120ล้าน/ปี

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #AOT #สุวรรณภูมิต่อขยายเหนือตะวันออกตะวันตก



บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” รายงานว่า ผลจากมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทภส.) ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีแนวทางให้ ทอท.ว่าจ้างสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนพัฒนาท่าอากาศยาน ให้ประเมินระดับการให้บริการ (Level of Service: LoS) ควบคู่ทำการศึกษาแผนแม่บทฉบับเดิมและฉบับปรับปรุงปัจจุบัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารสุวรรณภูมิ (ทสภ.)

เนื่องจากผลการศึกษาของ IATA สอดคล้องกับผลประเมินการจัดอันดับท่าอากาศยานของ Skytrax มีจุดบริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกในสุวรรณภูมิที่ยังอยู่ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน ส่งผลต่อความพึงพอใจและความสะดวกสบายของผู้ใช้บริการในพื้นที่ โดยแบ่งปัญหาได้เป็น 2 กลุ่ม คือ



กลุ่มที่ 1: สิ่งอำนวยความสะดวกไม่เพียงพอ (Under-provided) หรือเข้าขั้นวิกฤต ทาง IATA ระบุเป็นพื้นที่สีแดงและจำเป็นต้องปรับปรุง ได้แก่

1.1 ชานชาลารับ-ส่งผู้โดยสาร (Curbside) ขาเข้าและขาออก ประสบปัญหาความแออัด เนื่องจากมีความยาวจำกัดเพียง 620 เมตร สวนทางความต้องการใช้งานมีมากถึง 812 เมตร หรือเกินขีดความสามารถกว่า 30 %

1.2 จุดตรวจหนังสือเดินทาง (ขาเข้า-ตรวจคนเข้าเมือง) และจุดตรวจค้น (เที่ยวบินภายในประเทศ)

กลุ่มที่ 2: สิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม (Sub-optimum) ถูกจัดเป็นพื้นที่สีส้มและจำเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการ ได้แก่ เคาน์เตอร์เช็กอิน จุดตรวจหนังสือเดินทาง (ตรวจคนเข้าเมือง) จุดตรวจค้น (เที่ยวบินระหว่างประเทศ และเปลี่ยนเที่ยวบิน) จำนวนหลุมจอดพร้อมใช้งาน


ดังนั้น AOT จึงต้องแก้ไขปัญหาจุดบริการ และพัฒนาศักยภาพสุวรรณภูมิ โดยจะต้องเดินหน้าแผนพัฒนาพื้นที่ส่วนต่อขยายสนามบินสุวรรณภูมิครอบคลุมทั้ง 3 ทิศ “เหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก” จะทำให้เกิดความสมดุลพร้อมทั้งบริเวณภายในโซนก่อนขึ้นเครื่องบิน  (Airside) และโซนบริการด้านหน้าก่อนผ่านระบบตรวจการเดินทาง (Landside) เพื่อเตรียมรองรับผู้โดยสารอนาคตระยะยาวปีละ 120 ล้านคน ทำให้สุวรรณภูมิ กลับมาเป็นประตูสู่ประเทศไทย สนามบินชั้นนำของโลกได้อีกครั้งต่อไป ประกอบด้วย



ส่วนที่ 1 พื้นที่ส่วนต่อขยาย “ด้านทิศเหนือ : North Expansion” เพื่อเพิ่มเติมพื้นที่ให้บริการที่สำคัญ เช่น ชานชาลารับส่งผู้โดยสาร อาคารจอดรถ ปรับปรุงระบบจราจร พื้นที่เคาน์เตอร์เช็กอิน จุดตรวจค้น จุดตรวจหนังสือเดินทาง และสายพานรับกระเป๋า

เพื่อเตรียมความพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายใต้วิถีชีวิตแบบใหม่ (Transport New Normal)หลังผลสถานการณ์โควิด-19 จะต้องเพิ่มมาตรการ เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การตรวจคัดกรองโรค การแยกพื้นที่ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ นำระบบเทคโนโลยีอัตโนมัติต่าง ๆ มาให้บริการ อาทิ  Self Service Check-in, Self Service Bag drop, Passenger Validation, Self-Boarding Gate, Automated Biometric Identification

ส่วนที่ 2 จะพัฒนา “พื้นที่ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก : East Expansion” การก่อสร้างอาคารต่อขยายจากอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน เพิ่มพื้นที่อาคารผู้โดยสารให้ได้ราว 66,000 ตารางเมตร เบื้องต้นวางแผนจะใช้พื้นที่ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก “รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ” เพิ่มพื้นที่รองรับเช็กอินล่วงหน้า หรือ Early Check-in เพื่อให้บริการผู้โดยสารที่มาถึงก่อนเวลาเปิดเคาน์เตอร์ตรวจตั๋วโดยสารสายการบิน แก้ปัญหาผู้โดยสารความแออัด

ส่วนที่ 3 “ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันตก : West Expansion” ทอท.อยู่ระหว่างศึกษาควบคู่การพัฒนาเพื่อเพิ่มพื้นที่ผู้โดยสารโล่งขึ้น สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศในอนาคตปีละ 30 ล้านคน



วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2564

ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ชงศบค.27ก.ย.64ปลดล็อกร้านอาหารเปิดขายแอลกอฮอล์ถึง4ทุ่ม หวังจ้างงานเพิ่ม10,000ราย

 “ภูเก็ต”ชงศบค.27ก.ย.64ปลดล็อกร้านอาหารเปิดขายแอลกอฮอล์ถึง4ทุ่ม

หวังจ้างงานเพิ่มครบวงจรได้อีก10,000ราย-แก้ปัญหาท่องเที่ยวอนาคต

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #PhuketSandbox #SamuiPlus


นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในฐานะประธานโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 27 กันยายน 2564 ถึง “ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19” เรื่อง “เสนอแนะเชิงนโยบายในการปรับมาตรการควบคุมโรคในสถานประกอบการหรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดภูเก็ต

 



เนื้อหาหลัก ข้อที่ 1 คือ ขอให้ที่ประชุม ศบค.วันนี้ 27 กันยายน 2564 พิจารณาปลดล็อกการเปิดบริการ “ร้านอาหารและเครื่องดื่ม” ในจังหวัดภูเก็ต สามารถ “ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้” พร้อมทั้งเปลี่ยนเวลาใหม่เป็น 11.00-22.00 น.แทนปัจจุบันให้ขายได้ในเวลา 11.00-14.00 น. เท่านั้น โดยระบุเหตุผลการเป็นพื้นที่นำร่องโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวโดยไม่กักตัว 14 วัน

 

โดยคาดหวังหาก ศบค.ปลดล็อกให้ “ร้านอาหารและเครื่องดื่ม” ขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในภูเก็ต จะเกิดผลบวกทางเศรษฐกิจ 3 เรื่อง คือ

1.เกิดการจ้างงานในภูเก็ตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 10,000 อัตรา กับอาชีพหลัก ๆ เช่น พนักงานครัว พนักงานบริการ นักร้อง นักดนตรี พนักงานรักษาความปลอดภัย และอื่น ๆ

2.สร้างอาพชีพให้ประชาชน เมื่อเปิดสถานประกอบการในซอยบางลา ตำบลป่าตอง รวมทั้งขายสินค้า ขายของที่ระลึกต่าง กลุ่มแม่ค้ารถเข็นที่หาเลี้ยงชีพดูแลครอบครัว กลุ่มคนขับรถสาธารณะ

3.ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยโครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ให้สมบูรณ์ครบวงจร ป้องกันปัญหาอาจเกิดวิกฤตระยะยาวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภูเก็ตในอนาคต



 

ขณะเดียวกันจังหวัดภูเก็ตยังมีข้อเสนอแนะไปยัง ศบค.เพื่อประกอบการพิจารณาครั้งนี้อีก 4 ข้อ ดังนี้

ข้อที่ 2 แนวทางปฏิบัติในร้านอาหาร และเครื่องดื่ม มี 3 ข้อย่อย

2.1 มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ให้ มีจุดควบคุมเข้า-ออก ทางเดียว มีบริการเจลแอลกอฮอล์ จัดโต๊ะห่างกัน 1 เมตร นั่งได้โต๊ะละไม่เกิน 4-6 คน พื้นที่ร้านที่ขายอาหารและเครื่องดื่มแบบเปิดโล่งไม่มีแอร์ปรับอากาศ ให้รับลูกค้าได้ 75 % ถ้าเป็นร้านห้องแอร์ รับได้ไม่เกิน 50 % รวมทั้งต้องทำความสะอาดฆ่าเชื้อ และจัดการขยะมูลฝอยให้เรียบร้อยทุกวัน

2.2 มาตรการด้านการปฏิบัติของพนักงานในร้าน ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ตรวจ ATK ทุกคน ระหว่างบริการต้องใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัยตลดเวลา

2.3 มาตรการลูกค้าที่มาใช้บริการ ต้องรับวัคซีน 2 เข็ม โชว์บัตรประชาชน และปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองการเข้าร้านด้วย TST : Thai Save Thai หรือแอพลิเคชั่นอื่น  ๆ หากเคยเป็นโควิดต้องมีใบรับรองแพทยนับจากที่หายจากโรคแล้วไม่เกิน 90 วัน



ข้อที่ 3 มาตรการและแนวทางปฏิบัติของกิจกรรม -การแสดงดนตรี มีถึง 5 ข้อย่อย ที่จะต้องให้นักดนตรีและผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ข้อที่ 4 แนวทางการกำกับดูแล -แต่ละร้านต้องมีผู้จัดการ SHA Plus Manager และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครองคอยกำกับดูแล

ข้อที่ 5 มาตรการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ – ผู้ประกอบการต้องจัดตั้งกลุ่มไลน์ เพื่อใช้สื่อสารข้อมูลให้เข้าใจและปฏิบัติร่วมกันทั้งจังหวัด และแต่ละเขตพื้นที่ และอื่น ๆ

 


@ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 88วันนักท่องเที่ยว3.7หมื่นจอง6.42แสนคืน

“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) รายงานสถิติประจำวัน “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ผลสรุป ณ วันที่ 26 กันยายน 2564  ระหว่าง 1 กรกฎาคม – 26 กันยายน 2564

1.มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตสะสมรวมทั้งหมด 37,477 คน

2.ยอดจองห้องพัก 542,256 คืน

3.จำนวนเที่ยวบินเข้าภูเก็ต  6 สายการบิน 8 เที่ยว/วัน ได้แก่ การบินไทย 2 เที่ยว สิงคโปร์แอร์ไลน์ส 2 เที่ยว/วัน ที่เหลือวันละ 1 เที่ยว คือ กาตาร์แอร์เวย์ส แอลอัลอิสราเอล เจ็ตสตาร์เอเชีย

4.มีผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 193 ราย มาจากคนในประเทศทั้งหมด ส่วนจากแซนด์บ็อกซ์ไม่พบยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่

 


สำหรับการเดินทางเข้าพื้นที่ 7+7 จากภูเก็ต ไปยัง สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา

1.มียอดนักท่องเที่ยวสะสมรวม 11,508 คน ไปยัง “สุราษฎร์ธานี” มากสุดรวม 6,035 คน และไปเกาะสมุยมากอันดับ 1 รวม 4,462 คน ส่วน “พังงา” มีรวม 3,381 คน  กับ “กระบี่” มีรวม 2,092 คน



จับตา!!ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว3เดือนแรกไม่ถึง10ล้านคน

  นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 1 ม.ค.-31 มี.ค.2568 ได้แค่ 9.5 ล้านคน จับตา !! ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว 3 เดือนแรกไม่ถึง 10 ล้านคน เม.ย.นี้ร...