สภาท่องเที่ยวจุดพลุจัดครั้งแรกทัวริสซึ่มโปรดักซ์
จับคู่ธุรกิจดันท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทยบุกตลาดโลก
4ทายาทรุ่นใหม่คิงเพาเวอร์พุ่งเป้าธุรกิจเพื่อสังคม
ททท.รุกขายคุณภาพ12เมืองห้ามพลาดพลัสปี’61
บางจากกวาดรางวัลเพียบทุกเวทีตลอดเดือนพ.ย.
ชุมชนกกสะทอนชวนเที่ยวถิ่นสนามรักท้องถิ่นไทย
ผ่าสถานการณ์4แอร์ไลน์ไทยฝ่าวิกฤตแข่งดุปี’61
เคทีซีผนึก28ร้านอาหารดังอัดแคมเปญอิ่มไม่อั้น
ดรีมครุยส์ยกทัวร์อินเตอร์ขึ้นเกาะทำภูเก็ตคึกคัก
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
ช่วงที่ 1 “คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะมาถ่ายทอดโปรเจ็กต์ “Tourism Product -เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ซึ่งจะอีเวนต์ระดับประเทศนำร่องครั้งแรกสนับสนุนสภาท่องเที่ยว เปิดให้ตัวแทนภาคเอกชนสมาชิกแอตต้า กลุ่มอินบาวนด์ สมาคมโรงแรมไทย กับโดเมสติกร่วมมือเจรจาธุรกิจกันเพื่อขายโปรดักซ์ท่องเที่ยวชุมชนออกสู่ตลาดโลก ด้วยการจัดอีเวนต์ 4-17 ธันวาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทำโครงการนำร่องเป็นครั้งแรกจัดงาน Tourism Product 2018 ภายใต้ชื่อ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วางกลยุทธ์นำโปรดักซ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ มาเปิดตัว โดยร่วมมือกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ซึ่งมีสมาชิกบริษัทตัวแทนนำนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าเมืองไทย (inbound) จำนวนกว่า 1,000 บริษัท ภายในงานสมาชิกแอตต้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อ พร้อมกับการนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภาค ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ภาคตะวันออก นำโปรดักซ์มาขาย
วันแรกจะเป็นการเจรจาธุรกิจระหว่างสมาชิกแอตต้ากับผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค ในลักษณะ Business to business : B to B เรื่องแรก จะเน้นให้แต่ละภูมิภาคเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ผสมผสานเป็น “แพกเกจท่องเที่ยวชุมชน” เรื่องที่ 2 ขานรับนโยบายปีการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน พ.ศ.2561 จึงได้จัดให้ในวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 เปิดกว้างให้คนทั่วไปกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาช้อปแพกเกจภายในงาน หรือ Business to Consumer : B to C อย่างเต็มที่
รวมทั้งทางสมาคมโรงแรมไทย ระดมสมาชิกนำห้องพักมาลดราคาพิเศษภายในงานทั้งกับคู่ค้าและนักท่องเที่ยวทั่วไทย เพื่อสนับสนุนปีการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน ไปด้วย
สำหรับ “ชุมชน” ที่ผ่านมาการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ทั่วประเทศมีกว่า 100 ชุมชน โดยก่อนหน้านี้ทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์บริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เข้าไปช่วยขับเคลื่อนการตลาด จึงมีหลายภาคส่วนพร้อมใจกันทำงาน “เชิงบูรณาการความร่วมมือ” ของทุกภาคส่วนทุ่มเทอย่างเต็มที่
การบุกเบิกจัดงาน Tourism Product 2018 ภายใต้ชื่อ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ครั้งแรกในช่วงปลายปีนี้จะเป็นต้นแบบเพื่อกำหนดจัดเป็นงานประจำทุกปี โดยมีสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในฐานะตัวแทนเอกชนท่องเที่ยวทั้งประเทศเป็นเจ้าภาพร่วมกับทุกหน่วยงาน โดยจะมีโปรดักซ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ราคาพิเศษมานำเสนอต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทุกปี
สำหรับ “สถานที่พัก” ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนนั้น ทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้มอบหมายให้สมาคมโรงแรมไทยซึ่งอยู่ใกล้เคียงเข้าไปผูกโยงตามชุมชน เข้าไปศึกษาสินค้าที่มีความน่าสนใจนำผลิตภัณฑ์ชุมชนมาวางจำหน่ายตามโรงแรมด้วย ทำให้แต่ละฝ่ายวิน วิน ไปด้วยกัน และขณะนี้ก้าวข้ามไปถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงจากพื้นที่สู่ส่วนกลางอย่างเป็นรูปธรรม
การเข้าไปช้อปภายในงาน Tourism Product 2018 ภายใต้ชื่อ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ตลอด 4 วัน ในจังหวะใกล้วันหยุดส่งท้ายปีนี้ คนทั่วไปสามารถแวะไปเลือกพื้นที่ไฮไลต์แนวโน้มจะขายดีคือ “ภาคเหนือ” จัดทำราคาและโปรแกรมพิเศษ ๆ มากระตุ้นการซื้อภายในงาน รวมถึงภาคอื่น ๆ ก็ปูพรมขายในฤดูอื่น ๆ พ่วงเข้าไปด้วย หน้าร้อนเที่ยวทะเล หรือเที่ยวหน้าฝนภาคอีสาน ผู้ที่เข้าร่วมงานนี้จะได้ความเป็นพิเศษหลาย ๆ อย่างเพื่อนำไปใช้เดินทางปีหน้าต่อไป
ตัวอย่างจังหวัดกระบี่ ทางโรงแรมเข้าไปเชื่อมโยงกับชุมชนหลายแห่ง อาทิ บ้านเกาะกลาง หนองทะเล แหลมสัก แต่ละแห่งพัฒนาโปรดักซ์หลากหลายมาก ขณะนี้ยังได้หารือกันทุกฝ่ายถึงการยกระดับ ชุมชนคลองท่อม เป็นศูนย์กลางสปาน้ำพุร้อนเค็ม ที่มีชื่อเสียงได้รับความนิยม สะท้อนถึงกระบี่ไม่ได้มีดีเฉพาะการท่องเที่ยวทางทะเล ทว่ายังมีโปรดักซ์หลากหลายให้เลือกไปใช้บริการด้วย
ขณะนี้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บริษัทที่ปรึกษา เข้ามาวางมาสเตอร์แพลน เพื่อสร้างชุมชนคลองท่อมเป็นศูนย์กลางสปาน้ำพุร้อนเค็ม เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ อีกทั้งยังมีบริษัทต่างประเทศเข้ามาให้คำแนะนำ สุดท้ายเมื่อได้แนวทางการพัฒนาแล้วก็จะกลายเป็น “ต้นแบบ” ของสปาทั่วประเทศได้ ซึ่งจะสามารถเห็นความสำเร็จช่วงปี 2561-2562 ส่วนปัจจุบันสามารถไปท่องเที่ยวได้มี อบต.บ้านทรายขาว คอยดูแล ส่วนสปาเป็นโครงการต่อยอดเพิ่มขึ้นเพื่ออนาคตของการท่องเที่ยวกระบี่
โครงการท่องเที่ยวกระบี่เป็นศูนย์กลางความหลากหลาย สอดคล้องกับการที่รัฐบาลเตรียมลงทุนขยายท่าอากาศยานกระบี่ รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ที่พัก สปา ก็มีกำลังใจลงทุนพัฒนาอย่างเต็มที่ ควบคู่กับการร่วมมือกันดูแลความปลอดภัย ความสะอาด และจังหวัดอื่น ๆ ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี
ตามแผนพัฒนาการลงทุนท่าอากาศยานกระบี่ในเฟสต่อไปปี 2561 จะเพิ่มอาคารผู้โดยสารหลังที่สาม รองรับผู้โดยสารปีละกว่า 8 ล้านคน พร้อมหลุมจอดเครื่องบินประมาณ 30 หลุมจอด สอดคล้องกับอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังกระบี่ปีหน้า รวมทั้งจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่าอากาศยานภูเก็ต และจากการพูดคุยกับกรมท่าอากาศยาน การขยายครั้งนี้จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการตั้งอยู่ใกล้เคียงกันเชื่อมโยงรอบภาคใต้ได้หลายจังหวัด อาทิ นครศรีธรรมราช ตรัง พังงา
คุณอิทธิฤทธิ์ ยังสะท้อนความเห็นกรณีการนำ “มาตรการลดหย่อนภาษี” ของภาครัฐเข้ามาเป็นแรงส่งเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เป็นแนวทางที่เกิดประโยชน์ เช่นเดียวกับที่รัฐบาลนำโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” เข้ามาใช้ เนื่องจากการสำรวจดัชนีชี้วัดนักท่องเที่ยว สถานการณ์ปลายปีปริมาณคนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หากไม่มีแรงกระตุ้นจำนวนจะลดลง หากนำมาตรการภาษีเข้ามาใช้ก็จะทำให้รายได้ท่องเที่ยวในประเทศปี 2560 เข้าเป้าได้ 900,000 ล้านบาท
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “4ทายาทคิงเพาเวอร์รุกหนุนเศรษฐกิจไทยและสังคม”
28 ปีแห่งผู้นำการบุกเบิกธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีอากร (Duty Free) ของ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” จากรุ่นพ่อ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ประธานกรรมการ ส่งต่อสู่รุ่นลูก 4 พี่น้อง นำโดย “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “วรมาศ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายงานพาณิชย์ และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด “อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ “อรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
ทายาทกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้บริหารรุ่นใหม่ทั้ง 4 พี่น้อง กอดคอกันขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย” เดินหน้าทำ “ร้านค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว : Tourism Retail” ให้เป็นหนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติตลอด 3 ทศวรรษ เข้าสู่ร้านช้อปปิ้งได้ถึง 300 ล้านคน นำเม็ดเงินกระจายในระบบเศรษฐกิจประเทศปีละนับแสนล้านบาท จ้างงานสร้างอาชีพดูแลพนักงานกว่า 10,000 ชีวิต พร้อม ๆ กับจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนคืนรัฐตามสัญญาในฐานะผู้ชนะประมูลโครงการร้านค้าดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานต่าง ๆ รวมทั้งจ่ายภาษีธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยมาตลอดการดำเนินธุรกิจ
ขณะเดียวกันก็ได้ทำโครงการ “คืนประโยชน์สู่สังคมและชุมชน” (Corporate Social Responsibility : CSR ) อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับ 3 กระทรวงเสาหลัก ได้แก่ มหาดไทย พาณิชย์ อุตสาหกรรม พัฒนา “สินค้าชุมชน” กลุ่มประชารัฐ โอท็อป ในหมวดผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหาร ผลไม้ สมุนไพรไทย สุขภาพ งานหัตถกรรม แฟชั่นเสื้อผ้าพื้นเมือง ให้มีมาตรฐานสากลมาวางจำหน่ายกระทั่งปัจจุบันมีสินค้าไทยอยู่ในร้านดิวตี้ฟรี คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา แต่ละปีมีส่วนแบ่งตลาดสร้างรายได้เกือบ 20 % แนวโน้มจะเพิ่มยอดสินค้าไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนและเอเชีย
ทางด้านกีฬา กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ทุ่มเททำให้ชื่อเสียงไทยโด่งดังไปทั่วโลกหลังเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลอังกฤษ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่นำทีมตกพรีเมียร์ลีกชั้นมายาวนานอย่าง “เลสเตอร์ ซิตี้” ทำลายสถิติคว้าแชมป์สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี เรื่อยไปจนถึงปีนี้เข้าซื้อสโมสร OHL ของเบลเยี่ยม โดยวางแผนใช้อคาเดมีทั้งสองสโมสรเป็นศูนย์ฝึกเยาวชนไทยโดยให้ทุนนักเตะเยาวชนในโครงการ “FOX HUNT” เดินทางไปศึกษากีฬาฟุตบอลพร้อมกับเรียนภาคปกติ วางอนาคตเด็กไทยได้มีโอกาสกลับมาสร้างชื่อเสียงให้ประเทศจากรุ่นสู่รุ่นในระดับเอเชียและระดับโลก
ในปี 2560 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประกาศเดินหน้าโครงการ “SPORT POWER -พลังกีฬา” ใช้เงินเกือบ 1,000 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ให้นำกีฬาเข้ามาพัฒนาเยาวชนของประเทศ 2 ส่วน คือ
ส่วนแรก สร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียมพร้อมอุปกรณ์กีฬาให้ฟรีแก่โรงเรียนทั่วประเทศภายใน 5 ปี 100 สนาม นำร่องทำและส่งมอบสนามต้นแบบแห่งแรกเรียบร้อยแล้วคือ “สนามฟุตบอลหญ้าเทียมโรงเรียนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ” ชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ แห่งที่สองที่โรงเรียนดอยเต่า เชียงใหม่ ส่วนที่สอง โครงการแจกลูกฟุตบอลจำนวน 1 ล้านลูก
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 “คิง เพาเวอร์” ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “ก้าวคนละก้าว” กับ “ตูน บอดี้สแลม-อาทิวราห์ คงมาลัย” วิ่งจากใต้สู่เหนือสุด เพื่อระดมเงินบริจาคนำไปมอบให้ 11 โรงพยาบาล คิง เพาเวอร์ ได้บริจาคเงิน 24 ล้านบาท พร้อม ๆ กับตูนเองให้เกียรตินำลูกฟุตบอลคิง เพาเวอร์ ไปแจกตามโรงเรียนตลอดเส้นทางการวิ่ง ซึ่งมีวลีจากตูนถึงปรากฎบนโซเชียลมีเดียว่า
“ผมเชื่อเลย...ต้องมีทีมชาติไทยเกิดขึ้นจากลูกฟุตบอลของ คิง เพาเวอร์ ที่แจกครั้งนี้” ในโครงการ “ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย”
เป็นคำพูดจากใจ “ตูน บอดี้สแลม” ระหว่างวิ่งแล้วนำลูกฟุตบอลคิง เพาเวอร์ ไปแจกให้เด็ก ๆ โรงเรียนบ้านปากบางสะกอม จังหวัดสงขลา
ในวันที่ 1-2 ธันวาคม 2560 เมื่อ “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งเข้ากรุงเทพฯ ทางกลุ่มคิง เพาเวอร์ เตรียมเปิดบ้านคือโรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ต้อนรับคณะผู้เสียสละซึ่งทำเพื่อส่วนรวมเป็น “พลังคนไทย” ที่มีคุณค่าต่อจิตใจปลุกคนไทยให้ลุกขึ้นมาร่วมใจทำในสิ่งดี ๆ ไปด้วยกัน
ส่วน “การเดินหน้าพัฒนาธุรกิจเพื่อร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ” กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ปรับโฉมร้านค้าใหญ่ในเมือง “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ” ดีไซน์พื้นที่ทั้งภายในอาคารและรอบบริเวณเกือบ 50,000 ตารางเมตร ให้กลายเป็นศูนย์การค้าเทรนด์ใหม่ครบวงจร เปิดบริการตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2560 เป็นต้นมา ตั้งเป้าดึงดูดชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเงินช้อปปิ้งในร้านค้าดิวตี้ฟรี และในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของคิง เพาเวอร์ ตลอดทั้งปีนี้รวมเกือบแสนล้นบาท
ข่าวที่ 2 “ททท.รุกขายคุณภาพ12เมืองห้ามพลาดพลัสปี’61”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. เปิดเผยว่าในปี 2561 ใส่เกียร์หน้าชูตลาดการขายแหล่งท่องเที่ยวโครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด เน้นเพิ่มการเติบโตในเชิงคุณภาพภายใต้แนวคิด Plus Less Volume More Value” โดยจะใช้กลยุทธ์ร่วมมือพันธมิตรสร้างกิจกรรมตอกย้ำจุดเด่นของแต่ละจังหวัด ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกช่วงวัย ควบคู่กับท่องเที่ยวใน 3 หมวดหลัก คือ การท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวอาหารถิ่น และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขานรับนโยบายรัฐบาลในปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋สไตล์ยั่งยืน
ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2560 สถิติมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเมืองต้องห้ามพลาด พลัส 13.6 ล้านคน สร้างรายได้รวม 52,400 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 ททท.ได้เปิดตัวกิจกรรมโครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus ปี 2561 ประกอบด้วย นิทรรศการแสดงสินค้าที่มีการผสานนวัตกรรมสร้างสรรค์จากทั้ง 5 ภูมิภาค (ผลิตภัณฑ์เซรามิคจาก จังหวัดลำปาง เครื่องแต่งกายผลิตจากสีย้อมธรรมชาติ จังหวัดน่าน ผลิตภัณฑ์ทอเสื่อ จากจังหวัดจันทบุรี ผลิตภัณฑ์จากหน้ากากผีตาโขน จังหวัดเลย ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับจากลูกปัดโนรา จังหวัดพัทลุง และผลิตภัณฑ์เสื้อสกรีนลายหนังใหญ่ จังหวัดราชบุรี) รวมทั้งสินค้า OTOP และอาหารถิ่นในจังหวัดหลักภายใต้โครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus จำนวน 24 บูธ อาทิ เครื่องเงิน จังหวัดน่าน ผลิตภัณฑ์จากไร่กำนันจุล จังหวัดเพชรบูรณ์ พลอย อัญมณีต่างๆ จังหวัดจันทบุรี เครื่องประดับจากลูกปัดโนรา จังหวัดพัทลุง ปลาทูซาเตี๊ยะ จังหวัดสมุทรสงคราม กุ้งจ่อมแม่เนย จังหวัดบุรีรัมย์ และผลิตภัณฑ์แมคคาเดเมียแปรรูป จังหวัดเลย
ททท.วางแนวทางให้การท่องเที่ยว 12 เมืองต้องห้ามพลัส ไว้เบื้องต้น 4 เป้าหมาย
1.ตอกย้ำภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละเมืองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์และ Fanpage 12 เมืองต้องห้าม...พลาด (www.citieshiddengemsthailand.com)
2. กระตุ้นรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยวผ่านการจัดงาน “เทศกาลเที่ยว 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus” ระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคม 2560 ณ โซน C ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ มีแพ็คเกจท่องเที่ยวขายราคาพิเศษ พร้อม OTOP อาหารท้องถิ่น กิจกรรมสาธิตต่าง ๆ จะมีผู้ประกอบการร่วมออกบูธกว่า 200 ราย
ข่าวที่ 3 “บางจากฯกวาดรางวัลเพียบทุกเวทีตลอดพ.ย.”
เป็นผลมาจากบางจากได้พัฒนาเว็บไซต์ต่อเนื่องด้วยรูปแบบที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย บนโดเมน www.bangchak.co.th ล่าสุดยังได้พัฒนารูปแบบการใช้งาน โดยคำนึงถึงด้าน Responsive Web Design รองรับทุกอุปกรณ์ สำหรับทุกคนที่ต้องการเข้าถึงเว็บเดียวกันไม่ว่าจะเป็น Smartphone หน้าจอเล็ก ไปจนถึง Smart TV หน้าจอใหญ่มาก เพิ่มฟังก์ชั่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น บนโครงสร้างข้อมูล หรือ Site map เว็บไซต์ที่ไม่ซับซ้อน และพัฒนาเนื้อหาทำให้การค้นหา และดูข้อมูลผ่านเมนูต่างๆ บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ รวมถึงการFeedback ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากฯ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญด้านนโยบายการรักษาความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มาตรฐานการใช้ระบบสารสนเทศและเครือข่าย รวมทั้งนโยบายเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีความจำเป็นในโลกปัจจุบัน และมีบุคลากรที่มีส่วนร่วมคิดค้น สร้างสรรค์และนำระบบข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวมาปรับใช้กับการบริหารงานสมัยใหม่ มีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ และพัฒนาประสิทธิภาพให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล ด้วยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจ อำนวยความสะดวกให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายและประชาชนทั่วไปค้นหาข้อมูลของบริษัท และกลุ่มบริษัทได้
รวมทั้งสาระด้านพลังงาน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์เรียนรู้พลังงานหมุนเวียน สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บางจาก
ส่วนอีกรางวัล บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล Thailand Sustainability Investment (THSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หรือรายชื่อหุ้นยั่งยืน โดยมีนายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโรงกลั่น บริษัท บางจากฯ เป็นตัวแทนรับรางวัล ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมอบให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่มี Market Cap ระหว่าง 30,000-100,000 ล้านบาท ในงาน SET Sustainability Awards 2017
สำหรับรางวัลดังกล่าวเป็นการประกาศเกียรติคุณและยกย่องบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มีความโดดเด่นอย่างชัดเจน โดยเป็นการยกระดับจากรางวัลด้านรายงานบรรษัทภิบาลและรางวัลด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้สามารถสะท้อนการบูรณาการด้านความยั่งยืนในธุรกิจได้อย่างครอบคลุมทุกด้าน
ช่วงที่ 2 ชวนกันขึ้นเหนือไปดื่มด่ำธรรมชาติท่ามกลางวิถีความปรองดอง “ชุมชนกกสะทอน” จังหวัดเลย ถิ่นดอกกนางพญาเสือโคร่ง-ซากุระเมืองไทย และจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามรักสามัคคี เต็มไปด้วยเสน่ห์วัฒนธรรมอันงดงาม ส่วนเรื่องสุขภาพก็ต้องฟังอาหาร 10 อย่างต้องกินให้ถูกมื้อถึงจะดีต่อร่างกาย และข่าวท้ายชั่วโมง
เรียกน้ำย่อยด้วยบทวิเคราะห์ 5 สายการบินแถวหน้าของเมืองไทยดิ้นทุกทางเพื่อหนีตาย ส่วนกรมท่าอากาศยาน ยังคงกั๊กไม่ปล่อย 28 สนามบินต่างจังหวัดให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และเอกชนเข้าบริหาร ส่วนเคทีซีรีบปล่อยแคมเปญอิ่มไม่อั้นตุนรายได้ปลายปี และดรีมครุยส์เรือสำราญข้ามชาตินำสิงคโปร์ขึ้นเกาะภูเก็ตเพียบ
@ชุมชนกกสะทอนสนามรักของนักท่องเที่ยว
หนาวนี้แหล่งท่องเที่ยวแสนงดงามที่ผู้คนแห่แหนกันไปเที่ยว “ชุมชนกกสะทอน” จังหวัดเลย โดยเฉพาะในช่วงที่ “นางพญาเสือโคร่ง” หรือ “ซากุระเมืองไทย” สีชมพูบานสะพรั่ง เสน่ห์ของชุมชนยังความงดงามแห่งวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นมาของชุมชนอันน่าค้นหาเมื่อครั้งอดีตเคยเป็น จุดสู้รบของกลุ่มคอมมิวนิสต์กับทหารไทย กลายเป็นเครื่องเตือนใจรุ่นหลังในวันนี้ให้รักสามัคคีกัน
อย่างแรกที่ต้องไปสัมผัสความงามของ “ทุ่งนางพญาเสือโคร่ง” กว่าพันไร่กันที่ “ภูลมโล” ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปีดอกไม้จะบานสดใสสวยงาม จากนั้นก็ไปชม “อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง” สถานที่ทางประวัติศาสตร์การสู้รบของกลุ่มคอมิวนิสต์กับทหารไทย เป็นเสมือนสิ่งเตือนใจให้คนหันมาปรองดองกัน
ใกล้ ๆ ชุมชนมี “น้ำตกหมันแดง” ยิ่งใหญ่อลังการความสูงถึง 32 ชั้น เดินชมธรรมชาติได้ตั้งแต่ชั้น 1-9 ในเดือนสิงหาคมของทุกปีนักท่องเที่ยวจะได้พบกับ “ดอกลิ้นมังกรสีชมพู” อีกทั้งลานน้ำตกมีแผ่นหินที่มี “รอยไดโนเสาร์” ถึง 20 รอย รวมถึงมีวิถีชีวิตของชาวม้งที่อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ณ บ้านตูบค้อ เป็นแหล่งชมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ปลูกเรือนพักอาศัย แต่งกาย สวยงาม พร้อมกับยังคงรักษาประเพณีไว้เป็นอย่างดี
ส่วนช่วงเช้าสามารถตื่นมาตักบาตรกับชาวบ้านได้ที่ “วัดเย็นศรีระธรรมประทีป” วัดเก่าแก่มีเรื่องราวความน่าสนใจมากมาย และยังเป็นแหล่งรวมอาหารเมนูท้องถิ่นที่ชาวบ้านนำมาทำบุญและเลี้ยงคนมาวัดไปพร้อมกันด้วย
อาหารถิ่นเมนูเด็ดต้องชิมกันให้ได้ก็มี “ส้มตำน้ำผักสะทอน” นำจากใบต้นสะทอนหมักด้วยน้ำเปล่า 3 คืน แล้วนำมาต้มน้ำจะเป็สีดำใช้ปรุงรสแทนน้ำปลาร้าใส่ลงในส้มตำ “ต้มซั้วไก่งาดำ” ว่ากันว่ากินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี “ยำหัวปลีกล้วยป่า” เรียกอีกชื่อว่าสลัดบ้านนอก ปรุงตามสูตรลับชาวกกสะทอน รสชาติแซ่บเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นจริง ๆ
ส่วนที่พักลองนอนโฮมเสตย์ อุดหนุนชาวบ้าน ที่เปิดบริการได้มาตรฐานความนิยมได้แก่ โฮมสเตย์กกสะทอน นักท่องเที่ยวที่อยากซึมซับความเป็นธรรมชาติของภูสูงต้องลองพักที่นี่ให้ได้ หรือชอบสไตล์รีสอร์ตก็มี “ปนัดดารีสอร์ต” พัฒนาเป็นที่พักคาร์บอนต่ำเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ “ภูนาคำ รีสอร์ท” สัญลักษณ์คือเป็นรีสอร์ตที่เลี้ยงควาย ปลูกพืชปลอดสารพิษ คว้ารางวัลมากมายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม
และของฝากที่ต้องซื้อติดมือกลับมาฝาก แนะนำให้ซื้อ น้ำพริกผักสะทอน สินค้าโด่งดังของหมู่บ้าน ตะกร้าสาน ไม้กวาด ทนทานใช้งานได้นานมาก
สนใจท่องเที่ยวติดต่อได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน โทร.062-557-0912-3, 091-282-0556
@10 อาหารเพื่อสุขภาพกินให้ถูกมื้อดีต่อร่างกาย
เทรนด์สุขภาพเพื่อการเลือกรับประทานให้ถูกมื้อ ถูกเวลา จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เกี่ยวกับอาหาร 10 ชนิด ต่อไปนี้
1. แอปเปิ้ล ห้ามกินก่อนนอน อาจอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และคุณค่ามากมาย แต่กินตอนเช้าจะดีกว่าเยอะ เพราะแอปเปิ้ลช่วยลดคลอเลสเตอรอล และช่วยลดน้ำตาลในเลือด ส่วนเหตุผลที่ห้ามกินในมื้อเย็นก็เพราะ ตอนนอนจะย่อยลำบากไปไหมเพราะไฟเบอร์ก็สูง อีกทั้งจะไปเพิ่มกรดในกระเพราะด้วย
2. โยเกิร์ต เหมาะกับมื้อเย็นดีกว่ากินมื้อเช้า เพราะมื้อเช้าต้องกินหนัก ๆ แค่โยเกิร์ตคงไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดกรดในกระเพาะได้ ส่วนมื้อเย็นเน้นสบายเลย ย่อยง่าย หลับสบายแน่นอน ใครหิวตอนดึกก็หยิบออกจากตู้เย็นมาทานได้
3. มันฝรั่ง เหมาะมื้อเช้า เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและคลอเลสเตอรอลต่ำ อิ่มแน่นท้อง แคลอรี่สูงเกินที่จะรับประทานเป็นมื้อเย็น
4. มะเขือเทศ เหมาะกับมื้อเช้าไม่ใช่มื้อเย็น จะไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น แล้วช่วยการทำงานของลำไส้ยามเช้า แต่มื้อเย็นนั้นหยุดเลย! กระเพาะของคุณจะมีกรดมากเกินไป
5. เนื้อสัตว์ เหมะสำหรับมื้อเที่ยง เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยทำให้ร่างกายไม่อ่อนล้าอ่อนเพลีย ช่วยต้านทานโรคด้วย แต่ถ้าเลือกกินเนื้อตอนเย็นจะนอนตอนไหน เนื่องจากเนื้อสัตว์ใช้เวลาย่อย 5-6 ชั่วโมง แล้วยังไปทำลายระบบย่อยอาหารของพวกเราด้วย
6. ถั่ว เหมาะกับมื้อเที่ยง มีประโยชน์เพียบ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและช่วยให้หัวใจแข็งแรง แต่ถ้าไปรับประทานเป็นมื้อเย็นก็จะอ้วน เพราะไขมันสูง
7. ดาร์คช็อคโกแลต เหมาะกับมื้อเช้า ไม่ใช่ขนมจุกจิก ดาร์คช็อคโกแลตจะช่วยให้แก่ช้าลง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่ถ้าเอาไว้ทานเล่นตลอดทั้งวันก็ต้องระวังอ้วนเพราะไขมันเยอะ
8. ข้าว เหมาะกับมื้อกลางวัน ไม่ใช่มื้อเย็น เพราะข้วคือคาร์โบไฮเดรต ช่วยให้เรามีพลังทั้งวัน แต่ถ้าทานเป็นมื้อเย็นก็ไม่เหมาะกับคนที่อยากลดน้ำหนักเท่าไร
9. ส้ม ดีสำหรับทานเล่นได้ทั้งวัน แต่ไม่ใช่มื้อเช้า นอกจากจะไม่อิ่มท้องแถมการกินส้มอย่างเดียว จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ แต่ก็สามารถทานส้มได้ตลอดทั้งวัน เพราะจะไปช่วยระบบย่อยให้ทำงานดีขึ้น และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เป็นอย่างดี
10. กล้วย สำหรับมื้อเที่ยง ไม่ใช่มื้อเย็น ใครชอบทานกล้วยจะผิวสวย แล้วยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ส่วนมื้อเย็นลืมไปได้เลย จะทำให้เกิดเสมหะ แล้วยังไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “จับตา4แอร์ไลน์ไทยปี’61ดิ้นหนีตายทุกทาง”
@การบินไทยดึงดิจิตอลฝ่าวิกฤตการขายตั๋ว
ในขณะที่ “การบินไทย” สายการบินแห่งชาติ เร่งฟื้นฟูรายได้โดยเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2560 การบินไทยและบริษัทย่อย ทำรายได้รวมทั้งสิ้น 46,928 ล้านบาท มีกำไร 739 ล้านบาท ต่างจากช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมาขาดทุน 836 ล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายด้านราคาน้ำมันเครื่องบิน และการต่อสู้กันอย่างดุเดือดของราคาตั๋วโดยสาร รวมไปถึงกลยุทธ์การเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์และดิจิตอลให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผุ้บริโภคยุคใหม่
ปี 2561 จะได้เห็นการปฏิวัติตลาดเชิงรุก หลังจากการบินไทย หันมาฟื้นฟูเส้นทาง จุดบิน ความถี่ ในยุโรปโดยใช้กลยุทธ์ “เลือกลงในเมืองศูนย์กลางซึ่งสามารถเชื่อมโยงต่อไปยังประเทศใกล้เคียงได้อย่าง “เวียนนา” ออสเตรีย ศูนย์กลางของยุโรปกลาง และยังหันมาบุกเส้นทางบินในจีน โดยใช้จังหวัดหลักและรองบินตรงตามมณฑลต่าง ๆ
บางกอกแอร์เวย์สหาช่องหนีขาดทุนรอบใหม่
สวนทางกับ “บางกอก แอร์เวย์ส” บูติกแอร์ไลน์สหนึ่งเดียวของไทย “นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 บริษัท และบริษัทย่อย ขาดทุนสุทธิ 157.28 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.07 บาท มีรายได้รวม 6,870.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 662.44 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.32 บาท
สาเหตุการขาดทุนทั้ง ๆ ที่ปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นถึง 6.9 % มาจากการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อลดราคาตั๋วโดยสารลง ทำให้มีรายได้การขายตั๋วของบางกอกแอร์เวย์สลดลงเฉลี่ย 6% ทำให้มีรายได้ธุรกิจการบินวูบไปราว 0.6% โดยเฉพาะเที่ยวบินในกลุ่มประเทศแถบอินโดจีน สายการบินต่าง ๆ แห่กันขยายเส้นทางบินเข้ามาให้บริการเพราะเล็งเห็นศักยภาพในอนาคต
@นกแอร์ฝันเกาะกระแสจีนพลิกวิกฤตขาดทุน
ทางด้าน “นกแอร์” ประกาศกร้าวที่จะลุกขึ้นมายึดส่วนแบ่งตลาดอีกครั้ง หลังจากเผชิญการขาดทุนอย่างยับเยินกว่า 2,800 ล้านบาท โดยจะขอเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิง “ตลาดนักท่องเที่ยวจีน” ตามที่นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันภายในปี 2561 จะบินเข้าสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้มากที่สุดถึง 24 เส้นทาง ภายในไตรมาสแรกของปี 2561วางแผนเพิ่มการบริการอีก 5 เส้นทาง ต่อจากเดือนตุลาคมปีนี้เพิ่มไปแล้ว 9 เส้นทาง รวมของเดิมเคยบินอยู่ 10 เส้นทาง โดยมีหมัดเด็ดที่จะนำมาต่อกรกับคู่แข่งเหนือน่านฟ้าคือฝูงบินเจ้าเวหาอย่าง โบอิ้ง 737-800
@แอร์เอเชียเอ็กซ์กางฐานยึดเกาหลี-ญี่ปุ่น-จีน
ปิดท้ายด้วย “ไทยแอร์ เอเชียเอ็กซ์” สายการบินที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกระชับพื้นที่ตลาดเอเชียตะวันออก เกาหลี ญี่ปุ่น จีน รัศมีการบินไม่เกิน 5 ชั่วโมง ซึ่งมีฝูงบินแอร์บัส A320 เป็นอาวุธลับ สามารถวางสล็อตเวลาบินซึ่งนำมาใช้โหมโฆษณาด้วยแคมเปญ “3-2-2-1 เช้า สาย บ่าย ดึก” โดยตั้งเป้าโกยผู้โดยสารปี 2561 ให้ได้ 2.2 ล้านคน แบ่งเป็นเป็นไทย 60% เกาหลี 20% ญี่ปุ่น 15% จีนและอื่นๆ 5% ทำอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยตลอดปี 86%
นายนัตดา บุรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าวถึงแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ ต้นปี 2561 เส้นทาง กรุงเทพฯ-ซัปโปโร พร้อมกับเร่งศึกษาเส้นทางบินเพิ่มสู่ญี่ปุ่นตอนใต้ อาทิ ฟูกูโอกะ โอกินาว่า คุมาโมโตะ สาธารณรัฐประชาชนจีน อาทิ ปักกิ่ง เทียนจิน ต้าเหลียน ชิงเต่า และเกาหลีใต้ อาทิ ปูซาน และยุโรปซึ่งจะชิมรางบิน โปแลนด์ เดือนมกราคม ปีหน้า เรื่อยไปจนถึง สแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย
ไทย แอร์ เอเชีย เอ็กซ์ ออกตัวแคมเปญ “3-2-2-1 เช้า สาย บ่าย ดึก” กรุงเทพฯ-โซล 3 เที่ยว/วัน กรุงเทพฯ-โตเกียว 2 เที่ยว/วัน กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ 1 เที่ยว/วัน ส่วนกรุงเทพฯ-โอซาก้า 2 เที่ยว/วัน จะเริ่มบินธันวาคม 2560 เป็นต้นไป
รวมทั้งตั้งเป้าปี 2560 จะมีรายได้ 9,000 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2559 ทำไว้ 7,900 ล้านบาท ส่วนผู้โดยสารจะถึง 1.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2 แสนคน จากปี 2559 มีเพียง 1.4 ล้านคน และอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 89% สูงขึ้นกว่าปีก่อนเฉลี่ยเพียง 85%
ข่าวที่สอง “จับตา28สนามบินต่างจังหวัด ทย.ลูกเล่นเพียบ”
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้ให้ทาง "ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการด้านการขนส่งทางอากาศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" ทำวิจัยเกี่ยวกับ "การพัฒนาแนวทางการบริหารท่าอากาศยาน (ทย.) ในสังกัดกรมท่าอากาศยาน" เพื่อนำผลสรุปเสนอนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลังจากเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านเศรษฐกิจ ไปตรวจงานพร้อมทั้งมีนโยบายให้ กรมท่าอากาศยานกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ไปหารือกันภายในให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน นี้
นายดรุณยืนยันว่า จะพิจารณายกท่าอากาศยานภูมิภาคให้ ทอท.เพียง 2 แห่งเท่านั่น คือ อุดรธานี เพราะจะต้องใช้เงินปรับปรุงอีกเกือบ 2,000 ล้านบาท เชื่อมโยงกับสนามบินแม่สอด จ.ตาก ต้องใช้เงินปรับปรุงด้วยเช่นกัน เหตุที่ยก 2 แห่งให้ ทอท.เพื่อทำเป็นศูนย์กลางการบินเชื่อมโยงอีสานสู่ภาคตะวันตก
ส่วนอีก 26 สนามบิน ทย.จะดำเนินการเอง ตามแผนแม่บท 10 ปี นับจาก 2561-2671 จะเสนอของบรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท ทำให้มีศักยภาพทั้งเรื่องบริการและรายได้เข้าสู่เศรษฐกิจชุมชน
ประการสำคัญขณะนี้กรมท่าอากาศยาน ได้ทำแผนใช้เงินกว่า 200 ล้านบาท เดินหน้าสร้างสถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน บริเวณบางปิ้ง เตรียมปูพรมเปิดการเรียน การสอน ฝึกอบรม พนักงานของ ทย.และหน่วยงานการบิน พร้อมกับมอบใบรับรองการประกอบอาชีพทางด้านบริการจัดการสนามบิน จะเริ่มเปิดสถาบันแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
ขณะที่ นายจุฬา สุขมานพ ผอ.สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย นายหลุยส์ มอเซอร์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบิน แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันคือ การผ่าทางตันเรื่องบริหารจัดการ 28 สนามบินภูมิภาคนั้น ควรใจกว้างเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาบริหาร เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน เนื่องจาก ทย.เป็นหน่วยงานราชการ ส่วน ทอท.เป็นรัฐวิสาหกิจ ต่างก็มีข้อจำกัดขาดความเป็นอิสระและมีเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่สามารถเพิ่มการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามข้อสรุปว่า สนามบินภูมิภาคทั้ง 28 แห่ง ของ ทย.จะให้ใครบริหารต่อไปในอนาคต นั่น จะต้องนำเสนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบในหลักการว่าควรจะไปในทิศทางเลือกใด จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
ข่าวที่สาม “เคทีซีดึง20ร้านอาหารดังอัดแคมเปญอิ่มไม่อั้น”
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้อำนวยการ - ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รวบรวมพันธมิตร 20 ร้านบุฟเฟ่ต์ดังกว่า 90 สาขา ออกแคมเปญ “อิ่มไม่อั้น..อร่อยเน้นๆ กับบัตรเครดิตเคทีซี” ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 – 31 มกราคม 2561ให้สมาชิกได้ฟินกับบุฟเฟ่ต์มา 2 จ่าย 1 เพียงจ่ายค่าอาหารผ่านบัตรเครดิตเคทีซี บุฟเฟ่ต์ 1 คน และใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER REWARDS เริ่มต้นเพียง 1,999 คะแนน แลกรับบุฟเฟ่ต์อีก 1 คนได้ทันที
ร้านดัง ๆ ที่ร่วมแคมเปญอิ่มไม่อั้น ได้แก่ ร้านคิมจู / คิมจูบูเดชิเก / บลูสไปซ์ / ชาบูสแควร์ / กินซ่า เฮ้าส์ ออฟ บาบีคิว / กิวย่า ยากินิกุ / มูแอนด์มอร์ ยากินิกุ บุฟเฟ่ต์ / ชาบู ชาบู นางใน / ซูกิชิ โตเกียว บุฟเฟ่ต์ / โซล กริลล์ / โม โม่ พาราไดซ์ / ทาซึ ชาบู ยากิ / ชิบูย่า ชาบู / ยูแอนด์ไอ พรีเมี่ยม สุกี้ บุฟเฟ่ต์ / คิงคอง บุฟเฟ่ต์ / มงก๊ก สุกี้ยากี้ / โควเอ็น ซูชิ บาร์ / ซากุระ ยากินิคุ แอนด์ ชาบู และโกจู ซูชิ
สอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 เว็บไซต์ www.ktc.co.th
ข่าวที่สี่ “ดรีมครุยส์ยกทัวร์อินเตอร์ขึ้นเกาะทำภูเก็ตคึกคัก”
นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง กล่าวว่า ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนในภูเก็ตทั้ง เทศมนตรีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กรรมการสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ต้อนรับนาย Michael Goh Senior Vice President of Genting Cruises Lines ผู้บริหารเรือสำราญ Dream Cruises oeนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์มาเที่ยวหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต สัปดาห์ละ 1 วัน (พุธ 6:00-21:00 น.) แต่ละครั้งจะมีนักท่องเที่ยว 3,200-3,500 คน เป็นข่าวดีที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูเก็ตเพิ่มอีกช่องทาง
สำหรับเรือ Dream Cruises เป็นเรือสำราญที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ขนาด 19 ชั้น รองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 4,500 คน มีพนักงานให้บริการบนเรือกว่า 2,000 คน ภายในเรืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ห้องสวีท ผับ คาสิโน สระว่ายน้ำ สไลเดอร์ ดิวตี้ฟรี การแสดงแสงสีเสียง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยยอดเยี่ยม โดยให้บริการเดินทางรวม 5 วัน เส้นทางช่องแคบมะละกา-กัวลาลัมเปอร์-ปีนัง-ภูเก็ต
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า วันเสาร์และอาทิตย์ ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
จับคู่ธุรกิจดันท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทยบุกตลาดโลก
4ทายาทรุ่นใหม่คิงเพาเวอร์พุ่งเป้าธุรกิจเพื่อสังคม
ททท.รุกขายคุณภาพ12เมืองห้ามพลาดพลัสปี’61
บางจากกวาดรางวัลเพียบทุกเวทีตลอดเดือนพ.ย.
ชุมชนกกสะทอนชวนเที่ยวถิ่นสนามรักท้องถิ่นไทย
ผ่าสถานการณ์4แอร์ไลน์ไทยฝ่าวิกฤตแข่งดุปี’61
เคทีซีผนึก28ร้านอาหารดังอัดแคมเปญอิ่มไม่อั้น
ดรีมครุยส์ยกทัวร์อินเตอร์ขึ้นเกาะทำภูเก็ตคึกคัก
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
ช่วงที่ 1 “คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะมาถ่ายทอดโปรเจ็กต์ “Tourism Product -เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ซึ่งจะอีเวนต์ระดับประเทศนำร่องครั้งแรกสนับสนุนสภาท่องเที่ยว เปิดให้ตัวแทนภาคเอกชนสมาชิกแอตต้า กลุ่มอินบาวนด์ สมาคมโรงแรมไทย กับโดเมสติกร่วมมือเจรจาธุรกิจกันเพื่อขายโปรดักซ์ท่องเที่ยวชุมชนออกสู่ตลาดโลก ด้วยการจัดอีเวนต์ 4-17 ธันวาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
คุณอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทำโครงการนำร่องเป็นครั้งแรกจัดงาน Tourism Product 2018 ภายใต้ชื่อ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วางกลยุทธ์นำโปรดักซ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ มาเปิดตัว โดยร่วมมือกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ซึ่งมีสมาชิกบริษัทตัวแทนนำนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าเมืองไทย (inbound) จำนวนกว่า 1,000 บริษัท ภายในงานสมาชิกแอตต้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อ พร้อมกับการนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภาค ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ภาคตะวันออก นำโปรดักซ์มาขาย
วันแรกจะเป็นการเจรจาธุรกิจระหว่างสมาชิกแอตต้ากับผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค ในลักษณะ Business to business : B to B เรื่องแรก จะเน้นให้แต่ละภูมิภาคเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ผสมผสานเป็น “แพกเกจท่องเที่ยวชุมชน” เรื่องที่ 2 ขานรับนโยบายปีการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน พ.ศ.2561 จึงได้จัดให้ในวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 เปิดกว้างให้คนทั่วไปกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาช้อปแพกเกจภายในงาน หรือ Business to Consumer : B to C อย่างเต็มที่
รวมทั้งทางสมาคมโรงแรมไทย ระดมสมาชิกนำห้องพักมาลดราคาพิเศษภายในงานทั้งกับคู่ค้าและนักท่องเที่ยวทั่วไทย เพื่อสนับสนุนปีการท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน ไปด้วย
สำหรับ “ชุมชน” ที่ผ่านมาการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ทั่วประเทศมีกว่า 100 ชุมชน โดยก่อนหน้านี้ทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์บริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เข้าไปช่วยขับเคลื่อนการตลาด จึงมีหลายภาคส่วนพร้อมใจกันทำงาน “เชิงบูรณาการความร่วมมือ” ของทุกภาคส่วนทุ่มเทอย่างเต็มที่
การบุกเบิกจัดงาน Tourism Product 2018 ภายใต้ชื่อ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ครั้งแรกในช่วงปลายปีนี้จะเป็นต้นแบบเพื่อกำหนดจัดเป็นงานประจำทุกปี โดยมีสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในฐานะตัวแทนเอกชนท่องเที่ยวทั้งประเทศเป็นเจ้าภาพร่วมกับทุกหน่วยงาน โดยจะมีโปรดักซ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ราคาพิเศษมานำเสนอต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทุกปี
สำหรับ “สถานที่พัก” ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนนั้น ทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้มอบหมายให้สมาคมโรงแรมไทยซึ่งอยู่ใกล้เคียงเข้าไปผูกโยงตามชุมชน เข้าไปศึกษาสินค้าที่มีความน่าสนใจนำผลิตภัณฑ์ชุมชนมาวางจำหน่ายตามโรงแรมด้วย ทำให้แต่ละฝ่ายวิน วิน ไปด้วยกัน และขณะนี้ก้าวข้ามไปถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงจากพื้นที่สู่ส่วนกลางอย่างเป็นรูปธรรม
การเข้าไปช้อปภายในงาน Tourism Product 2018 ภายใต้ชื่อ “เที่ยวทั่วไทย เก๋ไก๋วิถีชุมชน” ตลอด 4 วัน ในจังหวะใกล้วันหยุดส่งท้ายปีนี้ คนทั่วไปสามารถแวะไปเลือกพื้นที่ไฮไลต์แนวโน้มจะขายดีคือ “ภาคเหนือ” จัดทำราคาและโปรแกรมพิเศษ ๆ มากระตุ้นการซื้อภายในงาน รวมถึงภาคอื่น ๆ ก็ปูพรมขายในฤดูอื่น ๆ พ่วงเข้าไปด้วย หน้าร้อนเที่ยวทะเล หรือเที่ยวหน้าฝนภาคอีสาน ผู้ที่เข้าร่วมงานนี้จะได้ความเป็นพิเศษหลาย ๆ อย่างเพื่อนำไปใช้เดินทางปีหน้าต่อไป
ตัวอย่างจังหวัดกระบี่ ทางโรงแรมเข้าไปเชื่อมโยงกับชุมชนหลายแห่ง อาทิ บ้านเกาะกลาง หนองทะเล แหลมสัก แต่ละแห่งพัฒนาโปรดักซ์หลากหลายมาก ขณะนี้ยังได้หารือกันทุกฝ่ายถึงการยกระดับ ชุมชนคลองท่อม เป็นศูนย์กลางสปาน้ำพุร้อนเค็ม ที่มีชื่อเสียงได้รับความนิยม สะท้อนถึงกระบี่ไม่ได้มีดีเฉพาะการท่องเที่ยวทางทะเล ทว่ายังมีโปรดักซ์หลากหลายให้เลือกไปใช้บริการด้วย
ขณะนี้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บริษัทที่ปรึกษา เข้ามาวางมาสเตอร์แพลน เพื่อสร้างชุมชนคลองท่อมเป็นศูนย์กลางสปาน้ำพุร้อนเค็ม เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ อีกทั้งยังมีบริษัทต่างประเทศเข้ามาให้คำแนะนำ สุดท้ายเมื่อได้แนวทางการพัฒนาแล้วก็จะกลายเป็น “ต้นแบบ” ของสปาทั่วประเทศได้ ซึ่งจะสามารถเห็นความสำเร็จช่วงปี 2561-2562 ส่วนปัจจุบันสามารถไปท่องเที่ยวได้มี อบต.บ้านทรายขาว คอยดูแล ส่วนสปาเป็นโครงการต่อยอดเพิ่มขึ้นเพื่ออนาคตของการท่องเที่ยวกระบี่
โครงการท่องเที่ยวกระบี่เป็นศูนย์กลางความหลากหลาย สอดคล้องกับการที่รัฐบาลเตรียมลงทุนขยายท่าอากาศยานกระบี่ รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ที่พัก สปา ก็มีกำลังใจลงทุนพัฒนาอย่างเต็มที่ ควบคู่กับการร่วมมือกันดูแลความปลอดภัย ความสะอาด และจังหวัดอื่น ๆ ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี
ตามแผนพัฒนาการลงทุนท่าอากาศยานกระบี่ในเฟสต่อไปปี 2561 จะเพิ่มอาคารผู้โดยสารหลังที่สาม รองรับผู้โดยสารปีละกว่า 8 ล้านคน พร้อมหลุมจอดเครื่องบินประมาณ 30 หลุมจอด สอดคล้องกับอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังกระบี่ปีหน้า รวมทั้งจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่าอากาศยานภูเก็ต และจากการพูดคุยกับกรมท่าอากาศยาน การขยายครั้งนี้จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการตั้งอยู่ใกล้เคียงกันเชื่อมโยงรอบภาคใต้ได้หลายจังหวัด อาทิ นครศรีธรรมราช ตรัง พังงา
คุณอิทธิฤทธิ์ ยังสะท้อนความเห็นกรณีการนำ “มาตรการลดหย่อนภาษี” ของภาครัฐเข้ามาเป็นแรงส่งเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เป็นแนวทางที่เกิดประโยชน์ เช่นเดียวกับที่รัฐบาลนำโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” เข้ามาใช้ เนื่องจากการสำรวจดัชนีชี้วัดนักท่องเที่ยว สถานการณ์ปลายปีปริมาณคนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หากไม่มีแรงกระตุ้นจำนวนจะลดลง หากนำมาตรการภาษีเข้ามาใช้ก็จะทำให้รายได้ท่องเที่ยวในประเทศปี 2560 เข้าเป้าได้ 900,000 ล้านบาท
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “4ทายาทคิงเพาเวอร์รุกหนุนเศรษฐกิจไทยและสังคม”
28 ปีแห่งผู้นำการบุกเบิกธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีอากร (Duty Free) ของ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” จากรุ่นพ่อ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ประธานกรรมการ ส่งต่อสู่รุ่นลูก 4 พี่น้อง นำโดย “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “วรมาศ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายงานพาณิชย์ และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด “อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ “อรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
ทายาทกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้บริหารรุ่นใหม่ทั้ง 4 พี่น้อง กอดคอกันขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “KING POWER THAI POWER : พลังคนไทย” เดินหน้าทำ “ร้านค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว : Tourism Retail” ให้เป็นหนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติตลอด 3 ทศวรรษ เข้าสู่ร้านช้อปปิ้งได้ถึง 300 ล้านคน นำเม็ดเงินกระจายในระบบเศรษฐกิจประเทศปีละนับแสนล้านบาท จ้างงานสร้างอาชีพดูแลพนักงานกว่า 10,000 ชีวิต พร้อม ๆ กับจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนคืนรัฐตามสัญญาในฐานะผู้ชนะประมูลโครงการร้านค้าดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานต่าง ๆ รวมทั้งจ่ายภาษีธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยมาตลอดการดำเนินธุรกิจ
ขณะเดียวกันก็ได้ทำโครงการ “คืนประโยชน์สู่สังคมและชุมชน” (Corporate Social Responsibility : CSR ) อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับ 3 กระทรวงเสาหลัก ได้แก่ มหาดไทย พาณิชย์ อุตสาหกรรม พัฒนา “สินค้าชุมชน” กลุ่มประชารัฐ โอท็อป ในหมวดผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหาร ผลไม้ สมุนไพรไทย สุขภาพ งานหัตถกรรม แฟชั่นเสื้อผ้าพื้นเมือง ให้มีมาตรฐานสากลมาวางจำหน่ายกระทั่งปัจจุบันมีสินค้าไทยอยู่ในร้านดิวตี้ฟรี คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา แต่ละปีมีส่วนแบ่งตลาดสร้างรายได้เกือบ 20 % แนวโน้มจะเพิ่มยอดสินค้าไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนและเอเชีย
ทางด้านกีฬา กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ทุ่มเททำให้ชื่อเสียงไทยโด่งดังไปทั่วโลกหลังเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลอังกฤษ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่นำทีมตกพรีเมียร์ลีกชั้นมายาวนานอย่าง “เลสเตอร์ ซิตี้” ทำลายสถิติคว้าแชมป์สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี เรื่อยไปจนถึงปีนี้เข้าซื้อสโมสร OHL ของเบลเยี่ยม โดยวางแผนใช้อคาเดมีทั้งสองสโมสรเป็นศูนย์ฝึกเยาวชนไทยโดยให้ทุนนักเตะเยาวชนในโครงการ “FOX HUNT” เดินทางไปศึกษากีฬาฟุตบอลพร้อมกับเรียนภาคปกติ วางอนาคตเด็กไทยได้มีโอกาสกลับมาสร้างชื่อเสียงให้ประเทศจากรุ่นสู่รุ่นในระดับเอเชียและระดับโลก
ในปี 2560 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประกาศเดินหน้าโครงการ “SPORT POWER -พลังกีฬา” ใช้เงินเกือบ 1,000 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ให้นำกีฬาเข้ามาพัฒนาเยาวชนของประเทศ 2 ส่วน คือ
ส่วนแรก สร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียมพร้อมอุปกรณ์กีฬาให้ฟรีแก่โรงเรียนทั่วประเทศภายใน 5 ปี 100 สนาม นำร่องทำและส่งมอบสนามต้นแบบแห่งแรกเรียบร้อยแล้วคือ “สนามฟุตบอลหญ้าเทียมโรงเรียนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ” ชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ แห่งที่สองที่โรงเรียนดอยเต่า เชียงใหม่ ส่วนที่สอง โครงการแจกลูกฟุตบอลจำนวน 1 ล้านลูก
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 “คิง เพาเวอร์” ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “ก้าวคนละก้าว” กับ “ตูน บอดี้สแลม-อาทิวราห์ คงมาลัย” วิ่งจากใต้สู่เหนือสุด เพื่อระดมเงินบริจาคนำไปมอบให้ 11 โรงพยาบาล คิง เพาเวอร์ ได้บริจาคเงิน 24 ล้านบาท พร้อม ๆ กับตูนเองให้เกียรตินำลูกฟุตบอลคิง เพาเวอร์ ไปแจกตามโรงเรียนตลอดเส้นทางการวิ่ง ซึ่งมีวลีจากตูนถึงปรากฎบนโซเชียลมีเดียว่า
“ผมเชื่อเลย...ต้องมีทีมชาติไทยเกิดขึ้นจากลูกฟุตบอลของ คิง เพาเวอร์ ที่แจกครั้งนี้” ในโครงการ “ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย”
เป็นคำพูดจากใจ “ตูน บอดี้สแลม” ระหว่างวิ่งแล้วนำลูกฟุตบอลคิง เพาเวอร์ ไปแจกให้เด็ก ๆ โรงเรียนบ้านปากบางสะกอม จังหวัดสงขลา
ในวันที่ 1-2 ธันวาคม 2560 เมื่อ “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งเข้ากรุงเทพฯ ทางกลุ่มคิง เพาเวอร์ เตรียมเปิดบ้านคือโรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ต้อนรับคณะผู้เสียสละซึ่งทำเพื่อส่วนรวมเป็น “พลังคนไทย” ที่มีคุณค่าต่อจิตใจปลุกคนไทยให้ลุกขึ้นมาร่วมใจทำในสิ่งดี ๆ ไปด้วยกัน
ส่วน “การเดินหน้าพัฒนาธุรกิจเพื่อร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ” กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ปรับโฉมร้านค้าใหญ่ในเมือง “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ” ดีไซน์พื้นที่ทั้งภายในอาคารและรอบบริเวณเกือบ 50,000 ตารางเมตร ให้กลายเป็นศูนย์การค้าเทรนด์ใหม่ครบวงจร เปิดบริการตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2560 เป็นต้นมา ตั้งเป้าดึงดูดชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเงินช้อปปิ้งในร้านค้าดิวตี้ฟรี และในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของคิง เพาเวอร์ ตลอดทั้งปีนี้รวมเกือบแสนล้นบาท
ข่าวที่ 2 “ททท.รุกขายคุณภาพ12เมืองห้ามพลาดพลัสปี’61”
นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. เปิดเผยว่าในปี 2561 ใส่เกียร์หน้าชูตลาดการขายแหล่งท่องเที่ยวโครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด เน้นเพิ่มการเติบโตในเชิงคุณภาพภายใต้แนวคิด Plus Less Volume More Value” โดยจะใช้กลยุทธ์ร่วมมือพันธมิตรสร้างกิจกรรมตอกย้ำจุดเด่นของแต่ละจังหวัด ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกช่วงวัย ควบคู่กับท่องเที่ยวใน 3 หมวดหลัก คือ การท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวอาหารถิ่น และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขานรับนโยบายรัฐบาลในปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋สไตล์ยั่งยืน
ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2560 สถิติมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวเมืองต้องห้ามพลาด พลัส 13.6 ล้านคน สร้างรายได้รวม 52,400 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 ททท.ได้เปิดตัวกิจกรรมโครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus ปี 2561 ประกอบด้วย นิทรรศการแสดงสินค้าที่มีการผสานนวัตกรรมสร้างสรรค์จากทั้ง 5 ภูมิภาค (ผลิตภัณฑ์เซรามิคจาก จังหวัดลำปาง เครื่องแต่งกายผลิตจากสีย้อมธรรมชาติ จังหวัดน่าน ผลิตภัณฑ์ทอเสื่อ จากจังหวัดจันทบุรี ผลิตภัณฑ์จากหน้ากากผีตาโขน จังหวัดเลย ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับจากลูกปัดโนรา จังหวัดพัทลุง และผลิตภัณฑ์เสื้อสกรีนลายหนังใหญ่ จังหวัดราชบุรี) รวมทั้งสินค้า OTOP และอาหารถิ่นในจังหวัดหลักภายใต้โครงการ 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus จำนวน 24 บูธ อาทิ เครื่องเงิน จังหวัดน่าน ผลิตภัณฑ์จากไร่กำนันจุล จังหวัดเพชรบูรณ์ พลอย อัญมณีต่างๆ จังหวัดจันทบุรี เครื่องประดับจากลูกปัดโนรา จังหวัดพัทลุง ปลาทูซาเตี๊ยะ จังหวัดสมุทรสงคราม กุ้งจ่อมแม่เนย จังหวัดบุรีรัมย์ และผลิตภัณฑ์แมคคาเดเมียแปรรูป จังหวัดเลย
ททท.วางแนวทางให้การท่องเที่ยว 12 เมืองต้องห้ามพลัส ไว้เบื้องต้น 4 เป้าหมาย
1.ตอกย้ำภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละเมืองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์และ Fanpage 12 เมืองต้องห้าม...พลาด (www.citieshiddengemsthailand.com)
2. กระตุ้นรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยวผ่านการจัดงาน “เทศกาลเที่ยว 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus” ระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคม 2560 ณ โซน C ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ มีแพ็คเกจท่องเที่ยวขายราคาพิเศษ พร้อม OTOP อาหารท้องถิ่น กิจกรรมสาธิตต่าง ๆ จะมีผู้ประกอบการร่วมออกบูธกว่า 200 ราย
ข่าวที่ 3 “บางจากฯกวาดรางวัลเพียบทุกเวทีตลอดพ.ย.”
ตลอดพฤศจิกายน นี้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นเดือนแห่งการกวาดรางวัล ซึ่งบางจากเดินสายขึ้นเวที เริ่มจากรับสุดยอดรางวัลองค์องค์กรที่มีความคิดสร้างสรรค์ทางด้านการสื่อสารออนไลน์ Distinction Winner Awards 2017 (Silver Trophy) ประเภทกลุ่มธุรกิจพลังงาน Energy Categories ในงาน The Annual Communicator Awards 2017 ครั้งที่ 23 จัดโดย The Academy of Interactive and Visual Arts (AIVA) ซึ่งมีเว็บไซต์และสิ่งพิมพ์ออนไลน์ทั่วโลกส่งผลงานด้านการออกแบบกว่า 6,000 ผลงาน
เป็นผลมาจากบางจากได้พัฒนาเว็บไซต์ต่อเนื่องด้วยรูปแบบที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย บนโดเมน www.bangchak.co.th ล่าสุดยังได้พัฒนารูปแบบการใช้งาน โดยคำนึงถึงด้าน Responsive Web Design รองรับทุกอุปกรณ์ สำหรับทุกคนที่ต้องการเข้าถึงเว็บเดียวกันไม่ว่าจะเป็น Smartphone หน้าจอเล็ก ไปจนถึง Smart TV หน้าจอใหญ่มาก เพิ่มฟังก์ชั่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น บนโครงสร้างข้อมูล หรือ Site map เว็บไซต์ที่ไม่ซับซ้อน และพัฒนาเนื้อหาทำให้การค้นหา และดูข้อมูลผ่านเมนูต่างๆ บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ รวมถึงการFeedback ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากฯ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญด้านนโยบายการรักษาความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มาตรฐานการใช้ระบบสารสนเทศและเครือข่าย รวมทั้งนโยบายเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีความจำเป็นในโลกปัจจุบัน และมีบุคลากรที่มีส่วนร่วมคิดค้น สร้างสรรค์และนำระบบข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวมาปรับใช้กับการบริหารงานสมัยใหม่ มีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ และพัฒนาประสิทธิภาพให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล ด้วยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจ อำนวยความสะดวกให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายและประชาชนทั่วไปค้นหาข้อมูลของบริษัท และกลุ่มบริษัทได้
รวมทั้งสาระด้านพลังงาน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์เรียนรู้พลังงานหมุนเวียน สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บางจาก
ส่วนอีกรางวัล บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล Thailand Sustainability Investment (THSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หรือรายชื่อหุ้นยั่งยืน โดยมีนายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโรงกลั่น บริษัท บางจากฯ เป็นตัวแทนรับรางวัล ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมอบให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่มี Market Cap ระหว่าง 30,000-100,000 ล้านบาท ในงาน SET Sustainability Awards 2017
สำหรับรางวัลดังกล่าวเป็นการประกาศเกียรติคุณและยกย่องบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มีความโดดเด่นอย่างชัดเจน โดยเป็นการยกระดับจากรางวัลด้านรายงานบรรษัทภิบาลและรางวัลด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้สามารถสะท้อนการบูรณาการด้านความยั่งยืนในธุรกิจได้อย่างครอบคลุมทุกด้าน
ช่วงที่ 2 ชวนกันขึ้นเหนือไปดื่มด่ำธรรมชาติท่ามกลางวิถีความปรองดอง “ชุมชนกกสะทอน” จังหวัดเลย ถิ่นดอกกนางพญาเสือโคร่ง-ซากุระเมืองไทย และจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามรักสามัคคี เต็มไปด้วยเสน่ห์วัฒนธรรมอันงดงาม ส่วนเรื่องสุขภาพก็ต้องฟังอาหาร 10 อย่างต้องกินให้ถูกมื้อถึงจะดีต่อร่างกาย และข่าวท้ายชั่วโมง
เรียกน้ำย่อยด้วยบทวิเคราะห์ 5 สายการบินแถวหน้าของเมืองไทยดิ้นทุกทางเพื่อหนีตาย ส่วนกรมท่าอากาศยาน ยังคงกั๊กไม่ปล่อย 28 สนามบินต่างจังหวัดให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และเอกชนเข้าบริหาร ส่วนเคทีซีรีบปล่อยแคมเปญอิ่มไม่อั้นตุนรายได้ปลายปี และดรีมครุยส์เรือสำราญข้ามชาตินำสิงคโปร์ขึ้นเกาะภูเก็ตเพียบ
@ชุมชนกกสะทอนสนามรักของนักท่องเที่ยว
หนาวนี้แหล่งท่องเที่ยวแสนงดงามที่ผู้คนแห่แหนกันไปเที่ยว “ชุมชนกกสะทอน” จังหวัดเลย โดยเฉพาะในช่วงที่ “นางพญาเสือโคร่ง” หรือ “ซากุระเมืองไทย” สีชมพูบานสะพรั่ง เสน่ห์ของชุมชนยังความงดงามแห่งวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นมาของชุมชนอันน่าค้นหาเมื่อครั้งอดีตเคยเป็น จุดสู้รบของกลุ่มคอมมิวนิสต์กับทหารไทย กลายเป็นเครื่องเตือนใจรุ่นหลังในวันนี้ให้รักสามัคคีกัน
อย่างแรกที่ต้องไปสัมผัสความงามของ “ทุ่งนางพญาเสือโคร่ง” กว่าพันไร่กันที่ “ภูลมโล” ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปีดอกไม้จะบานสดใสสวยงาม จากนั้นก็ไปชม “อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง” สถานที่ทางประวัติศาสตร์การสู้รบของกลุ่มคอมิวนิสต์กับทหารไทย เป็นเสมือนสิ่งเตือนใจให้คนหันมาปรองดองกัน
ใกล้ ๆ ชุมชนมี “น้ำตกหมันแดง” ยิ่งใหญ่อลังการความสูงถึง 32 ชั้น เดินชมธรรมชาติได้ตั้งแต่ชั้น 1-9 ในเดือนสิงหาคมของทุกปีนักท่องเที่ยวจะได้พบกับ “ดอกลิ้นมังกรสีชมพู” อีกทั้งลานน้ำตกมีแผ่นหินที่มี “รอยไดโนเสาร์” ถึง 20 รอย รวมถึงมีวิถีชีวิตของชาวม้งที่อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ณ บ้านตูบค้อ เป็นแหล่งชมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ปลูกเรือนพักอาศัย แต่งกาย สวยงาม พร้อมกับยังคงรักษาประเพณีไว้เป็นอย่างดี
ส่วนช่วงเช้าสามารถตื่นมาตักบาตรกับชาวบ้านได้ที่ “วัดเย็นศรีระธรรมประทีป” วัดเก่าแก่มีเรื่องราวความน่าสนใจมากมาย และยังเป็นแหล่งรวมอาหารเมนูท้องถิ่นที่ชาวบ้านนำมาทำบุญและเลี้ยงคนมาวัดไปพร้อมกันด้วย
อาหารถิ่นเมนูเด็ดต้องชิมกันให้ได้ก็มี “ส้มตำน้ำผักสะทอน” นำจากใบต้นสะทอนหมักด้วยน้ำเปล่า 3 คืน แล้วนำมาต้มน้ำจะเป็สีดำใช้ปรุงรสแทนน้ำปลาร้าใส่ลงในส้มตำ “ต้มซั้วไก่งาดำ” ว่ากันว่ากินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี “ยำหัวปลีกล้วยป่า” เรียกอีกชื่อว่าสลัดบ้านนอก ปรุงตามสูตรลับชาวกกสะทอน รสชาติแซ่บเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นจริง ๆ
ส่วนที่พักลองนอนโฮมเสตย์ อุดหนุนชาวบ้าน ที่เปิดบริการได้มาตรฐานความนิยมได้แก่ โฮมสเตย์กกสะทอน นักท่องเที่ยวที่อยากซึมซับความเป็นธรรมชาติของภูสูงต้องลองพักที่นี่ให้ได้ หรือชอบสไตล์รีสอร์ตก็มี “ปนัดดารีสอร์ต” พัฒนาเป็นที่พักคาร์บอนต่ำเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ “ภูนาคำ รีสอร์ท” สัญลักษณ์คือเป็นรีสอร์ตที่เลี้ยงควาย ปลูกพืชปลอดสารพิษ คว้ารางวัลมากมายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม
และของฝากที่ต้องซื้อติดมือกลับมาฝาก แนะนำให้ซื้อ น้ำพริกผักสะทอน สินค้าโด่งดังของหมู่บ้าน ตะกร้าสาน ไม้กวาด ทนทานใช้งานได้นานมาก
สนใจท่องเที่ยวติดต่อได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน โทร.062-557-0912-3, 091-282-0556
@10 อาหารเพื่อสุขภาพกินให้ถูกมื้อดีต่อร่างกาย
เทรนด์สุขภาพเพื่อการเลือกรับประทานให้ถูกมื้อ ถูกเวลา จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เกี่ยวกับอาหาร 10 ชนิด ต่อไปนี้
1. แอปเปิ้ล ห้ามกินก่อนนอน อาจอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และคุณค่ามากมาย แต่กินตอนเช้าจะดีกว่าเยอะ เพราะแอปเปิ้ลช่วยลดคลอเลสเตอรอล และช่วยลดน้ำตาลในเลือด ส่วนเหตุผลที่ห้ามกินในมื้อเย็นก็เพราะ ตอนนอนจะย่อยลำบากไปไหมเพราะไฟเบอร์ก็สูง อีกทั้งจะไปเพิ่มกรดในกระเพราะด้วย
2. โยเกิร์ต เหมาะกับมื้อเย็นดีกว่ากินมื้อเช้า เพราะมื้อเช้าต้องกินหนัก ๆ แค่โยเกิร์ตคงไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดกรดในกระเพาะได้ ส่วนมื้อเย็นเน้นสบายเลย ย่อยง่าย หลับสบายแน่นอน ใครหิวตอนดึกก็หยิบออกจากตู้เย็นมาทานได้
3. มันฝรั่ง เหมาะมื้อเช้า เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและคลอเลสเตอรอลต่ำ อิ่มแน่นท้อง แคลอรี่สูงเกินที่จะรับประทานเป็นมื้อเย็น
4. มะเขือเทศ เหมาะกับมื้อเช้าไม่ใช่มื้อเย็น จะไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น แล้วช่วยการทำงานของลำไส้ยามเช้า แต่มื้อเย็นนั้นหยุดเลย! กระเพาะของคุณจะมีกรดมากเกินไป
5. เนื้อสัตว์ เหมะสำหรับมื้อเที่ยง เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยทำให้ร่างกายไม่อ่อนล้าอ่อนเพลีย ช่วยต้านทานโรคด้วย แต่ถ้าเลือกกินเนื้อตอนเย็นจะนอนตอนไหน เนื่องจากเนื้อสัตว์ใช้เวลาย่อย 5-6 ชั่วโมง แล้วยังไปทำลายระบบย่อยอาหารของพวกเราด้วย
6. ถั่ว เหมาะกับมื้อเที่ยง มีประโยชน์เพียบ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและช่วยให้หัวใจแข็งแรง แต่ถ้าไปรับประทานเป็นมื้อเย็นก็จะอ้วน เพราะไขมันสูง
7. ดาร์คช็อคโกแลต เหมาะกับมื้อเช้า ไม่ใช่ขนมจุกจิก ดาร์คช็อคโกแลตจะช่วยให้แก่ช้าลง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่ถ้าเอาไว้ทานเล่นตลอดทั้งวันก็ต้องระวังอ้วนเพราะไขมันเยอะ
8. ข้าว เหมาะกับมื้อกลางวัน ไม่ใช่มื้อเย็น เพราะข้วคือคาร์โบไฮเดรต ช่วยให้เรามีพลังทั้งวัน แต่ถ้าทานเป็นมื้อเย็นก็ไม่เหมาะกับคนที่อยากลดน้ำหนักเท่าไร
9. ส้ม ดีสำหรับทานเล่นได้ทั้งวัน แต่ไม่ใช่มื้อเช้า นอกจากจะไม่อิ่มท้องแถมการกินส้มอย่างเดียว จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ แต่ก็สามารถทานส้มได้ตลอดทั้งวัน เพราะจะไปช่วยระบบย่อยให้ทำงานดีขึ้น และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เป็นอย่างดี
10. กล้วย สำหรับมื้อเที่ยง ไม่ใช่มื้อเย็น ใครชอบทานกล้วยจะผิวสวย แล้วยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ส่วนมื้อเย็นลืมไปได้เลย จะทำให้เกิดเสมหะ แล้วยังไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “จับตา4แอร์ไลน์ไทยปี’61ดิ้นหนีตายทุกทาง”
@การบินไทยดึงดิจิตอลฝ่าวิกฤตการขายตั๋ว
ในขณะที่ “การบินไทย” สายการบินแห่งชาติ เร่งฟื้นฟูรายได้โดยเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2560 การบินไทยและบริษัทย่อย ทำรายได้รวมทั้งสิ้น 46,928 ล้านบาท มีกำไร 739 ล้านบาท ต่างจากช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมาขาดทุน 836 ล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายด้านราคาน้ำมันเครื่องบิน และการต่อสู้กันอย่างดุเดือดของราคาตั๋วโดยสาร รวมไปถึงกลยุทธ์การเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์และดิจิตอลให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผุ้บริโภคยุคใหม่
ปี 2561 จะได้เห็นการปฏิวัติตลาดเชิงรุก หลังจากการบินไทย หันมาฟื้นฟูเส้นทาง จุดบิน ความถี่ ในยุโรปโดยใช้กลยุทธ์ “เลือกลงในเมืองศูนย์กลางซึ่งสามารถเชื่อมโยงต่อไปยังประเทศใกล้เคียงได้อย่าง “เวียนนา” ออสเตรีย ศูนย์กลางของยุโรปกลาง และยังหันมาบุกเส้นทางบินในจีน โดยใช้จังหวัดหลักและรองบินตรงตามมณฑลต่าง ๆ
บางกอกแอร์เวย์สหาช่องหนีขาดทุนรอบใหม่
สาเหตุการขาดทุนทั้ง ๆ ที่ปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นถึง 6.9 % มาจากการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อลดราคาตั๋วโดยสารลง ทำให้มีรายได้การขายตั๋วของบางกอกแอร์เวย์สลดลงเฉลี่ย 6% ทำให้มีรายได้ธุรกิจการบินวูบไปราว 0.6% โดยเฉพาะเที่ยวบินในกลุ่มประเทศแถบอินโดจีน สายการบินต่าง ๆ แห่กันขยายเส้นทางบินเข้ามาให้บริการเพราะเล็งเห็นศักยภาพในอนาคต
@นกแอร์ฝันเกาะกระแสจีนพลิกวิกฤตขาดทุน
ทางด้าน “นกแอร์” ประกาศกร้าวที่จะลุกขึ้นมายึดส่วนแบ่งตลาดอีกครั้ง หลังจากเผชิญการขาดทุนอย่างยับเยินกว่า 2,800 ล้านบาท โดยจะขอเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิง “ตลาดนักท่องเที่ยวจีน” ตามที่นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันภายในปี 2561 จะบินเข้าสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้มากที่สุดถึง 24 เส้นทาง ภายในไตรมาสแรกของปี 2561วางแผนเพิ่มการบริการอีก 5 เส้นทาง ต่อจากเดือนตุลาคมปีนี้เพิ่มไปแล้ว 9 เส้นทาง รวมของเดิมเคยบินอยู่ 10 เส้นทาง โดยมีหมัดเด็ดที่จะนำมาต่อกรกับคู่แข่งเหนือน่านฟ้าคือฝูงบินเจ้าเวหาอย่าง โบอิ้ง 737-800
@แอร์เอเชียเอ็กซ์กางฐานยึดเกาหลี-ญี่ปุ่น-จีน
ปิดท้ายด้วย “ไทยแอร์ เอเชียเอ็กซ์” สายการบินที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกระชับพื้นที่ตลาดเอเชียตะวันออก เกาหลี ญี่ปุ่น จีน รัศมีการบินไม่เกิน 5 ชั่วโมง ซึ่งมีฝูงบินแอร์บัส A320 เป็นอาวุธลับ สามารถวางสล็อตเวลาบินซึ่งนำมาใช้โหมโฆษณาด้วยแคมเปญ “3-2-2-1 เช้า สาย บ่าย ดึก” โดยตั้งเป้าโกยผู้โดยสารปี 2561 ให้ได้ 2.2 ล้านคน แบ่งเป็นเป็นไทย 60% เกาหลี 20% ญี่ปุ่น 15% จีนและอื่นๆ 5% ทำอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยตลอดปี 86%
นายนัตดา บุรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าวถึงแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ ต้นปี 2561 เส้นทาง กรุงเทพฯ-ซัปโปโร พร้อมกับเร่งศึกษาเส้นทางบินเพิ่มสู่ญี่ปุ่นตอนใต้ อาทิ ฟูกูโอกะ โอกินาว่า คุมาโมโตะ สาธารณรัฐประชาชนจีน อาทิ ปักกิ่ง เทียนจิน ต้าเหลียน ชิงเต่า และเกาหลีใต้ อาทิ ปูซาน และยุโรปซึ่งจะชิมรางบิน โปแลนด์ เดือนมกราคม ปีหน้า เรื่อยไปจนถึง สแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย
ไทย แอร์ เอเชีย เอ็กซ์ ออกตัวแคมเปญ “3-2-2-1 เช้า สาย บ่าย ดึก” กรุงเทพฯ-โซล 3 เที่ยว/วัน กรุงเทพฯ-โตเกียว 2 เที่ยว/วัน กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ 1 เที่ยว/วัน ส่วนกรุงเทพฯ-โอซาก้า 2 เที่ยว/วัน จะเริ่มบินธันวาคม 2560 เป็นต้นไป
รวมทั้งตั้งเป้าปี 2560 จะมีรายได้ 9,000 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2559 ทำไว้ 7,900 ล้านบาท ส่วนผู้โดยสารจะถึง 1.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2 แสนคน จากปี 2559 มีเพียง 1.4 ล้านคน และอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 89% สูงขึ้นกว่าปีก่อนเฉลี่ยเพียง 85%
ข่าวที่สอง “จับตา28สนามบินต่างจังหวัด ทย.ลูกเล่นเพียบ”
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้ให้ทาง "ศูนย์วิจัยและบริการวิชาการด้านการขนส่งทางอากาศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" ทำวิจัยเกี่ยวกับ "การพัฒนาแนวทางการบริหารท่าอากาศยาน (ทย.) ในสังกัดกรมท่าอากาศยาน" เพื่อนำผลสรุปเสนอนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลังจากเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านเศรษฐกิจ ไปตรวจงานพร้อมทั้งมีนโยบายให้ กรมท่าอากาศยานกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." ไปหารือกันภายในให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน นี้
นายดรุณยืนยันว่า จะพิจารณายกท่าอากาศยานภูมิภาคให้ ทอท.เพียง 2 แห่งเท่านั่น คือ อุดรธานี เพราะจะต้องใช้เงินปรับปรุงอีกเกือบ 2,000 ล้านบาท เชื่อมโยงกับสนามบินแม่สอด จ.ตาก ต้องใช้เงินปรับปรุงด้วยเช่นกัน เหตุที่ยก 2 แห่งให้ ทอท.เพื่อทำเป็นศูนย์กลางการบินเชื่อมโยงอีสานสู่ภาคตะวันตก
ส่วนอีก 26 สนามบิน ทย.จะดำเนินการเอง ตามแผนแม่บท 10 ปี นับจาก 2561-2671 จะเสนอของบรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท ทำให้มีศักยภาพทั้งเรื่องบริการและรายได้เข้าสู่เศรษฐกิจชุมชน
ประการสำคัญขณะนี้กรมท่าอากาศยาน ได้ทำแผนใช้เงินกว่า 200 ล้านบาท เดินหน้าสร้างสถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน บริเวณบางปิ้ง เตรียมปูพรมเปิดการเรียน การสอน ฝึกอบรม พนักงานของ ทย.และหน่วยงานการบิน พร้อมกับมอบใบรับรองการประกอบอาชีพทางด้านบริการจัดการสนามบิน จะเริ่มเปิดสถาบันแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
ขณะที่ นายจุฬา สุขมานพ ผอ.สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย นายหลุยส์ มอเซอร์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบิน แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันคือ การผ่าทางตันเรื่องบริหารจัดการ 28 สนามบินภูมิภาคนั้น ควรใจกว้างเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาบริหาร เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน เนื่องจาก ทย.เป็นหน่วยงานราชการ ส่วน ทอท.เป็นรัฐวิสาหกิจ ต่างก็มีข้อจำกัดขาดความเป็นอิสระและมีเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่สามารถเพิ่มการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามข้อสรุปว่า สนามบินภูมิภาคทั้ง 28 แห่ง ของ ทย.จะให้ใครบริหารต่อไปในอนาคต นั่น จะต้องนำเสนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบในหลักการว่าควรจะไปในทิศทางเลือกใด จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
ข่าวที่สาม “เคทีซีดึง20ร้านอาหารดังอัดแคมเปญอิ่มไม่อั้น”
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้อำนวยการ - ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รวบรวมพันธมิตร 20 ร้านบุฟเฟ่ต์ดังกว่า 90 สาขา ออกแคมเปญ “อิ่มไม่อั้น..อร่อยเน้นๆ กับบัตรเครดิตเคทีซี” ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 – 31 มกราคม 2561ให้สมาชิกได้ฟินกับบุฟเฟ่ต์มา 2 จ่าย 1 เพียงจ่ายค่าอาหารผ่านบัตรเครดิตเคทีซี บุฟเฟ่ต์ 1 คน และใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER REWARDS เริ่มต้นเพียง 1,999 คะแนน แลกรับบุฟเฟ่ต์อีก 1 คนได้ทันที
ร้านดัง ๆ ที่ร่วมแคมเปญอิ่มไม่อั้น ได้แก่ ร้านคิมจู / คิมจูบูเดชิเก / บลูสไปซ์ / ชาบูสแควร์ / กินซ่า เฮ้าส์ ออฟ บาบีคิว / กิวย่า ยากินิกุ / มูแอนด์มอร์ ยากินิกุ บุฟเฟ่ต์ / ชาบู ชาบู นางใน / ซูกิชิ โตเกียว บุฟเฟ่ต์ / โซล กริลล์ / โม โม่ พาราไดซ์ / ทาซึ ชาบู ยากิ / ชิบูย่า ชาบู / ยูแอนด์ไอ พรีเมี่ยม สุกี้ บุฟเฟ่ต์ / คิงคอง บุฟเฟ่ต์ / มงก๊ก สุกี้ยากี้ / โควเอ็น ซูชิ บาร์ / ซากุระ ยากินิคุ แอนด์ ชาบู และโกจู ซูชิ
สอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 เว็บไซต์ www.ktc.co.th
ข่าวที่สี่ “ดรีมครุยส์ยกทัวร์อินเตอร์ขึ้นเกาะทำภูเก็ตคึกคัก”
นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง กล่าวว่า ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนในภูเก็ตทั้ง เทศมนตรีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กรรมการสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ต้อนรับนาย Michael Goh Senior Vice President of Genting Cruises Lines ผู้บริหารเรือสำราญ Dream Cruises oeนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์มาเที่ยวหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต สัปดาห์ละ 1 วัน (พุธ 6:00-21:00 น.) แต่ละครั้งจะมีนักท่องเที่ยว 3,200-3,500 คน เป็นข่าวดีที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูเก็ตเพิ่มอีกช่องทาง
สำหรับเรือ Dream Cruises เป็นเรือสำราญที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ขนาด 19 ชั้น รองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 4,500 คน มีพนักงานให้บริการบนเรือกว่า 2,000 คน ภายในเรืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ห้องสวีท ผับ คาสิโน สระว่ายน้ำ สไลเดอร์ ดิวตี้ฟรี การแสดงแสงสีเสียง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยยอดเยี่ยม โดยให้บริการเดินทางรวม 5 วัน เส้นทางช่องแคบมะละกา-กัวลาลัมเปอร์-ปีนัง-ภูเก็ต
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า วันเสาร์และอาทิตย์ ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น