ธุรกิจรถบัสนำเที่ยว2หมื่นคันวอนรัฐผ่าทางรอด
ปลดล็อกก่อนอุตฯท่องเที่ยวทั้งประเทศสะเทือน
คิงเพาเวอร์28ปีสินค้าแบรนด์แห่ลด17-19พ.ย.
จัดใหญ่6ขบวนแห่ปีเที่ยวยั่งยืนปิดถนน3.5กม.
สมาชิกบางจากเติมฟรีรีฟิลโชคดีติ่มซำ28แห่ง
สุวรรณภูมิตีปีกปี’61คาดผู้โดยสารพุ่ง63ล้าน
เที่ยวชุมชนโบราณนครชุม-สูตรลับอาหารไทย
เจาะลึก5เทรนด์การบิน5ปีหน้าเปลี่ยนโลก
รร.อัมราเสิร์ฟเมนูหายากที่ห้องเอเลเมนท์
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.
ช่วงที่ 1 ฟังกระแสร้อนของกลุ่มธุรกิจรถบัสนำเที่ยวกับ “คุณจิระเดช ห้วยหงส์ทอง” ประธาน บริษัท โทเทิ่ล บิซ คอนเน็ค จำกัด และผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะมาสะท้อนความจริง ในช่วงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขาขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ทว่าผู้ประกอบการคมนาคมขนส่งนักท่องเที่ยวกลับถูกกดดันรอบด้าน ส่งผลไปถึง “มาตรฐานความปลอดภัยในคุณภาพรถบริการ” แต่จะผ่าทางรอดเพื่อยกระดับสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้ รัฐเองก็ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้เป็นค่าบำรุงรักษารถภาคขนส่งหลังจากที่รัฐเก็บภาษีสูงปรี๊ดมาอย่างยาวนาน
คุณจิระเดช ห้วยหงษทอง ประธาน บริษัท โทเทิ่ล บิซ คอนเน็ค จำกัด และผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยในรายการถึงประเด็นร้อนแรงของ “ธุรกิจรถบัสนำเที่ยวทั่วประเทศกว่า 20,000 คัน” ในสถานการณ์ท่องเที่ยวขาขึ้น ต้องการให้รัฐสนับสนุนหาแหล่งเงินทุนมาช่วยนำไปบำรุงรักษา เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางโดยตรง อีกอย่างถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์ย่ำอยู่กับที่อนาคตไทยอาจจะถูกเพื่อนบ้านชิงส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวไป เพราะต้นทุนเรื่องรถบัสนำเที่ยวพุ่งปรี๊ดจากภาษีนำเข้า
คุณจิระเดชเปิดเผยว่าโดยภาพรวมสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวมีการจองล่วงหน้าเติบโตสูงมากเป็นช่วงฤดูเดินทางหนาแน่น ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้รถบัสบริการนำเที่ยวซึ่งปัจจุบันทั่วประเทศ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา รวมแล้วที่ได้มาตรฐานมีอยู่กว่า 20,000 คัน ซึ่งผู้ประกอบการได้นำไปปรับปรุงในช่วงนอกฤดูการใช้งาน ตอนนี้พอนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจำนวนความต้องการก็มีสูง ทั้งจากตลาดนักท่องเที่ยว รับส่งพนักงาน เด็กและเยาวชนทัศนศึกษา กระจายสัดส่วนไปตามสภาพของกำลังซื้อ
ส่วนรถบัสนำเที่ยวในประเทศไทยยังมีอยู่หลายมาตรฐาน เพราะบางกลุ่มก็นำรถบรรทุกมาทำเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง กลุ่มที่สอง รถนำส่วนประกอบเป็นบัส กลุ่มสามคือนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งภาครัฐเริ่มเข้มงวดมากขึ้น จึงทำให้ “ต้นทุนการซื้อบัสราคาสูงมาก” ราคาแต่ละคันปกติจะเฉลี่ยประมาณ 4-5 ล้านบาท ซึ่งจะต้องจ่ายภาษีนำเข้าไม่ต่ำกว่า 40 % ทั้งมีค่าตกแต่งสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบบันเทิงภายในรถ เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้าไปด้วย ปัจจุบันยังมีรถบัสประเภทยาวกว่าทั่วไปจาก 12 เป็น 14 เมตร เพิ่มเข้ามาอีกกลุ่ม ดังนั้นการลงทุนจึงสูงไปตามเงื่อนไขของออปชั่นและค่าดอกเบี้ยเงินกู้มาซื้อรถแต่ละคันอาจจะถึง 8-9 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบรถบัสนำเที่ยวไม่ประจำทางแล้ว ประเทศไทยยังคงมีมาตรฐานดีกว่าอีกหลายประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วยกัน แต่มีจุดอ่อนเรื่องการลงทุนใช้เงินสูงกว่าหลายเท่า
โดยเฉพาะ “ต้นทุนการนำเข้ารถ” ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูง แข่งขันกับประเทศแถบเพื่อนบ้านลำบาก อย่างในกลุ่มอินโดจีน CLMV นำเข้ารถจากญี่ปุ่น เกาหลี เป็นฐานส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยจ่ายภาษีต่ำ แตกต่างจากเมืองไทย หากภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของรถนำเที่ยวที่จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวมแล้ว ก็ควรพิจารณา “ลดต้นทุนซื้อรถ”
หากไม่สามารถดำเนินการเรื่องภาษีได้ก็ต้องสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เพื่อมาปรับปรุงเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นเรื่องต้นทุนเมื่อรวมทุกอย่างแล้วเฉลี่ยคันละ 8-9 ล้านบาท ถ้าปลดล็อกแหล่งเงินได้ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจได้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพราะตามปกติลงทุนขนาดนี้กว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลา 8-10 ปี เพราะรถนำเที่ยวต้องขึ้นอยู่กับตลาดท่องเที่ยวที่มีช่วงโลว์และไฮซีซัน รวมถึง “รายได้จากราคาเช่า” ซึ่งบริษัทนำเที่ยวจะจ่ายแตกต่างกัน เพราะใช้จ่ายรถแต่ละคันเดือนละประมาณ 90,000 บาท ยังไม่รวมจ่ายค่าบำรุงรักษาความสึกหรอของอุปกรณ์ต่าง ๆ ค่าน้ำมัน แล้วมีค่าใช้จ่ายวันละเกิน 5,000 บาท แต่ “ราคาตลาดในการเช่าใช้บริการ” เฉลี่ยทำรายได้เพียงวันละ 3,000-4,000 บาท เท่ากับเจ้าของรถแทบจะไม่มีเงินส่วนที่เหลือไปปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัย
สำหรับการคิดค่าเช่ารถบัสนำเที่ยว จะแบ่งเป็น “ตลาดยุโรป” จะทำราคาได้สูงกว่าตลาดจีนหรือเอเชียประมาณ 2 เท่า ขึ้นอยูกับการใช้งานตามเส้นทางท่องเที่ยว ระยะทางใกล้-ไกล ต่างกัน
ตลาดอินเดีย กับจีน เฉลี่ยคันละ 4,000-5,000 บาทต่อวัน ส่วนยุโรป เยอรมัน รัสเซีย และอื่น ๆ จะจ่ายแพงกว่าเฉลี่ยคันละ 10,000-11,000 บาทต่อวัน
การเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังเมืองไทยปีนี้เกือบ 10 ล้านคน ก็มีผลดีต่อการใช้รถนำเที่ยว แต่ก็โดนกดราคาต่ำลงเพราะวิ่งระยะใกล้แต่จำนวนรอบวิ่งจะสูง จึงทำให้อุปกรณ์ยิ่งเสื่อมโดยไม่มีเงินเหลือไปซ่อมแซมค่าสึกหรอ ทำให้ความปลอดภัยอาจจะอยู่ในระดับต่ำลงเปอร์เซ็นต์ที่นักท่องเที่ยวจะไม่ปลอดภัยก็ตามมาด้วย เพราะในตลาดก็ยังคงมีการตัดราคากันอย่างรุนแรง จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ใช่เจ้าของรถโดยตรงแต่มีรถไว้ให้ใช้ฟรี
ด้วยปัญหารอบด้านของรถบัสนำเที่ยวไม่ประจำทาง เผชิญความกดดันรอบด้าน จึงต้องขึ้นอยู่กับ “แต่ละบริษัทของผู้ประกอบการเดินรถ” มีพื้นฐานในการจัดทำข้อมูลสำนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วแบ่งตามกลุ่มรถตามขนาดจำนวนที่นั่งของรถ จะรักษาคุณภาพไว้เพื่อที่จะต่อรองราคาเช่าได้สูงตามไปด้วย และต้องมีกลยุทธ์ “ขายพ่วง” ด้วยการให้คำแนะนำแก่ผู้เช่าเพื่อขอเพิ่มราคากับลูกค้าได้
คุณจิระเดชกล่าวว่า กลุ่มธุรกิจรถบัสนำเที่ยวก็พยายามถีบตัวเองขึ้นไปสู่การเป็น รถบัส ตามนวัตกรรม 4.0 ด้วยทำการตลาดนำโซเชียลเน็ตเวิร์ค กับเรื่องของเทคโนโลยีทางจีพีเอสเข้ามาช่วยให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในเฉพาะกลุ่ม
ปัจจุบันรถบัสนำเที่ยวมีส่วนแบ่งรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งโตวันโตคืนเพียงแค่ 3-5 % หรือคิดไม่ถึงหลักหมื่นล้านบาทจากรายได้ท่องเที่ยวของประเทศรวมแต่ละปี เนื่องจากผู้ใช้มีทางเลือกในการใช้รถตู้ และรถบริการอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม “รถบัสนำเที่ยว” เป็นกลไกหลักและตัวแปรสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในบริการคมนาคมขนส่งเพื่อนำนักท่องเที่ยวไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นจึงต้องการจะฝากไปถึงหน่วยงานภาครัฐหากเล็งเห็นถึงหลักบูรณาการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก็ควรจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มรถบัส เพื่อเติบโตอย่างมีมาตรฐานความปลอดภัยและพัฒนาได้อย่างประสิทธิภาพ ก้าวสู่ความยั่งยืนเหมือน ๆ กันได้ทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์จัดทัพแบรนด์ถล่มราคา17-19พ.ย.นี้”
นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ได้จัดฉลองครบรอบ 28 ปี การดำเนินธุรกิจ โดยได้จัดบิ๊กเซอร์ไพรส์ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2560 เอาใจขาช้อปนักเดินทาง ด้วยการมอบส่วนลดสูงสุดถึง 30% ในงาน ”28th Anniversary Discover Endless Surprises”
โดยได้เตรียมจัดทัพสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วโลกให้เลือกช้อปกันอย่างจุใจ พร้อมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย พิเศษ! สำหรับผู้ที่มียอดซื้อสูงสุดตลอดทั้งงาน รับเงินคืนเข้าบัตรสมาชิกสูงสุด 10,000 บาท งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 19 พฤศจิกายน 2560 เฉพาะที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เท่านั้น สอบถามเพิ่มเติม โทร.1631
และตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังฉลองต่อเนื่องภายใต้แคมเปญ “28th Anniversary Discover Endless Surprises” สำหรับลูกค้าคนไทยและสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ เพียงลงทะเบียนรับคูปองส่วนลด มูลค่า 500 บาท ทันที สำหรับใช้ซื้อสินค้ามูลค่า 5,000 บาทขึ้นไป พิเศษ! เมื่อช็อปครบทุก 20,000 บาท รับฟรีบัตรกำนัลมูลค่า 1,400 บาท และอื่น ๆ อีกมากมาย เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 พฤศจิกายน 2560 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต สอบถามเพิ่มเติม โทร.1631
ข่าวที่ 2 “เปิดเที่ยววิถีไทย6ขบวนใหญ่ปิดถนน3.5กม.”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี จะทำพิธีเปิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน-Amazing Thailand Tourism Year 2018” ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ระหว่างเวลา 17.00-21.00 น. โดยจะใช้เส้นทางขบวนแห่การแสดงวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว อย่างยิ่งใหญ่ จากบริเวณหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ถึงสวนลุมพินี
เส้นทางขบวนแห่ ระยะทาง 3.5 กม. จะต้องปิดการจราจรตามเส้นทางขบวนปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560 บริเวณ เส้นพระราม1 (ขาออก) ฝั่งสยามดิสคัฟเวอรี่ จากแยกปทุมวัน ถึง สยามพารากอน แยกเฉลิมเผ่า ปิดเวลา 17:00-21:00 น. ส่วนเส้นทางการจราจรฝั่งพระราม 1 (ขาเข้า) เปิดให้ใช้ได้ตามปกติ
โดยตั้งเป้าจะกระตุ้นคนไทยออกมาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศและชาวต่างชาติกเดินทางเข้าท่องเที่ยว ร่วมชมขบวนเปิดปีท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋อย่างยั่งยืน เริ่มใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 - 1 มกราคม 2562 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15 พ.ย. 2560 ณ บริเวณด้านหน้าห้างสยามดิสคัฟเวอรี่ ในช่วงเวลา 17.00-21.00 น. โดยในส่วนของขบวนรถจะใช้เส้นทางจาก สนามกีฬาแห่งชาติ-ถ.พระราม 1-แยกราชประสงค์-สวนลุมพินี
โดยมีขบวนรถ 6 ขบวน ประกอบด้วย 1 ขบวนตราสัญลักษณ์ 2. ขบวนประเพณีไทย 5 ภาค 3. ขบวนอรรถรสไทย 4. ขบวนสีสันเทศกาล 5. ขบวนกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 6. ขบวนเจ้าบ้านที่ดี
ขบวนที่ 1 ขบวนตราสัญลักษณ์ปีท่องเที่ยววิถีไทย
ประกอบด้วย ตราสัญลักษณ์ปีท่องเที่ยวไทยประดับไฟสวยงาม เดินนำขบวนโดย คุณนิษฐา (มิว) จิรยั่งยืน เป็นนางประทุมวดีเชิญตราสัญลักษณ์ บนดอกบัวในสระโบกขรณี สื่อถึงสายสัมพันธ์จะทำให้เราทุกคนมีความห่วงใยรักใคร่ และผูกพันต่อกันอย่างแนบแน่น เพราะความรักใคร่ปรองดอง ของไทยจะทำให้มีความสุข
ขบวนที่ 2 ขบวนประเพณีไทย 5 ภาค
ประกอบด้วย สถาปัตยกรรมไทยและประติมากรรมในประเพณีไทยทั้ง 5 ภาค ได้แก่
“ภาคเหนือ” จำลองวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จ.เชียงใหม่ ประกอบการแสดงฟ้อนเมือง และประเพณีรับพระธาตุเจ้าเข้าเวียง
“ภาคใต้” จำลองวัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ประกอบกับการแสดงมโนรา และประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” จำลองพระธาตุพนม จ.นครพนม ประกอบกับการแสดงรำภูไท
“ภาคกลาง” จำลองประเพณีสงกรานต์มอญสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบกับการแสดงกลองยาว
ขบวนที่ 3 อรรถรสไทย
ประกอบด้วย การจำลองอาหารคาวหวานและเครื่องปรุงซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมาประดับรถ เช่น ต้มยำกุ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ทับทิมกรอบ และคุณ เก่ง ธชย ขับเสภาเครื่องคาวหวาน
ขบวนที่ 4 สีสันเทศกาล
ประกอบด้วย การนำเทศกาลเด่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในไทย เช่น งานโชว์เหล่าฮีโร่ต่าง ๆ งานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ งานเทศกาลว่าวนานาชาติ (Innovation Festival)
ขบวนที่ 5 กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว (Sports Tourism)
ประกอบด้วย การนำเอากีฬาที่จะเกิดขึ้นในไทยในปี 2561 การแข่งขัน Air Race 1 Thailand, Moto GP, Amazing Thailand marathon Bangkok 2018, การไหว้ครูมวยไทยโลก และนำนักกีฬาที่มีชื่อเสียงเดินเข้าร่วมขบวนประกอบกับการแสดง Marching Band
ขบวนที่ 6 ขบวนเจ้าบ้านที่ดี
ประกอบด้วย การจำลองเครื่องบินลงสู่ไทย และมีหลากหลายอาชีพ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่คอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยวให้เป็นที่ประทับใจ ผู้เข้าร่วมขบวนจะแต่งกายด้วยชุดอาชีพต่าง ๆ ร่วมกันเต้นด้วยท่าทางสนุกสนาน เช่น กัปตัน พนักงานสายการบิน ต.ม. คนขับแท็กซี่
การจอดแสดงรถประดับไฟฟ้า จะจอดแสดงในวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2560 เวลา 18.00 – 21.00 น. ณ บริเวณลานด้านหน้าอนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6
ข่าวที่ 3 “ททท.นำทัพรุกขายNew ShadeวิถีไทยในWTM”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่าได้นำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเดินทางเพื่อเข้าร่วมงาน “World Travel Market 2017” (WTM 2017) งานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญที่สุดในสหราชอาณาจักร ซึ่งไทยเข้าร่วมมาเป็นครั้งที่ 37 โดยมีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยเข้าร่วมจำนวน 34 ราย ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ท 29 ราย บริษัทนำเที่ยว 4 ราย และสายการบิน 1 ราย ในพื้นที่พื้นที่ขนาด 420 ตารางเมตร เพื่อจัดสรรให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทย จำนวน 36 ราย
โดยนำเสนอแคมเปญ “Open to the New Shades” คือ การเปิดประเทศไทยในมุมมองใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เข้ามาสัมผัสความเป็นไทยผ่าน Million Shades of Thailand ความหลากหลายในเชิงลึกซึ่งประเทศไทยเต็มไปด้วยความหลากหลายของกิจกรรม สถานที่-ท่องเที่ยว มีความเป็นอยู่ มีวิถีชีวิต มีวิถีการกิน พร้อม VDO Wall จำนวน 4 จอ สำหรับนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาและภาพ แหล่งท่องเที่ยว พร้อมกับนำเสนอสินค้าด้านกีฬา Sports Tourism ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาระดับโลก MotoGP World Championship 2018 วันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่าตลาดยุโรปเป็นลูกค้าหลักสำคัญของไทย โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรในปี 2559 เดินทางท่องเที่ยวไทยมากสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี
ส่วนสถิติปี 2559 มีนักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรมาไทยรวม 965,000 คน เพิ่มขึ้น 7.63 %สร้างรายได้ 76,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 % เป็นตลาดที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคยุโรป และอันดับที่ 4 ของรายได้จากต่างชาติทั้งหมด โดยภาพรวมการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2555-2559 มีทิศทางที่สดใส ด้านจำนวนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5 % รายได้เติบโตเพิ่มปีละ 9 %
ข่าวที่ 4 “บางจากแจกรีฟิลด์สมาชิกในโชคดีติ่มซำ28แห่ง”
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ระหว่างวันนี้ - 30 เม.ย. 61 ให้สมาชิกบัตรบางจากใช้ 39 คะแนนแลกรับฟรี !!! รีฟิวเครื่องดื่มไม่อั้น ที่ร้านโชคดีติ่มซำ เครื่องดื่ม Refill เก๊กฮวย/ชาเขียว 1 แก้ว (มูลค่า 39 บาท) ได้ตามสาขาต่าง ๆ ที่ที่ร่วมรายการ 28 สาขา
วิธีรับสิทธิ์ กด*766*78*19*หมายเลขบัตร16หลัก#แล้วโทรออก ตามขั้นตอน • นำรหัสจาก SMS Code หลัก มาแสดงให้พนักงานเพื่อรับสิทธิ์ ก่อนชำระเงิน• จำกัดการแลก 1 ครั้ง/ 1 สิทธิ์
ข่าวที่ 5 “สุวรรณภูมิตีปีกปี’61ผู้โดยสารทะลุ63ล้านคน”
นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า แนวโน้มปี 2561 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารใช้บริการรวม 63 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5% การเดินทางผ่านเข้าออกสนามบินจะเริ่มหนาแน่นตั้งแต่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเดือนพฤศจิกายน 2560-กุมภาพันธ์ 2561 คาดจะมีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยมากถึงวันละ 1.8 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 5-6% ส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินตรงจากเมืองรองในประเทศแถบเอเชีย อาทิ จีน อินเดีย ส่วนอาเซียนมีปริมาณการจราจรหนาแน่นมากกว่าทุกปีเช่นกัน
ช่วงที่ 2 ติดตามเรื่องดี ๆ มีความสุขกับการได้ออกไปสัมผัสวิถีชีวิต “ชุมชนนครชุม” จังหวัดกำแพงเพชร ที่มีอารยธรรมความหลากหลายชาติพันธุ์กว่า 200 ครอบครัวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐาน โดยรักษารากแห่งความดีงามไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมมาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นมาเรียนรู้ถึงการดูแลสุขภาพไม่ให้ “หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” และข่าวเจาะลึกเทรนด์การบินโลกในอีก 5 ปีหน้า หุ่นยนต์จะเข้ามาบริการแทนคนตามสนามบินยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งจะแข่งกันสร้างจุดขายโดยเนรมิตสนามบินให้กลายเป็นเมืองมหัศจรรย์ ส่วนที่นั่งเฟิร์สคลาสส่งสัญญาณสูญพันธ์
@เที่ยวชุมชนโบราณนครชุม กำแพงเพชร
สถานที่ท่องเที่ยวในภาคเหนือตอนล่างอย่าง “นครชุม” เป็นชุมชนตลาดโบราณ แหล่งรวมการสืบสานสูตรอาหารและพระเครื่องขึ้นชื่อในจังหวัดกำแพงเพชร ชาวบ้านแถบนี้มีหลายเชื้อชาติ เมื่อครั้งอดีตอพยพมาจาก สปป.ลาว เมียนมา ไทยใหญ่ จีน กระเหรี่ยง ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมเรื่องวิถีชีวิตการกินและการปั้นข้าวของเครื่องใหญ่ด้วยดินเผาแบบโบราณ
การไปพักผ่อนและท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ในชุมชนนครชุม ควรใช้เวลาสัก 2 วัน มีโรงแรมเก๋ ๆ ให้เลือกอย่าง ชากังราว ริเวอร์วิว อยู่ติดแม่น้ำปิง โรงแรมเพชร อยู่ใจกลางเมือง หรือจะพัก บ้านดิน บามีรีสอร์ต ใกล้ริมน้ำปิง แวดล้อมด้วยสวนสีเขียว อีกทั้งยังสะดวกในการเดินทางไปตามสถานที่น่าสนใจมากมาย
เริ่มจากวันแรก “ตลุยกิน” ตั้งแต่มื้อเช้ากับเมนูขึ้นชื่อ “ขนมจีบแป้งสด” แสนอร่อยกับน้ำเย็นชื่นใจ แล้วเดินไปชม “บ้านคุณยายประภาศรี” เรือนไม้อายุกว่า 100 ปี ไปดูขนมขึ้นชื่อของบ้านนี้คือ “ข้าวตอกอัด” ต่อด้วย “มื้อเที่ยง” ต้องห้ามพลาดไปเดินหาอาหารถิ่นในตลาดย้อนยุคของนครชุม มีให้เลือกหลายทั้งอาหารคาวและหวาน
“อาหารถิ่นในกำแพงเพชร” ต้องชิมให้ได้คือ “ข้าวตอกอัด” เป็นขนมของชุมชนเฉพาะถิ่นมีในนครชุมเท่านั้น “ขนมจีบแป้งสด” ทำจากแป้งข้าวเจ้า ทำให้เนื้อเหนียว ไส้ทำจากหน่อไม้ กุ้ง หมูสับ และเครื่องเทศ “เมี่ยงมะพร้าวคั่ว” เป้นของรับประทานเล่นรสอร่อยถูกปากนักท่องเที่ยว
สำหรับ “ร้านอาหาร” แนะนำ ก็มี “ร้านแจ๋วบะหมี่เกี๊ยว” เส้นอร่อยไม่เหมือนใคร “ครัวริมคลอง” ที่ทำเมนูต้มยำปลาแม่น้ำได้สุดแซบ ฉู่ฉี่ปลา และไข่ซาลาเปา “ร้านสุภาพผัดไทยนครชุม” ซึ่งผัดไทยได้เส้นนุ่มรสชาติกลมกล่อม ราดหน้า และหมูสะเต๊ะ
วันที่สอง ต้องไปดุแล้วลงมือทำไปกับชาวบ้านในชุมชน คือ ไปทำบุญตักบาตรที่ “วัดสว่างอารมณ์” ระหว่างทางไปชมบ้านห้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แวะนมัสการพระบรมสาริกธาตุที่ “วัดพระบรมธาตุเจดียาราม” และไปดูการทำพระเครื่องนครชม เป็นการใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ที่ได้เติมเต็มทั้งความสุขและความรู้ไปพร้อม ๆ กัน
ถ้ามีเวลาเหลือก็ไปชมธรรมชาติ “น้ำตกคลองลาน” ได้ชื่อว่าอลังการและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไหลลงมาจากความสูงของหน้าผาชันราว 100 เมตร กว้าง 40 เมตร
จากนั้นก็ต้องกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วยการช้อปปิ้งสินค้าพื้นบ้าน อย่าง เมี่ยงนครชุม ขนมข้าวตอกอัด พระเครื่องที่มีอัตลักษณ์ต่างจากที่อื่น โดยเฉพาะ พระซุ้มกอ องค์พระมีรัศมีเป็นรูป ก ครอบอยู่ที่เศียร เป็นหนึ่งในพระเบญจภาคีเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ทุกชีวิต
สนใจไปท่องเที่ยว ติดต่อไปทางชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนนครชุม โทร.089-640-5287, 081-972-7238
@แพทย์แนะวิธีป้องกันหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบายถึงสาเหตุสำคัญของคนที่เกิดอาการ “หัวใจหยุดเต้นฉับพลัน” มาจากโรครวมทั้งการใช้ชีวิตและมีพฤติกรรมสุขภาพไม่ถูกต้อง ได้แก่ เบาหวานความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน สูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจแข็งตัวหรือตีบตัน
ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ยปีละ 54,000 คน หรือชั่วโมงละ 6 คน เป็นสาเหตุการตายสูงสุดสามลำดับแรกร่วมกับมะเร็งและอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่การป่วยและเสียชีวิต มักฉุกเฉิน และเกิดในคนที่ดูปกติไม่ทราบว่าเป็นโรคหัวใจมาก่อน
การดูแลสุขภาพและวิธีป้องกันอย่างแรกที่ควรทำคือ ผู้มีอายุ 35 ปีขึ้นไป จึงควรตรวจสุขภาพทุกปี หากผิดปกติจะได้ตรวจละเอียดหรือรับคำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงเกิดโรค
เพราะการลดความเสี่ยงที่เป็นปัจจัยหลักของหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำโดยกินอาหารสุขภาพ เช่น ผักผลไม้ ถั่ว ปลา ไม่หวาน-มัน-เค็ม ออกกำลังสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง คุมน้ำหนัก งดบุหรี่
ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจให้ออกกำลังกายปานกลาง เช่น แอโรบิกเดินเร็ว ปั่นจักรยาน วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ
ที่สำคัญต้องปรึกษาแพทย์ก่อน ออกกำลังแต่พอเหมาะ เริ่มเบาๆ ค่อยเป็นค่อยไปที่สำคัญ วอร์มร่างกายก่อนและหลังออกกำลังกายทุกครั้ง
ผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหากได้รับการช่วยเหลือถูกวิธี-ทันท่วงที จะลดอัตราเสียชีวิตได้
หากพบผู้หมดสติให้เรียก-เขย่าตัวว่ายังตอบสนองหรือไม่ ถ้าไม่ ให้สังเกตว่ากระตุกหรือชักเกร็งหรือไม่ หรือหายใจเฮือกหรือหยุดหายใจ ถ้ามีให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหัวใจหยุดเต้นฉับพลันรีบโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ1669 และเริ่มช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยนวดหัวใจหากมีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (หรือ AED) ให้นำมาใช้ตามคำแนะนำที่ติดอยู่ที่เครื่อง
สัญญาณอาการโรคหัวใจคือ เจ็บแน่นหน้าอกคล้ายของหนักกดทับ ปวดร้าวที่ไหล่ แขนซ้าย หายใจลำบาก หากมีอาการที่ว่าให้รีบนั่ง บอกเพื่อน-ผู้อยู่ใกล้ ส่งโรงพยาบาลใกล้ที่สุดทันที หรือ โทร.สายด่วน 1669
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “อนาคต5ปีหน้า 5เทรนด์การบินเปลี่ยนโลก”
จับตาอนาคตอุตสาหกรรมการบินของโลกอีก 5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าเราจะนั่งเครื่องบินในชั้นธุรกิจหรือชั้นประหยัด ก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มการบินเชิงพาณิชย์ 5 เทรนด์แรง ซึ่งอาจส่งผลต่อวิธีการเดินทางของคนทั่วโลก ด้วยการตั้งค่าการบินให้เร็วขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นโดยไม่คำนึงถึงชั้นโดยสารอีกต่อไป
@เทรนด์แรก “ความเร็วและความสบาย”
บริษัท Boom Supersonic Technologies แห่งเดนเวอร์รัฐโคโลราโดกำลังพัฒนาเครื่องบินนั่งขนาด 50 ที่นั่งที่สามารถลดเวลาในการเดินทางได้ครึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาภายใน 3 ชั่วโมงจากลอนดอนบินตรงถึงนิวยอร์ก แตกต่างจากปัจจุบันที่ผู้โดยสารในชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 4-6 เท่า แต่บริการเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงด้วยอิทธิพลของนวัตกรรมทางเทคโนโลยียุคใหม่
@เทรนด์ที่ 2 หุ่นยนต์ / ปัญญาประดิษฐ์
สนามบิน Amsterdam Schiphol ในอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ lได้นำหุ่นยุนต์มาให้บริการแทนที่คนขนสัมภาระกระเป๋าแล้ว ตัวหุ่นยนต์เหล่านี้สามารถจัดการด้วยการโหลดรถทางลาดจากศูนย์กลางอัตโนมัติซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถมุ่งเน้นงานที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
สนามบินดุสเซลดอร์ฟ ในเยอรมนี ก็หันมาใช้หุ่นยนต์ดูแลลานจอดรถสำหรับผู้เข้าพัก แทนที่จะเป็นคนขับด้วยเพียงแค่ตอนลงจากเที่ยวบินใช้สมาร์ทโฟนของคุณและหุ่นยนต์ (เรียกว่า RAY) จะจัดส่งรถมารับแล้วนำไปส่งถึงจุดหมายที่ระบุไว้
สายการบิน EVA Air ไต้หวัน ได้นำหุ่นยนต์มาบริการเช็คอินบางส่วน ด้วย 'Pepper' ในสนามบินกรุงไทเป ช่วยให้ผู้คนเข้าสู่กระบวนการเช็คอิน ไม่เพียงแค่ตู้เช็คอินมาตรฐาน Pepper จะสแกนบัตรขึ้นเครื่องของคุณเพื่อให้รายละเอียดเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของคุณเช่นสภาพอากาศปัจจุบันและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ พร้อมทั้งจะให้คำแนะนำที่สนามบิน Duty Free และถ่ายรูปกับคุณได้ด้วย
ขณะนี้หุ่นยนต์ได้ถูกนำเข้ากับชีวิตประจำวันของเราอย่างช้าๆ แม้กระทั่งในอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก
@เทรนด์ที่ 3 ที่นั่งชั้นหนึ่งของสายการบินใกล้สูญพันธุ์
หลายทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อผู้โดยสารสายการบินต้องการเดินทางบนที่นั่งแบบแบนราบก็ต้องจองตั๋วชั้น First Class ชั้นธุรกิจเป็นเพียงที่นั่งขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปเมื่อสายการบินเอทิฮัดได้จัดทำชั้นที่นั่งแบบสตูดิโอทั้งประหยัดและสะดวกสบาย (คล้ายกับชั้น Premium Economy เพราะเมื่อเวลาผ่านไปการพัฒนาระหว่างที่นั่งชั้นธุรกิจกลายเป็นเรื่องที่แข่งขันกันมากขึ้นความแตกต่างระหว่างธุรกิจและที่นั่งชั้นหนึ่งก็ยิ่งแคบลง แต่ปัจจัยเรื่องค่าโดยสารยังคงเป็นนัยสำคัญ ดังนั้นนโยบายขององค์กรส่วนใหญ่จึงมักอนุญาตให้พนักงานเดินทางไปทำธุรกิจ แต่ไม่จำเป็นจะต้องซื้อตั๋วชั้นหนึ่งอีกต่อไป แต่จะหันไปซื้อที่นั่งชั้นธุรกิจมากขึ้น
@ เทรนด์ที่ 4 สนามบินหรูต่อสู้กันดุเดือด
สนามบินนานาชาติชางงี สิงคโปร์เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน เป็นศูนย์กลางการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุ่มทุนสร้างสระว่ายน้ำร้านค้าระดับไฮเอนด์ สวนสนุก 4 ชั้น สำหรับเด็กและวัยรุ่คล้ายกับอยู่ในสวนสนุกในร่มและห้างสรรพสินค้าขนาดมหึมา
สนามบินนานาชาติอินชอน เกาหลีใต้ เป็นที่ตั้งของร้านค้าปลอดภาษี Louis Vuitton เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีศูนย์การค้า Duty Free ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งสร้างรายได้มากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
สนามบินนานาชาติซูริค สวีตเซอร์แลนด์ เป็นสนามบินแห่งความฝันสำหรับผู้รักสุขภาพ มีศูนย์ปั่นจักรยานให้บริการภายในสนามบินและศูนย์ออกกำลังกายของโรงแรมครบครันด้วยจักรยานในร่มการฝึกด้วยน้ำหนักและสปาเพื่อการผ่อนคลาย
สนามบินนานาชาติมิวนิก เยอรมัน ช่วยให้คุณสามารถทำ Oktoberfest ได้ในกรณีที่คุณพลาด คุณสามารถทำให้มันขึ้นในสนามบินมิวนิกที่พวกเขามีสวนเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในร่มในโลก มีโรงเบียร์หลายแห่งที่ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินกับชิมและทัวร์ได้ และเมื่อเหล้าฮิตคุณคุณสามารถกดฝักนอนหลับที่มีจำนวนมากใช้ได้
@เทรนด์ที่ 5 แอร์บัสและโบอิ้งแข่งขันผลิตฝูงบินเปลี่ยนโลก
ทั้งแอร์บัสและโบอิ้ง เป็นบริษัทชั้นที่ครองส่วนแบ่งตลาดมีความสามารถในการผลิตเครื่องบินเชิงพาณิชย์เป็นจำนวนมาก โดยจะแข่งกันผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ในเส้นทางบินระยะไกลข้ามทวีป แต่ละยุคทั้งสองบริษัทต่างก็มีเครื่องบินพาณิชย์ของตนเอง เช่น โบอิ้ง 747 ในยุค 70 และยุค 80 เมื่อปี 2548 เริ่มเป็นเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก Airbus A380 สร้างความฮือฮาให้อุตสาหกรรมการบินโลก จากนั้นก็ผลิต Airbus A350 XWB ส่วนโบอิ้งคิดค้น Boeing 787 Dreamlinerลงมาสู้ โดยกำลังเปลี่ยนแปลงการบินเชิงพาณิชย์
เครื่องบินของทั้งคู่เป็นเครื่องบินระยะไกลเครื่องยนต์แฝดและลำตัวกว้าง ขณะที่มีน้ำหนักเบาสายการบินมีโอกาสที่จะเพิ่มคุณสมบัติและสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมากและยังคงรักษาประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Airbus A350 XWB และ Boeing 787 Dreamliner เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว
แต่อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของแอร์บัสเอ 380 มีคุณลักษณะ 4 เครื่องยนต์ จึงยังคงเป็นข้อได้เปรียบที่จะต้องใช้บินบางเส้นทางเหนือทวีปเป็นเกาะทะเล เช่น เส้นทางซิดนีย์ไปยังโจฮันเนสเบิร์ก
ข่าวที่สอง “นกแอร์หวังลุยบินจีน24จุดฟื้นธุรกิจคืนชีพภายใน3ปี”
นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ กล่าวว่านกแอร์กำลังเร่งทำแผนฟื้นฟูธุรกิจเพื่อทำให้สายการบินกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยจะเดินหน้าพัฒนา 3 ระยะให้บรรลุเป้าหมายภายใน 3 ปี
ระยะที่ 1 ภายในครึ่งปีจะต้องลดภาระการขาดทุนให้หมด ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2561 เรื่อยไปจนถึงต้นปี 2562 เน้นสร้างความพร้อมให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ระยะที่ 3 ช่วงปลายปี 2562-2563 จะเร่งไปขยายเส้นทางบินอีกครั้ง
โดยนกแอร์ได้วางกลยุทธ์พุ่งเป้ารุกหนักตลาดจีนด้วยบริการเช่าเหมาลำรวมทั้งหมด 24 เส้นทาง จากปัจจุบันทำอยู่แล้ว 18 เส้นทาง และภายใน 6 เดือนต่อจากนี้เป็นต้นไปจะเพิ่มอีก 6 เส้นทาง ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ไป-กลับ ซุนยี่ อู๋ซี ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ไป-กลับ ซุนยี่ เหมยเซียน ต้าถง และท่าอากาศยานภูเก็ต-ซีอาน
สำหรับปัจจุบันนกแอร์ใช้ท่าอากาศยานในไทยเป็นศูนย์กลาง 4 แห่ง ทำเช่าเหมาลำเข้าจีน ได้แก่ “ดอนเมือง” สู่เมือง ยังหยินฉวน หนานหนิง หนานทง หลินยี่ อีชาง เป่าโถว หนานทง เหยียนเฉิง เจิ้งโจว “ภูเก็ต” สู่เมือง หนานหนิง “เชียงใหม่” สู่เมือง หนานหนิง “อู่ตะเภา” สู่เมือง ไหโข่ว หยินฉวน หนานชาง ฉางชา หลินยี่
ข่าวที่สาม “โรงแรมอัมราคัดสรรเมนูไทยหายากเสิร์ฟที่เอเลเมนท์”
นายวีรนาท ศิลานนท์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอัมรา กรุงเทพฯ กล่าวว่า ทางโรงแรมได้จัดโปรโมชั่น ‘Thai Passion At Element’ ห้องอาหารเอเลเมนท์ ตั้งอยู่ชั้น B1 เน้นให้ลูกค้าเข้าพักโรงแรม และเดินทางมากรุงเทพฯ ได้ลิ้มลองอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิมหาทานได้ยาก และอาหารไทยคลาสสิกยอดนิยม อาทิ ปลาแห้งแตงโม ม้าห้อ น้ำพริกไข่ปู กุ้งกระเบื้อง พล่าเนื้อ ยำปลาสลิดทอด มัสมั่นเนื้อน่องลาย ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวฟูกากหมู ข้าวอบสับปะรดและผัดไทยกุ้งห่อไข่ สามารถสั่งแยกรายเมนูและเซ็ทเมนูในราคาย่อมเยาเริ่มต้นเพียง 150 บาทต่อเมนูขึ้นไป
อีกทั้งเชฟชาลี เฉลิมพันธ์ และทีมงาน ยังได้จัดเต็มเมนูซิกเนเจอร์อาหารสิงคโปร์ อาหารตามเทศกาล และโปรโมชั่นอาหารไทย บุฟเฟต์อาหารกลางวันแบบนานาชาติ “Come 2 Pay 1” ทุกวันตั้งแต่เวลา 12.00 น. – 14.30 น. ในราคาสุทธิเพียงคนละ 899 บาท รวมน้ำเปล่า ชา และกาแฟ
โทร. 02-021-8888 ต่อ 5320 หรือ www.bangkok.amarahotels.com
ปลดล็อกก่อนอุตฯท่องเที่ยวทั้งประเทศสะเทือน
คิงเพาเวอร์28ปีสินค้าแบรนด์แห่ลด17-19พ.ย.
จัดใหญ่6ขบวนแห่ปีเที่ยวยั่งยืนปิดถนน3.5กม.
สมาชิกบางจากเติมฟรีรีฟิลโชคดีติ่มซำ28แห่ง
สุวรรณภูมิตีปีกปี’61คาดผู้โดยสารพุ่ง63ล้าน
เที่ยวชุมชนโบราณนครชุม-สูตรลับอาหารไทย
เจาะลึก5เทรนด์การบิน5ปีหน้าเปลี่ยนโลก
รร.อัมราเสิร์ฟเมนูหายากที่ห้องเอเลเมนท์
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.
ช่วงที่ 1 ฟังกระแสร้อนของกลุ่มธุรกิจรถบัสนำเที่ยวกับ “คุณจิระเดช ห้วยหงส์ทอง” ประธาน บริษัท โทเทิ่ล บิซ คอนเน็ค จำกัด และผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะมาสะท้อนความจริง ในช่วงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขาขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ทว่าผู้ประกอบการคมนาคมขนส่งนักท่องเที่ยวกลับถูกกดดันรอบด้าน ส่งผลไปถึง “มาตรฐานความปลอดภัยในคุณภาพรถบริการ” แต่จะผ่าทางรอดเพื่อยกระดับสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้ รัฐเองก็ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้เป็นค่าบำรุงรักษารถภาคขนส่งหลังจากที่รัฐเก็บภาษีสูงปรี๊ดมาอย่างยาวนาน
จิระเดช ห้วยหงษทอง ประธาน บริษัท โทเทิ่ล บิซ คอนเน็ค จำกัด และผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย |
คุณจิระเดช ห้วยหงษทอง ประธาน บริษัท โทเทิ่ล บิซ คอนเน็ค จำกัด และผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยในรายการถึงประเด็นร้อนแรงของ “ธุรกิจรถบัสนำเที่ยวทั่วประเทศกว่า 20,000 คัน” ในสถานการณ์ท่องเที่ยวขาขึ้น ต้องการให้รัฐสนับสนุนหาแหล่งเงินทุนมาช่วยนำไปบำรุงรักษา เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางโดยตรง อีกอย่างถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์ย่ำอยู่กับที่อนาคตไทยอาจจะถูกเพื่อนบ้านชิงส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวไป เพราะต้นทุนเรื่องรถบัสนำเที่ยวพุ่งปรี๊ดจากภาษีนำเข้า
คุณจิระเดชเปิดเผยว่าโดยภาพรวมสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวมีการจองล่วงหน้าเติบโตสูงมากเป็นช่วงฤดูเดินทางหนาแน่น ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้รถบัสบริการนำเที่ยวซึ่งปัจจุบันทั่วประเทศ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา รวมแล้วที่ได้มาตรฐานมีอยู่กว่า 20,000 คัน ซึ่งผู้ประกอบการได้นำไปปรับปรุงในช่วงนอกฤดูการใช้งาน ตอนนี้พอนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจำนวนความต้องการก็มีสูง ทั้งจากตลาดนักท่องเที่ยว รับส่งพนักงาน เด็กและเยาวชนทัศนศึกษา กระจายสัดส่วนไปตามสภาพของกำลังซื้อ
ส่วนรถบัสนำเที่ยวในประเทศไทยยังมีอยู่หลายมาตรฐาน เพราะบางกลุ่มก็นำรถบรรทุกมาทำเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง กลุ่มที่สอง รถนำส่วนประกอบเป็นบัส กลุ่มสามคือนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งภาครัฐเริ่มเข้มงวดมากขึ้น จึงทำให้ “ต้นทุนการซื้อบัสราคาสูงมาก” ราคาแต่ละคันปกติจะเฉลี่ยประมาณ 4-5 ล้านบาท ซึ่งจะต้องจ่ายภาษีนำเข้าไม่ต่ำกว่า 40 % ทั้งมีค่าตกแต่งสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบบันเทิงภายในรถ เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้าไปด้วย ปัจจุบันยังมีรถบัสประเภทยาวกว่าทั่วไปจาก 12 เป็น 14 เมตร เพิ่มเข้ามาอีกกลุ่ม ดังนั้นการลงทุนจึงสูงไปตามเงื่อนไขของออปชั่นและค่าดอกเบี้ยเงินกู้มาซื้อรถแต่ละคันอาจจะถึง 8-9 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบรถบัสนำเที่ยวไม่ประจำทางแล้ว ประเทศไทยยังคงมีมาตรฐานดีกว่าอีกหลายประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วยกัน แต่มีจุดอ่อนเรื่องการลงทุนใช้เงินสูงกว่าหลายเท่า
โดยเฉพาะ “ต้นทุนการนำเข้ารถ” ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูง แข่งขันกับประเทศแถบเพื่อนบ้านลำบาก อย่างในกลุ่มอินโดจีน CLMV นำเข้ารถจากญี่ปุ่น เกาหลี เป็นฐานส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยจ่ายภาษีต่ำ แตกต่างจากเมืองไทย หากภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของรถนำเที่ยวที่จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวมแล้ว ก็ควรพิจารณา “ลดต้นทุนซื้อรถ”
หากไม่สามารถดำเนินการเรื่องภาษีได้ก็ต้องสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เพื่อมาปรับปรุงเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นเรื่องต้นทุนเมื่อรวมทุกอย่างแล้วเฉลี่ยคันละ 8-9 ล้านบาท ถ้าปลดล็อกแหล่งเงินได้ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจได้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพราะตามปกติลงทุนขนาดนี้กว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลา 8-10 ปี เพราะรถนำเที่ยวต้องขึ้นอยู่กับตลาดท่องเที่ยวที่มีช่วงโลว์และไฮซีซัน รวมถึง “รายได้จากราคาเช่า” ซึ่งบริษัทนำเที่ยวจะจ่ายแตกต่างกัน เพราะใช้จ่ายรถแต่ละคันเดือนละประมาณ 90,000 บาท ยังไม่รวมจ่ายค่าบำรุงรักษาความสึกหรอของอุปกรณ์ต่าง ๆ ค่าน้ำมัน แล้วมีค่าใช้จ่ายวันละเกิน 5,000 บาท แต่ “ราคาตลาดในการเช่าใช้บริการ” เฉลี่ยทำรายได้เพียงวันละ 3,000-4,000 บาท เท่ากับเจ้าของรถแทบจะไม่มีเงินส่วนที่เหลือไปปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัย
สำหรับการคิดค่าเช่ารถบัสนำเที่ยว จะแบ่งเป็น “ตลาดยุโรป” จะทำราคาได้สูงกว่าตลาดจีนหรือเอเชียประมาณ 2 เท่า ขึ้นอยูกับการใช้งานตามเส้นทางท่องเที่ยว ระยะทางใกล้-ไกล ต่างกัน
ตลาดอินเดีย กับจีน เฉลี่ยคันละ 4,000-5,000 บาทต่อวัน ส่วนยุโรป เยอรมัน รัสเซีย และอื่น ๆ จะจ่ายแพงกว่าเฉลี่ยคันละ 10,000-11,000 บาทต่อวัน
การเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังเมืองไทยปีนี้เกือบ 10 ล้านคน ก็มีผลดีต่อการใช้รถนำเที่ยว แต่ก็โดนกดราคาต่ำลงเพราะวิ่งระยะใกล้แต่จำนวนรอบวิ่งจะสูง จึงทำให้อุปกรณ์ยิ่งเสื่อมโดยไม่มีเงินเหลือไปซ่อมแซมค่าสึกหรอ ทำให้ความปลอดภัยอาจจะอยู่ในระดับต่ำลงเปอร์เซ็นต์ที่นักท่องเที่ยวจะไม่ปลอดภัยก็ตามมาด้วย เพราะในตลาดก็ยังคงมีการตัดราคากันอย่างรุนแรง จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ใช่เจ้าของรถโดยตรงแต่มีรถไว้ให้ใช้ฟรี
ด้วยปัญหารอบด้านของรถบัสนำเที่ยวไม่ประจำทาง เผชิญความกดดันรอบด้าน จึงต้องขึ้นอยู่กับ “แต่ละบริษัทของผู้ประกอบการเดินรถ” มีพื้นฐานในการจัดทำข้อมูลสำนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วแบ่งตามกลุ่มรถตามขนาดจำนวนที่นั่งของรถ จะรักษาคุณภาพไว้เพื่อที่จะต่อรองราคาเช่าได้สูงตามไปด้วย และต้องมีกลยุทธ์ “ขายพ่วง” ด้วยการให้คำแนะนำแก่ผู้เช่าเพื่อขอเพิ่มราคากับลูกค้าได้
คุณจิระเดชกล่าวว่า กลุ่มธุรกิจรถบัสนำเที่ยวก็พยายามถีบตัวเองขึ้นไปสู่การเป็น รถบัส ตามนวัตกรรม 4.0 ด้วยทำการตลาดนำโซเชียลเน็ตเวิร์ค กับเรื่องของเทคโนโลยีทางจีพีเอสเข้ามาช่วยให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในเฉพาะกลุ่ม
ปัจจุบันรถบัสนำเที่ยวมีส่วนแบ่งรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งโตวันโตคืนเพียงแค่ 3-5 % หรือคิดไม่ถึงหลักหมื่นล้านบาทจากรายได้ท่องเที่ยวของประเทศรวมแต่ละปี เนื่องจากผู้ใช้มีทางเลือกในการใช้รถตู้ และรถบริการอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม “รถบัสนำเที่ยว” เป็นกลไกหลักและตัวแปรสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในบริการคมนาคมขนส่งเพื่อนำนักท่องเที่ยวไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นจึงต้องการจะฝากไปถึงหน่วยงานภาครัฐหากเล็งเห็นถึงหลักบูรณาการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก็ควรจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มรถบัส เพื่อเติบโตอย่างมีมาตรฐานความปลอดภัยและพัฒนาได้อย่างประสิทธิภาพ ก้าวสู่ความยั่งยืนเหมือน ๆ กันได้ทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์จัดทัพแบรนด์ถล่มราคา17-19พ.ย.นี้”
นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ได้จัดฉลองครบรอบ 28 ปี การดำเนินธุรกิจ โดยได้จัดบิ๊กเซอร์ไพรส์ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2560 เอาใจขาช้อปนักเดินทาง ด้วยการมอบส่วนลดสูงสุดถึง 30% ในงาน ”28th Anniversary Discover Endless Surprises”
โดยได้เตรียมจัดทัพสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วโลกให้เลือกช้อปกันอย่างจุใจ พร้อมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย พิเศษ! สำหรับผู้ที่มียอดซื้อสูงสุดตลอดทั้งงาน รับเงินคืนเข้าบัตรสมาชิกสูงสุด 10,000 บาท งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 19 พฤศจิกายน 2560 เฉพาะที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เท่านั้น สอบถามเพิ่มเติม โทร.1631
และตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังฉลองต่อเนื่องภายใต้แคมเปญ “28th Anniversary Discover Endless Surprises” สำหรับลูกค้าคนไทยและสมาชิกบัตรคิง เพาเวอร์ เพียงลงทะเบียนรับคูปองส่วนลด มูลค่า 500 บาท ทันที สำหรับใช้ซื้อสินค้ามูลค่า 5,000 บาทขึ้นไป พิเศษ! เมื่อช็อปครบทุก 20,000 บาท รับฟรีบัตรกำนัลมูลค่า 1,400 บาท และอื่น ๆ อีกมากมาย เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 พฤศจิกายน 2560 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต สอบถามเพิ่มเติม โทร.1631
ข่าวที่ 2 “เปิดเที่ยววิถีไทย6ขบวนใหญ่ปิดถนน3.5กม.”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี จะทำพิธีเปิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน-Amazing Thailand Tourism Year 2018” ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ระหว่างเวลา 17.00-21.00 น. โดยจะใช้เส้นทางขบวนแห่การแสดงวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว อย่างยิ่งใหญ่ จากบริเวณหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ถึงสวนลุมพินี
เส้นทางขบวนแห่ ระยะทาง 3.5 กม. จะต้องปิดการจราจรตามเส้นทางขบวนปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560 บริเวณ เส้นพระราม1 (ขาออก) ฝั่งสยามดิสคัฟเวอรี่ จากแยกปทุมวัน ถึง สยามพารากอน แยกเฉลิมเผ่า ปิดเวลา 17:00-21:00 น. ส่วนเส้นทางการจราจรฝั่งพระราม 1 (ขาเข้า) เปิดให้ใช้ได้ตามปกติ
โดยตั้งเป้าจะกระตุ้นคนไทยออกมาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศและชาวต่างชาติกเดินทางเข้าท่องเที่ยว ร่วมชมขบวนเปิดปีท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋อย่างยั่งยืน เริ่มใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 - 1 มกราคม 2562 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15 พ.ย. 2560 ณ บริเวณด้านหน้าห้างสยามดิสคัฟเวอรี่ ในช่วงเวลา 17.00-21.00 น. โดยในส่วนของขบวนรถจะใช้เส้นทางจาก สนามกีฬาแห่งชาติ-ถ.พระราม 1-แยกราชประสงค์-สวนลุมพินี
โดยมีขบวนรถ 6 ขบวน ประกอบด้วย 1 ขบวนตราสัญลักษณ์ 2. ขบวนประเพณีไทย 5 ภาค 3. ขบวนอรรถรสไทย 4. ขบวนสีสันเทศกาล 5. ขบวนกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 6. ขบวนเจ้าบ้านที่ดี
ขบวนที่ 1 ขบวนตราสัญลักษณ์ปีท่องเที่ยววิถีไทย
ประกอบด้วย ตราสัญลักษณ์ปีท่องเที่ยวไทยประดับไฟสวยงาม เดินนำขบวนโดย คุณนิษฐา (มิว) จิรยั่งยืน เป็นนางประทุมวดีเชิญตราสัญลักษณ์ บนดอกบัวในสระโบกขรณี สื่อถึงสายสัมพันธ์จะทำให้เราทุกคนมีความห่วงใยรักใคร่ และผูกพันต่อกันอย่างแนบแน่น เพราะความรักใคร่ปรองดอง ของไทยจะทำให้มีความสุข
ขบวนที่ 2 ขบวนประเพณีไทย 5 ภาค
ประกอบด้วย สถาปัตยกรรมไทยและประติมากรรมในประเพณีไทยทั้ง 5 ภาค ได้แก่
“ภาคเหนือ” จำลองวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จ.เชียงใหม่ ประกอบการแสดงฟ้อนเมือง และประเพณีรับพระธาตุเจ้าเข้าเวียง
“ภาคใต้” จำลองวัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ประกอบกับการแสดงมโนรา และประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” จำลองพระธาตุพนม จ.นครพนม ประกอบกับการแสดงรำภูไท
“ภาคกลาง” จำลองประเพณีสงกรานต์มอญสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบกับการแสดงกลองยาว
ขบวนที่ 3 อรรถรสไทย
ประกอบด้วย การจำลองอาหารคาวหวานและเครื่องปรุงซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมาประดับรถ เช่น ต้มยำกุ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ทับทิมกรอบ และคุณ เก่ง ธชย ขับเสภาเครื่องคาวหวาน
ขบวนที่ 4 สีสันเทศกาล
ประกอบด้วย การนำเทศกาลเด่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในไทย เช่น งานโชว์เหล่าฮีโร่ต่าง ๆ งานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ งานเทศกาลว่าวนานาชาติ (Innovation Festival)
ขบวนที่ 5 กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว (Sports Tourism)
ประกอบด้วย การนำเอากีฬาที่จะเกิดขึ้นในไทยในปี 2561 การแข่งขัน Air Race 1 Thailand, Moto GP, Amazing Thailand marathon Bangkok 2018, การไหว้ครูมวยไทยโลก และนำนักกีฬาที่มีชื่อเสียงเดินเข้าร่วมขบวนประกอบกับการแสดง Marching Band
ขบวนที่ 6 ขบวนเจ้าบ้านที่ดี
ประกอบด้วย การจำลองเครื่องบินลงสู่ไทย และมีหลากหลายอาชีพ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่คอยการมาเยือนของนักท่องเที่ยวให้เป็นที่ประทับใจ ผู้เข้าร่วมขบวนจะแต่งกายด้วยชุดอาชีพต่าง ๆ ร่วมกันเต้นด้วยท่าทางสนุกสนาน เช่น กัปตัน พนักงานสายการบิน ต.ม. คนขับแท็กซี่
การจอดแสดงรถประดับไฟฟ้า จะจอดแสดงในวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2560 เวลา 18.00 – 21.00 น. ณ บริเวณลานด้านหน้าอนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6
ข่าวที่ 3 “ททท.นำทัพรุกขายNew ShadeวิถีไทยในWTM”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่าได้นำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเดินทางเพื่อเข้าร่วมงาน “World Travel Market 2017” (WTM 2017) งานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญที่สุดในสหราชอาณาจักร ซึ่งไทยเข้าร่วมมาเป็นครั้งที่ 37 โดยมีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยเข้าร่วมจำนวน 34 ราย ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ท 29 ราย บริษัทนำเที่ยว 4 ราย และสายการบิน 1 ราย ในพื้นที่พื้นที่ขนาด 420 ตารางเมตร เพื่อจัดสรรให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทย จำนวน 36 ราย
โดยนำเสนอแคมเปญ “Open to the New Shades” คือ การเปิดประเทศไทยในมุมมองใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เข้ามาสัมผัสความเป็นไทยผ่าน Million Shades of Thailand ความหลากหลายในเชิงลึกซึ่งประเทศไทยเต็มไปด้วยความหลากหลายของกิจกรรม สถานที่-ท่องเที่ยว มีความเป็นอยู่ มีวิถีชีวิต มีวิถีการกิน พร้อม VDO Wall จำนวน 4 จอ สำหรับนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาและภาพ แหล่งท่องเที่ยว พร้อมกับนำเสนอสินค้าด้านกีฬา Sports Tourism ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาระดับโลก MotoGP World Championship 2018 วันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่าตลาดยุโรปเป็นลูกค้าหลักสำคัญของไทย โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรในปี 2559 เดินทางท่องเที่ยวไทยมากสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี
ส่วนสถิติปี 2559 มีนักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรมาไทยรวม 965,000 คน เพิ่มขึ้น 7.63 %สร้างรายได้ 76,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 % เป็นตลาดที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคยุโรป และอันดับที่ 4 ของรายได้จากต่างชาติทั้งหมด โดยภาพรวมการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2555-2559 มีทิศทางที่สดใส ด้านจำนวนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5 % รายได้เติบโตเพิ่มปีละ 9 %
ข่าวที่ 4 “บางจากแจกรีฟิลด์สมาชิกในโชคดีติ่มซำ28แห่ง”
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ระหว่างวันนี้ - 30 เม.ย. 61 ให้สมาชิกบัตรบางจากใช้ 39 คะแนนแลกรับฟรี !!! รีฟิวเครื่องดื่มไม่อั้น ที่ร้านโชคดีติ่มซำ เครื่องดื่ม Refill เก๊กฮวย/ชาเขียว 1 แก้ว (มูลค่า 39 บาท) ได้ตามสาขาต่าง ๆ ที่ที่ร่วมรายการ 28 สาขา
วิธีรับสิทธิ์ กด*766*78*19*หมายเลขบัตร16หลัก#แล้วโทรออก ตามขั้นตอน • นำรหัสจาก SMS Code หลัก มาแสดงให้พนักงานเพื่อรับสิทธิ์ ก่อนชำระเงิน• จำกัดการแลก 1 ครั้ง/ 1 สิทธิ์
ข่าวที่ 5 “สุวรรณภูมิตีปีกปี’61ผู้โดยสารทะลุ63ล้านคน”
นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า แนวโน้มปี 2561 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารใช้บริการรวม 63 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5% การเดินทางผ่านเข้าออกสนามบินจะเริ่มหนาแน่นตั้งแต่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเดือนพฤศจิกายน 2560-กุมภาพันธ์ 2561 คาดจะมีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยมากถึงวันละ 1.8 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 5-6% ส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินตรงจากเมืองรองในประเทศแถบเอเชีย อาทิ จีน อินเดีย ส่วนอาเซียนมีปริมาณการจราจรหนาแน่นมากกว่าทุกปีเช่นกัน
ช่วงที่ 2 ติดตามเรื่องดี ๆ มีความสุขกับการได้ออกไปสัมผัสวิถีชีวิต “ชุมชนนครชุม” จังหวัดกำแพงเพชร ที่มีอารยธรรมความหลากหลายชาติพันธุ์กว่า 200 ครอบครัวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐาน โดยรักษารากแห่งความดีงามไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมมาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นมาเรียนรู้ถึงการดูแลสุขภาพไม่ให้ “หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” และข่าวเจาะลึกเทรนด์การบินโลกในอีก 5 ปีหน้า หุ่นยนต์จะเข้ามาบริการแทนคนตามสนามบินยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งจะแข่งกันสร้างจุดขายโดยเนรมิตสนามบินให้กลายเป็นเมืองมหัศจรรย์ ส่วนที่นั่งเฟิร์สคลาสส่งสัญญาณสูญพันธ์
@เที่ยวชุมชนโบราณนครชุม กำแพงเพชร
สถานที่ท่องเที่ยวในภาคเหนือตอนล่างอย่าง “นครชุม” เป็นชุมชนตลาดโบราณ แหล่งรวมการสืบสานสูตรอาหารและพระเครื่องขึ้นชื่อในจังหวัดกำแพงเพชร ชาวบ้านแถบนี้มีหลายเชื้อชาติ เมื่อครั้งอดีตอพยพมาจาก สปป.ลาว เมียนมา ไทยใหญ่ จีน กระเหรี่ยง ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมเรื่องวิถีชีวิตการกินและการปั้นข้าวของเครื่องใหญ่ด้วยดินเผาแบบโบราณ
การไปพักผ่อนและท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ในชุมชนนครชุม ควรใช้เวลาสัก 2 วัน มีโรงแรมเก๋ ๆ ให้เลือกอย่าง ชากังราว ริเวอร์วิว อยู่ติดแม่น้ำปิง โรงแรมเพชร อยู่ใจกลางเมือง หรือจะพัก บ้านดิน บามีรีสอร์ต ใกล้ริมน้ำปิง แวดล้อมด้วยสวนสีเขียว อีกทั้งยังสะดวกในการเดินทางไปตามสถานที่น่าสนใจมากมาย
เริ่มจากวันแรก “ตลุยกิน” ตั้งแต่มื้อเช้ากับเมนูขึ้นชื่อ “ขนมจีบแป้งสด” แสนอร่อยกับน้ำเย็นชื่นใจ แล้วเดินไปชม “บ้านคุณยายประภาศรี” เรือนไม้อายุกว่า 100 ปี ไปดูขนมขึ้นชื่อของบ้านนี้คือ “ข้าวตอกอัด” ต่อด้วย “มื้อเที่ยง” ต้องห้ามพลาดไปเดินหาอาหารถิ่นในตลาดย้อนยุคของนครชุม มีให้เลือกหลายทั้งอาหารคาวและหวาน
“อาหารถิ่นในกำแพงเพชร” ต้องชิมให้ได้คือ “ข้าวตอกอัด” เป็นขนมของชุมชนเฉพาะถิ่นมีในนครชุมเท่านั้น “ขนมจีบแป้งสด” ทำจากแป้งข้าวเจ้า ทำให้เนื้อเหนียว ไส้ทำจากหน่อไม้ กุ้ง หมูสับ และเครื่องเทศ “เมี่ยงมะพร้าวคั่ว” เป้นของรับประทานเล่นรสอร่อยถูกปากนักท่องเที่ยว
สำหรับ “ร้านอาหาร” แนะนำ ก็มี “ร้านแจ๋วบะหมี่เกี๊ยว” เส้นอร่อยไม่เหมือนใคร “ครัวริมคลอง” ที่ทำเมนูต้มยำปลาแม่น้ำได้สุดแซบ ฉู่ฉี่ปลา และไข่ซาลาเปา “ร้านสุภาพผัดไทยนครชุม” ซึ่งผัดไทยได้เส้นนุ่มรสชาติกลมกล่อม ราดหน้า และหมูสะเต๊ะ
วันที่สอง ต้องไปดุแล้วลงมือทำไปกับชาวบ้านในชุมชน คือ ไปทำบุญตักบาตรที่ “วัดสว่างอารมณ์” ระหว่างทางไปชมบ้านห้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แวะนมัสการพระบรมสาริกธาตุที่ “วัดพระบรมธาตุเจดียาราม” และไปดูการทำพระเครื่องนครชม เป็นการใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ที่ได้เติมเต็มทั้งความสุขและความรู้ไปพร้อม ๆ กัน
ถ้ามีเวลาเหลือก็ไปชมธรรมชาติ “น้ำตกคลองลาน” ได้ชื่อว่าอลังการและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไหลลงมาจากความสูงของหน้าผาชันราว 100 เมตร กว้าง 40 เมตร
จากนั้นก็ต้องกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วยการช้อปปิ้งสินค้าพื้นบ้าน อย่าง เมี่ยงนครชุม ขนมข้าวตอกอัด พระเครื่องที่มีอัตลักษณ์ต่างจากที่อื่น โดยเฉพาะ พระซุ้มกอ องค์พระมีรัศมีเป็นรูป ก ครอบอยู่ที่เศียร เป็นหนึ่งในพระเบญจภาคีเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ทุกชีวิต
สนใจไปท่องเที่ยว ติดต่อไปทางชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนนครชุม โทร.089-640-5287, 081-972-7238
@แพทย์แนะวิธีป้องกันหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบายถึงสาเหตุสำคัญของคนที่เกิดอาการ “หัวใจหยุดเต้นฉับพลัน” มาจากโรครวมทั้งการใช้ชีวิตและมีพฤติกรรมสุขภาพไม่ถูกต้อง ได้แก่ เบาหวานความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน สูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจแข็งตัวหรือตีบตัน
ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ยปีละ 54,000 คน หรือชั่วโมงละ 6 คน เป็นสาเหตุการตายสูงสุดสามลำดับแรกร่วมกับมะเร็งและอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่การป่วยและเสียชีวิต มักฉุกเฉิน และเกิดในคนที่ดูปกติไม่ทราบว่าเป็นโรคหัวใจมาก่อน
การดูแลสุขภาพและวิธีป้องกันอย่างแรกที่ควรทำคือ ผู้มีอายุ 35 ปีขึ้นไป จึงควรตรวจสุขภาพทุกปี หากผิดปกติจะได้ตรวจละเอียดหรือรับคำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงเกิดโรค
เพราะการลดความเสี่ยงที่เป็นปัจจัยหลักของหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำโดยกินอาหารสุขภาพ เช่น ผักผลไม้ ถั่ว ปลา ไม่หวาน-มัน-เค็ม ออกกำลังสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง คุมน้ำหนัก งดบุหรี่
ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจให้ออกกำลังกายปานกลาง เช่น แอโรบิกเดินเร็ว ปั่นจักรยาน วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ
ที่สำคัญต้องปรึกษาแพทย์ก่อน ออกกำลังแต่พอเหมาะ เริ่มเบาๆ ค่อยเป็นค่อยไปที่สำคัญ วอร์มร่างกายก่อนและหลังออกกำลังกายทุกครั้ง
ผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหากได้รับการช่วยเหลือถูกวิธี-ทันท่วงที จะลดอัตราเสียชีวิตได้
หากพบผู้หมดสติให้เรียก-เขย่าตัวว่ายังตอบสนองหรือไม่ ถ้าไม่ ให้สังเกตว่ากระตุกหรือชักเกร็งหรือไม่ หรือหายใจเฮือกหรือหยุดหายใจ ถ้ามีให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหัวใจหยุดเต้นฉับพลันรีบโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ1669 และเริ่มช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยนวดหัวใจหากมีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (หรือ AED) ให้นำมาใช้ตามคำแนะนำที่ติดอยู่ที่เครื่อง
สัญญาณอาการโรคหัวใจคือ เจ็บแน่นหน้าอกคล้ายของหนักกดทับ ปวดร้าวที่ไหล่ แขนซ้าย หายใจลำบาก หากมีอาการที่ว่าให้รีบนั่ง บอกเพื่อน-ผู้อยู่ใกล้ ส่งโรงพยาบาลใกล้ที่สุดทันที หรือ โทร.สายด่วน 1669
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “อนาคต5ปีหน้า 5เทรนด์การบินเปลี่ยนโลก”
จับตาอนาคตอุตสาหกรรมการบินของโลกอีก 5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าเราจะนั่งเครื่องบินในชั้นธุรกิจหรือชั้นประหยัด ก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มการบินเชิงพาณิชย์ 5 เทรนด์แรง ซึ่งอาจส่งผลต่อวิธีการเดินทางของคนทั่วโลก ด้วยการตั้งค่าการบินให้เร็วขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นโดยไม่คำนึงถึงชั้นโดยสารอีกต่อไป
@เทรนด์แรก “ความเร็วและความสบาย”
บริษัท Boom Supersonic Technologies แห่งเดนเวอร์รัฐโคโลราโดกำลังพัฒนาเครื่องบินนั่งขนาด 50 ที่นั่งที่สามารถลดเวลาในการเดินทางได้ครึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาภายใน 3 ชั่วโมงจากลอนดอนบินตรงถึงนิวยอร์ก แตกต่างจากปัจจุบันที่ผู้โดยสารในชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 4-6 เท่า แต่บริการเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงด้วยอิทธิพลของนวัตกรรมทางเทคโนโลยียุคใหม่
@เทรนด์ที่ 2 หุ่นยนต์ / ปัญญาประดิษฐ์
สนามบิน Amsterdam Schiphol ในอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ lได้นำหุ่นยุนต์มาให้บริการแทนที่คนขนสัมภาระกระเป๋าแล้ว ตัวหุ่นยนต์เหล่านี้สามารถจัดการด้วยการโหลดรถทางลาดจากศูนย์กลางอัตโนมัติซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถมุ่งเน้นงานที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
สนามบินดุสเซลดอร์ฟ ในเยอรมนี ก็หันมาใช้หุ่นยนต์ดูแลลานจอดรถสำหรับผู้เข้าพัก แทนที่จะเป็นคนขับด้วยเพียงแค่ตอนลงจากเที่ยวบินใช้สมาร์ทโฟนของคุณและหุ่นยนต์ (เรียกว่า RAY) จะจัดส่งรถมารับแล้วนำไปส่งถึงจุดหมายที่ระบุไว้
สายการบิน EVA Air ไต้หวัน ได้นำหุ่นยนต์มาบริการเช็คอินบางส่วน ด้วย 'Pepper' ในสนามบินกรุงไทเป ช่วยให้ผู้คนเข้าสู่กระบวนการเช็คอิน ไม่เพียงแค่ตู้เช็คอินมาตรฐาน Pepper จะสแกนบัตรขึ้นเครื่องของคุณเพื่อให้รายละเอียดเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของคุณเช่นสภาพอากาศปัจจุบันและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ พร้อมทั้งจะให้คำแนะนำที่สนามบิน Duty Free และถ่ายรูปกับคุณได้ด้วย
ขณะนี้หุ่นยนต์ได้ถูกนำเข้ากับชีวิตประจำวันของเราอย่างช้าๆ แม้กระทั่งในอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก
@เทรนด์ที่ 3 ที่นั่งชั้นหนึ่งของสายการบินใกล้สูญพันธุ์
หลายทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อผู้โดยสารสายการบินต้องการเดินทางบนที่นั่งแบบแบนราบก็ต้องจองตั๋วชั้น First Class ชั้นธุรกิจเป็นเพียงที่นั่งขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปเมื่อสายการบินเอทิฮัดได้จัดทำชั้นที่นั่งแบบสตูดิโอทั้งประหยัดและสะดวกสบาย (คล้ายกับชั้น Premium Economy เพราะเมื่อเวลาผ่านไปการพัฒนาระหว่างที่นั่งชั้นธุรกิจกลายเป็นเรื่องที่แข่งขันกันมากขึ้นความแตกต่างระหว่างธุรกิจและที่นั่งชั้นหนึ่งก็ยิ่งแคบลง แต่ปัจจัยเรื่องค่าโดยสารยังคงเป็นนัยสำคัญ ดังนั้นนโยบายขององค์กรส่วนใหญ่จึงมักอนุญาตให้พนักงานเดินทางไปทำธุรกิจ แต่ไม่จำเป็นจะต้องซื้อตั๋วชั้นหนึ่งอีกต่อไป แต่จะหันไปซื้อที่นั่งชั้นธุรกิจมากขึ้น
@ เทรนด์ที่ 4 สนามบินหรูต่อสู้กันดุเดือด
สนามบินนานาชาติชางงี สิงคโปร์เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน เป็นศูนย์กลางการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุ่มทุนสร้างสระว่ายน้ำร้านค้าระดับไฮเอนด์ สวนสนุก 4 ชั้น สำหรับเด็กและวัยรุ่คล้ายกับอยู่ในสวนสนุกในร่มและห้างสรรพสินค้าขนาดมหึมา
สนามบินนานาชาติอินชอน เกาหลีใต้ เป็นที่ตั้งของร้านค้าปลอดภาษี Louis Vuitton เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีศูนย์การค้า Duty Free ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งสร้างรายได้มากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
สนามบินนานาชาติซูริค สวีตเซอร์แลนด์ เป็นสนามบินแห่งความฝันสำหรับผู้รักสุขภาพ มีศูนย์ปั่นจักรยานให้บริการภายในสนามบินและศูนย์ออกกำลังกายของโรงแรมครบครันด้วยจักรยานในร่มการฝึกด้วยน้ำหนักและสปาเพื่อการผ่อนคลาย
สนามบินนานาชาติมิวนิก เยอรมัน ช่วยให้คุณสามารถทำ Oktoberfest ได้ในกรณีที่คุณพลาด คุณสามารถทำให้มันขึ้นในสนามบินมิวนิกที่พวกเขามีสวนเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในร่มในโลก มีโรงเบียร์หลายแห่งที่ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินกับชิมและทัวร์ได้ และเมื่อเหล้าฮิตคุณคุณสามารถกดฝักนอนหลับที่มีจำนวนมากใช้ได้
@เทรนด์ที่ 5 แอร์บัสและโบอิ้งแข่งขันผลิตฝูงบินเปลี่ยนโลก
ทั้งแอร์บัสและโบอิ้ง เป็นบริษัทชั้นที่ครองส่วนแบ่งตลาดมีความสามารถในการผลิตเครื่องบินเชิงพาณิชย์เป็นจำนวนมาก โดยจะแข่งกันผลิตเครื่องบินรุ่นใหม่ในเส้นทางบินระยะไกลข้ามทวีป แต่ละยุคทั้งสองบริษัทต่างก็มีเครื่องบินพาณิชย์ของตนเอง เช่น โบอิ้ง 747 ในยุค 70 และยุค 80 เมื่อปี 2548 เริ่มเป็นเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก Airbus A380 สร้างความฮือฮาให้อุตสาหกรรมการบินโลก จากนั้นก็ผลิต Airbus A350 XWB ส่วนโบอิ้งคิดค้น Boeing 787 Dreamlinerลงมาสู้ โดยกำลังเปลี่ยนแปลงการบินเชิงพาณิชย์
เครื่องบินของทั้งคู่เป็นเครื่องบินระยะไกลเครื่องยนต์แฝดและลำตัวกว้าง ขณะที่มีน้ำหนักเบาสายการบินมีโอกาสที่จะเพิ่มคุณสมบัติและสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมากและยังคงรักษาประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Airbus A350 XWB และ Boeing 787 Dreamliner เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว
แต่อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของแอร์บัสเอ 380 มีคุณลักษณะ 4 เครื่องยนต์ จึงยังคงเป็นข้อได้เปรียบที่จะต้องใช้บินบางเส้นทางเหนือทวีปเป็นเกาะทะเล เช่น เส้นทางซิดนีย์ไปยังโจฮันเนสเบิร์ก
ข่าวที่สอง “นกแอร์หวังลุยบินจีน24จุดฟื้นธุรกิจคืนชีพภายใน3ปี”
นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ กล่าวว่านกแอร์กำลังเร่งทำแผนฟื้นฟูธุรกิจเพื่อทำให้สายการบินกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยจะเดินหน้าพัฒนา 3 ระยะให้บรรลุเป้าหมายภายใน 3 ปี
ระยะที่ 1 ภายในครึ่งปีจะต้องลดภาระการขาดทุนให้หมด ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2561 เรื่อยไปจนถึงต้นปี 2562 เน้นสร้างความพร้อมให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ระยะที่ 3 ช่วงปลายปี 2562-2563 จะเร่งไปขยายเส้นทางบินอีกครั้ง
โดยนกแอร์ได้วางกลยุทธ์พุ่งเป้ารุกหนักตลาดจีนด้วยบริการเช่าเหมาลำรวมทั้งหมด 24 เส้นทาง จากปัจจุบันทำอยู่แล้ว 18 เส้นทาง และภายใน 6 เดือนต่อจากนี้เป็นต้นไปจะเพิ่มอีก 6 เส้นทาง ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ไป-กลับ ซุนยี่ อู๋ซี ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ไป-กลับ ซุนยี่ เหมยเซียน ต้าถง และท่าอากาศยานภูเก็ต-ซีอาน
สำหรับปัจจุบันนกแอร์ใช้ท่าอากาศยานในไทยเป็นศูนย์กลาง 4 แห่ง ทำเช่าเหมาลำเข้าจีน ได้แก่ “ดอนเมือง” สู่เมือง ยังหยินฉวน หนานหนิง หนานทง หลินยี่ อีชาง เป่าโถว หนานทง เหยียนเฉิง เจิ้งโจว “ภูเก็ต” สู่เมือง หนานหนิง “เชียงใหม่” สู่เมือง หนานหนิง “อู่ตะเภา” สู่เมือง ไหโข่ว หยินฉวน หนานชาง ฉางชา หลินยี่
ข่าวที่สาม “โรงแรมอัมราคัดสรรเมนูไทยหายากเสิร์ฟที่เอเลเมนท์”
นายวีรนาท ศิลานนท์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอัมรา กรุงเทพฯ กล่าวว่า ทางโรงแรมได้จัดโปรโมชั่น ‘Thai Passion At Element’ ห้องอาหารเอเลเมนท์ ตั้งอยู่ชั้น B1 เน้นให้ลูกค้าเข้าพักโรงแรม และเดินทางมากรุงเทพฯ ได้ลิ้มลองอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิมหาทานได้ยาก และอาหารไทยคลาสสิกยอดนิยม อาทิ ปลาแห้งแตงโม ม้าห้อ น้ำพริกไข่ปู กุ้งกระเบื้อง พล่าเนื้อ ยำปลาสลิดทอด มัสมั่นเนื้อน่องลาย ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวฟูกากหมู ข้าวอบสับปะรดและผัดไทยกุ้งห่อไข่ สามารถสั่งแยกรายเมนูและเซ็ทเมนูในราคาย่อมเยาเริ่มต้นเพียง 150 บาทต่อเมนูขึ้นไป
อีกทั้งเชฟชาลี เฉลิมพันธ์ และทีมงาน ยังได้จัดเต็มเมนูซิกเนเจอร์อาหารสิงคโปร์ อาหารตามเทศกาล และโปรโมชั่นอาหารไทย บุฟเฟต์อาหารกลางวันแบบนานาชาติ “Come 2 Pay 1” ทุกวันตั้งแต่เวลา 12.00 น. – 14.30 น. ในราคาสุทธิเพียงคนละ 899 บาท รวมน้ำเปล่า ชา และกาแฟ
โทร. 02-021-8888 ต่อ 5320 หรือ www.bangkok.amarahotels.com
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน :บล็อกเกอร์ และผู้ดำเนินรายการ |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น